Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
กมฺมปถสํสนฺทนกถา
Kammapathasaṃsandanakathā
อิทานิ อิมสฺมิํ ฐาเน กมฺมปถสํสนฺทนํ นาม เวทิตพฺพํฯ ปญฺจผสฺสทฺวารวเสน หิ อุปฺปโนฺน อสํวโร อกุสลํ มโนกมฺมเมว โหติฯ มโนผสฺสทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน ตีณิปิ กมฺมานิ โหนฺติ – โส หิ กายทฺวาเร โจปนปฺปโตฺต อกุสลํ กายกมฺมํ โหติ, วจีทฺวาเร อกุสลํ วจีกมฺมํ, อุภยตฺถ โจปนํ อปฺปโตฺต อกุสลํ มโนกมฺมํฯ ปญฺจอสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺนปิ อกุสลํ มโนกมฺมเมว โหติฯ โจปนกายอสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน อกุสลํ กายกมฺมเมว โหติ, วาจาอสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน อกุสลํ วจีกมฺมเมว โหติ, มโนอสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน อกุสลํ มโนกมฺมเมว โหติฯ ติวิธํ กายทุจฺจริตํ อกุสลํ กายกมฺมเมว โหติ, จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตํ อกุสลํ วจีกมฺมเมว โหติ, ติวิธํ มโนทุจฺจริตํ อกุสลํ มโนกมฺมเมว โหติฯ
Idāni imasmiṃ ṭhāne kammapathasaṃsandanaṃ nāma veditabbaṃ. Pañcaphassadvāravasena hi uppanno asaṃvaro akusalaṃ manokammameva hoti. Manophassadvāravasena uppanno tīṇipi kammāni honti – so hi kāyadvāre copanappatto akusalaṃ kāyakammaṃ hoti, vacīdvāre akusalaṃ vacīkammaṃ, ubhayattha copanaṃ appatto akusalaṃ manokammaṃ. Pañcaasaṃvaradvāravasena uppannopi akusalaṃ manokammameva hoti. Copanakāyaasaṃvaradvāravasena uppanno akusalaṃ kāyakammameva hoti, vācāasaṃvaradvāravasena uppanno akusalaṃ vacīkammameva hoti, manoasaṃvaradvāravasena uppanno akusalaṃ manokammameva hoti. Tividhaṃ kāyaduccaritaṃ akusalaṃ kāyakammameva hoti, catubbidhaṃ vacīduccaritaṃ akusalaṃ vacīkammameva hoti, tividhaṃ manoduccaritaṃ akusalaṃ manokammameva hoti.
ปญฺจผสฺสทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน สํวโรปิ กุสลํ มโนกมฺมเมว โหติฯ มโนผสฺสทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน ปน อยมฺปิ, อสํวโร วิย, ตีณิปิ กมฺมานิ โหนฺติฯ ปญฺจสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺนปิ กุสลํ มโนกมฺมเมว โหติ, โจปนกายสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน กุสลํ กายกมฺมเมว โหติ, วาจาสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน กุสลํ วจีกมฺมเมว โหติ, มโนสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน กุสลํ มโนกมฺมเมว โหติฯ ติวิธํ กายสุจริตํ กุสลํ กายกมฺมเมว โหติ, จตุพฺพิธํ วจีสุจริตํ กุสลํ วจีกมฺมเมว โหติ, ติวิธํ มโนสุจริตํ กุสลํ มโนกมฺมเมว โหติฯ
Pañcaphassadvāravasena uppanno saṃvaropi kusalaṃ manokammameva hoti. Manophassadvāravasena uppanno pana ayampi, asaṃvaro viya, tīṇipi kammāni honti. Pañcasaṃvaradvāravasena uppannopi kusalaṃ manokammameva hoti, copanakāyasaṃvaradvāravasena uppanno kusalaṃ kāyakammameva hoti, vācāsaṃvaradvāravasena uppanno kusalaṃ vacīkammameva hoti, manosaṃvaradvāravasena uppanno kusalaṃ manokammameva hoti. Tividhaṃ kāyasucaritaṃ kusalaṃ kāyakammameva hoti, catubbidhaṃ vacīsucaritaṃ kusalaṃ vacīkammameva hoti, tividhaṃ manosucaritaṃ kusalaṃ manokammameva hoti.
