Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā |
กปฺปิยภูมิอนุชานนกถา
Kappiyabhūmianujānanakathā
๒๙๕. สกฎปริวฎฺฎนฺติ สกเฎหิ ปริเกฺขปํ วิย กตฺวา อจฺฉนฺติฯ ปจฺจนฺติมนฺติ อภิลาปมตฺตเมตํ ‘‘ยํ สโงฺฆ อากงฺขตี’’ติ วุตฺตตฺตา ปน ธุรวิหาโรปิ สมฺมนฺนิตุํ วฎฺฎติ, กมฺมวาจํ อวตฺวา อปโลกเนนาปิ วฎฺฎติเยวฯ กาโกรวสทฺทนฺติ ตตฺถ ตตฺถ ปวิฎฺฐานํ อามิสขาทนตฺถาย อนุปฺปเคเยว สนฺนิปติตานํ กากานํ โอรวสทฺทํฯ ยโสโช นาม กปิลสุตฺตปริโยสาเน ปพฺพชิตานํ ปญฺจนฺนํ สตานํ อคฺคปุริโสฯ
295.Sakaṭaparivaṭṭanti sakaṭehi parikkhepaṃ viya katvā acchanti. Paccantimanti abhilāpamattametaṃ ‘‘yaṃ saṅgho ākaṅkhatī’’ti vuttattā pana dhuravihāropi sammannituṃ vaṭṭati, kammavācaṃ avatvā apalokanenāpi vaṭṭatiyeva. Kākoravasaddanti tattha tattha paviṭṭhānaṃ āmisakhādanatthāya anuppageyeva sannipatitānaṃ kākānaṃ oravasaddaṃ. Yasojo nāma kapilasuttapariyosāne pabbajitānaṃ pañcannaṃ satānaṃ aggapuriso.
อุสฺสาวนนฺติกนฺติอาทีสุ อุสฺสาวนนฺติกา ตาว เอวํ กตฺตพฺพาฯ โย ถมฺภานํ วา อุปริ ภิตฺติปาเท วา นิขนิตฺวา วิหาโร กริยติ, ตสฺส เหฎฺฐา ถมฺภปฎิจฺฉกา ปาสาณา ภูมิคติกา เอวฯ ปฐมถมฺภํ ปน ปฐมภิตฺติปาทํ วา ปติฎฺฐาเปเนฺตหิ พหูหิ สมฺปริวาเรตฺวา ‘‘กปฺปิยกุฎิํ กโรม, กปฺปิยกุฎิํ กโรมา’’ติ วาจํ นิจฺฉาเรเนฺตหิ มนุเสฺสสุ อุกฺขิปิตฺวา ปติฎฺฐาเปเนฺตสุ อามสิตฺวา วา สยํ อุกฺขิปิตฺวา วา ถเมฺภ วา ภิตฺติปาโท วา ปติฎฺฐาเปตโพฺพฯ กุรุนฺทิมหาปจฺจรีสุ ปน ‘‘กปฺปิยกุฎิ กปฺปิยกุฎี’’ติ วตฺวา ปติฎฺฐาเปตพฺพนฺติ วุตฺตํฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ‘‘สงฺฆสฺส กปฺปิยกุฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติ วุตฺตํฯ ตํ ปน อวตฺวาปิ อฎฺฐกถาสุ วุตฺตนเยน วุเตฺต โทโส นตฺถิฯ อิทํ ปเนตฺถ สาธารณลกฺขณํ, ถมฺภปติฎฺฐานญฺจ วจนปริโยสานญฺจ สมกาลํ วฎฺฎติฯ สเจ หิ อนิฎฺฐิเต วจเน ถโมฺภ ปติฎฺฐาติ, อปฺปติฎฺฐิเต วา ตสฺมิํ วจนํ นิฎฺฐาติ, อกตา โหติ กปฺปิยกุฎิฯ เตเนว มหาปจฺจริยํ วุตฺตํ – ‘‘พหูหิ สมฺปริวาเรตฺวา วตฺตพฺพํ, อวสฺสญฺหิ เอตฺถ เอกสฺสปิ วจนนิฎฺฐานญฺจ ถมฺภปติฎฺฐานญฺจ เอกโต ภวิสฺสตี’’ติฯ
Ussāvanantikantiādīsu ussāvanantikā tāva evaṃ kattabbā. Yo thambhānaṃ vā upari bhittipāde vā nikhanitvā vihāro kariyati, tassa heṭṭhā thambhapaṭicchakā pāsāṇā bhūmigatikā eva. Paṭhamathambhaṃ pana paṭhamabhittipādaṃ vā patiṭṭhāpentehi bahūhi samparivāretvā ‘‘kappiyakuṭiṃ karoma, kappiyakuṭiṃ karomā’’ti vācaṃ nicchārentehi manussesu ukkhipitvā patiṭṭhāpentesu āmasitvā vā sayaṃ ukkhipitvā vā thambhe vā bhittipādo vā patiṭṭhāpetabbo. Kurundimahāpaccarīsu pana ‘‘kappiyakuṭi kappiyakuṭī’’ti vatvā patiṭṭhāpetabbanti vuttaṃ. Andhakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘saṅghassa kappiyakuṭiṃ adhiṭṭhāmī’’ti vuttaṃ. Taṃ pana avatvāpi aṭṭhakathāsu vuttanayena vutte doso natthi. Idaṃ panettha sādhāraṇalakkhaṇaṃ, thambhapatiṭṭhānañca vacanapariyosānañca samakālaṃ vaṭṭati. Sace hi aniṭṭhite vacane thambho patiṭṭhāti, appatiṭṭhite vā tasmiṃ vacanaṃ niṭṭhāti, akatā hoti kappiyakuṭi. Teneva mahāpaccariyaṃ vuttaṃ – ‘‘bahūhi samparivāretvā vattabbaṃ, avassañhi ettha ekassapi vacananiṭṭhānañca thambhapatiṭṭhānañca ekato bhavissatī’’ti.
อิฎฺฐกสิลามตฺติกากุฎฺฎิกาสุ ปน กุฎีสุ เหฎฺฐา จยํ พนฺธิตฺวา วา อพนฺธิตฺวา วา กโรนฺตุ, ยโต ปฎฺฐาย ภิตฺติํ อุฎฺฐาเปตุกามา โหนฺติ, ตํ สพฺพปฐมํ อิฎฺฐกํ วา สิลํ วา มตฺติกาปิณฺฑํ วา คเหตฺวา วุตฺตนเยเนว กปฺปิยกุฎิ กาตพฺพาฯ อิฎฺฐกาทโย หิ ภิตฺติยา ปฐมิฎฺฐกาทีนํ เหฎฺฐา น วฎฺฎนฺติ, ถมฺภา ปน อุปริ อุคฺคจฺฉนฺติ, ตสฺมา วฎฺฎนฺติฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ‘‘ถเมฺภหิ กริยมาเน จตูสุ โกเณสุ จตฺตาโร ถมฺภา อิฎฺฐกาทิกุเฎฺฎ จตูสุ โกเณสุ เทฺว ติโสฺส อิฎฺฐกา อธิฎฺฐาตพฺพา’’ติ วุตฺตํฯ ตถา ปน อกตายปิ โทโส นตฺถิ, อฎฺฐกถาสุ หิ วุตฺตเมว ปมาณํฯ
Iṭṭhakasilāmattikākuṭṭikāsu pana kuṭīsu heṭṭhā cayaṃ bandhitvā vā abandhitvā vā karontu, yato paṭṭhāya bhittiṃ uṭṭhāpetukāmā honti, taṃ sabbapaṭhamaṃ iṭṭhakaṃ vā silaṃ vā mattikāpiṇḍaṃ vā gahetvā vuttanayeneva kappiyakuṭi kātabbā. Iṭṭhakādayo hi bhittiyā paṭhamiṭṭhakādīnaṃ heṭṭhā na vaṭṭanti, thambhā pana upari uggacchanti, tasmā vaṭṭanti. Andhakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘thambhehi kariyamāne catūsu koṇesu cattāro thambhā iṭṭhakādikuṭṭe catūsu koṇesu dve tisso iṭṭhakā adhiṭṭhātabbā’’ti vuttaṃ. Tathā pana akatāyapi doso natthi, aṭṭhakathāsu hi vuttameva pamāṇaṃ.
โคนิสาทิกา ทุวิธา – อารามโคนิสาทิกา, วิหารโคนิสาทิกาติฯ ตาสุ ยตฺถ เนว อาราโม น เสนาสนานิ ปริกฺขิตฺตานิ โหนฺติ, อยํ ‘‘อารามโคนิสาทิกา’’ นามฯ ยตฺถ เสนาสนานิ สพฺพานิ วา เอกจฺจานิ วา ปริกฺขิตฺตานิ, อาราโม อปริกฺขิโตฺต, อยํ ‘‘วิหารโคนิสาทิกา’’ นามฯ อิติ อุภยตฺราปิ อารามสฺส อปริกฺขิตฺตภาโวเยว ปมาณํฯ อาราโม ปน อุปฑฺฒปริกฺขิโตฺตปิ พหุตรํ ปริกฺขิโตฺตปิ ปริกฺขิโตฺตเยว นามาติ กุรุนฺทิมหอาปจฺจริยาทีสุ วุตฺตํฯ เอตฺถ กปฺปิยกุฎิํ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ
Gonisādikā duvidhā – ārāmagonisādikā, vihāragonisādikāti. Tāsu yattha neva ārāmo na senāsanāni parikkhittāni honti, ayaṃ ‘‘ārāmagonisādikā’’ nāma. Yattha senāsanāni sabbāni vā ekaccāni vā parikkhittāni, ārāmo aparikkhitto, ayaṃ ‘‘vihāragonisādikā’’ nāma. Iti ubhayatrāpi ārāmassa aparikkhittabhāvoyeva pamāṇaṃ. Ārāmo pana upaḍḍhaparikkhittopi bahutaraṃ parikkhittopi parikkhittoyeva nāmāti kurundimahaāpaccariyādīsu vuttaṃ. Ettha kappiyakuṭiṃ laddhuṃ vaṭṭati.
คหปตีติ มนุสฺสา อาวาสํ กตฺวา ‘‘กปฺปิยกุฎิํ เทม, ปริภุญฺชถา’’ติ วทนฺติ, เอสา คหปติ นามฯ ‘‘กปฺปิยกุฎิํ กาตุํ เทมา’’ติ วุเตฺตปิ วฎฺฎติเยวฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ปน ‘‘ยสฺมา ภิกฺขุํ ฐเปตฺวา เสสสหธมฺมิกานํ สเพฺพสญฺจ เทวมนุสฺสานํ หตฺถโต ปฎิคฺคโห จ สนฺนิธิ จ อโนฺตวุตฺถญฺจ เตสํ สนฺตกํ ภิกฺขุสฺส วฎฺฎติ, ตสฺมา เตสํ เคหานิ วา เตหิ ทินฺนา กปฺปิยกุฎิ วา คหปตีติ วุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ ปุนปิ วุตฺตํ – ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส วิหารํ ฐเปตฺวา ภิกฺขุนุปสฺสโย วา อารามิกานํ วา ติตฺถิยานํ วา เทวตานํ วา นาคานํ วา อปิ พฺรหฺมานํ วิมานํ กปฺปิยกุฎิ โหตี’’ติ, ตํ สุวุตฺตํ; สงฺฆสนฺตกเมว หิ ภิกฺขุสนฺตกํ วา เคหํ คหปติกุฎิกา น โหติฯ สมฺมุติกา นาม กมฺมวาจํ สาเวตฺวา กตาติฯ
Gahapatīti manussā āvāsaṃ katvā ‘‘kappiyakuṭiṃ dema, paribhuñjathā’’ti vadanti, esā gahapati nāma. ‘‘Kappiyakuṭiṃ kātuṃ demā’’ti vuttepi vaṭṭatiyeva. Andhakaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘yasmā bhikkhuṃ ṭhapetvā sesasahadhammikānaṃ sabbesañca devamanussānaṃ hatthato paṭiggaho ca sannidhi ca antovutthañca tesaṃ santakaṃ bhikkhussa vaṭṭati, tasmā tesaṃ gehāni vā tehi dinnā kappiyakuṭi vā gahapatīti vuccatī’’ti vuttaṃ. Punapi vuttaṃ – ‘‘bhikkhusaṅghassa vihāraṃ ṭhapetvā bhikkhunupassayo vā ārāmikānaṃ vā titthiyānaṃ vā devatānaṃ vā nāgānaṃ vā api brahmānaṃ vimānaṃ kappiyakuṭi hotī’’ti, taṃ suvuttaṃ; saṅghasantakameva hi bhikkhusantakaṃ vā gehaṃ gahapatikuṭikā na hoti. Sammutikā nāma kammavācaṃ sāvetvā katāti.
ยํ อิมาสุ จตูสุ กปฺปิยภูมีสุ วุตฺถํ อามิสํ, ตํ สพฺพํ อโนฺตวุตฺถสงฺขฺยํ น คจฺฉติฯ ภิกฺขูนญฺจ ภิกฺขุนีนญฺจ อโนฺตวุตฺถอโนฺตปกฺกโมจนตฺถญฺหิ กปฺปิยกุฎิโย อนุญฺญาตาฯ ยํ ปน อกปฺปิยภูมิยํ สหเสยฺยปฺปโหนเก เคเห วุตฺถํ สงฺฆิกํ วา ปุคฺคลิกํ วา ภิกฺขุสฺส ภิกฺขุนิยา วา สนฺตกํ เอกรตฺตมฺปิ ฐปิตํ, ตํ อโนฺตวุตฺถํ; ตตฺถ ปกฺกญฺจ อโนฺตปกฺกํ นาม โหติ, เอตํ น กปฺปติฯ สตฺตาหกาลิกํ ปน ยาวชีวิกญฺจ วฎฺฎติฯ
Yaṃ imāsu catūsu kappiyabhūmīsu vutthaṃ āmisaṃ, taṃ sabbaṃ antovutthasaṅkhyaṃ na gacchati. Bhikkhūnañca bhikkhunīnañca antovutthaantopakkamocanatthañhi kappiyakuṭiyo anuññātā. Yaṃ pana akappiyabhūmiyaṃ sahaseyyappahonake gehe vutthaṃ saṅghikaṃ vā puggalikaṃ vā bhikkhussa bhikkhuniyā vā santakaṃ ekarattampi ṭhapitaṃ, taṃ antovutthaṃ; tattha pakkañca antopakkaṃ nāma hoti, etaṃ na kappati. Sattāhakālikaṃ pana yāvajīvikañca vaṭṭati.
ตตฺรายํ วินิจฺฉโย – สามเณโร ภิกฺขุสฺส ตณฺฑุลาทิกํ อามิสํ อาหริตฺวา กปฺปิยกุฎิยํ นิกฺขิปิตฺวา ปุนทิวเส ปจิตฺวา เทติ, อโนฺตวุตฺถํ น โหติฯ ตตฺถ อกปฺปิยกุฎิยํ นิกฺขิตฺตสปฺปิอาทีสุ ยํกิญฺจิ ปกฺขิปิตฺวา เทติ, มุขสนฺนิธิ นาม โหติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘อโนฺตวุตฺถํ โหตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ นามมตฺตเมว นานากรณํฯ ภิกฺขุ อกปฺปิยกุฎิยํ ฐปิตสปฺปิญฺจ ยาวชีวิกปณฺณญฺจ เอกโต ปจิตฺวา ปริภุญฺชติ, สตฺตาหํ นิรามิสํ วฎฺฎติฯ สเจ อามิสสํสฎฺฐํ กตฺวา ปริภุญฺชติ, อโนฺตวุตฺถเญฺจว สามํปากญฺจ โหติฯ เอเตนุปาเยน สพฺพสํสคฺคา เวทิตพฺพาฯ
Tatrāyaṃ vinicchayo – sāmaṇero bhikkhussa taṇḍulādikaṃ āmisaṃ āharitvā kappiyakuṭiyaṃ nikkhipitvā punadivase pacitvā deti, antovutthaṃ na hoti. Tattha akappiyakuṭiyaṃ nikkhittasappiādīsu yaṃkiñci pakkhipitvā deti, mukhasannidhi nāma hoti. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘antovutthaṃ hotī’’ti vuttaṃ. Tattha nāmamattameva nānākaraṇaṃ. Bhikkhu akappiyakuṭiyaṃ ṭhapitasappiñca yāvajīvikapaṇṇañca ekato pacitvā paribhuñjati, sattāhaṃ nirāmisaṃ vaṭṭati. Sace āmisasaṃsaṭṭhaṃ katvā paribhuñjati, antovutthañceva sāmaṃpākañca hoti. Etenupāyena sabbasaṃsaggā veditabbā.
อิมา ปน กปฺปิยกุฎิโย กทา ชหิตวตฺถุกา โหนฺติ? อุสฺสาวนนฺติกา ตาว ยา ถมฺภานํ อุปริ ภิตฺติปาเท วา นิขณิตฺวา กตา, สา สเพฺพสุ ถเมฺภสุ จ ภิตฺติปาเทสุ จ อปนีเตสุ ชหิตวตฺถุกา โหติฯ สเจ ปน ถเมฺภ วา ภิตฺติปาเท วา ปริวเตฺตนฺติ, โย โย ฐิโต ตตฺถ ตตฺถ ปติฎฺฐาติ, สเพฺพสุปิ ปริวตฺติเตสุ อชหิตวตฺถุกาว โหติฯ อิฎฺฐกาทีหิ กตา จยสฺส อุปริ ภิตฺติอตฺถาย ฐปิตํ อิฎฺฐกํ วา สิลํ วา มตฺติกาปิณฺฑํ วา อาทิํกตฺวา วินาสิตกาเล ชหิตวตฺถุกา โหติฯ เยหิ ปน อิฎฺฐกาทีหิ อธิฎฺฐิตา, เตสุ อปนีเตสุปิ ตทญฺญาสุ ปติฎฺฐิตาสุ อชหิตวตฺถุกาว โหติฯ
Imā pana kappiyakuṭiyo kadā jahitavatthukā honti? Ussāvanantikā tāva yā thambhānaṃ upari bhittipāde vā nikhaṇitvā katā, sā sabbesu thambhesu ca bhittipādesu ca apanītesu jahitavatthukā hoti. Sace pana thambhe vā bhittipāde vā parivattenti, yo yo ṭhito tattha tattha patiṭṭhāti, sabbesupi parivattitesu ajahitavatthukāva hoti. Iṭṭhakādīhi katā cayassa upari bhittiatthāya ṭhapitaṃ iṭṭhakaṃ vā silaṃ vā mattikāpiṇḍaṃ vā ādiṃkatvā vināsitakāle jahitavatthukā hoti. Yehi pana iṭṭhakādīhi adhiṭṭhitā, tesu apanītesupi tadaññāsu patiṭṭhitāsu ajahitavatthukāva hoti.
โคนิสาทิกา ปาการาทีหิ ปริเกฺขเป กเต ชหิตวตฺถุกา โหติฯ ปุน ตสฺมิํ อาราเม กปฺปิยกุฎิ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน ปุนปิ ปาการาทโย ตตฺถ ตตฺถ ขณฺฑา โหนฺติ, ตโต ตโต คาโว ปวิสนฺติ, ปุน กปฺปิยกุฎิ โหติฯ อิตรา ปน เทฺว โคปานสีมตฺตํ ฐเปตฺวา สพฺพสฺมิํ ฉทเน วินเฎฺฐ ชหิตวตฺถุกา โหนฺติฯ สเจ โคปานสีนํ อุปริ เอกมฺปิ ปกฺขปาสกมณฺฑลํ อตฺถิ, รกฺขติฯ
Gonisādikā pākārādīhi parikkhepe kate jahitavatthukā hoti. Puna tasmiṃ ārāme kappiyakuṭi laddhuṃ vaṭṭati. Sace pana punapi pākārādayo tattha tattha khaṇḍā honti, tato tato gāvo pavisanti, puna kappiyakuṭi hoti. Itarā pana dve gopānasīmattaṃ ṭhapetvā sabbasmiṃ chadane vinaṭṭhe jahitavatthukā honti. Sace gopānasīnaṃ upari ekampi pakkhapāsakamaṇḍalaṃ atthi, rakkhati.
ยตฺร ปนิมา จตโสฺสปิ กปฺปิยภูมิโย นตฺถิ, ตตฺถ กิํ กาตพฺพํ? อนุปสมฺปนฺนสฺส ทตฺวา ตสฺส สนฺตกํ กตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – กรวิกติสฺสเตฺถโร กิร วินยธรปาโมโกฺข มหาสีวเตฺถรสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ โส ทีปาโลเกน สปฺปิกุมฺภํ ปสฺสิตฺวา ‘‘ภเนฺต กิเมต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ เถโร ‘‘อาวุโส คามโต สปฺปิกุโมฺภ อาภโต, ลูขทิวเส สปฺปินา ภุญฺชนตฺถายา’’ติ อาหฯ ตโต นํ ติสฺสเตฺถโร ‘‘น วฎฺฎติ ภเนฺต’’ติ อาหฯ เถโร ปุนทิวเส ปมุเข นิกฺขิปาเปสิฯ ติสฺสเตฺถโร ปุน เอกทิวเส อาคโต ตํ ทิสฺวา ตเถว ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ภเนฺต สหเสยฺยปฺปโหนกฎฺฐาเน ฐเปตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ เถโร ปุนทิวเส พหิ นีหราเปตฺวา นิกฺขิปาเปสิ, ตํ โจรา หริํสุฯ โส ปุน เอกทิวสํ อาคตํ ติสฺสเตฺถรํ อาห – ‘‘อาวุโส ตยา ‘น วฎฺฎตี’ติ วุโตฺต โส กุโมฺภ พหิ นิกฺขิโตฺต โจเรหิ อวหโต’’ติฯ ตโต นํ ติสฺสเตฺถโร อาห – ‘‘นนุ ภเนฺต อนุปสมฺปนฺนสฺส ทาตโพฺพ อสฺส, อนุปสมฺปนฺนสฺส หิ ทตฺวา ตสฺส สนฺตกํ กตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ
Yatra panimā catassopi kappiyabhūmiyo natthi, tattha kiṃ kātabbaṃ? Anupasampannassa datvā tassa santakaṃ katvā paribhuñjitabbaṃ. Tatridaṃ vatthu – karavikatissatthero kira vinayadharapāmokkho mahāsīvattherassa santikaṃ agamāsi. So dīpālokena sappikumbhaṃ passitvā ‘‘bhante kimeta’’nti pucchi. Thero ‘‘āvuso gāmato sappikumbho ābhato, lūkhadivase sappinā bhuñjanatthāyā’’ti āha. Tato naṃ tissatthero ‘‘na vaṭṭati bhante’’ti āha. Thero punadivase pamukhe nikkhipāpesi. Tissatthero puna ekadivase āgato taṃ disvā tatheva pucchitvā ‘‘bhante sahaseyyappahonakaṭṭhāne ṭhapetuṃ na vaṭṭatī’’ti āha. Thero punadivase bahi nīharāpetvā nikkhipāpesi, taṃ corā hariṃsu. So puna ekadivasaṃ āgataṃ tissattheraṃ āha – ‘‘āvuso tayā ‘na vaṭṭatī’ti vutto so kumbho bahi nikkhitto corehi avahato’’ti. Tato naṃ tissatthero āha – ‘‘nanu bhante anupasampannassa dātabbo assa, anupasampannassa hi datvā tassa santakaṃ katvā paribhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti.
๒๙๖-๙. เมณฺฑกวตฺถุ อุตฺตานเมวฯ อปิ เจตฺถ อนุชานามิ ภิกฺขเว ปญฺจ โครเสติ อิเม ปญฺจ โครเส วิสุํ ปริโภเคน ปริภุญฺชิตุมฺปิ อนุชานามีติ อโตฺถฯ ปาเถยฺยํ ปริเยสิตุนฺติ เอตฺถ สเจ เกจิ สยเมว ญตฺวา เทนฺติ, อิเจฺจตํ กุสลํ; โน เจ เทนฺติ, ญาติปวาริตฎฺฐานโต วา ภิกฺขาจารวเตฺตน วา ปริเยสิตพฺพํฯ ตถา อลภเนฺตน อญฺญาติกอปวาริตฎฺฐานโต ยาจิตฺวาปิ คเหตพฺพํฯ เอกทิวเสน คมนีเย มเคฺค เอกภตฺตตฺถาย ปริเยสิตพฺพํฯ ทีเฆ อทฺธาเน ยตฺตเกน กนฺตารํ นิตฺถรติ, ตตฺตกํ ปริเยสิตพฺพํฯ
296-9. Meṇḍakavatthu uttānameva. Api cettha anujānāmi bhikkhave pañca goraseti ime pañca gorase visuṃ paribhogena paribhuñjitumpi anujānāmīti attho. Pātheyyaṃ pariyesitunti ettha sace keci sayameva ñatvā denti, iccetaṃ kusalaṃ; no ce denti, ñātipavāritaṭṭhānato vā bhikkhācāravattena vā pariyesitabbaṃ. Tathā alabhantena aññātikaapavāritaṭṭhānato yācitvāpi gahetabbaṃ. Ekadivasena gamanīye magge ekabhattatthāya pariyesitabbaṃ. Dīghe addhāne yattakena kantāraṃ nittharati, tattakaṃ pariyesitabbaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi
๑๗๙. กปฺปิยภูมิอนุชานนา • 179. Kappiyabhūmianujānanā
๑๘๐. เมณฺฑกคหปติวตฺถุ • 180. Meṇḍakagahapativatthu
๑๘๑. ปญฺจโครสาทิอนุชานนา • 181. Pañcagorasādianujānanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / กปฺปิยภูมิอนุชานนกถาวณฺณนา • Kappiyabhūmianujānanakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / กปฺปิยภูมิอนุชานนกถาวณฺณนา • Kappiyabhūmianujānanakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / กปฺปิยภูมิอนุชานนกถาวณฺณนา • Kappiyabhūmianujānanakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi
๑๗๙. กปฺปิยภูมิอนุชานนกถา • 179. Kappiyabhūmianujānanakathā
๑๘๐. เมณฺฑกคหปติวตฺถุกถา • 180. Meṇḍakagahapativatthukathā