Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๙] ๙. กณฺหชาตกวณฺณนา
[29] 9. Kaṇhajātakavaṇṇanā
ยโต ยโต ครุ ธุรนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ยมกปาฎิหาริยํ อารพฺภ กเถสิฯ ตํ สทฺธิํ เทโวโรหเณน เตรสกนิปาเต สรภมิคชาตเก (ชา. ๑.๑๓.๑๓๔ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธ ปน ยมกปาฎิหาริยํ กตฺวา เทวโลเก เตมาสํ วสิตฺวา มหาปวารณาย สงฺกสฺสนครทฺวาเร โอรุยฺห มหเนฺตน ปริวาเรน เชตวนํ ปวิเฎฺฐ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตฺวา ‘‘อาวุโส, ตถาคโต นาม อสมธุโร, ตถาคเตน วุฬฺหธุรํ อโญฺญ วหิตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, ฉ สตฺถาโร ‘มยเมว ปาฎิหาริยํ กริสฺสาม, มยเมว ปาฎิหาริยํ กริสฺสามา’ติ วตฺวา เอกมฺปิ ปาฎิหาริยํ น อกํสุ, อโห สตฺถา อสมธุโร’’ติ สตฺถุ คุณกถํ กเถนฺตา นิสีทิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยํ, ภเนฺต, น อญฺญาย กถาย, เอวรูปาย นาม ตุมฺหากเมว คุณกถายา’’ติฯ สตฺถา ‘‘ภิกฺขเว, อิทานิ มยา วุฬฺหธุรํ โก วหิสฺสติ, ปุเพฺพ ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพโตฺตปิ อหํ อตฺตนา สมธุรํ กญฺจิ นาลตฺถ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yato yato garu dhuranti idaṃ satthā jetavane viharanto yamakapāṭihāriyaṃ ārabbha kathesi. Taṃ saddhiṃ devorohaṇena terasakanipāte sarabhamigajātake (jā. 1.13.134 ādayo) āvi bhavissati. Sammāsambuddhe pana yamakapāṭihāriyaṃ katvā devaloke temāsaṃ vasitvā mahāpavāraṇāya saṅkassanagaradvāre oruyha mahantena parivārena jetavanaṃ paviṭṭhe bhikkhū dhammasabhāyaṃ sannipatitvā ‘‘āvuso, tathāgato nāma asamadhuro, tathāgatena vuḷhadhuraṃ añño vahituṃ samattho nāma natthi, cha satthāro ‘mayameva pāṭihāriyaṃ karissāma, mayameva pāṭihāriyaṃ karissāmā’ti vatvā ekampi pāṭihāriyaṃ na akaṃsu, aho satthā asamadhuro’’ti satthu guṇakathaṃ kathentā nisīdiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchi. ‘‘Mayaṃ, bhante, na aññāya kathāya, evarūpāya nāma tumhākameva guṇakathāyā’’ti. Satthā ‘‘bhikkhave, idāni mayā vuḷhadhuraṃ ko vahissati, pubbe tiracchānayoniyaṃ nibbattopi ahaṃ attanā samadhuraṃ kañci nālattha’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต โคโยนิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ อถ นํ สามิกา ตรุณวจฺฉกกาเลเยว เอกิสฺสา มหลฺลิกาย ฆเร วสิตฺวา ตสฺสา นิวาสเวตนโต ปริจฺฉินฺทิตฺวา อทํสุฯ สา ตํ ยาคุภตฺตาทีหิ ปฎิชคฺคมานา ปุตฺตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา วเฑฺฒสิฯ โส ‘‘อยฺยิกากาฬโก’’ เตฺวว นามํ ปญฺญายิตฺถฯ วยปฺปโตฺต จ อญฺชนวโณฺณ หุตฺวา คามโคเณหิ สทฺธิํ จรติ, สีลาจารสมฺปโนฺน อโหสิฯ คามทารกา สิเงฺคสุปิ กเณฺณสุปิ คเลปิ คเหตฺวา โอลมฺพนฺติ, นงฺคุเฎฺฐปิ คเหตฺวา กีฬนฺติ, ปิฎฺฐิยมฺปิ นิสีทนฺติฯ โส เอกทิวสํ จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ มาตา ทุคฺคตา, มํ ปุตฺตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ทุเกฺขน โปเสสิ, ยํนูนาหํ ภติํ กตฺวา อิมํ ทุคฺคตภาวโต โมเจยฺย’’นฺติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ภติํ อุปธาเรโนฺต จรติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto goyoniyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Atha naṃ sāmikā taruṇavacchakakāleyeva ekissā mahallikāya ghare vasitvā tassā nivāsavetanato paricchinditvā adaṃsu. Sā taṃ yāgubhattādīhi paṭijaggamānā puttaṭṭhāne ṭhapetvā vaḍḍhesi. So ‘‘ayyikākāḷako’’ tveva nāmaṃ paññāyittha. Vayappatto ca añjanavaṇṇo hutvā gāmagoṇehi saddhiṃ carati, sīlācārasampanno ahosi. Gāmadārakā siṅgesupi kaṇṇesupi galepi gahetvā olambanti, naṅguṭṭhepi gahetvā kīḷanti, piṭṭhiyampi nisīdanti. So ekadivasaṃ cintesi ‘‘mayhaṃ mātā duggatā, maṃ puttaṭṭhāne ṭhapetvā dukkhena posesi, yaṃnūnāhaṃ bhatiṃ katvā imaṃ duggatabhāvato moceyya’’nti. So tato paṭṭhāya bhatiṃ upadhārento carati.
อเถกทิวสํ เอโก สตฺถวาหปุโตฺต ปญฺจหิ สกฎสเตหิ วิสมติตฺถํ สมฺปโตฺต, ตสฺส โคณา สกฎานิ อุตฺตาเรตุํ น สโกฺกนฺติ, ปญฺจสุ สกฎสเตสุ โคณา ยุคปรมฺปราย โยชิตา เอกมฺปิ สกฎํ อุตฺตาเรตุํ นาสกฺขิํสุฯ โพธิสโตฺตปิ คามโคเณหิ สทฺธิํ ตตฺถ สมีเป จรติฯ สตฺถวาหปุโตฺตปิ โคสุตฺตวิตฺตโก, โส ‘‘อตฺถิ นุ โข เอเตสํ คุนฺนํ อนฺตเร อิมานิ สกฎานิ อุตฺตาเรตุํ สมโตฺถ อุสภาชานีโย’’ติ อุปธารยมาโน โพธิสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อาชานีโย สกฺขิสฺสติ มยฺหํ สกฎานิ อุตฺตาเรตุํ, โก นุ โข อสฺส สามิโก’’ติ โคปาลเก ปุจฺฉิ ‘‘โก นุ โข โภ อิมสฺส สามิโก, อหํ อิมํ สกเฎ โยเชตฺวา สกเฎสุ อุตฺตาริเตสุ เวตนํ ทสฺสามี’’ติฯ เต อาหํสุ ‘‘คเหตฺวา นํ โยเชถ, นตฺถิ อิมสฺส อิมสฺมิํ ฐาเน สามิโก’’ติฯ โส นํ นาสาย รชฺชุเกน พนฺธิตฺวา อากเฑฺฒโนฺต จาเลตุมฺปิ นาสกฺขิฯ โพธิสโตฺต กิร ‘‘ภติยา กถิตาย คมิสฺสามี’’ติ น อคมาสิฯ สตฺถวาหปุโตฺต ตสฺสาธิปฺปายํ ญตฺวา ‘‘สามิ, ตยา ปญฺจสุ สกฎสเตสุ อุตฺตาริเตสุ เอเกกสฺส สกฎสฺส เทฺว เทฺว กหาปเณ ภติํ กตฺวา สหสฺสํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ ตทา โพธิสโตฺต สยเมว อคมาสิฯ อถ นํ ปุริสา ปุริมสกเฎสุ โยเชสุํฯ อถ นํ เอกเวเคเนว อุกฺขิปิตฺวา ถเล ปติฎฺฐาเปสิฯ เอเตนุปาเยน สพฺพสกฎานิ อุตฺตาเรสิฯ
Athekadivasaṃ eko satthavāhaputto pañcahi sakaṭasatehi visamatitthaṃ sampatto, tassa goṇā sakaṭāni uttāretuṃ na sakkonti, pañcasu sakaṭasatesu goṇā yugaparamparāya yojitā ekampi sakaṭaṃ uttāretuṃ nāsakkhiṃsu. Bodhisattopi gāmagoṇehi saddhiṃ tattha samīpe carati. Satthavāhaputtopi gosuttavittako, so ‘‘atthi nu kho etesaṃ gunnaṃ antare imāni sakaṭāni uttāretuṃ samattho usabhājānīyo’’ti upadhārayamāno bodhisattaṃ disvā ‘‘ayaṃ ājānīyo sakkhissati mayhaṃ sakaṭāni uttāretuṃ, ko nu kho assa sāmiko’’ti gopālake pucchi ‘‘ko nu kho bho imassa sāmiko, ahaṃ imaṃ sakaṭe yojetvā sakaṭesu uttāritesu vetanaṃ dassāmī’’ti. Te āhaṃsu ‘‘gahetvā naṃ yojetha, natthi imassa imasmiṃ ṭhāne sāmiko’’ti. So naṃ nāsāya rajjukena bandhitvā ākaḍḍhento cāletumpi nāsakkhi. Bodhisatto kira ‘‘bhatiyā kathitāya gamissāmī’’ti na agamāsi. Satthavāhaputto tassādhippāyaṃ ñatvā ‘‘sāmi, tayā pañcasu sakaṭasatesu uttāritesu ekekassa sakaṭassa dve dve kahāpaṇe bhatiṃ katvā sahassaṃ dassāmī’’ti āha. Tadā bodhisatto sayameva agamāsi. Atha naṃ purisā purimasakaṭesu yojesuṃ. Atha naṃ ekavegeneva ukkhipitvā thale patiṭṭhāpesi. Etenupāyena sabbasakaṭāni uttāresi.
สตฺถวาหปุโตฺต เอเกกสฺส สกฎสฺส เอเกกํ กตฺวา ปญฺจสตานิ ภณฺฑิกํ กตฺวา ตสฺส คเล พนฺธิฯ โส ‘‘อยํ มยฺหํ ยถาปริจฺฉินฺนํ ภติํ น เทติ, น ทานิสฺส คนฺตุํ ทสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา สพฺพปุริมสกฎสฺส ปุรโต มคฺคํ นิวาเรตฺวา อฎฺฐาสิฯ อปเนตุํ วายมนฺตาปิ นํ อปเนตุํ นาสกฺขิํสุฯ สตฺถวาหปุโตฺต ‘‘ชานาติ มเญฺญ เอส อตฺตโน ภติยา อูนภาว’’นฺติ เอเกกสฺมิํ สกเฎ เทฺว เทฺว กตฺวา สหสฺสภณฺฑิกํ พนฺธิตฺวา ‘‘อยํ เต สกฎุตฺตรณภตี’’ติ คีวายํ ลเคฺคสิฯ โส สหสฺสภณฺฑิกํ อาทาย มาตุ สนฺติกํ อคมาสิฯ คามทารกา ‘‘กิํ นาเมตํ อยฺยิกากาฬกสฺส คเล’’ติ โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ อาคจฺฉนฺติฯ โส เต อนุพนฺธิตฺวา ทูรโตว ปลาเปโนฺต มาตุ สนฺติกํ คโตฯ ปญฺจนฺนํ ปน สกฎสตานํ อุตฺตาริตตฺตา รเตฺตหิ อกฺขีหิ กิลนฺตรูโป ปญฺญายิตฺถฯ อยฺยิกา ตสฺส คีวาย สหสฺสตฺถวิกํ ทิสฺวา ‘‘ตาต, อยํ เต กหํ ลทฺธา’’ติ โคปาลกทารเก ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา ‘‘ตาต, กิํ อหํ ตยา ลทฺธภติยา ชีวิตุกามา, กิํการณา เอวรูปํ ทุกฺขํ อนุโภสี’’ติ วตฺวา โพธิสตฺตํ อุโณฺหทเกน นฺหาเปตฺวา สกลสรีรํ เตเลน มเกฺขตฺวา ปานียํ ปาเยตฺวา สปฺปายํ โภชนํ โภเชตฺวา ชีวิตปริโยสาเน สทฺธิํ โพธิสเตฺตน ยถากมฺมํ คตาฯ
Satthavāhaputto ekekassa sakaṭassa ekekaṃ katvā pañcasatāni bhaṇḍikaṃ katvā tassa gale bandhi. So ‘‘ayaṃ mayhaṃ yathāparicchinnaṃ bhatiṃ na deti, na dānissa gantuṃ dassāmī’’ti gantvā sabbapurimasakaṭassa purato maggaṃ nivāretvā aṭṭhāsi. Apanetuṃ vāyamantāpi naṃ apanetuṃ nāsakkhiṃsu. Satthavāhaputto ‘‘jānāti maññe esa attano bhatiyā ūnabhāva’’nti ekekasmiṃ sakaṭe dve dve katvā sahassabhaṇḍikaṃ bandhitvā ‘‘ayaṃ te sakaṭuttaraṇabhatī’’ti gīvāyaṃ laggesi. So sahassabhaṇḍikaṃ ādāya mātu santikaṃ agamāsi. Gāmadārakā ‘‘kiṃ nāmetaṃ ayyikākāḷakassa gale’’ti bodhisattassa santikaṃ āgacchanti. So te anubandhitvā dūratova palāpento mātu santikaṃ gato. Pañcannaṃ pana sakaṭasatānaṃ uttāritattā rattehi akkhīhi kilantarūpo paññāyittha. Ayyikā tassa gīvāya sahassatthavikaṃ disvā ‘‘tāta, ayaṃ te kahaṃ laddhā’’ti gopālakadārake pucchitvā tamatthaṃ sutvā ‘‘tāta, kiṃ ahaṃ tayā laddhabhatiyā jīvitukāmā, kiṃkāraṇā evarūpaṃ dukkhaṃ anubhosī’’ti vatvā bodhisattaṃ uṇhodakena nhāpetvā sakalasarīraṃ telena makkhetvā pānīyaṃ pāyetvā sappāyaṃ bhojanaṃ bhojetvā jīvitapariyosāne saddhiṃ bodhisattena yathākammaṃ gatā.
สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต อิทาเนว อสมธุโร, ปุเพฺพปิ อสมธุโรเยวา’’ติ วตฺวา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมํ คาถมาห –
Satthā ‘‘na, bhikkhave, tathāgato idāneva asamadhuro, pubbepi asamadhuroyevā’’ti vatvā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā abhisambuddho hutvā imaṃ gāthamāha –
๒๙.
29.
‘‘ยโต ยโต ครุ ธุรํ, ยโต คมฺภีรวตฺตนี;
‘‘Yato yato garu dhuraṃ, yato gambhīravattanī;
ตทาสฺสุ กณฺหํ ยุญฺชนฺติ, สฺวาสฺสุ ตํ วหเต ธุร’’นฺติฯ
Tadāssu kaṇhaṃ yuñjanti, svāssu taṃ vahate dhura’’nti.
ตตฺถ ยโต ยโต ครุ ธุรนฺติ ยสฺมิํ ยสฺมิํ ฐาเน ธุรํ ครุ ภาริยํ โหติ, อเญฺญ พลิพทฺทา อุกฺขิปิตุํ น สโกฺกนฺติฯ ยโต คมฺภีรวตฺตนีติ วตฺตนฺติ เอตฺถาติ วตฺตนี, มคฺคเสฺสตํ นามํ, ยสฺมิํ ฐาเน อุทกจิกฺขลฺลมหนฺตตาย วา วิสมจฺฉินฺนตฎภาเวน วา มโคฺค คมฺภีโร โหตีติ อโตฺถฯ ตทาสฺสุ กณฺหํ ยุญฺชนฺตีติ เอตฺถ อสฺสูติ นิปาตมตฺตํ, ตทา กณฺหํ ยุญฺชนฺตีติ อโตฺถฯ ยทา ธุรญฺจ ครุ โหติ มโคฺค จ คมฺภีโร, ตทา อเญฺญ พลิพเทฺท อปเนตฺวา กณฺหเมว โยเชนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ สฺวาสฺสุ ตํ วหเต ธุรนฺติ เอตฺถาปิ อสฺสูติ นิปาตมตฺตเมว, โส ตํ ธุรํ วหตีติ อโตฺถฯ
Tattha yato yato garu dhuranti yasmiṃ yasmiṃ ṭhāne dhuraṃ garu bhāriyaṃ hoti, aññe balibaddā ukkhipituṃ na sakkonti. Yato gambhīravattanīti vattanti etthāti vattanī, maggassetaṃ nāmaṃ, yasmiṃ ṭhāne udakacikkhallamahantatāya vā visamacchinnataṭabhāvena vā maggo gambhīro hotīti attho. Tadāssu kaṇhaṃ yuñjantīti ettha assūti nipātamattaṃ, tadā kaṇhaṃ yuñjantīti attho. Yadā dhurañca garu hoti maggo ca gambhīro, tadā aññe balibadde apanetvā kaṇhameva yojentīti vuttaṃ hoti. Svāssu taṃ vahate dhuranti etthāpi assūti nipātamattameva, so taṃ dhuraṃ vahatīti attho.
เอวํ ภควา ‘‘ตทา, ภิกฺขเว, กโณฺหว ตํ ธุรํ วหตี’’ติ ทเสฺสตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มหลฺลิกา อุปฺปลวณฺณา อโหสิ, อยฺยิกากาฬโก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Evaṃ bhagavā ‘‘tadā, bhikkhave, kaṇhova taṃ dhuraṃ vahatī’’ti dassetvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā mahallikā uppalavaṇṇā ahosi, ayyikākāḷako pana ahameva ahosi’’nti.
กณฺหชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Kaṇhajātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๙. กณฺหชาตกํ • 29. Kaṇhajātakaṃ