Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā |
กมฺมปถสํสนฺทนกถาวณฺณนา
Kammapathasaṃsandanakathāvaṇṇanā
กมฺมปถปฺปตฺตานํ ทุสฺสีลฺยาทีนํ อสํวรานํ ตถา ทุจฺจริตานญฺจ อกุสลกมฺมปเถหิ กมฺมปถปฺปตฺตานเมว จ สุสีลฺยาทีนํ สํวรานํ ตถา สุจริตานญฺจ กุสลกมฺมปเถหิ อตฺถโต นานตฺตาภาวทสฺสนํฯ อถ วา เตสํ ผสฺสทฺวาราทีหิ อวิโรธภาเวน ทีปนํ กมฺมปถสํสนฺทนนฺติ เกจิ วทนฺติ , ตเทตํ วิจาเรตพฺพํฯ น หิ ปญฺจผสฺสทฺวารปญฺจอสํวรทฺวารปญฺจสํวรทฺวาเรสุ อุปฺปนฺนานํ อสํวรานํ สํวรานญฺจ กมฺมปถตา อตฺถิ ปาณาติปาตาทีนํ ปรสนฺตกวตฺถุโลภปรสตฺตารมฺมณพฺยาปาทอเหตุกทิฎฺฐิอาทีนญฺจ เตสุ ทฺวาเรสุ อนุปฺปตฺติโตฯ ติวิธกอายทุจฺจริตาทีนิ จ กมฺมปถาติ ปากฎา เอวาติ กิํ เตสํ กมฺมปเถหิ นานตฺตาภาวทสฺสเนน, น จ ทุจฺจริตานํ สุจริตานญฺจ ผสฺสทฺวาราทิวเสน อุปฺปตฺติ ทีปิตา, นาปิ อสํวรานํ สํวรานญฺจ ยโต เตสํ ผสฺสทฺวาราทีหิ อวิโรธภาเวน ทีปนา สิยา, เกวลํ ปน ผสฺสทฺวาราทิวเสน อุปฺปนฺนานํ อสํวรานํ สํวรานญฺจ กายกมฺมาทิตา ทีปิตาฯ ยทิ จ เอตฺตกํ กมฺมปถสํสนฺทนํ, ‘‘อกุสลํ กายกมฺมํ ปญฺจผสฺสทฺวารวเสน นุปฺปชฺชตี’’ติอาทิ กมฺมปถสํสนฺทนํ น สิยาฯ เอสาปิ ฉผสฺสทฺวาราทีหิ อวิโรธทีปนาติ เจ, วุตฺตเมว ปการนฺตเรน ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา’’ติ น วตฺตพฺพํฯ สมุจฺจยเตฺถ จ อถ วา-สเทฺท กมฺมปถปฺปตฺตาเนว ทุสฺสีลฺยาทีนิ กายกมฺมาทินาเมหิ วทเนฺตหิ มโนกมฺมสฺส ฉผสฺสทฺวารวเสน อุปฺปตฺติ น วตฺตพฺพาฯ น หิ ตํ จกฺขุทฺวาราทิวเสน อุปฺปชฺชตีติฯ ยทิ จ กมฺมปถปฺปตฺตา เอว อสํวราทโย คหิตา, ทุจฺจริเตหิ อเญฺญสํ อสํวรานํ อภาวา เตสญฺจ ตํตํกมฺมภาวสฺส วุตฺตตฺตา ‘‘โจปนกายอสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน อสํวโร อกุสลํ กายกมฺมเมว โหตี’’ติอาทิ น วตฺตพฺพํ สิยาฯ วุจฺจมาเน หิ ตสฺมิํ สงฺกโร สิยา, วจีมโนกมฺมานิปิ หิ กายทฺวาเร อุปฺปชฺชนฺติ, ตถา เสสทฺวาเรสุปิ กมฺมนฺตรานีติฯ
Kammapathappattānaṃ dussīlyādīnaṃ asaṃvarānaṃ tathā duccaritānañca akusalakammapathehi kammapathappattānameva ca susīlyādīnaṃ saṃvarānaṃ tathā sucaritānañca kusalakammapathehi atthato nānattābhāvadassanaṃ. Atha vā tesaṃ phassadvārādīhi avirodhabhāvena dīpanaṃ kammapathasaṃsandananti keci vadanti , tadetaṃ vicāretabbaṃ. Na hi pañcaphassadvārapañcaasaṃvaradvārapañcasaṃvaradvāresu uppannānaṃ asaṃvarānaṃ saṃvarānañca kammapathatā atthi pāṇātipātādīnaṃ parasantakavatthulobhaparasattārammaṇabyāpādaahetukadiṭṭhiādīnañca tesu dvāresu anuppattito. Tividhakaāyaduccaritādīni ca kammapathāti pākaṭā evāti kiṃ tesaṃ kammapathehi nānattābhāvadassanena, na ca duccaritānaṃ sucaritānañca phassadvārādivasena uppatti dīpitā, nāpi asaṃvarānaṃ saṃvarānañca yato tesaṃ phassadvārādīhi avirodhabhāvena dīpanā siyā, kevalaṃ pana phassadvārādivasena uppannānaṃ asaṃvarānaṃ saṃvarānañca kāyakammāditā dīpitā. Yadi ca ettakaṃ kammapathasaṃsandanaṃ, ‘‘akusalaṃ kāyakammaṃ pañcaphassadvāravasena nuppajjatī’’tiādi kammapathasaṃsandanaṃ na siyā. Esāpi chaphassadvārādīhi avirodhadīpanāti ce, vuttameva pakārantarena dassetuṃ ‘‘atha vā’’ti na vattabbaṃ. Samuccayatthe ca atha vā-sadde kammapathappattāneva dussīlyādīni kāyakammādināmehi vadantehi manokammassa chaphassadvāravasena uppatti na vattabbā. Na hi taṃ cakkhudvārādivasena uppajjatīti. Yadi ca kammapathappattā eva asaṃvarādayo gahitā, duccaritehi aññesaṃ asaṃvarānaṃ abhāvā tesañca taṃtaṃkammabhāvassa vuttattā ‘‘copanakāyaasaṃvaradvāravasena uppanno asaṃvaro akusalaṃ kāyakammameva hotī’’tiādi na vattabbaṃ siyā. Vuccamāne hi tasmiṃ saṅkaro siyā, vacīmanokammānipi hi kāyadvāre uppajjanti, tathā sesadvāresupi kammantarānīti.
อถ ปน ทฺวารนฺตเร อุปฺปชฺชมานํ กมฺมนฺตรมฺปิ ตํทฺวาริกกมฺมเมว สิยา, ‘‘ติวิธํ กายทุจฺจริตํ อกุสลํ กายกมฺมเมวา’’ติอาทิ, ‘‘อกุสลํ กายกมฺมํ โจปนกายอสํวรทฺวารวเสน วาจาอสํวรทฺวารวเสน จ อุปฺปชฺชตี’’ติอาทิ จ วิรุเชฺฌยฺยฯ ทุจฺจริตานญฺหิ อญฺญทฺวารจรณํ อตฺถิ, น จสฺส ทฺวารนฺตรุปฺปนฺนํ กมฺมนฺตรํ โหตีติฯ ตสฺมา เหฎฺฐา กมฺมปถปฺปตฺตานํ เอว กายกมฺมาทิภาวสฺส วุตฺตตฺตา เสสานญฺจ ตํตํทฺวารุปฺปนฺนานํ กุสลากุสลานํ ทฺวารสํสนฺทเน ตํตํทฺวารปกฺขิกภาวสฺส กตตฺตา อิธ กมฺมปถํ อปฺปตฺตานญฺจ เจตนาภาวโต อกมฺมานญฺจ อสํวรานํ สํวรานญฺจ ภชาปิยมานานํ กมฺมปถานํ วิย กายกมฺมาทิตาทีปนํ, กมฺมปถปฺปตฺตานํ ติวิธกายทุจฺจริตาทีนํ ติวิธกายสุจริตาทีนญฺจ ทฺวารนฺตรจรเณปิ กายกมฺมาทิภาวาวิชหนทีปนํ, ยถาปกาสิตานญฺจ กมฺมปถภาวํ ปตฺตานํ อปตฺตานญฺจ อกุสลกายกมฺมาทีนญฺจ กุสลกายกมฺมาทีนญฺจ ผสฺสทฺวาราทีหิ อุปฺปตฺติปกาสนญฺจ กมฺมปถสํสนฺทนํ นามฯ กสฺมา? อกมฺมปถานํ กมฺมปเถสุ กมฺมปถานญฺจ อกมฺมปเถสุ สมานนามตาวเสน, กมฺมปถานํ กมฺมปเถสุ สามญฺญนามาวิชหนวเสน, อุภเยสญฺจ อุปฺปตฺติวเสน ทฺวาเรสุ เอตฺถ สํสนฺทิตตฺตาฯ
Atha pana dvārantare uppajjamānaṃ kammantarampi taṃdvārikakammameva siyā, ‘‘tividhaṃ kāyaduccaritaṃ akusalaṃ kāyakammamevā’’tiādi, ‘‘akusalaṃ kāyakammaṃ copanakāyaasaṃvaradvāravasena vācāasaṃvaradvāravasena ca uppajjatī’’tiādi ca virujjheyya. Duccaritānañhi aññadvāracaraṇaṃ atthi, na cassa dvārantaruppannaṃ kammantaraṃ hotīti. Tasmā heṭṭhā kammapathappattānaṃ eva kāyakammādibhāvassa vuttattā sesānañca taṃtaṃdvāruppannānaṃ kusalākusalānaṃ dvārasaṃsandane taṃtaṃdvārapakkhikabhāvassa katattā idha kammapathaṃ appattānañca cetanābhāvato akammānañca asaṃvarānaṃ saṃvarānañca bhajāpiyamānānaṃ kammapathānaṃ viya kāyakammāditādīpanaṃ, kammapathappattānaṃ tividhakāyaduccaritādīnaṃ tividhakāyasucaritādīnañca dvārantaracaraṇepi kāyakammādibhāvāvijahanadīpanaṃ, yathāpakāsitānañca kammapathabhāvaṃ pattānaṃ apattānañca akusalakāyakammādīnañca kusalakāyakammādīnañca phassadvārādīhi uppattipakāsanañca kammapathasaṃsandanaṃ nāma. Kasmā? Akammapathānaṃ kammapathesu kammapathānañca akammapathesu samānanāmatāvasena, kammapathānaṃ kammapathesu sāmaññanāmāvijahanavasena, ubhayesañca uppattivasena dvāresu ettha saṃsanditattā.
ตตฺถ ติวิธกมฺมทฺวารวเสน อุปฺปนฺนานํ กมฺมานํ ญาตกมฺมภาวตาย ตํตํกมฺมภาวสฺส อวจนียตฺตา กมฺมทฺวาเรสุ เตสํ อุปฺปตฺติยา จ วุตฺตตฺตา ปญฺจวิญฺญาณทฺวารวเสน อสํวราทีนํ อุปฺปตฺติปริยายวจนาภาวโต จ กมฺมทฺวารวิญฺญาณทฺวารานิ วิรชฺฌิตฺวา ‘‘ปญฺจผสฺสทฺวารวเสน หิ อุปฺปโนฺน’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘ยมฺปิทํ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ สุขํ วา’’ติอาทินา ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา เวทนากฺขโนฺธ อตฺถิ กุสโล’’ติอาทินา จ ปญฺจผสฺสทฺวารวเสน อสํวราทีนํ อุปฺปตฺติปริยาโย วุโตฺต, น จ ‘‘ยมิทํ จกฺขุวิญฺญาณปจฺจยา’’ติอาทิวจนํ อตฺถีติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘จกฺขุวิญฺญาณสหชาโต หิ ผโสฺส จกฺขุสมฺผโสฺส’’ติอาทิ (ธ. ส. ๑ กมฺมกถา; มหานิ. อฎฺฐ. ๘๖)ฯ เตน หิ อสํวรานํ สํวรานญฺจ จกฺขุสมฺผสฺสาทีหิ อสหชาตตฺตา มโนสมฺผสฺสสหชาตานญฺจ จกฺขุสมฺผสฺสทฺวาราทิวเสน อุปฺปตฺติ ทีปิตาติฯ ‘‘โส หิ กายทฺวาเร โจปนํ ปโตฺต อกุสลํ กายกมฺมํ โหตี’’ติอาทินา ‘‘โจปนกายอสํวรทฺวารวเสน อุปฺปโนฺน อกุสลํ กายกมฺมเมว โหตี’’ติอาทินา จ วจีกมฺมาทีนญฺจ กมฺมปถปฺปตฺตานํ อสํวรภูตานํ กายกมฺมาทิภาเว อาปเนฺน ‘‘จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตํ อกุสลํ วจีกมฺมเมว โหตี’’ติอาทินา อปวาเทน นิวตฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ เอวญฺจ กตฺวา ปุเพฺพ ทสฺสิเตสุ อสํวรวินิจฺฉเยสุ ทุติยวินิจฺฉเยสุ จ น โกจิ วิโรโธฯ น หิ วจีกมฺมาทิภูโต โจปนกายอสํวโร กายกมฺมาทิ โหตีติฯ
Tattha tividhakammadvāravasena uppannānaṃ kammānaṃ ñātakammabhāvatāya taṃtaṃkammabhāvassa avacanīyattā kammadvāresu tesaṃ uppattiyā ca vuttattā pañcaviññāṇadvāravasena asaṃvarādīnaṃ uppattipariyāyavacanābhāvato ca kammadvāraviññāṇadvārāni virajjhitvā ‘‘pañcaphassadvāravasena hi uppanno’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Yampidaṃ cakkhusamphassapaccayā uppajjati sukhaṃ vā’’tiādinā ‘‘cakkhusamphassapaccayā vedanākkhandho atthi kusalo’’tiādinā ca pañcaphassadvāravasena asaṃvarādīnaṃ uppattipariyāyo vutto, na ca ‘‘yamidaṃ cakkhuviññāṇapaccayā’’tiādivacanaṃ atthīti. Vuttampi cetaṃ ‘‘cakkhuviññāṇasahajāto hi phasso cakkhusamphasso’’tiādi (dha. sa. 1 kammakathā; mahāni. aṭṭha. 86). Tena hi asaṃvarānaṃ saṃvarānañca cakkhusamphassādīhi asahajātattā manosamphassasahajātānañca cakkhusamphassadvārādivasena uppatti dīpitāti. ‘‘So hi kāyadvāre copanaṃ patto akusalaṃ kāyakammaṃ hotī’’tiādinā ‘‘copanakāyaasaṃvaradvāravasena uppanno akusalaṃ kāyakammameva hotī’’tiādinā ca vacīkammādīnañca kammapathappattānaṃ asaṃvarabhūtānaṃ kāyakammādibhāve āpanne ‘‘catubbidhaṃ vacīduccaritaṃ akusalaṃ vacīkammameva hotī’’tiādinā apavādena nivatti daṭṭhabbā. Evañca katvā pubbe dassitesu asaṃvaravinicchayesu dutiyavinicchayesu ca na koci virodho. Na hi vacīkammādibhūto copanakāyaasaṃvaro kāyakammādi hotīti.
อกุสลํ มโนกมฺมํ ปน ฉผสฺสทฺวารวเสน อุปฺปชฺชติ, ตํ กายวจีทฺวาเรสุ โจปนํ ปตฺตํ อกุสลํ กายวจีกมฺมํ โหตีติ เอตฺถ กิํ ตํ อกุสลํ มโนกมฺมํ นาม, เหฎฺฐา ทสฺสิตนเยน จ กายวจีทฺวาเรสุ อุปฺปนฺนํ ติวิธํ มโนทุจฺจริตํ โจปนํ อปฺปตฺตํ สพฺพากุสลญฺจฯ ยทิ เอวํ ตสฺส กายวจีกมฺมภาโว นตฺถีติ ‘‘โจปนปฺปตฺตํ กายวจีกมฺมํ โหตี’’ติ น ยุชฺชตีติ ? โน น ยุชฺชติ โจปนปฺปตฺตํ กาเย วาจาย จ อกุสลํ กมฺมํ โหตีติ อตฺถสิทฺธิโตฯ กมฺมํ ปน โหนฺตํ กิํ กมฺมํ โหตีติ? มโนกมฺมเมว โหตีติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โจปนปฺปตฺตํ อกุสลํ กายทฺวาเร วจีทฺวาเร จ มโนกมฺมํ โหตีติฯ อถ วา ตํ-สทฺทสฺส มโนกเมฺมน สมฺพนฺธํ อกตฺวา ฉผสฺสทฺวารวเสน ยํ อุปฺปชฺชติ, ตนฺติ ยถาวุตฺตอุปฺปาทมตฺตปริจฺฉิเนฺนน สมฺพโนฺธ กาตโพฺพฯ กิํ ปน ตนฺติ? กมฺมกถาย ปวตฺตมานตฺตา กมฺมนฺติ วิญฺญายติ, ตญฺจ มโนสมฺผสฺสทฺวาเร อุปฺปชฺชมานมฺปิ ติวิธํ กมฺมํ โหตีติฯ ยถา ตํ โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘กายวจีทฺวาเรสุ โจปนํ ปตฺต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ นิยมสฺส อกตตฺตา โจปนปฺปตฺติ อุปลกฺขณภาเวน กายวจีกมฺมนามสาธิกาว, น ปน สพฺพมฺปิ โจปนปฺปตฺตํ กายวจีกมฺมเมว, นาปิ กุสลปเกฺข โจปนํ อปฺปตฺตํ กายวจีกมฺมํ น โหตีติ อยมโตฺถ สิโทฺธว โหตีติฯ
Akusalaṃ manokammaṃ pana chaphassadvāravasena uppajjati, taṃ kāyavacīdvāresu copanaṃ pattaṃ akusalaṃ kāyavacīkammaṃ hotīti ettha kiṃ taṃ akusalaṃ manokammaṃ nāma, heṭṭhā dassitanayena ca kāyavacīdvāresu uppannaṃ tividhaṃ manoduccaritaṃ copanaṃ appattaṃ sabbākusalañca. Yadi evaṃ tassa kāyavacīkammabhāvo natthīti ‘‘copanappattaṃ kāyavacīkammaṃ hotī’’ti na yujjatīti ? No na yujjati copanappattaṃ kāye vācāya ca akusalaṃ kammaṃ hotīti atthasiddhito. Kammaṃ pana hontaṃ kiṃ kammaṃ hotīti? Manokammameva hotīti. Idaṃ vuttaṃ hoti – copanappattaṃ akusalaṃ kāyadvāre vacīdvāre ca manokammaṃ hotīti. Atha vā taṃ-saddassa manokammena sambandhaṃ akatvā chaphassadvāravasena yaṃ uppajjati, tanti yathāvuttauppādamattaparicchinnena sambandho kātabbo. Kiṃ pana tanti? Kammakathāya pavattamānattā kammanti viññāyati, tañca manosamphassadvāre uppajjamānampi tividhaṃ kammaṃ hotīti. Yathā taṃ hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘kāyavacīdvāresu copanaṃ patta’’ntiādimāha. Tattha niyamassa akatattā copanappatti upalakkhaṇabhāvena kāyavacīkammanāmasādhikāva, na pana sabbampi copanappattaṃ kāyavacīkammameva, nāpi kusalapakkhe copanaṃ appattaṃ kāyavacīkammaṃ na hotīti ayamattho siddhova hotīti.
อถ วา ตนฺติ ตํ ฉผสฺสทฺวารวเสน อุปฺปชฺชมานํ มโนกมฺมนฺติ สพฺพํ มนสาปิ นิปฺผชฺชมานํ กมฺมํ มโนกมฺมนฺติ โจทกาธิปฺปาเยน คเหตฺวา วทติ, น ปุเพฺพ ทสฺสิตมโนกมฺมนฺติฯ โย หิ ปรสฺส อธิปฺปาโย ‘‘มนสา นิปฺผตฺติโต สเพฺพน มโนกเมฺมเนว ภวิตพฺพํ, น กายวจีกเมฺมนา’’ติ, ตํ นิวเตฺตตฺวา กมฺมตฺตยนิยมํ ทเสฺสตุํ อิทมารทฺธํ ‘‘ตํ กายวจีทฺวาเรสุ โจปนํ ปตฺต’’นฺติอาทิฯ เอตฺถ จ สงฺกราภาโว ปุริมนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อถ วา กมฺมนฺติ อวิเสเสน กมฺมสทฺทมเตฺตน สมฺพนฺธํ กตฺวา ยถาวุโตฺต กมฺมปฺปเภโท ยถา โหติ, ตํ ปการํ ทเสฺสติฯ อสงฺกโร จ วุตฺตนโยวฯ ยํ ปน วทนฺติ ‘‘กายวจีกมฺมสหชาตา อภิชฺฌาทโย ยทา เจตนาปกฺขิกา โหนฺติ, ตทา ตานิ มโนกมฺมานิ กายวจีกมฺมานิ โหนฺตี’’ติ, ตญฺจ น, เจตนาปกฺขิกานํ มโนกมฺมตฺตาภาวาฯ อโพฺพหาริกเตฺต จ มโนกมฺมตา สุฎฺฐุตรํ นตฺถิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘อโพฺพหาริกา วา’’ติฯ ตสฺมา มโนกมฺมสฺส กายวจีกมฺมตา น วตฺตพฺพาฯ อภิชฺฌาทิกิริยาการิกาย เอว เจตนาย สมฺปยุตฺตา อภิชฺฌาทโย มโนกมฺมํ, น ปาณาติปาตาทิกายวจีกิริยาการิกายาติ ภิโยฺยปิ เตสํ มโนกมฺมตาติ น เตสํ มโนกมฺมานํ สตํ กายวจีกมฺมตา วตฺตพฺพาติฯ เอวํ กมฺมานํ ทฺวาเรสุ ทฺวารานญฺจ กเมฺมสุ อนิยตตฺตา ทฺวารนิพนฺธนํ น กตํฯ อิทานิ อกเตปิ จ ทฺวารนิพนฺธเน เยสํ ทฺวารานํ วเสน อิทํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, เตสํ ตํตํทฺวารกมฺมปถานญฺจ วเสน อุปฺปตฺติยา ยถาภฎฺฐปาฬิยา วุตฺตาย จ ทีปนตฺถํ ‘‘ตตฺถ กามาวจร’’นฺติอาทิมาหฯ จิตฺตํ ติวิธกมฺมทฺวารวเสน อุปฺปชฺชตีติ อิทํ มโนกมฺมทฺวารภูตสฺส เตน สภาเวน อุปฺปตฺติํ คเหตฺวา วุตฺตํฯ ยถา วา จิตฺตํ จิตฺตาธิปเตยฺยนฺติ สมฺปยุตฺตวเสน วุจฺจติ, เอวมิธาปีติ เวทิตพฺพํฯ โจปนทฺวยรหิตสฺส มโนปพนฺธสฺส มโนกมฺมทฺวารภาเว ปน วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ
Atha vā tanti taṃ chaphassadvāravasena uppajjamānaṃ manokammanti sabbaṃ manasāpi nipphajjamānaṃ kammaṃ manokammanti codakādhippāyena gahetvā vadati, na pubbe dassitamanokammanti. Yo hi parassa adhippāyo ‘‘manasā nipphattito sabbena manokammeneva bhavitabbaṃ, na kāyavacīkammenā’’ti, taṃ nivattetvā kammattayaniyamaṃ dassetuṃ idamāraddhaṃ ‘‘taṃ kāyavacīdvāresu copanaṃ patta’’ntiādi. Ettha ca saṅkarābhāvo purimanayeneva veditabbo. Atha vā kammanti avisesena kammasaddamattena sambandhaṃ katvā yathāvutto kammappabhedo yathā hoti, taṃ pakāraṃ dasseti. Asaṅkaro ca vuttanayova. Yaṃ pana vadanti ‘‘kāyavacīkammasahajātā abhijjhādayo yadā cetanāpakkhikā honti, tadā tāni manokammāni kāyavacīkammāni hontī’’ti, tañca na, cetanāpakkhikānaṃ manokammattābhāvā. Abbohārikatte ca manokammatā suṭṭhutaraṃ natthi. Vuttampi cetaṃ ‘‘abbohārikā vā’’ti. Tasmā manokammassa kāyavacīkammatā na vattabbā. Abhijjhādikiriyākārikāya eva cetanāya sampayuttā abhijjhādayo manokammaṃ, na pāṇātipātādikāyavacīkiriyākārikāyāti bhiyyopi tesaṃ manokammatāti na tesaṃ manokammānaṃ sataṃ kāyavacīkammatā vattabbāti. Evaṃ kammānaṃ dvāresu dvārānañca kammesu aniyatattā dvāranibandhanaṃ na kataṃ. Idāni akatepi ca dvāranibandhane yesaṃ dvārānaṃ vasena idaṃ cittaṃ uppajjati, tesaṃ taṃtaṃdvārakammapathānañca vasena uppattiyā yathābhaṭṭhapāḷiyā vuttāya ca dīpanatthaṃ ‘‘tattha kāmāvacara’’ntiādimāha. Cittaṃ tividhakammadvāravasena uppajjatīti idaṃ manokammadvārabhūtassa tena sabhāvena uppattiṃ gahetvā vuttaṃ. Yathā vā cittaṃ cittādhipateyyanti sampayuttavasena vuccati, evamidhāpīti veditabbaṃ. Copanadvayarahitassa manopabandhassa manokammadvārabhāve pana vattabbameva natthi.
กมฺมปถสํสนฺทนกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kammapathasaṃsandanakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
ทฺวารกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dvārakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อยํ โยชนาติ ‘‘รูปารมฺมณํ วา…เป.… ธมฺมารมฺมณํ วา’’ติ เอเตน สห ‘‘ยํ ยํ วา ปนา’’ติ เอตสฺส อยํ สมฺพโนฺธติ อโตฺถฯ โก ปนายํ สมฺพโนฺธติ? เยน วจนานิ อญฺญมญฺญํ สมฺพชฺฌนฺติ, ตํ ปุพฺพาปรวจเน ปโยชนํ สมฺพโนฺธฯ อิธ จ สพฺพารมฺมณตาทิทสฺสนํ ‘‘รูปารมฺมณํ วา…เป.… ธมฺมารมฺมณํ วา’’ติ เอตสฺส อนนฺตรํ ‘‘ยํ ยํ วา ปนา’’ติ เอตสฺส วจเน ปโยชนํ โยชนา ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺถ ‘‘รูปารมฺมณํ วา…เป.… ธมฺมารมฺมณํ วา อารพฺภา’’ติ เอตฺตเกน อาปนฺนํ โทสํ ทเสฺสตฺวา ตนฺนิวตฺตนวเสน ‘‘ยํ ยํ วา ปนา’’ติ เอตสฺส ปโยชนํ ทเสฺสตุํ ‘‘เหฎฺฐา’’ติอาทิมาหฯ ทุติเย อตฺถวิกเปฺป ‘‘ยํ ยํ วาปนา’’ติ เอเตน อปฺปธานมฺปิ รูปาทิํ อากฑฺฒติฯ น หิ ปธานสฺส จิตฺตสฺส อตฺตโนเยว อารมฺมณภาโว อตฺถีติฯ เหฎฺฐา วุตฺตนเยนาติ สพฺพารมฺมณตาทินเยนฯ ‘‘เหฎฺฐา คหิตเมว คหิตนฺติ วตฺวา ตสฺส วจเน ปโยชนํ ทเสฺสตุํ ‘รูปํ วา…เป.… อิทํ วา อิทํ วา อารพฺภา’ติ กเถตุํ อิทํ วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อิทํ วา อิทํ วาติ เอตํ สพฺพารมฺมณตาทิํ สนฺธาย กถิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ayaṃ yojanāti ‘‘rūpārammaṇaṃ vā…pe… dhammārammaṇaṃ vā’’ti etena saha ‘‘yaṃ yaṃ vā panā’’ti etassa ayaṃ sambandhoti attho. Ko panāyaṃ sambandhoti? Yena vacanāni aññamaññaṃ sambajjhanti, taṃ pubbāparavacane payojanaṃ sambandho. Idha ca sabbārammaṇatādidassanaṃ ‘‘rūpārammaṇaṃ vā…pe… dhammārammaṇaṃ vā’’ti etassa anantaraṃ ‘‘yaṃ yaṃ vā panā’’ti etassa vacane payojanaṃ yojanā daṭṭhabbaṃ. Tattha ‘‘rūpārammaṇaṃ vā…pe… dhammārammaṇaṃ vā ārabbhā’’ti ettakena āpannaṃ dosaṃ dassetvā tannivattanavasena ‘‘yaṃ yaṃ vā panā’’ti etassa payojanaṃ dassetuṃ ‘‘heṭṭhā’’tiādimāha. Dutiye atthavikappe ‘‘yaṃ yaṃ vāpanā’’ti etena appadhānampi rūpādiṃ ākaḍḍhati. Na hi padhānassa cittassa attanoyeva ārammaṇabhāvo atthīti. Heṭṭhā vuttanayenāti sabbārammaṇatādinayena. ‘‘Heṭṭhā gahitameva gahitanti vatvā tassa vacane payojanaṃ dassetuṃ ‘rūpaṃ vā…pe… idaṃ vā idaṃ vā ārabbhā’ti kathetuṃ idaṃ vutta’’nti vuttaṃ. Tattha idaṃ vā idaṃ vāti etaṃ sabbārammaṇatādiṃ sandhāya kathitanti veditabbaṃ.
Related texts:
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / กมฺมปถสํสนฺทนกถาวณฺณนา • Kammapathasaṃsandanakathāvaṇṇanā