Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๓. นนฺทวโคฺค
3. Nandavaggo
๑. กมฺมวิปากชสุตฺตวณฺณนา
1. Kammavipākajasuttavaṇṇanā
๒๑. นนฺทวคฺคสฺส ปฐเม อญฺญตโร ภิกฺขูติ นามโคเตฺตน อปากโฎ เอโก ขีณาสวภิกฺขุฯ โส กิร ราชคหวาสี กุลปุโตฺต โมคฺคลฺลานเตฺถเรน สํเวชิโต สํสารโทสํ ทิสฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา สีลานิ โสเธตฺวา จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา น จิรเสฺสว วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตสฺส อปรภาเค ขโร อาพาโธ อุปฺปชฺชิ, โส ปจฺจเวกฺขณาย อธิวาเสโนฺต วิหรติฯ ขีณาสวานญฺหิ เจตสิกทุกฺขํ นาม นตฺถิ, กายิกทุกฺขํ ปน โหติเยวฯ โส เอกทิวสํ ภควโต ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส นาติทูเร ฐาเน ทุกฺขํ อธิวาเสโนฺต ปลฺลเงฺกน นิสีทิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ภควโต อวิทูเร นิสิโนฺน โหตี’’ติอาทิฯ
21. Nandavaggassa paṭhame aññataro bhikkhūti nāmagottena apākaṭo eko khīṇāsavabhikkhu. So kira rājagahavāsī kulaputto moggallānattherena saṃvejito saṃsāradosaṃ disvā satthu santike pabbajitvā sīlāni sodhetvā catusaccakammaṭṭhānaṃ gahetvā na cirasseva vipassanaṃ ussukkāpetvā arahattaṃ pāpuṇi. Tassa aparabhāge kharo ābādho uppajji, so paccavekkhaṇāya adhivāsento viharati. Khīṇāsavānañhi cetasikadukkhaṃ nāma natthi, kāyikadukkhaṃ pana hotiyeva. So ekadivasaṃ bhagavato dhammaṃ desentassa nātidūre ṭhāne dukkhaṃ adhivāsento pallaṅkena nisīdi. Tena vuttaṃ ‘‘bhagavato avidūre nisinno hotī’’tiādi.
ตตฺถ ปลฺลงฺกนฺติ สมนฺตโต อูรุพทฺธาสนํฯ อาภุชิตฺวาติ พนฺธิตฺวาฯ อุชุํ กายํ ปณิธายาติ อุปริมํ สรีรํ อุชุกํ ฐเปตฺวา อฎฺฐารส ปิฎฺฐิกณฺฎเก โกฎิยา โกฎิํ ปฎิปาเทตฺวาฯ เอวญฺหิ นิสินฺนสฺส จมฺมมํสนฺหารูนิ น นมนฺติ, ตสฺมา โส ตถา นิสิโนฺน โหติฯ ปุราณกมฺมวิปากชนฺติ ปุเพฺพ กตสฺส กมฺมสฺส วิปากภาเวน ชาตํ, ปุราณกมฺมวิปาเก วา สุขทุกฺขปฺปกาเร วิปากวฎฺฎสมุทาเย ตเทกเทสภาเวน ชาตํฯ กิํ ตํ? ทุกฺขํฯ ปุราณกมฺมวิปากชนฺติ จ อิมินา ตสฺส อาพาธสฺส กมฺมสมุฎฺฐานตํ ทเสฺสโนฺต โอปกฺกมิกอุตุวิปริณามชาทิภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ ทุกฺขนฺติ ปจุรชเนหิ ขมิตุํ อสกฺกุเณยฺยํฯ ติพฺพนฺติ ติขิณํ, อภิภวิตฺวา ปวตฺติยา พหลํ วาฯ ขรนฺติ กกฺขฬํฯ กฎุกนฺติ อสาตํฯ อธิวาเสโนฺตติ อุปริ วาเสโนฺต สหโนฺต ขมโนฺตฯ
Tattha pallaṅkanti samantato ūrubaddhāsanaṃ. Ābhujitvāti bandhitvā. Ujuṃ kāyaṃ paṇidhāyāti uparimaṃ sarīraṃ ujukaṃ ṭhapetvā aṭṭhārasa piṭṭhikaṇṭake koṭiyā koṭiṃ paṭipādetvā. Evañhi nisinnassa cammamaṃsanhārūni na namanti, tasmā so tathā nisinno hoti. Purāṇakammavipākajanti pubbe katassa kammassa vipākabhāvena jātaṃ, purāṇakammavipāke vā sukhadukkhappakāre vipākavaṭṭasamudāye tadekadesabhāvena jātaṃ. Kiṃ taṃ? Dukkhaṃ. Purāṇakammavipākajanti ca iminā tassa ābādhassa kammasamuṭṭhānataṃ dassento opakkamikautuvipariṇāmajādibhāvaṃ paṭikkhipati. Dukkhanti pacurajanehi khamituṃ asakkuṇeyyaṃ. Tibbanti tikhiṇaṃ, abhibhavitvā pavattiyā bahalaṃ vā. Kharanti kakkhaḷaṃ. Kaṭukanti asātaṃ. Adhivāsentoti upari vāsento sahanto khamanto.
สโต สมฺปชาโนติ เวทนาปริคฺคาหกานํ สติสมฺปชญฺญานํ วเสน สติมา สมฺปชานโนฺต จฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อยํ เวทนา นาม หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจา, อนิฎฺฐารมฺมณาทิปจฺจเย ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนตฺตา ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนา, อุปฺปชฺชิตฺวา เอกเนฺตน ภิชฺชนสภาวตฺตา ขยธมฺมา วยธมฺมา วิราคธมฺมา นิโรธธมฺมา’’ติ เวทนาย อนิจฺจตาสลฺลกฺขณวเสน สโตการิตาย สโต , อวิปรีตสภาวปฎิวิชฺฌนวเสน สมฺปชาโน จ หุตฺวาฯ อถ วา สติเวปุลฺลปตฺติยา สพฺพเตฺถว กายเวทนาจิตฺตธเมฺมสุ สุฎฺฐุ อุปฎฺฐิตสติตาย สโต, ตถา ปญฺญาเวปุลฺลปฺปตฺติยา ปริคฺคหิตสงฺขารตาย สมฺปชาโนฯ อวิหญฺญมาโนติ ‘‘อสฺสุตวา, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน อญฺญตรญฺญตเรน ทุกฺขธเมฺมน ผุโฎฺฐ สมาโน โสจติ กิลมติ ปริเทวติ อุรตฺตาฬิํ กนฺทติ สโมฺมหํ อาปชฺชตี’’ติ วุตฺตนเยน อนฺธปุถุชฺชโน วิย น วิหญฺญมาโน มเคฺคเนว สมุคฺฆาติตตฺตา เจโตทุกฺขํ อนุปฺปาเทโนฺต เกวลํ กมฺมวิปากชํ สรีรทุกฺขํ อธิวาเสโนฺต สมาปตฺติํ สมาปโนฺน วิย นิสิโนฺน โหติฯ อทฺทสาติ ตํ อายสฺมนฺตํ อธิวาสนขนฺติยา ตถา นิสินฺนํ อทฺทกฺขิฯ
Sato sampajānoti vedanāpariggāhakānaṃ satisampajaññānaṃ vasena satimā sampajānanto ca. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘ayaṃ vedanā nāma hutvā abhāvaṭṭhena aniccā, aniṭṭhārammaṇādipaccaye paṭicca uppannattā paṭiccasamuppannā, uppajjitvā ekantena bhijjanasabhāvattā khayadhammā vayadhammā virāgadhammā nirodhadhammā’’ti vedanāya aniccatāsallakkhaṇavasena satokāritāya sato, aviparītasabhāvapaṭivijjhanavasena sampajāno ca hutvā. Atha vā sativepullapattiyā sabbattheva kāyavedanācittadhammesu suṭṭhu upaṭṭhitasatitāya sato, tathā paññāvepullappattiyā pariggahitasaṅkhāratāya sampajāno. Avihaññamānoti ‘‘assutavā, bhikkhave, puthujjano aññataraññatarena dukkhadhammena phuṭṭho samāno socati kilamati paridevati urattāḷiṃ kandati sammohaṃ āpajjatī’’ti vuttanayena andhaputhujjano viya na vihaññamāno maggeneva samugghātitattā cetodukkhaṃ anuppādento kevalaṃ kammavipākajaṃ sarīradukkhaṃ adhivāsento samāpattiṃ samāpanno viya nisinno hoti. Addasāti taṃ āyasmantaṃ adhivāsanakhantiyā tathā nisinnaṃ addakkhi.
เอตมตฺถนฺติ เอตํ ตาทิสสฺสปิ โรคสฺส เวชฺชาทีหิ ติกิจฺฉนตฺถํ อนุสฺสุกฺกาปชฺชนการณํ ขีณาสวานํ โลกธเมฺมหิ อนุปเลปิตสงฺขาตํ อตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ สงฺขตธมฺมานํ เยหิ เกหิจิ ทุกฺขธเมฺมหิ อวิฆาตปตฺติวิภาวนํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthanti etaṃ tādisassapi rogassa vejjādīhi tikicchanatthaṃ anussukkāpajjanakāraṇaṃ khīṇāsavānaṃ lokadhammehi anupalepitasaṅkhātaṃ atthaṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti imaṃ saṅkhatadhammānaṃ yehi kehici dukkhadhammehi avighātapattivibhāvanaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ สพฺพกมฺมชหสฺสาติ ปหีนสพฺพกมฺมสฺสฯ อคฺคมคฺคสฺส หิ อุปฺปนฺนกาลโต ปฎฺฐาย อรหโต สพฺพานิ กุสลากุสลกมฺมานิ ปหีนานิ นาม โหนฺติ ปฎิสนฺธิํ ทาตุํ อสมตฺถภาวโต, ยโต อริยมคฺคญาณํ กมฺมกฺขยกรนฺติ วุจฺจติฯ ภิกฺขุโนติ ภินฺนกิเลสตาย ภิกฺขุโนฯ ธุนมานสฺส ปุเร กตํ รชนฺติ อรหตฺตปฺปตฺติโต ปุเพฺพ กตํ ราครชาทิมิสฺสตาย รชนฺติ ลทฺธนามํ ทุกฺขเวทนียํ กมฺมํ วิปากปฎิสํเวทเนน ตํ ธุนนฺตสฺส วิทฺธํเสนฺตสฺส, อรหตฺตปฺปตฺติยา ปรโต ปน สาวชฺชกิริยาย สมฺภโวเยว นตฺถิ, อนวชฺชกิริยา จ ภวมูลสฺส สมุจฺฉินฺนตฺตา สมุจฺฉินฺนมูลตาย ปุปฺผํ วิย ผลทานสมตฺถตาย อภาวโต กิริยมตฺตาว โหติฯ
Tattha sabbakammajahassāti pahīnasabbakammassa. Aggamaggassa hi uppannakālato paṭṭhāya arahato sabbāni kusalākusalakammāni pahīnāni nāma honti paṭisandhiṃ dātuṃ asamatthabhāvato, yato ariyamaggañāṇaṃ kammakkhayakaranti vuccati. Bhikkhunoti bhinnakilesatāya bhikkhuno. Dhunamānassa pure kataṃ rajanti arahattappattito pubbe kataṃ rāgarajādimissatāya rajanti laddhanāmaṃ dukkhavedanīyaṃ kammaṃ vipākapaṭisaṃvedanena taṃ dhunantassa viddhaṃsentassa, arahattappattiyā parato pana sāvajjakiriyāya sambhavoyeva natthi, anavajjakiriyā ca bhavamūlassa samucchinnattā samucchinnamūlatāya pupphaṃ viya phaladānasamatthatāya abhāvato kiriyamattāva hoti.
อมมสฺสาติ รูปาทีสุ กตฺถจิ มมนฺติ คหณาภาวโต อมมสฺส มมงฺการรหิตสฺสฯ ยสฺส หิ มมงฺกาโร อตฺถิ, โส อตฺตสิเนเหน เวชฺชาทีหิ สรีรํ ปฎิชคฺคาเปติฯ อรหา ปน อมโม, ตสฺมา โส สรีรชคฺคเนปิ อุทาสีนธาตุโกวฯ ฐิตสฺสาติ จตุพฺพิธมฺปิ โอฆํ ตริตฺวา นิพฺพานถเล ฐิตสฺส, ปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน วา สนฺธาวนสฺส อภาเวน ฐิตสฺส ฯ เสกฺขปุถุชฺชนา หิ กิเลสาภิสงฺขารานํ อปฺปหีนตฺตา จุติปฎิสนฺธิวเสน สํสาเร ธาวนฺติ นาม, อรหา ปน ตทภาวโต ฐิโตติ วุจฺจติฯ อถ วา ทสวิเธ ขีณาสวสงฺขาเต อริยธเมฺม ฐิตสฺสฯ ตาทิโนติ ‘‘ปฎิกูเล อปฺปฎิกูลสญฺญี วิหรตี’’ติอาทินา (ปฎิ. ม. ๓.๑๗) นเยน วุตฺตาย ปญฺจวิธาย อริยิทฺธิยา อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ อกมฺปนิยาย ฉฬงฺคุเปกฺขาย จ สมนฺนาคเตน อิฎฺฐาทีสุ เอกสทิสตาสงฺขาเตน ตาทีภาเวน ตาทิโนฯ อโตฺถ นตฺถิ ชนํ ลเปตเวติ ‘‘มม เภสชฺชาทีนิ กโรถา’’ติ ชนํ ลปิตุํ กเถตุํ ปโยชนํ นตฺถิ สรีเร นิรเปกฺขภาวโตฯ ปณฺฑุปลาโส วิย หิ พนฺธนา ปวุโตฺต สยเมวายํ กาโย ภิชฺชิตฺวา ปตตูติ ขีณาสวานํ อชฺฌาสโยฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Amamassāti rūpādīsu katthaci mamanti gahaṇābhāvato amamassa mamaṅkārarahitassa. Yassa hi mamaṅkāro atthi, so attasinehena vejjādīhi sarīraṃ paṭijaggāpeti. Arahā pana amamo, tasmā so sarīrajagganepi udāsīnadhātukova. Ṭhitassāti catubbidhampi oghaṃ taritvā nibbānathale ṭhitassa, paṭisandhiggahaṇavasena vā sandhāvanassa abhāvena ṭhitassa . Sekkhaputhujjanā hi kilesābhisaṅkhārānaṃ appahīnattā cutipaṭisandhivasena saṃsāre dhāvanti nāma, arahā pana tadabhāvato ṭhitoti vuccati. Atha vā dasavidhe khīṇāsavasaṅkhāte ariyadhamme ṭhitassa. Tādinoti ‘‘paṭikūle appaṭikūlasaññī viharatī’’tiādinā (paṭi. ma. 3.17) nayena vuttāya pañcavidhāya ariyiddhiyā aṭṭhahi lokadhammehi akampaniyāya chaḷaṅgupekkhāya ca samannāgatena iṭṭhādīsu ekasadisatāsaṅkhātena tādībhāvena tādino. Attho natthi janaṃ lapetaveti ‘‘mama bhesajjādīni karothā’’ti janaṃ lapituṃ kathetuṃ payojanaṃ natthi sarīre nirapekkhabhāvato. Paṇḍupalāso viya hi bandhanā pavutto sayamevāyaṃ kāyo bhijjitvā patatūti khīṇāsavānaṃ ajjhāsayo. Vuttañhetaṃ –
‘‘นาภิกงฺขามิ มรณํ, นาภิกงฺขามิ ชีวิตํ;
‘‘Nābhikaṅkhāmi maraṇaṃ, nābhikaṅkhāmi jīvitaṃ;
กาลญฺจ ปฎิกงฺขามิ, นิพฺพิสํ ภตโก ยถา’’ติฯ (เถรคา. ๖๐๖);
Kālañca paṭikaṅkhāmi, nibbisaṃ bhatako yathā’’ti. (theragā. 606);
อถ วา ยํกิญฺจิ นิมิตฺตํ ทเสฺสตฺวา ‘‘กิํ อยฺยสฺส อิจฺฉิตพฺพ’’นฺติ ชนํ ลเปตเว ปจฺจเยหิ นิมนฺตนวเสน ลปาเปตุํ ขีณาสวสฺส อโตฺถ นตฺถิ ตาทิสสฺส มิจฺฉาชีวสฺส มเคฺคเนว สมุคฺฆาติตตฺตาติ อโตฺถฯ อิติ ภควา ‘‘กิสฺสายํ เถโร อตฺตโน โรคํ เวเชฺชหิ อติกิจฺฉาเปตฺวา ภควโต อวิทูเร นิสีทตี’’ติ จิเนฺตนฺตานํ ตสฺส อติกิจฺฉาปเน การณํ ปกาเสสิฯ
Atha vā yaṃkiñci nimittaṃ dassetvā ‘‘kiṃ ayyassa icchitabba’’nti janaṃ lapetave paccayehi nimantanavasena lapāpetuṃ khīṇāsavassa attho natthi tādisassa micchājīvassa maggeneva samugghātitattāti attho. Iti bhagavā ‘‘kissāyaṃ thero attano rogaṃ vejjehi atikicchāpetvā bhagavato avidūre nisīdatī’’ti cintentānaṃ tassa atikicchāpane kāraṇaṃ pakāsesi.
ปฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๑. กมฺมวิปากชสุตฺตํ • 1. Kammavipākajasuttaṃ