อกุสลํ กายกมฺมํ ปญฺจผสฺสทฺวารวเสน นุปฺปชฺชติ; มโนผสฺสทฺวารวเสเนว อุปฺปชฺชติฯ ตถา อกุสลํ วจีกมฺมํฯ อกุสลํ มโนกมฺมํ ปน ฉผสฺสทฺวารวเสน อุปฺปชฺชติ; ตํ กายวจีทฺวาเรสุ โจปนํ ปตฺตํ อกุสลํ กายวจีกมฺมํ โหติ, โจปนํ อปฺปตฺตํ อกุสลํ มโนกมฺมเมวฯ ยถา จ ปญฺจผสฺสทฺวารวเสน, เอวํ ปญฺจอสํวรทฺวารวเสนปิ อกุสลํ กายกมฺมํ นุปฺปชฺชติ, โจปนกายอสํวรทฺวารวเสน ปน วาจาอสํวรทฺวารวเสน จ อุปฺปชฺชติ; มโนอสํวรทฺวารวเสน นุปฺปชฺชติฯ อกุสลํ วจีกมฺมมฺปิ ปญฺจอสํวรทฺวารวเสน นุปฺปชฺชติ, โจปนกายวาจาอสํวรทฺวารวเสน อุปฺปชฺชติ; มโนอสํวรทฺวารวเสน นุปฺปชฺชติฯ อกุสลํ มโนกมฺมํ อฎฺฐอสํวรทฺวารวเสนปิ อุปฺปชฺชเตวฯ กุสลกายกมฺมาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Akusalaṃ kāyakammaṃ pañcaphassadvāravasena nuppajjati; manophassadvāravaseneva uppajjati. Tathā akusalaṃ vacīkammaṃ. Akusalaṃ manokammaṃ pana chaphassadvāravasena uppajjati; taṃ kāyavacīdvāresu copanaṃ pattaṃ akusalaṃ kāyavacīkammaṃ hoti, copanaṃ appattaṃ akusalaṃ manokammameva. Yathā ca pañcaphassadvāravasena, evaṃ pañcaasaṃvaradvāravasenapi akusalaṃ kāyakammaṃ nuppajjati, copanakāyaasaṃvaradvāravasena pana vācāasaṃvaradvāravasena ca uppajjati; manoasaṃvaradvāravasena nuppajjati. Akusalaṃ vacīkammampi pañcaasaṃvaradvāravasena nuppajjati, copanakāyavācāasaṃvaradvāravasena uppajjati; manoasaṃvaradvāravasena nuppajjati. Akusalaṃ manokammaṃ aṭṭhaasaṃvaradvāravasenapi uppajjateva. Kusalakāyakammādīsupi eseva nayo.
อยํ ปน วิเสโส – ยถา อกุสลกายกมฺมวจีกมฺมานิ มโนอสํวรทฺวารวเสน นุปฺปชฺชนฺติ, น ตถา เอตานิฯ เอตานิ ปน กายงฺควาจงฺคํ อโจเปตฺวา สิกฺขาปทานิ คณฺหนฺตสฺส มโนสํวรทฺวาเรปิ อุปฺปชฺชนฺติ เอวฯ ตตฺถ กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ ติวิธกมฺมทฺวารวเสน อุปฺปชฺชติ, ปญฺจวิญฺญาณทฺวารวเสน นุปฺปชฺชติ; ‘ยมิทํ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ, สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา’ติ อิมินา ปน นเยน ฉผสฺสทฺวารวเสน อุปฺปชฺชติ; อฎฺฐอสํวรทฺวารวเสน นุปฺปชฺชติ, อฎฺฐสํวรทฺวารวเสน อุปฺปชฺชติ; ทสอกุสลกมฺมปถวเสน นุปฺปชฺชติ, ทสกุสลกมฺมปถวเสน อุปฺปชฺชติ; ตสฺมา อิทมฺปิ จิตฺตํ ติวิธกมฺมทฺวารวเสน วา อุปฺปนฺนํ โหตุ, ฉผสฺสทฺวารวเสน วา, อฎฺฐสํวรทฺวารวเสน วา ทสกุสลกมฺมปถวเสน วาฯ ‘‘กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ…เป.… รูปารมฺมณํ วา…เป.… ธมฺมารมฺมณํ วา’’ติ วุเตฺต สพฺพํ วุตฺตเมว โหตีติฯ
Ayaṃ pana viseso – yathā akusalakāyakammavacīkammāni manoasaṃvaradvāravasena nuppajjanti, na tathā etāni. Etāni pana kāyaṅgavācaṅgaṃ acopetvā sikkhāpadāni gaṇhantassa manosaṃvaradvārepi uppajjanti eva. Tattha kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ tividhakammadvāravasena uppajjati, pañcaviññāṇadvāravasena nuppajjati; ‘yamidaṃ cakkhusamphassapaccayā uppajjati vedayitaṃ, sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā’ti iminā pana nayena chaphassadvāravasena uppajjati; aṭṭhaasaṃvaradvāravasena nuppajjati, aṭṭhasaṃvaradvāravasena uppajjati; dasaakusalakammapathavasena nuppajjati, dasakusalakammapathavasena uppajjati; tasmā idampi cittaṃ tividhakammadvāravasena vā uppannaṃ hotu, chaphassadvāravasena vā, aṭṭhasaṃvaradvāravasena vā dasakusalakammapathavasena vā. ‘‘Kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti…pe… rūpārammaṇaṃ vā…pe… dhammārammaṇaṃ vā’’ti vutte sabbaṃ vuttameva hotīti.
ทฺวารกถา นิฎฺฐิตาฯ
Dvārakathā niṭṭhitā.
ยํ ยํ วา ปนารพฺภาติ เอตฺถ อยํ โยชนา – เหฎฺฐา วุเตฺตสุ รูปารมฺมณาทีสุ รูปารมฺมณํ วา อารพฺภ, อารมฺมณํ กตฺวาติ อโตฺถฯ สทฺทารมฺมณํ วา…เป.… ธมฺมารมฺมณํ วา อารพฺภ อุปฺปนฺนํ โหติฯ เอตฺตาวตา เอตสฺส จิตฺตสฺส เอเตสุ อารมฺมเณสุ ยํกิญฺจิ เอกเมว อารมฺมณํ อนุญฺญาตสทิสํ โหติฯ อิทญฺจ เอกสฺมิํ สมเย เอกสฺส วา ปุคฺคลสฺส รูปารมฺมณํ อารพฺภ อุปฺปนฺนํ ปุน อญฺญสฺมิํ สมเย อญฺญสฺส วา ปุคฺคลสฺส สทฺทาทีสุปิ อญฺญตรํ อารมฺมณํ อารพฺภ อุปฺปชฺชติ เอวฯ เอวํ อุปฺปชฺชมานสฺส จสฺส เอกสฺมิํ ภเว ปฐมํ รูปารมฺมณํ อารพฺภ ปวตฺติ โหติ, ปจฺฉา สทฺทารมฺมณนฺติ อยมฺปิ กโม นตฺถิฯ รูปาทีสุ จาปิ ปฐมํ นีลารมฺมณํ ปจฺฉา ปีตารมฺมณนฺติ อยมฺปิ นิยโม นตฺถิฯ อิติ อิมํ สพฺพารมฺมณตเญฺจว, กมาภาวญฺจ, กมาภาเวปิ จ นีลปีตาทีสุ นิยมาภาวํ ทเสฺสตุํ ‘ยํ ยํ วา ปนารพฺภา’ติ อาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อิเมสุ รูปาทีสุ น ยํกิญฺจิ เอกเมว, อถ โข ยํ ยํ วา ปนารพฺภ อุปฺปนฺนํ โหติฯ เอวํ อุปฺปชฺชมานมฺปิ จ ‘ปฐมํ รูปารมฺมณํ ปจฺฉา สทฺทารมฺมณํ อารพฺภา’ติ เอวมฺปิ อนุปฺปชฺชิตฺวา ยํ ยํ วา ปนารพฺภ อุปฺปนฺนํ โหติ; ‘ปฎิโลมโต วา อนุโลมโต วา, เอกนฺตริกทฺวนฺตริกาทินเยน วา, รูปารมฺมณาทีสุ ยํ วา ตํ วา อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปนฺนํ โหตี’ติ อโตฺถฯ รูปารมฺมเณสุปิ จ ‘ปฐมํ นีลารมฺมณํ ปจฺฉา ปีตารมฺมณ’นฺติ อิมินาปิ นิยเมน อนุปฺปชฺชิตฺวา, ยํ ยํ วา ปนารพฺภ ‘นีลปีตกาทีสุ รูปารมฺมเณสุ ยํ วา ตํ วา รูปารมฺมณํ อารพฺภ อุปฺปนฺนํ โหตี’ติ อโตฺถฯ สทฺทารมฺมณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อยํ ตาว เอกา โยชนาฯ
Yaṃ yaṃ vā panārabbhāti ettha ayaṃ yojanā – heṭṭhā vuttesu rūpārammaṇādīsu rūpārammaṇaṃ vā ārabbha, ārammaṇaṃ katvāti attho. Saddārammaṇaṃ vā…pe… dhammārammaṇaṃ vā ārabbha uppannaṃ hoti. Ettāvatā etassa cittassa etesu ārammaṇesu yaṃkiñci ekameva ārammaṇaṃ anuññātasadisaṃ hoti. Idañca ekasmiṃ samaye ekassa vā puggalassa rūpārammaṇaṃ ārabbha uppannaṃ puna aññasmiṃ samaye aññassa vā puggalassa saddādīsupi aññataraṃ ārammaṇaṃ ārabbha uppajjati eva. Evaṃ uppajjamānassa cassa ekasmiṃ bhave paṭhamaṃ rūpārammaṇaṃ ārabbha pavatti hoti, pacchā saddārammaṇanti ayampi kamo natthi. Rūpādīsu cāpi paṭhamaṃ nīlārammaṇaṃ pacchā pītārammaṇanti ayampi niyamo natthi. Iti imaṃ sabbārammaṇatañceva, kamābhāvañca, kamābhāvepi ca nīlapītādīsu niyamābhāvaṃ dassetuṃ ‘yaṃ yaṃ vā panārabbhā’ti āha. Idaṃ vuttaṃ hoti – imesu rūpādīsu na yaṃkiñci ekameva, atha kho yaṃ yaṃ vā panārabbha uppannaṃ hoti. Evaṃ uppajjamānampi ca ‘paṭhamaṃ rūpārammaṇaṃ pacchā saddārammaṇaṃ ārabbhā’ti evampi anuppajjitvā yaṃ yaṃ vā panārabbha uppannaṃ hoti; ‘paṭilomato vā anulomato vā, ekantarikadvantarikādinayena vā, rūpārammaṇādīsu yaṃ vā taṃ vā ārammaṇaṃ katvā uppannaṃ hotī’ti attho. Rūpārammaṇesupi ca ‘paṭhamaṃ nīlārammaṇaṃ pacchā pītārammaṇa’nti imināpi niyamena anuppajjitvā, yaṃ yaṃ vā panārabbha ‘nīlapītakādīsu rūpārammaṇesu yaṃ vā taṃ vā rūpārammaṇaṃ ārabbha uppannaṃ hotī’ti attho. Saddārammaṇādīsupi eseva nayo. Ayaṃ tāva ekā yojanā.
อยํ ปน อปรา – รูปํ อารมฺมณํ เอตสฺสาติ รูปารมฺมณํ…เป.… ธโมฺม อารมฺมณํ เอตสฺสาติ ธมฺมารมฺมณํ ฯ อิติ รูปารมฺมณํ วา…เป.… ธมฺมารมฺมณํ วา จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตีติ วตฺวา ปุน ‘ยํ ยํ วา ปนารพฺภา’ติ อาหฯ ตสฺสโตฺถ – เอเตสุ รูปาทีสุ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ยํ วา ตํ วา ปน อารพฺภ อุปฺปนฺนํ โหตีติฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน เยวาปนเก อภินวํ นตฺถิ, เหฎฺฐา คหิตเมว คหิต’นฺติ วตฺวา ‘รูปํ วา อารพฺภ…เป.… ธมฺมํ วา อารพฺภ, อิทํ วา อิทํ วา อารพฺภาติ กเถตุํ อิทํ วุตฺต’นฺติ เอตฺตกเมว อาคตํฯ
Ayaṃ pana aparā – rūpaṃ ārammaṇaṃ etassāti rūpārammaṇaṃ…pe… dhammo ārammaṇaṃ etassāti dhammārammaṇaṃ . Iti rūpārammaṇaṃ vā…pe… dhammārammaṇaṃ vā cittaṃ uppannaṃ hotīti vatvā puna ‘yaṃ yaṃ vā panārabbhā’ti āha. Tassattho – etesu rūpādīsu heṭṭhā vuttanayeneva yaṃ vā taṃ vā pana ārabbha uppannaṃ hotīti. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana yevāpanake abhinavaṃ natthi, heṭṭhā gahitameva gahita’nti vatvā ‘rūpaṃ vā ārabbha…pe… dhammaṃ vā ārabbha, idaṃ vā idaṃ vā ārabbhāti kathetuṃ idaṃ vutta’nti ettakameva āgataṃ.