Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๑๑. กณฺหทีปายนจริยาวณฺณนา

    11. Kaṇhadīpāyanacariyāvaṇṇanā

    ๙๒. เอกาทสเม กณฺหทีปายโน อิสีติ เอวํนามโก ตาปโสฯ โพธิสโตฺต หิ ตทา ทีปายโน นาม อตฺตโน สหายํ มณฺฑพฺยตาปสํ สูเล อุตฺตาสิตํ อุปสงฺกมิตฺวา ตสฺส สีลคุเณน ตํ อวิชหโนฺต ติยามรตฺติํ สูลํ นิสฺสาย ฐิโต ตสฺส สรีรโต ปคฺฆริตฺวา ปติตปติเตหิ โลหิตพินฺทูหิ สุเกฺขหิ กาฬวณฺณสรีรตาย ‘‘กณฺหทีปายโน’’ติ ปากโฎ อโหสิฯ ปโรปญฺญาสวสฺสานีติ สาธิกานิ ปญฺญาสวสฺสานิ, อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ อนภิรโต จริํ อหนฺติ ปนฺตเสนาสเนสุ เจว อธิกุสลธเมฺมสุ จ อนภิรติวาสํ วสโนฺต อหํ พฺรหฺมจริยํ อจริํฯ ปพฺพชิตฺวา สตฺตาหเมว หิ ตทา มหาสโตฺต อภิรโต พฺรหฺมจริยํ จริฯ ตโต ปรํ อนภิรติวาสํ วสิฯ

    92. Ekādasame kaṇhadīpāyano isīti evaṃnāmako tāpaso. Bodhisatto hi tadā dīpāyano nāma attano sahāyaṃ maṇḍabyatāpasaṃ sūle uttāsitaṃ upasaṅkamitvā tassa sīlaguṇena taṃ avijahanto tiyāmarattiṃ sūlaṃ nissāya ṭhito tassa sarīrato paggharitvā patitapatitehi lohitabindūhi sukkhehi kāḷavaṇṇasarīratāya ‘‘kaṇhadīpāyano’’ti pākaṭo ahosi. Paropaññāsavassānīti sādhikāni paññāsavassāni, accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Anabhirato cariṃahanti pantasenāsanesu ceva adhikusaladhammesu ca anabhirativāsaṃ vasanto ahaṃ brahmacariyaṃ acariṃ. Pabbajitvā sattāhameva hi tadā mahāsatto abhirato brahmacariyaṃ cari. Tato paraṃ anabhirativāsaṃ vasi.

    กสฺมา ปน มหาปุริโส อเนกสตสหเสฺสสุ อตฺตภาเวสุ เนกฺขมฺมชฺฌาสโย พฺรหฺมจริยวาสํ อภิรมิตฺวา อิธ ตํ นาภิรมิ? ปุถุชฺชนภาวสฺส จญฺจลภาวโตฯ กสฺมา จ ปุน น อคารํ อชฺฌาวสีติ? ปฐมํ เนกฺขมฺมชฺฌาสเยน กาเมสุ โทสํ ทิสฺวา ปพฺพชิฯ อถสฺส อโยนิโสมนสิกาเรน อนภิรติ อุปฺปชฺชิฯ โส ตํ วิโนเทตุมสโกฺกโนฺตปิ กมฺมญฺจ ผลญฺจ สทฺทหิตฺวา ตาว มหนฺตํ วิภวํ ปหาย อคารสฺมา นิกฺขมโนฺต ยํ ปชหิ, ปุน ตทตฺถเมว นิวโตฺต, ‘‘เอฬมูโค จปโล วตายํ กณฺหทีปายโน’’ติ อิมํ อปวาทํ ชิคุจฺฉโนฺต อตฺตโน หิโรตฺตปฺปเภทภเยนฯ อปิ จ ปพฺพชฺชาปุญฺญํ นาเมตํ วิญฺญูหิ พุทฺธาทีหิ ปสตฺถํ, เตหิ จ อนุฎฺฐิตํ, ตสฺมาปิ สหาปิ ทุเกฺขน สหาปิ โทมนเสฺสน อสฺสุมุโข โรทมาโนปิ พฺรหฺมจริยวาสํ วสิ, น ตํ วิสฺสเชฺชสิฯ วุตฺตเญฺจตํ –

    Kasmā pana mahāpuriso anekasatasahassesu attabhāvesu nekkhammajjhāsayo brahmacariyavāsaṃ abhiramitvā idha taṃ nābhirami? Puthujjanabhāvassa cañcalabhāvato. Kasmā ca puna na agāraṃ ajjhāvasīti? Paṭhamaṃ nekkhammajjhāsayena kāmesu dosaṃ disvā pabbaji. Athassa ayonisomanasikārena anabhirati uppajji. So taṃ vinodetumasakkontopi kammañca phalañca saddahitvā tāva mahantaṃ vibhavaṃ pahāya agārasmā nikkhamanto yaṃ pajahi, puna tadatthameva nivatto, ‘‘eḷamūgo capalo vatāyaṃ kaṇhadīpāyano’’ti imaṃ apavādaṃ jigucchanto attano hirottappabhedabhayena. Api ca pabbajjāpuññaṃ nāmetaṃ viññūhi buddhādīhi pasatthaṃ, tehi ca anuṭṭhitaṃ, tasmāpi sahāpi dukkhena sahāpi domanassena assumukho rodamānopi brahmacariyavāsaṃ vasi, na taṃ vissajjesi. Vuttañcetaṃ –

    ‘‘สทฺธาย นิกฺขมฺม ปุน นิวโตฺต, โส เอฬมูโค จปโล วตายํ;

    ‘‘Saddhāya nikkhamma puna nivatto, so eḷamūgo capalo vatāyaṃ;

    เอตสฺส วาทสฺส ชิคุจฺฉมาโน, อกามโก จรามิ พฺรหฺมจริยํ;

    Etassa vādassa jigucchamāno, akāmako carāmi brahmacariyaṃ;

    วิญฺญุปฺปสตฺถญฺจ สตญฺจ ฐานํ, เอวมฺปหํ ปุญฺญกโร ภวามี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๖๖);

    Viññuppasatthañca satañca ṭhānaṃ, evampahaṃ puññakaro bhavāmī’’ti. (jā. 1.10.66);

    ๙๓. โกจิ เอตํ ชานาตีติ เอตํ มม อนภิรติมนํ พฺรหฺมจริยวาเส อภิรติวิรหิตจิตฺตํ โกจิ มนุสฺสภูโต น ชานาติฯ กสฺมา? อหญฺหิ กสฺสจิ นาจิกฺขิํ มม มานเส จิเตฺต อรติ จรติ ปวตฺตตีติ กสฺสจิปิ น กเถสิํ, ตสฺมา น โกจิ มนุสฺสภูโต เอตํ ชานาตีติฯ

    93.Nakoci etaṃ jānātīti etaṃ mama anabhiratimanaṃ brahmacariyavāse abhirativirahitacittaṃ koci manussabhūto na jānāti. Kasmā? Ahañhi kassaci nācikkhiṃ mama mānase citte arati carati pavattatīti kassacipi na kathesiṃ, tasmā na koci manussabhūto etaṃ jānātīti.

    ๙๔.

    94.

    ‘‘สพฺรหฺมจารี มณฺฑโพฺย, สหาโย เม มหาอิสิ;

    ‘‘Sabrahmacārī maṇḍabyo, sahāyo me mahāisi;

    ปุพฺพกมฺมสมายุโตฺต, สูลมาโรปนํ ลภิฯ

    Pubbakammasamāyutto, sūlamāropanaṃ labhi.

    .

    .

    สพฺรหฺมจารีติ ตาปสปพฺพชฺชาย สมานสิกฺขตาย สพฺรหฺมจารีฯ มณฺฑโพฺยติ เอวํนามโกฯ สหาโยติ คิหิกาเล ปพฺพชิตกาเล จ ทฬฺหมิตฺตตาย ปิยสหาโยฯ มหาอิสีติ มหานุภาโว อิสิฯ ปุพฺพกมฺมสมายุโตฺต, สูลมาโรปนํ ลภีติ กโตกาเสน อตฺตโน ปุพฺพกเมฺมน ยุโตฺต สูลาโรปนํ ลภิ, สูลํ อุตฺตาสิโตติฯ

    Sabrahmacārīti tāpasapabbajjāya samānasikkhatāya sabrahmacārī. Maṇḍabyoti evaṃnāmako. Sahāyoti gihikāle pabbajitakāle ca daḷhamittatāya piyasahāyo. Mahāisīti mahānubhāvo isi. Pubbakammasamāyutto, sūlamāropanaṃ labhīti katokāsena attano pubbakammena yutto sūlāropanaṃ labhi, sūlaṃ uttāsitoti.

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – อตีเต วํสรเฎฺฐ โกสมฺพิยํ โกสมฺพิโก นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต อญฺญตรสฺมิํ นิคเม อสีติโกฎิวิภวสฺส พฺราหฺมณมหาสาลสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, นาเมน ทีปายโน นามฯ ตาทิสเสฺสว พฺราหฺมณมหาสาลสฺส ปุโตฺต พฺราหฺมณกุมาโร ตสฺส ปิยสหาโย อโหสิ, นาเมน มณฺฑโพฺย นามฯ เต อุโภปิ อปรภาเค มาตาปิตูนํ อจฺจเยน กาเมสุ โทสํ ทิสฺวา มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา กาเม ปหาย ญาติมิตฺตปริชนสฺส โรทนฺตสฺส ปริเทวนฺตสฺส นิกฺขมิตฺวา หิมวนฺตปฺปเทเส อสฺสมํ กตฺวา ปพฺพชิตฺวา อุญฺฉาจริยาย วนมูลผลาหาเรน ยาเปโนฺต ปโรปณฺณาสวสฺสานิ วสิํสุ, กามจฺฉนฺทํ วิกฺขเมฺภตุํ นาสกฺขิํสุ, เต ฌานมตฺตมฺปิ น นิพฺพเตฺตสุํฯ

    Tatrāyaṃ anupubbikathā – atīte vaṃsaraṭṭhe kosambiyaṃ kosambiko nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto aññatarasmiṃ nigame asītikoṭivibhavassa brāhmaṇamahāsālassa putto hutvā nibbatti, nāmena dīpāyano nāma. Tādisasseva brāhmaṇamahāsālassa putto brāhmaṇakumāro tassa piyasahāyo ahosi, nāmena maṇḍabyo nāma. Te ubhopi aparabhāge mātāpitūnaṃ accayena kāmesu dosaṃ disvā mahādānaṃ pavattetvā kāme pahāya ñātimittaparijanassa rodantassa paridevantassa nikkhamitvā himavantappadese assamaṃ katvā pabbajitvā uñchācariyāya vanamūlaphalāhārena yāpento paropaṇṇāsavassāni vasiṃsu, kāmacchandaṃ vikkhambhetuṃ nāsakkhiṃsu, te jhānamattampi na nibbattesuṃ.

    เต โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ชนปทจาริกํ จรนฺตา กาสิรฎฺฐํ สมฺปาปุณิํสุฯ ตเตฺรกสฺมิํ นิคเม ทีปายนสฺส คิหิสหาโย มณฺฑโพฺย นาม ปฎิวสติฯ เต อุโภปิ ตสฺส สนฺติกํ อุปสงฺกมิํสุฯ โส เต ทิสฺวา อตฺตมโน ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิฯ เต ตตฺถ ตีณิ จตฺตาริ วสฺสานิ วสิตฺวา ตํ อาปุจฺฉิตฺวา จาริกํ จรนฺตา พาราณสิสมีเป อติมุตฺตกสุสาเน วสิํสุฯ ตตฺถ ทีปายโน ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา ปุน ตสฺมิํ นิคเม มณฺฑพฺยสฺส อตฺตโน สหายสฺส สนฺติกํ คโตฯ มณฺฑพฺยตาปโส ตเตฺถว วสิฯ

    Te loṇambilasevanatthāya janapadacārikaṃ carantā kāsiraṭṭhaṃ sampāpuṇiṃsu. Tatrekasmiṃ nigame dīpāyanassa gihisahāyo maṇḍabyo nāma paṭivasati. Te ubhopi tassa santikaṃ upasaṅkamiṃsu. So te disvā attamano paṇṇasālaṃ kāretvā catūhi paccayehi upaṭṭhahi. Te tattha tīṇi cattāri vassāni vasitvā taṃ āpucchitvā cārikaṃ carantā bārāṇasisamīpe atimuttakasusāne vasiṃsu. Tattha dīpāyano yathābhirantaṃ viharitvā puna tasmiṃ nigame maṇḍabyassa attano sahāyassa santikaṃ gato. Maṇḍabyatāpaso tattheva vasi.

    อเถกทิวสํ เอโก โจโร อโนฺตนคเร โจริกํ กตฺวา ธนสารํ อาทาย นิกฺขโนฺต ปฎิพุเทฺธหิ เคหสามิเกหิ นครารกฺขกมนุเสฺสหิ จ อนุพโทฺธ นิทฺธมเนน นิกฺขมิตฺวา เวเคน สุสานํ ปวิสิตฺวา ตาปสสฺส ปณฺณสาลทฺวาเร ภณฺฑิกํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายิฯ มนุสฺสา ภณฺฑิกํ ทิสฺวา ‘‘อเร ทุฎฺฐชฎิล, รตฺติํ, โจริกํ กตฺวา ทิวา ตาปสเวเสน จรสี’’ติ ตเชฺชตฺวา โปเถตฺวา ตํ อาทาย รโญฺญ ทสฺสยิํสุฯ ราชา อนุปปริกฺขิตฺวาว ‘‘สูเล อุตฺตาเสถา’’ติ อาหฯ ตํ สุสานํ เนตฺวา ขทิรสูเล อาโรปยิํสุฯ ตาปสสฺส สรีเร สูลํ น ปวิสติฯ ตโต นิมฺพสูลํ อาหริํสุ, ตมฺปิ น ปวิสติฯ ตโต อยสูลํ อาหริํสุ, ตมฺปิ น ปวิสติฯ ตาปโส ‘‘กิํ นุ โข เม ปุพฺพกมฺม’’นฺติ จิเนฺตสิฯ ตสฺส ชาติสฺสรญาณํ อุปฺปชฺชิฯ เตน ปุพฺพกมฺมํ อทฺทส – โส กิร ปุริมตฺตภาเว วฑฺฒกีปุโตฺต หุตฺวา ปิตุ รุกฺขตจฺฉนฎฺฐานํ คนฺตฺวา เอกํ มกฺขิกํ คเหตฺวา โกวิฬารสกลิกาย สูเลน วิย วิชฺฌิฯ ตสฺส ตํ ปาปํ อิมสฺมิํ ฐาเน โอกาสํ ลภิฯ โส ‘‘น สกฺกา อิโต ปาปโต มุจฺจิตุ’’นฺติ ญตฺวา ราชปุริเส อาห – ‘‘สเจ มํ สูเล อุตฺตาเสตุกามตฺถ, โกวิฬารสูลํ อาหรถา’’ติฯ เต ตถา กตฺวา ตํ สูเล อุตฺตาเสตฺวา อารกฺขํ ทตฺวา ปกฺกมิํสุฯ

    Athekadivasaṃ eko coro antonagare corikaṃ katvā dhanasāraṃ ādāya nikkhanto paṭibuddhehi gehasāmikehi nagarārakkhakamanussehi ca anubaddho niddhamanena nikkhamitvā vegena susānaṃ pavisitvā tāpasassa paṇṇasāladvāre bhaṇḍikaṃ chaḍḍetvā palāyi. Manussā bhaṇḍikaṃ disvā ‘‘are duṭṭhajaṭila, rattiṃ, corikaṃ katvā divā tāpasavesena carasī’’ti tajjetvā pothetvā taṃ ādāya rañño dassayiṃsu. Rājā anupaparikkhitvāva ‘‘sūle uttāsethā’’ti āha. Taṃ susānaṃ netvā khadirasūle āropayiṃsu. Tāpasassa sarīre sūlaṃ na pavisati. Tato nimbasūlaṃ āhariṃsu, tampi na pavisati. Tato ayasūlaṃ āhariṃsu, tampi na pavisati. Tāpaso ‘‘kiṃ nu kho me pubbakamma’’nti cintesi. Tassa jātissarañāṇaṃ uppajji. Tena pubbakammaṃ addasa – so kira purimattabhāve vaḍḍhakīputto hutvā pitu rukkhatacchanaṭṭhānaṃ gantvā ekaṃ makkhikaṃ gahetvā koviḷārasakalikāya sūlena viya vijjhi. Tassa taṃ pāpaṃ imasmiṃ ṭhāne okāsaṃ labhi. So ‘‘na sakkā ito pāpato muccitu’’nti ñatvā rājapurise āha – ‘‘sace maṃ sūle uttāsetukāmattha, koviḷārasūlaṃ āharathā’’ti. Te tathā katvā taṃ sūle uttāsetvā ārakkhaṃ datvā pakkamiṃsu.

    ตทา กณฺหทีปายโน ‘‘จิรทิโฎฺฐ เม สหาโย’’ติ มณฺฑพฺยสฺส สนฺติกํ อาคจฺฉโนฺต ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ตํ ฐานํ คนฺตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต ‘‘กิํ, สมฺม, การโกสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อการโกมฺหี’’ติ วุเตฺต ‘‘อตฺตโน มโนปโทสํ รกฺขิตุํ สกฺขิ น สกฺขี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สมฺม, เยหิ อหํ คหิโต, เนว เตสํ น รโญฺญ อุปริ มยฺหํ มโนปโทโส อตฺถี’’ติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต ตาทิสสฺส สีลวโต ฉายา มยฺหํ สุขา’’ติ วตฺวา กณฺหทีปายโน สูลํ นิสฺสาย นิสีทิฯ อารกฺขกปุริสา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘อนิสาเมตฺวา เม กต’’นฺติ เวเคน ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, ตฺวํ สูลํ นิสฺสาย นิสิโนฺนสี’’ติ ทีปายนํ ปุจฺฉิฯ ‘‘มหาราช, อิมํ ตาปสํ รกฺขโนฺต นิสิโนฺนสฺมี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ อิมสฺส การกภาวํ ญตฺวา เอวํ กโรสี’’ติฯ โส กมฺมสฺส อวิโสธิตภาวํ อาจิกฺขิฯ อถสฺส ทีปายโน ‘‘รญฺญา นาม นิสมฺมการินา ภวิตพฺพํฯ

    Tadā kaṇhadīpāyano ‘‘ciradiṭṭho me sahāyo’’ti maṇḍabyassa santikaṃ āgacchanto taṃ pavattiṃ sutvā taṃ ṭhānaṃ gantvā ekamantaṃ ṭhito ‘‘kiṃ, samma, kārakosī’’ti pucchitvā ‘‘akārakomhī’’ti vutte ‘‘attano manopadosaṃ rakkhituṃ sakkhi na sakkhī’’ti pucchi. ‘‘Samma, yehi ahaṃ gahito, neva tesaṃ na rañño upari mayhaṃ manopadoso atthī’’ti. ‘‘Evaṃ sante tādisassa sīlavato chāyā mayhaṃ sukhā’’ti vatvā kaṇhadīpāyano sūlaṃ nissāya nisīdi. Ārakkhakapurisā taṃ pavattiṃ rañño ārocesuṃ. Rājā ‘‘anisāmetvā me kata’’nti vegena tattha gantvā ‘‘kasmā, bhante, tvaṃ sūlaṃ nissāya nisinnosī’’ti dīpāyanaṃ pucchi. ‘‘Mahārāja, imaṃ tāpasaṃ rakkhanto nisinnosmī’’ti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ imassa kārakabhāvaṃ ñatvā evaṃ karosī’’ti. So kammassa avisodhitabhāvaṃ ācikkhi. Athassa dīpāyano ‘‘raññā nāma nisammakārinā bhavitabbaṃ.

    ‘‘อลโส คิหี กามโภคี น สาธุ, อสญฺญโต ปพฺพชิโต น สาธุ;

    ‘‘Alaso gihī kāmabhogī na sādhu, asaññato pabbajito na sādhu;

    ราชา น สาธุ อนิสมฺมการี, โย ปณฺฑิโต โกธโน ตํ น สาธู’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๑๒๗; ๑.๕.๔; ๑.๑๐.๑๕๓; ๑.๑๕.๒๒๙) –

    Rājā na sādhu anisammakārī, yo paṇḍito kodhano taṃ na sādhū’’ti. (jā. 1.4.127; 1.5.4; 1.10.153; 1.15.229) –

    อาทีนิ วตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ

    Ādīni vatvā dhammaṃ desesi.

    ราชา มณฺฑพฺยตาปสสฺส นิโทฺทสภาวํ ญตฺวา ‘‘สูลํ หรถา’’ติ อาณาเปสิฯ สูลํ หรนฺตา หริตุํ นาสกฺขิํสุฯ มณฺฑโพฺย อาห – ‘‘มหาราช, อหํ ปุเพฺพ กตกมฺมโทเสน เอวรูปํ อยสํ ปโตฺต, มม สรีรโต สูลํ หริตุํ น สกฺกา, สเจปิ มยฺหํ ชีวิตํ ทาตุกาโม, กกเจน อิมํ สูลํ จมฺมสมํ กตฺวา ฉินฺทาเปหี’’ติฯ ราชา ตถา กาเรสิฯ สูลํ อโนฺตเยว อโหสิ, น กญฺจิ ปีฬํ ชเนสิฯ ตทา กิร สุขุมํ สกลิกหีรํ คเหตฺวา มกฺขิกาย วจฺจมคฺคํ ปเวเสสิ, ตํ ตสฺส อโนฺต เอว อโหสิฯ โส เตน การเณน อมริตฺวา, อตฺตโน อายุกฺขเยเนว มริ, ตสฺมา อยมฺปิ น มโตติฯ ราชา ตาปเส วนฺทิตฺวา ขมาเปตฺวา อุโภปิ อุยฺยาเนเยว วสาเปโนฺต ปฎิชคฺคิฯ ตโต ปฎฺฐาย โส อาณิมณฺฑโพฺย นาม ชาโตฯ โส ราชานํ อุปนิสฺสาย ตเตฺถว วสิฯ ทีปายโน ปน ตสฺส วณํ ผาสุกํ กริตฺวา อตฺตโน คิหิสหายมณฺฑเพฺยน การิตํ ปณฺณสาลเมว คโตฯ เตน วุตฺตํ –

    Rājā maṇḍabyatāpasassa niddosabhāvaṃ ñatvā ‘‘sūlaṃ harathā’’ti āṇāpesi. Sūlaṃ harantā harituṃ nāsakkhiṃsu. Maṇḍabyo āha – ‘‘mahārāja, ahaṃ pubbe katakammadosena evarūpaṃ ayasaṃ patto, mama sarīrato sūlaṃ harituṃ na sakkā, sacepi mayhaṃ jīvitaṃ dātukāmo, kakacena imaṃ sūlaṃ cammasamaṃ katvā chindāpehī’’ti. Rājā tathā kāresi. Sūlaṃ antoyeva ahosi, na kañci pīḷaṃ janesi. Tadā kira sukhumaṃ sakalikahīraṃ gahetvā makkhikāya vaccamaggaṃ pavesesi, taṃ tassa anto eva ahosi. So tena kāraṇena amaritvā, attano āyukkhayeneva mari, tasmā ayampi na matoti. Rājā tāpase vanditvā khamāpetvā ubhopi uyyāneyeva vasāpento paṭijaggi. Tato paṭṭhāya so āṇimaṇḍabyo nāma jāto. So rājānaṃ upanissāya tattheva vasi. Dīpāyano pana tassa vaṇaṃ phāsukaṃ karitvā attano gihisahāyamaṇḍabyena kāritaṃ paṇṇasālameva gato. Tena vuttaṃ –

    ๙๕.

    95.

    ‘‘ตมหํ อุปฎฺฐหิตฺวาน, อาโรคฺยมนุปาปยิํ;

    ‘‘Tamahaṃ upaṭṭhahitvāna, ārogyamanupāpayiṃ;

    อาปุจฺฉิตฺวาน อาคญฺฉิํ, ยํ มยฺหํ สกมสฺสม’’นฺติฯ

    Āpucchitvāna āgañchiṃ, yaṃ mayhaṃ sakamassama’’nti.

    ตตฺถ อาปุจฺฉิตฺวานาติ มยฺหํ สหายํ มณฺฑพฺยตาปสํ อาปุจฺฉิตฺวาฯ ยํ มยฺหํ สกมสฺสมนฺติ ยํ ตํ มยฺหํ คิหิสหาเยน มณฺฑพฺยพฺราหฺมเณน การิตํ สกํ มม สนฺตกํ อสฺสมปทํ ปณฺณสาลา, ตํ อุปาคญฺฉิํฯ

    Tattha āpucchitvānāti mayhaṃ sahāyaṃ maṇḍabyatāpasaṃ āpucchitvā. Yaṃ mayhaṃ sakamassamanti yaṃ taṃ mayhaṃ gihisahāyena maṇḍabyabrāhmaṇena kāritaṃ sakaṃ mama santakaṃ assamapadaṃ paṇṇasālā, taṃ upāgañchiṃ.

    ๙๖. ตํ ปน ปณฺณสาลํ ปวิสนฺตํ ทิสฺวา สหายสฺส อาโรเจสุํฯ โส สุตฺวาว ตุฎฺฐจิโตฺต สปุตฺตทาโร พหุคนฺธมาลผาณิตาทีนิ อาทาย ปณฺณสาลํ คนฺตฺวา ทีปายนํ วนฺทิตฺวา ปาเท โธวิตฺวา ปานกํ ปาเยตฺวา อาณิมณฺฑพฺยสฺส ปวตฺติํ สุณโนฺต นิสีทิฯ อถสฺส ปุโตฺต ยญฺญทตฺตกุมาโร นาม จงฺกมนโกฎิยํ เคณฺฑุเกน กีฬิฯ ตตฺถ เจกสฺมิํ วมฺมิเก อาสิวิโส วสติฯ กุมาเรน ภูมิยํ ปหตเคณฺฑุโก คนฺตฺวา วมฺมิกพิเล อาสิวิสสฺส มตฺถเก ปติฯ กุมาโร อชานโนฺต พิเล หตฺถํ ปเวเสสิฯ

    96. Taṃ pana paṇṇasālaṃ pavisantaṃ disvā sahāyassa ārocesuṃ. So sutvāva tuṭṭhacitto saputtadāro bahugandhamālaphāṇitādīni ādāya paṇṇasālaṃ gantvā dīpāyanaṃ vanditvā pāde dhovitvā pānakaṃ pāyetvā āṇimaṇḍabyassa pavattiṃ suṇanto nisīdi. Athassa putto yaññadattakumāro nāma caṅkamanakoṭiyaṃ geṇḍukena kīḷi. Tattha cekasmiṃ vammike āsiviso vasati. Kumārena bhūmiyaṃ pahatageṇḍuko gantvā vammikabile āsivisassa matthake pati. Kumāro ajānanto bile hatthaṃ pavesesi.

    อถ นํ กุโทฺธ อาสิวิโส หเตฺถ ฑํสิฯ โส วิสเวเคน มุจฺฉิโต ตเตฺถว ปติฯ อถสฺส มาตาปิตโร สเปฺปน ทฎฺฐภาวํ ญตฺวา กุมารํ อุกฺขิปิตฺวา ตาปสสฺส ปาทมูเล นิปชฺชาเปตฺวา ‘‘ภเนฺต, โอสเธน วา มเนฺตน วา ปุตฺตกํ โน นีโรคํ กโรถา’’ติ อาหํสุฯ โส ‘‘อหํ โอสธํ น ชานามิ, นาหํ เวชฺชกมฺมํ กริสฺสามิ, ปพฺพชิโตมฺหี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, อิมสฺมิํ กุมารเก เมตฺตํ กตฺวา สจฺจกิริยํ กโรถา’’ติฯ ตาปโส ‘‘สาธุ สจฺจกิริยํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา ยญฺญทตฺตสฺส สีเส หตฺถํ ฐเปตฺวา สจฺจกิริยํ อกาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สหาโย พฺราหฺมโณ มยฺห’’นฺติอาทิฯ

    Atha naṃ kuddho āsiviso hatthe ḍaṃsi. So visavegena mucchito tattheva pati. Athassa mātāpitaro sappena daṭṭhabhāvaṃ ñatvā kumāraṃ ukkhipitvā tāpasassa pādamūle nipajjāpetvā ‘‘bhante, osadhena vā mantena vā puttakaṃ no nīrogaṃ karothā’’ti āhaṃsu. So ‘‘ahaṃ osadhaṃ na jānāmi, nāhaṃ vejjakammaṃ karissāmi, pabbajitomhī’’ti. ‘‘Tena hi, bhante, imasmiṃ kumārake mettaṃ katvā saccakiriyaṃ karothā’’ti. Tāpaso ‘‘sādhu saccakiriyaṃ karissāmī’’ti vatvā yaññadattassa sīse hatthaṃ ṭhapetvā saccakiriyaṃ akāsi. Tena vuttaṃ ‘‘sahāyo brāhmaṇo mayha’’ntiādi.

    ตตฺถ อาคญฺฉุํ ปาหุนาคตนฺติ อติถิอภิคมนํ อภิคมิํสุฯ

    Tattha āgañchuṃ pāhunāgatanti atithiabhigamanaṃ abhigamiṃsu.

    ๙๗. วฎฺฎมนุกฺขิปนฺติ ขิปนวฎฺฎสณฺฐานตาย ‘‘วฎฺฎ’’นฺติ ลทฺธนามํ เคณฺฑุกํ อนุกฺขิปโนฺต, เคณฺฑุกกีฬํ กีฬโนฺตติ อโตฺถฯ อาสิวิสมโกปยีติ ภูมิยํ ปฎิหโต หุตฺวา วมฺมิกพิลคเตน เคณฺฑุเกน ตตฺถ ฐิตํ กณฺหสปฺปํ สีเส ปหริตฺวา โรเสสิฯ

    97.Vaṭṭamanukkhipanti khipanavaṭṭasaṇṭhānatāya ‘‘vaṭṭa’’nti laddhanāmaṃ geṇḍukaṃ anukkhipanto, geṇḍukakīḷaṃ kīḷantoti attho. Āsivisamakopayīti bhūmiyaṃ paṭihato hutvā vammikabilagatena geṇḍukena tattha ṭhitaṃ kaṇhasappaṃ sīse paharitvā rosesi.

    ๙๘. วฎฺฎคตํ มคฺคํ, อเนฺวสโนฺตติ เตน วเฎฺฎน คตํ มคฺคํ คเวสโนฺตฯ อาสิวิสสฺส หเตฺถน, อุตฺตมงฺคํ ปรามสีติ วมฺมิกพิลํ ปเวสิเตน อตฺตโน หเตฺถน อาสีวิสสฺส สีสํ ผุสิฯ

    98.Vaṭṭagataṃ maggaṃ, anvesantoti tena vaṭṭena gataṃ maggaṃ gavesanto. Āsivisassa hatthena, uttamaṅgaṃ parāmasīti vammikabilaṃ pavesitena attano hatthena āsīvisassa sīsaṃ phusi.

    ๙๙. วิสพลสฺสิโตติ วิสพลนิสฺสิโต อตฺตโน วิสเวคํ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนกสโปฺปฯ อฑํสิ ทารกํ ขเณติ ตสฺมิํ ปรามสิตกฺขเณ เอว ตํ พฺราหฺมณกุมารํ ฑํสิฯ

    99.Visabalassitoti visabalanissito attano visavegaṃ nissāya uppajjanakasappo. Aḍaṃsi dārakaṃ khaṇeti tasmiṃ parāmasitakkhaṇe eva taṃ brāhmaṇakumāraṃ ḍaṃsi.

    ๑๐๐. สหทโฎฺฐติ ฑํเสน สเหว, ทฎฺฐสมกาลเมวฯ อาสิวิเสนาติ โฆรวิเสนฯ เตนาติ เตน ทารกสฺส วิสเวเคน มุจฺฉิตสฺส ภูมิยํ ปตเนน อหํ ทุกฺขิโต อโหสิํฯ มม วาหสิ ตํ ทุกฺขนฺติ ตํ ทารกสฺส มาตาปิตูนญฺจ ทุกฺขํ มม วาหสิ, มยฺหํ สรีเร วิย มม กรุณาย วาเหสิฯ

    100.Sahadaṭṭhoti ḍaṃsena saheva, daṭṭhasamakālameva. Āsivisenāti ghoravisena. Tenāti tena dārakassa visavegena mucchitassa bhūmiyaṃ patanena ahaṃ dukkhito ahosiṃ. Mama vāhasi taṃ dukkhanti taṃ dārakassa mātāpitūnañca dukkhaṃ mama vāhasi, mayhaṃ sarīre viya mama karuṇāya vāhesi.

    ๑๐๑. ตฺยาหนฺติ เต ตสฺส ทารกสฺส มาตาปิตโร อหํ ‘‘มา โสจถ, มา ปริเทวถา’’ติอาทินา นเยน สมสฺสาเสตฺวาฯ โสกสลฺลิเตติ โสกสลฺลวเนฺตฯ อคฺคนฺติ เสฎฺฐํ ตโต เอว วรํ อุตฺตมํ สจฺจกิริยํ อกาสิํฯ

    101.Tyāhanti te tassa dārakassa mātāpitaro ahaṃ ‘‘mā socatha, mā paridevathā’’tiādinā nayena samassāsetvā. Sokasalliteti sokasallavante. Agganti seṭṭhaṃ tato eva varaṃ uttamaṃ saccakiriyaṃ akāsiṃ.

    ๑๐๒. อิทานิ ตํ สจฺจกิริยํ สรูเปน ทเสฺสตุํ ‘‘สตฺตาหเมวา’’ติ คาถมาหฯ

    102. Idāni taṃ saccakiriyaṃ sarūpena dassetuṃ ‘‘sattāhamevā’’ti gāthamāha.

    ตตฺถ สตฺตาหเมวาติ ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย สตฺต อหานิ เอวฯ ปสนฺนจิโตฺตติ กมฺมผลสทฺธาย ปสนฺนมานโสฯ ปุญฺญตฺถิโกติ ปุเญฺญน อตฺถิโก, ธมฺมจฺฉนฺทยุโตฺตฯ อถาปรํ ยํ จริตนฺติ อถ ตสฺมา สตฺตาหา อุตฺตริ ยํ มม พฺรหฺมจริยจรณํฯ

    Tattha sattāhamevāti pabbajitadivasato paṭṭhāya satta ahāni eva. Pasannacittoti kammaphalasaddhāya pasannamānaso. Puññatthikoti puññena atthiko, dhammacchandayutto. Athāparaṃ yaṃ caritanti atha tasmā sattāhā uttari yaṃ mama brahmacariyacaraṇaṃ.

    ๑๐๓. อกามโกวาหีติ ปพฺพชฺชํ อนิจฺฉโนฺต เอวฯ เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตูติ สเจ อติเรกปญฺญาสวสฺสานิ อนภิรติวาสํ วสเนฺตน มยา กสฺสจิ อชานาปิตภาโว สโจฺจ, เอเตน สเจฺจน ยญฺญทตฺตกุมารสฺส โสตฺถิ โหตุ, ชีวิตํ ปฎิลภตูติฯ

    103.Akāmakovāhīti pabbajjaṃ anicchanto eva. Etena saccena suvatthi hotūti sace atirekapaññāsavassāni anabhirativāsaṃ vasantena mayā kassaci ajānāpitabhāvo sacco, etena saccena yaññadattakumārassa sotthi hotu, jīvitaṃ paṭilabhatūti.

    เอวํ ปน มหาสเตฺตน สจฺจกิริยาย กตาย ยญฺญทตฺตสฺส สรีรโต วิสํ ภสฺสิตฺวา ปถวิํ ปาวิสิฯ กุมาโร อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา มาตาปิตโร โอโลเกตฺวา ‘‘อมฺม, ตาตา’’ติ วตฺวา วุฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Evaṃ pana mahāsattena saccakiriyāya katāya yaññadattassa sarīrato visaṃ bhassitvā pathaviṃ pāvisi. Kumāro akkhīni ummīletvā mātāpitaro oloketvā ‘‘amma, tātā’’ti vatvā vuṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ๑๐๔.

    104.

    ‘‘สห สเจฺจ กเต มยฺหํ, วิสเวเคน เวธิโต;

    ‘‘Saha sacce kate mayhaṃ, visavegena vedhito;

    อพุชฺฌิตฺวาน วุฎฺฐาสิ, อโรโค จาสิ มาณโว’’ติฯ

    Abujjhitvāna vuṭṭhāsi, arogo cāsi māṇavo’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – มม สจฺจกรเณน สห สมานกาลเมว ตโต ปุเพฺพ วิสเวเคน เวธิโต กมฺปิโต วิสญฺญิภาเวน อพุชฺฌิตฺวา ฐิโต วิคตวิสตฺตา ปฎิลทฺธสโญฺญ สหสา วุฎฺฐาสิฯ โส มาณโว กุมาโร วิสเวคาภาเวน อโรโค จ อโหสีติฯ

    Tassattho – mama saccakaraṇena saha samānakālameva tato pubbe visavegena vedhito kampito visaññibhāvena abujjhitvā ṭhito vigatavisattā paṭiladdhasañño sahasā vuṭṭhāsi. So māṇavo kumāro visavegābhāvena arogo ca ahosīti.

    อิทานิ สตฺถา ตสฺสา อตฺตโน สจฺจกิริยาย ปรมตฺถปารมิภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สเจฺจน เม สโม นตฺถิ, เอสา เม สจฺจปารมี’’ติ อาหฯ ตํ อุตฺตานตฺถเมว ฯ ชาตกฎฺฐกถายํ (ชา. อฎฺฐ. ๔.๑๐.๖๒) ปน ‘‘มหาสตฺตสฺส สจฺจกิริยาย กุมารสฺส ถนปฺปเทสโต อุทฺธํ วิสํ ภสฺสิตฺวา วิคตํฯ ทารกสฺส ปิตุ สจฺจกิริยาย กฎิโต อุทฺธํ, มาตุ สจฺจกิริยาย อวสิฎฺฐสรีรโต วิสํ ภสฺสิตฺวา วิคต’’นฺติ อาคตํฯ ตถา หิ วุตฺตํ –

    Idāni satthā tassā attano saccakiriyāya paramatthapāramibhāvaṃ dassento ‘‘saccena me samo natthi, esā me saccapāramī’’ti āha. Taṃ uttānatthameva . Jātakaṭṭhakathāyaṃ (jā. aṭṭha. 4.10.62) pana ‘‘mahāsattassa saccakiriyāya kumārassa thanappadesato uddhaṃ visaṃ bhassitvā vigataṃ. Dārakassa pitu saccakiriyāya kaṭito uddhaṃ, mātu saccakiriyāya avasiṭṭhasarīrato visaṃ bhassitvā vigata’’nti āgataṃ. Tathā hi vuttaṃ –

    ‘‘ยสฺมา ทานํ นาภินนฺทิํ กทาจิ, ทิสฺวานหํ อติถิํ วาสกาเล;

    ‘‘Yasmā dānaṃ nābhinandiṃ kadāci, disvānahaṃ atithiṃ vāsakāle;

    น จาปิ เม อปฺปิยตํ อเวทุํ, พหุสฺสุตา สมณพฺราหฺมณา จ;

    Na cāpi me appiyataṃ aveduṃ, bahussutā samaṇabrāhmaṇā ca;

    อกามโก วาปิ อหํ ททามิ, เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตุ;

    Akāmako vāpi ahaṃ dadāmi, etena saccena suvatthi hotu;

    หตํ วิสํ ชีวตุ ยญฺญทโตฺตฯ

    Hataṃ visaṃ jīvatu yaññadatto.

    ‘‘อาสีวิโส ตาต ปหูตเตโช, โย ตํ อทํสี ปตรา อุทิจฺจ;

    ‘‘Āsīviso tāta pahūtatejo, yo taṃ adaṃsī patarā udicca;

    ตสฺมิญฺจ เม อปฺปิยตาย อชฺช, ปิตริ จ เต นตฺถิ โกจิ วิเสโส;

    Tasmiñca me appiyatāya ajja, pitari ca te natthi koci viseso;

    เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตุ, หตํ วิสํ ชีวตุ ยญฺญทโตฺต’’ติฯ

    Etena saccena suvatthi hotu, hataṃ visaṃ jīvatu yaññadatto’’ti.

    ตตฺถ วาสกาเลติ วสนตฺถาย เคหํ อาคตกาเลฯ น จาปิ เม อปฺปิยตํ อเวทุนฺติ พหุสฺสุตาปิ สมณพฺราหฺมณา อยํ เนว ทานํ อภินนฺทติ, น อเมฺหติ อิมํ มม อปฺปิยภาวํ เนว ชานิํสุฯ อหญฺหิ เต ปิยจกฺขูหิเยว โอโลเกมีติ ทีเปติฯ เอเตน สเจฺจนาติ สเจ อหํ ททมาโนปิ วิปากํ อสทฺทหิตฺวา อตฺตโน อนิจฺฉาย เทมิ, อนิจฺฉภาวญฺจ เม ปเร น ชานนฺติ, เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตูติ อโตฺถฯ อิตรคาถาย, ตาตาติ ปุตฺตํ อาลปติฯ ปหูตเตโชติ พลววิโสฯ ปตราติ ปทรา, อยเมว วา ปาโฐฯ อุทิจฺจาติ อุทฺธํ คนฺตฺวา, วมฺมิกพิลโต อุฎฺฐหิตฺวาติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตาต ยญฺญทตฺต, ตสฺมิญฺจ อาสิวิเส ตว จ ปิตริ อปฺปิยภาเวน มยฺหํ โกจิ วิเสโส นตฺถิ, ตญฺจ ปน อปฺปิยภาวํ ฐเปตฺวา อชฺช มยา น โกจิ ชานาปิตปุโพฺพ, สเจ เอตํ สจฺจํ, เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตูติฯ

    Tattha vāsakāleti vasanatthāya gehaṃ āgatakāle. Na cāpime appiyataṃ avedunti bahussutāpi samaṇabrāhmaṇā ayaṃ neva dānaṃ abhinandati, na amheti imaṃ mama appiyabhāvaṃ neva jāniṃsu. Ahañhi te piyacakkhūhiyeva olokemīti dīpeti. Etena saccenāti sace ahaṃ dadamānopi vipākaṃ asaddahitvā attano anicchāya demi, anicchabhāvañca me pare na jānanti, etena saccena suvatthi hotūti attho. Itaragāthāya, tātāti puttaṃ ālapati. Pahūtatejoti balavaviso. Patarāti padarā, ayameva vā pāṭho. Udiccāti uddhaṃ gantvā, vammikabilato uṭṭhahitvāti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – tāta yaññadatta, tasmiñca āsivise tava ca pitari appiyabhāvena mayhaṃ koci viseso natthi, tañca pana appiyabhāvaṃ ṭhapetvā ajja mayā na koci jānāpitapubbo, sace etaṃ saccaṃ, etena saccena suvatthi hotūti.

    เอวํ โพธิสโตฺต กุมาเร อโรเค ชาเต ตสฺส ปิตรํ ‘‘ทานํ ททเนฺตน นาม กมฺมญฺจ ผลญฺจ สทฺทหิตฺวา ทาตพฺพ’’นฺติ กมฺมผลสทฺธาย นิเวเสตฺวา สยํ อนภิรติํ วิโนเทตฺวา ฌานาภิญฺญาโย อุปฺปาเทตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลกปรายโน อโหสิฯ

    Evaṃ bodhisatto kumāre aroge jāte tassa pitaraṃ ‘‘dānaṃ dadantena nāma kammañca phalañca saddahitvā dātabba’’nti kammaphalasaddhāya nivesetvā sayaṃ anabhiratiṃ vinodetvā jhānābhiññāyo uppādetvā āyupariyosāne brahmalokaparāyano ahosi.

    ตทา มณฺฑโพฺย อานนฺทเตฺถโร อโหสิ, ตสฺส ภริยา วิสาขา, ปุโตฺต ราหุลเตฺถโร, อาณิมณฺฑโพฺย สาริปุตฺตเตฺถโร, กณฺหทีปายโน โลกนาโถฯ

    Tadā maṇḍabyo ānandatthero ahosi, tassa bhariyā visākhā, putto rāhulatthero, āṇimaṇḍabyo sāriputtatthero, kaṇhadīpāyano lokanātho.

    ตสฺส อิธ ปาฬิยา อารุฬฺหา สจฺจปารมี, เสสา จ ปารมิโย เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา อนวเสสมหาโภคปริจฺจาคาทโย คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาติฯ

    Tassa idha pāḷiyā āruḷhā saccapāramī, sesā ca pāramiyo heṭṭhā vuttanayeneva niddhāretabbā. Tathā anavasesamahābhogapariccāgādayo guṇānubhāvā vibhāvetabbāti.

    กณฺหทีปายนจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kaṇhadīpāyanacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑๑. กณฺหทีปายนจริยา • 11. Kaṇhadīpāyanacariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact