Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๒. อุปาสกวโคฺค
2. Upāsakavaggo
๑. กสิภารทฺวาชสุตฺตวณฺณนา
1. Kasibhāradvājasuttavaṇṇanā
๑๙๗. ทุติยวคฺคสฺส ปฐเม มคเธสูติ เอวํนามเก ชนปเทฯ ทกฺขิณาคิริสฺมินฺติ ราชคหํ ปริวาเรตฺวา ฐิตสฺส คิริโน ทกฺขิณภาเค ชนปโท อตฺถิ, ตสฺมิํ ชนปเท, ตตฺถ วิหารสฺสาปิ ตเทว นามํฯ เอกนาฬายํ พฺราหฺมณคาเมติ เอกนาฬาติ ตสฺส คามสฺส นามํฯ พฺราหฺมณา ปเนตฺถ สมฺพหุลา ปฎิวสนฺติ, พฺราหฺมณโภโค เอว วา โสฯ ตสฺมา ‘‘พฺราหฺมณคาโม’’ติ วุจฺจติฯ
197. Dutiyavaggassa paṭhame magadhesūti evaṃnāmake janapade. Dakkhiṇāgirisminti rājagahaṃ parivāretvā ṭhitassa girino dakkhiṇabhāge janapado atthi, tasmiṃ janapade, tattha vihārassāpi tadeva nāmaṃ. Ekanāḷāyaṃ brāhmaṇagāmeti ekanāḷāti tassa gāmassa nāmaṃ. Brāhmaṇā panettha sambahulā paṭivasanti, brāhmaṇabhogo eva vā so. Tasmā ‘‘brāhmaṇagāmo’’ti vuccati.
เตน โข ปน สมเยนาติ ยํ สมยํ ภควา มคธรเฎฺฐ เอกนาฬํ พฺราหฺมณคามํ อุปนิสฺสาย ทกฺขิณคิริมหาวิหาเร พฺราหฺมณสฺส อินฺทฺริยปริปากํ อาคมยมาโน วิหรติ, เตน สมเยนฯ กสิภารทฺวาชสฺสาติ โส พฺราหฺมโณ กสิํ นิสฺสาย ชีวติ, ภารทฺวาโชติ จสฺส โคตฺตํฯ ปญฺจมตฺตานีติ ปญฺจ ปมาณานิ, อนูนานิ อนธิกานิ ปญฺจนงฺคลสตานีติ วุตฺตํ โหติฯ ปยุตฺตานีติ โยชิตานิ, พลีพทฺทานํ ขเนฺธสุ ฐเปตฺวา ยุเค โยเตฺตหิ โยชิตานีติ อโตฺถฯ
Tena kho pana samayenāti yaṃ samayaṃ bhagavā magadharaṭṭhe ekanāḷaṃ brāhmaṇagāmaṃ upanissāya dakkhiṇagirimahāvihāre brāhmaṇassa indriyaparipākaṃ āgamayamāno viharati, tena samayena. Kasibhāradvājassāti so brāhmaṇo kasiṃ nissāya jīvati, bhāradvājoti cassa gottaṃ. Pañcamattānīti pañca pamāṇāni, anūnāni anadhikāni pañcanaṅgalasatānīti vuttaṃ hoti. Payuttānīti yojitāni, balībaddānaṃ khandhesu ṭhapetvā yuge yottehi yojitānīti attho.
วปฺปกาเลติ วปฺปนกาเล พีชนิเกฺขปสมเยฯ ตตฺถ เทฺว วปฺปานิ กลลวปฺปญฺจ ปํสุวปฺปญฺจฯ ปํสุวปฺปํ อิธ อธิเปฺปตํ, ตญฺจ โข ปฐมทิวเส มงฺคลวปฺปํฯ ตตฺถายํ อุปกรณสมฺปทา – ตีณิ พลิพทฺทสหสฺสานิ อุปฎฺฐาปิตานิ โหนฺติ, สเพฺพสํ สุวณฺณมยานิ สิงฺคานิ ปฎิมุกฺกานิ, รชตมยา ขุรา, สเพฺพ เสตมาลาหิ เจว คนฺธปญฺจงฺคุลีหิ จ อลงฺกตา ปริปุณฺณปญฺจงฺคา สพฺพลกฺขณสมฺปนฺนา, เอกเจฺจ กาฬา อญฺชนวณฺณา, เอกเจฺจ เสตา ผลิกวณฺณา, เอกเจฺจ รตฺตา ปวาฬวณฺณา, เอกเจฺจ กมฺมาสา มสารคลฺลวณฺณาฯ เอวํ ปญฺจสตา กสฺสกา สเพฺพ อหตเสตวตฺถา คนฺธมาลาลงฺกตา ทกฺขิณอํสกูเฎสุ ปติฎฺฐิตปุปฺผจุมฺพฎกา หริตาลมโนสิลาลญฺชนุชฺชลคตฺตา ทส ทส นงฺคลา เอเกกคุมฺพา หุตฺวา คจฺฉนฺติฯ นงฺคลานํ สีสญฺจ ยุคญฺจ ปโตทา จ สุวณฺณขจิตา ฯ ปฐมนงฺคเล อฎฺฐ พลีพทฺทา ยุตฺตา, เสเสสุ จตฺตาโร จตฺตาโร, อวเสสา กิลนฺตปริวตฺตนตฺถํ อานีตาฯ เอเกกคุเมฺพ เอเกกพีชสกฎํ เอเกโก กสติ, เอเกโก วปฺปติฯ
Vappakāleti vappanakāle bījanikkhepasamaye. Tattha dve vappāni kalalavappañca paṃsuvappañca. Paṃsuvappaṃ idha adhippetaṃ, tañca kho paṭhamadivase maṅgalavappaṃ. Tatthāyaṃ upakaraṇasampadā – tīṇi balibaddasahassāni upaṭṭhāpitāni honti, sabbesaṃ suvaṇṇamayāni siṅgāni paṭimukkāni, rajatamayā khurā, sabbe setamālāhi ceva gandhapañcaṅgulīhi ca alaṅkatā paripuṇṇapañcaṅgā sabbalakkhaṇasampannā, ekacce kāḷā añjanavaṇṇā, ekacce setā phalikavaṇṇā, ekacce rattā pavāḷavaṇṇā, ekacce kammāsā masāragallavaṇṇā. Evaṃ pañcasatā kassakā sabbe ahatasetavatthā gandhamālālaṅkatā dakkhiṇaaṃsakūṭesu patiṭṭhitapupphacumbaṭakā haritālamanosilālañjanujjalagattā dasa dasa naṅgalā ekekagumbā hutvā gacchanti. Naṅgalānaṃ sīsañca yugañca patodā ca suvaṇṇakhacitā . Paṭhamanaṅgale aṭṭha balībaddā yuttā, sesesu cattāro cattāro, avasesā kilantaparivattanatthaṃ ānītā. Ekekagumbe ekekabījasakaṭaṃ ekeko kasati, ekeko vappati.
พฺราหฺมโณ ปน ปเคว มสฺสุกมฺมํ การาเปตฺวา นฺหายิตฺวา สุคนฺธคเนฺธหิ วิลิโตฺต ปญฺจสตคฺฆนกํ วตฺถํ นิวาเสตฺวา สหสฺสคฺฆนกํ เอกํสํ กริตฺวา เอเกกิสฺสา องฺคุลิยา เทฺว เทฺวติ วีสติ องฺคุลิมุทฺทิกาโย กเณฺณสุ สีหกุณฺฑลานิ สีเส พฺรหฺมเวฐนํ ปฎิมุญฺจิตฺวา สุวณฺณมาลํ กเณฺฐ กตฺวา พฺราหฺมณคณปริวุโต กมฺมนฺตํ โวสาสติฯ อถสฺส พฺราหฺมณี อเนกสตภาชเนสุ ปายาสํ ปจาเปตฺวา มหาสกเฎสุ อาโรเปตฺวา คโนฺธทเกน นฺหายิตฺวา สพฺพาลงฺการวิภูสิตา พฺราหฺมณีคณปริวุตา กมฺมนฺตํ อคมาสิฯ เคหมฺปิสฺส หริตุปลิตฺตํ วิปฺปกิณฺณลาชํ ปุณฺณฆฎกทลิธชปฎากาหิ อลงฺกตํ คนฺธปุปฺผาทีหิ สุกตพลิกมฺมํ, เขตฺตญฺจ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ สมุสฺสิตทฺธชปฎากํ อโหสิฯ ปริชนกมฺมกาเรหิ สทฺธิํ โอสฎปริสา อฑฺฒเตยฺยสหสฺสา อโหสิ, สเพฺพ อหตวตฺถา, สเพฺพสํ ปายาสโภชนเมว ปฎิยตฺตํฯ
Brāhmaṇo pana pageva massukammaṃ kārāpetvā nhāyitvā sugandhagandhehi vilitto pañcasatagghanakaṃ vatthaṃ nivāsetvā sahassagghanakaṃ ekaṃsaṃ karitvā ekekissā aṅguliyā dve dveti vīsati aṅgulimuddikāyo kaṇṇesu sīhakuṇḍalāni sīse brahmaveṭhanaṃ paṭimuñcitvā suvaṇṇamālaṃ kaṇṭhe katvā brāhmaṇagaṇaparivuto kammantaṃ vosāsati. Athassa brāhmaṇī anekasatabhājanesu pāyāsaṃ pacāpetvā mahāsakaṭesu āropetvā gandhodakena nhāyitvā sabbālaṅkāravibhūsitā brāhmaṇīgaṇaparivutā kammantaṃ agamāsi. Gehampissa haritupalittaṃ vippakiṇṇalājaṃ puṇṇaghaṭakadalidhajapaṭākāhi alaṅkataṃ gandhapupphādīhi sukatabalikammaṃ, khettañca tesu tesu ṭhānesu samussitaddhajapaṭākaṃ ahosi. Parijanakammakārehi saddhiṃ osaṭaparisā aḍḍhateyyasahassā ahosi, sabbe ahatavatthā, sabbesaṃ pāyāsabhojanameva paṭiyattaṃ.
อถ พฺราหฺมโณ สุวณฺณปาติํ โธวาเปตฺวา ปายาสสฺส ปูเรตฺวา สปฺปิมธุผาณิเตหิ อภิสงฺขริตฺวา นงฺคลพลิกมฺมํ การาเปสิฯ พฺราหฺมณี ปญฺจนฺนํ กสฺสกสตานํ สุวณฺณรชตกํสตมฺพโลหมยานิ ภาชนานิ ทาเปตฺวา สุวณฺณกฎจฺฉุํ คเหตฺวา ปายาเสน ปริวิสนฺตี คจฺฉติฯ พฺราหฺมโณ ปน พลิกมฺมํ กาเรตฺวา รตฺตพนฺธิกาโย อุปาหนาโย อาโรหิตฺวา รตฺตสุวณฺณทณฺฑกํ คเหตฺวา, ‘‘อิธ ปายาสํ เทถ, อิธ สปฺปิํ เทถ, อิธ สกฺขรํ เทถา’’ติ โวสาสมาโน วิจรติฯ อยํ ตาว กมฺมเนฺต ปวตฺติฯ
Atha brāhmaṇo suvaṇṇapātiṃ dhovāpetvā pāyāsassa pūretvā sappimadhuphāṇitehi abhisaṅkharitvā naṅgalabalikammaṃ kārāpesi. Brāhmaṇī pañcannaṃ kassakasatānaṃ suvaṇṇarajatakaṃsatambalohamayāni bhājanāni dāpetvā suvaṇṇakaṭacchuṃ gahetvā pāyāsena parivisantī gacchati. Brāhmaṇo pana balikammaṃ kāretvā rattabandhikāyo upāhanāyo ārohitvā rattasuvaṇṇadaṇḍakaṃ gahetvā, ‘‘idha pāyāsaṃ detha, idha sappiṃ detha, idha sakkharaṃ dethā’’ti vosāsamāno vicarati. Ayaṃ tāva kammante pavatti.
วิหาเร ปน ยตฺถ ยตฺถ พุทฺธา วสนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ เนสํ เทวสิกํ ปญฺจ กิจฺจานิ ภวนฺติ, เสยฺยถิทํ – ปุเรภตฺตกิจฺจํ ปจฺฉาภตฺตกิจฺจํ ปุริมยามกิจฺจํ มชฺฌิมยามกิจฺจํ ปจฺฉิมยามกิจฺจนฺติฯ
Vihāre pana yattha yattha buddhā vasanti, tattha tattha nesaṃ devasikaṃ pañca kiccāni bhavanti, seyyathidaṃ – purebhattakiccaṃ pacchābhattakiccaṃ purimayāmakiccaṃ majjhimayāmakiccaṃ pacchimayāmakiccanti.
ตตฺริทํ ปุเรภตฺตกิจฺจํ – ภควา หิ ปาโตว อุฎฺฐาย อุปฎฺฐากานุคฺคหตฺถํ สรีรผาสุกตฺถญฺจ มุขโธวนาทิปริกมฺมํ กตฺวา ยาว ภิกฺขาจารเวลา, ตาว วิวิตฺตาสเน วีตินาเมตฺวา ภิกฺขาจารเวลาย นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตมาทาย กทาจิ เอกโก กทาจิ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสติ กทาจิ ปกติยา, กทาจิ อเนเกหิ ปาฎิหาริเยหิ วตฺตมาเนหิฯ เสยฺยถิทํ – ปิณฺฑาย ปวิสโต โลกนาถสฺส ปุรโต ปุรโต คนฺตฺวา มุทุคติโย วาตา ปถวิํ โสเธนฺติ, วลาหกา อุทกผุสิตานิ มุญฺจนฺตา มเคฺค เรณุํ วูปสเมตฺวา อุปริ วิตานํ หุตฺวา ติฎฺฐนฺติ, อปเร วาตา ปุปฺผานิ อุปหริตฺวา มเคฺค โอกิรนฺติฯ อุนฺนตา ภูมิปฺปเทสา โอนมนฺติ, โอนตา อุนฺนมนฺติฯ ปาทนิเกฺขปสมเย สมาว ภูมิ โหติ, สุขสมฺผสฺสานิ ปทุมปุปฺผานิ วา ปาเท สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ อินฺทขีลสฺส อโนฺต ฐปิตมเตฺต ทกฺขิณปาเท สรีรา ฉพฺพณฺณรสฺมิโย นิกฺขมิตฺวา สุวณฺณรสสิญฺจนานิ วิย จิตฺรปฎปริกฺขิตฺตานิ วิย จ ปาสาทกูฎาคาราทีนิ กโรนฺติโย อิโต จิโต จ วิธาวนฺติฯ หตฺถิอสฺสวิหงฺคาทโย สกสกฎฺฐาเนสุ ฐิตาเยว มธุเรนากาเรน สทฺทํ กโรนฺติ , ตถา เภริวีณาทีนิ ตูริยานิ มนุสฺสานญฺจ กายูปคานิ อาภรณานิฯ เตน สญฺญาเณน มนุสฺสา ชานนฺติ ‘‘อชฺช ภควา อิธ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ’’ติฯ เต สุนิวตฺถา สุปารุตา คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย ฆรา นิกฺขมิตฺวา อนฺตรวีถิํ ปฎิปชฺชิตฺวา ภควนฺตํ คนฺธปุปฺผาทีหิ สกฺกจฺจํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา – ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, ทส ภิกฺขู, อมฺหากํ วีสติ, อมฺหากํ ภิกฺขุสตํ เทถา’’ติ ยาจิตฺวา ภควโตปิ ปตฺตํ คเหตฺวา อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา สกฺกจฺจํ ปิณฺฑปาเตน ปฎิมาเนนฺติฯ
Tatridaṃ purebhattakiccaṃ – bhagavā hi pātova uṭṭhāya upaṭṭhākānuggahatthaṃ sarīraphāsukatthañca mukhadhovanādiparikammaṃ katvā yāva bhikkhācāravelā, tāva vivittāsane vītināmetvā bhikkhācāravelāya nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā cīvaraṃ pārupitvā pattamādāya kadāci ekako kadāci bhikkhusaṅghaparivuto gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisati kadāci pakatiyā, kadāci anekehi pāṭihāriyehi vattamānehi. Seyyathidaṃ – piṇḍāya pavisato lokanāthassa purato purato gantvā mudugatiyo vātā pathaviṃ sodhenti, valāhakā udakaphusitāni muñcantā magge reṇuṃ vūpasametvā upari vitānaṃ hutvā tiṭṭhanti, apare vātā pupphāni upaharitvā magge okiranti. Unnatā bhūmippadesā onamanti, onatā unnamanti. Pādanikkhepasamaye samāva bhūmi hoti, sukhasamphassāni padumapupphāni vā pāde sampaṭicchanti. Indakhīlassa anto ṭhapitamatte dakkhiṇapāde sarīrā chabbaṇṇarasmiyo nikkhamitvā suvaṇṇarasasiñcanāni viya citrapaṭaparikkhittāni viya ca pāsādakūṭāgārādīni karontiyo ito cito ca vidhāvanti. Hatthiassavihaṅgādayo sakasakaṭṭhānesu ṭhitāyeva madhurenākārena saddaṃ karonti , tathā bherivīṇādīni tūriyāni manussānañca kāyūpagāni ābharaṇāni. Tena saññāṇena manussā jānanti ‘‘ajja bhagavā idha piṇḍāya paviṭṭho’’ti. Te sunivatthā supārutā gandhapupphādīni ādāya gharā nikkhamitvā antaravīthiṃ paṭipajjitvā bhagavantaṃ gandhapupphādīhi sakkaccaṃ pūjetvā vanditvā – ‘‘amhākaṃ, bhante, dasa bhikkhū, amhākaṃ vīsati, amhākaṃ bhikkhusataṃ dethā’’ti yācitvā bhagavatopi pattaṃ gahetvā āsanaṃ paññāpetvā sakkaccaṃ piṇḍapātena paṭimānenti.
ภควา กตภตฺตกิโจฺจ เตสํ สนฺตานานิ โอโลเกตฺวา ตถา ธมฺมํ เทเสติ, ยถา เกจิ สรณคมเน ปติฎฺฐหนฺติ, เกจิ ปญฺจสุ สีเลสุ, เกจิ โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิผลานํ อญฺญตรสฺมิํ, เกจิ ปพฺพชิตฺวา อคฺคผเล อรหเตฺตติ ฯ เอวํ มหาชนํ อนุคฺคเหตฺวา อุฎฺฐายาสนา วิหารํ คจฺฉติฯ ตตฺถ คนฺธมณฺฑลมาเฬ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทติ ภิกฺขูนํ ภตฺตกิจฺจปริโยสานํ อาคมยมาโนฯ ตโต ภิกฺขูนํ ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน อุปฎฺฐาโก ภควโต นิเวเทติฯ อถ ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิสติฯ อิทํ ตาว ปุเรภตฺตกิจฺจํฯ
Bhagavā katabhattakicco tesaṃ santānāni oloketvā tathā dhammaṃ deseti, yathā keci saraṇagamane patiṭṭhahanti, keci pañcasu sīlesu, keci sotāpattisakadāgāmianāgāmiphalānaṃ aññatarasmiṃ, keci pabbajitvā aggaphale arahatteti . Evaṃ mahājanaṃ anuggahetvā uṭṭhāyāsanā vihāraṃ gacchati. Tattha gandhamaṇḍalamāḷe paññattavarabuddhāsane nisīdati bhikkhūnaṃ bhattakiccapariyosānaṃ āgamayamāno. Tato bhikkhūnaṃ bhattakiccapariyosāne upaṭṭhāko bhagavato nivedeti. Atha bhagavā gandhakuṭiṃ pavisati. Idaṃ tāva purebhattakiccaṃ.
อถ ภควา เอวํ กตปุเรภตฺตกิโจฺจ คนฺธกุฎิยา อุปฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา ปาทปีเฐ ฐตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ โอวทติ – ‘‘ภิกฺขเว, อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ, ทุลฺลโภ พุทฺธุปฺปาโท โลกสฺมิํ, ทุลฺลโภ มนุสฺสตฺตปฎิลาโภ, ทุลฺลภา สทฺธาสมฺปตฺติ, ทุลฺลภา ปพฺพชฺชา, ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวน’’นฺติฯ ตตฺถ เกจิ ภควนฺตํ กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉนฺติฯ ภควา เตสํ อตฺตโน จริยานุรูปํ กมฺมฎฺฐานํ เทติฯ ตโต สเพฺพปิ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ คจฺฉนฺติ, เกจิ อรญฺญํ, เกจิ รุกฺขมูลํ, เกจิ ปพฺพตาทีนํ อญฺญตรํ, เกจิ จาตุมหาราชิกภวนํ…เป.… เกจิ วสวตฺติภวนนฺติฯ ตโต ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา สเจ อากงฺขติ, ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน มุหุตฺตํ สีหเสยฺยํ กเปฺปติฯ อถ สมสฺสาสิตกาโย อุฎฺฐหิตฺวา ทุติยภาเค โลกํ โวโลเกติฯ ตติยภาเค ยํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติ, ตตฺถ มหาชโน ปุเรภตฺตํ ทานํ ทตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ สุนิวโตฺถ สุปารุโต คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย วิหาเร สนฺนิปตติฯ ตโต ภควา สมฺปตฺตปริสาย อนุรูเปน ปาฎิหาริเยน คนฺตฺวา ธมฺมสภายํ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสชฺช ธมฺมํ เทเสติ กาลยุตฺตํ สมยยุตฺตํฯ อถ กาลํ วิทิตฺวา ปริสํ อุโยฺยเชติ, มนุสฺสา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปกฺกมนฺติฯ อิทํ ปจฺฉาภตฺตกิจฺจํฯ
Atha bhagavā evaṃ katapurebhattakicco gandhakuṭiyā upaṭṭhāne nisīditvā pāde pakkhāletvā pādapīṭhe ṭhatvā bhikkhusaṅghaṃ ovadati – ‘‘bhikkhave, appamādena sampādetha, dullabho buddhuppādo lokasmiṃ, dullabho manussattapaṭilābho, dullabhā saddhāsampatti, dullabhā pabbajjā, dullabhaṃ saddhammassavana’’nti. Tattha keci bhagavantaṃ kammaṭṭhānaṃ pucchanti. Bhagavā tesaṃ attano cariyānurūpaṃ kammaṭṭhānaṃ deti. Tato sabbepi bhagavantaṃ vanditvā attano attano rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni gacchanti, keci araññaṃ, keci rukkhamūlaṃ, keci pabbatādīnaṃ aññataraṃ, keci cātumahārājikabhavanaṃ…pe… keci vasavattibhavananti. Tato bhagavā gandhakuṭiṃ pavisitvā sace ākaṅkhati, dakkhiṇena passena sato sampajāno muhuttaṃ sīhaseyyaṃ kappeti. Atha samassāsitakāyo uṭṭhahitvā dutiyabhāge lokaṃ voloketi. Tatiyabhāge yaṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati, tattha mahājano purebhattaṃ dānaṃ datvā pacchābhattaṃ sunivattho supāruto gandhapupphādīni ādāya vihāre sannipatati. Tato bhagavā sampattaparisāya anurūpena pāṭihāriyena gantvā dhammasabhāyaṃ paññattavarabuddhāsane nisajja dhammaṃ deseti kālayuttaṃ samayayuttaṃ. Atha kālaṃ viditvā parisaṃ uyyojeti, manussā bhagavantaṃ vanditvā pakkamanti. Idaṃ pacchābhattakiccaṃ.
โส เอวํ นิฎฺฐิตปจฺฉาภตฺตกิโจฺจ สเจ คตฺตานิ โอสิญฺจิตุกาโม โหติ, พุทฺธาสนา วุฎฺฐาย นฺหานโกฎฺฐกํ ปวิสิตฺวา อุปฎฺฐาเกน ปฎิยาทิตอุทเกน คตฺตานิ อุตุํ คาหาเปติ ฯ อุปฎฺฐาโกปิ พุทฺธาสนํ อาเนตฺวา ปโปฺผเฎตฺวา คนฺธกุฎิปริเวเณ ปญฺญาเปติฯ ภควา สุรตฺตทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา อุตฺตราสงฺคํ กตฺวา ตตฺถ อาคนฺตฺวา นิสีทติ เอกโกว มุหุตฺตํ ปฎิสลฺลีโนฯ อถ ภิกฺขู ตโต ตโต อาคมฺม ภควโต อุปฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ ตตฺถ เอกเจฺจ ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, เอกเจฺจ กมฺมฎฺฐานํ, เอกเจฺจ ธมฺมสฺสวนํ ยาจนฺติฯ ภควา เตสํ อธิปฺปายํ สมฺปาเทโนฺต ปุริมยามํ วีตินาเมติฯ อิทํ ปุริมยามกิจฺจํฯ
So evaṃ niṭṭhitapacchābhattakicco sace gattāni osiñcitukāmo hoti, buddhāsanā vuṭṭhāya nhānakoṭṭhakaṃ pavisitvā upaṭṭhākena paṭiyāditaudakena gattāni utuṃ gāhāpeti . Upaṭṭhākopi buddhāsanaṃ ānetvā papphoṭetvā gandhakuṭipariveṇe paññāpeti. Bhagavā surattadupaṭṭaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā uttarāsaṅgaṃ katvā tattha āgantvā nisīdati ekakova muhuttaṃ paṭisallīno. Atha bhikkhū tato tato āgamma bhagavato upaṭṭhānaṃ gacchanti. Tattha ekacce pañhaṃ pucchanti, ekacce kammaṭṭhānaṃ, ekacce dhammassavanaṃ yācanti. Bhagavā tesaṃ adhippāyaṃ sampādento purimayāmaṃ vītināmeti. Idaṃ purimayāmakiccaṃ.
ปุริมยามกิจฺจปริโยสาเน ปน ภิกฺขูสุ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปกฺกมเนฺตสุ สกลทสสหสฺสิโลกธาตุเทวตาโย โอกาสํ ลภมานา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ ยถาภิสงฺขตํ อนฺตมโส จตุรกฺขรมฺปิฯ ภควา ตาสํ ตาสํ เทวตานํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต มชฺฌิมยามํ วีตินาเมติฯ อิทํ มชฺฌิมยามกิจฺจํฯ
Purimayāmakiccapariyosāne pana bhikkhūsu bhagavantaṃ vanditvā pakkamantesu sakaladasasahassilokadhātudevatāyo okāsaṃ labhamānā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchanti yathābhisaṅkhataṃ antamaso caturakkharampi. Bhagavā tāsaṃ tāsaṃ devatānaṃ pañhaṃ vissajjento majjhimayāmaṃ vītināmeti. Idaṃ majjhimayāmakiccaṃ.
ปจฺฉิมยามํ ปน ตโย โกฎฺฐาเส กตฺวา ปุเรภตฺตโต ปฎฺฐาย นิสชฺชาปีฬิตสฺส สรีรสฺส กิลาสุภาวโมจนตฺถํ เอกํ โกฎฺฐาสํ จงฺกเมน วีตินาเมติฯ ทุติยโกฎฺฐาเส คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน สีหเสยฺยํ กเปฺปติฯ ตติยโกฎฺฐาเส ปจฺจุฎฺฐาย นิสีทิตฺวา ปุริมพุทฺธานํ สนฺติเก ทานสีลาทิวเสน กตาธิการปุคฺคลทสฺสนตฺถํ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โอโลเกติฯ อิทํ ปจฺฉิมยามกิจฺจํฯ
Pacchimayāmaṃ pana tayo koṭṭhāse katvā purebhattato paṭṭhāya nisajjāpīḷitassa sarīrassa kilāsubhāvamocanatthaṃ ekaṃ koṭṭhāsaṃ caṅkamena vītināmeti. Dutiyakoṭṭhāse gandhakuṭiṃ pavisitvā dakkhiṇena passena sato sampajāno sīhaseyyaṃ kappeti. Tatiyakoṭṭhāse paccuṭṭhāya nisīditvā purimabuddhānaṃ santike dānasīlādivasena katādhikārapuggaladassanatthaṃ buddhacakkhunā lokaṃ oloketi. Idaṃ pacchimayāmakiccaṃ.
ตทาปิ เอวํ โอโลเกโนฺต กสิภารทฺวาชํ พฺราหฺมณํ อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปนฺนํ ทิสฺวา – ‘‘ตตฺถ มยิ คเต กถา ปวตฺติสฺสติ, กถาวสาเน ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เอโส พฺราหฺมโณ สปุตฺตทาโร ตีสุ สรเณสุ ปติฎฺฐาย อสีติโกฎิธนํ มม สาสเน วิปฺปกิริตฺวา อปรภาเค นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ เอตมตฺถํ ทเสฺสตุํ อถ โข ภควาติอาทิ วุตฺตํฯ
Tadāpi evaṃ olokento kasibhāradvājaṃ brāhmaṇaṃ arahattassa upanissayasampannaṃ disvā – ‘‘tattha mayi gate kathā pavattissati, kathāvasāne dhammadesanaṃ sutvā eso brāhmaṇo saputtadāro tīsu saraṇesu patiṭṭhāya asītikoṭidhanaṃ mama sāsane vippakiritvā aparabhāge nikkhamma pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇissatī’’ti ñatvā tattha gantvā kathaṃ samuṭṭhāpetvā dhammaṃ desesi. Etamatthaṃ dassetuṃ atha kho bhagavātiādi vuttaṃ.
ตตฺถ ปุพฺพณฺหสมยนฺติ ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนํ, ปุพฺพณฺหสมเยติ อโตฺถฯ นิวาเสตฺวาติ ปริทหิตฺวาฯ วิหารจีวรปริวตฺตนวเสเนตํ วุตฺตํฯ ปตฺตจีวรมาทายาติ ปตฺตํ หเตฺถหิ, จีวรํ กาเยน อาทิยิตฺวา, สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ธาเรตฺวาติ อโตฺถฯ ภควโต กิร ปิณฺฑาย ปวิสิตุกามสฺส ภมโร วิย วิกสิตปทุมทฺวยมชฺฌํ, อินฺทนีลมณิวณฺณเสลมยปโตฺต หตฺถทฺวยมชฺฌํ อาคจฺฉติฯ ตํ เอวมาคตํ ปตฺตํ หเตฺถหิ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา จีวรญฺจ ปริมณฺฑลํ ปารุตํ กาเยน ธาเรตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ เตนุปสงฺกมีติ เยน มเคฺคน กมฺมโนฺต คนฺตโพฺพ, เตน เอกโกว อุปสงฺกมิฯ กสฺมา ปน นํ ภิกฺขู นานุพนฺธิํสูติ? ยทา หิ ภควา เอกโกว กตฺถจิ คนฺตุกาโม โหติ, ยาว ภิกฺขาจารเวลา ทฺวารํ ปิทหิตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํ นิสีทติฯ ภิกฺขู ตาย สญฺญาย ชานนฺติ ‘‘อชฺช ภควา เอกโกว ปิณฺฑาย จริตุกาโม, อทฺธา กญฺจิ เอว วิเนตพฺพปุคฺคลํ อทฺทสา’’ติฯ เต อตฺตโน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา คนฺธกุฎิํ ปทกฺขิณํ กตฺวา วนฺทิตฺวา ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺติฯ ตทา จ ภควา เอวมกาสิ, ตสฺมา ภิกฺขู นานุพนฺธิํสูติฯ
Tattha pubbaṇhasamayanti bhummatthe upayogavacanaṃ, pubbaṇhasamayeti attho. Nivāsetvāti paridahitvā. Vihāracīvaraparivattanavasenetaṃ vuttaṃ. Pattacīvaramādāyāti pattaṃ hatthehi, cīvaraṃ kāyena ādiyitvā, sampaṭicchitvā dhāretvāti attho. Bhagavato kira piṇḍāya pavisitukāmassa bhamaro viya vikasitapadumadvayamajjhaṃ, indanīlamaṇivaṇṇaselamayapatto hatthadvayamajjhaṃ āgacchati. Taṃ evamāgataṃ pattaṃ hatthehi sampaṭicchitvā cīvarañca parimaṇḍalaṃ pārutaṃ kāyena dhāretvāti vuttaṃ hoti. Tenupasaṅkamīti yena maggena kammanto gantabbo, tena ekakova upasaṅkami. Kasmā pana naṃ bhikkhū nānubandhiṃsūti? Yadā hi bhagavā ekakova katthaci gantukāmo hoti, yāva bhikkhācāravelā dvāraṃ pidahitvā antogandhakuṭiyaṃ nisīdati. Bhikkhū tāya saññāya jānanti ‘‘ajja bhagavā ekakova piṇḍāya caritukāmo, addhā kañci eva vinetabbapuggalaṃ addasā’’ti. Te attano pattacīvaraṃ gahetvā gandhakuṭiṃ padakkhiṇaṃ katvā vanditvā bhikkhācāraṃ gacchanti. Tadā ca bhagavā evamakāsi, tasmā bhikkhū nānubandhiṃsūti.
ปริเวสนา วตฺตตีติ เตสํ สุวณฺณภาชนาทีนิ คเหตฺวา นิสินฺนานํ ปญฺจสตานํ กสฺสกานํ ปริวิสนา วิปฺปกตา โหติฯ เอกมนฺตํ อฎฺฐาสีติ ยตฺถ ฐิตํ พฺราหฺมโณ ปสฺสติ, ตถารูเป ทสฺสนูปจาเร กถาสวนผาสุเก อุจฺจฎฺฐาเน อฎฺฐาสิฯ ฐตฺวา จ รชตสุวณฺณรสปิญฺชรํ จนฺทิมสูริยานํ ปภํ อติโรจมานํ สมนฺตโต สรีรปฺปภํ มุญฺจิ, ยาย อโชฺฌตฺถฎตฺตา พฺราหฺมณสฺส กมฺมนฺตสาลาภิตฺติรุกฺขกสิตมตฺติกปิณฺฑาทโย สุวณฺณมยา วิย อเหสุํฯ อถ มนุสฺสา ภุญฺชนฺตา จ กสนฺตา จ สพฺพกิจฺจานิ ปหาย อสีติอนุพฺยญฺชนปริวารํ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตํ สรีรํ พฺยามปฺปภาปริเกฺขปวิภูสิตํ พาหุยุคลํ ชงฺคมํ วิย ปทุมสรํ, รสฺมิชาลสมุชฺชลิตตาราคณมิว คคนตลํ, วิชฺชุลตาวินทฺธมิว จ กนกสิขรํ สิริยา ชลมานํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ เอกมนฺตํ ฐิตํ ทิสฺวา หตฺถปาเท โธวิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห สมฺปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุฯ เอวํ เตหิ สมฺปริวาริตํ อทฺทสา โข กสิภารทฺวาโช พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ ปิณฺฑาย ฐิตํ, ทิสฺวาน ภควนฺตํ เอตทโวจ – อหํ โข, สมณ, กสามิ จ วปามิ จาติฯ
Parivesanā vattatīti tesaṃ suvaṇṇabhājanādīni gahetvā nisinnānaṃ pañcasatānaṃ kassakānaṃ parivisanā vippakatā hoti. Ekamantaṃ aṭṭhāsīti yattha ṭhitaṃ brāhmaṇo passati, tathārūpe dassanūpacāre kathāsavanaphāsuke uccaṭṭhāne aṭṭhāsi. Ṭhatvā ca rajatasuvaṇṇarasapiñjaraṃ candimasūriyānaṃ pabhaṃ atirocamānaṃ samantato sarīrappabhaṃ muñci, yāya ajjhotthaṭattā brāhmaṇassa kammantasālābhittirukkhakasitamattikapiṇḍādayo suvaṇṇamayā viya ahesuṃ. Atha manussā bhuñjantā ca kasantā ca sabbakiccāni pahāya asītianubyañjanaparivāraṃ dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ sarīraṃ byāmappabhāparikkhepavibhūsitaṃ bāhuyugalaṃ jaṅgamaṃ viya padumasaraṃ, rasmijālasamujjalitatārāgaṇamiva gaganatalaṃ, vijjulatāvinaddhamiva ca kanakasikharaṃ siriyā jalamānaṃ sammāsambuddhaṃ ekamantaṃ ṭhitaṃ disvā hatthapāde dhovitvā añjaliṃ paggayha samparivāretvā aṭṭhaṃsu. Evaṃ tehi samparivāritaṃ addasā kho kasibhāradvājo brāhmaṇo bhagavantaṃ piṇḍāya ṭhitaṃ, disvāna bhagavantaṃ etadavoca – ahaṃ kho, samaṇa, kasāmi ca vapāmi cāti.
กสฺมา ปนายํ เอวมาห, กิํ สมนฺตปาสาทิเก ปสาทนีเย อุตฺตมทมถสมถมนุปฺปเตฺตปิ ตถาคเต อปฺปสาเทน, อุทาหุ อฑฺฒติยานํ ชนสหสฺสานํ ปายาสํ ปฎิยาเทตฺวาปิ กฎจฺฉุภิกฺขาย มเจฺฉเรนาติ? อุภยถาปิ โน, ภควโต ปนสฺส ทสฺสเนน อติตฺตํ นิกฺขิตฺตกมฺมนฺตํ ชนํ ทิสฺวา ‘‘กมฺมภงฺคํ เม กาตุํ อาคโต’’ติ อนตฺตมนตา อโหสิ, ตสฺมา เอวมาหฯ ภควโต จ ลกฺขณสมฺปตฺติํ ทิสฺวา – ‘‘สจายํ กมฺมเนฺต อปฺปโยชยิสฺส, สกลชมฺพุทีเป มนุสฺสานํ สีเส จูฬามณิ วิย อภวิสฺส, โก นามสฺส อโตฺถ น สมฺปชฺชิสฺสติ, เอวเมวํ อลสตาย กมฺมเนฺต อปฺปโยเชตฺวา วปฺปมงฺคลาทีสุ ปิณฺฑาย จรตี’’ติปิสฺส อนตฺตมนตา อโหสิฯ เตนาห – ‘‘อหํ โข, สมณ, กสามิ จ วปามิ จ, กสิตฺวา จ วปิตฺวา จ ภุญฺชามี’’ติฯ
Kasmā panāyaṃ evamāha, kiṃ samantapāsādike pasādanīye uttamadamathasamathamanuppattepi tathāgate appasādena, udāhu aḍḍhatiyānaṃ janasahassānaṃ pāyāsaṃ paṭiyādetvāpi kaṭacchubhikkhāya maccherenāti? Ubhayathāpi no, bhagavato panassa dassanena atittaṃ nikkhittakammantaṃ janaṃ disvā ‘‘kammabhaṅgaṃ me kātuṃ āgato’’ti anattamanatā ahosi, tasmā evamāha. Bhagavato ca lakkhaṇasampattiṃ disvā – ‘‘sacāyaṃ kammante appayojayissa, sakalajambudīpe manussānaṃ sīse cūḷāmaṇi viya abhavissa, ko nāmassa attho na sampajjissati, evamevaṃ alasatāya kammante appayojetvā vappamaṅgalādīsu piṇḍāya caratī’’tipissa anattamanatā ahosi. Tenāha – ‘‘ahaṃ kho, samaṇa, kasāmi ca vapāmi ca, kasitvā ca vapitvā ca bhuñjāmī’’ti.
อยํ กิรสฺส อธิปฺปาโย – มยฺหมฺปิ ตาว กมฺมนฺตา น พฺยาปชฺชนฺติ, น จมฺหิ ยถา ตฺวํ เอวํ ลกฺขณสมฺปโนฺน, ตฺวมฺปิ กสิตฺวา จ วปิตฺวา จ ภุญฺชสฺสุ, โก เต อโตฺถ น สมฺปเชฺชยฺย เอวํ ลกฺขณสมฺปนฺนสฺสาติฯ อปิจายํ อโสฺสสิ – ‘‘สกฺยราชกุเล กิร กุมาโร อุปฺปโนฺน, โส จกฺกวตฺติรชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโต’’ติฯ ตสฺมา อิทานิ ‘‘อยํ โส’’ติ ญตฺวา ‘‘จกฺกวตฺติรชฺชํ ปหาย กิลโนฺตสี’’ติ อุปารมฺภํ อาโรเปโนฺต เอวมาหฯ อปิจ ติกฺขปโญฺญ เอส พฺราหฺมโณ, น ภควนฺตํ อปสาเทโนฺต ภณติ, ภควโต ปน รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ปุญฺญสมฺปตฺติํ สมฺภาวยมาโน กถาปวตฺตนตฺถมฺปิ เอวมาหฯ อถ ภควา เวเนยฺยวเสน สเทวเก โลเก อคฺคกสฺสกวปฺปกภาวํ อตฺตโน ทเสฺสโนฺต อหมฺปิ โข พฺราหฺมโณติอาทิมาหฯ
Ayaṃ kirassa adhippāyo – mayhampi tāva kammantā na byāpajjanti, na camhi yathā tvaṃ evaṃ lakkhaṇasampanno, tvampi kasitvā ca vapitvā ca bhuñjassu, ko te attho na sampajjeyya evaṃ lakkhaṇasampannassāti. Apicāyaṃ assosi – ‘‘sakyarājakule kira kumāro uppanno, so cakkavattirajjaṃ pahāya pabbajito’’ti. Tasmā idāni ‘‘ayaṃ so’’ti ñatvā ‘‘cakkavattirajjaṃ pahāya kilantosī’’ti upārambhaṃ āropento evamāha. Apica tikkhapañño esa brāhmaṇo, na bhagavantaṃ apasādento bhaṇati, bhagavato pana rūpasampattiṃ disvā puññasampattiṃ sambhāvayamāno kathāpavattanatthampi evamāha. Atha bhagavā veneyyavasena sadevake loke aggakassakavappakabhāvaṃ attano dassento ahampi kho brāhmaṇotiādimāha.
อถ พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ สมโณ’’ ‘อหมฺปิ กสามิ จ วปามิ จา’ติ ภณติฯ น จสฺส โอฬาริกานิ ยุคนงฺคลาทีนิ กสิภณฺฑานิ ปสฺสามิ, กิํ นุ โข มุสา ภณตี’’ติ? ภควนฺตํ ปาทตลโต ปฎฺฐาย ยาว เกสคฺคา โอโลกยมาโน, องฺควิชฺชาย กตาธิการตฺตา ทฺวตฺติํสวรลกฺขณสมฺปตฺติมสฺส ญตฺวา, ‘‘อฎฺฐานเมตํ ยํ เอวรูโป มุสา ภเณยฺยา’’ติ สญฺชาตพหุมาโน ภควติ สมณวาทํ ปหาย โคเตฺตน ภควนฺตํ สมุทาจรมาโน น โข ปน มยํ ปสฺสาม โภโต โคตมสฺสาติอาทิมาหฯ ภควา ปน ยสฺมา ปุพฺพธมฺมสภาคตาย กถนํ นาม พุทฺธานํ อานุภาโว, ตสฺมา พุทฺธานุภาวํ ทีเปโนฺต สทฺธา พีชนฺติอาทิมาหฯ
Atha brāhmaṇo cintesi – ‘‘ayaṃ samaṇo’’ ‘ahampi kasāmi ca vapāmi cā’ti bhaṇati. Na cassa oḷārikāni yuganaṅgalādīni kasibhaṇḍāni passāmi, kiṃ nu kho musā bhaṇatī’’ti? Bhagavantaṃ pādatalato paṭṭhāya yāva kesaggā olokayamāno, aṅgavijjāya katādhikārattā dvattiṃsavaralakkhaṇasampattimassa ñatvā, ‘‘aṭṭhānametaṃ yaṃ evarūpo musā bhaṇeyyā’’ti sañjātabahumāno bhagavati samaṇavādaṃ pahāya gottena bhagavantaṃ samudācaramāno na kho pana mayaṃ passāma bhoto gotamassātiādimāha. Bhagavā pana yasmā pubbadhammasabhāgatāya kathanaṃ nāma buddhānaṃ ānubhāvo, tasmā buddhānubhāvaṃ dīpento saddhā bījantiādimāha.
กา ปเนตฺถ ปุพฺพธมฺมสภาคตา? นนุ พฺราหฺมเณน ภควา นงฺคลาทิกสิสมฺภารสมาโยคํ ปุโฎฺฐ อปุจฺฉิตสฺส พีชสฺส สภาคตาย อาห ‘‘สทฺธา พีช’’นฺติ, เอวญฺจ สติ กถาปิ อนนุสนฺธิกา โหติ? น หิ พุทฺธานํ อนนุสนฺธิกกถา นาม อตฺถิ, นปิ ปุพฺพธมฺมสฺส อสภาคตาย กเถนฺติฯ เอวํ ปเนตฺถ อนุสนฺธิ เวทิตพฺพา – พฺราหฺมเณน หิ ภควา ยุคนงฺคลาทิกสิสมฺภารวเสน กสิํ ปุจฺฉิโตฯ โส ตสฺส อนุกมฺปาย ‘‘อิทํ อปุจฺฉิต’’นฺติ อปริหาเปตฺวา สมูลํ สอุปการํ สสมฺภารํ สผลํ กสิํ ปญฺญาเปตุํ มูลโต ปฎฺฐาย ทเสฺสโนฺต ‘‘สทฺธา พีช’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ พีชํ กสิยา มูลํ, ตสฺมิํ สติ กตฺตพฺพโต, อสติ อกตฺตพฺพโต, ตปฺปมาเณน จ กตฺตพฺพโตฯ พีเช หิ สติ กสิํ กโรนฺติ, น อสติฯ พีชปฺปมาเณน จ กุสลา กสฺสกา เขตฺตํ กสนฺติ, น อูนํ ‘‘มา โน สสฺสํ ปริหายี’’ติ, น อธิกํ ‘‘มา โน โมโฆ วายาโม อโหสี’’ติฯ ยสฺมา จ พีชเมว มูลํ, ตสฺมา ภควา มูลโต ปฎฺฐาย กสิสมฺภารํ ทเสฺสโนฺต ตสฺส พฺราหฺมณสฺส กสิยา ปุพฺพธมฺมสฺส พีชสฺส สภาคตาย อตฺตโน กสิยา ปุพฺพธมฺมํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘สทฺธา พีช’’นฺติฯ เอวเมตฺถ ปุพฺพธมฺมสภาคตาปิ เวทิตพฺพาฯ
Kā panettha pubbadhammasabhāgatā? Nanu brāhmaṇena bhagavā naṅgalādikasisambhārasamāyogaṃ puṭṭho apucchitassa bījassa sabhāgatāya āha ‘‘saddhā bīja’’nti, evañca sati kathāpi ananusandhikā hoti? Na hi buddhānaṃ ananusandhikakathā nāma atthi, napi pubbadhammassa asabhāgatāya kathenti. Evaṃ panettha anusandhi veditabbā – brāhmaṇena hi bhagavā yuganaṅgalādikasisambhāravasena kasiṃ pucchito. So tassa anukampāya ‘‘idaṃ apucchita’’nti aparihāpetvā samūlaṃ saupakāraṃ sasambhāraṃ saphalaṃ kasiṃ paññāpetuṃ mūlato paṭṭhāya dassento ‘‘saddhā bīja’’ntiādimāha. Tattha bījaṃ kasiyā mūlaṃ, tasmiṃ sati kattabbato, asati akattabbato, tappamāṇena ca kattabbato. Bīje hi sati kasiṃ karonti, na asati. Bījappamāṇena ca kusalā kassakā khettaṃ kasanti, na ūnaṃ ‘‘mā no sassaṃ parihāyī’’ti, na adhikaṃ ‘‘mā no mogho vāyāmo ahosī’’ti. Yasmā ca bījameva mūlaṃ, tasmā bhagavā mūlato paṭṭhāya kasisambhāraṃ dassento tassa brāhmaṇassa kasiyā pubbadhammassa bījassa sabhāgatāya attano kasiyā pubbadhammaṃ dassento āha ‘‘saddhā bīja’’nti. Evamettha pubbadhammasabhāgatāpi veditabbā.
ปุจฺฉิตํเยว วตฺวา อปุจฺฉิตํ ปจฺฉา กิํ น วุตฺตนฺติ เจ? ตสฺส อุปการภาวโต จ ธมฺมสมฺพนฺธสมตฺถภาวโต จฯ อยํ หิ พฺราหฺมโณ ปญฺญวา, มิจฺฉาทิฎฺฐิกุเล ปน ชาตตฺตา สทฺธารหิโต, สทฺธารหิโต จ ปญฺญวา ปเรสํ สทฺธาย อตฺตโน อวิสเย อปฎิปชฺชมาโน วิเสสํ นาธิคจฺฉติ, กิเลสกาลุสฺสิยปรามฎฺฐาปิ จสฺส ทุพฺพลา สทฺธา พลวติยา ปญฺญาย สหสา วตฺตมานา อตฺถสิทฺธิํ น กโรติ หตฺถินา สทฺธิํ เอกธุเร ยุโตฺต โคโณ วิยฯ อิติสฺส สทฺธา อุปการิกาติ ตํ พฺราหฺมณํ สทฺธาย ปติฎฺฐาเปเนฺตน ปจฺฉาปิ วตฺตโพฺพ อยมโตฺถ เทสนากุสลตาย ปุเพฺพ วุโตฺตฯ พีชสฺส จ อุปการิกา วุฎฺฐิ, สา ตทนนฺตรํเยว วุจฺจมานา สมตฺถา โหติฯ เอวํ ธมฺมสมฺพนฺธสมตฺถภาวโต ปจฺฉาปิ วตฺตโพฺพ อยมโตฺถ, อโญฺญ จ เอวรูโป อีสาโยตฺตาทิ ปุเพฺพ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
Pucchitaṃyeva vatvā apucchitaṃ pacchā kiṃ na vuttanti ce? Tassa upakārabhāvato ca dhammasambandhasamatthabhāvato ca. Ayaṃ hi brāhmaṇo paññavā, micchādiṭṭhikule pana jātattā saddhārahito, saddhārahito ca paññavā paresaṃ saddhāya attano avisaye apaṭipajjamāno visesaṃ nādhigacchati, kilesakālussiyaparāmaṭṭhāpi cassa dubbalā saddhā balavatiyā paññāya sahasā vattamānā atthasiddhiṃ na karoti hatthinā saddhiṃ ekadhure yutto goṇo viya. Itissa saddhā upakārikāti taṃ brāhmaṇaṃ saddhāya patiṭṭhāpentena pacchāpi vattabbo ayamattho desanākusalatāya pubbe vutto. Bījassa ca upakārikā vuṭṭhi, sā tadanantaraṃyeva vuccamānā samatthā hoti. Evaṃ dhammasambandhasamatthabhāvato pacchāpi vattabbo ayamattho, añño ca evarūpo īsāyottādi pubbe vuttoti veditabbo.
ตตฺถ สมฺปสาทลกฺขณา สทฺธา, โอกปฺปนลกฺขณา วาฯ พีชนฺติ ปญฺจวิธํ พีชํ มูลพีชํ ขนฺธพีชํ ผลุพีชํ อคฺคพีชํ พีชพีชเมว ปญฺจมนฺติฯ ตํ สพฺพมฺปิ วิรุหณเฎฺฐน พีชเนฺตว สงฺขํ คจฺฉติฯ
Tattha sampasādalakkhaṇā saddhā, okappanalakkhaṇā vā. Bījanti pañcavidhaṃ bījaṃ mūlabījaṃ khandhabījaṃ phalubījaṃ aggabījaṃ bījabījameva pañcamanti. Taṃ sabbampi viruhaṇaṭṭhena bījanteva saṅkhaṃ gacchati.
ตตฺถ ยถา พฺราหฺมณสฺส กสิยา มูลภูตํ พีชํ เทฺว กิจฺจานิ กโรติ, เหฎฺฐา มูเลน ปติฎฺฐาติ, อุปริ องฺกุรํ อุฎฺฐาเปติ, เอวํ ภควโต กสิยา มูลภูตา สทฺธา เหฎฺฐา สีลมูเลน ปติฎฺฐาติ , อุปริ สมถวิปสฺสนงฺกุรํ อุฎฺฐาเปติฯ ยถา จ ตํ มูเลน ปถวิรสํ อาโปรสํ คเหตฺวา นาเฬน ธญฺญปริปากคหณตฺถํ วฑฺฒติ, เอวมยํ สีลมูเลน สมถวิปสฺสนารสํ คเหตฺวา อริยมคฺคนาเฬน อริยผลธญฺญปริปากคหณตฺถํ วฑฺฒติฯ ยถา จ ตํ สุภูมิยํ ปติฎฺฐหิตฺวา มูลงฺกุรปณฺณนาฬกณฺฑปสเวหิ วุทฺธิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ ปตฺวา ขีรํ ชเนตฺวา อเนกสาลิผลภริตํ สาลิสีสํ นิปฺผาเทติ, เอวเมสา จิตฺตสนฺตาเน ปติฎฺฐหิตฺวา ฉหิ วิสุทฺธีหิ วุทฺธิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ ปตฺวา ญาณทสฺสนวิสุทฺธิขีรํ ชเนตฺวา อเนกปฎิสมฺภิทาภิญฺญาภริตํ อรหตฺตผลํ นิปฺผาเทติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สทฺธา พีช’’นฺติฯ
Tattha yathā brāhmaṇassa kasiyā mūlabhūtaṃ bījaṃ dve kiccāni karoti, heṭṭhā mūlena patiṭṭhāti, upari aṅkuraṃ uṭṭhāpeti, evaṃ bhagavato kasiyā mūlabhūtā saddhā heṭṭhā sīlamūlena patiṭṭhāti , upari samathavipassanaṅkuraṃ uṭṭhāpeti. Yathā ca taṃ mūlena pathavirasaṃ āporasaṃ gahetvā nāḷena dhaññaparipākagahaṇatthaṃ vaḍḍhati, evamayaṃ sīlamūlena samathavipassanārasaṃ gahetvā ariyamagganāḷena ariyaphaladhaññaparipākagahaṇatthaṃ vaḍḍhati. Yathā ca taṃ subhūmiyaṃ patiṭṭhahitvā mūlaṅkurapaṇṇanāḷakaṇḍapasavehi vuddhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ patvā khīraṃ janetvā anekasāliphalabharitaṃ sālisīsaṃ nipphādeti, evamesā cittasantāne patiṭṭhahitvā chahi visuddhīhi vuddhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ patvā ñāṇadassanavisuddhikhīraṃ janetvā anekapaṭisambhidābhiññābharitaṃ arahattaphalaṃ nipphādeti. Tena vuttaṃ ‘‘saddhā bīja’’nti.
กสฺมา ปน อเญฺญสุ ปโรปญฺญาสาย กุสลธเมฺมสุ เอกโต อุปฺปชฺชมาเนสุ สทฺธาว ‘‘พีช’’นฺติ วุตฺตาติ เจ? พีชกิจฺจกรณโตฯ ยถา หิ เตสุ วิญฺญาณํเยว วิชานนกิจฺจํ กโรติ, เอวํ สทฺธา พีชกิจฺจํฯ สา จ สพฺพกุสลานํ มูลภูตาฯ ยถาห – ‘‘สทฺธาชาโต อุปสงฺกมติ, อุปสงฺกมโนฺต ปยิรุปาสติ…เป.… ปญฺญาย จ นํ อติวิชฺฌ ปสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๓)ฯ
Kasmā pana aññesu paropaññāsāya kusaladhammesu ekato uppajjamānesu saddhāva ‘‘bīja’’nti vuttāti ce? Bījakiccakaraṇato. Yathā hi tesu viññāṇaṃyeva vijānanakiccaṃ karoti, evaṃ saddhā bījakiccaṃ. Sā ca sabbakusalānaṃ mūlabhūtā. Yathāha – ‘‘saddhājāto upasaṅkamati, upasaṅkamanto payirupāsati…pe… paññāya ca naṃ ativijjha passatī’’ti (ma. ni. 2.183).
อกุสลธเมฺม เจว กายญฺจ ตปตีติ ตโปฯ อินฺทฺริยสํวรวีริยธุตงฺคทุกฺกรการิกานํ เอตํ อธิวจนํ, อิธ ปน อินฺทฺริยสํวโร อธิเปฺปโตฯ วุฎฺฐีติ วสฺสวุฎฺฐิ วาตวุฎฺฐีติอาทิ อเนกวิธา, อิธ วสฺสวุฎฺฐิ อธิเปฺปตาฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส วสฺสวุฎฺฐิสมนุคฺคหิตํ พีชํ พีชมูลกญฺจ สสฺสํ วิรุหติ น มิลายติ นิปฺผตฺติํ คจฺฉติ, เอวํ ภควโต อินฺทฺริยสํวรสมนุคฺคหิตา สทฺธา, สทฺธามูลา จ สีลาทโย ธมฺมา วิรุหนฺติ, น มิลายนฺติ นิปฺผตฺติํ คจฺฉนฺติฯ เตนาห ‘‘ตโป วุฎฺฐี’’ติฯ
Akusaladhamme ceva kāyañca tapatīti tapo. Indriyasaṃvaravīriyadhutaṅgadukkarakārikānaṃ etaṃ adhivacanaṃ, idha pana indriyasaṃvaro adhippeto. Vuṭṭhīti vassavuṭṭhi vātavuṭṭhītiādi anekavidhā, idha vassavuṭṭhi adhippetā. Yathā hi brāhmaṇassa vassavuṭṭhisamanuggahitaṃ bījaṃ bījamūlakañca sassaṃ viruhati na milāyati nipphattiṃ gacchati, evaṃ bhagavato indriyasaṃvarasamanuggahitā saddhā, saddhāmūlā ca sīlādayo dhammā viruhanti, na milāyanti nipphattiṃ gacchanti. Tenāha ‘‘tapo vuṭṭhī’’ti.
ปญฺญา เมติ เอตฺถ วุโตฺต เม-สโทฺท ปุริมปเทสุปิ โยเชตโพฺพ ‘‘สทฺธา เม พีชํ, ตโป เม วุฎฺฐี’’ติ เตน กิํ ทีเปติ? ยถา, พฺราหฺมณ, ตยา วปิเต เขเตฺต สเจ วุฎฺฐิ อตฺถิ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ อตฺถิ, อุทกมฺปิ ตาว ทาตพฺพํ โหติฯ ตถา มยา หิริอีเส ปญฺญายุคนงฺคเล มโนโยเตฺตน เอกาพเทฺธ กเต วีริยพลีพเทฺท โยเชตฺวา สติปาจเนน วิชฺฌิตฺวา อตฺตโน จิตฺตสนฺตานเขตฺตมฺหิ สทฺธาพีเช วปิเต วุฎฺฐิยา อภาโว นาม นตฺถิ, อยํ ปน เม นิจฺจกาลํ อินฺทฺริยสํวรตโป วุฎฺฐีติฯ
Paññā meti ettha vutto me-saddo purimapadesupi yojetabbo ‘‘saddhā me bījaṃ, tapo me vuṭṭhī’’ti tena kiṃ dīpeti? Yathā, brāhmaṇa, tayā vapite khette sace vuṭṭhi atthi, iccetaṃ kusalaṃ. No ce atthi, udakampi tāva dātabbaṃ hoti. Tathā mayā hiriīse paññāyuganaṅgale manoyottena ekābaddhe kate vīriyabalībadde yojetvā satipācanena vijjhitvā attano cittasantānakhettamhi saddhābīje vapite vuṭṭhiyā abhāvo nāma natthi, ayaṃ pana me niccakālaṃ indriyasaṃvaratapo vuṭṭhīti.
ปญฺญาติ กามาวจราทิเภทโต อเนกวิธาฯ อิธ ปน สห วิปสฺสนาย มคฺคปญฺญา อธิเปฺปตาฯ ยุคนงฺคลนฺติ ยุคญฺจ นงฺคลญฺจ ยุคนงฺคลํฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส ยุคนงฺคลํ, เอวํ ภควโต ทุวิธาปิ วิปสฺสนา ปญฺญา จฯ ตตฺถ ยถา ยุคํ อีสาย อุปนิสฺสยํ โหติ, ปุรโต จ อีสาพทฺธํ โหติ, โยตฺตานํ นิสฺสยํ โหติ, พลีพทฺทานํ เอกโต คมนํ ธาเรติ, เอวํ ปญฺญา หิริปฺปมุขานํ ธมฺมานํ อุปนิสฺสยา โหติฯ ยถาห – ‘‘ปญฺญุตฺตรา สเพฺพ กุสลา ธมฺมา’’ติ (อ. นิ. ๘.๘๓; ๑๐.๕๘) จ, ‘‘ปญฺญา หิ เสฎฺฐา กุสลา วทนฺติ, นกฺขตฺตราชาริว ตารกาน’’นฺติ (ชา. ๒.๑๗.๘๑) จฯ กุสลานํ ธมฺมานํ ปุพฺพงฺคมเฎฺฐน ปุรโต จ โหติฯ ยถาห – ‘‘สีลํ สิรี จาปิ สตญฺจ ธโมฺม, อนฺวายิกา ปญฺญวโต ภวนฺตี’’ติ หิริวิปฺปโยเคน อนุปฺปตฺติโต ปน อีสาพโทฺธ โหติฯ มโนสงฺขาตสฺส สมาธิโยตฺตสฺส นิสฺสยปจฺจยโต โยตฺตานํ นิสฺสโย โหติฯ อจฺจารทฺธาติลีนภาวปฎิเสธนโต วีริยพลีพทฺทานํ เอกโต คมนํ ธาเรติ, ยถา จ นงฺคลํ ผาลยุตฺตํ กสนกาเล ปถวิฆนํ ภินฺทติ, มูลสนฺตานกานิ ปทาเลติ, เอวํ สติยุตฺตา ปญฺญา วิปสฺสนากาเล ธมฺมานํ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณฆนํ ภินฺทติ, สพฺพกิเลสมูลสนฺตานกานิ ปทาเลติฯ สา จ โข โลกุตฺตราว, อิตรา ปน โลกิกาปิ สิยาฯ เตนาห ‘‘ปญฺญา เม ยุคนงฺคล’’นฺติฯ
Paññāti kāmāvacarādibhedato anekavidhā. Idha pana saha vipassanāya maggapaññā adhippetā. Yuganaṅgalanti yugañca naṅgalañca yuganaṅgalaṃ. Yathā hi brāhmaṇassa yuganaṅgalaṃ, evaṃ bhagavato duvidhāpi vipassanā paññā ca. Tattha yathā yugaṃ īsāya upanissayaṃ hoti, purato ca īsābaddhaṃ hoti, yottānaṃ nissayaṃ hoti, balībaddānaṃ ekato gamanaṃ dhāreti, evaṃ paññā hirippamukhānaṃ dhammānaṃ upanissayā hoti. Yathāha – ‘‘paññuttarā sabbe kusalā dhammā’’ti (a. ni. 8.83; 10.58) ca, ‘‘paññā hi seṭṭhā kusalā vadanti, nakkhattarājāriva tārakāna’’nti (jā. 2.17.81) ca. Kusalānaṃ dhammānaṃ pubbaṅgamaṭṭhena purato ca hoti. Yathāha – ‘‘sīlaṃ sirī cāpi satañca dhammo, anvāyikā paññavato bhavantī’’ti hirivippayogena anuppattito pana īsābaddho hoti. Manosaṅkhātassa samādhiyottassa nissayapaccayato yottānaṃ nissayo hoti. Accāraddhātilīnabhāvapaṭisedhanato vīriyabalībaddānaṃ ekato gamanaṃ dhāreti, yathā ca naṅgalaṃ phālayuttaṃ kasanakāle pathavighanaṃ bhindati, mūlasantānakāni padāleti, evaṃ satiyuttā paññā vipassanākāle dhammānaṃ santatisamūhakiccārammaṇaghanaṃ bhindati, sabbakilesamūlasantānakāni padāleti. Sā ca kho lokuttarāva, itarā pana lokikāpi siyā. Tenāha ‘‘paññā me yuganaṅgala’’nti.
หิรียติ ปาปเกหิ ธเมฺมหีติ หิรีฯ ตคฺคหเณน ตาย อวิปฺปยุตฺตํ โอตฺตปฺปมฺปิ คหิตเมว โหติฯ อีสาติ ยุคนงฺคลสนฺธาริกา รุกฺขลฎฺฐิฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส อีสา ยุคนงฺคลํ ธาเรติ, เอวํ ภควโตปิ หิรี โลกิยโลกุตฺตรปญฺญาสงฺขาตํ ยุคนงฺคลํ ธาเรติ หิริอภาเว ปญฺญาย อภาวโตฯ ยถา จ อีสาปฎิพทฺธยุคนงฺคลํ กิจฺจกรํ โหติ อจลํ อสิถิลํ, เอวํ หิริปฎิพทฺธา จ ปญฺญา กิจฺจการี โหติ อจลา อสิถิลา อโพฺพกิณฺณา อหิริเกนฯ เตนาห ‘‘หิรี อีสา’’ติฯ มุนาตีติ มโน, จิตฺตเสฺสตํ นามํฯ อิธ ปน มโนสีเสน ตํสมฺปยุโตฺต สมาธิ อธิเปฺปโตฯ โยตฺตนฺติ รชฺชุพนฺธนํฯ ตํ ติวิธํ อีสาย สห ยุคสฺส พนฺธนํ, ยุเคน สห พลีพทฺทานํ พนฺธนํ, สารถินา สห พลีพทฺทานํ เอกาพนฺธนนฺติฯ ตตฺถ ยถา พฺราหฺมณสฺส โยตฺตํ อีสายุคพลีพเทฺท เอกาพเทฺธ กตฺวา สกกิเจฺจ ปฎิปาเทติ, เอวํ ภควโต สมาธิ สเพฺพว เต หิริปญฺญาวีริยธเมฺม เอการมฺมเณ อวิเกฺขปสภาเวน พนฺธิตฺวา สกกิเจฺจ ปฎิปาเทติฯ เตนาห ‘‘มโน โยตฺต’’นฺติฯ
Hirīyati pāpakehi dhammehīti hirī. Taggahaṇena tāya avippayuttaṃ ottappampi gahitameva hoti. Īsāti yuganaṅgalasandhārikā rukkhalaṭṭhi. Yathā hi brāhmaṇassa īsā yuganaṅgalaṃ dhāreti, evaṃ bhagavatopi hirī lokiyalokuttarapaññāsaṅkhātaṃ yuganaṅgalaṃ dhāreti hiriabhāve paññāya abhāvato. Yathā ca īsāpaṭibaddhayuganaṅgalaṃ kiccakaraṃ hoti acalaṃ asithilaṃ, evaṃ hiripaṭibaddhā ca paññā kiccakārī hoti acalā asithilā abbokiṇṇā ahirikena. Tenāha ‘‘hirī īsā’’ti. Munātīti mano, cittassetaṃ nāmaṃ. Idha pana manosīsena taṃsampayutto samādhi adhippeto. Yottanti rajjubandhanaṃ. Taṃ tividhaṃ īsāya saha yugassa bandhanaṃ, yugena saha balībaddānaṃ bandhanaṃ, sārathinā saha balībaddānaṃ ekābandhananti. Tattha yathā brāhmaṇassa yottaṃ īsāyugabalībadde ekābaddhe katvā sakakicce paṭipādeti, evaṃ bhagavato samādhi sabbeva te hiripaññāvīriyadhamme ekārammaṇe avikkhepasabhāvena bandhitvā sakakicce paṭipādeti. Tenāha ‘‘mano yotta’’nti.
จิรกตาทิมตฺถํ สรตีติ สติฯ ผาเลตีติ ผาโลฯ ปาเชนฺติ เอเตนาติ ปาชนํฯ ตํ อิธ ‘‘ปาจน’’นฺติ วุตฺตํฯ ปโตทเสฺสตํ นามํฯ ผาโล จ ปาจนญฺจ ผาลปาจนํฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส ผาลปาจนํ, เอวํ ภควโต วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตา มคฺคสมฺปยุตฺตา จ สติฯ ตตฺถ ยถา ผาโล นงฺคลํ อนุรกฺขติ, ปุรโต จสฺส คจฺฉติ, เอวํ สติ กุสลากุสลานํ ธมฺมานํ คติโย สมเนฺวสมานา อารมฺมเณ วา อุปฎฺฐาปยมานา ปญฺญานงฺคลํ รกฺขติฯ เตเนเวสา ‘‘สตารเกฺขน เจตสา วิหรตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๑๐.๒๐) วิย อารกฺขาติ วุตฺตาฯ อปฺปมุสฺสนวเสน จสฺสา ปุรโต โหติฯ สติปริจิเต หิ ธเมฺม ปญฺญา ปชานาติ, โน ปมุเฎฺฐฯ ยถา จ ปาจนํ พลีพทฺทานํ วิชฺฌนภยํ ทเสฺสนฺตํ สํสีทิตุํ น เทติ, อุปฺปถคมนํ วาเรติ, เอวํ สติ วีริยพลีพทฺทานํ อปายภยํ ทเสฺสนฺตี โกสชฺชสํสีทนํ น เทติ, กามคุณสงฺขาเต อโคจเร จารํ นิวาเรตฺวา กมฺมฎฺฐาเน นิโยเชนฺตี อุปฺปถคมนํ วาเรติฯ เตนาห ‘‘สติ เม ผาลปาจน’’นฺติฯ
Cirakatādimatthaṃ saratīti sati. Phāletīti phālo. Pājenti etenāti pājanaṃ. Taṃ idha ‘‘pācana’’nti vuttaṃ. Patodassetaṃ nāmaṃ. Phālo ca pācanañca phālapācanaṃ. Yathā hi brāhmaṇassa phālapācanaṃ, evaṃ bhagavato vipassanāsampayuttā maggasampayuttā ca sati. Tattha yathā phālo naṅgalaṃ anurakkhati, purato cassa gacchati, evaṃ sati kusalākusalānaṃ dhammānaṃ gatiyo samanvesamānā ārammaṇe vā upaṭṭhāpayamānā paññānaṅgalaṃ rakkhati. Tenevesā ‘‘satārakkhena cetasā viharatī’’tiādīsu (a. ni. 10.20) viya ārakkhāti vuttā. Appamussanavasena cassā purato hoti. Satiparicite hi dhamme paññā pajānāti, no pamuṭṭhe. Yathā ca pācanaṃ balībaddānaṃ vijjhanabhayaṃ dassentaṃ saṃsīdituṃ na deti, uppathagamanaṃ vāreti, evaṃ sati vīriyabalībaddānaṃ apāyabhayaṃ dassentī kosajjasaṃsīdanaṃ na deti, kāmaguṇasaṅkhāte agocare cāraṃ nivāretvā kammaṭṭhāne niyojentī uppathagamanaṃ vāreti. Tenāha ‘‘sati me phālapācana’’nti.
กายคุโตฺตติ ติวิเธน กายสุจริเตน คุโตฺตฯ วจีคุโตฺตติ จตุพฺพิเธน วจีสุจริเตน คุโตฺตฯ เอตฺตาวตา ปาติโมกฺขสํวรสีลํ วุตฺตํฯ อาหาเร อุทเร ยโตติ เอตฺถ อาหารมุเขน สพฺพปจฺจยานํ คหิตตฺตา จตุพฺพิเธปิ ปจฺจเย ยโต สํยโต นิรุปกฺกิเลโสติ อโตฺถฯ อิมินา อาชีวปาริสุทฺธิสีลํ วุตฺตํฯ อุทเร ยโตติ อุทเร ยโต สํยโต มิตโภชี, อาหาเร มตฺตญฺญูติ วุตฺตํ โหติฯ อิมินา โภชเน มตฺตญฺญุตามุเขน ปจฺจยปฎิเสวนสีลํ วุตฺตํฯ เตน กิํ ทีเปติ? ยถา ตฺวํ, พฺราหฺมณ, พีชํ วปิตฺวา สสฺสปริปาลนตฺถํ กณฺฎกวติํ วา รุกฺขวติํ วา ปาการปริเกฺขปํ วา กโรสิ, เตน เต โคมหิํสมิคคณา ปเวสํ อลภนฺตา สสฺสํ น วิลุมฺปนฺติ, เอวมหมฺปิ ตํ สทฺธาพีชํ วปิตฺวา นานปฺปการกุสลสสฺสปริปาลนตฺถํ กายวจีอาหารคุตฺติมยํ ติวิธํ ปริเกฺขปํ กโรมิ , เตน เม ราคาทิอกุสลธมฺมโคมหิํสมิคคณา ปเวสํ อลภนฺตา นานปฺปการกํ กุสลสสฺสํ น วิลุมฺปนฺตีติฯ
Kāyaguttoti tividhena kāyasucaritena gutto. Vacīguttoti catubbidhena vacīsucaritena gutto. Ettāvatā pātimokkhasaṃvarasīlaṃ vuttaṃ. Āhāre udare yatoti ettha āhāramukhena sabbapaccayānaṃ gahitattā catubbidhepi paccaye yato saṃyato nirupakkilesoti attho. Iminā ājīvapārisuddhisīlaṃ vuttaṃ. Udare yatoti udare yato saṃyato mitabhojī, āhāre mattaññūti vuttaṃ hoti. Iminā bhojane mattaññutāmukhena paccayapaṭisevanasīlaṃ vuttaṃ. Tena kiṃ dīpeti? Yathā tvaṃ, brāhmaṇa, bījaṃ vapitvā sassaparipālanatthaṃ kaṇṭakavatiṃ vā rukkhavatiṃ vā pākāraparikkhepaṃ vā karosi, tena te gomahiṃsamigagaṇā pavesaṃ alabhantā sassaṃ na vilumpanti, evamahampi taṃ saddhābījaṃ vapitvā nānappakārakusalasassaparipālanatthaṃ kāyavacīāhāraguttimayaṃ tividhaṃ parikkhepaṃ karomi , tena me rāgādiakusaladhammagomahiṃsamigagaṇā pavesaṃ alabhantā nānappakārakaṃ kusalasassaṃ na vilumpantīti.
สจฺจํ กโรมิ นิทฺทานนฺติ เอตฺถ ทฺวีหากาเรหิ อวิสํวาทนํ สจฺจํฯ นิทฺทานนฺติ เฉทนํ ลุนนํ อุปฺปาฎนํ ฯ กรณเตฺถ เจตํ อุปโยควจนํ เวทิตพฺพํฯ อยํ เหตฺถ อโตฺถ ‘‘สเจฺจน กโรมิ นิทฺทาน’’นฺติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยถา ตฺวํ พาหิรํ กสิํ กตฺวา สสฺสทูสกานํ ติณานํ หเตฺถน วา อสิเตน วา นิทฺทานํ กโรสิ, เอวํ อหมฺปิ อชฺฌตฺติกํ กสิํ กตฺวา กุสลสสฺสทูสกานํ วิสํวาทนติณานํ สเจฺจน นิทฺทานํ กโรมี’’ติฯ ยถาภูตญาณํ วา เอตฺถ สจฺจนฺติ เวทิตพฺพํฯ เตน อตฺตสญฺญาทีนํ ติณานํ นิทฺทานํ กโรมีติ ทเสฺสติฯ อถ วา นิทฺทานนฺติ เฉทกํ ลาวกํ อุปฺปาฎกนฺติ อโตฺถฯ ยถา ตฺวํ ทาสํ วา กมฺมกรํ วา นิทฺทานํ กโรสิ, ‘‘นิเทฺทหิ ติณานี’’ติ ติณานํ เฉทกํ ลาวกํ อุปฺปาฎกํ กโรสิ, เอวมหํ สจฺจํ กโรมีติ ทเสฺสติ, อถ วา สจฺจนฺติ ทิฎฺฐิสจฺจํฯ ตมหํ นิทฺทานํ กโรมิ, ฉินฺทิตพฺพํ ลุนิตพฺพํ อุปฺปาเฎตพฺพํ กโรมีติฯ อิติ อิเมสุ ทฺวีสุ วิกเปฺปสุ อุปโยเคเนวโตฺถ ยุชฺชติฯ
Saccaṃ karomi niddānanti ettha dvīhākārehi avisaṃvādanaṃ saccaṃ. Niddānanti chedanaṃ lunanaṃ uppāṭanaṃ . Karaṇatthe cetaṃ upayogavacanaṃ veditabbaṃ. Ayaṃ hettha attho ‘‘saccena karomi niddāna’’nti. Kiṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yathā tvaṃ bāhiraṃ kasiṃ katvā sassadūsakānaṃ tiṇānaṃ hatthena vā asitena vā niddānaṃ karosi, evaṃ ahampi ajjhattikaṃ kasiṃ katvā kusalasassadūsakānaṃ visaṃvādanatiṇānaṃ saccena niddānaṃ karomī’’ti. Yathābhūtañāṇaṃ vā ettha saccanti veditabbaṃ. Tena attasaññādīnaṃ tiṇānaṃ niddānaṃ karomīti dasseti. Atha vā niddānanti chedakaṃ lāvakaṃ uppāṭakanti attho. Yathā tvaṃ dāsaṃ vā kammakaraṃ vā niddānaṃ karosi, ‘‘niddehi tiṇānī’’ti tiṇānaṃ chedakaṃ lāvakaṃ uppāṭakaṃ karosi, evamahaṃ saccaṃ karomīti dasseti, atha vā saccanti diṭṭhisaccaṃ. Tamahaṃ niddānaṃ karomi, chinditabbaṃ lunitabbaṃ uppāṭetabbaṃ karomīti. Iti imesu dvīsu vikappesu upayogenevattho yujjati.
โสรจฺจํ เม ปโมจนนฺติ เอตฺถ ยํ ตํ ‘‘กายิโก อวีติกฺกโม วาจสิโก อวีติกฺกโม’’ติ สีลเมว ‘‘โสรจฺจ’’นฺติ วุตฺตํ, น ตํ อธิเปฺปตํฯ ‘‘กายคุโตฺต’’ติอาทินา หิ ตํ วุตฺตเมวฯ อรหตฺตผลํ ปน อธิเปฺปตํฯ ตํ หิ สุนฺทเร นิพฺพาเน รตตฺตา ‘‘โสรจฺจ’’นฺติ วุจฺจติฯ ปโมจนนฺติ โยควิสฺสชฺชนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา ตว ปโมจนํ ปุนปิ สายเนฺห วา ทุติยทิวเส วา อนาคตสํวจฺฉเร วา โยเชตพฺพโต อปฺปโมจนเมว โหติ, น มม เอวํฯ น หิ มม อนฺตรา โมจนํ นาม อตฺถิฯ อหํ หิ ทีปงฺกรทสพลกาลโต ปฎฺฐาย ปญฺญานงฺคเล วีริยพลีพเทฺท โยเชตฺวา กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ มหากสิํ กสโนฺต ตาว น มุญฺจิํ, ยาว น สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิํฯ ยทา จ เม สพฺพํ ตํ กาลํ เขเปตฺวา โพธิมูเล อปราชิตปลฺลเงฺก นิสินฺนสฺส สพฺพคุณปริวารํ อรหตฺตผลํ อุทปาทิ, ตทา มยา ตํ สพฺพุสฺสุกฺกปฎิปฺปสฺสทฺธิยา ปมุตฺตํ, น ทานิ ปุน โยเชตพฺพํ ภวิสฺสตีติฯ เอตมตฺถํ สนฺธายาห ‘‘โสรจฺจํ เม ปโมจน’’นฺติฯ
Soraccaṃ me pamocananti ettha yaṃ taṃ ‘‘kāyiko avītikkamo vācasiko avītikkamo’’ti sīlameva ‘‘soracca’’nti vuttaṃ, na taṃ adhippetaṃ. ‘‘Kāyagutto’’tiādinā hi taṃ vuttameva. Arahattaphalaṃ pana adhippetaṃ. Taṃ hi sundare nibbāne ratattā ‘‘soracca’’nti vuccati. Pamocananti yogavissajjanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā tava pamocanaṃ punapi sāyanhe vā dutiyadivase vā anāgatasaṃvacchare vā yojetabbato appamocanameva hoti, na mama evaṃ. Na hi mama antarā mocanaṃ nāma atthi. Ahaṃ hi dīpaṅkaradasabalakālato paṭṭhāya paññānaṅgale vīriyabalībadde yojetvā kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni mahākasiṃ kasanto tāva na muñciṃ, yāva na sammāsambodhiṃ abhisambujjhiṃ. Yadā ca me sabbaṃ taṃ kālaṃ khepetvā bodhimūle aparājitapallaṅke nisinnassa sabbaguṇaparivāraṃ arahattaphalaṃ udapādi, tadā mayā taṃ sabbussukkapaṭippassaddhiyā pamuttaṃ, na dāni puna yojetabbaṃ bhavissatīti. Etamatthaṃ sandhāyāha ‘‘soraccaṃ me pamocana’’nti.
วีริยํ เม ธุรโธรยฺหนฺติ เอตฺถ วีริยนฺติ กายิกเจตสิโก วีริยารโมฺภฯ ธุรโธรยฺหนฺติ ธุรายํ โธรยฺหํ, ธุราวหนฺติ อโตฺถฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส ธุรายํ โธรยฺหากฑฺฒิตํ นงฺคลํ ภูมิฆนํ ภินฺทติ, มูลสนฺตานกานิ จ ปทาเลติ, เอวํ ภควโต วีริยากฑฺฒิตํ ปญฺญานงฺคลํ ยถา วุตฺตํ ฆนํ ภินฺทติ, กิเลสสนฺตานกานิ จ ปทาเลติฯ เตนาห ‘‘วีริยํ เม ธุรโธรยฺห’’นฺติฯ อถ วา ปุริมธุราวหตฺตา ธุรา, มูลธุราวหตฺตา โธรยฺหา, ธุรา จ โธรยฺหา จ ธุรโธรยฺหาฯ อิติ ยถา พฺราหฺมณสฺส เอเกกสฺมิํ นงฺคเล จตุพลีพทฺทปเภทํ ธุรโธรยฺหํ วหนฺตํ อุปฺปนฺนุปฺปนฺนํ ติณมูลฆาตเญฺจว สสฺสสมฺปตฺติญฺจ สาเธติ, เอวํ ภควโต จตุสมฺมปฺปธานวีริยเภทํ ธุรโธรยฺหํ วหนฺตํ อุปฺปนฺนุปฺปนฺนํ อกุสลฆาตเญฺจว กุสลสมฺปตฺติญฺจ สาเธติฯ เตนาห ‘‘วีริยํ เม ธุรโธรยฺห’’นฺติฯ
Vīriyaṃme dhuradhorayhanti ettha vīriyanti kāyikacetasiko vīriyārambho. Dhuradhorayhanti dhurāyaṃ dhorayhaṃ, dhurāvahanti attho. Yathā hi brāhmaṇassa dhurāyaṃ dhorayhākaḍḍhitaṃ naṅgalaṃ bhūmighanaṃ bhindati, mūlasantānakāni ca padāleti, evaṃ bhagavato vīriyākaḍḍhitaṃ paññānaṅgalaṃ yathā vuttaṃ ghanaṃ bhindati, kilesasantānakāni ca padāleti. Tenāha ‘‘vīriyaṃ me dhuradhorayha’’nti. Atha vā purimadhurāvahattā dhurā, mūladhurāvahattā dhorayhā, dhurā ca dhorayhā ca dhuradhorayhā. Iti yathā brāhmaṇassa ekekasmiṃ naṅgale catubalībaddapabhedaṃ dhuradhorayhaṃ vahantaṃ uppannuppannaṃ tiṇamūlaghātañceva sassasampattiñca sādheti, evaṃ bhagavato catusammappadhānavīriyabhedaṃ dhuradhorayhaṃ vahantaṃ uppannuppannaṃ akusalaghātañceva kusalasampattiñca sādheti. Tenāha ‘‘vīriyaṃ me dhuradhorayha’’nti.
โยคเกฺขมาธิวาหนนฺติ เอตฺถ โยเคหิ เขมตฺตา นิพฺพานํ โยคเกฺขมํ นาม, ตํ อธิกิจฺจ วาหียติ, อภิมุขํ วา วาหียตีติ อธิวาหนํ, โยคเกฺขมสฺส อธิวาหนํ โยคเกฺขมาธิวาหนนฺติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา ตว ธุรโธรยฺหํ ปุรตฺถิมาทีสุ อญฺญตรทิสาภิมุขํ วาหียติ, ตถา มม ธุรโธรยฺหํ นิพฺพานาภิมุขํ วาหียตีติฯ เอวํ วาหียมานํว คจฺฉติ อนิวตฺตนฺตํฯ ยถา ตว นงฺคลํ วหนฺตํ ธุรโธรยฺหํ เขตฺตโกฎิํ ปตฺวา ปุน นิวตฺตติ, เอวํ อนิวตฺตนฺตํ ทีปงฺกรกาลโต ปฎฺฐาย คจฺฉเตวฯ ยสฺมา วา เตน เตน มเคฺคน ปหีนา กิเลสา น ปุนปฺปุนํ ปหาตพฺพา โหนฺติ, ยถา ตว นงฺคเลน ฉินฺนานิ ติณานิ ปุน อปรสฺมิํ สมเย ฉินฺทิตพฺพานิ โหนฺติ, ตสฺมาปิ เอวํ ปฐมมคฺควเสน ทิเฎฺฐกเฎฺฐ กิเลเส, ทุติยวเสน โอฬาริเก, ตติยวเสน อณุสหคเต, จตุตฺถวเสน สพฺพกิเลเส ปชหนฺตํ คจฺฉติ อนิวตฺตนฺตํฯ อถ วา คจฺฉติ อนิวตฺตนฺติ นิวตฺตนรหิตํ หุตฺวา คจฺฉตีติ อโตฺถฯ ตนฺติ ตํ ธุรโธรยฺหํฯ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอวํ คจฺฉนฺตญฺจ ยถา ตว ธุรโธรยฺหํ น ตํ ฐานํ คจฺฉติ, ยตฺถ คนฺตฺวา กสฺสโก อโสโก วิรโช หุตฺวา น โสจติฯ เอตํ ปน ตํ ฐานํ คจฺฉติ ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจติฯ ยตฺถ สติปาจเนน เอตํ วีริยธุรโธรยฺหํ โจเทโนฺต คนฺตฺวา มาทิโส กสฺสโก อโสโก วิรโช หุตฺวา น โสจติ, ตํ สพฺพโสกสลฺลสมุคฺฆาตภูตํ นิพฺพานํ นาม อสงฺขตํ ฐานํ คจฺฉตีติฯ
Yogakkhemādhivāhananti ettha yogehi khemattā nibbānaṃ yogakkhemaṃ nāma, taṃ adhikicca vāhīyati, abhimukhaṃ vā vāhīyatīti adhivāhanaṃ, yogakkhemassa adhivāhanaṃ yogakkhemādhivāhananti. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā tava dhuradhorayhaṃ puratthimādīsu aññataradisābhimukhaṃ vāhīyati, tathā mama dhuradhorayhaṃ nibbānābhimukhaṃ vāhīyatīti. Evaṃ vāhīyamānaṃva gacchati anivattantaṃ. Yathā tava naṅgalaṃ vahantaṃ dhuradhorayhaṃ khettakoṭiṃ patvā puna nivattati, evaṃ anivattantaṃ dīpaṅkarakālato paṭṭhāya gacchateva. Yasmā vā tena tena maggena pahīnā kilesā na punappunaṃ pahātabbā honti, yathā tava naṅgalena chinnāni tiṇāni puna aparasmiṃ samaye chinditabbāni honti, tasmāpi evaṃ paṭhamamaggavasena diṭṭhekaṭṭhe kilese, dutiyavasena oḷārike, tatiyavasena aṇusahagate, catutthavasena sabbakilese pajahantaṃ gacchati anivattantaṃ. Atha vā gacchati anivattanti nivattanarahitaṃ hutvā gacchatīti attho. Tanti taṃ dhuradhorayhaṃ. Evamettha attho veditabbo. Evaṃ gacchantañca yathā tava dhuradhorayhaṃ na taṃ ṭhānaṃ gacchati, yattha gantvā kassako asoko virajo hutvā na socati. Etaṃ pana taṃ ṭhānaṃ gacchati yattha gantvā na socati. Yattha satipācanena etaṃ vīriyadhuradhorayhaṃ codento gantvā mādiso kassako asoko virajo hutvā na socati, taṃ sabbasokasallasamugghātabhūtaṃ nibbānaṃ nāma asaṅkhataṃ ṭhānaṃ gacchatīti.
อิทานิ นิคมนํ กโรโนฺต เอวเมสา กสีติ คาถมาหฯ ตสฺสายํ สเงฺขปโตฺถ – ยสฺส, พฺราหฺมณ, เอสา สทฺธาพีชา ตโปวุฎฺฐิยา อนุคฺคหิตา กสี ปญฺญามยํ ยุคนงฺคลํ หิริมยญฺจ อีสํ มโนมเยน โยเตฺตน เอกาพทฺธํ กตฺวา ปญฺญานงฺคเลน สติผาลํ อาโกเฎตฺวา สติปาจนํ คเหตฺวา กายวจีอาหารคุตฺติยา โคเปตฺวา สจฺจํ นิทฺทานํ กตฺวา โสรจฺจปโมจนํ วีริยธุรโธรยฺหํ โยคเกฺขมาภิมุขํ อนิวตฺตนฺตํ วาหเนฺตน กฎฺฐา กสี กมฺมปริโยสานํ จตุพฺพิธํ สามญฺญผลํ ปาปิตา, สา โหติ อมตปฺผลา, สา เอสา กสี อมตปฺผลา โหติฯ อมตํ วุจฺจติ นิพฺพานํ, นิพฺพานานิสํสา โหตีติ อโตฺถฯ สา โข ปเนสา กสี น มเมเวกสฺส อมตปฺผลา โหติ, อถ โข โย โกจิ ขตฺติโย วา พฺราหฺมโณ วา เวโสฺส วา สุโทฺท วา คหโฎฺฐ วา ปพฺพชิโต วา เอตํ กสิํ กสติ, โส สโพฺพปิ เอตํ กสิตฺวาน สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตีติฯ
Idāni nigamanaṃ karonto evamesā kasīti gāthamāha. Tassāyaṃ saṅkhepattho – yassa, brāhmaṇa, esā saddhābījā tapovuṭṭhiyā anuggahitā kasī paññāmayaṃ yuganaṅgalaṃ hirimayañca īsaṃ manomayena yottena ekābaddhaṃ katvā paññānaṅgalena satiphālaṃ ākoṭetvā satipācanaṃ gahetvā kāyavacīāhāraguttiyā gopetvā saccaṃ niddānaṃ katvā soraccapamocanaṃ vīriyadhuradhorayhaṃ yogakkhemābhimukhaṃ anivattantaṃ vāhantena kaṭṭhā kasī kammapariyosānaṃ catubbidhaṃ sāmaññaphalaṃ pāpitā, sā hoti amatapphalā, sā esā kasī amatapphalā hoti. Amataṃ vuccati nibbānaṃ, nibbānānisaṃsā hotīti attho. Sā kho panesā kasī na mamevekassa amatapphalā hoti, atha kho yo koci khattiyo vā brāhmaṇo vā vesso vā suddo vā gahaṭṭho vā pabbajito vā etaṃ kasiṃ kasati, so sabbopi etaṃ kasitvāna sabbadukkhā pamuccatīti.
เอวํ ภควา พฺราหฺมณสฺส อรหตฺตนิกูเฎน นิพฺพานปริโยสานํ กตฺวา เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ ตโต พฺราหฺมโณ คมฺภีรตฺถํ เทสนํ สุตฺวา – ‘‘มม กสิผลํ ภุญฺชิตฺวา ปุนปิ ทิวเสเยว ฉาโต โหติ, อิมสฺส ปน กสี อมตปฺผลา, ตสฺส ผลํ ภุญฺชิตฺวา สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติ ญตฺวา ปสโนฺน ปสนฺนาการํ กโรโนฺต ภุญฺชตุ ภวํ โคตโมติอาทิมาหฯ ตํ สพฺพํ ตโต ปรญฺจ วุตฺตตฺถเมวาติฯ ปฐมํฯ
Evaṃ bhagavā brāhmaṇassa arahattanikūṭena nibbānapariyosānaṃ katvā desanaṃ niṭṭhāpesi. Tato brāhmaṇo gambhīratthaṃ desanaṃ sutvā – ‘‘mama kasiphalaṃ bhuñjitvā punapi divaseyeva chāto hoti, imassa pana kasī amatapphalā, tassa phalaṃ bhuñjitvā sabbadukkhā pamuccatī’’ti ñatvā pasanno pasannākāraṃ karonto bhuñjatu bhavaṃ gotamotiādimāha. Taṃ sabbaṃ tato parañca vuttatthamevāti. Paṭhamaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑. กสิภารทฺวาชสุตฺตํ • 1. Kasibhāradvājasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑. กสิภารทฺวาชสุตฺตวณฺณนา • 1. Kasibhāradvājasuttavaṇṇanā