Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā |
๑๒. กณฺณมุณฺฑเปติวตฺถุวณฺณนา
12. Kaṇṇamuṇḍapetivatthuvaṇṇanā
โสณฺณโสปานผลกาติ อิทํ สตฺถริ สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต กณฺณมุณฺฑเปติํ อารพฺภ วุตฺตํฯ อตีเต กิร กสฺสปพุทฺธกาเล กิมิลนคเร อญฺญตโร อุปาสโก โสตาปโนฺน ปญฺจหิ อุปาสกสเตหิ สทฺธิํ สมานจฺฉโนฺท หุตฺวา อารามโรปนเสตุพนฺธนจงฺกมนกรณาทีสุ ปุญฺญกเมฺมสุ ปสุโต หุตฺวา วิหรโนฺต สงฺฆสฺส วิหารํ กาเรตฺวา เตหิ สทฺธิํ กาเลน กาลํ วิหารํ คจฺฉติฯ เตสํ ภริยาโยปิ อุปาสิกา หุตฺวา อญฺญมญฺญํ สมคฺคา มาลาคนฺธวิเลปนาทิหตฺถา กาเลน กาลํ วิหารํ คจฺฉนฺติโย อนฺตรามเคฺค อารามสภาทีสุ วิสฺสมิตฺวา คจฺฉนฺติฯ
Soṇṇasopānaphalakāti idaṃ satthari sāvatthiyaṃ viharante kaṇṇamuṇḍapetiṃ ārabbha vuttaṃ. Atīte kira kassapabuddhakāle kimilanagare aññataro upāsako sotāpanno pañcahi upāsakasatehi saddhiṃ samānacchando hutvā ārāmaropanasetubandhanacaṅkamanakaraṇādīsu puññakammesu pasuto hutvā viharanto saṅghassa vihāraṃ kāretvā tehi saddhiṃ kālena kālaṃ vihāraṃ gacchati. Tesaṃ bhariyāyopi upāsikā hutvā aññamaññaṃ samaggā mālāgandhavilepanādihatthā kālena kālaṃ vihāraṃ gacchantiyo antarāmagge ārāmasabhādīsu vissamitvā gacchanti.
อเถกทิวสํ กติปยา ธุตฺตา เอกิสฺสา สภาย สนฺนิสินฺนา ตาสุ ตตฺถ วิสฺสมิตฺวา คตาสุ ตาสํ รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา ตาสํ สีลาจารคุณสมฺปนฺนตํ ญตฺวา กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘โก เอตาสุ เอกิสฺสาปิ สีลเภทํ กาตุํ สมโตฺถ’’ติฯ ตตฺถ อญฺญตโร ‘‘อหํ สมโตฺถ’’ติ อาหฯ เต เตน ‘‘สหเสฺสน อพฺภุตํ กโรมา’’ติ อพฺภุตํ อกํสุฯ โส อเนเกหิ อุปาเยหิ วายมมาโน ตาสุ สภํ อาคตาสุ สุมุญฺจิตํ สตฺตตนฺติํ มธุรสฺสรํ วีณํ วาเทโนฺต มธุเรเนว สเรน กามปฎิสํยุตฺตคีตานิ คายโนฺต คีตสเทฺทน ตาสุ อญฺญตรํ อิตฺถิํ สีลเภทํ ปาเปโนฺต อติจารินิํ กตฺวา เต ธุเตฺต สหสฺสํ ปราเชสิฯ เต สหสฺสปราชิตา ตสฺสา สามิกสฺส อาโรเจสุํฯ สามิโก ตํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ ตฺวํ เอวรูปา, ยถา เต ปุริสา อโวจุ’’นฺติฯ สา ‘‘นาหํ อีทิสํ ชานามี’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ตสฺมิํ อสทฺทหเนฺต สมีเป ฐิตํ สุนขํ ทเสฺสตฺวา สปถํ อกาสิ ‘‘สเจ มยา ตาทิสํ ปาปกมฺมํ กตํ, อยํ ฉินฺนกโณฺณ กาฬสุนโข ตตฺถ ตตฺถ ภเว ชาตํ มํ ขาทตู’’ติฯ อิตราปิ ปญฺจสตา อิตฺถิโย ตํ อิตฺถิํ อติจารินิํ ชานนฺตี กิํ อยํ ตถารูปํ ปาปํ อกาสิ, อุทาหุ นากาสี’’ติ โจทิตา ‘‘น มยํ เอวรูปํ ชานามา’’ติ มุสา วตฺวา ‘‘สเจ มยํ ชานาม, ภเว ภเว เอติสฺสาเยว ทาสิโย ภเวยฺยามา’’ติ สปถํ อกํสุฯ
Athekadivasaṃ katipayā dhuttā ekissā sabhāya sannisinnā tāsu tattha vissamitvā gatāsu tāsaṃ rūpasampattiṃ disvā paṭibaddhacittā hutvā tāsaṃ sīlācāraguṇasampannataṃ ñatvā kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘ko etāsu ekissāpi sīlabhedaṃ kātuṃ samattho’’ti. Tattha aññataro ‘‘ahaṃ samattho’’ti āha. Te tena ‘‘sahassena abbhutaṃ karomā’’ti abbhutaṃ akaṃsu. So anekehi upāyehi vāyamamāno tāsu sabhaṃ āgatāsu sumuñcitaṃ sattatantiṃ madhurassaraṃ vīṇaṃ vādento madhureneva sarena kāmapaṭisaṃyuttagītāni gāyanto gītasaddena tāsu aññataraṃ itthiṃ sīlabhedaṃ pāpento aticāriniṃ katvā te dhutte sahassaṃ parājesi. Te sahassaparājitā tassā sāmikassa ārocesuṃ. Sāmiko taṃ pucchi – ‘‘kiṃ tvaṃ evarūpā, yathā te purisā avocu’’nti. Sā ‘‘nāhaṃ īdisaṃ jānāmī’’ti paṭikkhipitvā tasmiṃ asaddahante samīpe ṭhitaṃ sunakhaṃ dassetvā sapathaṃ akāsi ‘‘sace mayā tādisaṃ pāpakammaṃ kataṃ, ayaṃ chinnakaṇṇo kāḷasunakho tattha tattha bhave jātaṃ maṃ khādatū’’ti. Itarāpi pañcasatā itthiyo taṃ itthiṃ aticāriniṃ jānantī kiṃ ayaṃ tathārūpaṃ pāpaṃ akāsi, udāhu nākāsī’’ti coditā ‘‘na mayaṃ evarūpaṃ jānāmā’’ti musā vatvā ‘‘sace mayaṃ jānāma, bhave bhave etissāyeva dāsiyo bhaveyyāmā’’ti sapathaṃ akaṃsu.
อถ สา อติจารินี อิตฺถี เตเนว วิปฺปฎิสาเรน ฑยฺหมานหทยา สุสฺสิตฺวา น จิเรเนว กาลํ กตฺวา หิมวติ ปพฺพตราเช สตฺตนฺนํ มหาสรานํ อญฺญตรสฺส กณฺณมุณฺฑทหสฺส ตีเร วิมานเปตี หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ วิมานสามนฺตา จสฺสา กมฺมวิปากานุภวนโยคฺคา เอกา โปกฺขรณี นิพฺพตฺติฯ เสสา จ ปญฺจสตา อิตฺถิโย กาลํ กตฺวา สปถกมฺมวเสน ตสฺสาเยว ทาสิโย หุตฺวา นิพฺพตฺติํสุฯ สา ตตฺถ ปุเพฺพ กตสฺส ปุญฺญกมฺมสฺส ผเลน ทิวสภาคํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อฑฺฒรเตฺต ปาปกมฺมพลสโญฺจทิตา สยนโต อุฎฺฐหิตฺวา โปกฺขรณิตีรํ คจฺฉติฯ ตตฺถ คตํ คชโปตกปฺปมาโณ เอโก กาฬสุนโข เภรวรูโป ฉินฺนกโณฺณ ติขิณายตกถินทาโฐ สุวิปฺผุลิตขทิรงฺคารปุญฺชสทิสนยโน นิรนฺตรปฺปวตฺตวิชฺชุลตาสงฺฆาตสทิสชิโวฺห กถินติขิณนโข ขรายตทุพฺพณฺณโลโม ตโต อาคนฺตฺวา ตํ ภูมิยํ นิปาเตตฺวา อติสยชิฆจฺฉาภิภูโต วิย ปสยฺห ขาทโนฺต อฎฺฐิสงฺขลิกมตฺตํ กตฺวา ทเนฺตหิ คเหตฺวา โปกฺขรณิยํ ขิปิตฺวา อนฺตรธายติฯ สา จ ตตฺถ ปกฺขิตฺตสมนนฺตรเมว ปกติรูปธารินี หุตฺวา วิมานํ อภิรุยฺห สยเน นิปชฺชติฯ อิตรา ปน ตสฺสา ทาสพฺยเมว ทุกฺขํ อนุภวนฺติฯ เอวํ ตาสํ ตตฺถ วสนฺตีนํ ปญฺญาสาธิกานิ ปญฺจ วสฺสสตานิ วีติวตฺตานิฯ
Atha sā aticārinī itthī teneva vippaṭisārena ḍayhamānahadayā sussitvā na cireneva kālaṃ katvā himavati pabbatarāje sattannaṃ mahāsarānaṃ aññatarassa kaṇṇamuṇḍadahassa tīre vimānapetī hutvā nibbatti. Vimānasāmantā cassā kammavipākānubhavanayoggā ekā pokkharaṇī nibbatti. Sesā ca pañcasatā itthiyo kālaṃ katvā sapathakammavasena tassāyeva dāsiyo hutvā nibbattiṃsu. Sā tattha pubbe katassa puññakammassa phalena divasabhāgaṃ dibbasampattiṃ anubhavitvā aḍḍharatte pāpakammabalasañcoditā sayanato uṭṭhahitvā pokkharaṇitīraṃ gacchati. Tattha gataṃ gajapotakappamāṇo eko kāḷasunakho bheravarūpo chinnakaṇṇo tikhiṇāyatakathinadāṭho suvipphulitakhadiraṅgārapuñjasadisanayano nirantarappavattavijjulatāsaṅghātasadisajivho kathinatikhiṇanakho kharāyatadubbaṇṇalomo tato āgantvā taṃ bhūmiyaṃ nipātetvā atisayajighacchābhibhūto viya pasayha khādanto aṭṭhisaṅkhalikamattaṃ katvā dantehi gahetvā pokkharaṇiyaṃ khipitvā antaradhāyati. Sā ca tattha pakkhittasamanantarameva pakatirūpadhārinī hutvā vimānaṃ abhiruyha sayane nipajjati. Itarā pana tassā dāsabyameva dukkhaṃ anubhavanti. Evaṃ tāsaṃ tattha vasantīnaṃ paññāsādhikāni pañca vassasatāni vītivattāni.
อถ ตาสํ ปุริเสหิ วินา ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวนฺตีนํ อุกฺกณฺฐา อเหสุํฯ ตตฺถ จ กณฺณมุณฺฑทหโต นิคฺคตา ปพฺพตวิวเรน อาคนฺตฺวา คงฺคํ นทิํ อนุปวิฎฺฐา เอกา นที อตฺถิฯ ตาสญฺจ วสนฎฺฐานสมีเป เอโก ทิพฺพผเลหิ อมฺพรุเกฺขหิ ปนสลพุชาทีหิ จ อุปโสภิโต อารามสทิโส อรญฺญปฺปเทโส อตฺถิฯ ตา เอวํ สมจิเนฺตสุํ – ‘‘หนฺท, มยํ อิมานิ อมฺพผลานิ อิมิสฺสา นทิยา ปกฺขิปิสฺสาม, อเปฺปว นาม อิมํ ผลํ ทิสฺวา ผลโลเภน โกจิเทว ปุริโส อิธาคเจฺฉยฺย, เตน สทฺธิํ รมิสฺสามาติฯ ตา ตถา อกํสุฯ ตาหิ ปน ปกฺขิตฺตานิ อมฺพผลานิ กานิจิ ตาปสา คณฺหิํสุ, กานิจิ วนจรกา, กานิจิ กากา วิลุชฺชิํสุ, กานิจิ ตีเร ลคฺคิํสุฯ เอกํ ปน คงฺคาย โสตํ ปตฺวา อนุกฺกเมน พาราณสิํ สมฺปาปุณิฯ
Atha tāsaṃ purisehi vinā dibbasampattiṃ anubhavantīnaṃ ukkaṇṭhā ahesuṃ. Tattha ca kaṇṇamuṇḍadahato niggatā pabbatavivarena āgantvā gaṅgaṃ nadiṃ anupaviṭṭhā ekā nadī atthi. Tāsañca vasanaṭṭhānasamīpe eko dibbaphalehi ambarukkhehi panasalabujādīhi ca upasobhito ārāmasadiso araññappadeso atthi. Tā evaṃ samacintesuṃ – ‘‘handa, mayaṃ imāni ambaphalāni imissā nadiyā pakkhipissāma, appeva nāma imaṃ phalaṃ disvā phalalobhena kocideva puriso idhāgaccheyya, tena saddhiṃ ramissāmāti. Tā tathā akaṃsu. Tāhi pana pakkhittāni ambaphalāni kānici tāpasā gaṇhiṃsu, kānici vanacarakā, kānici kākā vilujjiṃsu, kānici tīre laggiṃsu. Ekaṃ pana gaṅgāya sotaṃ patvā anukkamena bārāṇasiṃ sampāpuṇi.
เตน จ สมเยน พาราณสิราชา โลหชาลปริกฺขิเตฺต คงฺคาชเล นฺหายติฯ อถ ตํ ผลํ นทิโสเตน วุยฺหมานํ อนุกฺกเมน อาคนฺตฺวา โลหชาเล ลคฺคิฯ ตํ วณฺณคนฺธรสสมฺปนฺนํ มหนฺตํ ทิพฺพํ อมฺพผลํ ทิสฺวา ราชปุริสา รโญฺญ อุปเนสุํฯ ราชา ตสฺส เอกเทสํ คเหตฺวา วีมํสนตฺถาย เอกสฺส พนฺธนาคาเร ฐปิตสฺส วชฺฌโจรสฺส ขาทิตุํ อทาสิฯ โส ตํ ขาทิตฺวา ‘‘เทว, มยา เอวรูปํ น ขาทิตปุพฺพํ, ทิพฺพมิทํ มเญฺญ อมฺพผล’’นฺติ อาหฯ ราชา ปุนปิ ตสฺส เอกํ ขณฺฑํ อทาสิฯ โส ตํ ขาทิตฺวา วิคตวลิตปลิโต อติวิย มโนหรรูโป โยพฺพเน ฐิโต วิย อโหสิฯ ตํ ทิสฺวา ราชา อจฺฉริยพฺภุตชาโต ตํ อมฺพผลํ ปริภุญฺชิตฺวา สรีเร วิเสสํ ลภิตฺวา มนุเสฺส ปุจฺฉิ – ‘‘กตฺถ เอวรูปานิ ทิพฺพอมฺพผลานิ สํวิชฺชนฺตี’’ติ? มนุสฺสา เอวมาหํสุ – ‘‘หิมวเนฺต กิร, เทว, ปพฺพตราเช’’ติฯ ‘‘สกฺกา ปน ตานิ อาเนตุ’’นฺติ? ‘‘วนจรกา, เทว, ชานนฺตี’’ติฯ
Tena ca samayena bārāṇasirājā lohajālaparikkhitte gaṅgājale nhāyati. Atha taṃ phalaṃ nadisotena vuyhamānaṃ anukkamena āgantvā lohajāle laggi. Taṃ vaṇṇagandharasasampannaṃ mahantaṃ dibbaṃ ambaphalaṃ disvā rājapurisā rañño upanesuṃ. Rājā tassa ekadesaṃ gahetvā vīmaṃsanatthāya ekassa bandhanāgāre ṭhapitassa vajjhacorassa khādituṃ adāsi. So taṃ khāditvā ‘‘deva, mayā evarūpaṃ na khāditapubbaṃ, dibbamidaṃ maññe ambaphala’’nti āha. Rājā punapi tassa ekaṃ khaṇḍaṃ adāsi. So taṃ khāditvā vigatavalitapalito ativiya manohararūpo yobbane ṭhito viya ahosi. Taṃ disvā rājā acchariyabbhutajāto taṃ ambaphalaṃ paribhuñjitvā sarīre visesaṃ labhitvā manusse pucchi – ‘‘kattha evarūpāni dibbaambaphalāni saṃvijjantī’’ti? Manussā evamāhaṃsu – ‘‘himavante kira, deva, pabbatarāje’’ti. ‘‘Sakkā pana tāni ānetu’’nti? ‘‘Vanacarakā, deva, jānantī’’ti.
ราชา วนจรเก ปโกฺกสาเปตฺวา เตสํ ตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา เตหิ สมฺมเนฺตตฺวา ทินฺนสฺส เอกสฺส วนจรกสฺส สหสฺสํ ทตฺวา ตํ วิสฺสเชฺชสิ – ‘‘คจฺฉ , สีฆํ ตํ เม อมฺพผลํ อาเนหี’’ติฯ โส ตํ กหาปณสหสฺสํ ปุตฺตทารสฺส ทตฺวา ปาเถยฺยํ คเหตฺวา ปฎิคงฺคํ กณฺณมุณฺฑทหาภิมุโข คนฺตฺวา มนุสฺสปถํ อติกฺกมิตฺวา กณฺณมุณฺฑทหโต โอรํ สฎฺฐิโยชนปฺปมาเณ ปเทเส เอกํ ตาปสํ ทิสฺวา เตน อาจิกฺขิตมเคฺคน คจฺฉโนฺต ปุน ติํสโยชนปฺปมาเณ ปเทเส เอกํ ตาปสํ ทิสฺวา, เตน อาจิกฺขิตมเคฺคน คจฺฉโนฺต ปุน ปนฺนรสโยชนปฺปมาเณ ฐาเน อญฺญํ ตาปสํ ทิสฺวา, ตสฺส อตฺตโน อาคมนการณํ กเถสิฯ ตาปโส ตํ อนุสาสิ – ‘‘อิโต ปฎฺฐาย อิมํ มหาคงฺคํ ปหาย อิมํ ขุทฺทกนทิํ นิสฺสาย ปฎิโสตํ คจฺฉโนฺต ยทา ปพฺพตวิวรํ ปสฺสสิ, ตทา รตฺติยํ อุกฺกํ คเหตฺวา ปวิเสยฺยาสิฯ อยญฺจ นที รตฺติยํ นปฺปวตฺตติ, เตน เต คมนโยคฺคา โหติ, กติปยโยชนาติกฺกเมน เต อเมฺพ ปสฺสิสฺสสี’’ติฯ โส ตถา กตฺวา อุทยเนฺต สูริเย วิวิธรตนรํสิชาลปโชฺชติตภูมิภาคํ ผลภาราวนตสาขาวิตานตรุคโณปโสภิตํ นานาวิธวิหงฺคคณูปกูชิตํ อติวิย มโนหรํ อมฺพวนํ สมฺปาปุณิฯ
Rājā vanacarake pakkosāpetvā tesaṃ tamatthaṃ ācikkhitvā tehi sammantetvā dinnassa ekassa vanacarakassa sahassaṃ datvā taṃ vissajjesi – ‘‘gaccha , sīghaṃ taṃ me ambaphalaṃ ānehī’’ti. So taṃ kahāpaṇasahassaṃ puttadārassa datvā pātheyyaṃ gahetvā paṭigaṅgaṃ kaṇṇamuṇḍadahābhimukho gantvā manussapathaṃ atikkamitvā kaṇṇamuṇḍadahato oraṃ saṭṭhiyojanappamāṇe padese ekaṃ tāpasaṃ disvā tena ācikkhitamaggena gacchanto puna tiṃsayojanappamāṇe padese ekaṃ tāpasaṃ disvā, tena ācikkhitamaggena gacchanto puna pannarasayojanappamāṇe ṭhāne aññaṃ tāpasaṃ disvā, tassa attano āgamanakāraṇaṃ kathesi. Tāpaso taṃ anusāsi – ‘‘ito paṭṭhāya imaṃ mahāgaṅgaṃ pahāya imaṃ khuddakanadiṃ nissāya paṭisotaṃ gacchanto yadā pabbatavivaraṃ passasi, tadā rattiyaṃ ukkaṃ gahetvā paviseyyāsi. Ayañca nadī rattiyaṃ nappavattati, tena te gamanayoggā hoti, katipayayojanātikkamena te ambe passissasī’’ti. So tathā katvā udayante sūriye vividharatanaraṃsijālapajjotitabhūmibhāgaṃ phalabhārāvanatasākhāvitānatarugaṇopasobhitaṃ nānāvidhavihaṅgagaṇūpakūjitaṃ ativiya manoharaṃ ambavanaṃ sampāpuṇi.
อถ นํ ตา อมนุสฺสิตฺถิโย ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘เอส มม ปริคฺคโห, เอส มม ปริคฺคโห’’ติ อุปธาวิํสุฯ โส ปน ตาหิ สทฺธิํ ตตฺถ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวิตุํ โยคฺคสฺส ปุญฺญกมฺมสฺส อกตตฺตา ตา ทิสฺวาว ภีโต วิรวโนฺต ปลายิตฺวา อนุกฺกเมน พาราณสิํ ปตฺวา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ตํ สุตฺวา ตา อิตฺถิโย ทฎฺฐุํ อมฺพผลานิ จ ปริภุญฺชิตุํ สญฺชาตาภิลาโส รชฺชภารํ อมเจฺจสุ อาโรเปตฺวา มิควาปเทเสน สนฺนทฺธธนุกลาโป ขคฺคํ พนฺธิตฺวา กติปยมนุสฺสปริวาโร เตเนว วนจรเกน ทสฺสิตมเคฺคน คนฺตฺวา กติปยโยชนนฺตเร ฐาเน มนุเสฺสปิ ฐเปตฺวา วนจรกเมว คเหตฺวา อนุกฺกเมน คนฺตฺวา ตมฺปิ ตโต นิวตฺตาเปตฺวา อุทยเนฺต ทิวากเร อมฺพวนํ ปาวิสิฯ อถ นํ ตา อิตฺถิโย อภินวอุปฺปนฺนมิว เทวปุตฺตํ ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ‘‘ราชา’’ติ ญตฺวา สญฺชาตสิเนหพหุมานา สกฺกจฺจํ นฺหาเปตฺวา ทิเพฺพหิ วตฺถาลงฺการมาลาคนฺธวิเลปเนหิ สุมณฺฑิตปสาธิตํ กตฺวา วิมานํ อาโรเปตฺวา นานคฺครสํ ทิพฺพโภชนํ โภเชตฺวา ตสฺส อิจฺฉานุรูปํ ปยิรุปาสิํสุฯ
Atha naṃ tā amanussitthiyo dūratova āgacchantaṃ disvā ‘‘esa mama pariggaho, esa mama pariggaho’’ti upadhāviṃsu. So pana tāhi saddhiṃ tattha dibbasampattiṃ anubhavituṃ yoggassa puññakammassa akatattā tā disvāva bhīto viravanto palāyitvā anukkamena bārāṇasiṃ patvā taṃ pavattiṃ rañño ārocesi. Rājā taṃ sutvā tā itthiyo daṭṭhuṃ ambaphalāni ca paribhuñjituṃ sañjātābhilāso rajjabhāraṃ amaccesu āropetvā migavāpadesena sannaddhadhanukalāpo khaggaṃ bandhitvā katipayamanussaparivāro teneva vanacarakena dassitamaggena gantvā katipayayojanantare ṭhāne manussepi ṭhapetvā vanacarakameva gahetvā anukkamena gantvā tampi tato nivattāpetvā udayante divākare ambavanaṃ pāvisi. Atha naṃ tā itthiyo abhinavauppannamiva devaputtaṃ disvā paccuggantvā ‘‘rājā’’ti ñatvā sañjātasinehabahumānā sakkaccaṃ nhāpetvā dibbehi vatthālaṅkāramālāgandhavilepanehi sumaṇḍitapasādhitaṃ katvā vimānaṃ āropetvā nānaggarasaṃ dibbabhojanaṃ bhojetvā tassa icchānurūpaṃ payirupāsiṃsu.
อถ ทิยฑฺฒวสฺสสเต อติกฺกเนฺต ราชา อฑฺฒรตฺติสมเย อุฎฺฐหิตฺวา นิสิโนฺน ตํ อติจารินิํ เปติํ โปกฺขรณิตีรํ คจฺฉนฺติํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เอสา อิมาย เวลาย คจฺฉตี’’ติ วีมํสิตุกาโม อนุพนฺธิฯ อถ นํ ตตฺถ คตํ สุนเขน ขชฺชมานํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข อิท’’นฺติ อชานโนฺต ตโย จ ทิวเส วีมํสิตฺวา ‘‘เอโส เอติสฺสา ปจฺจามิโตฺต ภวิสฺสตี’’ติ นิสิเตน อุสุนา วิชฺฌิตฺวา ชีวิตา โวโรเปตฺวา ตญฺจ อิตฺถิํ โปเถตฺวา โปกฺขรณิํ โอตาเรตฺวา ปฎิลทฺธปุริมรูปํ ทิสฺวา –
Atha diyaḍḍhavassasate atikkante rājā aḍḍharattisamaye uṭṭhahitvā nisinno taṃ aticāriniṃ petiṃ pokkharaṇitīraṃ gacchantiṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho esā imāya velāya gacchatī’’ti vīmaṃsitukāmo anubandhi. Atha naṃ tattha gataṃ sunakhena khajjamānaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho ida’’nti ajānanto tayo ca divase vīmaṃsitvā ‘‘eso etissā paccāmitto bhavissatī’’ti nisitena usunā vijjhitvā jīvitā voropetvā tañca itthiṃ pothetvā pokkharaṇiṃ otāretvā paṭiladdhapurimarūpaṃ disvā –
๓๔๘.
348.
‘‘โสณฺณโสปานผลกา , โสณฺณวาลุกสนฺถตา;
‘‘Soṇṇasopānaphalakā , soṇṇavālukasanthatā;
ตตฺถ โสคนฺธิยา วคฺคู, สุจิคนฺธา มโนรมาฯ
Tattha sogandhiyā vaggū, sucigandhā manoramā.
๓๔๙.
349.
‘‘นานารุเกฺขหิ สญฺฉนฺนา, นานาคนฺธสเมริตา;
‘‘Nānārukkhehi sañchannā, nānāgandhasameritā;
นานาปทุมสญฺฉนฺนา, ปุณฺฑรีกสโมตตาฯ
Nānāpadumasañchannā, puṇḍarīkasamotatā.
๓๕๐.
350.
‘‘สุรภิํ สมฺปวายนฺติ, มนุญฺญา มาลุเตริตา;
‘‘Surabhiṃ sampavāyanti, manuññā māluteritā;
หํสโกญฺจาภิรุทา จ, จกฺกวกฺกาภิกูชิตาฯ
Haṃsakoñcābhirudā ca, cakkavakkābhikūjitā.
๓๕๑.
351.
‘‘นานาทิชคณากิณฺณา, นานาสรคณายุตา;
‘‘Nānādijagaṇākiṇṇā, nānāsaragaṇāyutā;
นานาผลธรา รุกฺขา, นานาปุปฺผธรา วนาฯ
Nānāphaladharā rukkhā, nānāpupphadharā vanā.
๓๕๒.
352.
‘‘น มนุเสฺสสุ อีทิสํ, นครํ ยาทิสํ อิทํ;
‘‘Na manussesu īdisaṃ, nagaraṃ yādisaṃ idaṃ;
ปาสาทา พหุกา ตุยฺหํ, โสวณฺณรูปิยามยา;
Pāsādā bahukā tuyhaṃ, sovaṇṇarūpiyāmayā;
ททฺทลฺลมานา อาเภนฺติ, สมนฺตา จตุโร ทิสาฯ
Daddallamānā ābhenti, samantā caturo disā.
๓๕๓.
353.
‘‘ปญฺจ ทาสิสตา ตุยฺหํ, ยา เตมา ปริจาริกา;
‘‘Pañca dāsisatā tuyhaṃ, yā temā paricārikā;
ตา กมฺพุกายูรธรา, กญฺจนาเวฬภูสิตาฯ
Tā kambukāyūradharā, kañcanāveḷabhūsitā.
๓๕๔.
354.
‘‘ปลฺลงฺกา พหุกา ตุยฺหํ, โสวณฺณรูปิยามยา;
‘‘Pallaṅkā bahukā tuyhaṃ, sovaṇṇarūpiyāmayā;
กทลิมิคสญฺฉนฺนา, สชฺชา โคนกสนฺถตาฯ
Kadalimigasañchannā, sajjā gonakasanthatā.
๓๕๕.
355.
‘‘ยตฺถ ตุวํ วาสูปคตา, สพฺพกามสมิทฺธินี;
‘‘Yattha tuvaṃ vāsūpagatā, sabbakāmasamiddhinī;
สมฺปตฺตายฑฺฒรตฺตาย, ตโต อุฎฺฐาย คจฺฉสิฯ
Sampattāyaḍḍharattāya, tato uṭṭhāya gacchasi.
๓๕๖.
356.
‘‘อุยฺยานภูมิํ คนฺตฺวาน, โปกฺขรญฺญา สมนฺตโต;
‘‘Uyyānabhūmiṃ gantvāna, pokkharaññā samantato;
ตสฺสา ตีเร ตุวํ ฐาสิ, หริเต สทฺทเล สุเภฯ
Tassā tīre tuvaṃ ṭhāsi, harite saddale subhe.
๓๕๗.
357.
‘‘ตโต เต กณฺณมุโณฺฑ สุนโข, องฺคมงฺคานิ ขาทติ;
‘‘Tato te kaṇṇamuṇḍo sunakho, aṅgamaṅgāni khādati;
ยทา จ ขายิตา อาสิ, อฎฺฐิสงฺขลิกา กตา;
Yadā ca khāyitā āsi, aṭṭhisaṅkhalikā katā;
โอคาหสิ โปกฺขรณิํ, โหติ กาโย ยถา ปุเรฯ
Ogāhasi pokkharaṇiṃ, hoti kāyo yathā pure.
๓๕๘.
358.
‘‘ตโต ตฺวํ องฺคปจฺจงฺคี, สุจารุ ปิยทสฺสนา;
‘‘Tato tvaṃ aṅgapaccaṅgī, sucāru piyadassanā;
วเตฺถน ปารุปิตฺวาน, อายาสิ มม สนฺติกํฯ
Vatthena pārupitvāna, āyāsi mama santikaṃ.
๓๕๙.
359.
‘‘กิํ นุ กาเยน วาจาย, มนสา ทุกฺกฎํ กตํ;
‘‘Kiṃ nu kāyena vācāya, manasā dukkaṭaṃ kataṃ;
กิสฺสกมฺมวิปาเกน, กณฺณมุโณฺฑ สุนโข ตว;
Kissakammavipākena, kaṇṇamuṇḍo sunakho tava;
องฺคมงฺคานิ ขาทตี’’ติฯ –
Aṅgamaṅgāni khādatī’’ti. –
ทฺวาทสหิ คาถาหิ ตํ ตสฺส ปวตฺติํ ปฎิปุจฺฉิฯ
Dvādasahi gāthāhi taṃ tassa pavattiṃ paṭipucchi.
๓๔๘. ตตฺถ โสณฺณโสปานผลกาติ สุวณฺณมยโสปานผลกาฯ โสณฺณวาลุกสนฺถตาติ สมนฺตโต สุวณฺณมยาหิ วาลุกาหิ สนฺถตาฯ ตตฺถาติ โปกฺขรณิยํฯ โสคนฺธิยาติ โสคนฺธิกาฯ วคฺคูติ สุนฺทรา รุจิราฯ สุจิคนฺธาติ มนุญฺญคนฺธาฯ
348. Tattha soṇṇasopānaphalakāti suvaṇṇamayasopānaphalakā. Soṇṇavālukasanthatāti samantato suvaṇṇamayāhi vālukāhi santhatā. Tatthāti pokkharaṇiyaṃ. Sogandhiyāti sogandhikā. Vaggūti sundarā rucirā. Sucigandhāti manuññagandhā.
๓๔๙. นานาคนฺธสเมริตาติ นานาวิธสุรภิคนฺธวเสน คนฺธวายุนา สมนฺตโต เอริตาฯ นานาปทุมสญฺฉนฺนาติ นานาวิธรตฺตปทุมสญฺฉาทิตสลิลตลาฯ ปุณฺฑรีกสโมตตาติ เสตปทุเมหิ จ สโมกิณฺณาฯ
349.Nānāgandhasameritāti nānāvidhasurabhigandhavasena gandhavāyunā samantato eritā. Nānāpadumasañchannāti nānāvidharattapadumasañchāditasalilatalā. Puṇḍarīkasamotatāti setapadumehi ca samokiṇṇā.
๓๕๐. สุรภิํ สมฺปวายนฺตีติ สมฺมเทว สุคนฺธํ วายติ โปกฺขรณีติ อธิปฺปาโยฯ หํสโกญฺจาภิรุทาติ หํเสหิ จ โกเญฺจหิ จ อภินาทิตาฯ
350.Surabhiṃ sampavāyantīti sammadeva sugandhaṃ vāyati pokkharaṇīti adhippāyo. Haṃsakoñcābhirudāti haṃsehi ca koñcehi ca abhināditā.
๓๕๑. นานาทิชคณากิณฺณาติ นานาทิชคณากิณฺณาฯ นานาสรคณายุตาติ นานาวิธวิหงฺคมาภิรุทสมูหยุตฺตาฯ นานาผลธราติ นานาวิธผลธาริโน สพฺพกาลํ วิวิธผลภารนมิตสาขตฺตาฯ นานาปุปฺผธรา วนาติ นานาวิธสุรภิกุสุมทายิกานิ วนานีติ อโตฺถฯ ลิงฺควิปลฺลาเสน หิ ‘‘วนา’’ติ วุตฺตํฯ
351.Nānādijagaṇākiṇṇāti nānādijagaṇākiṇṇā. Nānāsaragaṇāyutāti nānāvidhavihaṅgamābhirudasamūhayuttā. Nānāphaladharāti nānāvidhaphaladhārino sabbakālaṃ vividhaphalabhāranamitasākhattā. Nānāpupphadharā vanāti nānāvidhasurabhikusumadāyikāni vanānīti attho. Liṅgavipallāsena hi ‘‘vanā’’ti vuttaṃ.
๓๕๒. น มนุเสฺสสุ อีทิสํ นครนฺติ ยาทิสํ ตว อิทํ นครํ, อีทิสํ มนุเสฺสสุ นตฺถิ, มนุสฺสโลเก น อุปลพฺภตีติ อโตฺถฯ รูปิยมยาติ รชตมยาฯ ททฺทลฺลมานาติ อติวิย วิโรจมานาฯ อาเภนฺตีติ โสภยนฺติฯ สมนฺตา จตุโร ทิสาติ สมนฺตโต จตโสฺสปิ ทิสาโยฯ
352.Na manussesu īdisaṃ nagaranti yādisaṃ tava idaṃ nagaraṃ, īdisaṃ manussesu natthi, manussaloke na upalabbhatīti attho. Rūpiyamayāti rajatamayā. Daddallamānāti ativiya virocamānā. Ābhentīti sobhayanti. Samantā caturo disāti samantato catassopi disāyo.
๓๕๓. ยา เตมาติ ยา เต อิมาฯ ปริจาริกาติ เวยฺยาวจฺจการินิโยฯ ตาติ ตา ปริจาริกาโยฯ กมฺพุกายูรธราติ สงฺขวลยกายูรวิภูสิตาฯ กญฺจนาเวฬภูสิตาติ สุวณฺณวฎํสกสมลงฺกตเกสหตฺถาฯ
353.Yā temāti yā te imā. Paricārikāti veyyāvaccakāriniyo. Tāti tā paricārikāyo. Kambukāyūradharāti saṅkhavalayakāyūravibhūsitā. Kañcanāveḷabhūsitāti suvaṇṇavaṭaṃsakasamalaṅkatakesahatthā.
๓๕๔. กทลิมิคสญฺฉนฺนาติ กทลิมิคจมฺมปจฺจตฺถรณตฺถตาฯ สชฺชาติ สชฺชิตา สยิตุํ ยุตฺตรูปาฯ โคนกสนฺถตาติ ทีฆโลมเกน โกชเวน สนฺถตาฯ
354.Kadalimigasañchannāti kadalimigacammapaccattharaṇatthatā. Sajjāti sajjitā sayituṃ yuttarūpā. Gonakasanthatāti dīghalomakena kojavena santhatā.
๓๕๕. ยตฺถาติ ยสฺมิํ ปลฺลเงฺกฯ วาสูปคตาติ วาสํ อุปคตา, สยิตาติ อโตฺถฯ สมฺปตฺตายฑฺฒรตฺตายาติ อฑฺฒรตฺติยา อุปคตายฯ ตโตติ ปลฺลงฺกโตฯ
355.Yatthāti yasmiṃ pallaṅke. Vāsūpagatāti vāsaṃ upagatā, sayitāti attho. Sampattāyaḍḍharattāyāti aḍḍharattiyā upagatāya. Tatoti pallaṅkato.
๓๕๖. โปกฺขรญฺญาติ โปกฺขรณิยาฯ หริเตติ นีเลฯ สทฺทเลติ ตรุณติณสญฺฉเนฺนฯ สุเภติ สุเทฺธฯ สุเภติ วา ตสฺสา อาลปนํฯ ภเทฺท, สมนฺตโต หริเต สทฺทเล ตสฺสา โปกฺขรณิยา ตีเร ตฺวํ คนฺตฺวาน ฐาสิ ติฎฺฐสีติ โยชนาฯ
356.Pokkharaññāti pokkharaṇiyā. Hariteti nīle. Saddaleti taruṇatiṇasañchanne. Subheti suddhe. Subheti vā tassā ālapanaṃ. Bhadde, samantato harite saddale tassā pokkharaṇiyā tīre tvaṃ gantvāna ṭhāsi tiṭṭhasīti yojanā.
๓๕๗. กณฺณมุโณฺฑติ ขณฺฑิตกโณฺณ ฉินฺนกโณฺณฯ ขายิตา อาสีติ ขาทิตา อโหสิฯ อฎฺฐิสงฺขลิกา กตาติ อฎฺฐิสงฺขลิกมตฺตา กตาฯ ยถา ปุเรติ สุนเขน ขาทนโต ปุเพฺพ วิยฯ
357.Kaṇṇamuṇḍoti khaṇḍitakaṇṇo chinnakaṇṇo. Khāyitā āsīti khāditā ahosi. Aṭṭhisaṅkhalikā katāti aṭṭhisaṅkhalikamattā katā. Yathā pureti sunakhena khādanato pubbe viya.
๓๕๘. ตโตติ โปกฺขรณิํ โอคาหนโต ปจฺฉาฯ องฺคปจฺจงฺคีติ ปริปุณฺณสพฺพงฺคปจฺจงฺควตีฯ สุจารูติ สุฎฺฐุ มโนรมาฯ ปิยทสฺสนาติ ทสฺสนียาฯ อายาสีติ อาคจฺฉสิฯ
358.Tatoti pokkharaṇiṃ ogāhanato pacchā. Aṅgapaccaṅgīti paripuṇṇasabbaṅgapaccaṅgavatī. Sucārūti suṭṭhu manoramā. Piyadassanāti dassanīyā. Āyāsīti āgacchasi.
เอวํ เตน รญฺญา ปุจฺฉิตา สา เปตี อาทิโต ปฎฺฐาย อตฺตโน ปวตฺติํ ตสฺส กเถนฺตี –
Evaṃ tena raññā pucchitā sā petī ādito paṭṭhāya attano pavattiṃ tassa kathentī –
๓๖๐.
360.
‘‘กิมิลายํ คหปติ, สโทฺธ อาสิ อุปาสโก;
‘‘Kimilāyaṃ gahapati, saddho āsi upāsako;
ตสฺสาหํ ภริยา อาสิํ, ทุสฺสีลา อติจารินีฯ
Tassāhaṃ bhariyā āsiṃ, dussīlā aticārinī.
๓๖๑.
361.
‘‘โส มํ อติจรมานาย, สามิโก เอตทพฺรวิ;
‘‘So maṃ aticaramānāya, sāmiko etadabravi;
‘เนตํ ตํ ฉนฺนํ ปติรูปํ, ยํ ตฺวํ อติจราสิ มํ’ฯ
‘Netaṃ taṃ channaṃ patirūpaṃ, yaṃ tvaṃ aticarāsi maṃ’.
๓๖๒.
362.
‘‘สาหํ โฆรญฺจ สปถํ, มุสาวาทญฺจ ภาสิสํ;
‘‘Sāhaṃ ghorañca sapathaṃ, musāvādañca bhāsisaṃ;
‘นาหํ ตํ อติจรามิ, กาเยน อุท เจตสาฯ
‘Nāhaṃ taṃ aticarāmi, kāyena uda cetasā.
๓๖๓.
363.
‘‘‘สจาหํ ตํ อติจรามิ, กาเยน อุท เจตสา;
‘‘‘Sacāhaṃ taṃ aticarāmi, kāyena uda cetasā;
กณฺณมุโณฺฑยํ สุนโข, องฺคมงฺคานิ ขาทตุ’ฯ
Kaṇṇamuṇḍoyaṃ sunakho, aṅgamaṅgāni khādatu’.
๓๖๔.
364.
‘‘ตสฺส กมฺมสฺส วิปากํ, มุสาวาทสฺส จูภยํ;
‘‘Tassa kammassa vipākaṃ, musāvādassa cūbhayaṃ;
สเตฺตว วสฺสสตานิ, อนุภูตํ ยโต หิ เม;
Satteva vassasatāni, anubhūtaṃ yato hi me;
กณฺณมุโณฺฑ จ สุนโข, องฺคมงฺคานิ ขาทตี’’ติฯ – ปญฺจ คาถา อาห;
Kaṇṇamuṇḍo ca sunakho, aṅgamaṅgāni khādatī’’ti. – pañca gāthā āha;
๓๖๐-๑. ตตฺถ กิมิลายนฺติ เอวํนามเก นคเรฯ อติจารินีติ ภริยา หิ ปติํ อติกฺกมฺม จรณโต ‘‘อติจารินี’’ติ วุจฺจติฯ อติจรมานาย มยิ โส สามิโก มํ เอตทพฺรวีติ โยชนาฯ เนตํ ฉนฺนนฺติอาทิ วุตฺตาการทสฺสนํฯ ตตฺถ เนตํ ฉนฺนนฺติ น เอตํ ยุตฺตํฯ น ปติรูปนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ ยนฺติ กิริยาปรามสนํฯ อติจราสีติ อติจรสิ, อยเมว วา ปาโฐฯ ยํ มํ ตฺวํ อติจรสิ, ตตฺถ ยํ อติจรณํ, เนตํ ฉนฺนํ เนตํ ปติรูปนฺติ อโตฺถฯ
360-1. Tattha kimilāyanti evaṃnāmake nagare. Aticārinīti bhariyā hi patiṃ atikkamma caraṇato ‘‘aticārinī’’ti vuccati. Aticaramānāya mayi so sāmiko maṃ etadabravīti yojanā. Netaṃ channantiādi vuttākāradassanaṃ. Tattha netaṃ channanti na etaṃ yuttaṃ. Na patirūpanti tasseva vevacanaṃ. Yanti kiriyāparāmasanaṃ. Aticarāsīti aticarasi, ayameva vā pāṭho. Yaṃ maṃ tvaṃ aticarasi, tattha yaṃ aticaraṇaṃ, netaṃ channaṃ netaṃ patirūpanti attho.
๓๖๒-๔. โฆรนฺติ ทารุณํฯ สปถนฺติ สปนํฯ ภาสิสนฺติ อภาสิํฯ สจาหนฺติ สเจ อหํฯ ตนฺติ ตฺวํฯ ตสฺส กมฺมสฺสาติ ตสฺส ปาปกมฺมสฺส ทุสฺสีลฺยกมฺมสฺสฯ มุสาวาทสฺส จาติ ‘‘นาหํ ตํ อติจรามี’’ติ วุตฺตมุสาวาทสฺส จฯ อุภยนฺติ อุภยสฺส วิปากํฯ อนุภูตนฺติ อนุภูยมานํ มยาติ อโตฺถฯ ยโตติ ยโต ปาปกมฺมโตฯ
362-4.Ghoranti dāruṇaṃ. Sapathanti sapanaṃ. Bhāsisanti abhāsiṃ. Sacāhanti sace ahaṃ. Tanti tvaṃ. Tassa kammassāti tassa pāpakammassa dussīlyakammassa. Musāvādassa cāti ‘‘nāhaṃ taṃ aticarāmī’’ti vuttamusāvādassa ca. Ubhayanti ubhayassa vipākaṃ. Anubhūtanti anubhūyamānaṃ mayāti attho. Yatoti yato pāpakammato.
เอวญฺจ ปน วตฺวา เตน อตฺตโน กตํ อุปการํ กิเตฺตนฺตี –
Evañca pana vatvā tena attano kataṃ upakāraṃ kittentī –
๓๖๕.
365.
‘‘ตฺวญฺจ เทว พหุกาโร, อตฺถาย เม อิธาคโต;
‘‘Tvañca deva bahukāro, atthāya me idhāgato;
สุมุตฺตาหํ กณฺณมุณฺฑสฺส, อโสกา อกุโตภยาฯ
Sumuttāhaṃ kaṇṇamuṇḍassa, asokā akutobhayā.
๓๖๖.
366.
‘‘ตาหํ เทว นมสฺสามิ, ยาจามิ ปญฺชลีกตา;
‘‘Tāhaṃ deva namassāmi, yācāmi pañjalīkatā;
ภุญฺช อมานุเส กาเม, รม เทว มยา สหา’’ติฯ –
Bhuñja amānuse kāme, rama deva mayā sahā’’ti. –
เทฺว คาถา อาหฯ ตตฺถ เทวาติ ราชานํ อาลปติฯ กณฺณมุณฺฑสฺสาติ กณฺณมุณฺฑโตฯ นิสฺสเกฺก หิ อิทํ สามิวจนํฯ อถ ราชา ตตฺถ วาเสน นิพฺพินฺนมานโส คมนชฺฌาสยํ ปกาเสสิฯ ตํ สุตฺวา เปตี รโญฺญ ปฎิพทฺธจิตฺตา ตเตฺถวสฺส วาสํ ยาจนฺตี ‘‘ตาหํ, เทว, นมสฺสามี’’ติ คาถมาหฯ
Dve gāthā āha. Tattha devāti rājānaṃ ālapati. Kaṇṇamuṇḍassāti kaṇṇamuṇḍato. Nissakke hi idaṃ sāmivacanaṃ. Atha rājā tattha vāsena nibbinnamānaso gamanajjhāsayaṃ pakāsesi. Taṃ sutvā petī rañño paṭibaddhacittā tatthevassa vāsaṃ yācantī ‘‘tāhaṃ, deva, namassāmī’’ti gāthamāha.
ปุน ราชา เอกํเสน นครํ คนฺตุกาโมว หุตฺวา อตฺตโน อชฺฌาสยํ ปเวเทโนฺต –
Puna rājā ekaṃsena nagaraṃ gantukāmova hutvā attano ajjhāsayaṃ pavedento –
๓๖๗.
367.
‘‘ภุตฺตา อมานุสา กามา, รมิโตมฺหิ ตยา สห;
‘‘Bhuttā amānusā kāmā, ramitomhi tayā saha;
ตาหํ สุภเค ยาจามิ, ขิปฺปํ ปฎินยาหิ ม’’นฺติฯ –
Tāhaṃ subhage yācāmi, khippaṃ paṭinayāhi ma’’nti. –
โอสานคาถมาหฯ ตตฺถ ตาหนฺติ ตํ อหํฯ สุภเคติ สุภคยุเตฺตฯ ปฎินยาหิ มนฺติ มยฺหํ นครเมว มํ ปฎิเนหิฯ เสสํ สพฺพตฺถ ปากฎเมวฯ
Osānagāthamāha. Tattha tāhanti taṃ ahaṃ. Subhageti subhagayutte. Paṭinayāhi manti mayhaṃ nagarameva maṃ paṭinehi. Sesaṃ sabbattha pākaṭameva.
อถ สา วิมานเปตี รโญฺญ วจนํ สุตฺวา วิโยคํ อสหมานา โสกาตุรตาย พฺยากุลหทยา เวธมานสรีรา นานาวิเธหิ อุปาเยหิ อายาจิตฺวาปิ ตํ ตตฺถ วาเสตุํ อสโกฺกนฺตี พหูหิ มหารเหหิ รตเนหิ สทฺธิํ ราชานํ นครํ เนตฺวา ปาสาทํ อาโรเปตฺวา กนฺทิตฺวา ปริเทวิตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คตาฯ ราชา ปน ตํ ทิสฺวา สญฺชาตสํเวโค ทานาทีนิ ปุญฺญกมฺมานิ กตฺวา สคฺคปรายโณ อโหสิฯ อถ อมฺหากํ ภควติ โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจเกฺก อนุกฺกเมน สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต เอกทิวสํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปพฺพตจาริกํ จรมาโน ตํ อิตฺถิํ สปริวารํ ทิสฺวา ตาย กตกมฺมํ ปุจฺฉิฯ สา อาทิโต ปฎฺฐาย สพฺพํ เถรสฺส กเถสิฯ เถโร ตาสํ ธมฺมํ เทเสสิฯ ตํ ปวตฺติํ เถโร ภควโต อาโรเจสิฯ ภควา ตมตฺถํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ มหาชโน ปฎิลทฺธสํเวโค ปาปโต โอรมิตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญกมฺมานิ กตฺวา สคฺคปรายโณ อโหสีติฯ
Atha sā vimānapetī rañño vacanaṃ sutvā viyogaṃ asahamānā sokāturatāya byākulahadayā vedhamānasarīrā nānāvidhehi upāyehi āyācitvāpi taṃ tattha vāsetuṃ asakkontī bahūhi mahārahehi ratanehi saddhiṃ rājānaṃ nagaraṃ netvā pāsādaṃ āropetvā kanditvā paridevitvā attano vasanaṭṭhānameva gatā. Rājā pana taṃ disvā sañjātasaṃvego dānādīni puññakammāni katvā saggaparāyaṇo ahosi. Atha amhākaṃ bhagavati loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakke anukkamena sāvatthiyaṃ viharante ekadivasaṃ āyasmā mahāmoggallāno pabbatacārikaṃ caramāno taṃ itthiṃ saparivāraṃ disvā tāya katakammaṃ pucchi. Sā ādito paṭṭhāya sabbaṃ therassa kathesi. Thero tāsaṃ dhammaṃ desesi. Taṃ pavattiṃ thero bhagavato ārocesi. Bhagavā tamatthaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā sampattaparisāya dhammaṃ desesi. Mahājano paṭiladdhasaṃvego pāpato oramitvā dānādīni puññakammāni katvā saggaparāyaṇo ahosīti.
กณฺณมุณฺฑเปติวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kaṇṇamuṇḍapetivatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๑๒. กณฺณมุณฺฑเปติวตฺถุ • 12. Kaṇṇamuṇḍapetivatthu