Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā

    ๑๙. กปฺปิยภูมิวินิจฺฉยกถา

    19. Kappiyabhūmivinicchayakathā

    ๑๐๑. กปฺปิยาจตุภูมิโยติ เอตฺถ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, จตโสฺส กปฺปิยภูมิโย อุสฺสาวนนฺติกํ โคนิสาทิกํ คหปติํ สมฺมุติ’’นฺติ (มหาว. ๒๙๕) วจนโต อุสฺสาวนนฺติกา โคนิสาทิกา คหปติ สมฺมุตีติ อิมา จตโสฺส กปฺปิยภูมิโย เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๙๕) อุสฺสาวนนฺติกา ตาว เอวํ กาตพฺพา – โย ถมฺภานํ วา อุปริ ภิตฺติปาเท วา นิขนิตฺวา วิหาโร กรียติ, ตสฺส เหฎฺฐา ถมฺภปฎิจฺฉกา ปาสาณา ภูมิคติกา เอวฯ ปฐมตฺถมฺภํ ปน ปฐมภิตฺติปาทํ วา ปติฎฺฐาเปเนฺตหิ พหูหิ สมฺปริวาเรตฺวา ‘‘กปฺปิยกุฎิํ กโรม, กปฺปิยกุฎิํ กโรมา’’ติ วาจํ นิจฺฉาเรเนฺตหิ มนุเสฺสสุ อุกฺขิปิตฺวา ปติฎฺฐาเปเนฺตสุ อามสิตฺวา วา สยํ อุกฺขิปิตฺวา วา ถโมฺภ วา ภิตฺติปาโท วา ปติฎฺฐาเปตโพฺพฯ กุรุนฺทิมหาปจฺจรีสุ ปน ‘‘กปฺปิยกุฎิ กปฺปิยกุฎีติ วตฺวา ปติฎฺฐาเปตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ‘‘สงฺฆสฺส กปฺปิยกุฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติ วุตฺตํ, ตํ ปน อวตฺวาปิ อฎฺฐกถาสุ วุตฺตนเยน วุเตฺต โทโส นตฺถิฯ อิทํ ปเนตฺถ สาธารณลกฺขณํ ‘‘ถมฺภปติฎฺฐาปนญฺจ วจนปริโยสานญฺจ สมกาลํ วฎฺฎตี’’ติฯ สเจ หิ อนิฎฺฐิเต วจเน ถโมฺภ ปติฎฺฐาติ, อปฺปติฎฺฐิเต วา ตสฺมิํ วจนํ นิฎฺฐาติ, อกตา โหติ กปฺปิยกุฎิฯ เตเนว มหาปจฺจริยํ วุตฺตํ ‘‘พหูหิ สมฺปริวาเรตฺวา วตฺตพฺพํ, อวสฺสญฺหิ เอตฺถ เอกสฺสปิ วจนนิฎฺฐานญฺจ ถมฺภปติฎฺฐานญฺจ เอกโต ภวิสฺสตี’’ติฯ อิฎฺฐกาสิลามตฺติกากุฎฺฎกาสุ ปน กุฎีสุ เหฎฺฐา จยํ พนฺธิตฺวา วา อพนฺธิตฺวา วา กโรนฺตุ, ยโต ปฎฺฐาย ภิตฺติํ อุฎฺฐาเปตุกามา โหนฺติ, ตํ สพฺพปฐมํ อิฎฺฐกํ วา สิลํ วา มตฺติกาปิณฺฑํ วา คเหตฺวา วุตฺตนเยเนว กปฺปิยกุฎิ กาตพฺพา, อิฎฺฐกาทโย ภิตฺติยํ ปฐมิฎฺฐกาทีนํ เหฎฺฐา น วฎฺฎนฺติ, ถมฺภา ปน อุปริ อุคฺคจฺฉนฺติ, ตสฺมา วฎฺฎนฺติฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ‘‘ถเมฺภหิ กริยมาเน จตูสุ โกเณสุ จตฺตาโร ถมฺภา, อิฎฺฐกาทิกุเฎฺฎ จตูสุ โกเณสุ เทฺว ติโสฺส อิฎฺฐกา อธิฎฺฐาตพฺพา’’ติ วุตฺตํฯ ตถา ปน อกตายปิ โทโส นตฺถิ, อฎฺฐกถาสุ หิ วุตฺตเมว ปมาณํฯ

    101.Kappiyācatubhūmiyoti ettha ‘‘anujānāmi, bhikkhave, catasso kappiyabhūmiyo ussāvanantikaṃ gonisādikaṃ gahapatiṃ sammuti’’nti (mahāva. 295) vacanato ussāvanantikā gonisādikā gahapati sammutīti imā catasso kappiyabhūmiyo veditabbā. Tattha (mahāva. aṭṭha. 295) ussāvanantikā tāva evaṃ kātabbā – yo thambhānaṃ vā upari bhittipāde vā nikhanitvā vihāro karīyati, tassa heṭṭhā thambhapaṭicchakā pāsāṇā bhūmigatikā eva. Paṭhamatthambhaṃ pana paṭhamabhittipādaṃ vā patiṭṭhāpentehi bahūhi samparivāretvā ‘‘kappiyakuṭiṃ karoma, kappiyakuṭiṃ karomā’’ti vācaṃ nicchārentehi manussesu ukkhipitvā patiṭṭhāpentesu āmasitvā vā sayaṃ ukkhipitvā vā thambho vā bhittipādo vā patiṭṭhāpetabbo. Kurundimahāpaccarīsu pana ‘‘kappiyakuṭi kappiyakuṭīti vatvā patiṭṭhāpetabba’’nti vuttaṃ. Andhakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘saṅghassa kappiyakuṭiṃ adhiṭṭhāmī’’ti vuttaṃ, taṃ pana avatvāpi aṭṭhakathāsu vuttanayena vutte doso natthi. Idaṃ panettha sādhāraṇalakkhaṇaṃ ‘‘thambhapatiṭṭhāpanañca vacanapariyosānañca samakālaṃ vaṭṭatī’’ti. Sace hi aniṭṭhite vacane thambho patiṭṭhāti, appatiṭṭhite vā tasmiṃ vacanaṃ niṭṭhāti, akatā hoti kappiyakuṭi. Teneva mahāpaccariyaṃ vuttaṃ ‘‘bahūhi samparivāretvā vattabbaṃ, avassañhi ettha ekassapi vacananiṭṭhānañca thambhapatiṭṭhānañca ekato bhavissatī’’ti. Iṭṭhakāsilāmattikākuṭṭakāsu pana kuṭīsu heṭṭhā cayaṃ bandhitvā vā abandhitvā vā karontu, yato paṭṭhāya bhittiṃ uṭṭhāpetukāmā honti, taṃ sabbapaṭhamaṃ iṭṭhakaṃ vā silaṃ vā mattikāpiṇḍaṃ vā gahetvā vuttanayeneva kappiyakuṭi kātabbā, iṭṭhakādayo bhittiyaṃ paṭhamiṭṭhakādīnaṃ heṭṭhā na vaṭṭanti, thambhā pana upari uggacchanti, tasmā vaṭṭanti. Andhakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘thambhehi kariyamāne catūsu koṇesu cattāro thambhā, iṭṭhakādikuṭṭe catūsu koṇesu dve tisso iṭṭhakā adhiṭṭhātabbā’’ti vuttaṃ. Tathā pana akatāyapi doso natthi, aṭṭhakathāsu hi vuttameva pamāṇaṃ.

    โคนิสาทิกา ทุวิธา อารามโคนิสาทิกา วิหารโคนิสาทิกาติฯ ตาสุ ยตฺถ เนว อาราโม, น เสนาสนานิ ปริกฺขิตฺตานิ โหนฺติ, อยํ อารามโคนิสาทิกา นามฯ ยตฺถ เสนาสนานิ สพฺพานิ วา เอกจฺจานิ วา ปริกฺขิตฺตานิ, อาราโม อปริกฺขิโตฺต, อยํ วิหารโคนิสาทิกา นามฯ อิติ อุภยตฺราปิ อารามสฺส อปริกฺขิตฺตภาโวเยว ปมาณํฯ ‘‘อาราโม ปน อุปฑฺฒปริกฺขิโตฺตปิ พหุตรํ ปริกฺขิโตฺตปิ ปริกฺขิโตฺตเยว นามา’’ติ กุรุนฺทิมหาปจฺจรีสุ วุตฺตํ, เอตฺถ กปฺปิยกุฎิํ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ

    Gonisādikā duvidhā ārāmagonisādikā vihāragonisādikāti. Tāsu yattha neva ārāmo, na senāsanāni parikkhittāni honti, ayaṃ ārāmagonisādikā nāma. Yattha senāsanāni sabbāni vā ekaccāni vā parikkhittāni, ārāmo aparikkhitto, ayaṃ vihāragonisādikā nāma. Iti ubhayatrāpi ārāmassa aparikkhittabhāvoyeva pamāṇaṃ. ‘‘Ārāmo pana upaḍḍhaparikkhittopi bahutaraṃ parikkhittopi parikkhittoyeva nāmā’’ti kurundimahāpaccarīsu vuttaṃ, ettha kappiyakuṭiṃ laddhuṃ vaṭṭati.

    คหปตีติ มนุสฺสา อาวาสํ กตฺวา ‘‘กปฺปิยกุฎิํ เทม, ปริภุญฺชถา’’ติ วทนฺติ, เอสา คหปติ นาม, ‘‘กปฺปิยกุฎิํ กาตุํ เทมา’’ติ วุเตฺตปิ วฎฺฎติเยวฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ปน ‘‘ยสฺมา ภิกฺขุํ ฐเปตฺวา เสสสหธมฺมิกานํ สเพฺพสญฺจ เทวมนุสฺสานํ หตฺถโต ปฎิคฺคโห จ สนฺนิธิ จ อโนฺตวุตฺถญฺจ เตสํ สนฺตกํ ภิกฺขุสฺส วฎฺฎติ, ตสฺมา เตสํ เคหานิ วา เตหิ ทินฺนกปฺปิยกุฎิ วา คหปตีติ วุจฺจตี’’ติ วุตฺตํ, ปุนปิ วุตฺตํ ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส วิหารํ ฐเปตฺวา ภิกฺขุนุปสฺสโย วา อารามิกานํ วา ติตฺถิยานํ วา เทวตานํ วา นาคานํ วา อปิ พฺรหฺมานํ วิมานํ กปฺปิยกุฎิ โหตี’’ติ, ตํ สุวุตฺตํฯ สงฺฆสนฺตกเมว หิ ภิกฺขุสนฺตกํ วา เคหํ คหปติกุฎิกา น โหติฯ

    Gahapatīti manussā āvāsaṃ katvā ‘‘kappiyakuṭiṃ dema, paribhuñjathā’’ti vadanti, esā gahapati nāma, ‘‘kappiyakuṭiṃ kātuṃ demā’’ti vuttepi vaṭṭatiyeva. Andhakaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘yasmā bhikkhuṃ ṭhapetvā sesasahadhammikānaṃ sabbesañca devamanussānaṃ hatthato paṭiggaho ca sannidhi ca antovutthañca tesaṃ santakaṃ bhikkhussa vaṭṭati, tasmā tesaṃ gehāni vā tehi dinnakappiyakuṭi vā gahapatīti vuccatī’’ti vuttaṃ, punapi vuttaṃ ‘‘bhikkhusaṅghassa vihāraṃ ṭhapetvā bhikkhunupassayo vā ārāmikānaṃ vā titthiyānaṃ vā devatānaṃ vā nāgānaṃ vā api brahmānaṃ vimānaṃ kappiyakuṭi hotī’’ti, taṃ suvuttaṃ. Saṅghasantakameva hi bhikkhusantakaṃ vā gehaṃ gahapatikuṭikā na hoti.

    สมฺมุติ นาม ญตฺติทุติยกมฺมวาจาย สาเวตฺวา สมฺมตาฯ เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, สมฺมนฺนิตพฺพา, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    Sammuti nāma ñattidutiyakammavācāya sāvetvā sammatā. Evañca pana, bhikkhave, sammannitabbā, byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ วิหารํ กปฺปิยภูมิํ สมฺมเนฺนยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Yadi saṅghassa pattakallaṃ saṅgho itthannāmaṃ vihāraṃ kappiyabhūmiṃ sammanneyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ วิหารํ กปฺปิยภูมิํ สมฺมนฺนติฯ ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส วิหารสฺส กปฺปิยภูมิยา สมฺมุติ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Saṅgho itthannāmaṃ vihāraṃ kappiyabhūmiṃ sammannati. Yassāyasmato khamati itthannāmassa vihārassa kappiyabhūmiyā sammuti, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘สมฺมโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม วิหาโร กปฺปิยภูมิ ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (มหาว. ๒๙๕)ฯ

    ‘‘Sammato saṅghena itthannāmo vihāro kappiyabhūmi khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (mahāva. 295).

    กมฺมวาจํ อวตฺวา อปโลกนกมฺมวเสน สาเวตฺวา กตาปิ สมฺมตา เอวฯ

    Kammavācaṃ avatvā apalokanakammavasena sāvetvā katāpi sammatā eva.

    ๑๐๒. ยํ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๙๕) อิมาสุ จตูสุ กปฺปิยภูมีสุ วุตฺตํ อามิสํ, ตํ สพฺพํ อโนฺตวุตฺถสงฺขฺยํ น คจฺฉติฯ ภิกฺขูนญฺจ ภิกฺขุนีนญฺจ อโนฺตวุตฺถอโนฺตปกฺกโมจนตฺถญฺหิ กปฺปิยกุฎิโย อนุญฺญาตาฯ ยํ ปน อกปฺปิยภูมิยํ สหเสยฺยปฺปโหนเก เคเห วุตฺตํ สงฺฆิกํ วา ปุคฺคลิกํ วา ภิกฺขุสฺส ภิกฺขุนิยา วา สนฺตกํ เอกรตฺตมฺปิ ฐปิตํ, ตํ อโนฺตวุตฺถํ, ตตฺถ ปกฺกญฺจ อโนฺตปกฺกํ นาม โหติ, เอตํ น กปฺปติฯ สตฺตาหกาลิกํ ปน ยาวชีวิกญฺจ วฎฺฎติฯ

    102. Yaṃ (mahāva. aṭṭha. 295) imāsu catūsu kappiyabhūmīsu vuttaṃ āmisaṃ, taṃ sabbaṃ antovutthasaṅkhyaṃ na gacchati. Bhikkhūnañca bhikkhunīnañca antovutthaantopakkamocanatthañhi kappiyakuṭiyo anuññātā. Yaṃ pana akappiyabhūmiyaṃ sahaseyyappahonake gehe vuttaṃ saṅghikaṃ vā puggalikaṃ vā bhikkhussa bhikkhuniyā vā santakaṃ ekarattampi ṭhapitaṃ, taṃ antovutthaṃ, tattha pakkañca antopakkaṃ nāma hoti, etaṃ na kappati. Sattāhakālikaṃ pana yāvajīvikañca vaṭṭati.

    ตตฺรายํ วินิจฺฉโย – สามเณโร ภิกฺขุสฺส ตณฺฑุลาทิกํ อามิสํ อาหริตฺวา กปฺปิยกุฎิยํ นิกฺขิปิตฺวา ปุนทิวเส ปจิตฺวา เทติ, อโนฺตวุตฺถํ น โหติฯ ตตฺถ อกปฺปิยกุฎิยํ นิกฺขิตฺตสปฺปิอาทีสุ กิญฺจิ ปกฺขิปิตฺวา เทติฯ มุขสนฺนิธิ นาม โหติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘อโนฺตวุตฺถํ โหตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ นามมตฺตเมว นานากรณํ, ภิกฺขุ อกปฺปิยกุฎิยํ ฐปิตสปฺปิญฺจ ยาวชีวิกปณฺณญฺจ เอกโต ปจิตฺวา ปริภุญฺชติ, สตฺตาหํ นิรามิสํ วฎฺฎติฯ สเจ อามิสสํสฎฺฐํ กตฺวา ปริภุญฺชติ, อโนฺตวุตฺถเญฺจว สามํปกฺกญฺจ โหติฯ เอเตนุปาเยน สพฺพสํสคฺคา เวทิตพฺพาฯ ยํ กิญฺจิ อามิสํ ภิกฺขุโน ปจิตุํ น วฎฺฎติฯ สเจปิสฺส อุณฺหยาคุยา สุลสิปณฺณานิ วา สิงฺคิเวรํ วา โลณํ วา ปกฺขิปนฺติ, ตมฺปิ จาเลตุํ น วฎฺฎติ, ‘‘ยาคุํ นิพฺพาเปมี’’ติ ปน จาเลตุํ วฎฺฎติฯ อุตฺตณฺฑุลภตฺตํ ลภิตฺวา ปิทหิตุํ น วฎฺฎติฯ สเจ ปน มนุสฺสา ปิทหิตฺวา เทนฺติ, วฎฺฎติฯ ‘‘ภตฺตํ มา นิพฺพายตู’’ติ ปิทหิตุํ วฎฺฎติ, ขีรตกฺกาทีสุ ปน สกิํ กุถิเตสุ อคฺคิํ กาตุํ วฎฺฎติ ปุนปากสฺส อนุญฺญาตตฺตาฯ

