Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๔๔] ๖. กณฺหทีปายนชาตกวณฺณนา

    [444] 6. Kaṇhadīpāyanajātakavaṇṇanā

    สตฺตาหเมวาหนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ กุสชาตเก (ชา. ๒.๒๐.๑ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ สตฺถา ตํ ภิกฺขุํ ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ โปราณกปณฺฑิตา อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ พาหิรกปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อติเรกปญฺญาสวสฺสานิ อนภิรตา พฺรหฺมจริยํ จรนฺตา หิโรตฺตปฺปเภทภเยน อตฺตโน อุกฺกณฺฐิตภาวํ น กสฺสจิ กเถสุํ, ตฺวํ กสฺมา เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา มาทิสสฺส ครุโน พุทฺธสฺส สมฺมุเข ฐตฺวา จตุปริสมเชฺฌ อุกฺกณฺฐิตภาวํ อาวิ กโรสิ, กิมตฺถํ อตฺตโน หิโรตฺตปฺปํ น รกฺขสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Sattāhamevāhanti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Vatthu kusajātake (jā. 2.20.1 ādayo) āvi bhavissati. Satthā taṃ bhikkhuṃ ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu porāṇakapaṇḍitā anuppanne buddhe bāhirakapabbajjaṃ pabbajitvā atirekapaññāsavassāni anabhiratā brahmacariyaṃ carantā hirottappabhedabhayena attano ukkaṇṭhitabhāvaṃ na kassaci kathesuṃ, tvaṃ kasmā evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā mādisassa garuno buddhassa sammukhe ṭhatvā catuparisamajjhe ukkaṇṭhitabhāvaṃ āvi karosi, kimatthaṃ attano hirottappaṃ na rakkhasī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต วํสรเฎฺฐ โกสมฺพิยํ นาม นคเร โกสมฺพโก นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา อญฺญตรสฺมิํ นิคเม เทฺว พฺราหฺมณา อสีติโกฎิธนวิภวา อญฺญมญฺญํ ปิยสหายกา กาเมสุ โทสํ ทิสฺวา มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา อุโภปิ กาเม ปหาย มหาชนสฺส โรทนฺตสฺส ปริเทวนฺตสฺส นิกฺขมิตฺวา หิมวนฺตปเทเส อสฺสมปทํ กตฺวา ปพฺพชิตฺวา อุญฺฉาจริยาย วนมูลผลาผเลน ยาเปนฺตา ปณฺณาส วสฺสานิ วสิํสุ, ฌานํ อุปฺปาเทตุํ นาสกฺขิํสุฯ เต ปณฺณาสวสฺสจฺจเยน โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ชนปทํ จรนฺตา กาสิรฎฺฐํ สมฺปาปุณิํสุฯ ตตฺร อญฺญตรสฺมิํ นิคมคาเม ทีปายนตาปสสฺส คิหิสหาโย มณฺฑโพฺย นาม อตฺถิ, เต อุโภปิ ตสฺส สนฺติกํ อคมํสุฯ โส เต ทิสฺวาว อตฺตมโน ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา อุโภปิ เต จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิฯ เต ตตฺถ ตีณิ จตฺตาริ วสฺสานิ วสิตฺวา ตํ อาปุจฺฉิตฺวา จาริกํ จรนฺตา พาราณสิํ ปตฺวา อติมุตฺตกสุสาเน วสิํสุฯ ตตฺถ ทีปายโน ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา ปุน ตเสฺสว สหายสฺส สนฺติกํ คโตฯ มณฺฑพฺยตาปโส ตเตฺถว วสิฯ

    Atīte vaṃsaraṭṭhe kosambiyaṃ nāma nagare kosambako nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tadā aññatarasmiṃ nigame dve brāhmaṇā asītikoṭidhanavibhavā aññamaññaṃ piyasahāyakā kāmesu dosaṃ disvā mahādānaṃ pavattetvā ubhopi kāme pahāya mahājanassa rodantassa paridevantassa nikkhamitvā himavantapadese assamapadaṃ katvā pabbajitvā uñchācariyāya vanamūlaphalāphalena yāpentā paṇṇāsa vassāni vasiṃsu, jhānaṃ uppādetuṃ nāsakkhiṃsu. Te paṇṇāsavassaccayena loṇambilasevanatthāya janapadaṃ carantā kāsiraṭṭhaṃ sampāpuṇiṃsu. Tatra aññatarasmiṃ nigamagāme dīpāyanatāpasassa gihisahāyo maṇḍabyo nāma atthi, te ubhopi tassa santikaṃ agamaṃsu. So te disvāva attamano paṇṇasālaṃ kāretvā ubhopi te catūhi paccayehi upaṭṭhahi. Te tattha tīṇi cattāri vassāni vasitvā taṃ āpucchitvā cārikaṃ carantā bārāṇasiṃ patvā atimuttakasusāne vasiṃsu. Tattha dīpāyano yathābhirantaṃ viharitvā puna tasseva sahāyassa santikaṃ gato. Maṇḍabyatāpaso tattheva vasi.

    อเถกทิวสํ เอโก โจโร อโนฺตนคเร โจริกํ กตฺวา ธนสารํ อาทาย นิกฺขโนฺต ‘‘โจโร’’ติ ญตฺวา ปฎิพุเทฺธหิ ฆรสฺสามิเกหิ เจว อารกฺขมนุเสฺสหิ จ อนุพโทฺธ นิทฺธมเนน นิกฺขมิตฺวา เวเคน สุสานํ ปวิสิตฺวา ตาปสสฺส ปณฺณสาลทฺวาเร ภณฺฑิกํ ฉเฎฺฎตฺวา ปลายิ ฯ มนุสฺสา ภณฺฑิกํ ทิสฺวา ‘‘อเร ทุฎฺฐชฎิล, ตฺวํ รตฺติํ โจริกํ กตฺวา ทิวา ตาปสรูเปน จรสี’’ติ ตเชฺชตฺวา โปเถตฺวา ตํ อาทาย เนตฺวา รโญฺญ ทสฺสยิํสุฯ ราชา อนุปปริกฺขิตฺวาว ‘‘คจฺฉถ, นํ สูเล อุตฺตาเสถา’’ติ อาหฯ เต ตํ สุสานํ เนตฺวา ขทิรสูลํ อาโรปยิํสุ, ตาปสสฺส สรีเร สูลํ น ปวิสติฯ ตโต นิมฺพสูลํ อาหริํสุ, ตมฺปิ น ปวิสติฯ อยสูลํ อาหริํสุ, ตมฺปิ น ปวิสติฯ ตาปโส ‘‘กิํ นุ โข เม ปุพฺพกมฺม’’นฺติ โอโลเกสิ, อถสฺส ชาติสฺสรญาณํ อุปฺปชฺชิ, เตน ปุพฺพกมฺมํ โอโลเกตฺวา อทฺทสฯ กิํ ปนสฺส ปุพฺพกมฺมนฺติ? โกวิฬารสูเล มกฺขิกาเวธนํฯ โส กิร ปุริมภเว วฑฺฒกิปุโตฺต หุตฺวา ปิตุ รุกฺขตจฺฉนฎฺฐานํ คนฺตฺวา เอกํ มกฺขิกํ คเหตฺวา โกวิฬารสลากาย สูเล วิย วิชฺฌิฯ ตเมนํ ปาปกมฺมํ อิมํ ฐานํ ปตฺวา คณฺหิฯ โส ‘‘น สกฺกา อิโต ปาปา มยา มุจฺจิตุ’’นฺติ ญตฺวา ราชปุริเส อาห ‘‘สเจ มํ สูเล อุตฺตาเสตุกามตฺถ, โกวิฬารสูลํ อาหรถา’’ติฯ เต ตถา กตฺวา ตํ สูเล อุตฺตาเสตฺวา อารกฺขํ ทตฺวา ปกฺกมิํสุฯ

    Athekadivasaṃ eko coro antonagare corikaṃ katvā dhanasāraṃ ādāya nikkhanto ‘‘coro’’ti ñatvā paṭibuddhehi gharassāmikehi ceva ārakkhamanussehi ca anubaddho niddhamanena nikkhamitvā vegena susānaṃ pavisitvā tāpasassa paṇṇasāladvāre bhaṇḍikaṃ chaṭṭetvā palāyi . Manussā bhaṇḍikaṃ disvā ‘‘are duṭṭhajaṭila, tvaṃ rattiṃ corikaṃ katvā divā tāpasarūpena carasī’’ti tajjetvā pothetvā taṃ ādāya netvā rañño dassayiṃsu. Rājā anupaparikkhitvāva ‘‘gacchatha, naṃ sūle uttāsethā’’ti āha. Te taṃ susānaṃ netvā khadirasūlaṃ āropayiṃsu, tāpasassa sarīre sūlaṃ na pavisati. Tato nimbasūlaṃ āhariṃsu, tampi na pavisati. Ayasūlaṃ āhariṃsu, tampi na pavisati. Tāpaso ‘‘kiṃ nu kho me pubbakamma’’nti olokesi, athassa jātissarañāṇaṃ uppajji, tena pubbakammaṃ oloketvā addasa. Kiṃ panassa pubbakammanti? Koviḷārasūle makkhikāvedhanaṃ. So kira purimabhave vaḍḍhakiputto hutvā pitu rukkhatacchanaṭṭhānaṃ gantvā ekaṃ makkhikaṃ gahetvā koviḷārasalākāya sūle viya vijjhi. Tamenaṃ pāpakammaṃ imaṃ ṭhānaṃ patvā gaṇhi. So ‘‘na sakkā ito pāpā mayā muccitu’’nti ñatvā rājapurise āha ‘‘sace maṃ sūle uttāsetukāmattha, koviḷārasūlaṃ āharathā’’ti. Te tathā katvā taṃ sūle uttāsetvā ārakkhaṃ datvā pakkamiṃsu.

    อารกฺขกา ปฎิจฺฉนฺนา หุตฺวา ตสฺส สนฺติกํ อาคจฺฉเนฺต โอโลเกนฺติฯ ตทา ทีปายโน ‘‘จิรทิโฎฺฐ เม สหาโย’’ติ มณฺฑพฺยสฺส สนฺติกํ อาคจฺฉโนฺต ‘‘สูเล อุตฺตาสิโต’’ติ ตํ ทิวสเญฺญว อนฺตรามเคฺค สุตฺวา ตํ ฐานํ คนฺตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต ‘‘กิํ สมฺม การโกสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อการโกมฺหี’’ติ วุเตฺต ‘‘อตฺตโน มโนปโทสํ รกฺขิตุํ สกฺขิ, นาสกฺขี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สมฺม, เยหิ อหํ คหิโต, เนว เตสํ, น รโญฺญ อุปริ มยฺหํ มโนปโทโส อตฺถี’’ติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต ตาทิสสฺส สีลวโต ฉายา มยฺหํ สุขา’’ติ วตฺวา ทีปายโน สูลํ นิสฺสาย นิสีทิฯ อถสฺส สรีเร มณฺฑพฺยสฺส สรีรโต โลหิตพินฺทูนิ ปติํสุฯ ตานิ สุวณฺณวณฺณสรีเร ปติตปติตานิ สุสฺสิตฺวา กาฬกานิ อุปฺปชฺชิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาเยว โส กณฺหทีปายโน นาม อโหสิฯ โส สพฺพรตฺติํ ตเตฺถว นิสีทิฯ

    Ārakkhakā paṭicchannā hutvā tassa santikaṃ āgacchante olokenti. Tadā dīpāyano ‘‘ciradiṭṭho me sahāyo’’ti maṇḍabyassa santikaṃ āgacchanto ‘‘sūle uttāsito’’ti taṃ divasaññeva antarāmagge sutvā taṃ ṭhānaṃ gantvā ekamantaṃ ṭhito ‘‘kiṃ samma kārakosī’’ti pucchitvā ‘‘akārakomhī’’ti vutte ‘‘attano manopadosaṃ rakkhituṃ sakkhi, nāsakkhī’’ti pucchi. ‘‘Samma, yehi ahaṃ gahito, neva tesaṃ, na rañño upari mayhaṃ manopadoso atthī’’ti. ‘‘Evaṃ sante tādisassa sīlavato chāyā mayhaṃ sukhā’’ti vatvā dīpāyano sūlaṃ nissāya nisīdi. Athassa sarīre maṇḍabyassa sarīrato lohitabindūni patiṃsu. Tāni suvaṇṇavaṇṇasarīre patitapatitāni sussitvā kāḷakāni uppajjiṃsu. Tato paṭṭhāyeva so kaṇhadīpāyano nāma ahosi. So sabbarattiṃ tattheva nisīdi.

    ปุนทิวเส อารกฺขปุริสา อาคนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘อนิสาเมตฺวาว เม กต’’นฺติ เวเคน ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘ปพฺพชิต, กสฺมา สูลํ นิสฺสาย นิสิโนฺนสี’’ติ ทีปายนํ ปุจฺฉิฯ มหาราช, อิมํ ตาปสํ รกฺขโนฺต นิสิโนฺนมฺหิฯ กิํ ปน ตฺวํ มหาราช, อิมสฺส การกภาวํ วา อการกภาวํ วา ญตฺวา เอวํ กาเรสีติ? โส กมฺมสฺส อโสธิตภาวํ อาจิกฺขิฯ อถสฺส โส ‘‘มหาราช, รญฺญา นาม นิสมฺมการินา ภวิตพฺพํ , อลโส คิหี กามโภคี น สาธู’’ติอาทีนิ วตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ ราชา มณฺฑพฺยสฺส นิโทฺทสภาวํ ญตฺวา ‘‘สูลํ หรถา’’ติ อาณาเปสิฯ สูลํ หรนฺตา หริตุํ น สกฺขิํสุฯ มณฺฑโพฺย อาห – ‘‘มหาราช, อหํ ปุเพฺพ กตกมฺมโทเสน เอวรูปํ ภยํ สมฺปโตฺต, มม สรีรโต สูลํ หริตุํ น สกฺกา, สเจ มยฺหํ ชีวิตํ ทาตุกาโม, กกจํ อาหราเปตฺวา อิมํ สูลํ จมฺมสมํ ฉินฺทาเปหี’’ติฯ ราชา ตถา กาเรสิฯ อโนฺตสรีเร สูโล อโนฺตเยว อโหสิฯ ตทา กิร โส สุขุมํ โกวิฬารสลากํ คเหตฺวา มกฺขิกาย วจฺจมคฺคํ ปเวเสสิ, ตํ ตสฺส อโนฺตสรีเรเยว อโหสิฯ โส เตน การเณน อมริตฺวา อตฺตโน อายุกฺขเยเนว มริ, ตสฺมา อยมฺปิ น มโตฯ ราชา ตาปเส วนฺทิตฺวา ขมาเปตฺวา อุโภปิ อุยฺยาเน วสาเปโนฺต ปฎิชคฺคิ, ตโต ปฎฺฐาย มณฺฑโพฺย อาณิมณฺฑโพฺย นาม ชาโตฯ โส ราชานํ อุปนิสฺสาย ตเตฺถว วสิ, ทีปายโน ปน ตสฺส วณํ ผาสุกํ กตฺวา อตฺตโน คิหิสหายมณฺฑพฺยสฺส สนฺติกเมว คโตฯ

    Punadivase ārakkhapurisā āgantvā taṃ pavattiṃ rañño ārocesuṃ. Rājā ‘‘anisāmetvāva me kata’’nti vegena tattha gantvā ‘‘pabbajita, kasmā sūlaṃ nissāya nisinnosī’’ti dīpāyanaṃ pucchi. Mahārāja, imaṃ tāpasaṃ rakkhanto nisinnomhi. Kiṃ pana tvaṃ mahārāja, imassa kārakabhāvaṃ vā akārakabhāvaṃ vā ñatvā evaṃ kāresīti? So kammassa asodhitabhāvaṃ ācikkhi. Athassa so ‘‘mahārāja, raññā nāma nisammakārinā bhavitabbaṃ , alaso gihī kāmabhogī na sādhū’’tiādīni vatvā dhammaṃ desesi. Rājā maṇḍabyassa niddosabhāvaṃ ñatvā ‘‘sūlaṃ harathā’’ti āṇāpesi. Sūlaṃ harantā harituṃ na sakkhiṃsu. Maṇḍabyo āha – ‘‘mahārāja, ahaṃ pubbe katakammadosena evarūpaṃ bhayaṃ sampatto, mama sarīrato sūlaṃ harituṃ na sakkā, sace mayhaṃ jīvitaṃ dātukāmo, kakacaṃ āharāpetvā imaṃ sūlaṃ cammasamaṃ chindāpehī’’ti. Rājā tathā kāresi. Antosarīre sūlo antoyeva ahosi. Tadā kira so sukhumaṃ koviḷārasalākaṃ gahetvā makkhikāya vaccamaggaṃ pavesesi, taṃ tassa antosarīreyeva ahosi. So tena kāraṇena amaritvā attano āyukkhayeneva mari, tasmā ayampi na mato. Rājā tāpase vanditvā khamāpetvā ubhopi uyyāne vasāpento paṭijaggi, tato paṭṭhāya maṇḍabyo āṇimaṇḍabyo nāma jāto. So rājānaṃ upanissāya tattheva vasi, dīpāyano pana tassa vaṇaṃ phāsukaṃ katvā attano gihisahāyamaṇḍabyassa santikameva gato.

    ตํ ปณฺณสาลํ ปวิสนฺตํ ทิสฺวา เอโก ปุริโส สหายสฺส อาโรเจสิฯ โส สุตฺวาว ตุฎฺฐจิโตฺต สปุตฺตทาโร พหู คนฺธมาลเตลผาณิตาทีนิ อาทาย ตํ ปณฺณสาลํ คนฺตฺวา ทีปายนํ วนฺทิตฺวา ปาเท โธวิตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา ปานกํ ปาเยตฺวา อาณิมณฺฑพฺยสฺส ปวตฺติํ สุณโนฺต นิสีทิฯ อถสฺส ปุโตฺต ยญฺญทตฺตกุมาโร นาม จงฺกมนโกฎิยํ เคณฺฑุเกน กีฬิ, ตตฺร เจกสฺมิํ วมฺมิเก อาสีวิโส วสติฯ กุมารสฺส ภูมิยํ ปหฎเคณฺฑุโก คนฺตฺวา วมฺมิกพิเล อาสีวิสสฺส มตฺถเก ปติฯ โส อชานโนฺต พิเล หตฺถํ ปเวเสสิฯ อถ นํ กุโทฺธ อาสีวิโส หเตฺถ ฑํสิฯ โส วิสเวเคน มุจฺฉิโต ตเตฺถว ปติฯ อถสฺส มาตาปิตโร สเปฺปน ฑฎฺฐภาวํ ญตฺวา กุมารกํ อุกฺขิปิตฺวา ตาปสสฺส สนฺติกํ อาเนตฺวา ปาทมูเล นิปชฺชาเปตฺวา ‘‘ภเนฺต, ปพฺพชิตา นาม โอสธํ วา ปริตฺตํ วา ชานนฺติ, ปุตฺตกํ โน อาโรคํ กโรถา’’ติ อาหํสุฯ อหํ โอสธํ น ชานามิ, นาหํ เวชฺชกมฺมํ กริสฺสามีติฯ ‘‘เตน หิ ภเนฺต, อิมสฺมิํ กุมารเก เมตฺตํ กตฺวา สจฺจกิริยํ กโรถา’’ติ วุเตฺต ตาปโส ‘‘สาธุ, สจฺจกิริยํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา ยญฺญทตฺตสฺส สีเส หตฺถํ ฐเปตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Taṃ paṇṇasālaṃ pavisantaṃ disvā eko puriso sahāyassa ārocesi. So sutvāva tuṭṭhacitto saputtadāro bahū gandhamālatelaphāṇitādīni ādāya taṃ paṇṇasālaṃ gantvā dīpāyanaṃ vanditvā pāde dhovitvā telena makkhetvā pānakaṃ pāyetvā āṇimaṇḍabyassa pavattiṃ suṇanto nisīdi. Athassa putto yaññadattakumāro nāma caṅkamanakoṭiyaṃ geṇḍukena kīḷi, tatra cekasmiṃ vammike āsīviso vasati. Kumārassa bhūmiyaṃ pahaṭageṇḍuko gantvā vammikabile āsīvisassa matthake pati. So ajānanto bile hatthaṃ pavesesi. Atha naṃ kuddho āsīviso hatthe ḍaṃsi. So visavegena mucchito tattheva pati. Athassa mātāpitaro sappena ḍaṭṭhabhāvaṃ ñatvā kumārakaṃ ukkhipitvā tāpasassa santikaṃ ānetvā pādamūle nipajjāpetvā ‘‘bhante, pabbajitā nāma osadhaṃ vā parittaṃ vā jānanti, puttakaṃ no ārogaṃ karothā’’ti āhaṃsu. Ahaṃ osadhaṃ na jānāmi, nāhaṃ vejjakammaṃ karissāmīti. ‘‘Tena hi bhante, imasmiṃ kumārake mettaṃ katvā saccakiriyaṃ karothā’’ti vutte tāpaso ‘‘sādhu, saccakiriyaṃ karissāmī’’ti vatvā yaññadattassa sīse hatthaṃ ṭhapetvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๖๒.

    62.

    ‘‘สตฺตาหเมวาหํ ปสนฺนจิโตฺต, ปุญฺญตฺถิโก อาจริํ พฺรหฺมจริยํ;

    ‘‘Sattāhamevāhaṃ pasannacitto, puññatthiko ācariṃ brahmacariyaṃ;

    อถาปรํ ยํ จริตํ มเมทํ, วสฺสานิ ปญฺญาส สมาธิกานิ;

    Athāparaṃ yaṃ caritaṃ mamedaṃ, vassāni paññāsa samādhikāni;

    อกามโกวาปิ อหํ จรามิ, เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตุ;

    Akāmakovāpi ahaṃ carāmi, etena saccena suvatthi hotu;

    หตํ วิสํ ชีวตุ ยญฺญทโตฺต’’ติฯ

    Hataṃ visaṃ jīvatu yaññadatto’’ti.

    ตตฺถ อถาปรํ ยํ จริตนฺติ ตสฺมา สตฺตาหา อุตฺตริ ยํ มม พฺรหฺมจริยํฯ อกามโกวาปีติ ปพฺพชฺชํ อนิจฺฉโนฺตเยวฯ เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตูติ สเจ อติเรกปณฺณาสวสฺสานิ อนภิรติวาสํ วสเนฺตน มยา กสฺสจิ อนาโรจิตภาโว สจฺจํ, เอเตน สเจฺจน ยญฺญทตฺตกุมารสฺส โสตฺถิภาโว โหตุ, ชีวิตํ ปฎิลภตูติฯ

    Tattha athāparaṃ yaṃ caritanti tasmā sattāhā uttari yaṃ mama brahmacariyaṃ. Akāmakovāpīti pabbajjaṃ anicchantoyeva. Etena saccena suvatthi hotūti sace atirekapaṇṇāsavassāni anabhirativāsaṃ vasantena mayā kassaci anārocitabhāvo saccaṃ, etena saccena yaññadattakumārassa sotthibhāvo hotu, jīvitaṃ paṭilabhatūti.

    อถสฺส สห สจฺจกิริยาย ยญฺญทตฺตสฺส ถนปฺปเทสโต อุทฺธํ วิสํ ภสฺสิตฺวา ปถวิํ ปาวิสิฯ กุมาโร อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา มาตาปิตโร โอโลเกตฺวา ‘‘อมฺมตาตา’’ติ วตฺวา ปริวตฺติตฺวา นิปชฺชิฯ อถสฺส ปิตรํ กณฺหทีปายโน อาห – ‘‘มยา ตาว มม พลํ กตํ, ตฺวมฺปิ อตฺตโน พลํ กโรหี’’ติฯ โส ‘‘อหมฺปิ สจฺจกิริยํ กริสฺสามี’’ติ ปุตฺตสฺส อุเร หตฺถํ ฐเปตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Athassa saha saccakiriyāya yaññadattassa thanappadesato uddhaṃ visaṃ bhassitvā pathaviṃ pāvisi. Kumāro akkhīni ummīletvā mātāpitaro oloketvā ‘‘ammatātā’’ti vatvā parivattitvā nipajji. Athassa pitaraṃ kaṇhadīpāyano āha – ‘‘mayā tāva mama balaṃ kataṃ, tvampi attano balaṃ karohī’’ti. So ‘‘ahampi saccakiriyaṃ karissāmī’’ti puttassa ure hatthaṃ ṭhapetvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๖๓.

    63.

    ‘‘ยสฺมา ทานํ นาภินนฺทิํ กทาจิ, ทิสฺวานหํ อติถิํ วาสกาเล;

    ‘‘Yasmā dānaṃ nābhinandiṃ kadāci, disvānahaṃ atithiṃ vāsakāle;

    น จาปิ เม อปฺปิยตํ อเวทุํ, พหุสฺสุตา สมณพฺราหฺมณา จ;

    Na cāpi me appiyataṃ aveduṃ, bahussutā samaṇabrāhmaṇā ca;

    อกามโกวาปิ อหํ ททามิ, เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตุ;

    Akāmakovāpi ahaṃ dadāmi, etena saccena suvatthi hotu;

    หตํ วิสํ ชีวตุ ยญฺญทโตฺต’’ติฯ

    Hataṃ visaṃ jīvatu yaññadatto’’ti.

    ตตฺถ วาสกาเลติ วสนตฺถาย เคหํ อาคตกาเลฯ น จาปิ เม อปฺปิยตํ อเวทุนฺติ พหุสฺสุตาปิ สมณพฺราหฺมณา ‘‘อยํ เนว ทานํ อภินนฺทติ น อเมฺห’’ติ อิมํ มม อปฺปิยภาวํ เนว ชานิํสุฯ อหญฺหิ เต ปิยจกฺขูหิเยว โอโลเกมีติ ทีเปติฯ เอเตน สเจฺจนาติ สเจ อหํ ทานํ ททมาโน วิปากํ อสทฺทหิตฺวา อตฺตโน อนิจฺฉาย ทมฺมิ, อนิจฺฉนภาวํ มม ปเร น ชานนฺติ, เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตูติ อโตฺถฯ

    Tattha vāsakāleti vasanatthāya gehaṃ āgatakāle. Na cāpi me appiyataṃ avedunti bahussutāpi samaṇabrāhmaṇā ‘‘ayaṃ neva dānaṃ abhinandati na amhe’’ti imaṃ mama appiyabhāvaṃ neva jāniṃsu. Ahañhi te piyacakkhūhiyeva olokemīti dīpeti. Etena saccenāti sace ahaṃ dānaṃ dadamāno vipākaṃ asaddahitvā attano anicchāya dammi, anicchanabhāvaṃ mama pare na jānanti, etena saccena suvatthi hotūti attho.

    เอวํ ตสฺส สจฺจกิริยาย สห กฎิโต อุทฺธํ วิสํ ภสฺสิตฺวา ปถวิํ ปาวิสิฯ กุมาโร อุฎฺฐาย นิสีทิ, ฐาตุํ ปน น สโกฺกติฯ อถสฺส ปิตา มาตรํ อาห ‘‘ภเทฺท, มยา อตฺตโน พลํ กตํ, ตฺวํ อิทานิ สจฺจกิริยํ กตฺวา ปุตฺตสฺส อุฎฺฐาย คมนภาวํ กโรหี’’ติฯ ‘‘สามิ, อตฺถิ มยฺหํ เอกํ สจฺจํ, ตว ปน สนฺติเก กเถตุํ น สโกฺกมี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, ยถา ตถา เม ปุตฺตํ อโรคํ กโรหี’’ติฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สจฺจํ กโรนฺตี ตติยํ คาถมาห –

    Evaṃ tassa saccakiriyāya saha kaṭito uddhaṃ visaṃ bhassitvā pathaviṃ pāvisi. Kumāro uṭṭhāya nisīdi, ṭhātuṃ pana na sakkoti. Athassa pitā mātaraṃ āha ‘‘bhadde, mayā attano balaṃ kataṃ, tvaṃ idāni saccakiriyaṃ katvā puttassa uṭṭhāya gamanabhāvaṃ karohī’’ti. ‘‘Sāmi, atthi mayhaṃ ekaṃ saccaṃ, tava pana santike kathetuṃ na sakkomī’’ti. ‘‘Bhadde, yathā tathā me puttaṃ arogaṃ karohī’’ti. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā saccaṃ karontī tatiyaṃ gāthamāha –

    ๖๔.

    64.

    ‘‘อาสีวิโส ตาต ปหูตเตโช, โย ตํ อฑํสี พิลรา อุทิจฺจ;

    ‘‘Āsīviso tāta pahūtatejo, yo taṃ aḍaṃsī bilarā udicca;

    ตสฺมิญฺจ เม อปฺปิยตาย อชฺช, ปิตรญฺจ เต นตฺถิ โกจิ วิเสโส;

    Tasmiñca me appiyatāya ajja, pitarañca te natthi koci viseso;

    เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตุ, หตํ วิสํ ชีวตุ ยญฺญทโตฺต’’ติฯ

    Etena saccena suvatthi hotu, hataṃ visaṃ jīvatu yaññadatto’’ti.

    ตตฺถ ตาตาติ ปุตฺตํ อาลปติฯ ปหูตเตโชติ พลววิโสฯ พิลราติ วิวรา, อยเมว วา ปาโฐฯ อุทิจฺจาติ อุฎฺฐหิตฺวา, วมฺมิกพิลโต อุฎฺฐายาติ อโตฺถฯ ปิตรญฺจ เตติ ปิตริ จ เตฯ อฎฺฐกถายํ ปน อยเมว ปาโฐฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ตาต, ยญฺญทตฺต ตสฺมิญฺจ อาสีวิเส ตว ปิตริ จ อปฺปิยภาเวน มยฺหํ โกจิ วิเสโส นตฺถิฯ ตญฺจ ปน อปฺปิยภาวํ ฐเปตฺวา อชฺช มยา โกจิ ชานาปิตปุโพฺพ นาม นตฺถิ, สเจ เอตํ สจฺจํ, เอเตน สเจฺจน ตว โสตฺถิ โหตู’’ติฯ

    Tattha tātāti puttaṃ ālapati. Pahūtatejoti balavaviso. Bilarāti vivarā, ayameva vā pāṭho. Udiccāti uṭṭhahitvā, vammikabilato uṭṭhāyāti attho. Pitarañca teti pitari ca te. Aṭṭhakathāyaṃ pana ayameva pāṭho. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘tāta, yaññadatta tasmiñca āsīvise tava pitari ca appiyabhāvena mayhaṃ koci viseso natthi. Tañca pana appiyabhāvaṃ ṭhapetvā ajja mayā koci jānāpitapubbo nāma natthi, sace etaṃ saccaṃ, etena saccena tava sotthi hotū’’ti.

    สห จ สจฺจกิริยาย สพฺพํ วิสํ ภสฺสิตฺวา ปถวิํ ปาวิสิฯ ยญฺญทโตฺต นิพฺพิเสน สรีเรน อุฎฺฐาย กีฬิตุํ อารโทฺธฯ เอวํ ปุเตฺต อุฎฺฐิเต มณฺฑโพฺย ทีปายนสฺส อชฺฌาสยํ ปุจฺฉโนฺต จตุตฺถํ คาถมาห –

    Saha ca saccakiriyāya sabbaṃ visaṃ bhassitvā pathaviṃ pāvisi. Yaññadatto nibbisena sarīrena uṭṭhāya kīḷituṃ āraddho. Evaṃ putte uṭṭhite maṇḍabyo dīpāyanassa ajjhāsayaṃ pucchanto catutthaṃ gāthamāha –

    ๖๕.

    65.

    ‘‘สนฺตา ทนฺตาเยว ปริพฺพชนฺติ, อญฺญตฺร กณฺหา นตฺถากามรูปา;

    ‘‘Santā dantāyeva paribbajanti, aññatra kaṇhā natthākāmarūpā;

    ทีปายน กิสฺส ชิคุจฺฉมาโน, อกามโก จรสิ พฺรหฺมจริย’’นฺติฯ

    Dīpāyana kissa jigucchamāno, akāmako carasi brahmacariya’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – เย เกจิ ขตฺติยาทโย กาเม ปหาย อิธ โลเก ปพฺพชนฺติ, เต อญฺญตฺร กณฺหา ภวนฺตํ กณฺหํ ฐเปตฺวา อเญฺญ อกามรูปา นาม นตฺถิ, สเพฺพ ฌานภาวนาย กิเลสานํ สมิตตฺตา สนฺตา, จกฺขาทีนิ ทฺวารานิ ยถา นิพฺพิเสวนานิ โหนฺติ, ตถา เตสํ ทมิตตฺตา ทนฺตา หุตฺวา อภิรตาว พฺรหฺมจริยํ จรนฺติ, ตฺวํ ปน ภเนฺต ทีปายน, กิํการณา ตปํ ชิคุจฺฉมาโน อกามโก หุตฺวา พฺรหฺมจริยํ จรสิ, กสฺมา ปุน น อคารเมว อชฺฌาวสสีติฯ

    Tassattho – ye keci khattiyādayo kāme pahāya idha loke pabbajanti, te aññatra kaṇhā bhavantaṃ kaṇhaṃ ṭhapetvā aññe akāmarūpā nāma natthi, sabbe jhānabhāvanāya kilesānaṃ samitattā santā, cakkhādīni dvārāni yathā nibbisevanāni honti, tathā tesaṃ damitattā dantā hutvā abhiratāva brahmacariyaṃ caranti, tvaṃ pana bhante dīpāyana, kiṃkāraṇā tapaṃ jigucchamāno akāmako hutvā brahmacariyaṃ carasi, kasmā puna na agārameva ajjhāvasasīti.

    อถสฺส โส การณํ กเถโนฺต ปญฺจมํ คาถมาห –

    Athassa so kāraṇaṃ kathento pañcamaṃ gāthamāha –

    ๖๖.

    66.

    ‘‘สทฺธาย นิกฺขมฺม ปุนํ นิวโตฺต, โส เอฬมูโคว พาโล วตายํ;

    ‘‘Saddhāya nikkhamma punaṃ nivatto, so eḷamūgova bālo vatāyaṃ;

    เอตสฺส วาทสฺส ชิคุจฺฉมาโน, อกามโก จรามิ พฺรหฺมจริยํ;

    Etassa vādassa jigucchamāno, akāmako carāmi brahmacariyaṃ;

    วิญฺญุปฺปสตฺถญฺจ สตญฺจ ฐานํ, เอวมฺปหํ ปุญฺญกโร ภวามี’’ติฯ

    Viññuppasatthañca satañca ṭhānaṃ, evampahaṃ puññakaro bhavāmī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – กโณฺห กมฺมญฺจ ผลญฺจ สทฺทหิตฺวา ตาว มหนฺตํ วิภวํ ปหาย อคารา นิกฺขมิตฺวา ยํ ชหิ, ปุน ตทตฺถเมว นิวโตฺตฯ โส อยํ เอฬมูโค คามทารโก วิย พาโล วตาติ อิมํ วาทํ ชิคุจฺฉมาโน อหํ อตฺตโน หิโรตฺตปฺปเภทภเยน อนิจฺฉมาโนปิ พฺรหฺมจริยํ จรามิฯ กิญฺจ ภิโยฺย ปพฺพชฺชาปุญฺญญฺจ นาเมตํ วิญฺญูหิ พุทฺธาทีหิ ปสตฺถํ, เตสํเยว จ สตํ นิวาสฎฺฐานํฯ เอวํ อิมินาปิ การเณน อหํ ปุญฺญกโร ภวามิ, อสฺสุมุโขปิ รุทมาโน พฺรหฺมจริยํ จรามิเยวาติฯ

    Tassattho – kaṇho kammañca phalañca saddahitvā tāva mahantaṃ vibhavaṃ pahāya agārā nikkhamitvā yaṃ jahi, puna tadatthameva nivatto. So ayaṃ eḷamūgo gāmadārako viya bālo vatāti imaṃ vādaṃ jigucchamāno ahaṃ attano hirottappabhedabhayena anicchamānopi brahmacariyaṃ carāmi. Kiñca bhiyyo pabbajjāpuññañca nāmetaṃ viññūhi buddhādīhi pasatthaṃ, tesaṃyeva ca sataṃ nivāsaṭṭhānaṃ. Evaṃ imināpi kāraṇena ahaṃ puññakaro bhavāmi, assumukhopi rudamāno brahmacariyaṃ carāmiyevāti.

    เอวํ โส อตฺตโน อชฺฌาสยํ กเถตฺวา ปุน มณฺฑพฺยํ ปุจฺฉโนฺต ฉฎฺฐํ คาถมาห –

    Evaṃ so attano ajjhāsayaṃ kathetvā puna maṇḍabyaṃ pucchanto chaṭṭhaṃ gāthamāha –

    ๖๗.

    67.

    ‘‘สมเณ ตุวํ พฺราหฺมเณ อทฺธิเก จ, สนฺตปฺปยาสิ อนฺนปาเนน ภิกฺขํ;

    ‘‘Samaṇe tuvaṃ brāhmaṇe addhike ca, santappayāsi annapānena bhikkhaṃ;

    โอปานภูตํว ฆรํ ตว ยิทํ, อเนฺนน ปาเนน อุเปตรูปํ;

    Opānabhūtaṃva gharaṃ tava yidaṃ, annena pānena upetarūpaṃ;

    อถ กิสฺส วาทสฺส ชิคุจฺฉมาโน, อกามโก ทานมิมํ ททาสี’’ติฯ

    Atha kissa vādassa jigucchamāno, akāmako dānamimaṃ dadāsī’’ti.

    ตตฺถ ภิกฺขนฺติ ภิกฺขาย จรนฺตานํ ภิกฺขญฺจ สมฺปาเทตฺวา ททาสิฯ โอปานภูตํวาติ จตุมหาปเถ ขตสาธารณโปกฺขรณี วิยฯ

    Tattha bhikkhanti bhikkhāya carantānaṃ bhikkhañca sampādetvā dadāsi. Opānabhūtaṃvāti catumahāpathe khatasādhāraṇapokkharaṇī viya.

    ตโต มณฺฑโพฺย อตฺตโน อชฺฌาสยํ กเถโนฺต สตฺตมํ คาถมาห –

    Tato maṇḍabyo attano ajjhāsayaṃ kathento sattamaṃ gāthamāha –

    ๖๘.

    68.

    ‘‘ปิตโร จ เม อาสุํ ปิตามหา จ, สทฺธา อหุํ ทานปตี วทญฺญู;

    ‘‘Pitaro ca me āsuṃ pitāmahā ca, saddhā ahuṃ dānapatī vadaññū;

    ตํ กุลฺลวตฺตํ อนุวตฺตมาโน, มาหํ กุเล อนฺติมคนฺธโน อหุํ;

    Taṃ kullavattaṃ anuvattamāno, māhaṃ kule antimagandhano ahuṃ;

    เอตสฺส วาทสฺส ชิคุจฺฉมาโน, อกามโก ทานมิมํ ททามี’’ติฯ

    Etassa vādassa jigucchamāno, akāmako dānamimaṃ dadāmī’’ti.

    ตตฺถ ‘‘อาสุ’’นฺติ ปทสฺส ‘‘สทฺธา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธ, สทฺธา อเหสุนฺติ อโตฺถฯ อหุนฺติ สทฺธา หุตฺวา ตโต อุตฺตริ ทานเชฎฺฐกา เจว ‘‘เทถ กโรถา’’ติ วุตฺตวจนสฺส อตฺถชานนกา จ อเหสุํฯ ตํ กุลฺลวตฺตนฺติ ตํ กุลวตฺตํ, อฎฺฐกถายํ ปน อยเมว ปาโฐฯ มาหํ กุเล อนฺติมคนฺธโน อหุนฺติ ‘‘อหํ อตฺตโน กุเล สพฺพปจฺฉิมโก เจว กุลปลาโป จ มา อหุ’’นฺติ สลฺลเกฺขตฺวา เอตํ ‘‘กุลอนฺติโม กุลปลาโป’’ติ วาทํ ชิคุจฺฉมาโน ทานํ อนิจฺฉโนฺตปิ อิทํ ทานํ ททามีติ ทีเปติฯ

    Tattha ‘‘āsu’’nti padassa ‘‘saddhā’’ti iminā sambandho, saddhā ahesunti attho. Ahunti saddhā hutvā tato uttari dānajeṭṭhakā ceva ‘‘detha karothā’’ti vuttavacanassa atthajānanakā ca ahesuṃ. Taṃ kullavattanti taṃ kulavattaṃ, aṭṭhakathāyaṃ pana ayameva pāṭho. Māhaṃ kule antimagandhano ahunti ‘‘ahaṃ attano kule sabbapacchimako ceva kulapalāpo ca mā ahu’’nti sallakkhetvā etaṃ ‘‘kulaantimo kulapalāpo’’ti vādaṃ jigucchamāno dānaṃ anicchantopi idaṃ dānaṃ dadāmīti dīpeti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มณฺฑโพฺย อตฺตโน ภริยํ ปุจฺฉมาโน อฎฺฐมํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā maṇḍabyo attano bhariyaṃ pucchamāno aṭṭhamaṃ gāthamāha –

    ๖๙.

    69.

    ‘‘ทหริํ กุมาริํ อสมตฺถปญฺญํ, ยํ ตานยิํ ญาติกุลา สุคเตฺต;

    ‘‘Dahariṃ kumāriṃ asamatthapaññaṃ, yaṃ tānayiṃ ñātikulā sugatte;

    น จาปิ เม อปฺปิยตํ อเวทิ, อญฺญตฺร กามา ปริจารยนฺตา;

    Na cāpi me appiyataṃ avedi, aññatra kāmā paricārayantā;

    อถ เกน วเณฺณน มยา เต โภติ, สํวาสธโมฺม อหุ เอวรูโป’’ติฯ

    Atha kena vaṇṇena mayā te bhoti, saṃvāsadhammo ahu evarūpo’’ti.

    ตตฺถ อสมตฺถปญฺญนฺติ กุฎุมฺพํ วิจาเรตุํ อปฺปฎิพลปญฺญํ อติตรุณิเญฺญว สมานํฯ ยํ ตานยินฺติ ยํ ตํ อานยิํ, อหํ ทหริเมว สมานํ ตํ ญาติกุลโต อาเนสินฺติ วุตฺตํ โหติฯ อญฺญตฺร กามา ปริจารยนฺตาติ เอตฺตกํ กาลํ วินา กาเมน อนิจฺฉาย มํ ปริจารยนฺตาปิ อตฺตโน อปฺปิยตํ มํ น ชานาเปสิ, สมฺปิยายมานรูปาว ปริจริฯ เกน วเณฺณนาติ เกน การเณนฯ โภตีติ ตํ อาลปติฯ เอวรูโปติ อาสีวิสสมานปฎิกูลภาเวน มยา สทฺธิํ ตว สํวาสธโมฺม เอวรูโป ปิยสํวาโส วิย กถํ ชาโตติฯ

    Tattha asamatthapaññanti kuṭumbaṃ vicāretuṃ appaṭibalapaññaṃ atitaruṇiññeva samānaṃ. Yaṃ tānayinti yaṃ taṃ ānayiṃ, ahaṃ daharimeva samānaṃ taṃ ñātikulato ānesinti vuttaṃ hoti. Aññatra kāmā paricārayantāti ettakaṃ kālaṃ vinā kāmena anicchāya maṃ paricārayantāpi attano appiyataṃ maṃ na jānāpesi, sampiyāyamānarūpāva paricari. Kena vaṇṇenāti kena kāraṇena. Bhotīti taṃ ālapati. Evarūpoti āsīvisasamānapaṭikūlabhāvena mayā saddhiṃ tava saṃvāsadhammo evarūpo piyasaṃvāso viya kathaṃ jātoti.

    อถสฺส สา กเถนฺตี นวมํ คาถมาห –

    Athassa sā kathentī navamaṃ gāthamāha –

    ๗๐.

    70.

    ‘‘อารา ทูเร นยิธ กทาจิ อตฺถิ, ปรมฺปรา นาม กุเล อิมสฺมิํ;

    ‘‘Ārā dūre nayidha kadāci atthi, paramparā nāma kule imasmiṃ;

    ตํ กุลฺลวตฺตํ อนุวตฺตมานา, มาหํ กุเล อนฺติมคนฺธินี อหุํ;

    Taṃ kullavattaṃ anuvattamānā, māhaṃ kule antimagandhinī ahuṃ;

    เอตสฺส วาทสฺส ชิคุจฺฉมานา, อกามิกา ปทฺธจรามฺหิ ตุยฺห’’นฺติฯ

    Etassa vādassa jigucchamānā, akāmikā paddhacarāmhi tuyha’’nti.

    ตตฺถ อารา ทูเรติ อญฺญมญฺญเววจนํฯ อติทูเรติ วา ทเสฺสนฺตี เอวมาหฯ อิธาติ นิปาตมตฺตํ, น กทาจีติ อโตฺถฯ ปรมฺปราติ ปุริสปรมฺปราฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สามิ, อิมสฺมิํ อมฺหากํ ญาติกุเล ทูรโต ปฎฺฐาย ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา ปุริสปรมฺปรา นาม น กทาจิ อตฺถิ, เอกิตฺถิยาปิ สามิกํ ฉเฑฺฑตฺวา อโญฺญ ปุริโส คหิตปุโพฺพ นาม นตฺถีติฯ ตํ กุลฺลวตฺตนฺติ อหมฺปิ ตํ กุลวตฺตํ กุลปเวณิํ อนุวตฺตมานา อตฺตโน กุเล ปจฺฉิมิกา ปลาลภูตา มา อหุนฺติ สลฺลเกฺขตฺวา เอตํ กุลอนฺติมา กุลคนฺธินีติ วาทํ ชิคุจฺฉมานา อกามิกาปิ ตุยฺหํ ปทฺธจรามฺหิ เวยฺยาวจฺจการิกา ปาทปริจาริกา ชาตามฺหีติฯ

    Tattha ārā dūreti aññamaññavevacanaṃ. Atidūreti vā dassentī evamāha. Idhāti nipātamattaṃ, na kadācīti attho. Paramparāti purisaparamparā. Idaṃ vuttaṃ hoti – sāmi, imasmiṃ amhākaṃ ñātikule dūrato paṭṭhāya yāva sattamā kulaparivaṭṭā purisaparamparā nāma na kadāci atthi, ekitthiyāpi sāmikaṃ chaḍḍetvā añño puriso gahitapubbo nāma natthīti. Taṃ kullavattanti ahampi taṃ kulavattaṃ kulapaveṇiṃ anuvattamānā attano kule pacchimikā palālabhūtā mā ahunti sallakkhetvā etaṃ kulaantimā kulagandhinīti vādaṃ jigucchamānā akāmikāpi tuyhaṃ paddhacarāmhi veyyāvaccakārikā pādaparicārikā jātāmhīti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘มยา สามิกสฺส สนฺติเก อภาสิตปุพฺพํ คุยฺหํ ภาสิตํ, กุเชฺฌยฺยปิ เม อยํ, อมฺหากํ กุลูปกตาปสสฺส สมฺมุเขเยว ขมาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ขมาเปนฺตี ทสมํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘mayā sāmikassa santike abhāsitapubbaṃ guyhaṃ bhāsitaṃ, kujjheyyapi me ayaṃ, amhākaṃ kulūpakatāpasassa sammukheyeva khamāpessāmī’’ti cintetvā khamāpentī dasamaṃ gāthamāha –

    ๗๑.

    71.

    ‘‘มณฺฑพฺย ภาสิํ ยมภาสเนยฺยํ, ตํ ขมฺยตํ ปุตฺตกเหตุ มชฺช;

    ‘‘Maṇḍabya bhāsiṃ yamabhāsaneyyaṃ, taṃ khamyataṃ puttakahetu majja;

    ปุตฺตเปมา น อิธ ปรตฺถิ กิญฺจิ, โส โน อยํ ชีวติ ยญฺญทโตฺต’’ติฯ

    Puttapemā na idha paratthi kiñci, so no ayaṃ jīvati yaññadatto’’ti.

    ตตฺถ ตํ ขมฺยตนฺติ ตํ ขมยตุฯ ปุตฺตกเหตุ มชฺชาติ ตํ มม ภาสิตํ อชฺช อิมสฺส ปุตฺตสฺส เหตุ ขมยตุฯ โส โน อยนฺติ ยสฺส ปุตฺตสฺส การณา มยา เอตํ ภาสิตํ, โส โน ปุโตฺต ชีวติ, อิมสฺส ชีวิตลาภภาเวน เม ขม สามิ, อชฺชโต ปฎฺฐาย ตว วสวตฺตินี ภวิสฺสามีติฯ

    Tattha taṃ khamyatanti taṃ khamayatu. Puttakahetu majjāti taṃ mama bhāsitaṃ ajja imassa puttassa hetu khamayatu. So no ayanti yassa puttassa kāraṇā mayā etaṃ bhāsitaṃ, so no putto jīvati, imassa jīvitalābhabhāvena me khama sāmi, ajjato paṭṭhāya tava vasavattinī bhavissāmīti.

    อถ นํ มณฺฑโพฺย ‘‘อุเฎฺฐหิ ภเทฺท, ขมามิ เต, อิโต ปน ปฎฺฐาย มา ผรุสจิตฺตา อโหสิ, อหมฺปิ เต อปฺปิยํ น กริสฺสามี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต มณฺฑพฺยํ อาห – ‘‘อาวุโส, ตยา ทุสฺสงฺฆรํ ธนํ สงฺฆริตฺวา กมฺมญฺจ ผลญฺจ อสทฺทหิตฺวา ทานํ ททเนฺตน อยุตฺตํ กตํ, อิโต ปฎฺฐาย ทานํ สทฺทหิตฺวา เทหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา โพธิสตฺตํ อาห – ‘‘ภเนฺต, ตยา อมฺหากํ ทกฺขิเณยฺยภาเว ฐตฺวา อนภิรเตน พฺรหฺมจริยํ จรเนฺตน อยุตฺตํ กตํ, อิโต ปฎฺฐาย อิทานิ ยถา ตยิ กตการา มหปฺผลา โหนฺติ, เอวํ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา สุทฺธจิโตฺต อภิรโต หุตฺวา พฺรหฺมจริยํ จราหี’’ติฯ เต มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา อุฎฺฐาย อคมํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย ภริยา สามิเก สเสฺนหา อโหสิ, มณฺฑโพฺย ปสนฺนจิโตฺต สทฺธาย ทานํ อทาสิฯ โพธิสโตฺต อนภิรติํ วิโนเทตฺวา ฌานาภิญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ

    Atha naṃ maṇḍabyo ‘‘uṭṭhehi bhadde, khamāmi te, ito pana paṭṭhāya mā pharusacittā ahosi, ahampi te appiyaṃ na karissāmī’’ti āha. Bodhisatto maṇḍabyaṃ āha – ‘‘āvuso, tayā dussaṅgharaṃ dhanaṃ saṅgharitvā kammañca phalañca asaddahitvā dānaṃ dadantena ayuttaṃ kataṃ, ito paṭṭhāya dānaṃ saddahitvā dehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā bodhisattaṃ āha – ‘‘bhante, tayā amhākaṃ dakkhiṇeyyabhāve ṭhatvā anabhiratena brahmacariyaṃ carantena ayuttaṃ kataṃ, ito paṭṭhāya idāni yathā tayi katakārā mahapphalā honti, evaṃ cittaṃ pasādetvā suddhacitto abhirato hutvā brahmacariyaṃ carāhī’’ti. Te mahāsattaṃ vanditvā uṭṭhāya agamaṃsu. Tato paṭṭhāya bhariyā sāmike sasnehā ahosi, maṇḍabyo pasannacitto saddhāya dānaṃ adāsi. Bodhisatto anabhiratiṃ vinodetvā jhānābhiññaṃ uppādetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิโต ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิ ฯ ตทา มณฺฑโพฺย อานโนฺท อโหสิ, ภริยา วิสาขา, ปุโตฺต ราหุโล, อาณิมณฺฑโพฺย สาริปุโตฺต, กณฺหทีปายโน ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhito bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi . Tadā maṇḍabyo ānando ahosi, bhariyā visākhā, putto rāhulo, āṇimaṇḍabyo sāriputto, kaṇhadīpāyano pana ahameva ahosinti.

    กณฺหทีปายนชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ

    Kaṇhadīpāyanajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๔๔. กณฺหทีปายนชาตกํ • 444. Kaṇhadīpāyanajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact