Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๖. กปิลสุตฺต-(ธมฺมจริยสุตฺต)-วณฺณนา

    6. Kapilasutta-(dhammacariyasutta)-vaṇṇanā

    ธมฺมจริยนฺติ กปิลสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? เหมวตสุเตฺต วุตฺตนเยเนว ปรินิพฺพุเต กสฺสเป ภควติ เทฺว กุลปุตฺตา ภาตโร นิกฺขมิตฺวา สาวกานํ สนฺติเก ปพฺพชิํสุฯ เชโฎฺฐ โสธโน นาม, กนิโฎฺฐ กปิโล นามฯ เตสํ มาตา สาธนี นาม, กนิฎฺฐภคินี ตาปนา นามฯ ตาปิ ภิกฺขุนีสุ ปพฺพชิํสุฯ ตโต เต เทฺวปิ เหมวตสุเตฺต วุตฺตนเยเนว ‘‘สาสเน กติ ธุรานี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา สุตฺวา จ เชโฎฺฐ ‘‘วาสธุรํ ปูเรสฺสามี’’ติ ปญฺจ วสฺสานิ อาจริยุปชฺฌายานํ สนฺติเก วสิตฺวา ปญฺจวโสฺส หุตฺวา ยาว อรหตฺตํ, ตาว กมฺมฎฺฐานํ สุตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา วายมโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณิฯ กปิโล ‘‘อหํ ตาว ตรุโณ, วุฑฺฒกาเล วาสธุรํ ปริปูเรสฺสามี’’ติ คนฺถธุรํ อารภิตฺวา เตปิฎโก อโหสิฯ ตสฺส ปริยตฺติํ นิสฺสาย ปริวาโร, ปริวารํ นิสฺสาย ลาโภ จ อุทปาทิฯ

    Dhammacariyanti kapilasuttaṃ. Kā uppatti? Hemavatasutte vuttanayeneva parinibbute kassape bhagavati dve kulaputtā bhātaro nikkhamitvā sāvakānaṃ santike pabbajiṃsu. Jeṭṭho sodhano nāma, kaniṭṭho kapilo nāma. Tesaṃ mātā sādhanī nāma, kaniṭṭhabhaginī tāpanā nāma. Tāpi bhikkhunīsu pabbajiṃsu. Tato te dvepi hemavatasutte vuttanayeneva ‘‘sāsane kati dhurānī’’ti pucchitvā sutvā ca jeṭṭho ‘‘vāsadhuraṃ pūressāmī’’ti pañca vassāni ācariyupajjhāyānaṃ santike vasitvā pañcavasso hutvā yāva arahattaṃ, tāva kammaṭṭhānaṃ sutvā araññaṃ pavisitvā vāyamanto arahattaṃ pāpuṇi. Kapilo ‘‘ahaṃ tāva taruṇo, vuḍḍhakāle vāsadhuraṃ paripūressāmī’’ti ganthadhuraṃ ārabhitvā tepiṭako ahosi. Tassa pariyattiṃ nissāya parivāro, parivāraṃ nissāya lābho ca udapādi.

    โส พาหุสจฺจมเทน มโตฺต ปณฺฑิตมานี อนญฺญาเตปิ อญฺญาตมานี หุตฺวา ปเรหิ วุตฺตํ กปฺปิยมฺปิ อกปฺปิยํ, อกปฺปิยมฺปิ กปฺปิยํ, สาวชฺชมฺปิ อนวชฺชํ, อนวชฺชมฺปิ สาวชฺชนฺติ ภณติฯ โส เปสเลหิ ภิกฺขูหิ, ‘‘มา, อาวุโส กปิล, เอวํ อวจา’’ติอาทินา นเยน โอวทิยมาโน ‘‘ตุเมฺห กิํ ชานาถ ริตฺตมุฎฺฐิสทิสา’’ติอาทีหิ วจเนหิ ขุํเสโนฺต วเมฺภโนฺตเยว จรติฯ ภิกฺขู ตสฺส ภาตุโน โสธนเตฺถรสฺสาปิ เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ โสปิ นํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘อาวุโส กปิล, สาสนสฺส อายุ นาม ตุมฺหาทิสานํ สมฺมาปฎิปตฺติฯ มา, อาวุโส กปิล, กปฺปิยมฺปิ อกปฺปิยํ, อกปฺปิยมฺปิ กปฺปิยํ, สาวชฺชมฺปิ อนวชฺชํ, อนวชฺชมฺปิ สาวชฺชนฺติ วเทหี’’ติฯ โส ตสฺสปิ วจนํ นาทิยิฯ ตโต นํ โสธนเตฺถโร ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ วตฺวา –

    So bāhusaccamadena matto paṇḍitamānī anaññātepi aññātamānī hutvā parehi vuttaṃ kappiyampi akappiyaṃ, akappiyampi kappiyaṃ, sāvajjampi anavajjaṃ, anavajjampi sāvajjanti bhaṇati. So pesalehi bhikkhūhi, ‘‘mā, āvuso kapila, evaṃ avacā’’tiādinā nayena ovadiyamāno ‘‘tumhe kiṃ jānātha rittamuṭṭhisadisā’’tiādīhi vacanehi khuṃsento vambhentoyeva carati. Bhikkhū tassa bhātuno sodhanattherassāpi etamatthaṃ ārocesuṃ. Sopi naṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘āvuso kapila, sāsanassa āyu nāma tumhādisānaṃ sammāpaṭipatti. Mā, āvuso kapila, kappiyampi akappiyaṃ, akappiyampi kappiyaṃ, sāvajjampi anavajjaṃ, anavajjampi sāvajjanti vadehī’’ti. So tassapi vacanaṃ nādiyi. Tato naṃ sodhanatthero dvattikkhattuṃ vatvā –

    ‘‘เอกวาจมฺปิ ทฺวิวาจํ, ภเณยฺย อนุกมฺปโก;

    ‘‘Ekavācampi dvivācaṃ, bhaṇeyya anukampako;

    ตตุตฺตริํ น ภาเสยฺย, ทาโสวยฺยสฺส สนฺติเก’’ติฯ (ชา. ๒.๑๙.๓๔) –

    Tatuttariṃ na bhāseyya, dāsovayyassa santike’’ti. (jā. 2.19.34) –

    ปริวเชฺชตฺวา ‘‘ตฺวเมว, อาวุโส, สเกน กเมฺมน ปญฺญายิสฺสสี’’ติ ปกฺกามิฯ ตโต ปภุติ นํ เปสลา ภิกฺขู ฉเฑฺฑสุํฯ

    Parivajjetvā ‘‘tvameva, āvuso, sakena kammena paññāyissasī’’ti pakkāmi. Tato pabhuti naṃ pesalā bhikkhū chaḍḍesuṃ.

    โส ทุราจาโร หุตฺวา ทุราจารปริวุโต วิหรโนฺต เอกทิวสํ ‘‘อุโปสถํ โอสาเรสฺสามี’’ติ สีหาสนํ อภิรุยฺห จิตฺรพีชนิํ คเหตฺวา นิสิโนฺน ‘‘วตฺตติ, อาวุโส, เอตฺถ ภิกฺขูนํ ปาติโมโกฺข’’ติ ติกฺขตฺตุํ อาหฯ อเถโก ภิกฺขุปิ ‘‘มยฺหํ วตฺตตี’’ติ น อโวจฯ น จ ตสฺส เตสํ วา ปาติโมโกฺข วตฺตติฯ ตโต โส ‘‘ปาติโมเกฺข สุเตปิ อสุเตปิ วินโย นาม นตฺถี’’ติ อาสนา วุฎฺฐาสิฯ เอวํ กสฺสปสฺส ภควโต สาสนํ โอสกฺกาเปสิ วินาเสสิฯ อถ โสธนเตฺถโร ตทเหว ปรินิพฺพายิฯ โสปิ กปิโล เอวํ ตํ สาสนํ โอสกฺกาเปตฺวา กาลกโต อวีจิมหานิรเย นิพฺพตฺติ, สาปิสฺส มาตา จ ภคินี จ ตเสฺสว ทิฎฺฐานุคติํ อาปชฺชิตฺวา เปสเล ภิกฺขู อโกฺกสมานา ปริภาสมานา กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติํสุฯ

    So durācāro hutvā durācāraparivuto viharanto ekadivasaṃ ‘‘uposathaṃ osāressāmī’’ti sīhāsanaṃ abhiruyha citrabījaniṃ gahetvā nisinno ‘‘vattati, āvuso, ettha bhikkhūnaṃ pātimokkho’’ti tikkhattuṃ āha. Atheko bhikkhupi ‘‘mayhaṃ vattatī’’ti na avoca. Na ca tassa tesaṃ vā pātimokkho vattati. Tato so ‘‘pātimokkhe sutepi asutepi vinayo nāma natthī’’ti āsanā vuṭṭhāsi. Evaṃ kassapassa bhagavato sāsanaṃ osakkāpesi vināsesi. Atha sodhanatthero tadaheva parinibbāyi. Sopi kapilo evaṃ taṃ sāsanaṃ osakkāpetvā kālakato avīcimahāniraye nibbatti, sāpissa mātā ca bhaginī ca tasseva diṭṭhānugatiṃ āpajjitvā pesale bhikkhū akkosamānā paribhāsamānā kālaṃ katvā niraye nibbattiṃsu.

    ตสฺมิํเยว จ กาเล ปญฺจสตา ปุริสา คามฆาตาทีนิ กตฺวา โจริกาย ชีวนฺตา ชนปทมนุเสฺสหิ อนุพทฺธา ปลายมานา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ตตฺถ กิญฺจิ คหนํ วา ปฎิสรณํ วา อปสฺสนฺตา อวิทูเร ปาสาเณ วสนฺตํ อญฺญตรํ อารญฺญิกํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, ปฎิสรณํ โหถา’’ติ ภณิํสุฯ เถโร ‘‘ตุมฺหากํ สีลสทิสํ ปฎิสรณํ นตฺถิ, สเพฺพ ปญฺจ สีลานิ สมาทิยถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สีลานิ สมาทิยิํสุฯ เถโร ‘‘ตุเมฺห สีลวโนฺต, อิทานิ อตฺตโน ชีวิตํ วินาเสเนฺตสุปิ มา มโน ปทูสยิตฺถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ อถ เต ชานปทา สมฺปตฺตา อิโต จิโต จ มคฺคมานา เต โจเร ทิสฺวา สเพฺพว ชีวิตา โวโรเปสุํฯ เต กาลํ กตฺวา กามาวจรเทวโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ เตสุ เชฎฺฐกโจโร เชฎฺฐกเทวปุโตฺต อโหสิ, อิตเร ตเสฺสว ปริวาราฯ

    Tasmiṃyeva ca kāle pañcasatā purisā gāmaghātādīni katvā corikāya jīvantā janapadamanussehi anubaddhā palāyamānā araññaṃ pavisitvā tattha kiñci gahanaṃ vā paṭisaraṇaṃ vā apassantā avidūre pāsāṇe vasantaṃ aññataraṃ āraññikaṃ bhikkhuṃ disvā vanditvā ‘‘amhākaṃ, bhante, paṭisaraṇaṃ hothā’’ti bhaṇiṃsu. Thero ‘‘tumhākaṃ sīlasadisaṃ paṭisaraṇaṃ natthi, sabbe pañca sīlāni samādiyathā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā sīlāni samādiyiṃsu. Thero ‘‘tumhe sīlavanto, idāni attano jīvitaṃ vināsentesupi mā mano padūsayitthā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchiṃsu. Atha te jānapadā sampattā ito cito ca maggamānā te core disvā sabbeva jīvitā voropesuṃ. Te kālaṃ katvā kāmāvacaradevaloke nibbattiṃsu. Tesu jeṭṭhakacoro jeṭṭhakadevaputto ahosi, itare tasseva parivārā.

    เต อนุโลมปฎิโลมํ สํสรนฺตา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวโลเก เขเปตฺวา อมฺหากํ ภควโต กาเล เทวโลกโต จวิตฺวา เชฎฺฐกเทวปุโตฺต สาวตฺถิทฺวาเร เกวฎฺฎคาโม อตฺถิ, ตตฺถ ปญฺจสตกุลเชฎฺฐสฺส เกวฎฺฎสฺส ปชาปติยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิ, อิตเร อวเสสเกวฎฺฎปชาปตีนํฯ เอวํ เตสํ เอกทิวสํเยว ปฎิสนฺธิคฺคหณญฺจ คพฺภวุฎฺฐานญฺจ อโหสิฯ อถ เกวฎฺฎเชโฎฺฐ ‘‘อตฺถิ นุ โข อิมสฺมิํ คาเม อเญฺญปิ ทารกา อชฺช ชาตา’’ติ วิจินโนฺต เต ทารเก ทิสฺวา ‘‘อิเม เม ปุตฺตสฺส สหายกา ภวิสฺสนฺตี’’ติ สเพฺพสํ โปสาวนิกํ อทาสิฯ เต สเพฺพ สหายกา สหปํสุํ กีฬนฺตา อนุปุเพฺพน วยปฺปตฺตา อเหสุํฯ ยโสโช เตสํ อโคฺค อโหสิฯ

    Te anulomapaṭilomaṃ saṃsarantā ekaṃ buddhantaraṃ devaloke khepetvā amhākaṃ bhagavato kāle devalokato cavitvā jeṭṭhakadevaputto sāvatthidvāre kevaṭṭagāmo atthi, tattha pañcasatakulajeṭṭhassa kevaṭṭassa pajāpatiyā kucchimhi paṭisandhiṃ aggahesi, itare avasesakevaṭṭapajāpatīnaṃ. Evaṃ tesaṃ ekadivasaṃyeva paṭisandhiggahaṇañca gabbhavuṭṭhānañca ahosi. Atha kevaṭṭajeṭṭho ‘‘atthi nu kho imasmiṃ gāme aññepi dārakā ajja jātā’’ti vicinanto te dārake disvā ‘‘ime me puttassa sahāyakā bhavissantī’’ti sabbesaṃ posāvanikaṃ adāsi. Te sabbe sahāyakā sahapaṃsuṃ kīḷantā anupubbena vayappattā ahesuṃ. Yasojo tesaṃ aggo ahosi.

    กปิโลปิ ตทา นิรเย ปกฺกาวเสเสน อจิรวติยา สุวณฺณวโณฺณ ทุคฺคนฺธมุโข มโจฺฉ หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ อเถกทิวสํ สเพฺพปิ เกวฎฺฎทารกา ชาลานิ คเหตฺวา ‘‘มเจฺฉ พนฺธิสฺสามา’’ติ นทิํ คนฺตฺวา ชาลานิ ปกฺขิปิํสุฯ เตสํ ชาลํ โส มโจฺฉ ปาวิสิฯ ตํ ทิสฺวา สโพฺพ เกวฎฺฎคาโม อุจฺจาสทฺทมหาสโทฺท อโหสิ – ‘‘อมฺหากํ ปุตฺตา ปฐมํ มเจฺฉ พนฺธนฺตา สุวณฺณมจฺฉํ พนฺธิํสุ, วุฑฺฒิ เนสํ ทารกานํ, อิทานิ จ โน ราชา ปหูตํ ธนํ ทสฺสตี’’ติฯ อถ เต ปญฺจสตาปิ ทารกสหายกา มจฺฉํ นาวาย ปกฺขิปิตฺวา นาวํ อุกฺขิปิตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ อคมํสุฯ ราชา ทิสฺวา ‘‘กิํ เอตํ ภเณ’’ติ อาหฯ ‘‘มโจฺฉ เทวา’’ติฯ ราชา สุวณฺณวณฺณํ มจฺฉํ ทิสฺวา ‘‘ภควา เอตสฺส วณฺณการณํ ชานิสฺสตี’’ติ มจฺฉํ คาหาเปตฺวา ภควโต สนฺติกํ อคมาสิฯ มจฺฉสฺส มุขวิวรณกาเล เชตวนํ อติวิย ทุคฺคนฺธํ โหติฯ

    Kapilopi tadā niraye pakkāvasesena aciravatiyā suvaṇṇavaṇṇo duggandhamukho maccho hutvā nibbatti. Athekadivasaṃ sabbepi kevaṭṭadārakā jālāni gahetvā ‘‘macche bandhissāmā’’ti nadiṃ gantvā jālāni pakkhipiṃsu. Tesaṃ jālaṃ so maccho pāvisi. Taṃ disvā sabbo kevaṭṭagāmo uccāsaddamahāsaddo ahosi – ‘‘amhākaṃ puttā paṭhamaṃ macche bandhantā suvaṇṇamacchaṃ bandhiṃsu, vuḍḍhi nesaṃ dārakānaṃ, idāni ca no rājā pahūtaṃ dhanaṃ dassatī’’ti. Atha te pañcasatāpi dārakasahāyakā macchaṃ nāvāya pakkhipitvā nāvaṃ ukkhipitvā rañño santikaṃ agamaṃsu. Rājā disvā ‘‘kiṃ etaṃ bhaṇe’’ti āha. ‘‘Maccho devā’’ti. Rājā suvaṇṇavaṇṇaṃ macchaṃ disvā ‘‘bhagavā etassa vaṇṇakāraṇaṃ jānissatī’’ti macchaṃ gāhāpetvā bhagavato santikaṃ agamāsi. Macchassa mukhavivaraṇakāle jetavanaṃ ativiya duggandhaṃ hoti.

    ราชา ภควนฺตํ ปุจฺฉิ – ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, มโจฺฉ สุวณฺณวโณฺณ ชาโต, กสฺมา จสฺส มุขโต ทุคฺคโนฺธ วายตี’’ติ? อยํ, มหาราช, กสฺสปสฺส ภควโต ปาวจเน กปิโล นาม ภิกฺขุ อโหสิ, พหุสฺสุโต อาคตาคโมฯ อตฺตโน วจนํ อคณฺหนฺตานํ ภิกฺขูนํ อโกฺกสกปริภาสโกฯ ตสฺส จ ภควโต สาสนวินาสโกฯ ยํ โส ตสฺส ภควโต สาสนํ วินาเสสิ, เตน กเมฺมน อวีจิมหานิรเย นิพฺพตฺติ, วิปากาวเสเสน จ อิทานิ มโจฺฉ ชาโตฯ ยํ ทีฆรตฺตํ พุทฺธวจนํ วาเจสิ, พุทฺธสฺส วณฺณํ กเถสิ, ตสฺส นิสฺสเนฺทน อีทิสํ วณฺณํ ปฎิลภิฯ ยํ ภิกฺขูนํ อโกฺกสกปริภาสโก อโหสิ, เตนสฺส มุขโต ทุคฺคโนฺธ วายติฯ ‘‘อุลฺลปาเปมิ นํ มหาราชา’’ติ? ‘‘อาม ภควา’’ติฯ อถ ภควา มจฺฉํ อาลปิ – ‘‘ตฺวํสิ กปิโล’’ติ? ‘‘อาม ภควา, อหํ กปิโล’’ติฯ ‘‘กุโต อาคโตสี’’ติ? ‘‘อวีจิมหานิรยโต ภควา’’ติฯ ‘‘โสธโน กุหิํ คโต’’ติ? ‘‘ปรินิพฺพุโต ภควา’’ติฯ ‘‘สาธนี กุหิํ คตา’’ติ? ‘‘มหานิรเย นิพฺพตฺตา ภควา’’ติฯ ‘‘ตาปนา กุหิํ คตา’’ติ? ‘‘มหานิรเย นิพฺพตฺตา ภควา’’ติฯ ‘‘อิทานิ ตฺวํ กุหิํ คมิสฺสสี’’ติ? ‘‘มหานิรยํ ภควา’’ติฯ ตาวเทว วิปฺปฎิสาราภิภูโต นาวํ สีเสน ปหริตฺวา กาลกโต มหานิรเย นิพฺพตฺติฯ มหาชโน สํวิโคฺค อโหสิ โลมหฎฺฐชาโตฯ อถ ภควา ตตฺถ สมฺปตฺตคหฎฺฐปพฺพชิตปริสาย ตงฺขณานุรูปํ ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมํ สุตฺตมภาสิฯ

    Rājā bhagavantaṃ pucchi – ‘‘kasmā, bhante, maccho suvaṇṇavaṇṇo jāto, kasmā cassa mukhato duggandho vāyatī’’ti? Ayaṃ, mahārāja, kassapassa bhagavato pāvacane kapilo nāma bhikkhu ahosi, bahussuto āgatāgamo. Attano vacanaṃ agaṇhantānaṃ bhikkhūnaṃ akkosakaparibhāsako. Tassa ca bhagavato sāsanavināsako. Yaṃ so tassa bhagavato sāsanaṃ vināsesi, tena kammena avīcimahāniraye nibbatti, vipākāvasesena ca idāni maccho jāto. Yaṃ dīgharattaṃ buddhavacanaṃ vācesi, buddhassa vaṇṇaṃ kathesi, tassa nissandena īdisaṃ vaṇṇaṃ paṭilabhi. Yaṃ bhikkhūnaṃ akkosakaparibhāsako ahosi, tenassa mukhato duggandho vāyati. ‘‘Ullapāpemi naṃ mahārājā’’ti? ‘‘Āma bhagavā’’ti. Atha bhagavā macchaṃ ālapi – ‘‘tvaṃsi kapilo’’ti? ‘‘Āma bhagavā, ahaṃ kapilo’’ti. ‘‘Kuto āgatosī’’ti? ‘‘Avīcimahānirayato bhagavā’’ti. ‘‘Sodhano kuhiṃ gato’’ti? ‘‘Parinibbuto bhagavā’’ti. ‘‘Sādhanī kuhiṃ gatā’’ti? ‘‘Mahāniraye nibbattā bhagavā’’ti. ‘‘Tāpanā kuhiṃ gatā’’ti? ‘‘Mahāniraye nibbattā bhagavā’’ti. ‘‘Idāni tvaṃ kuhiṃ gamissasī’’ti? ‘‘Mahānirayaṃ bhagavā’’ti. Tāvadeva vippaṭisārābhibhūto nāvaṃ sīsena paharitvā kālakato mahāniraye nibbatti. Mahājano saṃviggo ahosi lomahaṭṭhajāto. Atha bhagavā tattha sampattagahaṭṭhapabbajitaparisāya taṅkhaṇānurūpaṃ dhammaṃ desento imaṃ suttamabhāsi.

    ๒๗๗-๘. ตตฺถ ธมฺมจริยนฺติ กายสุจริตาทิ ธมฺมจริยํฯ พฺรหฺมจริยนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ เอตทาหุ วสุตฺตมนฺติ เอตํ อุภยมฺปิ โลกิยโลกุตฺตรํ สุจริตํ สคฺคโมกฺขสุขสมฺปาปกตฺตา วสุตฺตมนฺติ อาหุ อริยาฯ วสุตฺตมํ นาม อุตฺตมรตนํ, อนุคามิกํ อตฺตาธีนํ ราชาทีนํ อสาธารณนฺติ อธิปฺปาโยฯ

    277-8. Tattha dhammacariyanti kāyasucaritādi dhammacariyaṃ. Brahmacariyanti maggabrahmacariyaṃ. Etadāhu vasuttamanti etaṃ ubhayampi lokiyalokuttaraṃ sucaritaṃ saggamokkhasukhasampāpakattā vasuttamanti āhu ariyā. Vasuttamaṃ nāma uttamaratanaṃ, anugāmikaṃ attādhīnaṃ rājādīnaṃ asādhāraṇanti adhippāyo.

    เอตฺตาวตา ‘‘คหฎฺฐสฺส วา ปพฺพชิตสฺส วา สมฺมาปฎิปตฺติเยว ปฎิสรณ’’นฺติ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปฎิปตฺติวิรหิตาย ปพฺพชฺชาย อสารกตฺตทสฺสเนน กปิลํ อเญฺญ จ ตถารูเป ครหโนฺต ‘‘ปพฺพชิโตปิ เจ โหตี’’ติ เอวมาทิมาหฯ

    Ettāvatā ‘‘gahaṭṭhassa vā pabbajitassa vā sammāpaṭipattiyeva paṭisaraṇa’’nti dassetvā idāni paṭipattivirahitāya pabbajjāya asārakattadassanena kapilaṃ aññe ca tathārūpe garahanto ‘‘pabbajitopi ce hotī’’ti evamādimāha.

    ตตฺรายํ อตฺถวณฺณนา – โย หิ โกจิ คิหิพฺยญฺชนานิ อปเนตฺวา ภณฺฑุกาสาวาทิคหณมตฺตํ อุปสงฺกมเนน ปพฺพชิโตปิ เจ โหติ ปุเพฺพ วุตฺตตฺถํ อคารสฺมา อนคาริยํ, โส เจ มุขรชาติโก โหติ ผรุสวจโน, นานปฺปการาย วิเหสาย อภิรตตฺตา วิเหสาภิรโต, หิโรตฺตปฺปาภาเวน มคสทิสตฺตา มโค, ชีวิตํ ตสฺส ปาปิโย, ตสฺส เอวรูปสฺส ชีวิตํ อติปาปํ อติหีนํฯ กสฺมา? ยสฺมา อิมาย มิจฺฉาปฎิปตฺติยา ราคาทิมเนกปฺปการํ รชํ วเฑฺฒติ อตฺตโน

    Tatrāyaṃ atthavaṇṇanā – yo hi koci gihibyañjanāni apanetvā bhaṇḍukāsāvādigahaṇamattaṃ upasaṅkamanena pabbajitopi cehoti pubbe vuttatthaṃ agārasmā anagāriyaṃ, so ce mukharajātiko hoti pharusavacano, nānappakārāya vihesāya abhiratattā vihesābhirato, hirottappābhāvena magasadisattā mago, jīvitaṃ tassa pāpiyo, tassa evarūpassa jīvitaṃ atipāpaṃ atihīnaṃ. Kasmā? Yasmā imāya micchāpaṭipattiyā rāgādimanekappakāraṃ rajaṃ vaḍḍheti attano.

    ๒๗๙. น เกวลญฺจ อิมินาว การเณนสฺส ชีวิตํ ปาปิโย, อปิจ โข ปน อยํ เอวรูโป มุขรชาติกตฺตา กลหาภิรโต ภิกฺขุ สุภาสิตสฺส อตฺถวิชานนสโมฺมหเนน โมหธเมฺมน อาวุโต, ‘‘มา, อาวุโส กปิล, เอวํ อวจ, อิมินาปิ ปริยาเยน ตํ คณฺหาหี’’ติ เอวมาทินา นเยน เปสเลหิ ภิกฺขูหิ อกฺขาตมฺปิ น ชานาติ ธมฺมํ พุเทฺธน เทสิตํฯ โย ธโมฺม พุเทฺธน เทสิโต, ตํ นานปฺปกาเรน อตฺตโน วุจฺจมานมฺปิ น ชานาติฯ เอวมฺปิสฺส ชีวิตํ ปาปิโยฯ

    279. Na kevalañca imināva kāraṇenassa jīvitaṃ pāpiyo, apica kho pana ayaṃ evarūpo mukharajātikattā kalahābhirato bhikkhu subhāsitassa atthavijānanasammohanena mohadhammena āvuto, ‘‘mā, āvuso kapila, evaṃ avaca, imināpi pariyāyena taṃ gaṇhāhī’’ti evamādinā nayena pesalehi bhikkhūhi akkhātampi na jānāti dhammaṃ buddhena desitaṃ. Yo dhammo buddhena desito, taṃ nānappakārena attano vuccamānampi na jānāti. Evampissa jīvitaṃ pāpiyo.

    ๒๘๐. ตถา โส เอวรูโป วิเหสาภิรตตฺตา วิเหสํ ภาวิตตฺตานํ ภาวิตเตฺต ขีณาสวภิกฺขู โสธนเตฺถรปภุติเก ‘‘น ตุเมฺห วินยํ ชานาถ, น สุตฺตํ น อภิธมฺมํ, วุฑฺฒปพฺพชิตา’’ติอาทินา นเยน วิเหสโนฺต ฯ อุปโยคปฺปวตฺติยญฺหิ อิทํ สามิวจนํฯ อถ วา ยถาวุเตฺตเนว นเยน ‘‘วิเหสํ ภาวิตตฺตานํ กโรโนฺต’’ติ ปาฐเสโส เวทิตโพฺพฯ เอวํ นิปฺปริยายเมว สามิวจนํ สิชฺฌติฯ อวิชฺชาย ปุรกฺขโตติ ภาวิตตฺตวิเหสเน อาทีนวทสฺสนปฎิจฺฉาทิกาย อวิชฺชาย ปุรกฺขโต เปสิโต ปโยชิโต เสสปพฺพชิตานํ ภาวิตตฺตานํ วิเหสภาเวน ปวตฺตํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม จิตฺตวิพาธเนน สงฺกิเลสํ, อายติญฺจ นิรยสมฺปาปเนน มคฺคํ นิรยคามินํ น ชานาติฯ

    280. Tathā so evarūpo vihesābhiratattā vihesaṃ bhāvitattānaṃ bhāvitatte khīṇāsavabhikkhū sodhanattherapabhutike ‘‘na tumhe vinayaṃ jānātha, na suttaṃ na abhidhammaṃ, vuḍḍhapabbajitā’’tiādinā nayena vihesanto . Upayogappavattiyañhi idaṃ sāmivacanaṃ. Atha vā yathāvutteneva nayena ‘‘vihesaṃ bhāvitattānaṃ karonto’’ti pāṭhaseso veditabbo. Evaṃ nippariyāyameva sāmivacanaṃ sijjhati. Avijjāya purakkhatoti bhāvitattavihesane ādīnavadassanapaṭicchādikāya avijjāya purakkhato pesito payojito sesapabbajitānaṃ bhāvitattānaṃ vihesabhāvena pavattaṃ diṭṭheva dhamme cittavibādhanena saṅkilesaṃ, āyatiñca nirayasampāpanena maggaṃ nirayagāminaṃ na jānāti.

    ๒๘๑. อชานโนฺต จ เตน มเคฺคน จตุพฺพิธาปายเภทํ วินิปาตํ สมาปโนฺนฯ ตตฺถ จ วินิปาเต คพฺภา คพฺภํ ตมา ตมํ เอเกกนิกาเย สตกฺขตฺตุํ สหสฺสกฺขตฺตุมฺปิ มาตุกุจฺฉิโต มาตุกุจฺฉิํ จนฺทิมสูริเยหิปิ อวิทฺธํสนียา อสุรกายตมา ตมญฺจ สมาปโนฺนฯ ส เว ตาทิสโก ภิกฺขุ เปจฺจ อิโต ปรโลกํ คนฺตฺวา อยํ กปิลมโจฺฉ วิย นานปฺปการํ ทุกฺขํ นิคจฺฉติฯ

    281. Ajānanto ca tena maggena catubbidhāpāyabhedaṃ vinipātaṃ samāpanno. Tattha ca vinipāte gabbhā gabbhaṃ tamā tamaṃ ekekanikāye satakkhattuṃ sahassakkhattumpi mātukucchito mātukucchiṃ candimasūriyehipi aviddhaṃsanīyā asurakāyatamā tamañca samāpanno. Sa ve tādisakobhikkhu pecca ito paralokaṃ gantvā ayaṃ kapilamaccho viya nānappakāraṃ dukkhaṃ nigacchati.

    ๒๘๒. กิํ การณา? คูถกูโป ยถา อสฺส, สมฺปุโณฺณ คณวสฺสิโก,ยถา วจฺจกุฎิคูถกูโป คณวสฺสิโก อเนกวสฺสิโก พหูนิ วสฺสานิ มุขโต คูเถน ปูริยมาโน สมฺปุโณฺณ อสฺส, โส อุทกกุมฺภสเตหิ อุทกกุมฺภสหเสฺสหิ โธวิยมาโนปิ ทุคฺคนฺธทุพฺพณฺณิยานปคมา ทุพฺพิโสโธ โหติ, เอวเมว โย เอวรูโป อสฺส ทีฆรตฺตํ สํกิลิฎฺฐกมฺมโนฺต คูถกูโป วิย คูเถน ปาเปน สมฺปุณฺณตฺตา สมฺปุโณฺณ ปุคฺคโล, โส ทุพฺพิโสโธ หิ สางฺคโณ, จิรกาลํ ตสฺส องฺคณสฺส วิปากํ ปจฺจนุโภโนฺตปิ น สุชฺฌติฯ ตสฺมา วสฺสคณนาย อปริมาณมฺปิ กาลํ ส เว ตาทิสโก ภิกฺขุ เปจฺจ ทุกฺขํ นิคจฺฉตีติฯ อถ วา อยํ อิมิสฺสา คาถาย สมฺพโนฺธ – ยํ วุตฺตํ ‘‘ส เว ตาทิสโก ภิกฺขุ, เปจฺจ ทุกฺขํ นิคจฺฉตี’’ติ, ตตฺร สิยา ตุมฺหากํ ‘‘สกฺกา ปนายํ ตถา กาตุํ, ยถา เปจฺจ ทุกฺขํ น นิคเจฺฉยฺยา’’ติฯ น สกฺกาฯ กสฺมา? ยสฺมา คูถกูโป…เป.… สางฺคโณติฯ

    282. Kiṃ kāraṇā? Gūthakūpo yathā assa, sampuṇṇo gaṇavassiko,yathā vaccakuṭigūthakūpo gaṇavassiko anekavassiko bahūni vassāni mukhato gūthena pūriyamāno sampuṇṇo assa, so udakakumbhasatehi udakakumbhasahassehi dhoviyamānopi duggandhadubbaṇṇiyānapagamā dubbisodho hoti, evameva yo evarūpo assa dīgharattaṃ saṃkiliṭṭhakammanto gūthakūpo viya gūthena pāpena sampuṇṇattā sampuṇṇo puggalo, so dubbisodho hi sāṅgaṇo, cirakālaṃ tassa aṅgaṇassa vipākaṃ paccanubhontopi na sujjhati. Tasmā vassagaṇanāya aparimāṇampi kālaṃ sa ve tādisako bhikkhu pecca dukkhaṃ nigacchatīti. Atha vā ayaṃ imissā gāthāya sambandho – yaṃ vuttaṃ ‘‘sa ve tādisako bhikkhu, pecca dukkhaṃ nigacchatī’’ti, tatra siyā tumhākaṃ ‘‘sakkā panāyaṃ tathā kātuṃ, yathā pecca dukkhaṃ na nigaccheyyā’’ti. Na sakkā. Kasmā? Yasmā gūthakūpo…pe… sāṅgaṇoti.

    ๒๘๓-๔. ยโต ปฎิกเจฺจว ยํ เอวรูปํ ชานาถ, ภิกฺขโว เคหนิสฺสิตํ, ยํ เอวรูปํ ปญฺจกามคุณนิสฺสิตํ ชาเนยฺยาถ อภูตคุณปตฺถนาการปฺปวตฺตาย ปาปิกาย อิจฺฉาย สมนฺนาคตตฺตา ปาปิจฺฉํ, กามวิตกฺกาทีหิ สมนฺนาคตตฺตา ปาปสงฺกปฺปํ, กายิกวีติกฺกมาทินา เวฬุทานาทิเภเทน จ ปาปาจาเรน สมนฺนาคตตฺตา ปาปาจารํ, เวสิยาทิปาปโคจรโต ปาปโคจรํ, สเพฺพ สมคฺคา หุตฺวาน อภินิพฺพชฺชิยาถ นํฯ ตตฺถ อภินิพฺพชฺชิยาถาติ วิวเชฺชยฺยาถ มา ภเชยฺยาถ, มา จสฺส อภินิพฺพชฺชนมเตฺตเนว อโปฺปสฺสุกฺกตํ อาปเชฺชยฺยาถ, อปิจ โข ปน การณฺฑวํ นิทฺธมถ, กสมฺพุํ อปกสฺสถ, ตํ กจวรภูตํ ปุคฺคลํ กจวรมิว อนเปกฺขา นิทฺธมถ, กสฎภูตญฺจ นํ ขตฺติยาทีนํ มเชฺฌ ปวิฎฺฐํ ปภินฺนปคฺฆริตกุฎฺฐํ จณฺฑาลํ วิย อปกสฺสถ, หเตฺถ วา สีเส วา คเหตฺวา นิกฺกฑฺฒถฯ เสยฺยถาปิ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ตํ ปุคฺคลํ ปาปธมฺมํ พาหาย คเหตฺวา พหิทฺวารโกฎฺฐกา นิกฺขาเมตฺวา สูจิฆฎิกํ อทาสิ, เอวํ อปกสฺสถาติ ทเสฺสติฯ กิํ การณา? สงฺฆาราโม นาม สีลวนฺตานํ กโต, น ทุสฺสีลานํฯ

    283-4. Yato paṭikacceva yaṃ evarūpaṃ jānātha, bhikkhavo gehanissitaṃ, yaṃ evarūpaṃ pañcakāmaguṇanissitaṃ jāneyyātha abhūtaguṇapatthanākārappavattāya pāpikāya icchāya samannāgatattā pāpicchaṃ, kāmavitakkādīhi samannāgatattā pāpasaṅkappaṃ, kāyikavītikkamādinā veḷudānādibhedena ca pāpācārena samannāgatattā pāpācāraṃ, vesiyādipāpagocarato pāpagocaraṃ, sabbe samaggā hutvāna abhinibbajjiyātha naṃ. Tattha abhinibbajjiyāthāti vivajjeyyātha mā bhajeyyātha, mā cassa abhinibbajjanamatteneva appossukkataṃ āpajjeyyātha, apica kho pana kāraṇḍavaṃ niddhamatha, kasambuṃ apakassatha, taṃ kacavarabhūtaṃ puggalaṃ kacavaramiva anapekkhā niddhamatha, kasaṭabhūtañca naṃ khattiyādīnaṃ majjhe paviṭṭhaṃ pabhinnapaggharitakuṭṭhaṃ caṇḍālaṃ viya apakassatha, hatthe vā sīse vā gahetvā nikkaḍḍhatha. Seyyathāpi āyasmā mahāmoggallāno taṃ puggalaṃ pāpadhammaṃ bāhāya gahetvā bahidvārakoṭṭhakā nikkhāmetvā sūcighaṭikaṃ adāsi, evaṃ apakassathāti dasseti. Kiṃ kāraṇā? Saṅghārāmo nāma sīlavantānaṃ kato, na dussīlānaṃ.

    ๒๘๕-๖. ยโต เอตเทว ตโต ปลาเป วาเหถ, อสฺสมเณ สมณมานิเน, ยถา หิ ปลาปา อโนฺต ตณฺฑุลรหิตาปิ พหิ ถุเสหิ วีหี วิย ทิสฺสนฺติ, เอวํ ปาปภิกฺขู อโนฺต สีลาทิวิรหิตาปิ พหิ กาสาวาทิปริกฺขาเรน ภิกฺขู วิย ทิสฺสนฺติฯ ตสฺมา ‘‘ปลาปา’’ติ วุจฺจนฺติฯ เต ปลาเป วาเหถ, โอปุนาถ, วิธมถ ปรมตฺถโต อสฺสมเณ เวสมเตฺตน สมณมานิเน ฯ เอวํ นิทฺธมิตฺวาน…เป.… ปติสฺสตาฯ ตตฺถ กปฺปยโวฺหติ กเปฺปถ, กโรถาติ วุตฺตํ โหติฯ ปติสฺสตาติ อญฺญมญฺญํ สคารวา สปฺปติสฺสาฯ ตโต สมคฺคา นิปกา, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถาติ อเถวํ ตุเมฺห สุทฺธา สุเทฺธหิ สํวาสํ กเปฺปนฺตา, ทิฎฺฐิสีลสามญฺญตาย สมคฺคา, อนุปุเพฺพน ปริปากคตาย ปญฺญาย นิปกา, สพฺพเสฺสวิมสฺส วฎฺฎทุกฺขาทิโน ทุกฺขสฺส อนฺตํ กริสฺสถาติ อรหตฺตนิกูเฎเนว เทสนํ นิฎฺฐเปสิฯ

    285-6. Yato etadeva tato palāpe vāhetha, assamaṇe samaṇamānine, yathā hi palāpā anto taṇḍularahitāpi bahi thusehi vīhī viya dissanti, evaṃ pāpabhikkhū anto sīlādivirahitāpi bahi kāsāvādiparikkhārena bhikkhū viya dissanti. Tasmā ‘‘palāpā’’ti vuccanti. Te palāpe vāhetha, opunātha, vidhamatha paramatthato assamaṇe vesamattena samaṇamānine . Evaṃ niddhamitvāna…pe… patissatā. Tattha kappayavhoti kappetha, karothāti vuttaṃ hoti. Patissatāti aññamaññaṃ sagāravā sappatissā. Tato samaggā nipakā, dukkhassantaṃ karissathāti athevaṃ tumhe suddhā suddhehi saṃvāsaṃ kappentā, diṭṭhisīlasāmaññatāya samaggā, anupubbena paripākagatāya paññāya nipakā, sabbassevimassa vaṭṭadukkhādino dukkhassa antaṃ karissathāti arahattanikūṭeneva desanaṃ niṭṭhapesi.

    เทสนาปริโยสาเน เต ปญฺจสตา เกวฎฺฎปุตฺตา สํเวคมาปชฺชิตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตกิริยํ ปตฺถยมานา ภควโต สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา นจิรเสฺสว ทุกฺขสฺสนฺตํ กตฺวา ภควตา สทฺธิํ อาเนญฺชวิหารสมาปตฺติธมฺมปริโภเคน เอกปริโภคา อเหสุํฯ สา จ เนสํ เอวํ ภควตา สทฺธิํ เอกปริโภคตา อุทาเน วุตฺตยโสชสุตฺตวเสเนว เวทิตพฺพาติฯ

    Desanāpariyosāne te pañcasatā kevaṭṭaputtā saṃvegamāpajjitvā dukkhassantakiriyaṃ patthayamānā bhagavato santike pabbajitvā nacirasseva dukkhassantaṃ katvā bhagavatā saddhiṃ āneñjavihārasamāpattidhammaparibhogena ekaparibhogā ahesuṃ. Sā ca nesaṃ evaṃ bhagavatā saddhiṃ ekaparibhogatā udāne vuttayasojasuttavaseneva veditabbāti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย กปิลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya kapilasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๖. ธมฺมจริยสุตฺตํ • 6. Dhammacariyasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact