Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya

    ๑๐. การณฺฑวสุตฺตํ

    10. Kāraṇḍavasuttaṃ

    ๑๐. เอกํ สมยํ ภควา จมฺปายํ วิหรติ คคฺคราย โปกฺขรณิยา ตีเรฯ เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู ภิกฺขุํ อาปตฺติยา โจเทนฺติฯ โส ภิกฺขุ ภิกฺขูหิ อาปตฺติยา โจทิยมาโน อเญฺญนาญฺญํ ปฎิจรติ, พหิทฺธา กถํ อปนาเมติ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตุกโรติฯ

    10. Ekaṃ samayaṃ bhagavā campāyaṃ viharati gaggarāya pokkharaṇiyā tīre. Tena kho pana samayena bhikkhū bhikkhuṃ āpattiyā codenti. So bhikkhu bhikkhūhi āpattiyā codiyamāno aññenāññaṃ paṭicarati, bahiddhā kathaṃ apanāmeti, kopañca dosañca appaccayañca pātukaroti.

    อถ โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘นิทฺธมเถตํ , ภิกฺขเว, ปุคฺคลํ; นิทฺธมเถตํ, ภิกฺขเว, ปุคฺคลํฯ อปเนเยฺยโส 1, ภิกฺขเว, ปุคฺคโลฯ กิํ โว เตน ปรปุเตฺตน วิโสธิเตน 2! อิธ , ภิกฺขเว, เอกจฺจสฺส ปุคฺคลสฺส ตาทิสํเยว โหติ อภิกฺกนฺตํ ปฎิกฺกนฺตํ อาโลกิตํ วิโลกิตํ สมิญฺชิตํ ปสาริตํ สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารณํ, เสยฺยถาปิ อเญฺญสํ ภทฺทกานํ ภิกฺขูนํ – ยาวสฺส ภิกฺขู อาปตฺติํ น ปสฺสนฺติฯ ยโต จ ขฺวสฺส ภิกฺขู อาปตฺติํ ปสฺสนฺติ, ตเมนํ เอวํ ชานนฺติ – ‘สมณทูสีวายํ 3 สมณปลาโป สมณการณฺฑโว’ติ 4ฯ ตเมนํ อิติ วิทิตฺวา พหิทฺธา นาเสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา อเญฺญ ภทฺทเก ภิกฺขู ทูเสสี’’ติ!

    Atha kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘niddhamathetaṃ , bhikkhave, puggalaṃ; niddhamathetaṃ, bhikkhave, puggalaṃ. Apaneyyeso 5, bhikkhave, puggalo. Kiṃ vo tena paraputtena visodhitena 6! Idha , bhikkhave, ekaccassa puggalassa tādisaṃyeva hoti abhikkantaṃ paṭikkantaṃ ālokitaṃ vilokitaṃ samiñjitaṃ pasāritaṃ saṅghāṭipattacīvaradhāraṇaṃ, seyyathāpi aññesaṃ bhaddakānaṃ bhikkhūnaṃ – yāvassa bhikkhū āpattiṃ na passanti. Yato ca khvassa bhikkhū āpattiṃ passanti, tamenaṃ evaṃ jānanti – ‘samaṇadūsīvāyaṃ 7 samaṇapalāpo samaṇakāraṇḍavo’ti 8. Tamenaṃ iti viditvā bahiddhā nāsenti. Taṃ kissa hetu? Mā aññe bhaddake bhikkhū dūsesī’’ti!

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, สมฺปเนฺน ยวกรเณ ยวทูสี 9 ชาเยถ ยวปลาโป ยวการณฺฑโวติฯ ตสฺส ตาทิสํเยว มูลํ โหติ, เสยฺยถาปิ อเญฺญสํ ภทฺทกานํ ยวานํ; ตาทิสํเยว นาฬํ โหติ, เสยฺยถาปิ อเญฺญสํ ภทฺทกานํ ยวานํ; ตาทิสํเยว ปตฺตํ โหติ, เสยฺยถาปิ อเญฺญสํ ภทฺทกานํ ยวานํ – ยาวสฺส สีสํ น นิพฺพตฺตติฯ ยโต จ ขฺวสฺส สีสํ นิพฺพตฺตติ, ตเมนํ เอวํ ชานนฺติ – ‘ยวทูสีวายํ ยวปลาโป ยวการณฺฑโว’ติ ฯ ตเมนํ อิติ วิทิตฺวา สมูลํ อุปฺปาเฎตฺวา พหิทฺธา ยวกรณสฺส ฉเฑฺฑนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา อเญฺญ ภทฺทเก ยเว ทูเสสีติ!

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, sampanne yavakaraṇe yavadūsī 10 jāyetha yavapalāpo yavakāraṇḍavoti. Tassa tādisaṃyeva mūlaṃ hoti, seyyathāpi aññesaṃ bhaddakānaṃ yavānaṃ; tādisaṃyeva nāḷaṃ hoti, seyyathāpi aññesaṃ bhaddakānaṃ yavānaṃ; tādisaṃyeva pattaṃ hoti, seyyathāpi aññesaṃ bhaddakānaṃ yavānaṃ – yāvassa sīsaṃ na nibbattati. Yato ca khvassa sīsaṃ nibbattati, tamenaṃ evaṃ jānanti – ‘yavadūsīvāyaṃ yavapalāpo yavakāraṇḍavo’ti . Tamenaṃ iti viditvā samūlaṃ uppāṭetvā bahiddhā yavakaraṇassa chaḍḍenti. Taṃ kissa hetu? Mā aññe bhaddake yave dūsesīti!

    ‘‘เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, อิเธกจฺจสฺส ปุคฺคลสฺส ตาทิสํเยว โหติ อภิกฺกนฺตํ ปฎิกฺกนฺตํ อาโลกิตํ วิโลกิตํ สมิญฺชิตํ ปสาริตํ สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารณํ, เสยฺยถาปิ อเญฺญสํ ภทฺทกานํ ภิกฺขูนํ – ยาวสฺส ภิกฺขู อาปตฺติํ น ปสฺสนฺติฯ ยโต จ ขฺวสฺส ภิกฺขู อาปตฺติํ ปสฺสนฺติ, ตเมนํ เอวํ ชานนฺติ – ‘สมณทูสีวายํ สมณปลาโป สมณการณฺฑโว’ติฯ ตเมนํ อิติ วิทิตฺวา พหิทฺธา นาเสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา อเญฺญ ภทฺทเก ภิกฺขู ทูเสสีติฯ

    ‘‘Evamevaṃ kho, bhikkhave, idhekaccassa puggalassa tādisaṃyeva hoti abhikkantaṃ paṭikkantaṃ ālokitaṃ vilokitaṃ samiñjitaṃ pasāritaṃ saṅghāṭipattacīvaradhāraṇaṃ, seyyathāpi aññesaṃ bhaddakānaṃ bhikkhūnaṃ – yāvassa bhikkhū āpattiṃ na passanti. Yato ca khvassa bhikkhū āpattiṃ passanti, tamenaṃ evaṃ jānanti – ‘samaṇadūsīvāyaṃ samaṇapalāpo samaṇakāraṇḍavo’ti. Tamenaṃ iti viditvā bahiddhā nāsenti. Taṃ kissa hetu? Mā aññe bhaddake bhikkhū dūsesīti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มหโต ธญฺญราสิสฺส ผุณมานสฺส 11 ตตฺถ ยานิ ตานิ ธญฺญานิ ทฬฺหานิ สารวนฺตานิ ตานิ เอกมนฺตํ ปุญฺชํ โหติ, ยานิ ปน ตานิ ธญฺญานิ ทุพฺพลานิ ปลาปานิ ตานิ วาโต เอกมนฺตํ อปวหติ 12ฯ ตเมนํ สามิกา สมฺมชฺชนิํ คเหตฺวา ภิโยฺยโสมตฺตาย อปสมฺมชฺชนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา อเญฺญ ภทฺทเก ธเญฺญ ทูเสสีติ! เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, อิเธกจฺจสฺส ปุคฺคลสฺส ตาทิสํเยว โหติ อภิกฺกนฺตํ ปฎิกฺกนฺตํ อาโลกิตํ วิโลกิตํ สมิญฺชิตํ ปสาริตํ สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารณํ, เสยฺยถาปิ อเญฺญสํ ภทฺทกานํ ภิกฺขูนํ – ยาวสฺส ภิกฺขู อาปตฺติํ น ปสฺสนฺติฯ ยโต จ ขฺวสฺส ภิกฺขู อาปตฺติํ ปสฺสนฺติ, ตเมนํ เอวํ ชานนฺติ – ‘สมณทูสีวายํ สมณปลาโป สมณการณฺฑโว’ติฯ ตเมนํ อิติ วิทิตฺวา พหิทฺธา นาเสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา อเญฺญ ภทฺทเก ภิกฺขู ทูเสสีติฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, mahato dhaññarāsissa phuṇamānassa 13 tattha yāni tāni dhaññāni daḷhāni sāravantāni tāni ekamantaṃ puñjaṃ hoti, yāni pana tāni dhaññāni dubbalāni palāpāni tāni vāto ekamantaṃ apavahati 14. Tamenaṃ sāmikā sammajjaniṃ gahetvā bhiyyosomattāya apasammajjanti. Taṃ kissa hetu? Mā aññe bhaddake dhaññe dūsesīti! Evamevaṃ kho, bhikkhave, idhekaccassa puggalassa tādisaṃyeva hoti abhikkantaṃ paṭikkantaṃ ālokitaṃ vilokitaṃ samiñjitaṃ pasāritaṃ saṅghāṭipattacīvaradhāraṇaṃ, seyyathāpi aññesaṃ bhaddakānaṃ bhikkhūnaṃ – yāvassa bhikkhū āpattiṃ na passanti. Yato ca khvassa bhikkhū āpattiṃ passanti, tamenaṃ evaṃ jānanti – ‘samaṇadūsīvāyaṃ samaṇapalāpo samaṇakāraṇḍavo’ti. Tamenaṃ iti viditvā bahiddhā nāsenti. Taṃ kissa hetu? Mā aññe bhaddake bhikkhū dūsesīti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส อุทปานปนาฬิยตฺถิโก ติณฺหํ กุฐาริํ 15 อาทาย วนํ ปวิเสยฺยฯ โส ยํ ยเทว รุกฺขํ กุฐาริปาเสน อาโกเฎยฺย ตตฺถ ยานิ ตานิ รุกฺขานิ ทฬฺหานิ สารวนฺตานิ ตานิ กุฐาริปาเสน อาโกฎิตานิ กกฺขฬํ ปฎินทนฺติ; ยานิ ปน ตานิ รุกฺขานิ อโนฺตปูตีนิ อวสฺสุตานิ กสมฺพุชาตานิ ตานิ กุฐาริปาเสน อาโกฎิตานิ ททฺทรํ ปฎินทนฺติฯ ตเมนํ มูเล ฉินฺทติ, มูเล ฉินฺทิตฺวา อเคฺค ฉินฺทติ, อเคฺค ฉินฺทิตฺวา อโนฺต สุวิโสธิตํ วิโสเธติ, อโนฺต สุวิโสธิตํ วิโสเธตฺวา อุทปานปนาฬิํ โยเชติฯ เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว , อิเธกจฺจสฺส ปุคฺคลสฺส ตาทิสํเยว โหติ อภิกฺกนฺตํ ปฎิกฺกนฺตํ อาโลกิตํ วิโลกิตํ สมิญฺชิตํ ปสาริตํ สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารณํ, เสยฺยถาปิ อเญฺญสํ ภทฺทกานํ ภิกฺขูนํ – ยาวสฺส ภิกฺขู อาปตฺติํ น ปสฺสนฺติฯ ยโต จ ขฺวสฺส ภิกฺขู อาปตฺติํ ปสฺสนฺติ, ตเมนํ เอวํ ชานนฺติ – ‘สมณทูสีวายํ สมณปลาโป สมณการณฺฑโว’ติฯ ตเมนํ อิติ วิทิตฺวา พหิทฺธา นาเสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา อเญฺญ ภทฺทเก ภิกฺขู ทูเสสี’’ติฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, puriso udapānapanāḷiyatthiko tiṇhaṃ kuṭhāriṃ 16 ādāya vanaṃ paviseyya. So yaṃ yadeva rukkhaṃ kuṭhāripāsena ākoṭeyya tattha yāni tāni rukkhāni daḷhāni sāravantāni tāni kuṭhāripāsena ākoṭitāni kakkhaḷaṃ paṭinadanti; yāni pana tāni rukkhāni antopūtīni avassutāni kasambujātāni tāni kuṭhāripāsena ākoṭitāni daddaraṃ paṭinadanti. Tamenaṃ mūle chindati, mūle chinditvā agge chindati, agge chinditvā anto suvisodhitaṃ visodheti, anto suvisodhitaṃ visodhetvā udapānapanāḷiṃ yojeti. Evamevaṃ kho, bhikkhave , idhekaccassa puggalassa tādisaṃyeva hoti abhikkantaṃ paṭikkantaṃ ālokitaṃ vilokitaṃ samiñjitaṃ pasāritaṃ saṅghāṭipattacīvaradhāraṇaṃ, seyyathāpi aññesaṃ bhaddakānaṃ bhikkhūnaṃ – yāvassa bhikkhū āpattiṃ na passanti. Yato ca khvassa bhikkhū āpattiṃ passanti, tamenaṃ evaṃ jānanti – ‘samaṇadūsīvāyaṃ samaṇapalāpo samaṇakāraṇḍavo’ti. Tamenaṃ iti viditvā bahiddhā nāsenti. Taṃ kissa hetu? Mā aññe bhaddake bhikkhū dūsesī’’ti.

    ‘‘สํวาสายํ วิชานาถ, ปาปิโจฺฉ โกธโน อิติ;

    ‘‘Saṃvāsāyaṃ vijānātha, pāpiccho kodhano iti;

    มกฺขี ถมฺภี ปฬาสี จ, อิสฺสุกี มจฺฉรี สโฐฯ

    Makkhī thambhī paḷāsī ca, issukī maccharī saṭho.

    ‘‘สนฺตวาโจ ชนวติ, สมโณ วิย ภาสติ;

    ‘‘Santavāco janavati, samaṇo viya bhāsati;

    รโห กโรติ กรณํ, ปาปทิฎฺฐิ อนาทโรฯ

    Raho karoti karaṇaṃ, pāpadiṭṭhi anādaro.

    ‘‘สํสปฺปี จ มุสาวาที, ตํ วิทิตฺวา ยถาตถํ;

    ‘‘Saṃsappī ca musāvādī, taṃ viditvā yathātathaṃ;

    สเพฺพ สมคฺคา หุตฺวาน, อภินิพฺพชฺชยาถ 17 นํฯ

    Sabbe samaggā hutvāna, abhinibbajjayātha 18 naṃ.

    ‘‘การณฺฑวํ 19 นิทฺธมถ, กสมฺพุํ อปกสฺสถ 20;

    ‘‘Kāraṇḍavaṃ 21 niddhamatha, kasambuṃ apakassatha 22;

    ตโต ปลาเป วาเหถ, อสฺสมเณ สมณมานิเนฯ

    Tato palāpe vāhetha, assamaṇe samaṇamānine.

    ‘‘นิทฺธมิตฺวาน ปาปิเจฺฉ, ปาปอาจารโคจเร;

    ‘‘Niddhamitvāna pāpicche, pāpaācāragocare;

    สุทฺธาสุเทฺธหิ สํวาสํ, กปฺปยโวฺห ปติสฺสตา;

    Suddhāsuddhehi saṃvāsaṃ, kappayavho patissatā;

    ตโต สมคฺคา นิปกา, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถา’’ติฯ ทสมํ;

    Tato samaggā nipakā, dukkhassantaṃ karissathā’’ti. dasamaṃ;

    เมตฺตาวโคฺค ปฐโมฯ

    Mettāvaggo paṭhamo.

    ตสฺสุทฺทานํ –

    Tassuddānaṃ –

    เมตฺตํ ปญฺญา จ เทฺว ปิยา, เทฺว โลกา เทฺว วิปตฺติโย;

    Mettaṃ paññā ca dve piyā, dve lokā dve vipattiyo;

    เทวทโตฺต จ อุตฺตโร, นโนฺท การณฺฑเวน จาติฯ

    Devadatto ca uttaro, nando kāraṇḍavena cāti.







    Footnotes:
    1. อปเนโยฺย โส (สี.), อปเนโยฺย (สฺยา.)
    2. กิํ โวปรปุโตฺต วิเหฐิยติ (สี.), กิํ ปรปุโตฺต วิเหเฐติ (สฺยา.), กิํ โว ปรปุตฺตา วิเหเฐติ (ปี.), กิํ โส ปรปุโตฺต วิโสเธติ (ก.)
    3. สมณรูปี (ก.)
    4. สมณกรณฺฑโวติ (ก.)
    5. apaneyyo so (sī.), apaneyyo (syā.)
    6. kiṃ voparaputto viheṭhiyati (sī.), kiṃ paraputto viheṭheti (syā.), kiṃ vo paraputtā viheṭheti (pī.), kiṃ so paraputto visodheti (ka.)
    7. samaṇarūpī (ka.)
    8. samaṇakaraṇḍavoti (ka.)
    9. ยวรูปี (ก.)
    10. yavarūpī (ka.)
    11. วุยฺหมานสฺส (สี. ปี.), ผุสยมานสฺส (สฺยา.), ปุนมานสฺส (?)
    12. อปกสฺสติ (สี.)
    13. vuyhamānassa (sī. pī.), phusayamānassa (syā.), punamānassa (?)
    14. apakassati (sī.)
    15. กุธาริํ (สฺยา. กํ. ก.)
    16. kudhāriṃ (syā. kaṃ. ka.)
    17. อภินิพฺพิชฺชเยถ (ก.)
    18. abhinibbijjayetha (ka.)
    19. กรณฺฑวํ (ก.) สุ. นิ. ๒๘๓ ปสฺสิตพฺพํ
    20. อวกสฺสถ (ก.)
    21. karaṇḍavaṃ (ka.) su. ni. 283 passitabbaṃ
    22. avakassatha (ka.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. การณฺฑวสุตฺตวณฺณนา • 10. Kāraṇḍavasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๐. การณฺฑวสุตฺตวณฺณนา • 10. Kāraṇḍavasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact