Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปริวาร-อฎฺฐกถา • Parivāra-aṭṭhakathā

    ปญฺจวโคฺค

    Pañcavaggo

    กมฺมวคฺควณฺณนา

    Kammavaggavaṇṇanā

    ๔๘๒. กมฺมวเคฺค จตุนฺนํ กมฺมานํ นานากรณํ สมถกฺขนฺธเก วุตฺตเมวฯ กิญฺจาปิ วุตฺตํ, อถ โข อยํ กมฺมวินิจฺฉโย นาม อาทิโต ปฎฺฐาย วุจฺจมาโน ปากโฎ โหติ, ตสฺมา อาทิโต ปฎฺฐาเยเวตฺถ วตฺตพฺพํ วทิสฺสามฯ จตฺตารีติ กมฺมานํ คณนปริเจฺฉทวจนเมตํฯ กมฺมานีติ ปริจฺฉินฺนกมฺมนิทสฺสนํฯ อปโลกนกมฺมํ นาม สีมฎฺฐกสงฺฆํ โสเธตฺวา ฉนฺทารหานํ ฉนฺทํ อาหริตฺวา สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา ติกฺขตฺตุํ สาเวตฺวา กตฺตพฺพํ กมฺมํฯ ญตฺติกมฺมํ นาม วุตฺตนเยเนว สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา กตฺตพฺพํ กมฺมํฯ ญตฺติทุติยกมฺมํ นาม วุตฺตนเยเนว สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา เอกาย จ อนุสฺสาวนายาติ เอวํ ญตฺติทุติยาย อนุสฺสาวนาย กตฺตพฺพํ กมฺมํฯ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ นาม วุตฺตนเยเนว สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา ตีหิ จ อนุสฺสาวนาหีติ เอวํ ญตฺติจตุตฺถาหิ ตีหิ อนุสฺสาวนาหิ กตฺตพฺพํ กมฺมํฯ

    482. Kammavagge catunnaṃ kammānaṃ nānākaraṇaṃ samathakkhandhake vuttameva. Kiñcāpi vuttaṃ, atha kho ayaṃ kammavinicchayo nāma ādito paṭṭhāya vuccamāno pākaṭo hoti, tasmā ādito paṭṭhāyevettha vattabbaṃ vadissāma. Cattārīti kammānaṃ gaṇanaparicchedavacanametaṃ. Kammānīti paricchinnakammanidassanaṃ. Apalokanakammaṃ nāma sīmaṭṭhakasaṅghaṃ sodhetvā chandārahānaṃ chandaṃ āharitvā samaggassa saṅghassa anumatiyā tikkhattuṃ sāvetvā kattabbaṃ kammaṃ. Ñattikammaṃ nāma vuttanayeneva samaggassa saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā kattabbaṃ kammaṃ. Ñattidutiyakammaṃ nāma vuttanayeneva samaggassa saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā ekāya ca anussāvanāyāti evaṃ ñattidutiyāya anussāvanāya kattabbaṃ kammaṃ. Ñatticatutthakammaṃ nāma vuttanayeneva samaggassa saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā tīhi ca anussāvanāhīti evaṃ ñatticatutthāhi tīhi anussāvanāhi kattabbaṃ kammaṃ.

    ตตฺถ อปโลกนกมฺมํ อปโลเกตฺวาว กาตพฺพํ, ญตฺติกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ ญตฺติกมฺมมฺปิ เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวาว กาตพฺพํ, อปโลกนกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ ญตฺติทุติยกมฺมํ ปน อปโลเกตฺวา กาตพฺพมฺปิ อตฺถิ, อกาตพฺพมฺปิ อตฺถิฯ

    Tattha apalokanakammaṃ apaloketvāva kātabbaṃ, ñattikammādivasena na kātabbaṃ. Ñattikammampi ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvāva kātabbaṃ, apalokanakammādivasena na kātabbaṃ. Ñattidutiyakammaṃ pana apaloketvā kātabbampi atthi, akātabbampi atthi.

    ตตฺถ สีมาสมฺมุติ, สีมาสมูหนนํ, กถินทานํ, กถินุทฺธาโร, กุฎิวตฺถุเทสนา, วิหารวตฺถุเทสนาติ อิมานิ ฉ กมฺมานิ ครุกานิ อปโลเกตฺวา กาตุํ น วฎฺฎนฺติ, ญตฺติทุติยกมฺมวาจํ สาเวตฺวาว กาตพฺพานิฯ อวเสสา เตรส สมฺมุติโย เสนาสนคฺคาหกมตกจีวรทานาทิสมฺมุติโย จาติ เอตานิ ลหุกกมฺมานิ อปโลเกตฺวาปิ กาตุํ วฎฺฎนฺติ, ญตฺติกมฺม-ญตฺติจตุตฺถกมฺมวเสน ปน น กาตพฺพเมวฯ ญตฺติจตุตฺถกมฺมวเสน กยิรมานํ ทฬฺหตรํ โหติ, ตสฺมา กาตพฺพนฺติ เอกเจฺจ วทนฺติฯ เอวํ ปน สติ กมฺมสงฺกโร โหติ, ตสฺมา น กาตพฺพนฺติ ปฎิกฺขิตฺตเมวฯ สเจ ปน อกฺขรปริหีนํ วา ปทปริหีนํ วา ทุรุตฺตปทํ วา โหติ , ตสฺส โสธนตฺถํ ปุนปฺปุนํ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ อิทํ อกุปฺปกมฺมสฺส ทฬฺหีกมฺมํ โหติ, กุปฺปกเมฺม กมฺมํ หุตฺวา ติฎฺฐติฯ

    Tattha sīmāsammuti, sīmāsamūhananaṃ, kathinadānaṃ, kathinuddhāro, kuṭivatthudesanā, vihāravatthudesanāti imāni cha kammāni garukāni apaloketvā kātuṃ na vaṭṭanti, ñattidutiyakammavācaṃ sāvetvāva kātabbāni. Avasesā terasa sammutiyo senāsanaggāhakamatakacīvaradānādisammutiyo cāti etāni lahukakammāni apaloketvāpi kātuṃ vaṭṭanti, ñattikamma-ñatticatutthakammavasena pana na kātabbameva. Ñatticatutthakammavasena kayiramānaṃ daḷhataraṃ hoti, tasmā kātabbanti ekacce vadanti. Evaṃ pana sati kammasaṅkaro hoti, tasmā na kātabbanti paṭikkhittameva. Sace pana akkharaparihīnaṃ vā padaparihīnaṃ vā duruttapadaṃ vā hoti , tassa sodhanatthaṃ punappunaṃ vattuṃ vaṭṭati. Idaṃ akuppakammassa daḷhīkammaṃ hoti, kuppakamme kammaṃ hutvā tiṭṭhati.

    ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ ญตฺติญฺจ ติโสฺส จ กมฺมวาจาโย สาเวตฺวาว กาตพฺพํ, อปโลกนกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ ปญฺจหากาเรหิ วิปชฺชนฺตีติ ปญฺจหิ การเณหิ วิปชฺชนฺติฯ

    Ñatticatutthakammaṃ ñattiñca tisso ca kammavācāyo sāvetvāva kātabbaṃ, apalokanakammādivasena na kātabbaṃ. Pañcahākārehi vipajjantīti pañcahi kāraṇehi vipajjanti.

    ๔๘๓. สมฺมุขากรณียํ กมฺมํ อสมฺมุขา กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมนฺติ เอตฺถ อตฺถิ กมฺมํ สมฺมุขากรณียํ; อตฺถิ อสมฺมุขากรณียํ; ตตฺถ อสมฺมุขากรณียํ นาม ทูเตนุปสมฺปทา, ปตฺตนิกฺกุชฺชนํ, ปตฺตุกฺกุชฺชนํ, อุมฺมตฺตกสฺส ภิกฺขุโน อุมฺมตฺตกสมฺมุติ, เสกฺขานํ กุลานํ เสกฺขสมฺมุติ, ฉนฺนสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทโณฺฑ, เทวทตฺตสฺส ปกาสนียกมฺมํ, อปฺปสาทนียํ ทเสฺสนฺตสฺส ภิกฺขุโน ภิกฺขุนิสเงฺฆน กาตพฺพํ อวนฺทนียกมฺมนฺติ อฎฺฐวิธํ โหติ, ตํ สพฺพํ ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อิทํ อฎฺฐวิธมฺปิ กมฺมํ อสมฺมุขา กตํ สุกตํ โหติ อกุปฺปํฯ

    483.Sammukhākaraṇīyaṃ kammaṃ asammukhā karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammanti ettha atthi kammaṃ sammukhākaraṇīyaṃ; atthi asammukhākaraṇīyaṃ; tattha asammukhākaraṇīyaṃ nāma dūtenupasampadā, pattanikkujjanaṃ, pattukkujjanaṃ, ummattakassa bhikkhuno ummattakasammuti, sekkhānaṃ kulānaṃ sekkhasammuti, channassa bhikkhuno brahmadaṇḍo, devadattassa pakāsanīyakammaṃ, appasādanīyaṃ dassentassa bhikkhuno bhikkhunisaṅghena kātabbaṃ avandanīyakammanti aṭṭhavidhaṃ hoti, taṃ sabbaṃ tattha tattha vuttanayeneva veditabbaṃ. Idaṃ aṭṭhavidhampi kammaṃ asammukhā kataṃ sukataṃ hoti akuppaṃ.

    เสสานิ สพฺพกมฺมานิ สมฺมุขา เอว กาตพฺพานิ – สงฺฆสมฺมุขตา, ธมฺมสมฺมุขตา, วินยสมฺมุขตา, ปุคฺคลสมฺมุขตาติ อิมํ จตุพฺพิธํ สมฺมุขาวินยํ อุปเนตฺวาว กาตพฺพานิฯ เอวํ กตานิ หิ สุกตานิ โหนฺติฯ เอวํ อกตานิ ปเนตานิ อิมํ สมฺมุขาวินยสงฺขาตํ วตฺถุํ วินา กตตฺตา วตฺถุวิปนฺนานิ นาม โหนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สมฺมุขากรณียํ กมฺมํ อสมฺมุขา กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺม’’นฺติฯ

    Sesāni sabbakammāni sammukhā eva kātabbāni – saṅghasammukhatā, dhammasammukhatā, vinayasammukhatā, puggalasammukhatāti imaṃ catubbidhaṃ sammukhāvinayaṃ upanetvāva kātabbāni. Evaṃ katāni hi sukatāni honti. Evaṃ akatāni panetāni imaṃ sammukhāvinayasaṅkhātaṃ vatthuṃ vinā katattā vatthuvipannāni nāma honti. Tena vuttaṃ – ‘‘sammukhākaraṇīyaṃ kammaṃ asammukhā karoti, vatthuvipannaṃ adhammakamma’’nti.

    ปฎิปุจฺฉากรณียาทีสุปิ ปฎิปุจฺฉาทิกรณเมว วตฺถุ, ตํ วตฺถุํ วินา กตตฺตา เตสมฺปิ วตฺถุวิปนฺนตา เวทิตพฺพาฯ อิทํ ปเนตฺถ วจนตฺถมตฺตํฯ ปฎิปุจฺฉา กรณียํ อปฺปฎิปุจฺฉา กโรตีติ ปุจฺฉิตฺวา โจเทตฺวา สาเรตฺวา กาตพฺพํ อปุจฺฉิตฺวา อโจเทตฺวา อสาเรตฺวา กโรติฯ ปฎิญฺญาย กรณียํ อปฺปฎิญฺญาย กโรตีติ ปฎิญฺญํ อาโรเปตฺวา ยถาทินฺนาย ปฎิญฺญาย กาตพฺพํ อปฺปฎิญฺญาย กโรนฺตสฺส วิปฺปลปนฺตสฺส พลกฺกาเรน กโรติฯ สติวินยารหสฺสาติ ทพฺพมลฺลปุตฺตเตฺถรสทิสสฺส ขีณาสวสฺสฯ อมูฬฺหวินยารหสฺสาติ คคฺคภิกฺขุสทิสสฺส อุมฺมตฺตกสฺสฯ ตสฺสปาปิยสิกกมฺมารหสฺสาติ อุปวาฬภิกฺขุสทิสสฺส อุสฺสนฺนปาปสฺสฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ

    Paṭipucchākaraṇīyādīsupi paṭipucchādikaraṇameva vatthu, taṃ vatthuṃ vinā katattā tesampi vatthuvipannatā veditabbā. Idaṃ panettha vacanatthamattaṃ. Paṭipucchā karaṇīyaṃ appaṭipucchā karotīti pucchitvā codetvā sāretvā kātabbaṃ apucchitvā acodetvā asāretvā karoti. Paṭiññāya karaṇīyaṃappaṭiññāya karotīti paṭiññaṃ āropetvā yathādinnāya paṭiññāya kātabbaṃ appaṭiññāya karontassa vippalapantassa balakkārena karoti. Sativinayārahassāti dabbamallaputtattherasadisassa khīṇāsavassa. Amūḷhavinayārahassāti gaggabhikkhusadisassa ummattakassa. Tassapāpiyasikakammārahassāti upavāḷabhikkhusadisassa ussannapāpassa. Esa nayo sabbattha.

    อนุโปสเถ อุโปสถํ กโรตีติ อนุโปสถทิวเส อุโปสถํ กโรติฯ อุโปสถทิวโส นาม ฐเปตฺวา กตฺติกมาสํ อวเสเสสุ เอกาทสสุ มาเสสุ ภินฺนสฺส สงฺฆสฺส สามคฺคิทิวโส จ ยถาวุตฺตจาตุทฺทสปนฺนรสา จฯ เอตํ ติปฺปการมฺปิ อุโปสถทิวสํ ฐเปตฺวา อญฺญสฺมิํ ทิวเส อุโปสถํ กโรโนฺต อนุโปสเถ อุโปสถํ กโรติ นามฯ ยตฺร หิ ปตฺตจีวราทีนํ อตฺถาย อปฺปมตฺตเกน การเณน วิวทนฺตา อุโปสถํ วา ปวารณํ วา ฐเปนฺติ, ตตฺถ ตสฺมิํ อธิกรเณ วินิจฺฉิเต ‘‘สมคฺคา ชาตามฺหา’’ติ อนฺตรา สามคฺคิอุโปสถํ กาตุํ น ลภนฺติ, กโรเนฺตหิ อนุโปสเถ อุโปสโถ กโต นาม โหติฯ

    Anuposatheuposathaṃ karotīti anuposathadivase uposathaṃ karoti. Uposathadivaso nāma ṭhapetvā kattikamāsaṃ avasesesu ekādasasu māsesu bhinnassa saṅghassa sāmaggidivaso ca yathāvuttacātuddasapannarasā ca. Etaṃ tippakārampi uposathadivasaṃ ṭhapetvā aññasmiṃ divase uposathaṃ karonto anuposathe uposathaṃ karoti nāma. Yatra hi pattacīvarādīnaṃ atthāya appamattakena kāraṇena vivadantā uposathaṃ vā pavāraṇaṃ vā ṭhapenti, tattha tasmiṃ adhikaraṇe vinicchite ‘‘samaggā jātāmhā’’ti antarā sāmaggiuposathaṃ kātuṃ na labhanti, karontehi anuposathe uposatho kato nāma hoti.

    อปวารณาย ปวาเรตีติ อปวารณาทิวเส ปวาเรติ; ปวารณาทิวโส นาม เอกสฺมิํ กตฺติกมาเส ภินฺนสฺส สงฺฆสฺส สามคฺคิทิวโส จ ปจฺจุกฺกฑฺฒิตฺวา ฐปิตทิวโส จ เทฺว จ ปุณฺณมาสิโยฯ เอวํ จตุพฺพิธมฺปิ ปวารณาทิวสํ ฐเปตฺวา อญฺญสฺมิํ ทิวเส ปวาเรโนฺต อปวารณาย ปวาเรติ นามฯ อิธาปิ อปฺปมตฺตกสฺส วิวาทสฺส วูปสเม สามคฺคิปวารณํ กาตุํ น ลภนฺติ, กโรเนฺตหิ อปวารณาย ปวารณา กตา โหติฯ อปิจ อูนวีสติวสฺสํ วา อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนปุพฺพํ วา เอกาทสสุ วา อภพฺพปุคฺคเลสุ อญฺญตรํ อุปสมฺปาเทนฺตสฺสปิ วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํ โหติฯ เอวํ วตฺถุโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ

    Apavāraṇāya pavāretīti apavāraṇādivase pavāreti; pavāraṇādivaso nāma ekasmiṃ kattikamāse bhinnassa saṅghassa sāmaggidivaso ca paccukkaḍḍhitvā ṭhapitadivaso ca dve ca puṇṇamāsiyo. Evaṃ catubbidhampi pavāraṇādivasaṃ ṭhapetvā aññasmiṃ divase pavārento apavāraṇāya pavāreti nāma. Idhāpi appamattakassa vivādassa vūpasame sāmaggipavāraṇaṃ kātuṃ na labhanti, karontehi apavāraṇāya pavāraṇā katā hoti. Apica ūnavīsativassaṃ vā antimavatthuṃ ajjhāpannapubbaṃ vā ekādasasu vā abhabbapuggalesu aññataraṃ upasampādentassapi vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ hoti. Evaṃ vatthuto kammāni vipajjanti.

    ๔๘๔. ญตฺติโต วิปตฺติยํ ปน วตฺถุํ น ปรามสตีติ ยสฺส อุปสมฺปทาทิกมฺมํ กโรติ, ตํ น ปรามสติ, ตสฺส นามํ น คณฺหาติฯ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วทติ; เอวํ วตฺถุํ น ปรามสติฯ

    484. Ñattito vipattiyaṃ pana vatthuṃ na parāmasatīti yassa upasampadādikammaṃ karoti, taṃ na parāmasati, tassa nāmaṃ na gaṇhāti. ‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me bhante saṅgho, āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vadati; evaṃ vatthuṃ na parāmasati.

    สงฺฆํ น ปรามสตีติ สงฺฆสฺส นามํ น คณฺหาติฯ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต, อยํ ธมฺมรกฺขิโต’’ติ วทติ; เอวํ สงฺฆํ น ปรามสติฯ

    Saṅghaṃ na parāmasatīti saṅghassa nāmaṃ na gaṇhāti. ‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me bhante, ayaṃ dhammarakkhito’’ti vadati; evaṃ saṅghaṃ na parāmasati.

    ปุคฺคลํ น ปรามสตีติ โย อุปสมฺปทาเปกฺขสฺส อุปชฺฌาโย, ตํ น ปรามสติ, ตสฺส นามํ น คณฺหาติฯ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วทติ; เอวํ ปุคฺคลํ น ปรามสติฯ

    Puggalaṃ na parāmasatīti yo upasampadāpekkhassa upajjhāyo, taṃ na parāmasati, tassa nāmaṃ na gaṇhāti. ‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me, bhante saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito upasampadāpekkho’’ti vadati; evaṃ puggalaṃ na parāmasati.

    ญตฺติํ น ปรามสตีติ สเพฺพน สพฺพํ ญตฺติํ น ปรามสติฯ ญตฺติทุติยกเมฺม ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา ทฺวิกฺขตฺตุํ กมฺมวาจาย เอว อนุสฺสาวนกมฺมํ กโรติฯ ญตฺติจตุตฺถกเมฺมปิ ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา จตุกฺขตฺตุํ กมฺมวาจาย เอว อนุสฺสาวนกมฺมํ กโรติ; เอวํ ญตฺติํ น ปรามสติฯ

    Ñattiṃ na parāmasatīti sabbena sabbaṃ ñattiṃ na parāmasati. Ñattidutiyakamme ñattiṃ aṭṭhapetvā dvikkhattuṃ kammavācāya eva anussāvanakammaṃ karoti. Ñatticatutthakammepi ñattiṃ aṭṭhapetvā catukkhattuṃ kammavācāya eva anussāvanakammaṃ karoti; evaṃ ñattiṃ na parāmasati.

    ปจฺฉา วา ญตฺติํ ฐเปตีติ ปฐมํ กมฺมวาจาย อนุสฺสาวนกมฺมํ กตฺวา ‘‘เอสา ญตฺตี’’ติ วตฺวา ‘‘ขมติ สงฺฆสฺส ตสฺมา ตุณฺหี เอวเมตํ ธารยามี’’ติ วทติ; เอวํ ปจฺฉา ญตฺติํ ฐเปติฯ อิติ อิเมหิ ปญฺจหากาเรหิ ญตฺติโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ

    Pacchā vā ñattiṃ ṭhapetīti paṭhamaṃ kammavācāya anussāvanakammaṃ katvā ‘‘esā ñattī’’ti vatvā ‘‘khamati saṅghassa tasmā tuṇhī evametaṃ dhārayāmī’’ti vadati; evaṃ pacchā ñattiṃ ṭhapeti. Iti imehi pañcahākārehi ñattito kammāni vipajjanti.

    ๔๘๕. อนุสฺสาวนโต วิปตฺติยํ ปน วตฺถุอาทีนิ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ เอวํ ปน เนสํ อปรามสนํ โหติ – ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ’’ติ ปฐมานุสฺสาวเน ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ, ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ, สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ’’ติ ทุติยตติยานุสฺสาวนาสุ วา ‘‘อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺสา’’ติ วทโนฺต วตฺถุํ น ปรามสติ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต, อยํ ธมฺมรกฺขิโต’’ติ วทโนฺต สงฺฆํ น ปรามสติ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺสา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วทโนฺต ปุคฺคลํ น ปรามสติ นามฯ

    485. Anussāvanato vipattiyaṃ pana vatthuādīni vuttanayeneva veditabbāni. Evaṃ pana nesaṃ aparāmasanaṃ hoti – ‘‘suṇātu me bhante saṅgho’’ti paṭhamānussāvane ‘‘dutiyampi etamatthaṃ vadāmi, tatiyampi etamatthaṃ vadāmi, suṇātu me bhante saṅgho’’ti dutiyatatiyānussāvanāsu vā ‘‘ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me bhante saṅgho, āyasmato buddharakkhitassā’’ti vadanto vatthuṃ na parāmasati nāma. ‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me bhante, ayaṃ dhammarakkhito’’ti vadanto saṅghaṃ na parāmasati nāma. ‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassā’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me bhante saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito upasampadāpekkho’’ti vadanto puggalaṃ na parāmasati nāma.

    สาวนํ หาเปตีติ สเพฺพน สพฺพํ กมฺมวาจาย อนุสฺสาวนํ น กโรติ, ญตฺติทุติยกเมฺม ทฺวิกฺขตฺตุํ ญตฺติเมว ฐเปติ, ญตฺติจตุตฺถกเมฺม จตุกฺขตฺตุํ ญตฺติเมว ฐเปติ; เอวํ อนุสฺสาวนํ หาเปติ ฯ โยปิ ญตฺติทุติยกเมฺม เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวา เอกํ กมฺมวาจํ อนุสฺสาเวโนฺต อกฺขรํ วา ฉเฑฺฑติ, ปทํ วา ทุรุตฺตํ กโรติ, อยมฺปิ อนุสฺสาวนํ หาเปติเยวฯ ญตฺติจตุตฺถกเมฺม ปน เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวา สกิเมว วา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา กมฺมวาจาย อนุสฺสาวนํ กโรโนฺตปิ อกฺขรํ วา ปทํ วา ฉเฑฺฑโนฺตปิ ทุรุตฺตํ กโรโนฺตปิ อนุสฺสาวนํ หาเปติเยวาติ เวทิตโพฺพฯ

    Sāvanaṃ hāpetīti sabbena sabbaṃ kammavācāya anussāvanaṃ na karoti, ñattidutiyakamme dvikkhattuṃ ñattimeva ṭhapeti, ñatticatutthakamme catukkhattuṃ ñattimeva ṭhapeti; evaṃ anussāvanaṃ hāpeti . Yopi ñattidutiyakamme ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvā ekaṃ kammavācaṃ anussāvento akkharaṃ vā chaḍḍeti, padaṃ vā duruttaṃ karoti, ayampi anussāvanaṃ hāpetiyeva. Ñatticatutthakamme pana ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvā sakimeva vā dvikkhattuṃ vā kammavācāya anussāvanaṃ karontopi akkharaṃ vā padaṃ vā chaḍḍentopi duruttaṃ karontopi anussāvanaṃ hāpetiyevāti veditabbo.

