Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๑๘] ๘. กณเวรชาตกวณฺณนา
[318] 8. Kaṇaverajātakavaṇṇanā
ยํ ตํ วสนฺต สมเยติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปุราณทุติยิกาปโลภนํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ อินฺทฺริยชาตเก (ชา. ๑.๘.๖๐ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ สตฺถา ปน ตํ ภิกฺขุํ ‘‘ปุเพฺพ ตฺวํ ภิกฺขุ เอตํ นิสฺสาย อสินา สีสเจฺฉทํ ปฎิลภี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Yaṃ taṃ vasanta samayeti idaṃ satthā jetavane viharanto purāṇadutiyikāpalobhanaṃ ārabbha kathesi. Vatthu indriyajātake (jā. 1.8.60 ādayo) āvi bhavissati. Satthā pana taṃ bhikkhuṃ ‘‘pubbe tvaṃ bhikkhu etaṃ nissāya asinā sīsacchedaṃ paṭilabhī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กาสิคามเก เอกสฺส คหปติกสฺส ฆเร โจรนกฺขเตฺตน ชาโต วยปฺปโตฺต โจรกมฺมํ กตฺวา ชีวิกํ กเปฺปโนฺต โลเก ปากโฎ อโหสิ สูโร นาคพโล, โกจิ นํ คณฺหิตุํ นาสกฺขิฯ โส เอกทิวสํ เอกสฺมิํ เสฎฺฐิฆเร สนฺธิํ ฉินฺทิตฺวา พหุํ ธนํ อวหริฯ นาครา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, เอโก มหาโจโร นครํ วิลุมฺปติ, ตํ คณฺหาเปถา’’ติ วทิํสุฯ ราชา ตสฺส คหณตฺถาย นครคุตฺติกํ อาณาเปสิฯ โส รตฺติภาเค ตตฺถ ตตฺถ วคฺคพนฺธเนน มนุเสฺส ฐเปตฺวา ตํ สโหฑฺฒํ คาหาเปตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘สีสมสฺส ฉินฺทา’’ติ นครคุตฺติกเญฺญว อาณาเปสิฯ นครคุตฺติโก ตํ ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธาเปตฺวา คีวายสฺส รตฺตกณวีรมาลํ ลเคฺคตฺวา สีเส อิฎฺฐกจุณฺณํ โอกิริตฺวา จตุเกฺก จตุเกฺก กสาหิ ตาฬาเปโนฺต ขรสฺสเรน ปณเวน อาฆาตนํ เนติฯ ‘‘อิมสฺมิํ กิร นคเร วิโลปการโก โจโร คหิโต’’ติ สกลนครํ สงฺขุภิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kāsigāmake ekassa gahapatikassa ghare coranakkhattena jāto vayappatto corakammaṃ katvā jīvikaṃ kappento loke pākaṭo ahosi sūro nāgabalo, koci naṃ gaṇhituṃ nāsakkhi. So ekadivasaṃ ekasmiṃ seṭṭhighare sandhiṃ chinditvā bahuṃ dhanaṃ avahari. Nāgarā rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, eko mahācoro nagaraṃ vilumpati, taṃ gaṇhāpethā’’ti vadiṃsu. Rājā tassa gahaṇatthāya nagaraguttikaṃ āṇāpesi. So rattibhāge tattha tattha vaggabandhanena manusse ṭhapetvā taṃ sahoḍḍhaṃ gāhāpetvā rañño ārocesi. Rājā ‘‘sīsamassa chindā’’ti nagaraguttikaññeva āṇāpesi. Nagaraguttiko taṃ pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhāpetvā gīvāyassa rattakaṇavīramālaṃ laggetvā sīse iṭṭhakacuṇṇaṃ okiritvā catukke catukke kasāhi tāḷāpento kharassarena paṇavena āghātanaṃ neti. ‘‘Imasmiṃ kira nagare vilopakārako coro gahito’’ti sakalanagaraṃ saṅkhubhi.
ตทา จ พาราณสิยํ สหสฺสํ คณฺหนฺตี สามา นาม คณิกา โหติ ราชวลฺลภา ปญฺจสตวณฺณทาสีปริวาราฯ สา ปาสาทตเล วาตปานํ วิวริตฺวา ฐิตา ตํ นียมานํ ปสฺสิฯ โส ปน อภิรูโป ปาสาทิโก อติวิย โสภคฺคปฺปโตฺต เทววโณฺณ สเพฺพสํ มตฺถกมตฺถเกน ปญฺญายติฯ สามา ตํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา ‘‘เกน นุ โข อุปาเยนาหํ อิมํ ปุริสํ อตฺตโน สามิกํ กเรยฺย’’นฺติ จินฺตยนฺตี ‘‘อเตฺถโก อุปาโย’’ติ อตฺตโน อตฺถจริกาย เอกิสฺสา หเตฺถ นครคุตฺติกสฺส สหสฺสํ เปเสสิ ‘‘อยํ โจโร สามาย ภาตา, อญฺญตฺร สามาย อโญฺญ เอตสฺส อวสฺสโย นตฺถิ, ตุเมฺห กิร อิทํ สหสฺสํ คเหตฺวา เอตํ วิสฺสเชฺชถา’’ติ ฯ สา คนฺตฺวา ตถา อกาสิฯ นครคุตฺติโก ‘‘อยํ โจโร ปากโฎ, น สกฺกา เอตํ วิสฺสเชฺชตุํ, อญฺญํ ปน มนุสฺสํ ลภิตฺวา อิมํ ปฎิจฺฉนฺนยานเก นิสีทาเปตฺวา เปเสตุํ สกฺกา’’ติ อาหฯ สา คนฺตฺวา ตสฺสา อาโรเจสิฯ
Tadā ca bārāṇasiyaṃ sahassaṃ gaṇhantī sāmā nāma gaṇikā hoti rājavallabhā pañcasatavaṇṇadāsīparivārā. Sā pāsādatale vātapānaṃ vivaritvā ṭhitā taṃ nīyamānaṃ passi. So pana abhirūpo pāsādiko ativiya sobhaggappatto devavaṇṇo sabbesaṃ matthakamatthakena paññāyati. Sāmā taṃ disvā paṭibaddhacittā hutvā ‘‘kena nu kho upāyenāhaṃ imaṃ purisaṃ attano sāmikaṃ kareyya’’nti cintayantī ‘‘attheko upāyo’’ti attano atthacarikāya ekissā hatthe nagaraguttikassa sahassaṃ pesesi ‘‘ayaṃ coro sāmāya bhātā, aññatra sāmāya añño etassa avassayo natthi, tumhe kira idaṃ sahassaṃ gahetvā etaṃ vissajjethā’’ti . Sā gantvā tathā akāsi. Nagaraguttiko ‘‘ayaṃ coro pākaṭo, na sakkā etaṃ vissajjetuṃ, aññaṃ pana manussaṃ labhitvā imaṃ paṭicchannayānake nisīdāpetvā pesetuṃ sakkā’’ti āha. Sā gantvā tassā ārocesi.
ตทา ปเนโก เสฎฺฐิปุโตฺต สามาย ปฎิพทฺธจิโตฺต เทวสิกํ สหสฺสํ เทติฯ โส ตํ ทิวสมฺปิ สูริยตฺถงฺคมนเวลาย สหสฺสํ คณฺหิตฺวา ตํ ฆรํ อคมาสิฯ สามาปิ สหสฺสภณฺฑิกํ คเหตฺวา อูรูสุ ฐเปตฺวา ปโรทนฺตี นิสินฺนา โหติฯ ‘‘กิํ เอต’’นฺติ จ วุตฺตา ‘‘สามิ, อยํ โจโร มม ภาตา, ‘อหํ นีจกมฺมํ กโรมี’ติ มยฺหํ สนฺติกํ น เอติ, นครคุตฺติกสฺส ปหิตํ ‘สหสฺสํ ลภมาโน วิสฺสเชฺชสฺสามิ น’นฺติ สาสนํ เปเสสิฯ อิทานิ อิมํ สหสฺสํ อาทาย นครคุตฺติกสฺส สนฺติกํ คจฺฉนฺตํ น ลภามี’’ติ อาหฯ โส ตสฺสา ปฎิพทฺธจิตฺตตาย ‘‘อหํ คมิสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ ตยา อาภตเมว คเหตฺวา คจฺฉาหี’’ติฯ โส ตํ คเหตฺวา นครคุตฺติกสฺส เคหํ คญฺฉิฯ โส ตํ เสฎฺฐิปุตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน ฐเปตฺวา โจรํ ปฎิจฺฉนฺนยานเก นิสีทาเปตฺวา สามาย ปหิณิตฺวา ‘‘อยํ โจโร รเฎฺฐ ปากโฎ, ตมนฺธการํ ตาว โหตุ, อถ นํ มนุสฺสฺสานํ ปฎิสลฺลีนเวลาย ฆาตาเปสฺสามี’’ติ อปเทสํ กตฺวา มุหุตฺตํ วีตินาเมตฺวา มนุเสฺสสุ ปฎิสลฺลีเนสุ เสฎฺฐิปุตฺตํ มหเนฺตนารเกฺขน อาฆาตนํ เนตฺวา อสินา สีสํ ฉินฺทิตฺวา สรีรํ สูเล อาโรเปตฺวา นครํ ปาวิสิฯ
Tadā paneko seṭṭhiputto sāmāya paṭibaddhacitto devasikaṃ sahassaṃ deti. So taṃ divasampi sūriyatthaṅgamanavelāya sahassaṃ gaṇhitvā taṃ gharaṃ agamāsi. Sāmāpi sahassabhaṇḍikaṃ gahetvā ūrūsu ṭhapetvā parodantī nisinnā hoti. ‘‘Kiṃ eta’’nti ca vuttā ‘‘sāmi, ayaṃ coro mama bhātā, ‘ahaṃ nīcakammaṃ karomī’ti mayhaṃ santikaṃ na eti, nagaraguttikassa pahitaṃ ‘sahassaṃ labhamāno vissajjessāmi na’nti sāsanaṃ pesesi. Idāni imaṃ sahassaṃ ādāya nagaraguttikassa santikaṃ gacchantaṃ na labhāmī’’ti āha. So tassā paṭibaddhacittatāya ‘‘ahaṃ gamissāmī’’ti āha. ‘‘Tena hi tayā ābhatameva gahetvā gacchāhī’’ti. So taṃ gahetvā nagaraguttikassa gehaṃ gañchi. So taṃ seṭṭhiputtaṃ paṭicchannaṭṭhāne ṭhapetvā coraṃ paṭicchannayānake nisīdāpetvā sāmāya pahiṇitvā ‘‘ayaṃ coro raṭṭhe pākaṭo, tamandhakāraṃ tāva hotu, atha naṃ manusssānaṃ paṭisallīnavelāya ghātāpessāmī’’ti apadesaṃ katvā muhuttaṃ vītināmetvā manussesu paṭisallīnesu seṭṭhiputtaṃ mahantenārakkhena āghātanaṃ netvā asinā sīsaṃ chinditvā sarīraṃ sūle āropetvā nagaraṃ pāvisi.
ตโต ปฎฺฐาย สามา อเญฺญสํ หตฺถโต กิญฺจิ น คณฺหาติ, เตเนว สทฺธิํ อภิรมมานา วิจรติฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘สเจ อยํ อญฺญสฺมิํ ปฎิพทฺธจิตฺตา ภวิสฺสติ, มมฺปิ มาราเปตฺวา เตน สทฺธิํ อภิรมิสฺสติ, อจฺจนฺตํ มิตฺตทุพฺภินี เอสา, มยา อิธ อวสิตฺวา ขิปฺปํ ปลายิตุํ วฎฺฎติ, คจฺฉโนฺต จ ปน ตุจฺฉหโตฺถ อคนฺตฺวา เอติสฺสา อาภรณภณฺฑํ คเหตฺวา คจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอกสฺมิํ ทิวเส ตํ อาห – ‘‘ภเทฺท, มยํ ปญฺชเร ปกฺขิตฺตกุกฺกุฎา วิย นิจฺจํ ฆเรเยว โหม, เอกทิวสํ อุยฺยานกีฬํ กริสฺสามา’’ติฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ขาทนียโภชนียาทิํ สพฺพํ ปฎิยาเทตฺวา สพฺพาภรณปฎิมณฺฑิตา เตน สทฺธิํ ปฎิจฺฉนฺนยาเน นิสีทิตฺวา อุยฺยานํ อคมาสิฯ โส ตตฺถ ตาย สทฺธิํ กีฬโนฺต ‘‘อิทานิ มยฺหํ ปลายิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตาย สทฺธิํ กิเลสรติยา รมิตุกาโม วิย เอกํ กณวีรคจฺฉนฺตรํ ปวิสิตฺวา ตํ อาลิงฺคโนฺต วิย นิปฺปีเฬตฺวา วิสญฺญํ กตฺวา ปาเตตฺวา สพฺพาภรณานิ โอมุญฺจิตฺวา ตสฺสาเยว อุตฺตราสเงฺคน พนฺธิตฺวา ภณฺฑิกํ ขเนฺธ ฐเปตฺวา อุยฺยานวติํ ลงฺฆิตฺวา ปกฺกามิฯ
Tato paṭṭhāya sāmā aññesaṃ hatthato kiñci na gaṇhāti, teneva saddhiṃ abhiramamānā vicarati. So cintesi ‘‘sace ayaṃ aññasmiṃ paṭibaddhacittā bhavissati, mampi mārāpetvā tena saddhiṃ abhiramissati, accantaṃ mittadubbhinī esā, mayā idha avasitvā khippaṃ palāyituṃ vaṭṭati, gacchanto ca pana tucchahattho agantvā etissā ābharaṇabhaṇḍaṃ gahetvā gacchissāmī’’ti cintetvā ekasmiṃ divase taṃ āha – ‘‘bhadde, mayaṃ pañjare pakkhittakukkuṭā viya niccaṃ ghareyeva homa, ekadivasaṃ uyyānakīḷaṃ karissāmā’’ti. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā khādanīyabhojanīyādiṃ sabbaṃ paṭiyādetvā sabbābharaṇapaṭimaṇḍitā tena saddhiṃ paṭicchannayāne nisīditvā uyyānaṃ agamāsi. So tattha tāya saddhiṃ kīḷanto ‘‘idāni mayhaṃ palāyituṃ vaṭṭatī’’ti tāya saddhiṃ kilesaratiyā ramitukāmo viya ekaṃ kaṇavīragacchantaraṃ pavisitvā taṃ āliṅganto viya nippīḷetvā visaññaṃ katvā pātetvā sabbābharaṇāni omuñcitvā tassāyeva uttarāsaṅgena bandhitvā bhaṇḍikaṃ khandhe ṭhapetvā uyyānavatiṃ laṅghitvā pakkāmi.
สาปิ ปฎิลทฺธสญฺญา อุฎฺฐาย ปริจาริกานํ สนฺติกํ อาคนฺตฺวา ‘‘อยฺยปุโตฺต กห’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น ชานาม, อเยฺย’’ติฯ ‘‘มํ มตาติ สญฺญาย ภายิตฺวา ปลาโต ภวิสฺสตี’’ติ อนตฺตมนา หุตฺวา ตโตเยว เคหํ คนฺตฺวา ‘‘มม ปิยสามิกสฺส อทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาเยว อลงฺกตสยเน น สยิสฺสามี’’ติ ภูมิยํ นิปชฺชิฯ ตโต ปฎฺฐาย มนาปํ สาฎกํ น นิวาเสติ, เทฺว ภตฺตานิ น ภุญฺชติ, คนฺธมาลาทีนิ น ปฎิเสวติ, ‘‘เยน เกนจิ อุปาเยน อยฺยปุตฺตํ ปริเยสิตฺวา ปโกฺกสาเปสฺสามี’’ติ นเฎ ปโกฺกสาเปตฺวา สหสฺสํ อทาสิฯ ‘‘กิํ กโรม, อเยฺย’’ติ วุเตฺต ‘‘ตุมฺหากํ อคมนฎฺฐานํ นาม นตฺถิ, ตุเมฺห คามนิคมราชธานิโย จรนฺตา สมชฺชํ กตฺวา สมชฺชมณฺฑเล ปฐมเมว อิมํ คีตํ คาเยยฺยาถา’’ติ นเฎ สิกฺขาเปนฺตี ปฐมํ คาถํ วตฺวา ‘‘ตุเมฺหหิ อิมสฺมิํ คีตเก คีเต สเจ อยฺยปุโตฺต ตสฺมิํ ปริสนฺตเร ภวิสฺสติ, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กเถสฺสติ, อถสฺส มม อโรคภาวํ กเถตฺวา ตํ อาทาย อาคเจฺฉยฺยาถ, โน เจ อาคจฺฉติ, สาสนํ เปเสยฺยาถา’’ติ ปริพฺพยํ ทตฺวา นเฎ อุโยฺยเชสิฯ เต พาราณสิโต นิกฺขมิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ สมชฺชํ กโรนฺตา เอกํ ปจฺจนฺตคามกํ อคมิํสุฯ โสปิ โจโร ปลายิตฺวา ตตฺถ วสติฯ เต ตตฺถ สมชฺชํ กโรนฺตา ปฐมเมว อิมํ คีตกํ คายิํสุ –
Sāpi paṭiladdhasaññā uṭṭhāya paricārikānaṃ santikaṃ āgantvā ‘‘ayyaputto kaha’’nti pucchi. ‘‘Na jānāma, ayye’’ti. ‘‘Maṃ matāti saññāya bhāyitvā palāto bhavissatī’’ti anattamanā hutvā tatoyeva gehaṃ gantvā ‘‘mama piyasāmikassa adiṭṭhakālato paṭṭhāyeva alaṅkatasayane na sayissāmī’’ti bhūmiyaṃ nipajji. Tato paṭṭhāya manāpaṃ sāṭakaṃ na nivāseti, dve bhattāni na bhuñjati, gandhamālādīni na paṭisevati, ‘‘yena kenaci upāyena ayyaputtaṃ pariyesitvā pakkosāpessāmī’’ti naṭe pakkosāpetvā sahassaṃ adāsi. ‘‘Kiṃ karoma, ayye’’ti vutte ‘‘tumhākaṃ agamanaṭṭhānaṃ nāma natthi, tumhe gāmanigamarājadhāniyo carantā samajjaṃ katvā samajjamaṇḍale paṭhamameva imaṃ gītaṃ gāyeyyāthā’’ti naṭe sikkhāpentī paṭhamaṃ gāthaṃ vatvā ‘‘tumhehi imasmiṃ gītake gīte sace ayyaputto tasmiṃ parisantare bhavissati, tumhehi saddhiṃ kathessati, athassa mama arogabhāvaṃ kathetvā taṃ ādāya āgaccheyyātha, no ce āgacchati, sāsanaṃ peseyyāthā’’ti paribbayaṃ datvā naṭe uyyojesi. Te bārāṇasito nikkhamitvā tattha tattha samajjaṃ karontā ekaṃ paccantagāmakaṃ agamiṃsu. Sopi coro palāyitvā tattha vasati. Te tattha samajjaṃ karontā paṭhamameva imaṃ gītakaṃ gāyiṃsu –
๖๙.
69.
‘‘ยํ ตํ วสนฺตสมเย, กณเวเรสุ ภาณุสุ;
‘‘Yaṃ taṃ vasantasamaye, kaṇaveresu bhāṇusu;
สามํ พาหาย ปีเฬสิ, สา ตํ อาโรคฺยมพฺรวี’’ติฯ
Sāmaṃ bāhāya pīḷesi, sā taṃ ārogyamabravī’’ti.
ตตฺถ กณเวเรสูติ กรวีเรสุฯ ภาณุสูติ รตฺตวณฺณานํ ปุปฺผานํ ปภาย สมฺปเนฺนสุฯ สามนฺติ เอวํนามิกํฯ ปีเฬสีติ กิเลสรติยา รมิตุกาโม วิย อาลิงฺคโนฺต ปีเฬสิฯ สา ตนฺติ สา สามา อโรคา, ตฺวํ ปน ‘‘สา มตา’’ติ สญฺญาย ภีโต ปลายสิ, สา อตฺตโน อาโรคฺยํ อพฺรวิ กเถสิ, อาโรเจสีติ อโตฺถฯ
Tattha kaṇaveresūti karavīresu. Bhāṇusūti rattavaṇṇānaṃ pupphānaṃ pabhāya sampannesu. Sāmanti evaṃnāmikaṃ. Pīḷesīti kilesaratiyā ramitukāmo viya āliṅganto pīḷesi. Sā tanti sā sāmā arogā, tvaṃ pana ‘‘sā matā’’ti saññāya bhīto palāyasi, sā attano ārogyaṃ abravi kathesi, ārocesīti attho.
โจโร ตํ สุตฺวา นฎํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตฺวํ ‘สามา ชีวตี’ติ วทสิ, อหํ ปน น สทฺทหามี’’ติ เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ทุติยํ คาถมาห –
Coro taṃ sutvā naṭaṃ upasaṅkamitvā ‘‘tvaṃ ‘sāmā jīvatī’ti vadasi, ahaṃ pana na saddahāmī’’ti tena saddhiṃ sallapanto dutiyaṃ gāthamāha –
๗๐.
70.
‘‘อโมฺภ น กิร สเทฺธยฺยํ, ยํ วาโต ปพฺพตํ วเห;
‘‘Ambho na kira saddheyyaṃ, yaṃ vāto pabbataṃ vahe;
ปพฺพตเญฺจ วเห วาโต, สพฺพมฺปิ ปถวิํ วเห;
Pabbatañce vahe vāto, sabbampi pathaviṃ vahe;
ยตฺถ สามา กาลกตา, สา มํ อาโรคฺยมพฺรวี’’ติฯ
Yattha sāmā kālakatā, sā maṃ ārogyamabravī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – อโมฺภ นฎ, อิทํ กิร น สทฺทเหยฺยํ น สทฺทหิตพฺพํฯ ยํ วาโต ติณปณฺณานิ วิย ปพฺพตํ วเหยฺย, สเจปิ โส ปพฺพตํ วเหยฺย, สพฺพมฺปิ ปถวิํ วเหยฺย, ยถา เจตํ อสทฺทเหยฺยํ, ตถา อิทนฺติฯ ยตฺถ สามา กาลกตาติ ยา นาม สามา กาลกตา, สา มํ อาโรคฺยํ อพฺรวีติ กิํการณา สทฺทเหยฺยํฯ มตา นาม น กสฺสจิ สาสนํ เปเสนฺตีติฯ
Tassattho – ambho naṭa, idaṃ kira na saddaheyyaṃ na saddahitabbaṃ. Yaṃ vāto tiṇapaṇṇāni viya pabbataṃ vaheyya, sacepi so pabbataṃ vaheyya, sabbampi pathaviṃ vaheyya, yathā cetaṃ asaddaheyyaṃ, tathā idanti. Yattha sāmā kālakatāti yā nāma sāmā kālakatā, sā maṃ ārogyaṃ abravīti kiṃkāraṇā saddaheyyaṃ. Matā nāma na kassaci sāsanaṃ pesentīti.
ตสฺส วจนํ สุตฺวา นโฎ ตติยํ คาถมาห –
Tassa vacanaṃ sutvā naṭo tatiyaṃ gāthamāha –
๗๑.
71.
‘‘น เจว สา กาลกตา, น จ สา อญฺญมิจฺฉติ;
‘‘Na ceva sā kālakatā, na ca sā aññamicchati;
เอกภตฺติกินี สามา, ตเมว อภิกงฺขตี’’ติฯ
Ekabhattikinī sāmā, tameva abhikaṅkhatī’’ti.
ตตฺถ ตเมว อภิกงฺขตีติ อญฺญํ ปุริสํ น อิจฺฉติ, ตเญฺญว กงฺขติ อิจฺฉติ ปเตฺถตีติฯ
Tattha tameva abhikaṅkhatīti aññaṃ purisaṃ na icchati, taññeva kaṅkhati icchati patthetīti.
ตํ สุตฺวา โจโร ‘‘สา ชีวตุ วา มา วา, น ตาย มยฺหํ อโตฺถ’’ติ วตฺวา จตุตฺถํ คาถมาห –
Taṃ sutvā coro ‘‘sā jīvatu vā mā vā, na tāya mayhaṃ attho’’ti vatvā catutthaṃ gāthamāha –
๗๒.
72.
‘‘อสนฺถุตํ มํ จิรสนฺถุเตน, นิมีนิ สามา อธุวํ ธุเวน;
‘‘Asanthutaṃ maṃ cirasanthutena, nimīni sāmā adhuvaṃ dhuvena;
มยาปิ สามา นิมิเนยฺย อญฺญํ, อิโต อหํ ทูรตรํ คมิสฺส’’นฺติฯ
Mayāpi sāmā nimineyya aññaṃ, ito ahaṃ dūrataraṃ gamissa’’nti.
ตตฺถ อสนฺถุตนฺติ อกตสํสคฺคํฯ จิรสนฺถุเตนาติ จิรกตสํสเคฺคนฯ นิมีนีติ ปริวเตฺตสิฯ อธุวํ ธุเวนาติ มํ อธุวํ เตน ธุวสามิเกน ปริวเตฺตตุํ นครคุตฺติกสฺส สหสฺสํ ทตฺวา มํ คณฺหีติ อโตฺถฯ มยาปิ สามา นิมิเนยฺย อญฺญนฺติ สามา มยาปิ อญฺญํ สามิกํ ปริวเตฺตตฺวา คเณฺหยฺยฯ อิโต อหํ ทูรตรํ คมิสฺสนฺติ ยตฺถ น สกฺกา ตสฺสา สาสนํ วา ปวตฺติํ วา โสตุํ, ตาทิสํ ทูรตรํ ฐานํ คมิสฺสํ, ตสฺมา มม อิโต อญฺญตฺถ คตภาวํ ตสฺสา อาโรเจถาติ วตฺวา เตสํ ปสฺสนฺตานเญฺญว คาฬฺหตรํ นิวาเสตฺวา เวเคน ปลายิฯ
Tattha asanthutanti akatasaṃsaggaṃ. Cirasanthutenāti cirakatasaṃsaggena. Nimīnīti parivattesi. Adhuvaṃ dhuvenāti maṃ adhuvaṃ tena dhuvasāmikena parivattetuṃ nagaraguttikassa sahassaṃ datvā maṃ gaṇhīti attho. Mayāpi sāmā nimineyya aññanti sāmā mayāpi aññaṃ sāmikaṃ parivattetvā gaṇheyya. Ito ahaṃ dūrataraṃ gamissanti yattha na sakkā tassā sāsanaṃ vā pavattiṃ vā sotuṃ, tādisaṃ dūrataraṃ ṭhānaṃ gamissaṃ, tasmā mama ito aññattha gatabhāvaṃ tassā ārocethāti vatvā tesaṃ passantānaññeva gāḷhataraṃ nivāsetvā vegena palāyi.
นฎา คนฺตฺวา เตน กตกิริยํ ตสฺสา กถยิํสุฯ สา วิปฺปฎิสารินี หุตฺวา อตฺตโน ปกติยา เอว วีตินาเมสิฯ
Naṭā gantvā tena katakiriyaṃ tassā kathayiṃsu. Sā vippaṭisārinī hutvā attano pakatiyā eva vītināmesi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi.
ตทา เสฎฺฐิปุโตฺต อยํ ภิกฺขุ อโหสิ, สามา ปุราณทุติยิกา, โจโร ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Tadā seṭṭhiputto ayaṃ bhikkhu ahosi, sāmā purāṇadutiyikā, coro pana ahameva ahosinti.
กณเวรชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Kaṇaverajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๑๘. กณเวรชาตกํ • 318. Kaṇaverajātakaṃ