Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๔๐] ๒. กณฺหชาตกวณฺณนา
[440] 2. Kaṇhajātakavaṇṇanā
กโณฺห วตายํ ปุริโสติ อิทํ สตฺถา กปิลวตฺถุํ อุปนิสฺสาย นิโคฺรธาราเม วิหรโนฺต สิตปาตุกมฺมํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา กิร สตฺถา สายนฺหสมเย นิโคฺรธาราเม ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ชงฺฆวิหารํ อนุจงฺกมมาโน อญฺญตรสฺมิํ ปเทเส สิตํ ปาตฺวากาสิฯ อานนฺทเตฺถโร ‘‘โก นุ โข เหตุ, โก ปจฺจโย ภควโต สิตสฺส ปาตุกมฺมาย, น อเหตุ ตถาคตา สิตํ ปาตุกโรนฺติ, ปุจฺฉิสฺสามิ ตาวา’’ติ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห สิตการณํ ปุจฺฉิฯ อถสฺส สตฺถา ‘‘ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, กโณฺห นาม อิสิ อโหสิ, โส อิมสฺมิํ ภูมิปฺปเทเส วิหาสิ ฌายี ฌานรโต, ตสฺส สีลเตเชน สกฺกสฺส ภวนํ กมฺปี’’ติ สิตการณํ วตฺวา ตสฺส วตฺถุโน อปากฎตฺตา เถเรน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Kaṇhovatāyaṃ purisoti idaṃ satthā kapilavatthuṃ upanissāya nigrodhārāme viharanto sitapātukammaṃ ārabbha kathesi. Tadā kira satthā sāyanhasamaye nigrodhārāme bhikkhusaṅghaparivuto jaṅghavihāraṃ anucaṅkamamāno aññatarasmiṃ padese sitaṃ pātvākāsi. Ānandatthero ‘‘ko nu kho hetu, ko paccayo bhagavato sitassa pātukammāya, na ahetu tathāgatā sitaṃ pātukaronti, pucchissāmi tāvā’’ti añjaliṃ paggayha sitakāraṇaṃ pucchi. Athassa satthā ‘‘bhūtapubbaṃ, ānanda, kaṇho nāma isi ahosi, so imasmiṃ bhūmippadese vihāsi jhāyī jhānarato, tassa sīlatejena sakkassa bhavanaṃ kampī’’ti sitakāraṇaṃ vatvā tassa vatthuno apākaṭattā therena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต พาราณสิยํ เอเกน อสีติโกฎิวิภเวน อปุตฺตเกน พฺราหฺมเณน สีลํ สมาทิยิตฺวา ปุเตฺต ปตฺถิเต โพธิสโตฺต ตสฺส พฺราหฺมณิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ กาฬวณฺณตฺตา ปนสฺส นามคฺคหณทิวเส ‘‘กณฺหกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ โส โสฬสวสฺสกาเล มณิปฎิมา วิย โสภคฺคปฺปโตฺต หุตฺวา ปิตรา สิปฺปุคฺคหณตฺถาย เปสิโต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคเหตฺวา ปจฺจาคจฺฉิฯ อถ นํ ปิตา อนุรูเปน ทาเรน สํโยเชสิฯ โส อปรภาเค มาตาปิตูนํ อจฺจเยน สพฺพิสฺสริยํ ปฎิปชฺชิฯ อเถกทิวสํ รตนโกฎฺฐาคารานิ วิโลเกตฺวา วรปลฺลงฺกมชฺฌคโต สุวณฺณปฎฺฎํ อาหราเปตฺวา ‘‘เอตฺตกํ ธนํ อสุเกน อุปฺปาทิตํ, เอตฺตกํ อสุเกนา’’ติ ปุพฺพญาตีหิ สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิตานิ อกฺขรานิ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘เยหิ อิมํ ธนํ อุปฺปาทิตํ, เต น ปญฺญายนฺติ, ธนเมว ปญฺญายติ, เอโกปิ อิทํ ธนํ คเหตฺวา คโต นาม นตฺถิ, น โข ปน สกฺกา ธนภณฺฑิกํ พนฺธิตฺวา ปรโลกํ คนฺตุํฯ ปญฺจนฺนํ เวรานํ สาธารณภาเวน หิ อสารสฺส ธนสฺส ทานํ สาโร, พหุโรคสาธารณภาเวน อสารสฺส สรีรสฺส สีลวเนฺตสุ อภิวาทนาทิกมฺมํ สาโร, อนิจฺจาภิภูตภาเวน อสารสฺส ชีวิตสฺส อนิจฺจาทิวเสน วิปสฺสนาโยโค สาโร, ตสฺมา อสาเรหิ โภเคหิ สารคฺคหณตฺถํ ทานํ ทสฺสามี’’ติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bārāṇasiyaṃ ekena asītikoṭivibhavena aputtakena brāhmaṇena sīlaṃ samādiyitvā putte patthite bodhisatto tassa brāhmaṇiyā kucchimhi nibbatti. Kāḷavaṇṇattā panassa nāmaggahaṇadivase ‘‘kaṇhakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. So soḷasavassakāle maṇipaṭimā viya sobhaggappatto hutvā pitarā sippuggahaṇatthāya pesito takkasilāyaṃ sabbasippāni uggahetvā paccāgacchi. Atha naṃ pitā anurūpena dārena saṃyojesi. So aparabhāge mātāpitūnaṃ accayena sabbissariyaṃ paṭipajji. Athekadivasaṃ ratanakoṭṭhāgārāni viloketvā varapallaṅkamajjhagato suvaṇṇapaṭṭaṃ āharāpetvā ‘‘ettakaṃ dhanaṃ asukena uppāditaṃ, ettakaṃ asukenā’’ti pubbañātīhi suvaṇṇapaṭṭe likhitāni akkharāni disvā cintesi ‘‘yehi imaṃ dhanaṃ uppāditaṃ, te na paññāyanti, dhanameva paññāyati, ekopi idaṃ dhanaṃ gahetvā gato nāma natthi, na kho pana sakkā dhanabhaṇḍikaṃ bandhitvā paralokaṃ gantuṃ. Pañcannaṃ verānaṃ sādhāraṇabhāvena hi asārassa dhanassa dānaṃ sāro, bahurogasādhāraṇabhāvena asārassa sarīrassa sīlavantesu abhivādanādikammaṃ sāro, aniccābhibhūtabhāvena asārassa jīvitassa aniccādivasena vipassanāyogo sāro, tasmā asārehi bhogehi sāraggahaṇatthaṃ dānaṃ dassāmī’’ti.
โส อาสนา วุฎฺฐาย รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ ยาว สตฺตมา ทิวสา ธนํ อปริกฺขียมานํ ทิสฺวา ‘‘กิํ เม ธเนน, ยาว มํ ชรา นาภิภวติ, ตาวเทว ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ ภวิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เคเห สพฺพทฺวารานิ วิวราเปตฺวา ‘‘ทินฺนํ เม, หรนฺตู’’ติ อสุจิํ วิย ชิคุจฺฉโนฺต วตฺถุกาเม ปหาย มหาชนสฺส โรทนฺตสฺส ปริเทวนฺตสฺส นครา นิกฺขมิตฺวา หิมวนฺตปเทสํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อตฺตโน วสนตฺถาย รมณียํ ภูมิภาคํ โอโลเกโนฺต อิมํ ฐานํ ปตฺวา ‘‘อิธ วสิสฺสามี’’ติ เอกํ อินฺทวารุณีรุกฺขํ โคจรคามํ อธิฎฺฐาย ตเสฺสว รุกฺขสฺส มูเล วิหาสิฯ คามนฺตเสนาสนํ ปหาย อารญฺญิโก อโหสิ, ปณฺณสาลํ อกตฺวา รุกฺขมูลิโก อโหสิ, อโพฺภกาสิโก เนสชฺชิโกฯ สเจ นิปชฺชิตุกาโม, ภูมิยํเยว นิปชฺชติ, ทนฺตมูสลิโก หุตฺวา อนคฺคิปกฺกเมว ขาทติ, ถุสปริกฺขิตฺตํ กิญฺจิ น ขาทติ, เอกทิวสํ เอกวารเมว ขาทติ, เอกาสนิโก อโหสิฯ ขมาย ปถวีอาปเตชวายุสโม หุตฺวา เอเต เอตฺตเก ธุตงฺคคุเณ สมาทาย วตฺตติ, อิมสฺมิํ กิร ชาตเก โพธิสโตฺต ปรมปฺปิโจฺฉ อโหสิฯ โส น จิรเสฺสว อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานกีฬํ กีฬโนฺต ตเตฺถว วสติ, ผลาผลตฺถมฺปิ อญฺญตฺถ น คจฺฉติ, รุกฺขสฺส ผลิตกาเล ผลํ ขาทติ, ปุปฺผิตกาเล ปุปฺผํ ขาทติ, สปตฺตกาเล ปตฺตานิ ขาทติ, นิปฺปตฺตกาเล ปปฎิกํ ขาทติฯ เอวํ ปรมสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา อิมสฺมิํ ฐาเน จิรํ วสติฯ
So āsanā vuṭṭhāya rañño santikaṃ gantvā rājānaṃ āpucchitvā mahādānaṃ pavattesi. Yāva sattamā divasā dhanaṃ aparikkhīyamānaṃ disvā ‘‘kiṃ me dhanena, yāva maṃ jarā nābhibhavati, tāvadeva pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā brahmalokaparāyaṇo bhavissāmī’’ti cintetvā gehe sabbadvārāni vivarāpetvā ‘‘dinnaṃ me, harantū’’ti asuciṃ viya jigucchanto vatthukāme pahāya mahājanassa rodantassa paridevantassa nagarā nikkhamitvā himavantapadesaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā attano vasanatthāya ramaṇīyaṃ bhūmibhāgaṃ olokento imaṃ ṭhānaṃ patvā ‘‘idha vasissāmī’’ti ekaṃ indavāruṇīrukkhaṃ gocaragāmaṃ adhiṭṭhāya tasseva rukkhassa mūle vihāsi. Gāmantasenāsanaṃ pahāya āraññiko ahosi, paṇṇasālaṃ akatvā rukkhamūliko ahosi, abbhokāsiko nesajjiko. Sace nipajjitukāmo, bhūmiyaṃyeva nipajjati, dantamūsaliko hutvā anaggipakkameva khādati, thusaparikkhittaṃ kiñci na khādati, ekadivasaṃ ekavārameva khādati, ekāsaniko ahosi. Khamāya pathavīāpatejavāyusamo hutvā ete ettake dhutaṅgaguṇe samādāya vattati, imasmiṃ kira jātake bodhisatto paramappiccho ahosi. So na cirasseva abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā jhānakīḷaṃ kīḷanto tattheva vasati, phalāphalatthampi aññattha na gacchati, rukkhassa phalitakāle phalaṃ khādati, pupphitakāle pupphaṃ khādati, sapattakāle pattāni khādati, nippattakāle papaṭikaṃ khādati. Evaṃ paramasantuṭṭho hutvā imasmiṃ ṭhāne ciraṃ vasati.
โส เอกทิวสํ ปุพฺพณฺหสมเย ตสฺส รุกฺขสฺส ปกฺกานิ ผลานิ คณฺหิ, คณฺหโนฺต ปน โลลุปฺปจาเรน อุฎฺฐาย อญฺญสฺมิํ ปเทเส น คณฺหาติ, ยถานิสิโนฺนว หตฺถํ ปสาเรตฺวา หตฺถปฺปสารณฎฺฐาเน ฐิตานิ ผลานิ สํหรติ, เตสุปิ มนาปามนาปํ อวิจินิตฺวา สมฺปตฺตสมฺปตฺตเมว คณฺหาติฯ เอวํ ปรมสนฺตุฎฺฐสฺส ตสฺส สีลเตเชน สกฺกสฺส ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ ตํ กิร สกฺกสฺส อายุกฺขเยน วา อุณฺหํ โหติ ปุญฺญกฺขเยน วา, อญฺญสฺมิํ วา มหานุภาวสเตฺต ตํ ฐานํ ปเตฺถเนฺต, ธมฺมิกานํ วา มหิทฺธิกสมณพฺราหฺมณานํ สีลเตเชน อุณฺหํ โหติฯ สโกฺก ‘‘โก นุ โข มํ ฐานา จาเวตุกาโม’’ติ อาวเชฺชตฺวา อิมสฺมิํ ปเทเส วสนฺตํ กณฺหํ อิสิํ รุกฺขผลานิ อุจฺจินนฺตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ อิสิ โฆรตโป ปรมชิตินฺทฺริโย, อิมํ ธมฺมกถาย สีหนาทํ นทาเปตฺวา สุการณํ สุตฺวา วเรน สนฺตเปฺปตฺวา อิมมสฺส รุกฺขํ ธุวผลํ กตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติฯ โส มหเนฺตนานุภาเวน สีฆํ โอตริตฺวา ตสฺมิํ รุกฺขมูเล ตสฺส ปิฎฺฐิปเสฺส ฐตฺวา ‘‘อตฺตโน อวเณฺณ กถิเต กุชฺฌิสฺสติ นุ โข, โน’’ติ วีมํสโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
So ekadivasaṃ pubbaṇhasamaye tassa rukkhassa pakkāni phalāni gaṇhi, gaṇhanto pana loluppacārena uṭṭhāya aññasmiṃ padese na gaṇhāti, yathānisinnova hatthaṃ pasāretvā hatthappasāraṇaṭṭhāne ṭhitāni phalāni saṃharati, tesupi manāpāmanāpaṃ avicinitvā sampattasampattameva gaṇhāti. Evaṃ paramasantuṭṭhassa tassa sīlatejena sakkassa paṇḍukambalasilāsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Taṃ kira sakkassa āyukkhayena vā uṇhaṃ hoti puññakkhayena vā, aññasmiṃ vā mahānubhāvasatte taṃ ṭhānaṃ patthente, dhammikānaṃ vā mahiddhikasamaṇabrāhmaṇānaṃ sīlatejena uṇhaṃ hoti. Sakko ‘‘ko nu kho maṃ ṭhānā cāvetukāmo’’ti āvajjetvā imasmiṃ padese vasantaṃ kaṇhaṃ isiṃ rukkhaphalāni uccinantaṃ disvā cintesi ‘‘ayaṃ isi ghoratapo paramajitindriyo, imaṃ dhammakathāya sīhanādaṃ nadāpetvā sukāraṇaṃ sutvā varena santappetvā imamassa rukkhaṃ dhuvaphalaṃ katvā āgamissāmī’’ti. So mahantenānubhāvena sīghaṃ otaritvā tasmiṃ rukkhamūle tassa piṭṭhipasse ṭhatvā ‘‘attano avaṇṇe kathite kujjhissati nu kho, no’’ti vīmaṃsanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๑.
11.
‘‘กโณฺห วตายํ ปุริโส, กณฺหํ ภุญฺชติ โภชนํ;
‘‘Kaṇho vatāyaṃ puriso, kaṇhaṃ bhuñjati bhojanaṃ;
กเณฺห ภูมิปเทสสฺมิํ, น มยฺหํ มนโส ปิโย’’ติฯ
Kaṇhe bhūmipadesasmiṃ, na mayhaṃ manaso piyo’’ti.
ตตฺถ กโณฺหติ กาฬวโณฺณฯ โภชนนฺติ รุกฺขผลโภชนํฯ
Tattha kaṇhoti kāḷavaṇṇo. Bhojananti rukkhaphalabhojanaṃ.
กโณฺห อิสิ สกฺกสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘โก นุ โข มยา สทฺธิํ กเถตี’’ติ ทิพฺพจกฺขุนา อุปธาเรโนฺต ‘‘สโกฺก’’ติ ญตฺวา อนิวตฺติตฺวา อโนโลเกตฺวาว ทุติยํ คาถมาห –
Kaṇho isi sakkassa vacanaṃ sutvā ‘‘ko nu kho mayā saddhiṃ kathetī’’ti dibbacakkhunā upadhārento ‘‘sakko’’ti ñatvā anivattitvā anoloketvāva dutiyaṃ gāthamāha –
๑๒.
12.
‘‘น กโณฺห ตจสา โหติ, อโนฺตสาโร หิ พฺราหฺมโณ;
‘‘Na kaṇho tacasā hoti, antosāro hi brāhmaṇo;
ยสฺมิํ ปาปานิ กมฺมานิ, ส เว กโณฺห สุชมฺปตี’’ติฯ
Yasmiṃ pāpāni kammāni, sa ve kaṇho sujampatī’’ti.
ตตฺถ ตจสาติ ตเจน กโณฺห นาม น โหตีติ อโตฺถฯ อโนฺตสาโรติ อพฺภนฺตเร สีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติวิมุตฺติญาณทสฺสนสาเรหิ สมนฺนาคโตฯ เอวรูโป หิ พาหิตปาปตฺตา พฺราหฺมโณ นาม โหติฯ ส เวติ ยสฺมิํ ปน ปาปานิ กมฺมานิ อตฺถิ, โส ยตฺถ กตฺถจิ กุเล ชาโตปิ เยน เกนจิ สรีรวเณฺณน สมนฺนาคโตปิ กาฬโกวฯ
Tattha tacasāti tacena kaṇho nāma na hotīti attho. Antosāroti abbhantare sīlasamādhipaññāvimuttivimuttiñāṇadassanasārehi samannāgato. Evarūpo hi bāhitapāpattā brāhmaṇo nāma hoti. Sa veti yasmiṃ pana pāpāni kammāni atthi, so yattha katthaci kule jātopi yena kenaci sarīravaṇṇena samannāgatopi kāḷakova.
เอวญฺจ ปน วตฺวา อิเมสํ สตฺตานํ กณฺหภาวกรานิ ปาปกมฺมานิ เอกวิธาทิเภเทหิ วิตฺถาเรตฺวา สพฺพานิปิ ตานิ ครหิตฺวา สีลาทโย คุเณ ปสํสิตฺวา อากาเส จนฺทํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย สกฺกสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ สโกฺก ตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ปมุทิโต โสมนสฺสชาโต มหาสตฺตํ วเรน นิมเนฺตโนฺต ตติยํ คาถมาห –
Evañca pana vatvā imesaṃ sattānaṃ kaṇhabhāvakarāni pāpakammāni ekavidhādibhedehi vitthāretvā sabbānipi tāni garahitvā sīlādayo guṇe pasaṃsitvā ākāse candaṃ uṭṭhāpento viya sakkassa dhammaṃ desesi. Sakko tassa dhammakathaṃ sutvā pamudito somanassajāto mahāsattaṃ varena nimantento tatiyaṃ gāthamāha –
๑๓.
13.
‘‘เอตสฺมิํ เต สุลปิเต, ปติรูเป สุภาสิเต;
‘‘Etasmiṃ te sulapite, patirūpe subhāsite;
วรํ พฺราหฺมณ เต ทมฺมิ, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสี’’ติฯ
Varaṃ brāhmaṇa te dammi, yaṃ kiñci manasicchasī’’ti.
ตตฺถ เอตสฺมินฺติ ยํ อิทํ ตยา สพฺพญฺญุพุเทฺธน วิย สุลปิตํ, ตสฺมิํ สุลปิเต ตุมฺหากเมว อนุจฺฉวิกตฺตา ปติรูเป สุภาสิเต ยํ กิญฺจิ มนสา อิจฺฉสิ, สพฺพํ เต ยํ วรํ อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ, ตํ ทมฺมีติ อโตฺถฯ
Tattha etasminti yaṃ idaṃ tayā sabbaññubuddhena viya sulapitaṃ, tasmiṃ sulapite tumhākameva anucchavikattā patirūpe subhāsite yaṃ kiñci manasā icchasi, sabbaṃ te yaṃ varaṃ icchitaṃ patthitaṃ, taṃ dammīti attho.
ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อยํ กิํ นุ โข อตฺตโน อวเณฺณ กถิเต กุชฺฌิสฺสติ, โนติ มํ วีมํสโนฺต มยฺหํ ฉวิวณฺณญฺจ โภชนญฺจ วสนฎฺฐานญฺจ ครหิตฺวา อิทานิ มยฺหํ อกุทฺธภาวํ ญตฺวา ปสนฺนจิโตฺต วรํ เทติ, มํ โข ปเนส ‘สกฺกิสฺสริยพฺรฺหฺมิสฺสริยานํ อตฺถาย พฺรหฺมจริยํ จรตี’ติปิ มเญฺญยฺย, ตตฺรสฺส นิกฺกงฺขภาวตฺถํ มยฺหํ ปเรสุ โกโธ วา โทโส วา มา อุปฺปชฺชตุ, ปรสมฺปตฺติยํ โลโภ วา ปเรสุ สิเนโห วา มา อุปฺปชฺชตุ, มชฺฌโตฺตว ภเวยฺยนฺติ อิเม มยา จตฺตาโร วเร คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส ตสฺส นิกฺกงฺขภาวตฺถาย จตฺตาโร วเร คณฺหโนฺต จตุตฺถํ คาถมาห –
Taṃ sutvā mahāsatto cintesi ‘‘ayaṃ kiṃ nu kho attano avaṇṇe kathite kujjhissati, noti maṃ vīmaṃsanto mayhaṃ chavivaṇṇañca bhojanañca vasanaṭṭhānañca garahitvā idāni mayhaṃ akuddhabhāvaṃ ñatvā pasannacitto varaṃ deti, maṃ kho panesa ‘sakkissariyabrhmissariyānaṃ atthāya brahmacariyaṃ caratī’tipi maññeyya, tatrassa nikkaṅkhabhāvatthaṃ mayhaṃ paresu kodho vā doso vā mā uppajjatu, parasampattiyaṃ lobho vā paresu sineho vā mā uppajjatu, majjhattova bhaveyyanti ime mayā cattāro vare gahetuṃ vaṭṭatī’’ti. So tassa nikkaṅkhabhāvatthāya cattāro vare gaṇhanto catutthaṃ gāthamāha –
๑๔.
14.
‘‘วรเญฺจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร;
‘‘Varañce me ado sakka, sabbabhūtānamissara;
สุนิโกฺกธํ สุนิโทฺทสํ, นิโลฺลภํ วุตฺติมตฺตโน;
Sunikkodhaṃ suniddosaṃ, nillobhaṃ vuttimattano;
นิเสฺนหมภิกงฺขามิ, เอเต เม จตุโร วเร’’ติฯ
Nisnehamabhikaṅkhāmi, ete me caturo vare’’ti.
ตตฺถ วรเญฺจ เม อโท สกฺกาติ สเจ ตฺวํ มยฺหํ วรํ อทาสิฯ สุนิโกฺกธนฺติ อกุชฺฌนวเสน สุฎฺฐุ นิโกฺกธํฯ สุนิโทฺทสนฺติ อทุสฺสนวเสน สุฎฺฐุ นิโทฺทสํฯ นิโลฺลภนฺติ ปรสมฺปตฺตีสุ นิโลฺลภํฯ วุตฺติมตฺตโนติ เอวรูปํ อตฺตโน วุตฺติํฯ นิเสฺนหนฺติ ปุตฺตธีตาทีสุ วา สวิญฺญาณเกสุ ธนธญฺญาทีสุ วา อวิญฺญาณเกสุ อตฺตโน สนฺตเกสุปิ นิเสฺนหํ อปคตโลภํฯ อภิกงฺขามีติ เอวรูปํ อิเมหิ จตูหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ อตฺตโน วุตฺติํ อภิกงฺขามิฯ เอเต เม จตุโร วเรติ เอเต นิโกฺกธาทิเก จตุโร มยฺหํ วเร เทหีติฯ
Tattha varañce me ado sakkāti sace tvaṃ mayhaṃ varaṃ adāsi. Sunikkodhanti akujjhanavasena suṭṭhu nikkodhaṃ. Suniddosanti adussanavasena suṭṭhu niddosaṃ. Nillobhanti parasampattīsu nillobhaṃ. Vuttimattanoti evarūpaṃ attano vuttiṃ. Nisnehanti puttadhītādīsu vā saviññāṇakesu dhanadhaññādīsu vā aviññāṇakesu attano santakesupi nisnehaṃ apagatalobhaṃ. Abhikaṅkhāmīti evarūpaṃ imehi catūhaṅgehi samannāgataṃ attano vuttiṃ abhikaṅkhāmi. Ete me caturo vareti ete nikkodhādike caturo mayhaṃ vare dehīti.
กิํ ปเนส น ชานาติ ‘‘ยถา น สกฺกา สกฺกสฺส สนฺติเก วรํ คเหตฺวา วเรน โกธาทโย หนิตุ’’นฺติฯ โน น ชานาติ, สเกฺก โข ปน วรํ เทเนฺต น คณฺหามีติ วจนํ น ยุตฺตนฺติ ตสฺส จ นิกฺกงฺขภาวตฺถาย คณฺหิ ฯ ตโต สโกฺก จิเนฺตสิ ‘‘กณฺหปณฺฑิโต วรํ คณฺหโนฺต อติวิย อนวเชฺช วเร คณฺหิ, เอเตสุ วเรสุ คุณโทสํ เอตเมว ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ อถ นํ ปุจฺฉโนฺต ปญฺจมํ คาถมาห –
Kiṃ panesa na jānāti ‘‘yathā na sakkā sakkassa santike varaṃ gahetvā varena kodhādayo hanitu’’nti. No na jānāti, sakke kho pana varaṃ dente na gaṇhāmīti vacanaṃ na yuttanti tassa ca nikkaṅkhabhāvatthāya gaṇhi . Tato sakko cintesi ‘‘kaṇhapaṇḍito varaṃ gaṇhanto ativiya anavajje vare gaṇhi, etesu varesu guṇadosaṃ etameva pucchissāmī’’ti. Atha naṃ pucchanto pañcamaṃ gāthamāha –
๑๕.
15.
‘‘กิํนุ โกเธ วา โทเส วา, โลเภ เสฺนเห จ พฺราหฺมณ;
‘‘Kiṃnu kodhe vā dose vā, lobhe snehe ca brāhmaṇa;
อาทีนวํ ตฺวํ ปสฺสสิ, ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต’’ติฯ
Ādīnavaṃ tvaṃ passasi, taṃ me akkhāhi pucchito’’ti.
ตสฺสโตฺถ – พฺราหฺมณ กิํ นุ โข ตฺวํ โกเธ โทเส โลเภ เสฺนเห จ อาทีนวํ ปสฺสสิ, ตํ ตาว เม ปุจฺฉิโต อกฺขาหิ, น หิ มยํ เอตฺถ อาทีนวํ ชานามาติฯ
Tassattho – brāhmaṇa kiṃ nu kho tvaṃ kodhe dose lobhe snehe ca ādīnavaṃ passasi, taṃ tāva me pucchito akkhāhi, na hi mayaṃ ettha ādīnavaṃ jānāmāti.
อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘เตน หิ สุณาหี’’ติ วตฺวา จตโสฺส คาถา อภาสิ –
Atha naṃ mahāsatto ‘‘tena hi suṇāhī’’ti vatvā catasso gāthā abhāsi –
๑๖.
16.
‘‘อโปฺป หุตฺวา พหุ โหติ, วฑฺฒเต โส อขนฺติโช;
‘‘Appo hutvā bahu hoti, vaḍḍhate so akhantijo;
อาสงฺคี พหุปายาโส, ตสฺมา โกธํ น โรจเยฯ
Āsaṅgī bahupāyāso, tasmā kodhaṃ na rocaye.
๑๗.
17.
‘‘ทุฎฺฐสฺส ผรุสา วาจา, ปรามาโส อนนฺตรา;
‘‘Duṭṭhassa pharusā vācā, parāmāso anantarā;
ตโต ปาณิ ตโต ทโณฺฑ, สตฺถสฺส ปรมา คติ;
Tato pāṇi tato daṇḍo, satthassa paramā gati;
โทโส โกธสมุฎฺฐาโน, ตสฺมา โทสํ น โรจเยฯ
Doso kodhasamuṭṭhāno, tasmā dosaṃ na rocaye.
๑๘.
18.
‘‘อาโลปสาหสาการา, นิกตี วญฺจนานิ จ;
‘‘Ālopasāhasākārā, nikatī vañcanāni ca;
ทิสฺสนฺติ โลภธเมฺมสุ, ตสฺมา โลภํ น โรจเยฯ
Dissanti lobhadhammesu, tasmā lobhaṃ na rocaye.
๑๙.
19.
‘‘เสฺนหสงฺคถิตา คนฺถา, เสนฺติ มโนมยา ปุถู;
‘‘Snehasaṅgathitā ganthā, senti manomayā puthū;
เต ภุสํ อุปตาเปนฺติ, ตสฺมา เสฺนหํ น โรจเย’’ติฯ
Te bhusaṃ upatāpenti, tasmā snehaṃ na rocaye’’ti.
ตตฺถ อขนฺติโชติ โส อนธิวาสกชาติกสฺส อขนฺติโต ชาโต โกโธ ปฐมํ ปริโตฺต หุตฺวา ปจฺฉา พหุ โหติ อปราปรํ วฑฺฒติฯ ตสฺส วฑฺฒนภาโว ขนฺติวาทีชาตเกน (ชา. ๑.๔.๔๙ อาทโย) เจว จูฬธมฺมปาลชาตเกน (ชา. ๑.๕.๔๔ อาทโย) จ วเณฺณตโพฺพฯ อปิจ ติสฺสามจฺจสฺสเปตฺถ ภริยํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ สปริชนํ มาเรตฺวา ปจฺฉา อตฺตโน มาริตวตฺถุ กเถตพฺพํฯ อาสงฺคีติ อาสงฺคกรโณฯ ยสฺส อุปฺปชฺชติ, ตํ อาสตฺตํ ลคฺคิตํ กโรติ, ตํ วตฺถุํ วิสฺสเชฺชตฺวา คนฺตุํ น เทติ, นิวตฺติตฺวา อโกฺกสนาทีนิ กาเรติฯ พหุปายาโสติ พหุนา กายิกเจตสิกทุกฺขสงฺขาเตน อุปายาเสน กิลมเถน สมนฺนาคโตฯ โกธํ นิสฺสาย หิ โกธวเสน อริยาทีสุ กตวีติกฺกมา ทิฎฺฐธเมฺม เจว สมฺปราเย จ วธพนฺธวิปฺปฎิสาราทีนิ เจว ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมกรณาทีนิ จ พหูนิ ทุกฺขานิ อนุภวนฺตีติ โกโธ พหุปายาโส นามฯ ตสฺมาติ ยสฺมา เอส เอวํ อเนกาทีนโว, ตสฺมา โกธํ น โรเจมิฯ
Tattha akhantijoti so anadhivāsakajātikassa akhantito jāto kodho paṭhamaṃ paritto hutvā pacchā bahu hoti aparāparaṃ vaḍḍhati. Tassa vaḍḍhanabhāvo khantivādījātakena (jā. 1.4.49 ādayo) ceva cūḷadhammapālajātakena (jā. 1.5.44 ādayo) ca vaṇṇetabbo. Apica tissāmaccassapettha bhariyaṃ ādiṃ katvā sabbaṃ saparijanaṃ māretvā pacchā attano māritavatthu kathetabbaṃ. Āsaṅgīti āsaṅgakaraṇo. Yassa uppajjati, taṃ āsattaṃ laggitaṃ karoti, taṃ vatthuṃ vissajjetvā gantuṃ na deti, nivattitvā akkosanādīni kāreti. Bahupāyāsoti bahunā kāyikacetasikadukkhasaṅkhātena upāyāsena kilamathena samannāgato. Kodhaṃ nissāya hi kodhavasena ariyādīsu katavītikkamā diṭṭhadhamme ceva samparāye ca vadhabandhavippaṭisārādīni ceva pañcavidhabandhanakammakaraṇādīni ca bahūni dukkhāni anubhavantīti kodho bahupāyāso nāma. Tasmāti yasmā esa evaṃ anekādīnavo, tasmā kodhaṃ na rocemi.
ทุฎฺฐสฺสาติ กุชฺฌนลกฺขเณน โกเธน กุชฺฌิตฺวา อปรภาเค ทุสฺสนลกฺขเณน โทเสน ทุฎฺฐสฺส ปฐมํ ตาว ‘‘อเร, ทาส, เปสฺสา’’ติ ผรุสวาจา นิจฺฉรติ, วาจาย อนนฺตรา อากฑฺฒนวิกฑฺฒนวเสน หตฺถปรามาโส, ตโต อนนฺตรา อุปกฺกมนวเสน ปาณิ ปวตฺตติ, ตโต ทโณฺฑ, ทณฺฑปฺปหาเร อติกฺกมิตฺวา ปน เอกโตธารอุภโตธารสฺส สตฺถสฺส ปรมา คติ, สพฺพปริยนฺตา สตฺถนิปฺผตฺติ โหติฯ ยทา หิ สเตฺถน ปรํ ชีวิตา โวโรเปตฺวา ปจฺฉา เตเนว สเตฺถน อตฺตานํ ชีวิตา โวโรเปติ, ตทา โทโส มตฺถกปฺปโตฺต โหติฯ โทโส โกธสมุฎฺฐาโนติ ยถา อนมฺพิลํ ตกฺกํ วา กญฺชิกํ วา ปริณามวเสน ปริวตฺติตฺวา อมฺพิลํ โหติ, ตํ เอกชาติกมฺปิ สมานํ อมฺพิลํ อนมฺพิลนฺติ นานา วุจฺจติ, ตถา ปุพฺพกาเล โกโธ ปริณมิตฺวา อปรภาเค โทโส โหติฯ โส อกุสลมูลเตฺตน เอกชาติโกปิ สมาโน โกโธ โทโสติ นานา วุจฺจติฯ ยถา อนมฺพิลโต อมฺพิลํ, เอวํ โสปิ โกธโต สมุฎฺฐาตีติ โกธสมุฎฺฐาโนฯ ตสฺมาติ ยสฺมา เอวํ อเนกาทีนโว โทโส, ตสฺมา โทสมฺปิ น โรเจมิฯ
Duṭṭhassāti kujjhanalakkhaṇena kodhena kujjhitvā aparabhāge dussanalakkhaṇena dosena duṭṭhassa paṭhamaṃ tāva ‘‘are, dāsa, pessā’’ti pharusavācā niccharati, vācāya anantarā ākaḍḍhanavikaḍḍhanavasena hatthaparāmāso, tato anantarā upakkamanavasena pāṇi pavattati, tato daṇḍo, daṇḍappahāre atikkamitvā pana ekatodhāraubhatodhārassa satthassa paramā gati, sabbapariyantā satthanipphatti hoti. Yadā hi satthena paraṃ jīvitā voropetvā pacchā teneva satthena attānaṃ jīvitā voropeti, tadā doso matthakappatto hoti. Doso kodhasamuṭṭhānoti yathā anambilaṃ takkaṃ vā kañjikaṃ vā pariṇāmavasena parivattitvā ambilaṃ hoti, taṃ ekajātikampi samānaṃ ambilaṃ anambilanti nānā vuccati, tathā pubbakāle kodho pariṇamitvā aparabhāge doso hoti. So akusalamūlattena ekajātikopi samāno kodho dosoti nānā vuccati. Yathā anambilato ambilaṃ, evaṃ sopi kodhato samuṭṭhātīti kodhasamuṭṭhāno. Tasmāti yasmā evaṃ anekādīnavo doso, tasmā dosampi na rocemi.
อาโลปสาหสาการาติ ทิวา ทิวเสฺสว คามํ ปหริตฺวา วิลุมฺปนานิ จ อาวุธํ สรีเร ฐเปตฺวา ‘‘อิทํ นาม เม เทหี’’ติ สาหสาการา จฯ นิกตี วญฺจนานิ จาติ ปติรูปกํ ทเสฺสตฺวา ปรสฺส หรณํ นิกติ นาม, สา อสุวณฺณเมว ‘‘สุวณฺณ’’นฺติ กูฎกหาปณํ ‘‘กหาปโณ’’ติ ทตฺวา ปรสนฺตกคฺคหเณ ทฎฺฐพฺพาฯ ปฎิภานวเสน ปน อุปายกุสลตาย ปรสนฺตกคฺคหณํ วญฺจนํ นามฯ ตเสฺสวํ ปวตฺติ ทฎฺฐพฺพา – เอโก กิร อุชุชาติโก คามิกปุริโส อรญฺญโต สสกํ อาเนตฺวา นทีตีเร ฐเปตฺวา นฺหายิตุํ โอตริฯ อเถโก ธุโตฺต ตํ สสกํ สีเส กตฺวา นฺหายิตุํ โอติโณฺณฯ อิตโร อุตฺตริตฺวา สสกํ อปสฺสโนฺต อิโต จิโต จ วิโลเกสิฯ ตเมนํ ธุโตฺต ‘‘กิํ โภ วิโลเกสี’’ติ วตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ เม ฐาเน สสโก ฐปิโต, ตํ น ปสฺสามี’’ติ วุเตฺต ‘‘อนฺธพาล, ตฺวํ น ชานาสิ, สสกา นาม นทีตีเร ฐปิตา ปลายนฺติ, ปสฺส อหํ อตฺตโน สสกํ สีเส ฐเปตฺวาว นฺหายามี’’ติ อาหฯ โส อปฺปฎิภานตาย ‘‘เอวํ ภวิสฺสตี’’ติ ปกฺกามิฯ เอกกหาปเณน มิคโปตกํ คเหตฺวา ปุน ตํ ทตฺวา ทฺวิกหาปณคฺฆนกสฺส มิคสฺส คหิตวตฺถุเปตฺถ กเถตพฺพํฯ ทิสฺสนฺติ โลภธเมฺมสูติ สกฺก, อิเม อาโลปาทโย ปาปธมฺมา โลภสภาเวสุ โลภาภิภูเตสุ สเตฺตสุ ทิสฺสนฺติฯ น หิ อลุทฺธา เอวรูปานิ กมฺมานิ กโรนฺติฯ เอวํ โลโภ อเนกาทีนโว, ตสฺมา โลภมฺปิ น โรเจมิฯ
Ālopasāhasākārāti divā divasseva gāmaṃ paharitvā vilumpanāni ca āvudhaṃ sarīre ṭhapetvā ‘‘idaṃ nāma me dehī’’ti sāhasākārā ca. Nikatī vañcanāni cāti patirūpakaṃ dassetvā parassa haraṇaṃ nikati nāma, sā asuvaṇṇameva ‘‘suvaṇṇa’’nti kūṭakahāpaṇaṃ ‘‘kahāpaṇo’’ti datvā parasantakaggahaṇe daṭṭhabbā. Paṭibhānavasena pana upāyakusalatāya parasantakaggahaṇaṃ vañcanaṃ nāma. Tassevaṃ pavatti daṭṭhabbā – eko kira ujujātiko gāmikapuriso araññato sasakaṃ ānetvā nadītīre ṭhapetvā nhāyituṃ otari. Atheko dhutto taṃ sasakaṃ sīse katvā nhāyituṃ otiṇṇo. Itaro uttaritvā sasakaṃ apassanto ito cito ca vilokesi. Tamenaṃ dhutto ‘‘kiṃ bho vilokesī’’ti vatvā ‘‘imasmiṃ me ṭhāne sasako ṭhapito, taṃ na passāmī’’ti vutte ‘‘andhabāla, tvaṃ na jānāsi, sasakā nāma nadītīre ṭhapitā palāyanti, passa ahaṃ attano sasakaṃ sīse ṭhapetvāva nhāyāmī’’ti āha. So appaṭibhānatāya ‘‘evaṃ bhavissatī’’ti pakkāmi. Ekakahāpaṇena migapotakaṃ gahetvā puna taṃ datvā dvikahāpaṇagghanakassa migassa gahitavatthupettha kathetabbaṃ. Dissanti lobhadhammesūti sakka, ime ālopādayo pāpadhammā lobhasabhāvesu lobhābhibhūtesu sattesu dissanti. Na hi aluddhā evarūpāni kammāni karonti. Evaṃ lobho anekādīnavo, tasmā lobhampi na rocemi.
เสฺนหสงฺคถิตา คนฺถาติ อารมฺมเณสุ อลฺลียนลกฺขเณน เสฺนเหน สงฺคถิตา ปุนปฺปุนํ อุปฺปาทวเสน ฆฎิตา สุเตฺตน ปุปฺผานิ วิย พทฺธา นานปฺปกาเรสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺตมานา อภิชฺฌากายคนฺถาฯ เสนฺติ มโนมยา ปุถูติ เต ปุถูสุ อารมฺมเณสุ อุปฺปนฺนา สุวณฺณาทีหิ นิพฺพตฺตานิ สุวณฺณาทิมยานิ อาภรณาทีนิ วิย มเนน นิพฺพตฺตตฺตา มโนมยา อภิชฺฌากายคนฺถา เตสุ อารมฺมเณสุ เสนฺติ อนุเสนฺติฯ เต ภุสํ อุปตาเปนฺตีติ เต เอวํ อนุสยิตา พลวตาปํ ชเนนฺตา ภุสํ อุปตาเปนฺติ อติกิลเมนฺติฯ เตสํ ปน ภุสํ อุปตาปเน ‘‘สลฺลวิโทฺธว รุปฺปตี’’ติ (สุ. นิ. ๗๗๓) คาถาย วตฺถุ, ‘‘ปิยชาติกา หิ คหปติ, โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภุติกา’’ (ม. นิ. ๒.๓๕๓), ‘‘ปิยโต ชายตี โสโก’’ติอาทีนิ (ธ. ป. ๒๑๒) สุตฺตานิ จ อาหริตพฺพานิฯ อปิจ มงฺคลโพธิสตฺตสฺส ทารเก ทตฺวา พลวโสเกน หทยํ ผลิ, เวสฺสนฺตรโพธิสตฺตสฺส มหนฺตํ โทมนสฺสํ อุทปาทิฯ เอวํ ปูริตปารมีนํ มหาสตฺตานํ เปมํ อุปตาปํ กโรติเยวฯ อยํ เสฺนเห อาทีนโว, ตสฺมา เสฺนหมฺปิ น โรเจมีติฯ
Snehasaṅgathitā ganthāti ārammaṇesu allīyanalakkhaṇena snehena saṅgathitā punappunaṃ uppādavasena ghaṭitā suttena pupphāni viya baddhā nānappakāresu ārammaṇesu pavattamānā abhijjhākāyaganthā. Senti manomayā puthūti te puthūsu ārammaṇesu uppannā suvaṇṇādīhi nibbattāni suvaṇṇādimayāni ābharaṇādīni viya manena nibbattattā manomayā abhijjhākāyaganthā tesu ārammaṇesu senti anusenti. Te bhusaṃ upatāpentīti te evaṃ anusayitā balavatāpaṃ janentā bhusaṃ upatāpenti atikilamenti. Tesaṃ pana bhusaṃ upatāpane ‘‘sallaviddhova ruppatī’’ti (su. ni. 773) gāthāya vatthu, ‘‘piyajātikā hi gahapati, sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā piyappabhutikā’’ (ma. ni. 2.353), ‘‘piyato jāyatī soko’’tiādīni (dha. pa. 212) suttāni ca āharitabbāni. Apica maṅgalabodhisattassa dārake datvā balavasokena hadayaṃ phali, vessantarabodhisattassa mahantaṃ domanassaṃ udapādi. Evaṃ pūritapāramīnaṃ mahāsattānaṃ pemaṃ upatāpaṃ karotiyeva. Ayaṃ snehe ādīnavo, tasmā snehampi na rocemīti.
สโกฺก ปญฺหวิสฺสชฺชนํ สุตฺวา ‘‘กณฺหปณฺฑิต ตยา อิเม ปญฺหา พุทฺธลีฬาย สาธุกํ กถิตา, อติวิย ตุโฎฺฐสฺมิ เต, อปรมฺปิ วรํ คณฺหาหี’’ติ วตฺวา ทสมํ คาถมาห –
Sakko pañhavissajjanaṃ sutvā ‘‘kaṇhapaṇḍita tayā ime pañhā buddhalīḷāya sādhukaṃ kathitā, ativiya tuṭṭhosmi te, aparampi varaṃ gaṇhāhī’’ti vatvā dasamaṃ gāthamāha –
๒๐.
20.
‘‘เอตสฺมิํ เต สุลปิเต, ปติรูเป สุภาสิเต;
‘‘Etasmiṃ te sulapite, patirūpe subhāsite;
วรํ พฺราหฺมณ เต ทมฺมิ, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสี’’ติฯ
Varaṃ brāhmaṇa te dammi, yaṃ kiñci manasicchasī’’ti.
ตโต โพธิสโตฺต อนนฺตรคาถมาห –
Tato bodhisatto anantaragāthamāha –
๒๑.
21.
‘‘วรเญฺจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร;
‘‘Varañce me ado sakka, sabbabhūtānamissara;
อรเญฺญ เม วิหรโต, นิจฺจํ เอกวิหาริโน;
Araññe me viharato, niccaṃ ekavihārino;
อาพาธา มา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, อนฺตรายกรา ภุสา’’ติฯ
Ābādhā mā uppajjeyyuṃ, antarāyakarā bhusā’’ti.
ตตฺถ อนฺตรายกรา ภุสาติ อิมสฺส เม ตโปกมฺมสฺส อนฺตรายกราฯ
Tattha antarāyakarā bhusāti imassa me tapokammassa antarāyakarā.
ตํ สุตฺวา สโกฺก ‘‘กณฺหปณฺฑิโต วรํ คณฺหโนฺต น อามิสสนฺนิสฺสิตํ คณฺหาติ, ตโปกมฺมนิสฺสิตเมว คณฺหาตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ภิโยฺยโสมตฺตาย ปสโนฺน อปรมฺปิ วรํ ททมาโน อิตรํ คาถมาห –
Taṃ sutvā sakko ‘‘kaṇhapaṇḍito varaṃ gaṇhanto na āmisasannissitaṃ gaṇhāti, tapokammanissitameva gaṇhātī’’ti cintetvā bhiyyosomattāya pasanno aparampi varaṃ dadamāno itaraṃ gāthamāha –
๒๒.
22.
‘‘เอตสฺมิํ เต สุลปิเต, ปติรูเป สุภาสิเต;
‘‘Etasmiṃ te sulapite, patirūpe subhāsite;
วรํ พฺราหฺมณ เต ทมฺมิ, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสี’’ติฯ
Varaṃ brāhmaṇa te dammi, yaṃ kiñci manasicchasī’’ti.
โพธิสโตฺตปิ วรคฺคหณาปเทเสน ตสฺส ธมฺมํ เทเสโนฺต โอสานคาถมาห –
Bodhisattopi varaggahaṇāpadesena tassa dhammaṃ desento osānagāthamāha –
๒๓.
23.
‘‘วรเญฺจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร;
‘‘Varañce me ado sakka, sabbabhūtānamissara;
น มโน วา สรีรํ วา, มํ-กเต สกฺก กสฺสจิ;
Na mano vā sarīraṃ vā, maṃ-kate sakka kassaci;
กทาจิ อุปหเญฺญถ, เอตํ สกฺก วรํ วเร’’ติฯ
Kadāci upahaññetha, etaṃ sakka varaṃ vare’’ti.
ตตฺถ มโน วาติ มโนทฺวารํ วาฯ สรีรํ วาติ กายทฺวารํ วา, วจีทฺวารมฺปิ เอเตสํ คหเณน คหิตเมวาติ เวทิตพฺพํฯ มํ-กเตติ มม การณาฯ อุปหเญฺญถาติ อุปฆาตํ อาปเชฺชยฺย อปริสุทฺธํ อสฺสฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สกฺก เทวราช, มม การณา มํ นิสฺสาย มม อนตฺถกามตาย กสฺสจิ สตฺตสฺส กิสฺมิญฺจิ กาเล อิทํ ติวิธมฺปิ กมฺมทฺวารํ น อุปหเญฺญถ, ปาณาติปาตาทีหิ ทสหิ อกุสลกมฺมปเถหิ วิมุตฺตํ ปริสุทฺธเมว ภเวยฺยาติฯ
Tattha mano vāti manodvāraṃ vā. Sarīraṃ vāti kāyadvāraṃ vā, vacīdvārampi etesaṃ gahaṇena gahitamevāti veditabbaṃ. Maṃ-kateti mama kāraṇā. Upahaññethāti upaghātaṃ āpajjeyya aparisuddhaṃ assa. Idaṃ vuttaṃ hoti – sakka devarāja, mama kāraṇā maṃ nissāya mama anatthakāmatāya kassaci sattassa kismiñci kāle idaṃ tividhampi kammadvāraṃ na upahaññetha, pāṇātipātādīhi dasahi akusalakammapathehi vimuttaṃ parisuddhameva bhaveyyāti.
อิติ มหาสโตฺต ฉสุปิ ฐาเนสุ วรํ คณฺหโนฺต เนกฺขมฺมนิสฺสิตเมว คณฺหิ, ชานาติ เจส ‘‘สรีรํ นาม พฺยาธิธมฺมํ, น ตํ สกฺกา สเกฺกน อพฺยาธิธมฺมํ กาตุ’’นฺติฯ สตฺตานญฺหิ ตีสุ ทฺวาเรสุ ปริสุทฺธภาโว อสกฺกายโตฺตว, เอวํ สเนฺตปิ ตสฺส ธมฺมเทสนตฺถํ อิเม วเร คณฺหิฯ สโกฺกปิ ตํ รุกฺขํ ธุวผลํ กตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา สิรสิ อญฺชลิํ ปติฎฺฐเปตฺวา ‘‘อโรคา อิเธว วสถา’’ติ วตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ โพธิสโตฺตปิ อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
Iti mahāsatto chasupi ṭhānesu varaṃ gaṇhanto nekkhammanissitameva gaṇhi, jānāti cesa ‘‘sarīraṃ nāma byādhidhammaṃ, na taṃ sakkā sakkena abyādhidhammaṃ kātu’’nti. Sattānañhi tīsu dvāresu parisuddhabhāvo asakkāyattova, evaṃ santepi tassa dhammadesanatthaṃ ime vare gaṇhi. Sakkopi taṃ rukkhaṃ dhuvaphalaṃ katvā mahāsattaṃ vanditvā sirasi añjaliṃ patiṭṭhapetvā ‘‘arogā idheva vasathā’’ti vatvā sakaṭṭhānameva gato. Bodhisattopi aparihīnajjhāno brahmalokūpago ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘อานนฺท, ปุเพฺพ มยา นิวุตฺถภูมิปฺปเทโส เจโส’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สโกฺก อนุรุโทฺธ อโหสิ, กณฺหปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘ānanda, pubbe mayā nivutthabhūmippadeso ceso’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā sakko anuruddho ahosi, kaṇhapaṇḍito pana ahameva ahosi’’nti.
กณฺหชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Kaṇhajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๔๐. กณฺหชาตกํ • 440. Kaṇhajātakaṃ