    ทุรุตฺตํ กโรตีติ เอตฺถ ปน อยํ วินิจฺฉโย – โย หิ อญฺญสฺมิํ อกฺขเร วตฺตเพฺพ อญฺญํ วทติ, อยํ ทุรุตฺตํ กโรติ นามฯ ตสฺมา กมฺมวาจํ กโรเนฺตน ภิกฺขุนา ยฺวายํ –

    Duruttaṃ karotīti ettha pana ayaṃ vinicchayo – yo hi aññasmiṃ akkhare vattabbe aññaṃ vadati, ayaṃ duruttaṃ karoti nāma. Tasmā kammavācaṃ karontena bhikkhunā yvāyaṃ –

    ‘‘สิถิลํ ธนิตญฺจ ทีฆรสฺสํ, ครุกํ ลหุกญฺจ นิคฺคหิตํ;

    ‘‘Sithilaṃ dhanitañca dīgharassaṃ, garukaṃ lahukañca niggahitaṃ;

    สมฺพนฺธํ ววตฺถิตํ วิมุตฺตํ, ทสธา พฺยญฺชนพุทฺธิยา ปเภโท’’ติฯ

    Sambandhaṃ vavatthitaṃ vimuttaṃ, dasadhā byañjanabuddhiyā pabhedo’’ti.

    วุโตฺต, อยํ สุฎฺฐุ อุปลเกฺขตโพฺพฯ เอตฺถ หิ ‘‘สิถิลํ’’ นาม ปญฺจสุ วเคฺคสุ ปฐมตติยํฯ ‘‘ธนิตํ’’ นาม เตเสฺวว ทุติยจตุตฺถํฯ ‘‘ทีฆ’’นฺติ ทีเฆน กาเลน วตฺตพฺพํ อาการาทิฯ ‘‘รสฺส’’นฺติ ตโต อุปฑฺฒกาเลน วตฺตพฺพํ อการาทิฯ ‘‘ครุก’’นฺติ ทีฆเมวฯ ยํ วา อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตเตฺถรสฺส ยสฺส นกฺขมตีติ เอวํ สํโยคปรํ กตฺวา วุจฺจติฯ ‘‘ลหุก’’นฺติ รสฺสเมวฯ ยํ วา อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตเถรสฺส ยสฺส น ขมตีติ เอวํ อสํโยคปรํ กตฺวา วุจฺจติฯ ‘‘นิคฺคหิต’’นฺติ ยํ กรณานิ นิคฺคเหตฺวา อวิสฺสเชฺชตฺวา อวิวเฎน มุเขน สานุนาสิกํ กตฺวา วตฺตพฺพํฯ ‘‘สมฺพนฺธ’’นฺติ ยํ ปรปเทน สมฺพนฺธิตฺวา ‘‘ตุณฺหิสฺสา’’ติ วา ‘‘ตุณฺหสฺสา’’ติ วา วุจฺจติฯ ‘‘ววตฺถิต’’นฺติ ยํ ปรปเทน อสมฺพนฺธํ กตฺวา วิจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘ตุณฺหี อสฺสา’’ติ วา ‘‘ตุณฺห อสฺสา’’ติ วา วุจฺจติฯ ‘‘วิมุตฺต’’นฺติ ยํ กรณานิ อนิคฺคเหตฺวา วิสฺสเชฺชตฺวา วิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ อกตฺวา วุจฺจติฯ

    Vutto, ayaṃ suṭṭhu upalakkhetabbo. Ettha hi ‘‘sithilaṃ’’ nāma pañcasu vaggesu paṭhamatatiyaṃ. ‘‘Dhanitaṃ’’ nāma tesveva dutiyacatutthaṃ. ‘‘Dīgha’’nti dīghena kālena vattabbaṃ ākārādi. ‘‘Rassa’’nti tato upaḍḍhakālena vattabbaṃ akārādi. ‘‘Garuka’’nti dīghameva. Yaṃ vā āyasmato buddharakkhitattherassa yassa nakkhamatīti evaṃ saṃyogaparaṃ katvā vuccati. ‘‘Lahuka’’nti rassameva. Yaṃ vā āyasmato buddharakkhitatherassa yassa na khamatīti evaṃ asaṃyogaparaṃ katvā vuccati. ‘‘Niggahita’’nti yaṃ karaṇāni niggahetvā avissajjetvā avivaṭena mukhena sānunāsikaṃ katvā vattabbaṃ. ‘‘Sambandha’’nti yaṃ parapadena sambandhitvā ‘‘tuṇhissā’’ti vā ‘‘tuṇhassā’’ti vā vuccati. ‘‘Vavatthita’’nti yaṃ parapadena asambandhaṃ katvā vicchinditvā ‘‘tuṇhī assā’’ti vā ‘‘tuṇha assā’’ti vā vuccati. ‘‘Vimutta’’nti yaṃ karaṇāni aniggahetvā vissajjetvā vivaṭena mukhena anunāsikaṃ akatvā vuccati.

    ตตฺถ ‘‘สุณาตุ เม’’ติ วตฺตเพฺพ ต-การสฺส ถ-การํ กตฺวา ‘‘สุณาถุ เม’’ติ วจนํ สิถิลสฺส ธนิตกรณํ นามฯ ตถา ‘‘ปตฺตกลฺลํ, เอสา ญตฺตี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ปตฺถกลฺลํ, เอสา ญตฺถี’’ติอาทิวจนญฺจฯ ‘‘ภเนฺต สโงฺฆ’’ติ วตฺตเพฺพ ภ-การ ฆ-การานํ พ-การ ค-กาเร กตฺวา ‘‘พเนฺต สโงฺค’’ติ วจนํ ธนิตสฺส สิถิลกรณํ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม’’ติ วิวเฎน มุเขน วตฺตเพฺพ ปน ‘‘สุณํตุ เม’’ติ วา ‘‘เอสา ญตฺตี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘เอสํ ญตฺตี’’ติ วา อวิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ กตฺวา วจนํ วิมุตฺตสฺส นิคฺคหิตวจนํ นามฯ ‘‘ปตฺตกลฺล’’นฺติ อวิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ กตฺวา วตฺตเพฺพ ‘‘ปตฺตกลฺลา’’ติ วิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ อกตฺวา วจนํ นิคฺคหิตสฺส วิมุตฺตวจนํ นามฯ

    Tattha ‘‘suṇātu me’’ti vattabbe ta-kārassa tha-kāraṃ katvā ‘‘suṇāthu me’’ti vacanaṃ sithilassa dhanitakaraṇaṃ nāma. Tathā ‘‘pattakallaṃ, esā ñattī’’ti vattabbe ‘‘patthakallaṃ, esā ñatthī’’tiādivacanañca. ‘‘Bhante saṅgho’’ti vattabbe bha-kāra gha-kārānaṃ ba-kāra ga-kāre katvā ‘‘bante saṅgo’’ti vacanaṃ dhanitassa sithilakaraṇaṃ nāma. ‘‘Suṇātu me’’ti vivaṭena mukhena vattabbe pana ‘‘suṇaṃtu me’’ti vā ‘‘esā ñattī’’ti vattabbe ‘‘esaṃ ñattī’’ti vā avivaṭena mukhena anunāsikaṃ katvā vacanaṃ vimuttassa niggahitavacanaṃ nāma. ‘‘Pattakalla’’nti avivaṭena mukhena anunāsikaṃ katvā vattabbe ‘‘pattakallā’’ti vivaṭena mukhena anunāsikaṃ akatvā vacanaṃ niggahitassa vimuttavacanaṃ nāma.

    อิติ สิถิเล กตฺตเพฺพ ธนิตํ, ธนิเต กตฺตเพฺพ สิถิลํ, วิมุเตฺต กตฺตเพฺพ นิคฺคหิตํ, นิคฺคหิเต กตฺตเพฺพ วิมุตฺตนฺติ อิมานิ จตฺตาริ พฺยญฺชนานิ อโนฺตกมฺมวาจาย กมฺมํ ทูเสนฺติฯ เอวํ วทโนฺต หิ อญฺญสฺมิํ อกฺขเร วตฺตเพฺพ อญฺญํ วทติ, ทุรุตฺตํ กโรตีติ วุจฺจติฯ อิตเรสุ ปน ทีฆรสฺสาทีสุ ฉสุ พฺยญฺชเนสุ ทีฆฎฺฐาเน ทีฆเมว, รสฺสฎฺฐาเน จ รสฺสเมวาติ เอวํ ยถาฐาเน ตํ ตเทว อกฺขรํ ภาสเนฺตน อนุกฺกมาคตํ ปเวณิํ อวินาเสเนฺตน กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ สเจ ปน เอวํ อกตฺวา ทีเฆ วตฺตเพฺพ รสฺสํ, รเสฺส วา วตฺตเพฺพ ทีฆํ วทติ; ตถา ครุเก วตฺตเพฺพ ลหุกํ, ลหุเก วา วตฺตเพฺพ ครุกํ วทติ; สมฺพเนฺธ วา ปน วตฺตเพฺพ ววตฺถิตํ, ววตฺถิเต วา วตฺตเพฺพ สมฺพนฺธํ วทติ; เอวํ วุเตฺตปิ กมฺมวาจา น กุปฺปติฯ อิมานิ หิ ฉ พฺยญฺชนานิ กมฺมํ น โกเปนฺติฯ

    Iti sithile kattabbe dhanitaṃ, dhanite kattabbe sithilaṃ, vimutte kattabbe niggahitaṃ, niggahite kattabbe vimuttanti imāni cattāri byañjanāni antokammavācāya kammaṃ dūsenti. Evaṃ vadanto hi aññasmiṃ akkhare vattabbe aññaṃ vadati, duruttaṃ karotīti vuccati. Itaresu pana dīgharassādīsu chasu byañjanesu dīghaṭṭhāne dīghameva, rassaṭṭhāne ca rassamevāti evaṃ yathāṭhāne taṃ tadeva akkharaṃ bhāsantena anukkamāgataṃ paveṇiṃ avināsentena kammavācā kātabbā. Sace pana evaṃ akatvā dīghe vattabbe rassaṃ, rasse vā vattabbe dīghaṃ vadati; tathā garuke vattabbe lahukaṃ, lahuke vā vattabbe garukaṃ vadati; sambandhe vā pana vattabbe vavatthitaṃ, vavatthite vā vattabbe sambandhaṃ vadati; evaṃ vuttepi kammavācā na kuppati. Imāni hi cha byañjanāni kammaṃ na kopenti.

    ยํ ปน สุตฺตนฺติกเตฺถรา ‘‘ท-กาโร ต-การมาปชฺชติ, ต-กาโร ท-การมาปชฺชติ, จ-กาโร ช-การมาปชฺชติ, ช-กาโร จ-การมาปชฺชติ, ย-กาโร ก-การมาปชฺชติ, ก-กาโร ย-การมาปชฺชติ; ตสฺมา ท-การาทีสุ วตฺตเพฺพสุ ต-การาทิวจนํ น วิรุชฺฌตี’’ติ วทนฺติ, ตํ กมฺมวาจํ ปตฺวา น วฎฺฎติฯ ตสฺมา วินยธเรน เนว ท-กาโร ต-กาโร กาตโพฺพ…เป.… น ก-กาโร ย-กาโรฯ ยถาปาฬิยา นิรุตฺติํ โสเธตฺวา ทสวิธาย พฺยญฺชนนิรุตฺติยา วุตฺตโทเส ปริหรเนฺตน กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ อิตรถา หิ สาวนํ หาเปติ นามฯ

    Yaṃ pana suttantikattherā ‘‘da-kāro ta-kāramāpajjati, ta-kāro da-kāramāpajjati, ca-kāro ja-kāramāpajjati, ja-kāro ca-kāramāpajjati, ya-kāro ka-kāramāpajjati, ka-kāro ya-kāramāpajjati; tasmā da-kārādīsu vattabbesu ta-kārādivacanaṃ na virujjhatī’’ti vadanti, taṃ kammavācaṃ patvā na vaṭṭati. Tasmā vinayadharena neva da-kāro ta-kāro kātabbo…pe… na ka-kāro ya-kāro. Yathāpāḷiyā niruttiṃ sodhetvā dasavidhāya byañjananiruttiyā vuttadose pariharantena kammavācā kātabbā. Itarathā hi sāvanaṃ hāpeti nāma.

    อกาเล วา สาเวตีติ สาวนาย อกาเล อโนกาเส ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา ปฐมํเยว อนุสฺสาวนกมฺมํ กตฺวา ปจฺฉา ญตฺติํ ฐเปติฯ อิติ อิเมหิ ปญฺจหากาเรหิ อนุสฺสาวนโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ

    Akāle vā sāvetīti sāvanāya akāle anokāse ñattiṃ aṭṭhapetvā paṭhamaṃyeva anussāvanakammaṃ katvā pacchā ñattiṃ ṭhapeti. Iti imehi pañcahākārehi anussāvanato kammāni vipajjanti.

    ๔๘๖. สีมโต วิปตฺติยํ ปน อติขุทฺทกสีมา นาม ยา เอกวีสติ ภิกฺขู น คณฺหาติฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘ยตฺถ เอกวีสติ ภิกฺขู นิสีทิตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมา ยา เอวรูปา สีมา, อยํ สมฺมตาปิ อสมฺมตา, คามเขตฺตสทิสาว โหติ, ตตฺถ กตํ กมฺมํ กุปฺปติฯ เอส นโย เสสสีมาสุปิฯ เอตฺถ ปน อติมหตี นาม ยา เกสคฺคมเตฺตนาปิ ติโยชนํ อติกฺกาเมตฺวา สมฺมตา โหติฯ ขณฺฑนิมิตฺตา นาม อฆฎิตนิมิตฺตา วุจฺจติฯ ปุรตฺถิมาย ทิสาย นิมิตฺตํ กิเตฺตตฺวา อนุกฺกเมเนว ทกฺขิณาย ปจฺฉิมาย อุตฺตราย ทิสาย กิเตฺตตฺวา ปุน ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปุพฺพกิตฺติตํ นิมิตฺตํ ปฎิกิเตฺตตฺวาว ฐเปตุํ วฎฺฎติ; เอวํ อขณฺฑนิมิตฺตา โหติฯ สเจ ปน อนุกฺกเมน อาหริตฺวา อุตฺตราย ทิสาย นิมิตฺตํ กิเตฺตตฺวา ตเตฺถว ฐเปติ, ขณฺฑนิมิตฺตา โหติฯ อปราปิ ขณฺฑนิมิตฺตา นาม ยา อนิมิตฺตุปคํ ตจสารรุกฺขํ วา ขาณุกํ วา ปํสุปุญฺชวาลิกาปุญฺชานํ วา อญฺญตรํ อนฺตรา เอกํ นิมิตฺตํ กตฺวา สมฺมตา โหติฯ ฉายานิมิตฺตา นาม ยา ปพฺพตจฺฉายาทีนํ ยํกิญฺจิ ฉายํ นิมิตฺตํ กตฺวา สมฺมตา โหติฯ อนิมิตฺตา นาม ยา สเพฺพน สพฺพํ นิมิตฺตานิ อกิเตฺตตฺวา สมฺมตา โหติฯ

    486. Sīmato vipattiyaṃ pana atikhuddakasīmā nāma yā ekavīsati bhikkhū na gaṇhāti. Kurundiyaṃ pana ‘‘yattha ekavīsati bhikkhū nisīdituṃ na sakkontī’’ti vuttaṃ. Tasmā yā evarūpā sīmā, ayaṃ sammatāpi asammatā, gāmakhettasadisāva hoti, tattha kataṃ kammaṃ kuppati. Esa nayo sesasīmāsupi. Ettha pana atimahatī nāma yā kesaggamattenāpi tiyojanaṃ atikkāmetvā sammatā hoti. Khaṇḍanimittā nāma aghaṭitanimittā vuccati. Puratthimāya disāya nimittaṃ kittetvā anukkameneva dakkhiṇāya pacchimāya uttarāya disāya kittetvā puna puratthimāya disāya pubbakittitaṃ nimittaṃ paṭikittetvāva ṭhapetuṃ vaṭṭati; evaṃ akhaṇḍanimittā hoti. Sace pana anukkamena āharitvā uttarāya disāya nimittaṃ kittetvā tattheva ṭhapeti, khaṇḍanimittā hoti. Aparāpi khaṇḍanimittā nāma yā animittupagaṃ tacasārarukkhaṃ vā khāṇukaṃ vā paṃsupuñjavālikāpuñjānaṃ vā aññataraṃ antarā ekaṃ nimittaṃ katvā sammatā hoti. Chāyānimittā nāma yā pabbatacchāyādīnaṃ yaṃkiñci chāyaṃ nimittaṃ katvā sammatā hoti. Animittā nāma yā sabbena sabbaṃ nimittāni akittetvā sammatā hoti.

    พหิสีเม ฐิโต สีมํ สมฺมนฺนติ นาม นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา นิมิตฺตานํ พหิ ฐิโต สมฺมนฺนติฯ นทิยา สมุเทฺท ชาตสฺสเร สีมํ สมฺมนฺนตีติ เอเตสุ นทิอาทีสุ ยํ สมฺมนฺนติ, สา เอวํ สมฺมตาปิ ‘‘สพฺพา, ภิกฺขเว, นที อสีมา, สโพฺพ สมุโทฺท อสีโม, สโพฺพ ชาตสฺสโร อสีโม’’ติ (มหาว. ๑๔๗) วจนโต อสมฺมตาว โหติฯ สีมาย สีมํ สมฺภินฺทตีติ อตฺตโน สีมาย ปเรสํ สีมํ สมฺภินฺทติฯ อโชฺฌตฺถรตีติ อตฺตโน สีมาย ปเรสํ สีมํ อโชฺฌตฺถรติฯ ตตฺถ ยถา สเมฺภโท จ อโชฺฌตฺถรณญฺจ โหติ, ตํ สพฺพํ อุโปสถกฺขนฺธเก วุตฺตเมวฯ อิติ อิมา เอกาทสปิ สีมา อสีมา คามเขตฺตสทิสา เอว, ตาสุ นิสีทิตฺวา กตํ กมฺมํ กุปฺปติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิเมหิ เอกาทสหิ อากาเรหิ สีมโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺตี’’ติฯ

    Bahisīme ṭhito sīmaṃ sammannati nāma nimittāni kittetvā nimittānaṃ bahi ṭhito sammannati. Nadiyā samudde jātassare sīmaṃ sammannatīti etesu nadiādīsu yaṃ sammannati, sā evaṃ sammatāpi ‘‘sabbā, bhikkhave, nadī asīmā, sabbo samuddo asīmo, sabbo jātassaro asīmo’’ti (mahāva. 147) vacanato asammatāva hoti. Sīmāya sīmaṃ sambhindatīti attano sīmāya paresaṃ sīmaṃ sambhindati. Ajjhottharatīti attano sīmāya paresaṃ sīmaṃ ajjhottharati. Tattha yathā sambhedo ca ajjhottharaṇañca hoti, taṃ sabbaṃ uposathakkhandhake vuttameva. Iti imā ekādasapi sīmā asīmā gāmakhettasadisā eva, tāsu nisīditvā kataṃ kammaṃ kuppati. Tena vuttaṃ ‘‘imehi ekādasahi ākārehi sīmato kammāni vipajjantī’’ti.

    ๔๘๗-๔๘๘. ปริสโต กมฺมวิปตฺติยํ ปน กิญฺจิ อนุตฺตานํ นาม นตฺถิฯ ยมฺปิ ตตฺถ กมฺมปฺปตฺตฉนฺทารหลกฺขณํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตมฺปิ ปรโต ‘‘จตฺตาโร ภิกฺขู ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา’’ติอาทินา นเยน วุตฺตเมวฯ ตตฺถ ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตาติ จตุวคฺคกรเณ กเมฺม จตฺตาโร ปกตตฺตา อนุกฺขิตฺตา อนิสฺสาริตา ปริสุทฺธสีลา จตฺตาโร ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา กมฺมสฺส อรหา อนุจฺฉวิกา สามิโนฯ น เตหิ วินา ตํ กมฺมํ กยิรติ, น เตสํ ฉโนฺท วา ปาริสุทฺธิ วา เอติฯ อวเสสา ปน สเจปิ สหสฺสมตฺตา โหนฺติ, สเจ สมานสํวาสกา, สเพฺพ ฉนฺทารหาว โหนฺติฯ ฉนฺทปาริสุทฺธิํ ทตฺวา อาคจฺฉนฺตุ วา มา วา, กมฺมํ ปน ติฎฺฐติฯ ยสฺส ปน สโงฺฆ ปริวาสาทิกมฺมํ กโรติ, โส เนว กมฺมปฺปโตฺต, นาปิ ฉนฺทารโหฯ อปิจ ยสฺมา ตํ ปุคฺคลํ วตฺถุํ กตฺวา สโงฺฆ กมฺมํ กโรติ, ตสฺมา ‘‘กมฺมารโห’’ติ วุจฺจติฯ เสสกเมฺมสุปิ เอเสว นโยฯ

    487-488. Parisato kammavipattiyaṃ pana kiñci anuttānaṃ nāma natthi. Yampi tattha kammappattachandārahalakkhaṇaṃ vattabbaṃ siyā, tampi parato ‘‘cattāro bhikkhū pakatattā kammappattā’’tiādinā nayena vuttameva. Tattha pakatattā kammappattāti catuvaggakaraṇe kamme cattāro pakatattā anukkhittā anissāritā parisuddhasīlā cattāro bhikkhū kammappattā kammassa arahā anucchavikā sāmino. Na tehi vinā taṃ kammaṃ kayirati, na tesaṃ chando vā pārisuddhi vā eti. Avasesā pana sacepi sahassamattā honti, sace samānasaṃvāsakā, sabbe chandārahāva honti. Chandapārisuddhiṃ datvā āgacchantu vā mā vā, kammaṃ pana tiṭṭhati. Yassa pana saṅgho parivāsādikammaṃ karoti, so neva kammappatto, nāpi chandāraho. Apica yasmā taṃ puggalaṃ vatthuṃ katvā saṅgho kammaṃ karoti, tasmā ‘‘kammāraho’’ti vuccati. Sesakammesupi eseva nayo.

    ๔๘๙. ปุน จตฺตาริ กมฺมานีติอาทิโก นโย ปณฺฑกาทีนํ อวตฺถุภาวทสฺสนตฺถํ วุโตฺตฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ

    489. Puna cattāri kammānītiādiko nayo paṇḍakādīnaṃ avatthubhāvadassanatthaṃ vutto. Sesamettha uttānameva.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / ปริวารปาฬิ • Parivārapāḷi / ๑. กมฺมวโคฺค • 1. Kammavaggo

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / กมฺมวคฺควณฺณนา • Kammavaggavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / กมฺมวคฺควณฺณนา • Kammavaggavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / กมฺมวคฺควณฺณนา • Kammavaggavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / กมฺมวคฺควณฺณนา • Kammavaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact