Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๒] ๒. กโปตชาตกวณฺณนา
[42] 2. Kapotajātakavaṇṇanā
โย อตฺถกามสฺสาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ โลลภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺส โลลภาโว นวกนิปาเต กากชาตเก อาวิ ภวิสฺสติฯ ตทา ปน ตํ ภิกฺขู ‘‘อยํ, ภเนฺต, ภิกฺขุ โลโล’’ติ สตฺถุ อาโรเจสุํฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ โลโลสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ สตฺถา ‘‘ปุเพฺพปิ ตฺวํ ภิกฺขุ โลโล โลลการณา ชีวิตกฺขยํ ปโตฺต, ปณฺฑิตาปิ ตํ นิสฺสาย อตฺตโน วสนฎฺฐานา ปริหีนา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yo atthakāmassāti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ lolabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tassa lolabhāvo navakanipāte kākajātake āvi bhavissati. Tadā pana taṃ bhikkhū ‘‘ayaṃ, bhante, bhikkhu lolo’’ti satthu ārocesuṃ. Atha naṃ satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu lolosī’’ti pucchi. ‘‘Āma, bhante’’ti. Satthā ‘‘pubbepi tvaṃ bhikkhu lolo lolakāraṇā jīvitakkhayaṃ patto, paṇḍitāpi taṃ nissāya attano vasanaṭṭhānā parihīnā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ปาราวตโยนิยํ นิพฺพตฺติฯ ตทา พาราณสิวาสิโน ปุญฺญกามตาย ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน สกุณานํ สุขวสนตฺถาย ถุสปจฺฉิโย โอลเมฺพนฺติฯ พาราณสิเสฎฺฐิโนปิ ภตฺตการโก อตฺตโน มหานเส เอกํ ถุสปจฺฉิํ โอลเมฺพตฺวา ฐเปสิ, โพธิสโตฺต ตตฺถ วาสํ กเปฺปสิฯ โส ปาโตว นิกฺขมิตฺวา โคจเร จริตฺวา สายํ อาคนฺตฺวา ตตฺถ วสโนฺต กาลํ เขเปสิฯ อเถกทิวสํ เอโก กาโก มหานสมตฺถเกน คจฺฉโนฺต อมฺพิลานมฺพิลมจฺฉมํสานํ ธูปนวาสํ ฆายิตฺวา โลภํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘กํ นุ โข นิสฺสาย อิมํ มจฺฉมํสํ ลภิสฺสามี’’ติ อวิทูเร นิสีทิตฺวา ปริคฺคณฺหโนฺต สายํ โพธิสตฺตํ อาคนฺตฺวา มหานสํ ปวิสนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อิมํ ปาราวตํ นิสฺสาย มจฺฉมํสํ ลภิสฺสามี’’ติ ปุนทิวเส ปาโตว อาคนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส นิกฺขมิตฺวา โคจรตฺถาย คมนกาเล ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อคมาสิฯ อถ นํ โพธิสโตฺต ‘‘กสฺมา ตฺวํ, สมฺม, อเมฺหหิ สทฺธิํ จรสี’’ติ อาหฯ ‘‘สามิ, ตุมฺหาหํ กิริยา มยฺหํ รุจฺจติ, อิโต ปฎฺฐาย ตุเมฺห อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สมฺม, ตุเมฺห อญฺญโคจรา, มยํ อญฺญโคจรา, ตุเมฺหหิ อมฺหากํ อุปฎฺฐานํ ทุกฺกร’’นฺติฯ ‘‘สามิ, ตุมฺหากํ โคจรคฺคหณกาเล อหมฺปิ โคจรํ คเหตฺวา ตุเมฺหหิ สทฺธิํเยว คมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, เกวลํ เต อปฺปมเตฺตน ภวิตพฺพ’’นฺติ เอวํ โพธิสโตฺต กากํ โอวทิตฺวา โคจรํ จรโนฺต ติณพีชาทีนิ ขาทติฯ โพธิสตฺตสฺส ปน โคจรคฺคหณกาเล กาโก คนฺตฺวา โคมยปิณฺฑํ อปเนตฺวา ปาณเก ขาทิตฺวา อุทรํ ปูเรตฺวา โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา ‘‘สามิ, ตุเมฺห อติเวลํ จรถ, อติพหุภเกฺขน นาม ภวิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา โพธิสเตฺตน โคจรํ คเหตฺวา สายํ อาคจฺฉเนฺตน สทฺธิํเยว มหานสํ ปาวิสิฯ ภตฺตการโก ‘‘อมฺหากํ กโปโต อญฺญมฺปิ คเหตฺวา อาคโต’’ติ กากสฺสปิ ปจฺฉิํ ฐเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย เทฺว ชนา วสนฺติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto pārāvatayoniyaṃ nibbatti. Tadā bārāṇasivāsino puññakāmatāya tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne sakuṇānaṃ sukhavasanatthāya thusapacchiyo olambenti. Bārāṇasiseṭṭhinopi bhattakārako attano mahānase ekaṃ thusapacchiṃ olambetvā ṭhapesi, bodhisatto tattha vāsaṃ kappesi. So pātova nikkhamitvā gocare caritvā sāyaṃ āgantvā tattha vasanto kālaṃ khepesi. Athekadivasaṃ eko kāko mahānasamatthakena gacchanto ambilānambilamacchamaṃsānaṃ dhūpanavāsaṃ ghāyitvā lobhaṃ uppādetvā ‘‘kaṃ nu kho nissāya imaṃ macchamaṃsaṃ labhissāmī’’ti avidūre nisīditvā pariggaṇhanto sāyaṃ bodhisattaṃ āgantvā mahānasaṃ pavisantaṃ disvā ‘‘imaṃ pārāvataṃ nissāya macchamaṃsaṃ labhissāmī’’ti punadivase pātova āgantvā bodhisattassa nikkhamitvā gocaratthāya gamanakāle piṭṭhito piṭṭhito agamāsi. Atha naṃ bodhisatto ‘‘kasmā tvaṃ, samma, amhehi saddhiṃ carasī’’ti āha. ‘‘Sāmi, tumhāhaṃ kiriyā mayhaṃ ruccati, ito paṭṭhāya tumhe upaṭṭhahissāmī’’ti. ‘‘Samma, tumhe aññagocarā, mayaṃ aññagocarā, tumhehi amhākaṃ upaṭṭhānaṃ dukkara’’nti. ‘‘Sāmi, tumhākaṃ gocaraggahaṇakāle ahampi gocaraṃ gahetvā tumhehi saddhiṃyeva gamissāmī’’ti. ‘‘Sādhu, kevalaṃ te appamattena bhavitabba’’nti evaṃ bodhisatto kākaṃ ovaditvā gocaraṃ caranto tiṇabījādīni khādati. Bodhisattassa pana gocaraggahaṇakāle kāko gantvā gomayapiṇḍaṃ apanetvā pāṇake khāditvā udaraṃ pūretvā bodhisattassa santikaṃ āgantvā ‘‘sāmi, tumhe ativelaṃ caratha, atibahubhakkhena nāma bhavituṃ na vaṭṭatī’’ti vatvā bodhisattena gocaraṃ gahetvā sāyaṃ āgacchantena saddhiṃyeva mahānasaṃ pāvisi. Bhattakārako ‘‘amhākaṃ kapoto aññampi gahetvā āgato’’ti kākassapi pacchiṃ ṭhapesi. Tato paṭṭhāya dve janā vasanti.
อเถกทิวสํ เสฎฺฐิสฺส พหุํ มจฺฉมํสํ อาหริํสุฯ ตํ อาทาย ภตฺตการโก มหานเส ตตฺถ ตตฺถ โอลเมฺพสิฯ กาโก ตํ ทิสฺวา โลภํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘เสฺว โคจรภูมิํ อคนฺตฺวา มยา อิทเมว ขาทิตพฺพ’’นฺติ รตฺติํ นิตฺถุนโนฺต นิปชฺชิฯ ปุนทิวเส โพธิสโตฺต โคจราย คจฺฉโนฺต ‘‘เอหิ, สมฺม, กากา’’ติ อาหฯ ‘‘สามิ, ตุเมฺห คจฺฉถ, มยฺหํ กุจฺฉิโรโค อตฺถี’’ติฯ ‘‘สมฺม, กากานํ กุจฺฉิโรโค นาม น กทาจิ ภูตปุโพฺพ, รตฺติํ ตีสุ ยาเมสุ เอเกกสฺมิํ ยาเม มุจฺฉิตา โหนฺติ, ทีปวฎฺฎิํ คิลิตกาเล ปน เนสํ มุหุตฺตํ ติตฺติ โหติ, ตฺวํ อิมํ มจฺฉมํสํ ขาทิตุกาโม ภวิสฺสสิ, เอหิ มนุสฺสปริโภโค นาม ตุมฺหากํ ทุปฺปริภุญฺชิโย, มา เอวรูปํ อกาสิ, มยา สทฺธิํเยว โคจราย คจฺฉาหี’’ติฯ ‘‘น สโกฺกมิ, สามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ ปญฺญายิสฺสสิ สเกน กเมฺมน, โลภวสํ อคนฺตฺวา อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ ตํ โอวทิตฺวา โพธิสโตฺต โคจราย คโตฯ
Athekadivasaṃ seṭṭhissa bahuṃ macchamaṃsaṃ āhariṃsu. Taṃ ādāya bhattakārako mahānase tattha tattha olambesi. Kāko taṃ disvā lobhaṃ uppādetvā ‘‘sve gocarabhūmiṃ agantvā mayā idameva khāditabba’’nti rattiṃ nitthunanto nipajji. Punadivase bodhisatto gocarāya gacchanto ‘‘ehi, samma, kākā’’ti āha. ‘‘Sāmi, tumhe gacchatha, mayhaṃ kucchirogo atthī’’ti. ‘‘Samma, kākānaṃ kucchirogo nāma na kadāci bhūtapubbo, rattiṃ tīsu yāmesu ekekasmiṃ yāme mucchitā honti, dīpavaṭṭiṃ gilitakāle pana nesaṃ muhuttaṃ titti hoti, tvaṃ imaṃ macchamaṃsaṃ khāditukāmo bhavissasi, ehi manussaparibhogo nāma tumhākaṃ dupparibhuñjiyo, mā evarūpaṃ akāsi, mayā saddhiṃyeva gocarāya gacchāhī’’ti. ‘‘Na sakkomi, sāmī’’ti. ‘‘Tena hi paññāyissasi sakena kammena, lobhavasaṃ agantvā appamatto hohī’’ti taṃ ovaditvā bodhisatto gocarāya gato.
ภตฺตการโก นานปฺปการํ มจฺฉมํสวิกติํ สมฺปาเทตฺวา อุสุมนิกฺขมนตฺถํ ภาชนานิ โถกํ วิวริตฺวา รสปริสฺสาวนกโรฎิํ ภาชนมตฺถเก ฐเปตฺวา พหิ นิกฺขมิตฺวา เสทํ ปุญฺฉมาโน อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ กาโก ปจฺฉิโต สีสํ อุกฺขิปิตฺวา ภตฺตเคหํ โอโลเกโนฺต ตสฺส นิกฺขนฺตภาวํ ญตฺวา ‘‘อยํทานิ มยฺหํ มโนรถํ ปูเรตฺวา มํสํ ขาทิตุํ กาโล, กิํ นุ โข มหามํสํ ขาทามิ, อุทาหุ จุณฺณิกมํส’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘จุณฺณิกมํเสน นาม ขิปฺปํ กุจฺฉิํ ปูเรตุํ น สกฺกา, มหนฺตํ มํสขณฺฑํ อาหริตฺวา ปจฺฉิยํ นิกฺขิปิตฺวา ขาทมาโน นิปชฺชิสฺสามี’’ติ ปจฺฉิโต อุปฺปติตฺวา รสกโรฎิยํ นิลียิฯ สา ‘‘กิรี’’ติ สทฺทมกาสิฯ ภตฺตการโก ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิํ นุ โข เอต’’นฺติ ปวิโฎฺฐ กากํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ทุฎฺฐกาโก มหาเสฎฺฐิโน ปกฺกมํสํ ขาทิตุกาโม, อหํ โข ปน เสฎฺฐิํ นิสฺสาย ชีวามิ, น อิมํ พาลํ, กิํ เม อิมินา’’ติ ทฺวารํ ปิธาย กากํ คเหตฺวา สกลสรีเร ปตฺตานิ ลุญฺจิตฺวา อลฺลสิงฺคีเวรโลณชีรกาทโย โกเฎฺฎตฺวา อมฺพิลตเกฺกน อาโลเฬตฺวา เตนสฺส สกลสรีรํ มเกฺขตฺวา ตํ กากํ ปจฺฉิยํ ขิปิฯ โส อธิมตฺตเวทนาภิภูโต นิตฺถุนโนฺต นิปชฺชิฯ
Bhattakārako nānappakāraṃ macchamaṃsavikatiṃ sampādetvā usumanikkhamanatthaṃ bhājanāni thokaṃ vivaritvā rasaparissāvanakaroṭiṃ bhājanamatthake ṭhapetvā bahi nikkhamitvā sedaṃ puñchamāno aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe kāko pacchito sīsaṃ ukkhipitvā bhattagehaṃ olokento tassa nikkhantabhāvaṃ ñatvā ‘‘ayaṃdāni mayhaṃ manorathaṃ pūretvā maṃsaṃ khādituṃ kālo, kiṃ nu kho mahāmaṃsaṃ khādāmi, udāhu cuṇṇikamaṃsa’’nti cintetvā ‘‘cuṇṇikamaṃsena nāma khippaṃ kucchiṃ pūretuṃ na sakkā, mahantaṃ maṃsakhaṇḍaṃ āharitvā pacchiyaṃ nikkhipitvā khādamāno nipajjissāmī’’ti pacchito uppatitvā rasakaroṭiyaṃ nilīyi. Sā ‘‘kirī’’ti saddamakāsi. Bhattakārako taṃ saddaṃ sutvā ‘‘kiṃ nu kho eta’’nti paviṭṭho kākaṃ disvā ‘‘ayaṃ duṭṭhakāko mahāseṭṭhino pakkamaṃsaṃ khāditukāmo, ahaṃ kho pana seṭṭhiṃ nissāya jīvāmi, na imaṃ bālaṃ, kiṃ me iminā’’ti dvāraṃ pidhāya kākaṃ gahetvā sakalasarīre pattāni luñcitvā allasiṅgīveraloṇajīrakādayo koṭṭetvā ambilatakkena āloḷetvā tenassa sakalasarīraṃ makkhetvā taṃ kākaṃ pacchiyaṃ khipi. So adhimattavedanābhibhūto nitthunanto nipajji.
โพธิสโตฺต สายํ อาคนฺตฺวา ตํ พฺยสนปฺปตฺตํ ทิสฺวา ‘‘โลลกาก, มม วจนํ อกตฺวา ตว โลภํ นิสฺสาย มหาทุกฺขํ ปโตฺตสี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –
Bodhisatto sāyaṃ āgantvā taṃ byasanappattaṃ disvā ‘‘lolakāka, mama vacanaṃ akatvā tava lobhaṃ nissāya mahādukkhaṃ pattosī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –
๔๒.
42.
‘‘โย อตฺถกามสฺส หิตานุกมฺปิโน, โอวชฺชมาโน น กโรติ สาสนํ;
‘‘Yo atthakāmassa hitānukampino, ovajjamāno na karoti sāsanaṃ;
กโปตกสฺส วจนํ อกตฺวา, อมิตฺตหตฺถตฺถคโตว เสตี’’ติฯ
Kapotakassa vacanaṃ akatvā, amittahatthatthagatova setī’’ti.
ตตฺถ กโปตกสฺส วจนํ อกตฺวาติ ปาราวตสฺส หิตานุสาสนวจนํ อกตฺวาฯ อมิตฺตหตฺถตฺถคโตว เสตีติ อมิตฺตานํ อนตฺถการกานํ ทุกฺขุปฺปาทกปุคฺคลานํ หตฺถตฺถํ หตฺถปถํ คโต อยํ กาโก วิย โส ปุคฺคโล มหนฺตํ พฺยสนํ ปตฺวา อนุโสจมาโน เสตีติฯ
Tattha kapotakassa vacanaṃ akatvāti pārāvatassa hitānusāsanavacanaṃ akatvā. Amittahatthatthagatova setīti amittānaṃ anatthakārakānaṃ dukkhuppādakapuggalānaṃ hatthatthaṃ hatthapathaṃ gato ayaṃ kāko viya so puggalo mahantaṃ byasanaṃ patvā anusocamāno setīti.
โพธิสโตฺต อิมํ คาถํ วตฺวา ‘‘อิทานิ มยา จ อิมสฺมิํ ฐาเน น สกฺกา วสิตุ’’นฺติ อญฺญตฺถ คโตฯ กาโกปิ ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปโตฺตฯ อถ นํ ภตฺตการโก สทฺธิํ ปจฺฉิยา คเหตฺวา สงฺการฎฺฐาเน ฉเฑฺฑสิฯ
Bodhisatto imaṃ gāthaṃ vatvā ‘‘idāni mayā ca imasmiṃ ṭhāne na sakkā vasitu’’nti aññattha gato. Kākopi tattheva jīvitakkhayaṃ patto. Atha naṃ bhattakārako saddhiṃ pacchiyā gahetvā saṅkāraṭṭhāne chaḍḍesi.
สตฺถาปิ ‘‘น ตฺวํ ภิกฺขุ อิทาเนว โลโล, ปุเพฺพปิ โลโลเยว, ตญฺจ ปน เต โลลฺยํ นิสฺสาย ปณฺฑิตาปิ สกาวาสา ปริหีนา’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ อนาคามิผลํ ปโตฺตฯ สตฺถา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา กาโก โลลภิกฺขุ อโหสิ, ปาราวโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthāpi ‘‘na tvaṃ bhikkhu idāneva lolo, pubbepi loloyeva, tañca pana te lolyaṃ nissāya paṇḍitāpi sakāvāsā parihīnā’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne so bhikkhu anāgāmiphalaṃ patto. Satthā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kāko lolabhikkhu ahosi, pārāvato pana ahameva ahosi’’nti.
กโปตชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Kapotajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๒. กโปตชาตกํ • 42. Kapotajātakaṃ