Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā

    ๖. กณฺหเปตวตฺถุวณฺณนา

    6. Kaṇhapetavatthuvaṇṇanā

    อุเฎฺฐหิ กณฺห กิํ เสสีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ มตปุตฺตํ อุปาสกํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิร อญฺญตรสฺส อุปาสกสฺส ปุโตฺต กาลมกาสิฯ โส เตน โสกสลฺลสมปฺปิโต น นฺหายติ, น ภุญฺชติ, น กมฺมเนฺต วิจาเรติ, น พุทฺธุปฎฺฐานํ คจฺฉติ, เกวลํ, ‘‘ตาต ปิยปุตฺตก, มํ โอหาย กหํ ปฐมตรํ คโตสี’’ติอาทีนิ วทโนฺต วิปฺปลปติฯ สตฺถา ปจฺจูสสมเย โลกํ โอโลเกโนฺต ตสฺส โสตาปตฺติผลูปนิสฺสยํ ทิสฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ ภิกฺขู อุโยฺยเชตฺวา อานนฺทเตฺถเรน ปจฺฉาสมเณน ตสฺส ฆรทฺวารํ อคมาสิฯ สตฺถุ อาคตภาวํ อุปาสกสฺส อาโรเจสุํฯ อถสฺส เคหชโน เคหทฺวาเร อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา สตฺถารํ นิสีทาเปตฺวา อุปาสกํ ปริคฺคเหตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ อุปเนสิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ, อุปาสก, โสจสี’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต, ‘‘อุปาสก, โปราณกปณฺฑิตา ปณฺฑิตานํ กถํ สุตฺวา มตปุตฺตํ นานุโสจิํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Uṭṭhehikaṇha kiṃ sesīti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ mataputtaṃ upāsakaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kira aññatarassa upāsakassa putto kālamakāsi. So tena sokasallasamappito na nhāyati, na bhuñjati, na kammante vicāreti, na buddhupaṭṭhānaṃ gacchati, kevalaṃ, ‘‘tāta piyaputtaka, maṃ ohāya kahaṃ paṭhamataraṃ gatosī’’tiādīni vadanto vippalapati. Satthā paccūsasamaye lokaṃ olokento tassa sotāpattiphalūpanissayaṃ disvā punadivase bhikkhusaṅghaparivuto sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā katabhattakicco bhikkhū uyyojetvā ānandattherena pacchāsamaṇena tassa gharadvāraṃ agamāsi. Satthu āgatabhāvaṃ upāsakassa ārocesuṃ. Athassa gehajano gehadvāre āsanaṃ paññāpetvā satthāraṃ nisīdāpetvā upāsakaṃ pariggahetvā satthu santikaṃ upanesi. Ekamantaṃ nisinnaṃ taṃ disvā ‘‘kiṃ, upāsaka, socasī’’ti vatvā ‘‘āma, bhante’’ti vutte, ‘‘upāsaka, porāṇakapaṇḍitā paṇḍitānaṃ kathaṃ sutvā mataputtaṃ nānusociṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต ทฺวารวตีนคเร ทส ภาติกราชาโน อเหสุํ – วาสุเทโว พลเทโว จนฺทเทวา สูริยเทโว อคฺคิเทโว วรุณเทโว อชฺชุโน ปชฺชุโน ฆฎปณฺฑิโต องฺกุโร จาติฯ เตสุ วาสุเทวมหาราชสฺส ปิยปุโตฺต กาลมกาสิฯ เตน ราชา โสกปเรโต สพฺพกิจฺจานิ ปหาย มญฺจสฺส อฎนิํ ปริคฺคเหตฺวา วิปฺปลปโนฺต นิปชฺชิฯ ตสฺมิํ กาเล ฆฎปณฺฑิโต จิเนฺตสิ – ‘‘ฐเปตฺวา มํ อโญฺญ โกจิ มม ภาตุ โสกํ ปริหริตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, อุปาเยนสฺส โสกํ หริสฺสามี’’ติฯ โส อุมฺมตฺตกเวสํ คเหตฺวา ‘‘สสํ เม เทถ, สสํ เม เทถา’’ติ อากาสํ โอโลเกโนฺต สกลนครํ วิจริฯ ‘‘ฆฎปณฺฑิโต อุมฺมตฺตโก ชาโต’’ติ สกลนครํ สงฺขุภิฯ

    Atīte dvāravatīnagare dasa bhātikarājāno ahesuṃ – vāsudevo baladevo candadevā sūriyadevo aggidevo varuṇadevo ajjuno pajjuno ghaṭapaṇḍito aṅkuro cāti. Tesu vāsudevamahārājassa piyaputto kālamakāsi. Tena rājā sokapareto sabbakiccāni pahāya mañcassa aṭaniṃ pariggahetvā vippalapanto nipajji. Tasmiṃ kāle ghaṭapaṇḍito cintesi – ‘‘ṭhapetvā maṃ añño koci mama bhātu sokaṃ pariharituṃ samattho nāma natthi, upāyenassa sokaṃ harissāmī’’ti. So ummattakavesaṃ gahetvā ‘‘sasaṃ me detha, sasaṃ me dethā’’ti ākāsaṃ olokento sakalanagaraṃ vicari. ‘‘Ghaṭapaṇḍito ummattako jāto’’ti sakalanagaraṃ saṅkhubhi.

    ตสฺมิํ กาเล โรหิเณโยฺย นาม อมโจฺจ วาสุเทวรโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา เตน สทฺธิํ กถํ สมุฎฺฐาเปโนฺต –

    Tasmiṃ kāle rohiṇeyyo nāma amacco vāsudevarañño santikaṃ gantvā tena saddhiṃ kathaṃ samuṭṭhāpento –

    ๒๐๗.

    207.

    ‘‘อุเฎฺฐหิ กณฺห กิํ เสสิ, โก อโตฺถ สุปเนน เต;

    ‘‘Uṭṭhehi kaṇha kiṃ sesi, ko attho supanena te;

    โย จ ตุยฺหํ สโก ภาตา, หทยํ จกฺขุ จ ทกฺขิณํ;

    Yo ca tuyhaṃ sako bhātā, hadayaṃ cakkhu ca dakkhiṇaṃ;

    ตสฺส วาตา พลียนฺติ, สสํ ชปฺปติ เกสวา’’ติฯ – อิมํ คาถมาห;

    Tassa vātā balīyanti, sasaṃ jappati kesavā’’ti. – imaṃ gāthamāha;

    ๒๐๗. ตตฺถ กณฺหาติ วาสุเทวํ โคเตฺตนาลปติฯ โก อโตฺถ สุปเนน เตติ สุปเนน ตุยฺหํ กา นาม วฑฺฒิฯ สโก ภาตาติ โสทริโย ภาตาฯ หทยํ จกฺขุ จ ทกฺขิณนฺติ หทเยน เจว ทกฺขิณจกฺขุนา จ สทิโสติ อโตฺถฯ ตสฺส วาตา พลียนฺตีติ ตสฺส อปราปรํ อุปฺปชฺชมานา อุมฺมาทวาตา พลวโนฺต โหนฺติ วฑฺฒนฺติ อภิภวนฺติฯ สสํ ชปฺปตีติ ‘‘สสํ เม เทถา’’ติ วิปฺปลปติฯ เกสวาติ โส กิร เกสานํ โสภนานํ อตฺถิตาย ‘‘เกสโว’’ติ โวหรียติฯ เตน นํ นาเมน อาลปติฯ

    207. Tattha kaṇhāti vāsudevaṃ gottenālapati. Ko attho supanena teti supanena tuyhaṃ kā nāma vaḍḍhi. Sako bhātāti sodariyo bhātā. Hadayaṃ cakkhu ca dakkhiṇanti hadayena ceva dakkhiṇacakkhunā ca sadisoti attho. Tassa vātā balīyantīti tassa aparāparaṃ uppajjamānā ummādavātā balavanto honti vaḍḍhanti abhibhavanti. Sasaṃ jappatīti ‘‘sasaṃ me dethā’’ti vippalapati. Kesavāti so kira kesānaṃ sobhanānaṃ atthitāya ‘‘kesavo’’ti voharīyati. Tena naṃ nāmena ālapati.

    ตสฺส วจนํ สุตฺวา สยนโต อุฎฺฐิตภาวํ ทีเปโนฺต สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา –

    Tassa vacanaṃ sutvā sayanato uṭṭhitabhāvaṃ dīpento satthā abhisambuddho hutvā –

    ๒๐๘.

    208.

    ‘‘ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา, โรหิเณยฺยสฺส เกสโว;

    ‘‘Tassa taṃ vacanaṃ sutvā, rohiṇeyyassa kesavo;

    ตรมานรูโป วุฎฺฐาสิ, ภาตุ โสเกน อฎฺฎิโต’’ติฯ – อิมํ คาถมาห;

    Taramānarūpo vuṭṭhāsi, bhātu sokena aṭṭito’’ti. – imaṃ gāthamāha;

    ราชา อุฎฺฐาย สีฆํ ปาสาทา โอตริตฺวา ฆฎปณฺฑิตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อุโภสุ หเตฺถสุ นํ ทฬฺหํ คเหตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต –

    Rājā uṭṭhāya sīghaṃ pāsādā otaritvā ghaṭapaṇḍitassa santikaṃ gantvā ubhosu hatthesu naṃ daḷhaṃ gahetvā tena saddhiṃ sallapanto –

    ๒๐๙.

    209.

    ‘‘กิํ นุ อุมฺมตฺตรูโปว, เกวลํ ทฺวารกํ อิมํ;

    ‘‘Kiṃ nu ummattarūpova, kevalaṃ dvārakaṃ imaṃ;

    สโส สโสติ ลปสิ, กีทิสํ สสมิจฺฉสิฯ

    Saso sasoti lapasi, kīdisaṃ sasamicchasi.

    ๒๑๐.

    210.

    ‘‘โสวณฺณมยํ มณิมยํ, โลหมยํ อถ รูปิยมยํ;

    ‘‘Sovaṇṇamayaṃ maṇimayaṃ, lohamayaṃ atha rūpiyamayaṃ;

    สงฺขสิลาปวาฬมยํ, การยิสฺสามิ เต สสํฯ

    Saṅkhasilāpavāḷamayaṃ, kārayissāmi te sasaṃ.

    ๒๑๑.

    211.

    ‘‘สนฺติ อเญฺญปิ สสกา, อรญฺญวนโคจรา;

    ‘‘Santi aññepi sasakā, araññavanagocarā;

    เตปิ เต อานยิสฺสามิ, กีทิสํ สสมิจฺฉสี’’ติฯ –

    Tepi te ānayissāmi, kīdisaṃ sasamicchasī’’ti. –

    ติโสฺส คาถาโย อภาสิฯ

    Tisso gāthāyo abhāsi.

    ๒๐๙-๒๑๑. ตตฺถ อุมฺมตฺตรูโปวาติ อุมฺมตฺตโก วิยฯ เกวลนฺติ สกลํฯ ทฺวารกนฺติ ทฺวารวตีนครํ วิจรโนฺตฯ สโส สโสติ ลปสีติ สโส สโสติ วิลปสิฯ โสวณฺณมยนฺติ สุวณฺณมยํฯ โลหมยนฺติ ตมฺพโลหมยํฯ รูปิยมยนฺติ รชตมยํฯ ยํ อิจฺฉสิ ตํ วเทหิ, อถ เกน โสจสิฯ อเญฺญปิ อรเญฺญ วนโคจรา สสกา อตฺถิ, เต เต อานยิสฺสามิ, วท, ภทฺรมุข , กีทิสํ สสมิจฺฉสีติ ฆฎปณฺฑิตํ ‘‘สเสน อตฺถิโก’’ติ อธิปฺปาเยน สเสน นิมเนฺตสิฯ ตํ สุตฺวา ฆฎปณฺฑิโต –

    209-211.Tatthaummattarūpovāti ummattako viya. Kevalanti sakalaṃ. Dvārakanti dvāravatīnagaraṃ vicaranto. Saso sasoti lapasīti saso sasoti vilapasi. Sovaṇṇamayanti suvaṇṇamayaṃ. Lohamayanti tambalohamayaṃ. Rūpiyamayanti rajatamayaṃ. Yaṃ icchasi taṃ vadehi, atha kena socasi. Aññepi araññe vanagocarā sasakā atthi, te te ānayissāmi, vada, bhadramukha , kīdisaṃ sasamicchasīti ghaṭapaṇḍitaṃ ‘‘sasena atthiko’’ti adhippāyena sasena nimantesi. Taṃ sutvā ghaṭapaṇḍito –

    ๒๑๒.

    212.

    ‘‘นาหเมเต สเส อิเจฺฉ, เย สสา ปถวิสฺสิตา;

    ‘‘Nāhamete sase icche, ye sasā pathavissitā;

    จนฺทโต สสมิจฺฉามิ, ตํ เม โอหร เกสวา’’ติฯ –

    Candato sasamicchāmi, taṃ me ohara kesavā’’ti. –

    คาถมาหฯ ตตฺถ โอหราติ โอหาเรหิฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘นิสฺสํสยํ เม ภาตา อุมฺมตฺตโก ชาโต’’ติ โทมนสฺสปฺปโตฺต –

    Gāthamāha. Tattha oharāti ohārehi. Taṃ sutvā rājā ‘‘nissaṃsayaṃ me bhātā ummattako jāto’’ti domanassappatto –

    ๒๑๓.

    213.

    ‘‘โส นูน มธุรํ ญาติ, ชีวิตํ วิชหิสฺสสิ;

    ‘‘So nūna madhuraṃ ñāti, jīvitaṃ vijahissasi;

    อปตฺถิยํ ปตฺถยสิ, จนฺทโต สสมิจฺฉสี’’ติฯ –

    Apatthiyaṃ patthayasi, candato sasamicchasī’’ti. –

    คาถมาหฯ ตตฺถ ญาตีติ กนิฎฺฐํ อาลปติฯ อยเมตฺถ อโตฺถ – มยฺหํ ปิยญาติ ยํ อติมธุรํ อตฺตโน ชีวิตํ, ตํ วิชหิสฺสสิ มเญฺญ, โย อปตฺถยิตพฺพํ ปเตฺถสีติฯ

    Gāthamāha. Tattha ñātīti kaniṭṭhaṃ ālapati. Ayamettha attho – mayhaṃ piyañāti yaṃ atimadhuraṃ attano jīvitaṃ, taṃ vijahissasi maññe, yo apatthayitabbaṃ patthesīti.

    ฆฎปณฺฑิโต รโญฺญ วจนํ สุตฺวา นิจฺจโลว ฐตฺวา ‘‘ภาติก, ตฺวํ จนฺทโต สสํ ปเตฺถนฺตสฺส ตํ อลภิตฺวา ชีวิตกฺขโย ภวิสฺสตีติ ชานโนฺต กสฺมา มตํ ปุตฺตํ อลภิตฺวา อนุโสจสี’’ติ อิมมตฺถํ ทีเปโนฺต –

    Ghaṭapaṇḍito rañño vacanaṃ sutvā niccalova ṭhatvā ‘‘bhātika, tvaṃ candato sasaṃ patthentassa taṃ alabhitvā jīvitakkhayo bhavissatīti jānanto kasmā mataṃ puttaṃ alabhitvā anusocasī’’ti imamatthaṃ dīpento –

    ๒๑๔.

    214.

    ‘‘เอวํ เจ กณฺห ชานาสิ, ยถญฺญมนุสาสสิ;

    ‘‘Evaṃ ce kaṇha jānāsi, yathaññamanusāsasi;

    กสฺมา ปุเร มตํ ปุตฺตํ, อชฺชาปิ มนุโสจสี’’ติฯ –

    Kasmā pure mataṃ puttaṃ, ajjāpi manusocasī’’ti. –

    คาถมาหฯ ตตฺถ เอวํ เจ, กณฺห, ชานาสีติ, ภาติก, กณฺหนามก มหาราช, ‘‘อลพฺภเนยฺยวตฺถุ นาม น ปเตฺถตพฺพ’’นฺติ ยทิ เอวํ ชานาสิฯ ยถญฺญนฺติ เอวํ ชานโนฺตว ยถา อญฺญํ อนุสาสสิ, ตถา อกตฺวาฯ กสฺมา ปุเร มตํ ปุตฺตนฺติ อถ กสฺมา อิโต จตุมาสมตฺถเก มตํ ปุตฺตํ อชฺชาปิ อนุโสจสีติฯ

    Gāthamāha. Tattha evaṃ ce, kaṇha, jānāsīti, bhātika, kaṇhanāmaka mahārāja, ‘‘alabbhaneyyavatthu nāma na patthetabba’’nti yadi evaṃ jānāsi. Yathaññanti evaṃ jānantova yathā aññaṃ anusāsasi, tathā akatvā. Kasmā pure mataṃ puttanti atha kasmā ito catumāsamatthake mataṃ puttaṃ ajjāpi anusocasīti.

    เอวํ โส อนฺตรวีถิยํ ฐิตโกว ‘‘อหํ ตาว เอวํ ปญฺญายมานํ ปเตฺถมิ, ตฺวํ ปน อปญฺญายมานสฺสตฺถาย โสจสี’’ติ วตฺวา ตสฺส ธมฺมํ เทเสโนฺต –

    Evaṃ so antaravīthiyaṃ ṭhitakova ‘‘ahaṃ tāva evaṃ paññāyamānaṃ patthemi, tvaṃ pana apaññāyamānassatthāya socasī’’ti vatvā tassa dhammaṃ desento –

    ๒๑๕.

    215.

    ‘‘น ยํ ลพฺภา มนุเสฺสน, อมนุเสฺสน วา ปน;

    ‘‘Na yaṃ labbhā manussena, amanussena vā pana;

    ชาโต เม มา มริ ปุโตฺต, กุโต ลพฺภา อลพฺภิยํฯ

    Jāto me mā mari putto, kuto labbhā alabbhiyaṃ.

    ๒๑๖.

    216.

    ‘‘น มนฺตา มูลเภสชฺชา, โอสเธหิ ธเนน วา;

    ‘‘Na mantā mūlabhesajjā, osadhehi dhanena vā;

    สกฺกา อานยิตุํ กณฺห, ยํ เปตมนุโสจสี’’ติฯ – คาถาทฺวยมาห;

    Sakkā ānayituṃ kaṇha, yaṃ petamanusocasī’’ti. – gāthādvayamāha;

    ๒๑๕. ตตฺถ นฺติ, ภาติก, ยํ ‘‘เอวํ ชาโต เม ปุโตฺต มา มรี’’ติ มนุเสฺสน วา เทเวน วา ปน น ลพฺภา น สกฺกา ลทฺธุํ, ตํ ตฺวํ ปเตฺถสิ, ตํ ปเนตํ กุโต ลพฺภา, เกน การเณน ลทฺธุํ สกฺกาฯ ยสฺมา อลพฺภิยํ อลพฺภเนยฺยวตฺถุ นาเมตนฺติ อโตฺถฯ

    215. Tattha yanti, bhātika, yaṃ ‘‘evaṃ jāto me putto mā marī’’ti manussena vā devena vā pana na labbhā na sakkā laddhuṃ, taṃ tvaṃ patthesi, taṃ panetaṃ kuto labbhā, kena kāraṇena laddhuṃ sakkā. Yasmā alabbhiyaṃ alabbhaneyyavatthu nāmetanti attho.

    ๒๑๖. มนฺตาติ มนฺตปฺปโยเคนฯ มูลเภสชฺชาติ มูลเภสเชฺชนฯ โอสเธหีติ นานาวิเธหิ โอสเธหิฯ ธเนน วาติ โกฎิสตสเงฺขน ธเนน วาปิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ เปตมนุโสจสิ, ตํ เอเตหิ มนฺตปฺปโยคาทีหิปิ อาเนตุํ น สกฺกาติฯ

    216.Mantāti mantappayogena. Mūlabhesajjāti mūlabhesajjena. Osadhehīti nānāvidhehi osadhehi. Dhanena vāti koṭisatasaṅkhena dhanena vāpi. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ petamanusocasi, taṃ etehi mantappayogādīhipi ānetuṃ na sakkāti.

    ปุน ฆฎปณฺฑิโต ‘‘ภาติก, อิทํ มรณํ นาม ธเนน วา ชาติยา วา วิชฺชาย วา สีเลน วา ภาวนาย วา น สกฺกา ปฎิพาหิตุ’’นฺติ ทเสฺสโนฺต –

    Puna ghaṭapaṇḍito ‘‘bhātika, idaṃ maraṇaṃ nāma dhanena vā jātiyā vā vijjāya vā sīlena vā bhāvanāya vā na sakkā paṭibāhitu’’nti dassento –

    ๒๑๗.

    217.

    ‘‘มหทฺธนา มหาโภคา, รฎฺฐวโนฺตปิ ขตฺติยา;

    ‘‘Mahaddhanā mahābhogā, raṭṭhavantopi khattiyā;

    ปหูตธนธญฺญาเส, เตปิ โน อชรามราฯ

    Pahūtadhanadhaññāse, tepi no ajarāmarā.

    ๒๑๘.

    218.

    ‘‘ขตฺติยา พฺราหฺมณา เวสฺสา, สุทฺทา จณฺฑาลปุกฺกุสฺสา;

    ‘‘Khattiyā brāhmaṇā vessā, suddā caṇḍālapukkussā;

    เอเต จเญฺญ จ ชาติยา, เตปิ โน อชรามราฯ

    Ete caññe ca jātiyā, tepi no ajarāmarā.

    ๒๑๙.

    219.

    ‘‘เย มนฺตํ ปริวเตฺตนฺติ, ฉฬงฺคํ พฺรหฺมจินฺติตํ;

    ‘‘Ye mantaṃ parivattenti, chaḷaṅgaṃ brahmacintitaṃ;

    เอเต จเญฺญ จ วิชฺชาย, เตปิ โน อชรามราฯ

    Ete caññe ca vijjāya, tepi no ajarāmarā.

    ๒๒๐.

    220.

    ‘‘อิสโย วาปิ เย สนฺตา, สญฺญตตฺตา ตปสฺสิโน;

    ‘‘Isayo vāpi ye santā, saññatattā tapassino;

    สรีรํ เตปิ กาเลน, วิชหนฺติ ตปสฺสิโนฯ

    Sarīraṃ tepi kālena, vijahanti tapassino.

    ๒๒๑.

    221.

    ‘‘ภาวิตตฺตา อรหโนฺต, กตกิจฺจา อนาสวา;

    ‘‘Bhāvitattā arahanto, katakiccā anāsavā;

    นิกฺขิปนฺติ อิมํ เทหํ, ปุญฺญปาปปริกฺขยา’’ติฯ –

    Nikkhipanti imaṃ dehaṃ, puññapāpaparikkhayā’’ti. –

    ปญฺจหิ คาถาหิ รโญฺญ ธมฺมํ เทเสสิฯ

    Pañcahi gāthāhi rañño dhammaṃ desesi.

    ๒๑๗. ตตฺถ มหทฺธนาติ นิธานคตเสฺสว มหโต ธนสฺส อตฺถิตาย พหุธนาฯ มหาโภคาติ เทวโภคสทิสาย มหติยา โภคสมฺปตฺติยา สมนฺนาคตาฯ รฎฺฐวโนฺตติ สกลรฎฺฐวโนฺตฯ ปหูตธนธญฺญาเสติ ติณฺณํ จตุนฺนํ วา สํวจฺฉรานํ อตฺถาย นิทหิตฺวา ฐเปตพฺพสฺส นิจฺจปริพฺพยภูตสฺส ธนธญฺญสฺส วเสน อปริยนฺตธนธญฺญาฯ เตปิ โน อชรามราติ เตปิ เอวํ มหาวิภวา มนฺธาตุมหาสุทสฺสนาทโย ขตฺติยา อชรามรา นาเหสุํ, อญฺญทตฺถุ มรณมุขเมว อนุปวิฎฺฐาติ อโตฺถฯ

    217. Tattha mahaddhanāti nidhānagatasseva mahato dhanassa atthitāya bahudhanā. Mahābhogāti devabhogasadisāya mahatiyā bhogasampattiyā samannāgatā. Raṭṭhavantoti sakalaraṭṭhavanto. Pahūtadhanadhaññāseti tiṇṇaṃ catunnaṃ vā saṃvaccharānaṃ atthāya nidahitvā ṭhapetabbassa niccaparibbayabhūtassa dhanadhaññassa vasena apariyantadhanadhaññā. Tepi no ajarāmarāti tepi evaṃ mahāvibhavā mandhātumahāsudassanādayo khattiyā ajarāmarā nāhesuṃ, aññadatthu maraṇamukhameva anupaviṭṭhāti attho.

    ๒๑๘. เอเตติ ยถาวุตฺตขตฺติยาทโยฯ อเญฺญติ อญฺญตรา เอวํภูตา อมฺพฎฺฐาทโยฯ ชาติยาติ อตฺตโน ชาตินิมิตฺตํ อชรามรา นาเหสุนฺติ อโตฺถฯ

    218.Eteti yathāvuttakhattiyādayo. Aññeti aññatarā evaṃbhūtā ambaṭṭhādayo. Jātiyāti attano jātinimittaṃ ajarāmarā nāhesunti attho.

    ๒๑๙. มนฺตนฺติ เวทํฯ ปริวเตฺตนฺตีติ สชฺฌายนฺติ วาเจนฺติ จฯ อถ วา ปริวเตฺตนฺตีติ เวทํ อนุปริวเตฺตนฺตา โหมํ กโรนฺตา ชปนฺติฯ ฉฬงฺคนฺติ สิกฺขากปฺปนิรุตฺติพฺยากรณโชติสตฺถฉโนฺทวิจิติสงฺขาเตหิ ฉหิ อเงฺคหิ ยุตฺตํฯ พฺรหฺมจินฺติตนฺติ พฺราหฺมณานมตฺถาย พฺรหฺมนา จินฺติตํ กถิตํฯ วิชฺชายาติ พฺรหฺมสทิสวิชฺชาย สมนฺนาคตา, เตปิ โน อชรามราติ อโตฺถฯ

    219.Mantanti vedaṃ. Parivattentīti sajjhāyanti vācenti ca. Atha vā parivattentīti vedaṃ anuparivattentā homaṃ karontā japanti. Chaḷaṅganti sikkhākappaniruttibyākaraṇajotisatthachandovicitisaṅkhātehi chahi aṅgehi yuttaṃ. Brahmacintitanti brāhmaṇānamatthāya brahmanā cintitaṃ kathitaṃ. Vijjāyāti brahmasadisavijjāya samannāgatā, tepi no ajarāmarāti attho.

    ๒๒๐-๒๒๑. อิสโยติ ยมนิยมาทีนํ ปฎิกูลสญฺญาทีนญฺจ เอสนเฎฺฐน อิสโยฯ สนฺตาติ กายวาจาหิ สนฺตสภาวาฯ สญฺญตตฺตาติ ราคาทีนํ สํยเมน สํยตจิตฺตาฯ กายตปนสงฺขาโต ตโป เอเตสํ อตฺถีติ ตปสฺสิโนฯ ปุน ตปสฺสิโนติ สํวรกาฯ เตน เอวํ ตปนิสฺสิตกา หุตฺวา สรีเรน จ วิโมกฺขํ ปตฺตุกามาปิ สํวรกา สรีรํ วิชหนฺติ เอวาติ ทเสฺสติฯ อถ วา อิสโยติ อธิสีลสิกฺขาทีนํ เอสนเฎฺฐน อิสโย, ตทตฺถํ ตปฺปฎิปกฺขานํ ปาปธมฺมานํ วูปสเมน สนฺตา, เอการมฺมเณ จิตฺตสฺส สํยเมน สญฺญตตฺตา, สมฺมปฺปธานโยคโต วีริยตาเปน ตปสฺสิโน, สปฺปโยคา ราคาทีนํ สนฺตปเนน ตปสฺสิโนติ โยเชตพฺพํฯ ภาวิตตฺตาติ จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานภาวนาย ภาวิตจิตฺตาฯ

    220-221.Isayoti yamaniyamādīnaṃ paṭikūlasaññādīnañca esanaṭṭhena isayo. Santāti kāyavācāhi santasabhāvā. Saññatattāti rāgādīnaṃ saṃyamena saṃyatacittā. Kāyatapanasaṅkhāto tapo etesaṃ atthīti tapassino. Puna tapassinoti saṃvarakā. Tena evaṃ tapanissitakā hutvā sarīrena ca vimokkhaṃ pattukāmāpi saṃvarakā sarīraṃ vijahanti evāti dasseti. Atha vā isayoti adhisīlasikkhādīnaṃ esanaṭṭhena isayo, tadatthaṃ tappaṭipakkhānaṃ pāpadhammānaṃ vūpasamena santā, ekārammaṇe cittassa saṃyamena saññatattā, sammappadhānayogato vīriyatāpena tapassino, sappayogā rāgādīnaṃ santapanena tapassinoti yojetabbaṃ. Bhāvitattāti catusaccakammaṭṭhānabhāvanāya bhāvitacittā.

    เอวํ ฆฎปณฺฑิเตน ธเมฺม กถิเต ตํ สุตฺวา ราชา อปคตโสกสโลฺล ปสนฺนมานโส ฆฎปณฺฑิตํ ปสํสโนฺต –

    Evaṃ ghaṭapaṇḍitena dhamme kathite taṃ sutvā rājā apagatasokasallo pasannamānaso ghaṭapaṇḍitaṃ pasaṃsanto –

    ๒๒๒.

    222.

    ‘‘อาทิตฺตํ วต มํ สนฺตํ, ฆฎสิตฺตํว ปาวกํ;

    ‘‘Ādittaṃ vata maṃ santaṃ, ghaṭasittaṃva pāvakaṃ;

    วารินา วิย โอสิญฺจํ, สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํฯ

    Vārinā viya osiñcaṃ, sabbaṃ nibbāpaye daraṃ.

    ๒๒๓.

    223.

    ‘‘อพฺพหี วต เม สลฺลํ, โสกํ หทยนิสฺสิตํ;

    ‘‘Abbahī vata me sallaṃ, sokaṃ hadayanissitaṃ;

    โย เม โสกปเรตสฺส, ปุตฺตโสกํ อปานุทิฯ

    Yo me sokaparetassa, puttasokaṃ apānudi.

    ๒๒๔.

    224.

    ‘‘สฺวาหํ อพฺพูฬฺหสโลฺลสฺมิ, สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโต;

    ‘‘Svāhaṃ abbūḷhasallosmi, sītibhūtosmi nibbuto;

    น โสจามิ น โรทามิ, ตว สุตฺวาน ภาติกฯ

    Na socāmi na rodāmi, tava sutvāna bhātika.

    ๒๒๕.

    225.

    ‘‘เอวํ กโรนฺติ สปฺปญฺญา, เย โหนฺติ อนุกมฺปกา;

    ‘‘Evaṃ karonti sappaññā, ye honti anukampakā;

    นิวตฺตยนฺติ โสกมฺหา, ฆโฎ เชฎฺฐํว ภาตรํฯ

    Nivattayanti sokamhā, ghaṭo jeṭṭhaṃva bhātaraṃ.

    ๒๒๖.

    226.

    ‘‘ยสฺส เอตาทิสา โหนฺติ, อมจฺจา ปริจารกา;

    ‘‘Yassa etādisā honti, amaccā paricārakā;

    สุภาสิเตน อเนฺวนฺติ, ฆโฎ เชฎฺฐํว ภาตร’’นฺติฯ – เสสคาถา อภาสิ;

    Subhāsitena anventi, ghaṭo jeṭṭhaṃva bhātara’’nti. – sesagāthā abhāsi;

    ๒๒๕. ตตฺถ ฆโฎ เชฎฺฐํว ภาตรนฺติ ยถา ฆฎปณฺฑิโต อตฺตโน เชฎฺฐภาตรํ มตปุตฺตโสกาภิภูตํ อตฺตโน อุปายโกสเลฺลน เจว ธมฺมกถาย จ ตโต ปุตฺตโสกโต วินิวตฺตยิ, เอวํ อเญฺญปิ สปฺปญฺญา เย โหนฺติ อนุกมฺปกา, เต ญาตีนํ อุปการํ กโรนฺตีติ อโตฺถฯ

    225. Tattha ghaṭo jeṭṭhaṃva bhātaranti yathā ghaṭapaṇḍito attano jeṭṭhabhātaraṃ mataputtasokābhibhūtaṃ attano upāyakosallena ceva dhammakathāya ca tato puttasokato vinivattayi, evaṃ aññepi sappaññā ye honti anukampakā, te ñātīnaṃ upakāraṃ karontīti attho.

    ๒๒๖. ยสฺส เอตาทิสา โหนฺตีติ อยํ อภิสมฺพุทฺธคาถาฯ ตสฺสโตฺถ – ยถา เยน การเณน ปุตฺตโสกปเรตํ ราชานํ วาสุเทวํ ฆฎปณฺฑิโต โสกหรณตฺถาย สุภาสิเตน อเนฺวสิ อนุเอสิ, ยสฺส อญฺญสฺสาปิ เอตาทิสา ปณฺฑิตา อมจฺจา ปฎิลทฺธา อสฺสุ, ตสฺส กุโต โสโกติ! เสสคาถา เหฎฺฐา วุตฺตตฺถา เอวาติฯ

    226.Yassa etādisā hontīti ayaṃ abhisambuddhagāthā. Tassattho – yathā yena kāraṇena puttasokaparetaṃ rājānaṃ vāsudevaṃ ghaṭapaṇḍito sokaharaṇatthāya subhāsitena anvesi anuesi, yassa aññassāpi etādisā paṇḍitā amaccā paṭiladdhā assu, tassa kuto sokoti! Sesagāthā heṭṭhā vuttatthā evāti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, อุปาสก, โปราณกปณฺฑิตา ปณฺฑิตานํ กถํ สุตฺวา ปุตฺตโสกํ หริํสู’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิฯ สจฺจปริโยสาเน อุปาสโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหีติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, upāsaka, porāṇakapaṇḍitā paṇḍitānaṃ kathaṃ sutvā puttasokaṃ hariṃsū’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi. Saccapariyosāne upāsako sotāpattiphale patiṭṭhahīti.

    กณฺหเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kaṇhapetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๖. กณฺหเปตวตฺถุ • 6. Kaṇhapetavatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact