Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๙. กรชกายสุตฺตํ
9. Karajakāyasuttaṃ
๒๑๙. ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, สเญฺจตนิกานํ กมฺมานํ กตานํ อุปจิตานํ อปฺปฎิสํเวทิตฺวา พฺยนฺตีภาวํ วทามิ, ตญฺจ โข ทิเฎฺฐว ธเมฺม อุปปเชฺช วา อปเร วา ปริยาเยฯ น เตฺววาหํ, ภิกฺขเว, สเญฺจตนิกานํ กมฺมานํ กตานํ อุปจิตานํ อปฺปฎิสํเวทิตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตกิริยํ วทามิฯ
219. ‘‘Nāhaṃ, bhikkhave, sañcetanikānaṃ kammānaṃ katānaṃ upacitānaṃ appaṭisaṃveditvā byantībhāvaṃ vadāmi, tañca kho diṭṭheva dhamme upapajje vā apare vā pariyāye. Na tvevāhaṃ, bhikkhave, sañcetanikānaṃ kammānaṃ katānaṃ upacitānaṃ appaṭisaṃveditvā dukkhassantakiriyaṃ vadāmi.
‘‘ส โข โส, ภิกฺขเว, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ ตถา ทุติยํ ตถา ตติยํ ตถา จตุตฺถํ 1ฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ
‘‘Sa kho so, bhikkhave, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati tathā dutiyaṃ tathā tatiyaṃ tathā catutthaṃ 2. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati.
‘‘โส เอวํ ปชานาติ – ‘ปุเพฺพ โข เม อิทํ จิตฺตํ ปริตฺตํ อโหสิ อภาวิตํ, เอตรหิ ปน เม อิทํ จิตฺตํ อปฺปมาณํ สุภาวิตํฯ ยํ โข ปน กิญฺจิ ปมาณกตํ กมฺมํ, น ตํ ตตฺราวสิสฺสติ น ตํ ตตฺราวติฎฺฐตี’ติ ฯ
‘‘So evaṃ pajānāti – ‘pubbe kho me idaṃ cittaṃ parittaṃ ahosi abhāvitaṃ, etarahi pana me idaṃ cittaṃ appamāṇaṃ subhāvitaṃ. Yaṃ kho pana kiñci pamāṇakataṃ kammaṃ, na taṃ tatrāvasissati na taṃ tatrāvatiṭṭhatī’ti .
‘‘อกโรนฺตํ โข ปน ปาปกมฺมํ อปิ นุ โข ทุกฺขํ ผุเสยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺตฯ อกโรนฺตญฺหิ, ภเนฺต, ปาปกมฺมํ กุโต ทุกฺขํ ผุสิสฺสตี’’ติ!
‘‘Akarontaṃ kho pana pāpakammaṃ api nu kho dukkhaṃ phuseyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante. Akarontañhi, bhante, pāpakammaṃ kuto dukkhaṃ phusissatī’’ti!
‘‘ภาเวตพฺพา โข ปนายํ, ภิกฺขเว, เมตฺตาเจโตวิมุตฺติ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วาฯ อิตฺถิยา วา, ภิกฺขเว, ปุริสสฺส วา นายํ กาโย อาทาย คมนีโยฯ จิตฺตนฺตโร อยํ, ภิกฺขเว , มโจฺจฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘ยํ โข เม อิทํ กิญฺจิ ปุเพฺพ อิมินา กรชกาเยน ปาปกมฺมํ กตํ, สพฺพํ ตํ อิธ เวทนียํ; น ตํ อนุคํ ภวิสฺสตี’ติฯ เอวํ ภาวิตา โข, ภิกฺขเว, เมตฺตา เจโตวิมุตฺติ อนาคามิตาย สํวตฺตติ, อิธ ปญฺญสฺส ภิกฺขุโน อุตฺตริ 7 วิมุตฺติํ อปฺปฎิวิชฺฌโตฯ
‘‘Bhāvetabbā kho panāyaṃ, bhikkhave, mettācetovimutti itthiyā vā purisena vā. Itthiyā vā, bhikkhave, purisassa vā nāyaṃ kāyo ādāya gamanīyo. Cittantaro ayaṃ, bhikkhave , macco. So evaṃ pajānāti – ‘yaṃ kho me idaṃ kiñci pubbe iminā karajakāyena pāpakammaṃ kataṃ, sabbaṃ taṃ idha vedanīyaṃ; na taṃ anugaṃ bhavissatī’ti. Evaṃ bhāvitā kho, bhikkhave, mettā cetovimutti anāgāmitāya saṃvattati, idha paññassa bhikkhuno uttari 8 vimuttiṃ appaṭivijjhato.
‘‘กรุณาสหคเตน เจตสา… มุทิตาสหคเตน เจตสา… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ ตถา ทุติยํ ตถา ตติยํ ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ
‘‘Karuṇāsahagatena cetasā… muditāsahagatena cetasā… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati tathā dutiyaṃ tathā tatiyaṃ tathā catutthaṃ. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati.
‘‘โส เอวํ ปชานาติ – ‘ปุเพฺพ โข เม อิทํ จิตฺตํ ปริตฺตํ อโหสิ อภาวิตํ, เอตรหิ ปน เม อิทํ จิตฺตํ อปฺปมาณํ สุภาวิตํฯ ยํ โข ปน กิญฺจิ ปมาณกตํ กมฺมํ , น ตํ ตตฺราวสิสฺสติ น ตํ ตตฺราวติฎฺฐตี’ติฯ
‘‘So evaṃ pajānāti – ‘pubbe kho me idaṃ cittaṃ parittaṃ ahosi abhāvitaṃ, etarahi pana me idaṃ cittaṃ appamāṇaṃ subhāvitaṃ. Yaṃ kho pana kiñci pamāṇakataṃ kammaṃ , na taṃ tatrāvasissati na taṃ tatrāvatiṭṭhatī’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, ทหรตเคฺค เจ โส อยํ กุมาโร อุเปกฺขํ เจโตวิมุตฺติํ ภาเวยฺย, อปิ นุ โข ปาปกมฺมํ กเรยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, daharatagge ce so ayaṃ kumāro upekkhaṃ cetovimuttiṃ bhāveyya, api nu kho pāpakammaṃ kareyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อกโรนฺตํ โข ปน ปาปกมฺมํ อปิ นุ โข ทุกฺขํ ผุเสยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺตฯ อกโรนฺตญฺหิ, ภเนฺต, ปาปกมฺมํ กุโต ทุกฺขํ ผุสิสฺสตี’’ติ!
‘‘Akarontaṃ kho pana pāpakammaṃ api nu kho dukkhaṃ phuseyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante. Akarontañhi, bhante, pāpakammaṃ kuto dukkhaṃ phusissatī’’ti!
‘‘ภาเวตพฺพา โข ปนายํ, ภิกฺขเว, อุเปกฺขา เจโตวิมุตฺติ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วาฯ อิตฺถิยา วา, ภิกฺขเว, ปุริสสฺส วา นายํ กาโย อาทาย คมนีโยฯ จิตฺตนฺตโร อยํ, ภิกฺขเว, มโจฺจฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘ยํ โข เม อิทํ กิญฺจิ ปุเพฺพ อิมินา กรชกาเยน ปาปกมฺมํ กตํ, สพฺพํ ตํ อิธ เวทนียํ; น ตํ อนุคํ ภวิสฺสตี’ติฯ เอวํ ภาวิตา โข, ภิกฺขเว, อุเปกฺขา เจโตวิมุตฺติ อนาคามิตาย สํวตฺตติ, อิธ ปญฺญสฺส ภิกฺขุโน อุตฺตริ วิมุตฺติํ อปฺปฎิวิชฺฌโต’’ติฯ นวมํฯ
‘‘Bhāvetabbā kho panāyaṃ, bhikkhave, upekkhā cetovimutti itthiyā vā purisena vā. Itthiyā vā, bhikkhave, purisassa vā nāyaṃ kāyo ādāya gamanīyo. Cittantaro ayaṃ, bhikkhave, macco. So evaṃ pajānāti – ‘yaṃ kho me idaṃ kiñci pubbe iminā karajakāyena pāpakammaṃ kataṃ, sabbaṃ taṃ idha vedanīyaṃ; na taṃ anugaṃ bhavissatī’ti. Evaṃ bhāvitā kho, bhikkhave, upekkhā cetovimutti anāgāmitāya saṃvattati, idha paññassa bhikkhuno uttari vimuttiṃ appaṭivijjhato’’ti. Navamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๙. กรชกายสุตฺตวณฺณนา • 9. Karajakāyasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑-๕๓๖. ปฐมนิรยสคฺคสุตฺตาทิวณฺณนา • 1-536. Paṭhamanirayasaggasuttādivaṇṇanā