    Tatrāyaṃ vinicchayo – sāmaṇero bhikkhussa taṇḍulādikaṃ āmisaṃ āharitvā kappiyakuṭiyaṃ nikkhipitvā punadivase pacitvā deti, antovutthaṃ na hoti. Tattha akappiyakuṭiyaṃ nikkhittasappiādīsu kiñci pakkhipitvā deti. Mukhasannidhi nāma hoti. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘antovutthaṃ hotī’’ti vuttaṃ. Tattha nāmamattameva nānākaraṇaṃ, bhikkhu akappiyakuṭiyaṃ ṭhapitasappiñca yāvajīvikapaṇṇañca ekato pacitvā paribhuñjati, sattāhaṃ nirāmisaṃ vaṭṭati. Sace āmisasaṃsaṭṭhaṃ katvā paribhuñjati, antovutthañceva sāmaṃpakkañca hoti. Etenupāyena sabbasaṃsaggā veditabbā. Yaṃ kiñci āmisaṃ bhikkhuno pacituṃ na vaṭṭati. Sacepissa uṇhayāguyā sulasipaṇṇāni vā siṅgiveraṃ vā loṇaṃ vā pakkhipanti, tampi cāletuṃ na vaṭṭati, ‘‘yāguṃ nibbāpemī’’ti pana cāletuṃ vaṭṭati. Uttaṇḍulabhattaṃ labhitvā pidahituṃ na vaṭṭati. Sace pana manussā pidahitvā denti, vaṭṭati. ‘‘Bhattaṃ mā nibbāyatū’’ti pidahituṃ vaṭṭati, khīratakkādīsu pana sakiṃ kuthitesu aggiṃ kātuṃ vaṭṭati punapākassa anuññātattā.

    อิมา ปน กปฺปิยกุฎิโย กทา ชหิตวตฺถุกา โหนฺติ? อุสฺสาวนนฺติกา ตาว ยา ถมฺภานํ อุปริ ภิตฺติปาเท วา นิขนิตฺวา กตา, สา สเพฺพสุ ถเมฺภสุ จ ภิตฺติปาเทสุ จ อปนีเตสุ ชหิตวตฺถุกา โหติฯ สเจ ปน ถเมฺภ วา ภิตฺติปาเท วา ปริวเตฺตนฺติ, โย โย ฐิโต, ตตฺถ ตตฺถ ปติฎฺฐาติ, สเพฺพสุปิ ปริวตฺติเตสุ อชหิตวตฺถุกาว โหติฯ อิฎฺฐกาทีหิ กตา จยสฺส อุปริ ภิตฺติอตฺถาย ฐปิตํ อิฎฺฐกํ วา สิลํ วา มตฺติกาปิณฺฑํ วา อาทิํ กตฺวา วินาสิตกาเล ชหิตวตฺถุกาว โหติฯ เยหิ ปน อิฎฺฐกาทีหิ อธิฎฺฐิตา, เตสุ อปนีเตสุปิ ตทเญฺญสุ ปติฎฺฐาตีติ อชหิตวตฺถุกาว โหติฯ โคนิสาทิกา ปาการาทีหิ ปริเกฺขเป กเต ชหิตวตฺถุกาว โหติฯ ปุน ตสฺมิํ อาราเม กปฺปิยกุฎิํ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน ปุนปิ ปาการาทโย ตตฺถ ตตฺถ ขณฺฑา โหนฺติ, ตโต ตโต คาโว ปวิสนฺติ, ปุน กปฺปิยกุฎิ โหติฯ อิตรา ปน เทฺว โคปานสีมตฺตํ ฐเปตฺวา สพฺพสฺมิํ ฉทเน วินเฎฺฐ ชหิตวตฺถุกาว โหนฺติฯ สเจ โคปานสีนํ อุปริ เอกมฺปิ ปกฺขปาสกมณฺฑลํ อตฺถิ, รกฺขติฯ

    Imā pana kappiyakuṭiyo kadā jahitavatthukā honti? Ussāvanantikā tāva yā thambhānaṃ upari bhittipāde vā nikhanitvā katā, sā sabbesu thambhesu ca bhittipādesu ca apanītesu jahitavatthukā hoti. Sace pana thambhe vā bhittipāde vā parivattenti, yo yo ṭhito, tattha tattha patiṭṭhāti, sabbesupi parivattitesu ajahitavatthukāva hoti. Iṭṭhakādīhi katā cayassa upari bhittiatthāya ṭhapitaṃ iṭṭhakaṃ vā silaṃ vā mattikāpiṇḍaṃ vā ādiṃ katvā vināsitakāle jahitavatthukāva hoti. Yehi pana iṭṭhakādīhi adhiṭṭhitā, tesu apanītesupi tadaññesu patiṭṭhātīti ajahitavatthukāva hoti. Gonisādikā pākārādīhi parikkhepe kate jahitavatthukāva hoti. Puna tasmiṃ ārāme kappiyakuṭiṃ laddhuṃ vaṭṭati. Sace pana punapi pākārādayo tattha tattha khaṇḍā honti, tato tato gāvo pavisanti, puna kappiyakuṭi hoti. Itarā pana dve gopānasīmattaṃ ṭhapetvā sabbasmiṃ chadane vinaṭṭhe jahitavatthukāva honti. Sace gopānasīnaṃ upari ekampi pakkhapāsakamaṇḍalaṃ atthi, rakkhati.

    ๑๐๓. ยตฺร ปนิมา จตโสฺสปิ กปฺปิยภูมิโย นตฺถิ, ตตฺถ กิํ กาตพฺพนฺติ? อนุปสมฺปนฺนสฺส ทตฺวา ตสฺส สนฺตกํ กตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – กรวิกติสฺสเตฺถโร กิร วินยธรปาโมโกฺข มหาสีวเตฺถรสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ โส ทีปาโลเกน สปฺปิกุมฺภํ ปสฺสิตฺวา ‘‘ภเนฺต, กิเมต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ เถโร ‘‘อาวุโส, คามโต สปฺปิกุโมฺภ อาภโต ลูขทิวเส สปฺปินา ภุญฺชนตฺถายา’’ติ อาหฯ ตโต นํ ติสฺสเตฺถโร ‘‘น วฎฺฎติ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ เถโร ปุนทิวเส ปมุเข นิกฺขิปาเปสิฯ ติสฺสเตฺถโร ปุน เอกทิวสํ อาคโต ตํ ทิสฺวา ตเถว ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ภเนฺต, สหเสยฺยปฺปโหนกฎฺฐาเน ฐเปตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ เถโร ปุนทิวเส พหิ นีหราเปตฺวา นิกฺขิปาเปสิ, ตํ โจรา หริํสุฯ โส ปุน เอกทิวสํ อาคตํ ติสฺสเตฺถรมาห ‘‘อาวุโส, ตยา ‘น วฎฺฎตี’ติ วุเตฺต โส กุโมฺภ พหิ นิกฺขิโตฺต โจเรหิ หโฎ’’ติฯ ตโต นํ ติสฺสเตฺถโร อาห ‘‘นนุ, ภเนฺต, อนุปสมฺปนฺนสฺส ทาตโพฺพ อสฺส, อนุปสมฺปนฺนสฺส หิ ทตฺวา ตสฺส สนฺตกํ กตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ

    103. Yatra panimā catassopi kappiyabhūmiyo natthi, tattha kiṃ kātabbanti? Anupasampannassa datvā tassa santakaṃ katvā paribhuñjitabbaṃ. Tatridaṃ vatthu – karavikatissatthero kira vinayadharapāmokkho mahāsīvattherassa santikaṃ agamāsi. So dīpālokena sappikumbhaṃ passitvā ‘‘bhante, kimeta’’nti pucchi. Thero ‘‘āvuso, gāmato sappikumbho ābhato lūkhadivase sappinā bhuñjanatthāyā’’ti āha. Tato naṃ tissatthero ‘‘na vaṭṭati, bhante’’ti āha. Thero punadivase pamukhe nikkhipāpesi. Tissatthero puna ekadivasaṃ āgato taṃ disvā tatheva pucchitvā ‘‘bhante, sahaseyyappahonakaṭṭhāne ṭhapetuṃ na vaṭṭatī’’ti āha. Thero punadivase bahi nīharāpetvā nikkhipāpesi, taṃ corā hariṃsu. So puna ekadivasaṃ āgataṃ tissattheramāha ‘‘āvuso, tayā ‘na vaṭṭatī’ti vutte so kumbho bahi nikkhitto corehi haṭo’’ti. Tato naṃ tissatthero āha ‘‘nanu, bhante, anupasampannassa dātabbo assa, anupasampannassa hi datvā tassa santakaṃ katvā paribhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti.

    อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห

    Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe

    กปฺปิยภูมิวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ

    Kappiyabhūmivinicchayakathā samattā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact