Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๗. กงฺขาเรวตสุตฺตวณฺณนา
7. Kaṅkhārevatasuttavaṇṇanā
๔๗. สตฺตเม กงฺขาเรวโตติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ โส หิ สาสเน ปพฺพชิตฺวา ลทฺธูปสมฺปโท สีลวา กลฺยาณธโมฺม วิหรติ, ‘‘อกปฺปิยา มุคฺคา, น กปฺปนฺติ มุคฺคา ปริภุญฺชิตุํ, อกปฺปิโย คุโฬ’’ติ (มหาว. ๒๗๒) จ อาทินา วินยกุกฺกุจฺจสงฺขาตกงฺขาพหุโล ปน โหติฯ เตน กงฺขาเรวโตติ ปญฺญายิตฺถฯ โส อปรภาเค สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ฆเฎโนฺต วายมโนฺต ฉฬภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ฌานสุเขน ผลสุเขน วีตินาเมติ, เยภุเยฺยน ปน อตฺตนา อธิคตํ อริยมคฺคํ ครุํ กตฺวา ปจฺจเวกฺขติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อตฺตโน กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิํ ปจฺจเวกฺขมาโน’’ติฯ มคฺคปญฺญา หิ ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทินยปวตฺตาย (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) โสฬสวตฺถุกาย, ‘‘พุเทฺธ กงฺขติ…เป.… ปฎิจฺจสมุปฺปเนฺนสุ ธเมฺมสุ กงฺขตี’’ติ (ธ. ส. ๑๐๐๘) เอวํ วุตฺตาย อฎฺฐวตฺถุกาย, ปเคว อิตราสนฺติ อนวเสสโต สพฺพกงฺขานํ วิตรณโต สมติกฺกมนโต, อเญฺญหิ จ อตฺตนา ปหาตพฺพกิเลเสหิ อจฺจนฺตวิสุชฺฌนโต ‘‘กงฺขาวิตรณวิสุทฺธี’’ติ อิธาธิเปฺปตาฯ ตญฺหิ อยมายสฺมา ทีฆรตฺตํ กงฺขาปกตตฺตา ‘‘อิมํ มคฺคธมฺมํ อธิคมฺม อิมา เม กงฺขา อนวเสสา ปหีนา’’ติ ครุํ กตฺวา ปจฺจเวกฺขมาโน นิสีทิ, น สปฺปจฺจยนามรูปทสฺสนํ อนิจฺจนฺติกตฺตา ตสฺส กงฺขาวิตรณสฺสฯ
47. Sattame kaṅkhārevatoti tassa therassa nāmaṃ. So hi sāsane pabbajitvā laddhūpasampado sīlavā kalyāṇadhammo viharati, ‘‘akappiyā muggā, na kappanti muggā paribhuñjituṃ, akappiyo guḷo’’ti (mahāva. 272) ca ādinā vinayakukkuccasaṅkhātakaṅkhābahulo pana hoti. Tena kaṅkhārevatoti paññāyittha. So aparabhāge satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā ghaṭento vāyamanto chaḷabhiññā sacchikatvā jhānasukhena phalasukhena vītināmeti, yebhuyyena pana attanā adhigataṃ ariyamaggaṃ garuṃ katvā paccavekkhati. Tena vuttaṃ – ‘‘attano kaṅkhāvitaraṇavisuddhiṃ paccavekkhamāno’’ti. Maggapaññā hi ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādinayapavattāya (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) soḷasavatthukāya, ‘‘buddhe kaṅkhati…pe… paṭiccasamuppannesu dhammesu kaṅkhatī’’ti (dha. sa. 1008) evaṃ vuttāya aṭṭhavatthukāya, pageva itarāsanti anavasesato sabbakaṅkhānaṃ vitaraṇato samatikkamanato, aññehi ca attanā pahātabbakilesehi accantavisujjhanato ‘‘kaṅkhāvitaraṇavisuddhī’’ti idhādhippetā. Tañhi ayamāyasmā dīgharattaṃ kaṅkhāpakatattā ‘‘imaṃ maggadhammaṃ adhigamma imā me kaṅkhā anavasesā pahīnā’’ti garuṃ katvā paccavekkhamāno nisīdi, na sappaccayanāmarūpadassanaṃ aniccantikattā tassa kaṅkhāvitaraṇassa.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ อริยมคฺคสฺส อนวเสสกงฺขาวิตรณสงฺขาตํ อตฺถํ วิทิตฺวา ตทตฺถทีปกํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃ viditvāti etaṃ ariyamaggassa anavasesakaṅkhāvitaraṇasaṅkhātaṃ atthaṃ viditvā tadatthadīpakaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ ยา กาจิ กงฺขา อิธ วา หุรํ วาติ อิธ อิมสฺมิํ ปจฺจุปฺปเนฺน อตฺตภาเว ‘‘อหํ นุ โขสฺมิ โน นุ โขสฺมี’’ติอาทินา หุรํ วา, อตีตานาคเตสุ อตฺตภาเวสุ ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทินา อุปฺปชฺชนกา กงฺขาฯ สกเวทิยา วา ปรเวทิยา วาติ ตา เอวํ วุตฺตนเยเนว สกอตฺตภาเว อารมฺมณวเสน ปฎิลภิตพฺพาย ปวตฺติยา สกเวทิยา วา ปรสฺส อตฺตภาเว ปฎิลภิตพฺพาย ‘‘พุโทฺธ นุ โข, โน นุ โข’’ติอาทินา วา ปรสฺมิํ ปธาเน อุตฺตเม ปฎิลภิตพฺพาย ปวตฺติยา ปรเวทิยา วา ยา กาจิ กงฺขา วิจิกิจฺฉาฯ เย ฌายิโน ตา ปชหนฺติ สพฺพา, อาตาปิโน พฺรหฺมจริยํ จรนฺตาติ เย อารมฺมณูปนิชฺฌาเนน ลกฺขณูปนิชฺฌาเนน ฌายิโน วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา จตุพฺพิธสมฺมปฺปธานปาริปูริยา อาตาปิโน มคฺคพฺรหฺมจริยํ จรนฺตา อธิคจฺฉนฺตา สทฺธานุสารีอาทิปฺปเภทา ปฐมมคฺคฎฺฐา ปุคฺคลา, ตา สพฺพา กงฺขา ปชหนฺติ สมุจฺฉินฺทนฺติ มคฺคกฺขเณฯ ตโต ปรํ ปน ตา ปหีนา นาม โหนฺติ, ตสฺมา อิโต อญฺญํ ตาสํ อจฺจนฺตปฺปหานํ นาม นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha yā kāci kaṅkhā idha vā huraṃ vāti idha imasmiṃ paccuppanne attabhāve ‘‘ahaṃ nu khosmi no nu khosmī’’tiādinā huraṃ vā, atītānāgatesu attabhāvesu ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādinā uppajjanakā kaṅkhā. Sakavediyā vā paravediyā vāti tā evaṃ vuttanayeneva sakaattabhāve ārammaṇavasena paṭilabhitabbāya pavattiyā sakavediyā vā parassa attabhāve paṭilabhitabbāya ‘‘buddho nu kho, no nu kho’’tiādinā vā parasmiṃ padhāne uttame paṭilabhitabbāya pavattiyā paravediyā vā yā kāci kaṅkhā vicikicchā. Ye jhāyino tā pajahanti sabbā, ātāpino brahmacariyaṃ carantāti ye ārammaṇūpanijjhānena lakkhaṇūpanijjhānena jhāyino vipassanaṃ ussukkāpetvā catubbidhasammappadhānapāripūriyā ātāpino maggabrahmacariyaṃ carantā adhigacchantā saddhānusārīādippabhedā paṭhamamaggaṭṭhā puggalā, tā sabbā kaṅkhā pajahanti samucchindanti maggakkhaṇe. Tato paraṃ pana tā pahīnā nāma honti, tasmā ito aññaṃ tāsaṃ accantappahānaṃ nāma natthīti adhippāyo.
อิติ ภควา ฌานมุเขน อายสฺมโต กงฺขาเรวตสฺส ฌานสีเสน อริยมคฺคาธิคมํ โถเมโนฺต โถมนาวเสน อุทานํ อุทาเนสิฯ เตเนว จ นํ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ฌายีนํ ยทิทํ กงฺขาเรวโต’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๐๔) ฌายีภาเวน เอตทเคฺค ฐเปสีติฯ
Iti bhagavā jhānamukhena āyasmato kaṅkhārevatassa jhānasīsena ariyamaggādhigamaṃ thomento thomanāvasena udānaṃ udānesi. Teneva ca naṃ ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ jhāyīnaṃ yadidaṃ kaṅkhārevato’’ti (a. ni. 1.204) jhāyībhāvena etadagge ṭhapesīti.
สตฺตมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sattamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๗. กงฺขาเรวตสุตฺตํ • 7. Kaṅkhārevatasuttaṃ