Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๔. กสิภารทฺวาชสุตฺตวณฺณนา

    4. Kasibhāradvājasuttavaṇṇanā

    เอวํ เม สุตนฺติ กสิภารทฺวาชสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ภควา มคเธสุ วิหรโนฺต ทกฺขิณาคิริสฺมิํ เอกนาลายํ พฺราหฺมณคาเม ปุเรภตฺตกิจฺจํ ปจฺฉาภตฺตกิจฺจนฺติ อิเมสุ ทฺวีสุ พุทฺธกิเจฺจสุ ปุเรภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ปจฺฉาภตฺตกิจฺจาวสาเน พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต กสิภารทฺวาชํ พฺราหฺมณํ อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘ตตฺถ มยิ คเต ยถา ปวตฺติสฺสติ, ตโต กถาวสาเน ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เอส พฺราหฺมโณ ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ จ ญตฺวา, ตตฺถ คนฺตฺวา, กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา, อิมํ สุตฺตํ อภาสิฯ

    Evaṃme sutanti kasibhāradvājasuttaṃ. Kā uppatti? Bhagavā magadhesu viharanto dakkhiṇāgirismiṃ ekanālāyaṃ brāhmaṇagāme purebhattakiccaṃ pacchābhattakiccanti imesu dvīsu buddhakiccesu purebhattakiccaṃ niṭṭhāpetvā pacchābhattakiccāvasāne buddhacakkhunā lokaṃ volokento kasibhāradvājaṃ brāhmaṇaṃ arahattassa upanissayasampannaṃ disvā ‘‘tattha mayi gate yathā pavattissati, tato kathāvasāne dhammadesanaṃ sutvā esa brāhmaṇo pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇissatī’’ti ca ñatvā, tattha gantvā, kathaṃ samuṭṭhāpetvā, imaṃ suttaṃ abhāsi.

    ตตฺถ สิยา ‘‘กตมํ พุทฺธานํ ปุเรภตฺตกิจฺจํ, กตมํ ปจฺฉาภตฺตกิจฺจ’’นฺติ? วุจฺจเต – พุโทฺธ ภควา ปาโต เอว อุฎฺฐาย อุปฎฺฐากานุคฺคหตฺถํ สรีรผาสุกตฺถญฺจ มุขโธวนาทิสรีรปริกมฺมํ กตฺวา ยาว ภิกฺขาจารเวลา, ตาว วิวิตฺตาสเน วีตินาเมตฺวา, ภิกฺขาจารเวลาย นิวาเสตฺวา, กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา, จีวรํ ปารุปิตฺวา, ปตฺตมาทาย กทาจิ เอกโกว กทาจิ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสติ, กทาจิ ปกติยา, กทาจิ อเนเกหิ ปาฎิหาริเยหิ วตฺตมาเนหิฯ เสยฺยถิทํ – ปิณฺฑาย ปวิสโต โลกนาถสฺส ปุรโต ปุรโต คนฺตฺวา มุทุคติโย วาตา ปถวิํ โสเธนฺติ; วลาหกา อุทกผุสิตานิ มุญฺจนฺตา มเคฺค เรณุํ วูปสเมตฺวา อุปริ วิตานํ หุตฺวา ติฎฺฐนฺติฯ อปเร วาตา ปุปฺผานิ อุปสํหริตฺวา มเคฺค โอกิรนฺติ, อุนฺนตา ภูมิปฺปเทสา โอนมนฺติ, โอนตา อุนฺนมนฺติ, ปาทนิเกฺขปสมเย สมาว ภูมิ โหติ, สุขสมฺผสฺสานิ รถจกฺกมตฺตานิ ปทุมปุปฺผานิ วา ปาเท สมฺปฎิจฺฉนฺติ, อินฺทขีลสฺส อโนฺต ฐปิตมเตฺต ทกฺขิณปาเท สรีรา ฉพฺพณฺณรสฺมิโย นิจฺฉริตฺวา สุวณฺณรสปิญฺชรานิ วิย จิตฺรปฎปริกฺขิตฺตานิ วิย จ ปาสาทกูฎาคาราทีนิ กโรนฺติโย อิโต จิโต จ วิธาวนฺติ, หตฺถิอสฺสวิหงฺคาทโย สกสกฎฺฐาเนสุ ฐิตาเยว มธุเรนากาเรน สทฺทํ กโรนฺติ, ตถา เภริวีณาทีนิ ตูริยานิ มนุสฺสานํ กายูปคานิ จ อาภรณานิ, เตน สญฺญาเณน มนุสฺสา ชานนฺติ ‘‘อชฺช ภควา อิธ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ’’ติฯ เต สุนิวตฺถา สุปารุตา คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย ฆรา นิกฺขมิตฺวา อนฺตรวีถิํ ปฎิปชฺชิตฺวา ภควนฺตํ คนฺธปุปฺผาทีหิ สกฺกจฺจํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา – ‘‘อมฺหากํ , ภเนฺต, ทส ภิกฺขู, อมฺหากํ วีสติ, อมฺหากํ ภิกฺขุสตํ เทถา’’ติ ยาจิตฺวา ภควโตปิ ปตฺตํ คเหตฺวา, อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา สกฺกจฺจํ ปิณฺฑปาเตน ปฎิมาเนนฺติฯ

    Tattha siyā ‘‘katamaṃ buddhānaṃ purebhattakiccaṃ, katamaṃ pacchābhattakicca’’nti? Vuccate – buddho bhagavā pāto eva uṭṭhāya upaṭṭhākānuggahatthaṃ sarīraphāsukatthañca mukhadhovanādisarīraparikammaṃ katvā yāva bhikkhācāravelā, tāva vivittāsane vītināmetvā, bhikkhācāravelāya nivāsetvā, kāyabandhanaṃ bandhitvā, cīvaraṃ pārupitvā, pattamādāya kadāci ekakova kadāci bhikkhusaṅghaparivuto gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisati, kadāci pakatiyā, kadāci anekehi pāṭihāriyehi vattamānehi. Seyyathidaṃ – piṇḍāya pavisato lokanāthassa purato purato gantvā mudugatiyo vātā pathaviṃ sodhenti; valāhakā udakaphusitāni muñcantā magge reṇuṃ vūpasametvā upari vitānaṃ hutvā tiṭṭhanti. Apare vātā pupphāni upasaṃharitvā magge okiranti, unnatā bhūmippadesā onamanti, onatā unnamanti, pādanikkhepasamaye samāva bhūmi hoti, sukhasamphassāni rathacakkamattāni padumapupphāni vā pāde sampaṭicchanti, indakhīlassa anto ṭhapitamatte dakkhiṇapāde sarīrā chabbaṇṇarasmiyo niccharitvā suvaṇṇarasapiñjarāni viya citrapaṭaparikkhittāni viya ca pāsādakūṭāgārādīni karontiyo ito cito ca vidhāvanti, hatthiassavihaṅgādayo sakasakaṭṭhānesu ṭhitāyeva madhurenākārena saddaṃ karonti, tathā bherivīṇādīni tūriyāni manussānaṃ kāyūpagāni ca ābharaṇāni, tena saññāṇena manussā jānanti ‘‘ajja bhagavā idha piṇḍāya paviṭṭho’’ti. Te sunivatthā supārutā gandhapupphādīni ādāya gharā nikkhamitvā antaravīthiṃ paṭipajjitvā bhagavantaṃ gandhapupphādīhi sakkaccaṃ pūjetvā vanditvā – ‘‘amhākaṃ , bhante, dasa bhikkhū, amhākaṃ vīsati, amhākaṃ bhikkhusataṃ dethā’’ti yācitvā bhagavatopi pattaṃ gahetvā, āsanaṃ paññāpetvā sakkaccaṃ piṇḍapātena paṭimānenti.

    ภควา กตภตฺตกิโจฺจ เตสํ สนฺตานานิ โอโลเกตฺวา ตถา ธมฺมํ เทเสติ, ยถา เกจิ สรณคมเน ปติฎฺฐหนฺติ, เกจิ ปญฺจสุ สีเลสุ, เกจิ โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิผลานํ อญฺญตรสฺมิํ, เกจิ ปพฺพชิตฺวา อคฺคผเล อรหเตฺตติฯ เอวํ ตถา ตถา ชนํ อนุคฺคเหตฺวา อุฎฺฐายาสนา วิหารํ คจฺฉติฯ ตตฺถ มณฺฑลมาเฬ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทติ ภิกฺขูนํ ภตฺตกิจฺจปริโยสานํ อาคมยมาโนฯ ตโต ภิกฺขูนํ ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน อุปฎฺฐาโก ภควโต นิเวเทติฯ อถ ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิสติฯ อิทํ ตาว ปุเรภตฺตกิจฺจํฯ ยเญฺจตฺถ น วุตฺตํ, ตํ พฺรหฺมายุสุเตฺต วุตฺตนเยเนว คเหตพฺพํฯ

    Bhagavā katabhattakicco tesaṃ santānāni oloketvā tathā dhammaṃ deseti, yathā keci saraṇagamane patiṭṭhahanti, keci pañcasu sīlesu, keci sotāpattisakadāgāmianāgāmiphalānaṃ aññatarasmiṃ, keci pabbajitvā aggaphale arahatteti. Evaṃ tathā tathā janaṃ anuggahetvā uṭṭhāyāsanā vihāraṃ gacchati. Tattha maṇḍalamāḷe paññattavarabuddhāsane nisīdati bhikkhūnaṃ bhattakiccapariyosānaṃ āgamayamāno. Tato bhikkhūnaṃ bhattakiccapariyosāne upaṭṭhāko bhagavato nivedeti. Atha bhagavā gandhakuṭiṃ pavisati. Idaṃ tāva purebhattakiccaṃ. Yañcettha na vuttaṃ, taṃ brahmāyusutte vuttanayeneva gahetabbaṃ.

    อถ ภควา เอวํ กตปุเรภตฺตกิโจฺจ คนฺธกุฎิยา อุปฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา, ปาเท ปกฺขาเลตฺวา, ปาทปีเฐ ฐตฺวา, ภิกฺขุสงฺฆํ โอวทติ – ‘‘ภิกฺขเว, อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ, พุทฺธุปฺปาโท ทุลฺลโภ โลกสฺมิํ, มนุสฺสปฎิลาโภ ทุลฺลโภ, สทฺธาสมฺปตฺติ ทุลฺลภา, ปพฺพชฺชา ทุลฺลภา, สทฺธมฺมสฺสวนํ ทุลฺลภํ โลกสฺมิ’’นฺติฯ ตโต ภิกฺขู ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉนฺติฯ อถ ภควา ภิกฺขูนํ จริยวเสน กมฺมฎฺฐานํ เทติฯ เต กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตฺวา, ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา, อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คจฺฉนฺติ; เกจิ อรญฺญํ, เกจิ รุกฺขมูลํ, เกจิ ปพฺพตาทีนํ อญฺญตรํ, เกจิ จาตุมหาราชิกภวนํ…เป.… เกจิ วสวตฺติภวนนฺติฯ ตโต ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา สเจ อากงฺขติ, ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน มุหุตฺตํ สีหเสยฺยํ กเปฺปติฯ อถ สมสฺสาสิตกาโย อุฎฺฐหิตฺวา ทุติยภาเค โลกํ โวโลเกติฯ ตติยภาเค ยํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติ, ตตฺถ ชโน ปุเรภตฺตํ ทานํ ทตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ สุนิวโตฺถ สุปารุโต คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย วิหาเร สนฺนิปตติฯ ตโต ภควา สมฺปตฺตปริสาย อนุรูเปน ปาฎิหาริเยน คนฺตฺวา ธมฺมสภายํ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสชฺช ธมฺมํ เทเสติ กาลยุตฺตํ ปมาณยุตฺตํฯ อถ กาลํ วิทิตฺวา ปริสํ อุโยฺยเชติฯ

    Atha bhagavā evaṃ katapurebhattakicco gandhakuṭiyā upaṭṭhāne nisīditvā, pāde pakkhāletvā, pādapīṭhe ṭhatvā, bhikkhusaṅghaṃ ovadati – ‘‘bhikkhave, appamādena sampādetha, buddhuppādo dullabho lokasmiṃ, manussapaṭilābho dullabho, saddhāsampatti dullabhā, pabbajjā dullabhā, saddhammassavanaṃ dullabhaṃ lokasmi’’nti. Tato bhikkhū bhagavantaṃ vanditvā kammaṭṭhānaṃ pucchanti. Atha bhagavā bhikkhūnaṃ cariyavasena kammaṭṭhānaṃ deti. Te kammaṭṭhānaṃ uggahetvā, bhagavantaṃ abhivādetvā, attano attano vasanaṭṭhānaṃ gacchanti; keci araññaṃ, keci rukkhamūlaṃ, keci pabbatādīnaṃ aññataraṃ, keci cātumahārājikabhavanaṃ…pe… keci vasavattibhavananti. Tato bhagavā gandhakuṭiṃ pavisitvā sace ākaṅkhati, dakkhiṇena passena sato sampajāno muhuttaṃ sīhaseyyaṃ kappeti. Atha samassāsitakāyo uṭṭhahitvā dutiyabhāge lokaṃ voloketi. Tatiyabhāge yaṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati, tattha jano purebhattaṃ dānaṃ datvā pacchābhattaṃ sunivattho supāruto gandhapupphādīni ādāya vihāre sannipatati. Tato bhagavā sampattaparisāya anurūpena pāṭihāriyena gantvā dhammasabhāyaṃ paññattavarabuddhāsane nisajja dhammaṃ deseti kālayuttaṃ pamāṇayuttaṃ. Atha kālaṃ viditvā parisaṃ uyyojeti.

    ตโต สเจ คตฺตานิ โอสิญฺจิตุกาโม โหติฯ อถ พุทฺธาสนา อุฎฺฐาย อุปฎฺฐาเกน อุทกปฎิยาทิโตกาสํ คนฺตฺวา, อุปฎฺฐากหตฺถโต อุทกสาฎิกํ คเหตฺวา, นฺหานโกฎฺฐกํ ปวิสติฯ อุปฎฺฐาโกปิ พุทฺธาสนํ อาเนตฺวา คนฺธกุฎิปริเวเณ ปญฺญาเปติฯ ภควา คตฺตานิ โอสิญฺจิตฺวา, สุรตฺตทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา , กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา, อุตฺตราสงฺคํ กตฺวา, ตตฺถ อาคนฺตฺวา, นิสีทติ เอกโกว มุหุตฺตํ ปฎิสลฺลีโนฯ อถ ภิกฺขู ตโต ตโต อาคมฺม ภควโต อุปฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ ตตฺถ เอกเจฺจ ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, เอกเจฺจ กมฺมฎฺฐานํ, เอกเจฺจ ธมฺมสฺสวนํ ยาจนฺติฯ ภควา เตสํ อธิปฺปายํ สมฺปาเทโนฺต ปฐมํ ยามํ วีตินาเมติฯ

    Tato sace gattāni osiñcitukāmo hoti. Atha buddhāsanā uṭṭhāya upaṭṭhākena udakapaṭiyāditokāsaṃ gantvā, upaṭṭhākahatthato udakasāṭikaṃ gahetvā, nhānakoṭṭhakaṃ pavisati. Upaṭṭhākopi buddhāsanaṃ ānetvā gandhakuṭipariveṇe paññāpeti. Bhagavā gattāni osiñcitvā, surattadupaṭṭaṃ nivāsetvā , kāyabandhanaṃ bandhitvā, uttarāsaṅgaṃ katvā, tattha āgantvā, nisīdati ekakova muhuttaṃ paṭisallīno. Atha bhikkhū tato tato āgamma bhagavato upaṭṭhānaṃ gacchanti. Tattha ekacce pañhaṃ pucchanti, ekacce kammaṭṭhānaṃ, ekacce dhammassavanaṃ yācanti. Bhagavā tesaṃ adhippāyaṃ sampādento paṭhamaṃ yāmaṃ vītināmeti.

    มชฺฌิมยาเม สกลทสสหสฺสิโลกธาตุเทวตาโย โอกาสํ ลภมานา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ ยถาภิสงฺขตํ อนฺตมโส จตุรกฺขรมฺปิฯ ภควา ตาสํ เทวตานํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต มชฺฌิมยามํ วีตินาเมติฯ ตโต ปจฺฉิมยามํ จตฺตาโร ภาเค กตฺวา เอกํ ภาคํ จงฺกมํ อธิฎฺฐาติ, ทุติยภาคํ คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน สีหเสยฺยํ กเปฺปติ, ตติยภาคํ ผลสมาปตฺติยา วีตินาเมติ, จตุตฺถภาคํ มหากรุณาสมาปตฺติํ ปวิสิตฺวา พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกติ อปฺปรชกฺขมหารชกฺขาทิสตฺตทสฺสนตฺถํฯ อิทํ ปจฺฉาภตฺตกิจฺจํ

    Majjhimayāme sakaladasasahassilokadhātudevatāyo okāsaṃ labhamānā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchanti yathābhisaṅkhataṃ antamaso caturakkharampi. Bhagavā tāsaṃ devatānaṃ pañhaṃ vissajjento majjhimayāmaṃ vītināmeti. Tato pacchimayāmaṃ cattāro bhāge katvā ekaṃ bhāgaṃ caṅkamaṃ adhiṭṭhāti, dutiyabhāgaṃ gandhakuṭiṃ pavisitvā dakkhiṇena passena sato sampajāno sīhaseyyaṃ kappeti, tatiyabhāgaṃ phalasamāpattiyā vītināmeti, catutthabhāgaṃ mahākaruṇāsamāpattiṃ pavisitvā buddhacakkhunā lokaṃ voloketi apparajakkhamahārajakkhādisattadassanatthaṃ. Idaṃ pacchābhattakiccaṃ.

    เอวมิมสฺส ปจฺฉาภตฺตกิจฺจสฺส โลกโวโลกนสงฺขาเต จตุตฺถภาคาวสาเน พุทฺธธมฺมสเงฺฆสุ ทานสีลอุโปสถกมฺมาทีสุ จ อกตาธิกาเร กตาธิกาเร จ อนุปนิสฺสยสมฺปเนฺน อุปนิสฺสยสมฺปเนฺน จ สเตฺต ปสฺสิตุํ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต กสิภารทฺวาชํ พฺราหฺมณํ อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘ตตฺถ มยิ คเต กถา ปวตฺติสฺสติ, ตโต กถาวสาเน ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เอส พฺราหฺมโณ ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ จ ญตฺวา, ตตฺถ คนฺตฺวา, กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา อิมํ สุตฺตมภาสิฯ

    Evamimassa pacchābhattakiccassa lokavolokanasaṅkhāte catutthabhāgāvasāne buddhadhammasaṅghesu dānasīlauposathakammādīsu ca akatādhikāre katādhikāre ca anupanissayasampanne upanissayasampanne ca satte passituṃ buddhacakkhunā lokaṃ volokento kasibhāradvājaṃ brāhmaṇaṃ arahattassa upanissayasampannaṃ disvā ‘‘tattha mayi gate kathā pavattissati, tato kathāvasāne dhammadesanaṃ sutvā esa brāhmaṇo pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇissatī’’ti ca ñatvā, tattha gantvā, kathaṃ samuṭṭhāpetvā imaṃ suttamabhāsi.

    ตตฺถ เอวํ เม สุตนฺติอาทิ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล ธมฺมสงฺคีติํ กโรเนฺตน อายสฺมตา มหากสฺสปเตฺถเรน ปุเฎฺฐน ปญฺจนฺนํ อรหนฺตสตานํ วุตฺตํ, ‘‘อหํ, โข, สมณ กสามิ จ วปามิ จา’’ติ กสิภารทฺวาเชน วุตฺตํ, ‘‘อหมฺปิ โข พฺราหฺมณ กสามิ จ วปามิ จา’’ติอาทิ ภควตา วุตฺตํฯ ตเทตํ สพฺพมฺปิ สโมธาเนตฺวา ‘‘กสิภารทฺวาชสุตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Tattha evaṃ me sutantiādi āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle dhammasaṅgītiṃ karontena āyasmatā mahākassapattherena puṭṭhena pañcannaṃ arahantasatānaṃ vuttaṃ, ‘‘ahaṃ, kho, samaṇa kasāmi ca vapāmi cā’’ti kasibhāradvājena vuttaṃ, ‘‘ahampi kho brāhmaṇa kasāmi ca vapāmi cā’’tiādi bhagavatā vuttaṃ. Tadetaṃ sabbampi samodhānetvā ‘‘kasibhāradvājasutta’’nti vuccati.

    ตตฺถ เอวนฺติ อยํ อาการนิทสฺสนาวธารณโตฺถ เอวํ-สโทฺทฯ อาการเตฺถน หิ เอเตน เอตมตฺถํ ทีเปติ – นานานยนิปุณมเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ วิวิธปาฎิหาริยํ ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธคมฺภีรํ สพฺพสเตฺตหิ สกสกภาสานุรูปมุปลกฺขณิยสภาวํ ตสฺส ภควโต วจนํ, ตํ สพฺพากาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุํ; อถ, โข, ‘‘เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอเกนากาเรน สุต’’นฺติฯ นิทสฺสนเตฺถน ‘‘นาหํ สยมฺภู, น มยา อิทํ สจฺฉิกต’’นฺติ อตฺตานํ ปริโมเจโนฺต ‘‘เอวํ เม สุตํ, มยา เอวํ สุต’’นฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลสุตฺตํ นิทเสฺสติฯ อวธารณเตฺถน ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานโนฺท, คติมนฺตานํ, สติมนฺตานํ, ธิติมนฺตานํ, อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙-๒๒๓) เอวํ ภควตา ปสตฺถภาวานุรูปํ อตฺตโน ธารณพลํ ทเสฺสโนฺต สตฺตานํ โสตุกมฺยตํ ชเนติ ‘‘เอวํ เม สุตํ ตญฺจ อตฺถโต วา พฺยญฺชนโต วา อนูนมนธิกํ, เอวเมว, น อญฺญถา ทฎฺฐพฺพ’’นฺติฯ เม สุตนฺติ เอตฺถ มยาสทฺทโตฺถ เม-สโทฺท, โสตทฺวารวิญฺญาณโตฺถ สุตสโทฺทฯ ตสฺมา เอวํ เม สุตนฺติ เอวํ มยา โสตวิญฺญาณปุพฺพงฺคมาย วิญฺญาณวีถิยา อุปธาริตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tattha evanti ayaṃ ākāranidassanāvadhāraṇattho evaṃ-saddo. Ākāratthena hi etena etamatthaṃ dīpeti – nānānayanipuṇamanekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ atthabyañjanasampannaṃ vividhapāṭihāriyaṃ dhammatthadesanāpaṭivedhagambhīraṃ sabbasattehi sakasakabhāsānurūpamupalakkhaṇiyasabhāvaṃ tassa bhagavato vacanaṃ, taṃ sabbākārena ko samattho viññātuṃ; atha, kho, ‘‘evaṃ me sutaṃ, mayāpi ekenākārena suta’’nti. Nidassanatthena ‘‘nāhaṃ sayambhū, na mayā idaṃ sacchikata’’nti attānaṃ parimocento ‘‘evaṃ me sutaṃ, mayā evaṃ suta’’nti idāni vattabbaṃ sakalasuttaṃ nidasseti. Avadhāraṇatthena ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ bahussutānaṃ yadidaṃ ānando, gatimantānaṃ, satimantānaṃ, dhitimantānaṃ, upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.219-223) evaṃ bhagavatā pasatthabhāvānurūpaṃ attano dhāraṇabalaṃ dassento sattānaṃ sotukamyataṃ janeti ‘‘evaṃ me sutaṃ tañca atthato vā byañjanato vā anūnamanadhikaṃ, evameva, na aññathā daṭṭhabba’’nti. Me sutanti ettha mayāsaddattho me-saddo, sotadvāraviññāṇattho sutasaddo. Tasmā evaṃ me sutanti evaṃ mayā sotaviññāṇapubbaṅgamāya viññāṇavīthiyā upadhāritanti vuttaṃ hoti.

    เอกํ สมยนฺติ เอกํ กาลํฯ ภควาติ ภาคฺยวา, ภคฺควา, ภตฺตวาติ วุตฺตํ โหติฯ มคเธสุ วิหรตีติ มคธา นาม ชนปทิโน ราชกุมารา, เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รุฬฺหีสเทฺทน ‘‘มคธา’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ มคเธสุ ชนปเทฯ เกจิ ปน ‘‘ยสฺมา เจติยราชา มุสาวาทํ ภณิตฺวา ภูมิํ ปวิสโนฺต ‘มา คธํ ปวิสา’ติ วุโตฺต, ยสฺมา วา ตํ ราชานํ มคฺคนฺตา ภูมิํ ขนนฺตา ปุริสา ‘มา คธํ กโรถา’ติ วุตฺตา, ตสฺมา มคธา’’ติ เอวมาทีหิ นเยหิ พหุธา ปปเญฺจนฺติฯ ยํ รุจฺจติ, ตํ คเหตพฺพนฺติฯ วิหรตีติ เอกํ อิริยาปถพาธนํ อปเรน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ อตฺตภาวํ หรติ, ปวเตฺตตีติ วุตฺตํ โหติฯ ทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรหิ วา สตฺตานํ วิวิธํ หิตํ หรตีติ วิหรติฯ หรตีติ อุปสํหรติ, อุปเนติ, ชเนติ, อุปฺปาเทตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา หิ ยทา สตฺตา กาเมสุ วิปฺปฎิปชฺชนฺติ, ตทา กิร ภควา ทิเพฺพน วิหาเรน วิหรติ เตสํ อโลภกุสลมูลุปฺปาทนตฺถํ – ‘‘อเปฺปว นาม อิมํ ปฎิปตฺติํ ทิสฺวา เอตฺถ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา กาเมสุ วิรเชฺชยฺยุ’’นฺติฯ ยทา ปน อิสฺสริยตฺถํ สเตฺตสุ วิปฺปฎิปชฺชนฺติ, ตทา พฺรหฺมวิหาเรน วิหรติ เตสํ อโทสกุสลมูลุปฺปาทนตฺถํ – ‘‘อเปฺปว นาม อิมํ ปฎิปตฺติํ ทิสฺวา เอตฺถ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา อโทเสน โทสํ วูปสเมยฺยุ’’นฺติฯ ยทา ปน ปพฺพชิตา ธมฺมาธิกรณํ วิวทนฺติ, ตทา อริยวิหาเรน วิหรติ เตสํ อโมหกุสลมูลุปฺปาทนตฺถํ – ‘‘อเปฺปว นาม อิมํ ปฎิปตฺติํ ทิสฺวา เอตฺถ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา อโมเหน โมหํ วูปสเมยฺยุ’’นฺติฯ อิริยาปถวิหาเรน ปน น กทาจิ น วิหรติ ตํ วินา อตฺตภาวปริหรณาภาวโตติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารํ ปน มงฺคลสุตฺตวณฺณนายํ วกฺขามฯ

    Ekaṃsamayanti ekaṃ kālaṃ. Bhagavāti bhāgyavā, bhaggavā, bhattavāti vuttaṃ hoti. Magadhesu viharatīti magadhā nāma janapadino rājakumārā, tesaṃ nivāso ekopi janapado ruḷhīsaddena ‘‘magadhā’’ti vuccati. Tasmiṃ magadhesu janapade. Keci pana ‘‘yasmā cetiyarājā musāvādaṃ bhaṇitvā bhūmiṃ pavisanto ‘mā gadhaṃ pavisā’ti vutto, yasmā vā taṃ rājānaṃ maggantā bhūmiṃ khanantā purisā ‘mā gadhaṃ karothā’ti vuttā, tasmā magadhā’’ti evamādīhi nayehi bahudhā papañcenti. Yaṃ ruccati, taṃ gahetabbanti. Viharatīti ekaṃ iriyāpathabādhanaṃ aparena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ attabhāvaṃ harati, pavattetīti vuttaṃ hoti. Dibbabrahmaariyavihārehi vā sattānaṃ vividhaṃ hitaṃ haratīti viharati. Haratīti upasaṃharati, upaneti, janeti, uppādetīti vuttaṃ hoti. Tathā hi yadā sattā kāmesu vippaṭipajjanti, tadā kira bhagavā dibbena vihārena viharati tesaṃ alobhakusalamūluppādanatthaṃ – ‘‘appeva nāma imaṃ paṭipattiṃ disvā ettha ruciṃ uppādetvā kāmesu virajjeyyu’’nti. Yadā pana issariyatthaṃ sattesu vippaṭipajjanti, tadā brahmavihārena viharati tesaṃ adosakusalamūluppādanatthaṃ – ‘‘appeva nāma imaṃ paṭipattiṃ disvā ettha ruciṃ uppādetvā adosena dosaṃ vūpasameyyu’’nti. Yadā pana pabbajitā dhammādhikaraṇaṃ vivadanti, tadā ariyavihārena viharati tesaṃ amohakusalamūluppādanatthaṃ – ‘‘appeva nāma imaṃ paṭipattiṃ disvā ettha ruciṃ uppādetvā amohena mohaṃ vūpasameyyu’’nti. Iriyāpathavihārena pana na kadāci na viharati taṃ vinā attabhāvapariharaṇābhāvatoti. Ayamettha saṅkhepo, vitthāraṃ pana maṅgalasuttavaṇṇanāyaṃ vakkhāma.

    ทกฺขิณาคิริสฺมินฺติ โย โส ราชคหํ ปริวาเรตฺวา ฐิโต คิริ, ตสฺส ทกฺขิณปเสฺส ชนปโท ‘‘ทกฺขิณาคิรี’’ติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ ชนปเทติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ วิหารสฺสาปิ ตเทว นามํฯ เอกนาฬายํ พฺราหฺมณคาเมติ เอกนาฬาติ ตสฺส คามสฺส นามํฯ พฺราหฺมณา เจตฺถ สมฺพหุลา ปฎิวสนฺติ, พฺราหฺมณโภโค วา โส, ตสฺมา ‘‘พฺราหฺมณคาโม’’ติ วุจฺจติฯ

    Dakkhiṇāgirisminti yo so rājagahaṃ parivāretvā ṭhito giri, tassa dakkhiṇapasse janapado ‘‘dakkhiṇāgirī’’ti vuccati, tasmiṃ janapadeti vuttaṃ hoti. Tattha vihārassāpi tadeva nāmaṃ. Ekanāḷāyaṃ brāhmaṇagāmeti ekanāḷāti tassa gāmassa nāmaṃ. Brāhmaṇā cettha sambahulā paṭivasanti, brāhmaṇabhogo vā so, tasmā ‘‘brāhmaṇagāmo’’ti vuccati.

    เตน โข ปน สมเยนาติ ยํ สมยํ ภควา อปราชิตปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก มคธรเฎฺฐ เอกนาฬํ พฺราหฺมณคามํ อุปนิสฺสาย ทกฺขิณาคิริมหาวิหาเร พฺราหฺมณสฺส อินฺทฺริยปริปากํ อาคมยมาโน วิหรติ, เตน สมเยน กรณภูเตนาติ วุตฺตํ โหติฯ โข ปนาติ อิทํ ปเนตฺถ นิปาตทฺวยํ ปทปูรณมตฺตํ, อธิการนฺตรทสฺสนตฺถํ วาติ ทฎฺฐพฺพํฯ กสิภารทฺวาชสฺส พฺราหฺมณสฺสาติ โส พฺราหฺมโณ กสิยา ชีวติ, ภารทฺวาโชติ จสฺส โคตฺตํ, ตสฺมา เอวํ วุจฺจติฯ ปญฺจมตฺตานีติ ยถา – ‘‘โภชเน มตฺตญฺญู’’ติ เอตฺถ มตฺตสโทฺท ปมาเณ วตฺตติ, เอวมิธาปิ, ตสฺมา ปญฺจปมาณานิ อนูนานิ อนธิกานิ, ปญฺจนงฺคลสตานีติ วุตฺตํ โหติฯ ปยุตฺตานีติ ปโยชิตานิ, พลิพทฺทานํ ขเนฺธสุ ฐเปตฺวา ยุเค โยเตฺตหิ โยชิตานิ โหนฺตีติ อโตฺถฯ

    Tenakho pana samayenāti yaṃ samayaṃ bhagavā aparājitapallaṅkaṃ ābhujitvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhitvā pavattitavaradhammacakko magadharaṭṭhe ekanāḷaṃ brāhmaṇagāmaṃ upanissāya dakkhiṇāgirimahāvihāre brāhmaṇassa indriyaparipākaṃ āgamayamāno viharati, tena samayena karaṇabhūtenāti vuttaṃ hoti. Kho panāti idaṃ panettha nipātadvayaṃ padapūraṇamattaṃ, adhikārantaradassanatthaṃ vāti daṭṭhabbaṃ. Kasibhāradvājassa brāhmaṇassāti so brāhmaṇo kasiyā jīvati, bhāradvājoti cassa gottaṃ, tasmā evaṃ vuccati. Pañcamattānīti yathā – ‘‘bhojane mattaññū’’ti ettha mattasaddo pamāṇe vattati, evamidhāpi, tasmā pañcapamāṇāni anūnāni anadhikāni, pañcanaṅgalasatānīti vuttaṃ hoti. Payuttānīti payojitāni, balibaddānaṃ khandhesu ṭhapetvā yuge yottehi yojitāni hontīti attho.

    วปฺปกาเลติ วปนกาเล, พีชนิกฺขิปกาเลติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ เทฺว วปฺปานิ กลลวปฺปญฺจ, ปํสุวปฺปญฺจฯ ปํสุวปฺปํ อิธ อธิเปฺปตํฯ ตญฺจ โข ปฐมทิวเส มงฺคลวปฺปํฯ ตตฺถายํ อุปกรณสมฺปทา – ตีณิ พลิพทฺทสหสฺสานิ อุปฎฺฐาปิตานิ โหนฺติ, สเพฺพสํ สุวณฺณมยานิ สิงฺคานิ ปฎิมุกฺกานิ, รชตมยา ขุรา, สเพฺพ เสตมาลาหิ สพฺพคนฺธสุคเนฺธหิ ปญฺจงฺคุลิเกหิ จ อลงฺกตา ปริปุณฺณงฺคปจฺจงฺคา สพฺพลกฺขณสมฺปนฺนา, เอกเจฺจ กาฬา อญฺชนวณฺณาเยว, เอกเจฺจ เสตา ผลิกวณฺณา, เอกเจฺจ รตฺตา ปวาฬวณฺณา, เอกเจฺจ กมฺมาสา มสารคลฺลวณฺณาฯ ปญฺจสตา กสฺสกปุริสา สเพฺพ อหตเสตวตฺถนิวตฺถา มาลาลงฺกตา ทกฺขิณอํสกูเฎสุ ฐปิตปุปฺผจุมฺพฎกา หริตาลมโนสิลาลญฺฉนุชฺชลิตคตฺตภาคา ทส ทส นงฺคลา เอเกกคุมฺพา หุตฺวา คจฺฉนฺติฯ นงฺคลานํ สีสญฺจ ยุคญฺจ ปโตทา จ สุวณฺณวินทฺธาฯ ปฐมนงฺคเล อฎฺฐ พลิพทฺทา ยุตฺตา, เสเสสุ จตฺตาโร จตฺตาโร, อวเสสา กิลนฺตปริวตฺตนตฺถํ อานีตาฯ เอเกกคุเมฺพ เอกเมกํ พีชสกฎํ เอเกโก กสติ, เอเกโก วปติฯ

    Vappakāleti vapanakāle, bījanikkhipakāleti vuttaṃ hoti. Tattha dve vappāni kalalavappañca, paṃsuvappañca. Paṃsuvappaṃ idha adhippetaṃ. Tañca kho paṭhamadivase maṅgalavappaṃ. Tatthāyaṃ upakaraṇasampadā – tīṇi balibaddasahassāni upaṭṭhāpitāni honti, sabbesaṃ suvaṇṇamayāni siṅgāni paṭimukkāni, rajatamayā khurā, sabbe setamālāhi sabbagandhasugandhehi pañcaṅgulikehi ca alaṅkatā paripuṇṇaṅgapaccaṅgā sabbalakkhaṇasampannā, ekacce kāḷā añjanavaṇṇāyeva, ekacce setā phalikavaṇṇā, ekacce rattā pavāḷavaṇṇā, ekacce kammāsā masāragallavaṇṇā. Pañcasatā kassakapurisā sabbe ahatasetavatthanivatthā mālālaṅkatā dakkhiṇaaṃsakūṭesu ṭhapitapupphacumbaṭakā haritālamanosilālañchanujjalitagattabhāgā dasa dasa naṅgalā ekekagumbā hutvā gacchanti. Naṅgalānaṃ sīsañca yugañca patodā ca suvaṇṇavinaddhā. Paṭhamanaṅgale aṭṭha balibaddā yuttā, sesesu cattāro cattāro, avasesā kilantaparivattanatthaṃ ānītā. Ekekagumbe ekamekaṃ bījasakaṭaṃ ekeko kasati, ekeko vapati.

    พฺราหฺมโณ ปน ปเคว มสฺสุกมฺมํ การาเปตฺวา นฺหตฺวา สุคนฺธคเนฺธหิ วิลิโตฺต ปญฺจสตคฺฆนกํ วตฺถํ นิวาเสตฺวา สหสฺสคฺฆนกํ เอกํสํ กริตฺวา เอกเมกิสฺสา องฺคุลิยา เทฺว เทฺว กตฺวา วีสติ องฺคุลิมุทฺทิกาโย, กเณฺณสุ สีหกุณฺฑลานิ, สีเส จ พฺรหฺมเวฐนํ ปฎิมุญฺจิตฺวา สุวณฺณมาลํ กเณฺฐ กตฺวา พฺราหฺมณคณปริวุโต กมฺมนฺตํ โวสาสติฯ อถสฺส พฺราหฺมณี อเนกสตภาชเนสุ ปายาสํ ปจาเปตฺวา มหาสกเฎสุ อาโรเปตฺวา คโนฺธทเกน นฺหายิตฺวา สพฺพาลงฺการวิภูสิตา พฺราหฺมณีคณปริวุตา กมฺมนฺตํ อคมาสิฯ เคหมฺปิสฺส สพฺพตฺถ คเนฺธหิ สุวิลิตฺตํ ปุเปฺผหิ สุกตพลิกมฺมํ, เขตฺตญฺจ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ สมุสฺสิตปฎากํ อโหสิฯ ปริชนกมฺมกาเรหิ สห กมฺมนฺตํ โอสฎปริสา อฑฺฒเตยฺยสหสฺสา อโหสิฯ สเพฺพ อหตวตฺถนิวตฺถา, สเพฺพสญฺจ ปายาสโภชนํ ปฎิยตฺตํ อโหสิฯ

    Brāhmaṇo pana pageva massukammaṃ kārāpetvā nhatvā sugandhagandhehi vilitto pañcasatagghanakaṃ vatthaṃ nivāsetvā sahassagghanakaṃ ekaṃsaṃ karitvā ekamekissā aṅguliyā dve dve katvā vīsati aṅgulimuddikāyo, kaṇṇesu sīhakuṇḍalāni, sīse ca brahmaveṭhanaṃ paṭimuñcitvā suvaṇṇamālaṃ kaṇṭhe katvā brāhmaṇagaṇaparivuto kammantaṃ vosāsati. Athassa brāhmaṇī anekasatabhājanesu pāyāsaṃ pacāpetvā mahāsakaṭesu āropetvā gandhodakena nhāyitvā sabbālaṅkāravibhūsitā brāhmaṇīgaṇaparivutā kammantaṃ agamāsi. Gehampissa sabbattha gandhehi suvilittaṃ pupphehi sukatabalikammaṃ, khettañca tesu tesu ṭhānesu samussitapaṭākaṃ ahosi. Parijanakammakārehi saha kammantaṃ osaṭaparisā aḍḍhateyyasahassā ahosi. Sabbe ahatavatthanivatthā, sabbesañca pāyāsabhojanaṃ paṭiyattaṃ ahosi.

    อถ พฺราหฺมโณ ยตฺถ สามํ ภุญฺชติ, ตํ สุวณฺณปาติํ โธวาเปตฺวา ปายาสสฺส ปูเรตฺวา สปฺปิมธุผาณิตาทีนิ อภิสงฺขริตฺวา นงฺคลพลิกมฺมํ การาเปสิฯ พฺราหฺมณี ปญฺจ กสฺสกสตานิ สุวณฺณรชตกํสตมฺพมยานิ ภาชนานิ คเหตฺวา นิสินฺนานิ สุวณฺณกฎจฺฉุํ คเหตฺวา ปายาเสน ปริวิสนฺตี คจฺฉติฯ พฺราหฺมโณ ปน พลิกมฺมํ การาเปตฺวา รตฺตสุวณฺณพนฺธูปาหนาโย อาโรหิตฺวา รตฺตสุวณฺณทณฺฑํ คเหตฺวา ‘‘อิธ ปายาสํ เทถ, อิธ สปฺปิํ, อิธ สกฺขรํ เทถา’’ติ โวสาสมาโน วิจรติฯ อถ ภควา คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺนว พฺราหฺมณสฺส ปริเวสนํ วตฺตมานํ ญตฺวา ‘‘อยํ กาโล พฺราหฺมณํ ทเมตุ’’นฺติ นิวาเสตฺวา, กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา, สงฺฆาฎิํ ปารุปิตฺวา, ปตฺตํ คเหตฺวา, คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิ ยถา ตํ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิฯ เตนาห อายสฺมา อานโนฺท ‘‘อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา’’ติฯ

    Atha brāhmaṇo yattha sāmaṃ bhuñjati, taṃ suvaṇṇapātiṃ dhovāpetvā pāyāsassa pūretvā sappimadhuphāṇitādīni abhisaṅkharitvā naṅgalabalikammaṃ kārāpesi. Brāhmaṇī pañca kassakasatāni suvaṇṇarajatakaṃsatambamayāni bhājanāni gahetvā nisinnāni suvaṇṇakaṭacchuṃ gahetvā pāyāsena parivisantī gacchati. Brāhmaṇo pana balikammaṃ kārāpetvā rattasuvaṇṇabandhūpāhanāyo ārohitvā rattasuvaṇṇadaṇḍaṃ gahetvā ‘‘idha pāyāsaṃ detha, idha sappiṃ, idha sakkharaṃ dethā’’ti vosāsamāno vicarati. Atha bhagavā gandhakuṭiyaṃ nisinnova brāhmaṇassa parivesanaṃ vattamānaṃ ñatvā ‘‘ayaṃ kālo brāhmaṇaṃ dametu’’nti nivāsetvā, kāyabandhanaṃ bandhitvā, saṅghāṭiṃ pārupitvā, pattaṃ gahetvā, gandhakuṭito nikkhami yathā taṃ anuttaro purisadammasārathi. Tenāha āyasmā ānando ‘‘atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā’’ti.

    ตตฺถ อถ อิติ นิปาโต อญฺญาธิการวจนารเมฺภ โขติ ปทปูรเณฯ ภควาติ วุตฺตนยเมวฯ ปุพฺพณฺหสมยนฺติ ทิวสสฺส ปุพฺพภาคสมยํ, ปุพฺพณฺหสมเยติ อโตฺถ, ปุพฺพเณฺห วา สมยํ ปุพฺพณฺหสมยํ, ปุพฺพเณฺห เอกํ ขณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํ ลพฺภติฯ นิวาเสตฺวาติ ปริทหิตฺวา, วิหารนิวาสนปริวตฺตนวเสเนตํ เวทิตพฺพํฯ น หิ ภควา ตโต ปุเพฺพ อนิวโตฺถ อาสิฯ ปตฺตจีวรมาทายาติ ปตฺตํ หเตฺถหิ, จีวรํ กาเยน อาทิยิตฺวา, สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ธาเรตฺวาติ อโตฺถฯ ภควโต กิร ปิณฺฑาย ปวิสิตุกามสฺส ภมโร วิย วิกสิตปทุมทฺวยมชฺฌํ, อินฺทนีลมณิวณฺณํ เสลมยํ ปตฺตํ หตฺถทฺวยมชฺฌํ อาคจฺฉติฯ ตสฺมา เอวมาคตํ ปตฺตํ หเตฺถหิ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา จีวรญฺจ ปริมณฺฑลํ ปารุตํ กาเยน ธาเรตฺวาติ เอวมสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เยน วา เตน วา หิ ปกาเรน คณฺหโนฺต อาทาย อิเจฺจว วุจฺจติ ยถา ‘‘สมาทาเยว ปกฺกมตี’’ติฯ

    Tattha atha iti nipāto aññādhikāravacanārambhe khoti padapūraṇe. Bhagavāti vuttanayameva. Pubbaṇhasamayanti divasassa pubbabhāgasamayaṃ, pubbaṇhasamayeti attho, pubbaṇhe vā samayaṃ pubbaṇhasamayaṃ, pubbaṇhe ekaṃ khaṇanti vuttaṃ hoti. Evaṃ accantasaṃyoge upayogavacanaṃ labbhati. Nivāsetvāti paridahitvā, vihāranivāsanaparivattanavasenetaṃ veditabbaṃ. Na hi bhagavā tato pubbe anivattho āsi. Pattacīvaramādāyāti pattaṃ hatthehi, cīvaraṃ kāyena ādiyitvā, sampaṭicchitvā dhāretvāti attho. Bhagavato kira piṇḍāya pavisitukāmassa bhamaro viya vikasitapadumadvayamajjhaṃ, indanīlamaṇivaṇṇaṃ selamayaṃ pattaṃ hatthadvayamajjhaṃ āgacchati. Tasmā evamāgataṃ pattaṃ hatthehi sampaṭicchitvā cīvarañca parimaṇḍalaṃ pārutaṃ kāyena dhāretvāti evamassa attho veditabbo. Yena vā tena vā hi pakārena gaṇhanto ādāya icceva vuccati yathā ‘‘samādāyeva pakkamatī’’ti.

    เยนาติ เยน มเคฺคนฯ กมฺมโนฺตติ กมฺมกรโณกาโสฯ เตนาติ เตน มเคฺคนฯ อุปสงฺกมีติ คโต, เยน มเคฺคน กสิภารทฺวาชสฺส พฺราหฺมณสฺส กมฺมโนฺต คมฺมติ, เตน มเคฺคน คโตติ วุตฺตํ โหติฯ อถ กสฺมา, ภิกฺขู, ภควนฺตํ นานุพนฺธิํสูติ? วุจฺจเต – ยทา ภควา เอกโกว กตฺถจิ อุปสงฺกมิตุกาโม โหติ, ภิกฺขาจารเวลายํ ทฺวารํ ปิทหิตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิํ ปวิสติฯ ตโต ภิกฺขู ตาย สญฺญาย ชานนฺติ – ‘‘อชฺช ภควา เอกโกว คามํ ปวิสิตุกาโม, อทฺธา กญฺจิ เอว วิเนตพฺพปุคฺคลํ อทฺทสา’’ติฯ เต อตฺตโน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา, คนฺธกุฎิํ ปทกฺขิณํ กตฺวา, ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺติฯ ตทา จ ภควา เอวมกาสิฯ ตสฺมา ภิกฺขู ภควนฺตํ นานุพนฺธิํสูติฯ

    Yenāti yena maggena. Kammantoti kammakaraṇokāso. Tenāti tena maggena. Upasaṅkamīti gato, yena maggena kasibhāradvājassa brāhmaṇassa kammanto gammati, tena maggena gatoti vuttaṃ hoti. Atha kasmā, bhikkhū, bhagavantaṃ nānubandhiṃsūti? Vuccate – yadā bhagavā ekakova katthaci upasaṅkamitukāmo hoti, bhikkhācāravelāyaṃ dvāraṃ pidahitvā antogandhakuṭiṃ pavisati. Tato bhikkhū tāya saññāya jānanti – ‘‘ajja bhagavā ekakova gāmaṃ pavisitukāmo, addhā kañci eva vinetabbapuggalaṃ addasā’’ti. Te attano pattacīvaraṃ gahetvā, gandhakuṭiṃ padakkhiṇaṃ katvā, bhikkhācāraṃ gacchanti. Tadā ca bhagavā evamakāsi. Tasmā bhikkhū bhagavantaṃ nānubandhiṃsūti.

    เตน โข ปน สมเยนาติ เยน สมเยน ภควา กมฺมนฺตํ อุปสงฺกมิ, เตน สมเยน ตสฺส พฺราหฺมณสฺส ปริเวสนา วตฺตติ, ภตฺตวิสฺสโคฺค วตฺตตีติ อโตฺถฯ ยํ ปุเพฺพ อโวจุมฺห – ‘‘พฺราหฺมณี ปญฺจ กสฺสกสตานิ สุวณฺณรชตกํสตมฺพมยานิ ภาชนานิ คเหตฺวา นิสินฺนานิ สุวณฺณกฎจฺฉุํ คเหตฺวา ปายาเสน ปริวิสนฺตี คจฺฉตี’’ติฯ อถ โข ภควา เยน ปริเวสนา เตนุปสงฺกมิฯ กิํ การณาติ? พฺราหฺมณสฺส อนุคฺคหกรณตฺถํฯ น หิ ภควา กปณปุริโส วิย โภตฺตุกามตาย ปริเวสนํ อุปสงฺกมติฯ ภควโต หิ เทฺว อสีติสหสฺสสงฺขฺยา สกฺยโกลิยราชาโน ญาตโย, เต อตฺตโน สมฺปตฺติยา นิพทฺธภตฺตํ ทาตุํ อุสฺสหนฺติฯ น ปน ภควา ภตฺตตฺถาย ปพฺพชิโต, อปิจ โข ปน ‘‘อเนกานิ อสเงฺขฺยยฺยานิ ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชโนฺต ปารมิโย ปูเรตฺวา มุโตฺต โมเจสฺสามิ, ทโนฺต ทเมสฺสามิ; สโนฺต สเมสฺสามิ, ปรินิพฺพุโต ปรินิพฺพาเปสฺสามี’’ติ ปพฺพชิโตฯ ตสฺมา อตฺตโน มุตฺตตฺตา…เป.… ปรินิพฺพุตตฺตา จ ปรํ โมเจโนฺต…เป.… ปรินิพฺพาเปโนฺต จ โลเก วิจรโนฺต พฺราหฺมณสฺส อนุคฺคหกรณตฺถํ เยน ปริเวสนา เตนุปสงฺกมีติ เวทิตพฺพํฯ

    Tenakho pana samayenāti yena samayena bhagavā kammantaṃ upasaṅkami, tena samayena tassa brāhmaṇassa parivesanā vattati, bhattavissaggo vattatīti attho. Yaṃ pubbe avocumha – ‘‘brāhmaṇī pañca kassakasatāni suvaṇṇarajatakaṃsatambamayāni bhājanāni gahetvā nisinnāni suvaṇṇakaṭacchuṃ gahetvā pāyāsena parivisantī gacchatī’’ti. Atha kho bhagavā yena parivesanā tenupasaṅkami. Kiṃ kāraṇāti? Brāhmaṇassa anuggahakaraṇatthaṃ. Na hi bhagavā kapaṇapuriso viya bhottukāmatāya parivesanaṃ upasaṅkamati. Bhagavato hi dve asītisahassasaṅkhyā sakyakoliyarājāno ñātayo, te attano sampattiyā nibaddhabhattaṃ dātuṃ ussahanti. Na pana bhagavā bhattatthāya pabbajito, apica kho pana ‘‘anekāni asaṅkhyeyyāni pañca mahāpariccāge pariccajanto pāramiyo pūretvā mutto mocessāmi, danto damessāmi; santo samessāmi, parinibbuto parinibbāpessāmī’’ti pabbajito. Tasmā attano muttattā…pe… parinibbutattā ca paraṃ mocento…pe… parinibbāpento ca loke vicaranto brāhmaṇassa anuggahakaraṇatthaṃ yena parivesanā tenupasaṅkamīti veditabbaṃ.

    อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสีติ เอวํ อุปสงฺกมิตฺวา จ เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส, เอโกกาสํ เอกปสฺสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ภุมฺมเตฺถ วา อุปโยควจนํ, ตสฺส ทสฺสนูปจาเร กถาสวนฎฺฐาเน, ยตฺถ ฐิตํ พฺราหฺมโณ ปสฺสติ, ตตฺถ อุจฺจฎฺฐาเน อฎฺฐาสิฯ ฐตฺวา จ สุวณฺณรสปิญฺชรํ สหสฺสจนฺทสูริโยภาสาติภาสยมานํ สรีราภํ มุญฺจิ สมนฺตโต อสีติหตฺถปริมาณํ, ยาย อโชฺฌตฺถริตตฺตา พฺราหฺมณสฺส กมฺมนฺตสาลาภิตฺติรุกฺขกสิตมตฺติกาปิณฺฑาทโย สุวณฺณมยา วิย อเหสุํฯ อถ มนุสฺสา ปายาสํ ภุตฺตา อสีติอนุพฺยญฺชนปริวารทฺวตฺติํสวรลกฺขณปฎิมณฺฑิตสรีรํ พฺยามปฺปภาปริเกฺขปวิภูสิตพาหุยุคฬํ เกตุมาลาสมุชฺชลิตสสฺสิริกทสฺสนํ ชงฺคมมิว ปทุมสฺสรํ, รํสิชาลุชฺชลิตตาราคณมิว คคนตลํ, อาทิตฺตมิว จ กนกคิริสิขรํ สิริยา ชลมานํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ เอกมนฺตํ ฐิตํ ทิสฺวา หตฺถปาเท โธวิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห สมฺปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุฯ เอวํ เตหิ สมฺปริวาริตํ อทฺทส โข กสิภารทฺวาโช พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ ปิณฺฑาย ฐิตํฯ ทิสฺวาน ภควนฺตํ เอตทโวจ ‘‘อหํ โข, สมณ, กสามิ จ วปามิ จา’’ติฯ

    Upasaṅkamitvāekamantaṃ aṭṭhāsīti evaṃ upasaṅkamitvā ca ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantanti bhāvanapuṃsakaniddeso, ekokāsaṃ ekapassanti vuttaṃ hoti. Bhummatthe vā upayogavacanaṃ, tassa dassanūpacāre kathāsavanaṭṭhāne, yattha ṭhitaṃ brāhmaṇo passati, tattha uccaṭṭhāne aṭṭhāsi. Ṭhatvā ca suvaṇṇarasapiñjaraṃ sahassacandasūriyobhāsātibhāsayamānaṃ sarīrābhaṃ muñci samantato asītihatthaparimāṇaṃ, yāya ajjhottharitattā brāhmaṇassa kammantasālābhittirukkhakasitamattikāpiṇḍādayo suvaṇṇamayā viya ahesuṃ. Atha manussā pāyāsaṃ bhuttā asītianubyañjanaparivāradvattiṃsavaralakkhaṇapaṭimaṇḍitasarīraṃ byāmappabhāparikkhepavibhūsitabāhuyugaḷaṃ ketumālāsamujjalitasassirikadassanaṃ jaṅgamamiva padumassaraṃ, raṃsijālujjalitatārāgaṇamiva gaganatalaṃ, ādittamiva ca kanakagirisikharaṃ siriyā jalamānaṃ sammāsambuddhaṃ ekamantaṃ ṭhitaṃ disvā hatthapāde dhovitvā añjaliṃ paggayha samparivāretvā aṭṭhaṃsu. Evaṃ tehi samparivāritaṃ addasa kho kasibhāradvājo brāhmaṇo bhagavantaṃ piṇḍāya ṭhitaṃ. Disvāna bhagavantaṃ etadavoca ‘‘ahaṃ kho, samaṇa, kasāmi ca vapāmi cā’’ti.

    กสฺมา ปนายํ เอวมาห? กิํ สมนฺตปาสาทิเก ปสาทนีเย อุตฺตมทมถสมถมนุปฺปเตฺตปิ ภควติ อปฺปสาเทน, อุทาหุ อฑฺฒเตยฺยานํ ชนสหสฺสานํ ปายาสํ ปฎิยาเทตฺวาปิ กฎจฺฉุภิกฺขาย มเจฺฉเรนาติ? อุภยถาปิ โน, อปิจ ขฺวาสฺส ภควโต ทสฺสเนน อติตฺตํ นิกฺขิตฺตกมฺมนฺตํ ชนํ ทิสฺวา ‘‘กมฺมภงฺคํ เม กาตุํ อาคโต’’ติ อนตฺตมนตา อโหสิฯ ตสฺมา เอวมาหฯ ภควโต จ ลกฺขณสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘สจายํ กมฺมเนฺต ปโยชยิสฺส, สกลชมฺพุทีเป มนุสฺสานํ สีเส จูฬามณิ วิย อภวิสฺส, โก นามสฺส อโตฺถ น สมฺปชฺชิสฺส, เอวเมวํ อลสตาย กมฺมเนฺต อปฺปโยเชตฺวา วปฺปมงฺคลาทีสุ ปิณฺฑาย จริตฺวา ภุญฺชโนฺต กายทฬฺหีพหุโล วิจรตี’’ติปิสฺส อโหสิฯ เตนาห – ‘‘อหํ โข, สมณ, กสามิ จ วปามิ จ, กสิตฺวา จ วปิตฺวา จ ภุญฺชามี’’ติฯ น เม กมฺมนฺตา พฺยาปชฺชนฺติ, น จมฺหิ ยถา ตฺวํ เอวํ ลกฺขณสมฺปโนฺนติ อธิปฺปาโยฯ ตฺวมฺปิ สมณ…เป.… ภุญฺชสฺสุ, โก เต อโตฺถ น สมฺปเชฺชยฺย เอวํ ลกฺขณสมฺปนฺนสฺสาติ อธิปฺปาโยฯ

    Kasmā panāyaṃ evamāha? Kiṃ samantapāsādike pasādanīye uttamadamathasamathamanuppattepi bhagavati appasādena, udāhu aḍḍhateyyānaṃ janasahassānaṃ pāyāsaṃ paṭiyādetvāpi kaṭacchubhikkhāya maccherenāti? Ubhayathāpi no, apica khvāssa bhagavato dassanena atittaṃ nikkhittakammantaṃ janaṃ disvā ‘‘kammabhaṅgaṃ me kātuṃ āgato’’ti anattamanatā ahosi. Tasmā evamāha. Bhagavato ca lakkhaṇasampattiṃ disvā ‘‘sacāyaṃ kammante payojayissa, sakalajambudīpe manussānaṃ sīse cūḷāmaṇi viya abhavissa, ko nāmassa attho na sampajjissa, evamevaṃ alasatāya kammante appayojetvā vappamaṅgalādīsu piṇḍāya caritvā bhuñjanto kāyadaḷhībahulo vicaratī’’tipissa ahosi. Tenāha – ‘‘ahaṃ kho, samaṇa, kasāmi ca vapāmi ca, kasitvā ca vapitvā ca bhuñjāmī’’ti. Na me kammantā byāpajjanti, na camhi yathā tvaṃ evaṃ lakkhaṇasampannoti adhippāyo. Tvampi samaṇa…pe… bhuñjassu, ko te attho na sampajjeyya evaṃ lakkhaṇasampannassāti adhippāyo.

    อปิจายํ อโสฺสสิ – ‘‘สกฺยราชกุเล กิร กุมาโร อุปฺปโนฺน, โส จกฺกวตฺติรชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโต’’ติฯ ตสฺมา ‘‘อิทานิ อยํ โส’’ติ ญตฺวา ‘‘จกฺกวตฺติรชฺชํ กิร ปหาย กิลโนฺตสี’’ติ อุปารมฺภํ กโรโนฺต อาห ‘‘อหํ โข สมณา’’ติฯ อปิจายํ ติกฺขปโญฺญ พฺราหฺมโณ, น ภควนฺตํ อวกฺขิปโนฺต ภณติ, ภควโต ปน รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ปญฺญาสมฺปตฺติํ สมฺภาวยมาโน กถาปวตฺตนตฺถมฺปิ เอวมาห – ‘‘อหํ โข สมณา’’ติฯ ตโต ภควา เวเนยฺยวเสน สเทวเก โลเก อคฺคกสฺสกวปฺปกภาวํ อตฺตโน ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อหมฺปิ โข พฺราหฺมณา’’ติฯ

    Apicāyaṃ assosi – ‘‘sakyarājakule kira kumāro uppanno, so cakkavattirajjaṃ pahāya pabbajito’’ti. Tasmā ‘‘idāni ayaṃ so’’ti ñatvā ‘‘cakkavattirajjaṃ kira pahāya kilantosī’’ti upārambhaṃ karonto āha ‘‘ahaṃ kho samaṇā’’ti. Apicāyaṃ tikkhapañño brāhmaṇo, na bhagavantaṃ avakkhipanto bhaṇati, bhagavato pana rūpasampattiṃ disvā paññāsampattiṃ sambhāvayamāno kathāpavattanatthampi evamāha – ‘‘ahaṃ kho samaṇā’’ti. Tato bhagavā veneyyavasena sadevake loke aggakassakavappakabhāvaṃ attano dassento āha ‘‘ahampi kho brāhmaṇā’’ti.

    อถ พฺราหฺมณสฺส จินฺตา อุทปาทิ – ‘‘อยํ สมโณ ‘กสามิ จ วปามิ จา’ติ อาหฯ น จสฺส โอฬาริกานิ ยุคนงฺคลาทีนิ กสิภณฺฑานิ ปสฺสามิ, โส มุสา นุ โข ภณติ, โน’’ติ ภควนฺตํ ปาทตลา ปฎฺฐาย ยาว อุปริ เกสนฺตา สมฺมาโลกยมาโน องฺควิชฺชาย กตาธิการตฺตา ทฺวตฺติํสวรลกฺขณสมฺปตฺติมสฺส ญตฺวา ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ เอวรูโป มุสา ภเณยฺยา’’ติ ตาวเทว สญฺชาตพหุมาโน ภควติ สมณวาทํ ปหาย โคเตฺตน ภควนฺตํ สมุทาจรมาโน อาห ‘‘น โข ปน มยํ ปสฺสาม โภโต โคตมสฺสา’’ติฯ

    Atha brāhmaṇassa cintā udapādi – ‘‘ayaṃ samaṇo ‘kasāmi ca vapāmi cā’ti āha. Na cassa oḷārikāni yuganaṅgalādīni kasibhaṇḍāni passāmi, so musā nu kho bhaṇati, no’’ti bhagavantaṃ pādatalā paṭṭhāya yāva upari kesantā sammālokayamāno aṅgavijjāya katādhikārattā dvattiṃsavaralakkhaṇasampattimassa ñatvā ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ evarūpo musā bhaṇeyyā’’ti tāvadeva sañjātabahumāno bhagavati samaṇavādaṃ pahāya gottena bhagavantaṃ samudācaramāno āha ‘‘na kho pana mayaṃ passāma bhoto gotamassā’’ti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ติกฺขปโญฺญ พฺราหฺมโณ ‘‘คมฺภีรตฺถํ สนฺธาย อิมินา เอตํ วุตฺต’’นฺติ ญตฺวา ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ ญาตุกาโม ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสิฯ เตนาห อายสฺมา อานโนฺท ‘‘อถ โข กสิภารทฺวาโช พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสี’’ติฯ ตตฺถ คาถายาติ อกฺขรปทนิยมิเตน วจเนนฯ อชฺฌภาสีติ อภาสิฯ

    Evañca pana vatvā tikkhapañño brāhmaṇo ‘‘gambhīratthaṃ sandhāya iminā etaṃ vutta’’nti ñatvā pucchitvā tamatthaṃ ñātukāmo bhagavantaṃ gāthāya ajjhabhāsi. Tenāha āyasmā ānando ‘‘atha kho kasibhāradvājo brāhmaṇo bhagavantaṃ gāthāya ajjhabhāsī’’ti. Tattha gāthāyāti akkharapadaniyamitena vacanena. Ajjhabhāsīti abhāsi.

    ๗๖-๗๗. ตตฺถ พฺราหฺมโณ ‘‘กสิ’’นฺติ ยุคนงฺคลาทิกสิสมฺภารสมาโยคํ วทติฯ ภควา ปน ยสฺมา ปุพฺพธมฺมสภาเคน โรเปตฺวา กถนํ นาม พุทฺธานํ อานุภาโว, ตสฺมา พุทฺธานุภาวํ ทีเปโนฺต ปุพฺพธมฺมสภาเคน โรเปโนฺต อาห – ‘‘สทฺธา พีช’’นฺติฯ โก ปเนตฺถ ปุพฺพธมฺมสภาโค, นนุ พฺราหฺมเณน ภควา ยุคนงฺคลาทิกสิสมฺภารสมาโยคํ ปุจฺฉิโต อถ จ ปน อปุจฺฉิตสฺส พีชสฺส สภาเคน โรเปโนฺต อาห – ‘‘สทฺธา พีช’’นฺติ, เอวญฺจ สติ อนนุสนฺธิกาว อยํ กถา โหตีติ? วุจฺจเต – น พุทฺธานํ อนนุสนฺธิกา นาม กถา อตฺถิ, นาปิ พุทฺธา ปุพฺพธมฺมสภาคํ อนาโรเปตฺวา กเถนฺติฯ เอวเญฺจตฺถ อนุสนฺธิ เวทิตพฺพา – อเนน หิ พฺราหฺมเณน ภควา ยุคนงฺคลาทิกสิสมฺภารวเสน กสิํ ปุจฺฉิโตฯ โส ตสฺส อนุกมฺปาย ‘‘อิทํ อปุจฺฉิต’’นฺติ อปริหาเปตฺวา สมูลํ สอุปการํ สสมฺภารํ สผลํ กสิํ ญาเปตุํ มูลโต ปฎฺฐาย กสิํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘สทฺธา พีช’’นฺติฯ พีชญฺหิ กสิยา มูลํ ตสฺมิํ สติ กตฺตพฺพโต, อสติ อกตฺตพฺพโต, ตปฺปมาเณน จ กตฺตพฺพโตฯ พีเช หิ สติ กสิํ กโรนฺติ, อสติ น กโรนฺติฯ พีชปฺปมาเณน จ กุสลา กสฺสกา เขตฺตํ กสนฺติ, น อูนํ ‘‘มา โน สสฺสํ ปริหายี’’ติ, น อธิกํ ‘‘มา โน โมโฆ วายาโม อโหสี’’ติฯ ยสฺมา จ พีชเมว มูลํ, ตสฺมา ภควา มูลโต ปฎฺฐาย กสิํ ทเสฺสโนฺต ตสฺส พฺราหฺมณสฺส กสิยา ปุพฺพธมฺมสฺส พีชสฺส สภาเคน อตฺตโน กสิยา ปุพฺพธมฺมํ โรเปโนฺต อาห – ‘‘สทฺธา พีช’’นฺติฯ เอวเมตฺถ ปุพฺพธมฺมสภาโค เวทิตโพฺพฯ

    76-77. Tattha brāhmaṇo ‘‘kasi’’nti yuganaṅgalādikasisambhārasamāyogaṃ vadati. Bhagavā pana yasmā pubbadhammasabhāgena ropetvā kathanaṃ nāma buddhānaṃ ānubhāvo, tasmā buddhānubhāvaṃ dīpento pubbadhammasabhāgena ropento āha – ‘‘saddhā bīja’’nti. Ko panettha pubbadhammasabhāgo, nanu brāhmaṇena bhagavā yuganaṅgalādikasisambhārasamāyogaṃ pucchito atha ca pana apucchitassa bījassa sabhāgena ropento āha – ‘‘saddhā bīja’’nti, evañca sati ananusandhikāva ayaṃ kathā hotīti? Vuccate – na buddhānaṃ ananusandhikā nāma kathā atthi, nāpi buddhā pubbadhammasabhāgaṃ anāropetvā kathenti. Evañcettha anusandhi veditabbā – anena hi brāhmaṇena bhagavā yuganaṅgalādikasisambhāravasena kasiṃ pucchito. So tassa anukampāya ‘‘idaṃ apucchita’’nti aparihāpetvā samūlaṃ saupakāraṃ sasambhāraṃ saphalaṃ kasiṃ ñāpetuṃ mūlato paṭṭhāya kasiṃ dassento āha – ‘‘saddhā bīja’’nti. Bījañhi kasiyā mūlaṃ tasmiṃ sati kattabbato, asati akattabbato, tappamāṇena ca kattabbato. Bīje hi sati kasiṃ karonti, asati na karonti. Bījappamāṇena ca kusalā kassakā khettaṃ kasanti, na ūnaṃ ‘‘mā no sassaṃ parihāyī’’ti, na adhikaṃ ‘‘mā no mogho vāyāmo ahosī’’ti. Yasmā ca bījameva mūlaṃ, tasmā bhagavā mūlato paṭṭhāya kasiṃ dassento tassa brāhmaṇassa kasiyā pubbadhammassa bījassa sabhāgena attano kasiyā pubbadhammaṃ ropento āha – ‘‘saddhā bīja’’nti. Evamettha pubbadhammasabhāgo veditabbo.

    ปุจฺฉิตํเยว วตฺวา อปุจฺฉิตํ ปจฺฉา กิํ น วุตฺตนฺติ เจ? ตสฺส อุปการภาวโต ธมฺมสมฺพนฺธสมตฺถภาวโต จฯ อยญฺหิ พฺราหฺมโณ ปญฺญวา, มิจฺฉาทิฎฺฐิกุเล ปน ชาตตฺตา สทฺธาวิรหิโตฯ สทฺธาวิรหิโต จ ปญฺญวา ปเรสํ สทฺธาย อตฺตโน วิสเย อปฎิปชฺชมาโน วิเสสํ นาธิคจฺฉติ, กิเลสกาลุสฺสิยภาวาปคมปฺปสาทมตฺตลกฺขณาปิ จสฺส ทุพฺพลา สทฺธา พลวติยา ปญฺญาย สห วตฺตมานา อตฺถสิทฺธิํ น กโรติ, หตฺถินา สห เอกธุเร ยุตฺตโคโณ วิยฯ ตสฺมา ตสฺส สทฺธา อุปการิกาฯ เอวํ ตสฺส พฺราหฺมณสฺส สอุปการภาวโต ตํ พฺราหฺมณํ สทฺธาย ปติฎฺฐาเปเนฺตน ปจฺฉาปิ วตฺตโพฺพ อยมโตฺถ ปุเพฺพ วุโตฺต เทสนากุสลตาย ยถา อญฺญตฺราปิ ‘‘สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๗๙) จ, ‘‘สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๕๙) จ, ‘‘สทฺธีธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฎฺฐ’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๗๓, ๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๔) จ, ‘‘สทฺธาย ตรติ โอฆ’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖) จ, ‘‘สทฺธาหโตฺถ มหานาโค’’ติ (อ. นิ. ๖.๔๓; เถรคา. ๖๙๔) จ, ‘‘สเทฺธสิโก โข, ภิกฺขเว, อริยสาวโกติ จา’’ติ (อ. นิ. ๗.๖๗)ฯ พีชสฺส จ อุปการิกา วุฎฺฐิ, สา ตทนนฺตรเญฺญว วุจฺจมานา สมตฺถา โหติ ฯ เอวํ ธมฺมสมฺพนฺธสมตฺถภาวโต ปจฺฉาปิ วตฺตโพฺพ อยมโตฺถ ปุเพฺพ วุโตฺต, อโญฺญ จ เอวํวิโธ อีสาโยตฺตาทิฯ

    Pucchitaṃyeva vatvā apucchitaṃ pacchā kiṃ na vuttanti ce? Tassa upakārabhāvato dhammasambandhasamatthabhāvato ca. Ayañhi brāhmaṇo paññavā, micchādiṭṭhikule pana jātattā saddhāvirahito. Saddhāvirahito ca paññavā paresaṃ saddhāya attano visaye apaṭipajjamāno visesaṃ nādhigacchati, kilesakālussiyabhāvāpagamappasādamattalakkhaṇāpi cassa dubbalā saddhā balavatiyā paññāya saha vattamānā atthasiddhiṃ na karoti, hatthinā saha ekadhure yuttagoṇo viya. Tasmā tassa saddhā upakārikā. Evaṃ tassa brāhmaṇassa saupakārabhāvato taṃ brāhmaṇaṃ saddhāya patiṭṭhāpentena pacchāpi vattabbo ayamattho pubbe vutto desanākusalatāya yathā aññatrāpi ‘‘saddhā bandhati pātheyya’’nti (saṃ. ni. 1.79) ca, ‘‘saddhā dutiyā purisassa hotī’’ti (saṃ. ni. 1.59) ca, ‘‘saddhīdha vittaṃ purisassa seṭṭha’’nti (saṃ. ni. 1.73, 246; su. ni. 184) ca, ‘‘saddhāya tarati ogha’’nti (saṃ. ni. 1.246) ca, ‘‘saddhāhattho mahānāgo’’ti (a. ni. 6.43; theragā. 694) ca, ‘‘saddhesiko kho, bhikkhave, ariyasāvakoti cā’’ti (a. ni. 7.67). Bījassa ca upakārikā vuṭṭhi, sā tadanantaraññeva vuccamānā samatthā hoti . Evaṃ dhammasambandhasamatthabhāvato pacchāpi vattabbo ayamattho pubbe vutto, añño ca evaṃvidho īsāyottādi.

    ตตฺถ สมฺปสาทนลกฺขณา สทฺธา, โอกปฺปนลกฺขณา วา, ปกฺขนฺทนรสา, อธิมุตฺติปจฺจุปฎฺฐานา, อกาลุสฺสิยปจฺจุปฎฺฐานา วา, โสตาปตฺติยงฺคปทฎฺฐานา, สทฺทหิตพฺพธมฺมปทฎฺฐานา วา, อาทาสชลตลาทีนํ ปสาโท วิย เจตโส ปสาทภูตา, อุทกปฺปสาทกมณิ วิย อุทกสฺส, สมฺปยุตฺตธมฺมานํ ปสาทิกาฯ พีชนฺติ ปญฺจวิธํ – มูลพีชํ, ขนฺธพีชํ, ผลุพีชํ, อคฺคพีชํ, พีชพีชเมว ปญฺจมนฺติฯ ตํ สพฺพมฺปิ วิรุหนเฎฺฐน พีชํเตฺวว สงฺขํ คจฺฉติฯ ยถาห – ‘‘พีชเญฺจตํ วิรุหนเฎฺฐนา’’ติฯ

    Tattha sampasādanalakkhaṇā saddhā, okappanalakkhaṇā vā, pakkhandanarasā, adhimuttipaccupaṭṭhānā, akālussiyapaccupaṭṭhānā vā, sotāpattiyaṅgapadaṭṭhānā, saddahitabbadhammapadaṭṭhānā vā, ādāsajalatalādīnaṃ pasādo viya cetaso pasādabhūtā, udakappasādakamaṇi viya udakassa, sampayuttadhammānaṃ pasādikā. Bījanti pañcavidhaṃ – mūlabījaṃ, khandhabījaṃ, phalubījaṃ, aggabījaṃ, bījabījameva pañcamanti. Taṃ sabbampi viruhanaṭṭhena bījaṃtveva saṅkhaṃ gacchati. Yathāha – ‘‘bījañcetaṃ viruhanaṭṭhenā’’ti.

    ตตฺถ ยถา พฺราหฺมณสฺส กสิยา มูลภูตํ พีชํ เทฺว กิจฺจานิ กโรติ, เหฎฺฐา มูเลน ปติฎฺฐาติ, อุปริ องฺกุรํ อุฎฺฐาเปติ; เอวํ ภควโต กสิยา มูลภูตา สทฺธา เหฎฺฐา สีลมูเลน ปติฎฺฐาติ, อุปริ สมถวิปสฺสนงฺกุรํ อุฎฺฐาเปติฯ ยถา จ ตํ มูเลน ปถวิรสํ อาโปรสํ คเหตฺวา นาเฬน ธญฺญปริปากคหณตฺถํ วฑฺฒติ; เอวมยํ สีลมูเลน สมถวิปสฺสนารสํ คเหตฺวา อริยมคฺคนาเฬน อริยผลธญฺญปริปากคหณตฺถํ วฑฺฒติฯ ยถา จ ตํ สุภูมิยํ ปติฎฺฐหิตฺวา มูลงฺกุรปณฺณนาฬกณฺฑปฺปสเวหิ วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ ปตฺวา, ขีรํ ชเนตฺวา, อเนกสาลิผลภริตํ สาลิสีสํ นิปฺผาเทติ; เอวมยํ จิตฺตสนฺตาเน ปติฎฺฐหิตฺวา สีลจิตฺตทิฎฺฐิกงฺขาวิตรณมคฺคามคฺคญาณทสฺสนปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธีหิ วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ ปตฺวา ญาณทสฺสนวิสุทฺธิขีรํ ชเนตฺวา อเนกปฎิสมฺภิทาภิญฺญาภริตํ อรหตฺตผลํ นิปฺผาเทติฯ เตนาห ภควา – ‘‘สทฺธา พีช’’นฺติฯ

    Tattha yathā brāhmaṇassa kasiyā mūlabhūtaṃ bījaṃ dve kiccāni karoti, heṭṭhā mūlena patiṭṭhāti, upari aṅkuraṃ uṭṭhāpeti; evaṃ bhagavato kasiyā mūlabhūtā saddhā heṭṭhā sīlamūlena patiṭṭhāti, upari samathavipassanaṅkuraṃ uṭṭhāpeti. Yathā ca taṃ mūlena pathavirasaṃ āporasaṃ gahetvā nāḷena dhaññaparipākagahaṇatthaṃ vaḍḍhati; evamayaṃ sīlamūlena samathavipassanārasaṃ gahetvā ariyamagganāḷena ariyaphaladhaññaparipākagahaṇatthaṃ vaḍḍhati. Yathā ca taṃ subhūmiyaṃ patiṭṭhahitvā mūlaṅkurapaṇṇanāḷakaṇḍappasavehi vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ patvā, khīraṃ janetvā, anekasāliphalabharitaṃ sālisīsaṃ nipphādeti; evamayaṃ cittasantāne patiṭṭhahitvā sīlacittadiṭṭhikaṅkhāvitaraṇamaggāmaggañāṇadassanapaṭipadāñāṇadassanavisuddhīhi vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ patvā ñāṇadassanavisuddhikhīraṃ janetvā anekapaṭisambhidābhiññābharitaṃ arahattaphalaṃ nipphādeti. Tenāha bhagavā – ‘‘saddhā bīja’’nti.

    ตตฺถ สิยา ‘‘ปโรปญฺญาสกุสลธเมฺมสุ เอกโต อุปฺปชฺชมาเนสุ กสฺมา สทฺธาว พีชนฺติ วุตฺตา’’ติ? วุจฺจเต – พีชกิจฺจกรณโตฯ ยถา หิ เตสุ วิญฺญาณํเยว วิชานนกิจฺจํ กโรติ, เอวํ สทฺธา พีชกิจฺจํ, สา จ สพฺพกุสลานํ มูลภูตาฯ ยถาห –

    Tattha siyā ‘‘paropaññāsakusaladhammesu ekato uppajjamānesu kasmā saddhāva bījanti vuttā’’ti? Vuccate – bījakiccakaraṇato. Yathā hi tesu viññāṇaṃyeva vijānanakiccaṃ karoti, evaṃ saddhā bījakiccaṃ, sā ca sabbakusalānaṃ mūlabhūtā. Yathāha –

    ‘‘สทฺธาชาโต อุปสงฺกมติ, อุปสงฺกมโนฺต ปยิรุปาสติ, ปยิรุปาสโนฺต โสตํ โอทหติ , โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณาติ, สุตฺวา ธมฺมํ ธาเรติ, ธตานํ ธมฺมานํ อตฺถํ อุปปริกฺขติ , อตฺถํ อุปปริกฺขโต ธมฺมา นิชฺฌานํ ขมนฺติ, ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติยา สติ ฉโนฺท ชายติ, ฉนฺทชาโต อุสฺสหติ, อุสฺสาเหตฺวา ตุลยติ, ตุลยิตฺวา ปทหติ, ปหิตโตฺต สมาโน กาเยน เจว ปรมสจฺจํ สจฺฉิกโรติ, ปญฺญาย จ นํ อติวิชฺฌปสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๓, ๔๓๒)ฯ

    ‘‘Saddhājāto upasaṅkamati, upasaṅkamanto payirupāsati, payirupāsanto sotaṃ odahati , ohitasoto dhammaṃ suṇāti, sutvā dhammaṃ dhāreti, dhatānaṃ dhammānaṃ atthaṃ upaparikkhati , atthaṃ upaparikkhato dhammā nijjhānaṃ khamanti, dhammanijjhānakkhantiyā sati chando jāyati, chandajāto ussahati, ussāhetvā tulayati, tulayitvā padahati, pahitatto samāno kāyena ceva paramasaccaṃ sacchikaroti, paññāya ca naṃ ativijjhapassatī’’ti (ma. ni. 2.183, 432).

    ตปติ อกุสเล ธเมฺม กายญฺจาติ ตโป; อินฺทฺริยสํวรวีริยธุตงฺคทุกฺกรการิกานํ เอตํ อธิวจนํฯ อิธ ปน อินฺทฺริยสํวโร อธิเปฺปโตฯ วุฎฺฐีติ วสฺสวุฎฺฐิวาตวุฎฺฐีติอาทินา อเนกวิธาฯ อิธ วสฺสวุฎฺฐิ อธิเปฺปตาฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส วสฺสวุฎฺฐิสมนุคฺคหิตํ พีชํ พีชมูลกญฺจ สสฺสํ วิรุหติ น มิลายติ นิปฺผตฺติํ คจฺฉติ, เอวํ ภควโต อินฺทฺริยสํวรสมนุคฺคหิตา สทฺธา สทฺธามูลา จ สีลาทโย ธมฺมา วิรุหนฺติ น มิลายนฺติ นิปฺผตฺติํ คจฺฉนฺติฯ เตนาห – ‘‘ตโป วุฎฺฐี’’ติฯ ‘‘ปญฺญา เม’’ติ เอตฺถ จ วุโตฺต เม-สโทฺท อิเมสุปิ ปเทสุ โยเชตโพฺพ ‘‘สทฺธา เม พีชํ, ตโป เม วุฎฺฐี’’ติฯ เตน กิํ ทีเปติ? ยถา, พฺราหฺมณ, ตยา วปิเต พีเช สเจ วุฎฺฐิ อตฺถิ, สาธุ, โน เจ อตฺถิ, อุทกมฺปิ ทาตพฺพํ โหติ, ตถา มยา หิริ-อีเส ปญฺญายุคนงฺคเล มโนโยเตฺตน เอกาพเทฺธ กเต วีริยพลิพเทฺท โยเชตฺวา สติปาจเนน วิชฺฌิตฺวา อตฺตโน จิตฺตสนฺตานเขเตฺต สทฺธาพีเช วปิเต วุฎฺฐิ-อภาโว นาม นตฺถิฯ อยํ ปน เม สตตํ สมิตํ ตโป วุฎฺฐีติฯ

    Tapati akusale dhamme kāyañcāti tapo; indriyasaṃvaravīriyadhutaṅgadukkarakārikānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Idha pana indriyasaṃvaro adhippeto. Vuṭṭhīti vassavuṭṭhivātavuṭṭhītiādinā anekavidhā. Idha vassavuṭṭhi adhippetā. Yathā hi brāhmaṇassa vassavuṭṭhisamanuggahitaṃ bījaṃ bījamūlakañca sassaṃ viruhati na milāyati nipphattiṃ gacchati, evaṃ bhagavato indriyasaṃvarasamanuggahitā saddhā saddhāmūlā ca sīlādayo dhammā viruhanti na milāyanti nipphattiṃ gacchanti. Tenāha – ‘‘tapo vuṭṭhī’’ti. ‘‘Paññā me’’ti ettha ca vutto me-saddo imesupi padesu yojetabbo ‘‘saddhā me bījaṃ, tapo me vuṭṭhī’’ti. Tena kiṃ dīpeti? Yathā, brāhmaṇa, tayā vapite bīje sace vuṭṭhi atthi, sādhu, no ce atthi, udakampi dātabbaṃ hoti, tathā mayā hiri-īse paññāyuganaṅgale manoyottena ekābaddhe kate vīriyabalibadde yojetvā satipācanena vijjhitvā attano cittasantānakhette saddhābīje vapite vuṭṭhi-abhāvo nāma natthi. Ayaṃ pana me satataṃ samitaṃ tapo vuṭṭhīti.

    ปชานาติ เอตาย ปุคฺคโล, สยํ วา ปชานาตีติ ปญฺญา, สา กามาวจราทิเภทโต อเนกวิธาฯ อิธ ปน สห วิปสฺสนาย มคฺคปญฺญา อธิเปฺปตาฯ ยุคนงฺคลนฺติ ยุคญฺจ นงฺคลญฺจฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส ยุคนงฺคลํ, เอวํ ภควโต ทุวิธาปิ ปญฺญาฯ ตตฺถ ยถา ยุคํ อีสาย อุปนิสฺสยํ โหติ, ปุรโต โหติ, อีสาพทฺธํ โหติ, โยตฺตานํ นิสฺสยํ โหติ, พลิพทฺทานํ เอกโต คมนํ ธาเรติ, เอวํ ปญฺญา หิริปมุขานํ ธมฺมานํ อุปนิสฺสยา โหติฯ ยถาห – ‘‘ปญฺญุตฺตรา สเพฺพ กุสลา ธมฺมา’’ติ (อ. นิ. ๘.๘๓) จ, ‘‘ปญฺญา หิ เสฎฺฐา กุสลา วทนฺติ, นกฺขตฺตราชาริว ตารกาน’’นฺติ (ชา. ๒.๑๗.๘๑) จฯ กุสลานํ ธมฺมานํ ปุพฺพงฺคมเฎฺฐน ปุรโต จ โหติฯ ยถาห – ‘‘สีลํ หิรี จาปิ สตญฺจ ธโมฺม, อนฺวายิกา ปญฺญวโต ภวนฺตี’’ติฯ หิริวิปฺปโยเคน อนุปฺปตฺติโต อีสาพทฺธา โหติ, มโนสงฺขาตสฺส สมาธิโยตฺตสฺส นิสฺสยปจฺจยโต โยตฺตานํ นิสฺสโย โหติ, อจฺจารทฺธาติลีนภาวปฎิเสธนโต วีริยพลิพทฺทานํ เอกโต คมนํ ธาเรติฯ ยถา จ นงฺคลํ ผาลยุตฺตํ กสนกาเล ปถวิฆนํ ภินฺทติ, มูลสนฺตานกานิ ปทาเลติ, เอวํ สติยุตฺตา ปญฺญา วิปสฺสนากาเล ธมฺมานํ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณฆนํ ภินฺทติ, สพฺพกิเลสมูลสนฺตานกานิ ปทาเลติฯ สา จ โข โลกุตฺตราว อิตรา ปน โลกิยาปิ สิยาฯ เตนาห – ‘‘ปญฺญา เม ยุคนงฺคล’’นฺติฯ

    Pajānāti etāya puggalo, sayaṃ vā pajānātīti paññā, sā kāmāvacarādibhedato anekavidhā. Idha pana saha vipassanāya maggapaññā adhippetā. Yuganaṅgalanti yugañca naṅgalañca. Yathā hi brāhmaṇassa yuganaṅgalaṃ, evaṃ bhagavato duvidhāpi paññā. Tattha yathā yugaṃ īsāya upanissayaṃ hoti, purato hoti, īsābaddhaṃ hoti, yottānaṃ nissayaṃ hoti, balibaddānaṃ ekato gamanaṃ dhāreti, evaṃ paññā hiripamukhānaṃ dhammānaṃ upanissayā hoti. Yathāha – ‘‘paññuttarā sabbe kusalā dhammā’’ti (a. ni. 8.83) ca, ‘‘paññā hi seṭṭhā kusalā vadanti, nakkhattarājāriva tārakāna’’nti (jā. 2.17.81) ca. Kusalānaṃ dhammānaṃ pubbaṅgamaṭṭhena purato ca hoti. Yathāha – ‘‘sīlaṃ hirī cāpi satañca dhammo, anvāyikā paññavato bhavantī’’ti. Hirivippayogena anuppattito īsābaddhā hoti, manosaṅkhātassa samādhiyottassa nissayapaccayato yottānaṃ nissayo hoti, accāraddhātilīnabhāvapaṭisedhanato vīriyabalibaddānaṃ ekato gamanaṃ dhāreti. Yathā ca naṅgalaṃ phālayuttaṃ kasanakāle pathavighanaṃ bhindati, mūlasantānakāni padāleti, evaṃ satiyuttā paññā vipassanākāle dhammānaṃ santatisamūhakiccārammaṇaghanaṃ bhindati, sabbakilesamūlasantānakāni padāleti. Sā ca kho lokuttarāva itarā pana lokiyāpi siyā. Tenāha – ‘‘paññā me yuganaṅgala’’nti.

    หิรียติ เอตาย ปุคฺคโล, สยํ วา หิรียติ อกุสลปฺปวตฺติํ ชิคุจฺฉตีติ หิรีฯ ตคฺคหเณน สหจรณภาวโต โอตฺตปฺปํ คหิตํเยว โหติฯ อีสาติ ยุคนงฺคลสนฺธาริกา ทารุยฎฺฐิฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส อีสา ยุคนงฺคลํ สนฺธาเรติ, เอวํ ภควโตปิ หิรี โลกิยโลกุตฺตรปญฺญาสงฺขาตํ ยุคนงฺคลํ สนฺธาเรติ หิริยา อสติ ปญฺญาย อภาวโตฯ ยถา จ อีสาปฎิพทฺธํ ยุคนงฺคลํ กิจฺจกรํ โหติ อจลํ อสิถิลํ, เอวํ หิริปฎิพทฺธา จ ปญฺญา กิจฺจการี โหติ อจลา อสิถิลา อโพฺพกิณฺณา อหิริเกนฯ เตนาห ‘‘หิรี อีสา’’ติฯ

    Hirīyati etāya puggalo, sayaṃ vā hirīyati akusalappavattiṃ jigucchatīti hirī. Taggahaṇena sahacaraṇabhāvato ottappaṃ gahitaṃyeva hoti. Īsāti yuganaṅgalasandhārikā dāruyaṭṭhi. Yathā hi brāhmaṇassa īsā yuganaṅgalaṃ sandhāreti, evaṃ bhagavatopi hirī lokiyalokuttarapaññāsaṅkhātaṃ yuganaṅgalaṃ sandhāreti hiriyā asati paññāya abhāvato. Yathā ca īsāpaṭibaddhaṃ yuganaṅgalaṃ kiccakaraṃ hoti acalaṃ asithilaṃ, evaṃ hiripaṭibaddhā ca paññā kiccakārī hoti acalā asithilā abbokiṇṇā ahirikena. Tenāha ‘‘hirī īsā’’ti.

    มุนาตีติ มโน, จิตฺตเสฺสตํ อธิวจนํฯ อิธ ปน มโนสีเสน ตํสมฺปยุโตฺต สมาธิ อธิเปฺปโตฯ โยตฺตนฺติ รชฺชุพนฺธนํฯ ตํ ติวิธํ อีสาย สห ยุคสฺส พนฺธนํ, ยุเคน สห พลิพทฺทานํ พนฺธนํ, สารถินา สห พลิพทฺทานํ พนฺธนนฺติฯ ตตฺถ ยถา พฺราหฺมณสฺส โยตฺตํ อีสายุคพลิพเทฺท เอกาพเทฺธ กตฺวา สกกิเจฺจ ปฎิปาเทติ, เอวํ ภควโต สมาธิ สเพฺพว เต หิริปญฺญาวีริยธเมฺม เอการมฺมเณ อวิเกฺขปภาเวน พนฺธิตฺวา สกกิเจฺจ ปฎิปาเทติฯ เตนาห – ‘‘มโน โยตฺต’’นฺติฯ

    Munātīti mano, cittassetaṃ adhivacanaṃ. Idha pana manosīsena taṃsampayutto samādhi adhippeto. Yottanti rajjubandhanaṃ. Taṃ tividhaṃ īsāya saha yugassa bandhanaṃ, yugena saha balibaddānaṃ bandhanaṃ, sārathinā saha balibaddānaṃ bandhananti. Tattha yathā brāhmaṇassa yottaṃ īsāyugabalibadde ekābaddhe katvā sakakicce paṭipādeti, evaṃ bhagavato samādhi sabbeva te hiripaññāvīriyadhamme ekārammaṇe avikkhepabhāvena bandhitvā sakakicce paṭipādeti. Tenāha – ‘‘mano yotta’’nti.

    สรติ เอตาย จิรกตาทิมตฺถํ ปุคฺคโล, สยํ วา สรตีติ สติ, สา อสมฺมุสฺสนลกฺขณาฯ ผาเลตีติ ผาโลฯ ปาเชติ เอเตนาติ ปาชนํฯ ตํ อิธ ‘‘ปาจน’’นฺติ วุจฺจติ, ปโตทเสฺสตํ อธิวจนํฯ ผาโล จ ปาจนญฺจ ผาลปาจนํฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส ผาลปาจนํ, เอวํ ภควโต วิปสฺสนายุตฺตา มคฺคยุตฺตา จ สติฯ ตตฺถ ยถา ผาโล นงฺคลมนุรกฺขติ, ปุรโต จสฺส คจฺฉติ, เอวํ สติ กุสลานํ ธมฺมานํ คติโย สมเนฺวสมานา อารมฺมเณ วา อุปฎฺฐาปยมานา ปญฺญานงฺคลํ รกฺขติ, ตถา หิ ‘‘สตารเกฺขน เจตสา วิหรตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๑๐.๒๐) ‘‘อารกฺขา’’ติ วุตฺตาฯ อสมฺมุสฺสนวเสน จสฺส ปุรโต โหติฯ สติปริจิเต หิ ธเมฺม ปญฺญา ปชานาติ, โน สมฺมุเฎฺฐฯ ยถา จ ปาจนํ พลิพทฺทานํ วิชฺฌนภยํ ทเสฺสนฺตํ สํสีทนํ น เทติ, อุปฺปถคมนญฺจ วาเรติ, เอวํ สติ วีริยพลิพทฺทานํ อปายภยํ ทเสฺสนฺตี โกสชฺชสํสีทนํ น เทติ, กามคุณสงฺขาเต อโคจเร จารํ นิวาเรตฺวา กมฺมฎฺฐาเน นิโยเชนฺตี อุปฺปถคมนญฺจ วาเรติฯ เตนาห – ‘‘สติ เม ผาลปาจน’’นฺติฯ

    Sarati etāya cirakatādimatthaṃ puggalo, sayaṃ vā saratīti sati, sā asammussanalakkhaṇā. Phāletīti phālo. Pājeti etenāti pājanaṃ. Taṃ idha ‘‘pācana’’nti vuccati, patodassetaṃ adhivacanaṃ. Phālo ca pācanañca phālapācanaṃ. Yathā hi brāhmaṇassa phālapācanaṃ, evaṃ bhagavato vipassanāyuttā maggayuttā ca sati. Tattha yathā phālo naṅgalamanurakkhati, purato cassa gacchati, evaṃ sati kusalānaṃ dhammānaṃ gatiyo samanvesamānā ārammaṇe vā upaṭṭhāpayamānā paññānaṅgalaṃ rakkhati, tathā hi ‘‘satārakkhena cetasā viharatī’’tiādīsu (a. ni. 10.20) ‘‘ārakkhā’’ti vuttā. Asammussanavasena cassa purato hoti. Satiparicite hi dhamme paññā pajānāti, no sammuṭṭhe. Yathā ca pācanaṃ balibaddānaṃ vijjhanabhayaṃ dassentaṃ saṃsīdanaṃ na deti, uppathagamanañca vāreti, evaṃ sati vīriyabalibaddānaṃ apāyabhayaṃ dassentī kosajjasaṃsīdanaṃ na deti, kāmaguṇasaṅkhāte agocare cāraṃ nivāretvā kammaṭṭhāne niyojentī uppathagamanañca vāreti. Tenāha – ‘‘sati me phālapācana’’nti.

    ๗๘. กายคุโตฺตติ ติวิเธน กายสุจริเตน คุโตฺตฯ วจีคุโตฺตติ จตุพฺพิเธน วจีสุจริเตน คุโตฺตฯ เอตฺตาวตา ปาติโมกฺขสํวรสีลํ วุตฺตํฯ อาหาเร อุทเร ยโตติ เอตฺถ อาหารมุเขน สพฺพปจฺจยานํ สงฺคหิตตฺตา จตุพฺพิเธปิ ปจฺจเย ยโต สํยโต นิรุปกฺกิเลโสติ อโตฺถฯ อิมินา อาชีวปาริสุทฺธิสีลํ วุตฺตํฯ อุทเร ยโตติ อุทเร ยโต สํยโต มิตโภชี, อาหาเร มตฺตญฺญูติ วุตฺตํ โหติฯ อิมินา โภชเน มตฺตญฺญุตามุเขน ปจฺจยปฎิเสวนสีลํ วุตฺตํฯ เตน กิํ ทีเปติ? ยถา ตฺวํ, พฺราหฺมณ, พีชํ วปิตฺวา สสฺสปริปาลนตฺถํ กณฺฎกวติํ วา รุกฺขวติํ วา ปาการปริเกฺขปํ วา กโรสิ, เตน เต โคมหิํสมิคคณา ปเวสํ อลภนฺตา สสฺสํ น วิลุมฺปนฺติ, เอวมหมฺปิ สทฺธาพีชํ วปิตฺวา นานปฺปการกุสลสสฺสปริปาลนตฺถํ กายวจีอาหารคุตฺติมยํ ติวิธปริเกฺขปํ กโรมิฯ เตน เม ราคาทิอกุสลธมฺมโคมหิํสมิคคณา ปเวสํ อลภนฺตา นานปฺปการกุสลสสฺสํ น วิลุมฺปนฺตีติฯ

    78.Kāyaguttoti tividhena kāyasucaritena gutto. Vacīguttoti catubbidhena vacīsucaritena gutto. Ettāvatā pātimokkhasaṃvarasīlaṃ vuttaṃ. Āhāre udare yatoti ettha āhāramukhena sabbapaccayānaṃ saṅgahitattā catubbidhepi paccaye yato saṃyato nirupakkilesoti attho. Iminā ājīvapārisuddhisīlaṃ vuttaṃ. Udare yatoti udare yato saṃyato mitabhojī, āhāre mattaññūti vuttaṃ hoti. Iminā bhojane mattaññutāmukhena paccayapaṭisevanasīlaṃ vuttaṃ. Tena kiṃ dīpeti? Yathā tvaṃ, brāhmaṇa, bījaṃ vapitvā sassaparipālanatthaṃ kaṇṭakavatiṃ vā rukkhavatiṃ vā pākāraparikkhepaṃ vā karosi, tena te gomahiṃsamigagaṇā pavesaṃ alabhantā sassaṃ na vilumpanti, evamahampi saddhābījaṃ vapitvā nānappakārakusalasassaparipālanatthaṃ kāyavacīāhāraguttimayaṃ tividhaparikkhepaṃ karomi. Tena me rāgādiakusaladhammagomahiṃsamigagaṇā pavesaṃ alabhantā nānappakārakusalasassaṃ na vilumpantīti.

    สจฺจํ กโรมิ นิทฺทานนฺติ เอตฺถ ทฺวีหิ ทฺวาเรหิ อวิสํวาทนํ สจฺจํฯ นิทฺทานนฺติ เฉทนํ ลุนนํ อุปฺปาฎนํ, กรณเตฺถ เจตํ อุปโยควจนํ เวทิตพฺพํฯ อยญฺหิ เอตฺถ อโตฺถ ‘‘สเจฺจน กโรมิ นิทฺทาน’’นฺติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา ตฺวํ พาหิรํ กสิํ กสิตฺวา สสฺสทูสกานํ ติณานํ หเตฺถน วา อสิเตน วา นิทฺทานํ กโรสิ; เอวมหมฺปิ อชฺฌตฺติกํ กสิํ กสิตฺวา กุสลสสฺสทูสกานํ วิสํวาทนติณานํ สเจฺจน นิทฺทานํ กโรมิฯ ญาณสจฺจํ วา เอตฺถ สจฺจนฺติ เวทิตพฺพํ, ยํ ตํ ยถาภูตญาณนฺติ วุจฺจติฯ เตน อตฺตสญฺญาทีนํ ติณานํ นิทฺทานํ กโรมีติ เอวํ โยเชตพฺพํฯ อถ วา นิทฺทานนฺติ เฉทกํ ลาวกํ, อุปฺปาฎกนฺติ อโตฺถฯ เอวํ สเนฺต ยถา ตฺวํ ทาสํ วา กมฺมกรํ วา นิทฺทานํ กโรสิ, ‘‘นิเทฺทหิ ติณานี’’ติ ติณานํ เฉทกํ ลาวกํ อุปฺปาฎกํ กโรสิ; เอวมหํ สจฺจํ กโรมีติ อุปโยควจเนเนว วตฺตุํ ยุชฺชติฯ อถ วา สจฺจนฺติ ทิฎฺฐิสจฺจํฯ ตมหํ นิทฺทานํ กโรมิ, ฉินฺทิตพฺพํ ลุนิตพฺพํ อุปฺปาเฎตพฺพํ กโรมีติ เอวมฺปิ อุปโยควจเนเนว วตฺตุํ ยุชฺชติฯ

    Saccaṃ karomi niddānanti ettha dvīhi dvārehi avisaṃvādanaṃ saccaṃ. Niddānanti chedanaṃ lunanaṃ uppāṭanaṃ, karaṇatthe cetaṃ upayogavacanaṃ veditabbaṃ. Ayañhi ettha attho ‘‘saccena karomi niddāna’’nti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā tvaṃ bāhiraṃ kasiṃ kasitvā sassadūsakānaṃ tiṇānaṃ hatthena vā asitena vā niddānaṃ karosi; evamahampi ajjhattikaṃ kasiṃ kasitvā kusalasassadūsakānaṃ visaṃvādanatiṇānaṃ saccena niddānaṃ karomi. Ñāṇasaccaṃ vā ettha saccanti veditabbaṃ, yaṃ taṃ yathābhūtañāṇanti vuccati. Tena attasaññādīnaṃ tiṇānaṃ niddānaṃ karomīti evaṃ yojetabbaṃ. Atha vā niddānanti chedakaṃ lāvakaṃ, uppāṭakanti attho. Evaṃ sante yathā tvaṃ dāsaṃ vā kammakaraṃ vā niddānaṃ karosi, ‘‘niddehi tiṇānī’’ti tiṇānaṃ chedakaṃ lāvakaṃ uppāṭakaṃ karosi; evamahaṃ saccaṃ karomīti upayogavacaneneva vattuṃ yujjati. Atha vā saccanti diṭṭhisaccaṃ. Tamahaṃ niddānaṃ karomi, chinditabbaṃ lunitabbaṃ uppāṭetabbaṃ karomīti evampi upayogavacaneneva vattuṃ yujjati.

    โสรจฺจํ เม ปโมจนนฺติ เอตฺถ ยํ ตํ ‘‘กายิโก อวีติกฺกโม, วาจสิโก อวีติกฺกโม’’ติ, เอวํ สีลเมว ‘‘โสรจฺจ’’นฺติ วุตฺตํ, น ตํ อิธ อธิเปฺปตํ, วุตฺตเมว เอตํ ‘‘กายคุโตฺต’’ติอาทินา นเยน, อรหตฺตผลํ ปน อธิเปฺปตํฯ ตมฺปิ หิ สุนฺทเร นิพฺพาเน รตภาวโต ‘‘โสรจฺจ’’นฺติ วุจฺจติฯ ปโมจนนฺติ โยคฺควิสฺสชฺชนํฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา ตว ปโมจนํ ปุนปิ สายเนฺห วา ทุติยทิวเส วา อนาคตสํวจฺฉเร วา โยเชตพฺพโต อปฺปโมจนเมว โหติ, น มม เอวํฯ น หิ มม อนฺตรา โมจนํ นาม อตฺถิฯ อหญฺหิ ทีปงฺกรทสพลกาลโต ปภุติ ปญฺญานงฺคเล วีริยพลิพเทฺท โยเชตฺวา จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ มหากสิํ กสโนฺต ตาว น มุญฺจิํ, ยาว น สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิฯ ยทา จ เม สพฺพํ ตํ กาลํ เขเปตฺวา โพธิรุกฺขมูเล อปราชิตปลฺลเงฺก นิสินฺนสฺส สพฺพคุณปริวารํ อรหตฺตผลํ อุทปาทิ, ตทา มยา ตํ สพฺพุสฺสุกฺกปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปตฺติยา ปมุตฺตํ, น ทานิ ปุน โยเชตพฺพํ ภวิสฺสตีติฯ เอตมตฺถํ สนฺธายาห ภควา – ‘‘โสรจฺจํ เม ปโมจน’’นฺติฯ

    Soraccaṃ me pamocananti ettha yaṃ taṃ ‘‘kāyiko avītikkamo, vācasiko avītikkamo’’ti, evaṃ sīlameva ‘‘soracca’’nti vuttaṃ, na taṃ idha adhippetaṃ, vuttameva etaṃ ‘‘kāyagutto’’tiādinā nayena, arahattaphalaṃ pana adhippetaṃ. Tampi hi sundare nibbāne ratabhāvato ‘‘soracca’’nti vuccati. Pamocananti yoggavissajjanaṃ. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā tava pamocanaṃ punapi sāyanhe vā dutiyadivase vā anāgatasaṃvacchare vā yojetabbato appamocanameva hoti, na mama evaṃ. Na hi mama antarā mocanaṃ nāma atthi. Ahañhi dīpaṅkaradasabalakālato pabhuti paññānaṅgale vīriyabalibadde yojetvā cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca mahākasiṃ kasanto tāva na muñciṃ, yāva na sammāsambodhiṃ abhisambujjhi. Yadā ca me sabbaṃ taṃ kālaṃ khepetvā bodhirukkhamūle aparājitapallaṅke nisinnassa sabbaguṇaparivāraṃ arahattaphalaṃ udapādi, tadā mayā taṃ sabbussukkapaṭippassaddhippattiyā pamuttaṃ, na dāni puna yojetabbaṃ bhavissatīti. Etamatthaṃ sandhāyāha bhagavā – ‘‘soraccaṃ me pamocana’’nti.

    ๗๙. วีริยํ เม ธุรโธรยฺหนฺติ เอตฺถ วีริยนฺติ ‘‘กายิโก วา, เจตสิโก วา วีริยารโมฺภ’’ติอาทินา นเยน วุตฺตปธานํฯ ธุรายํ โธรยฺหํ ธุรโธรยฺหํ, ธุรํ วหตีติ อโตฺถฯ ยถา หิ พฺราหฺมณสฺส ธุรายํ โธรยฺหากฑฺฒิตํ นงฺคลํ ภูมิฆนํ ภินฺทติ, มูลสนฺตานกานิ จ ปทาเลติ, เอวํ ภควโต วีริยากฑฺฒิตํ ปญฺญานงฺคลํ ยถาวุตฺตํ ฆนํ ภินฺทติ, กิเลสสนฺตานกานิ จ ปทาเลติฯ เตนาห – ‘‘วีริยํ เม ธุรโธรยฺห’’นฺติฯ อถ วา ปุริมธุรํ วหนฺตา ธุรา, มูลธุรํ วหนฺตา โธรยฺหา; ธุรา จ โธรยฺหา จ ธุรโธรยฺหาฯ ตตฺถ ยถา พฺราหฺมณสฺส เอกเมกสฺมิํ นงฺคเล จตุพลิพทฺทปฺปเภทํ ธุรโธรยฺหํ วหนฺตํ อุปฺปนฺนานุปฺปนฺนติณมูลฆาตํ สสฺสสมฺปตฺติญฺจ สาเธติ, เอวํ ภควโต จตุสมฺมปฺปธานวีริยปฺปเภทํ ธุรโธรยฺหํ วหนฺตํ อุปฺปนฺนานุปฺปนฺนากุสลมูลฆาตํ กุสลสมฺปตฺติญฺจ สาเธติฯ เตนาห – ‘‘วีริยํ เม ธุรโธรยฺห’’นฺติฯ

    79.Vīriyaṃ me dhuradhorayhanti ettha vīriyanti ‘‘kāyiko vā, cetasiko vā vīriyārambho’’tiādinā nayena vuttapadhānaṃ. Dhurāyaṃ dhorayhaṃ dhuradhorayhaṃ, dhuraṃ vahatīti attho. Yathā hi brāhmaṇassa dhurāyaṃ dhorayhākaḍḍhitaṃ naṅgalaṃ bhūmighanaṃ bhindati, mūlasantānakāni ca padāleti, evaṃ bhagavato vīriyākaḍḍhitaṃ paññānaṅgalaṃ yathāvuttaṃ ghanaṃ bhindati, kilesasantānakāni ca padāleti. Tenāha – ‘‘vīriyaṃ me dhuradhorayha’’nti. Atha vā purimadhuraṃ vahantā dhurā, mūladhuraṃ vahantā dhorayhā; dhurā ca dhorayhā ca dhuradhorayhā. Tattha yathā brāhmaṇassa ekamekasmiṃ naṅgale catubalibaddappabhedaṃ dhuradhorayhaṃ vahantaṃ uppannānuppannatiṇamūlaghātaṃ sassasampattiñca sādheti, evaṃ bhagavato catusammappadhānavīriyappabhedaṃ dhuradhorayhaṃ vahantaṃ uppannānuppannākusalamūlaghātaṃ kusalasampattiñca sādheti. Tenāha – ‘‘vīriyaṃ me dhuradhorayha’’nti.

    โยคเกฺขมาธิวาหนนฺติ เอตฺถ โยเคหิ เขมตฺตา ‘‘โยคเกฺขม’’นฺติ นิพฺพานํ วุจฺจติ, ตํ อธิกตฺวา วาหียติ, อภิมุขํ วา วาหียตีติ อธิวาหนํฯ โยคเกฺขมสฺส อธิวาหนํ โยคเกฺขมาธิวาหนํฯ เตน กิํ ทีเปติ? ยถา ตว ธุรโธรยฺหํ ปุรตฺถิมํ ทิสํ ปจฺฉิมาทีสุ วา อญฺญตรํ อภิมุขํ วาหียติ, ตถา มม ธุรโธรยฺหํ นิพฺพานาภิมุขํ วาหียติฯ

    Yogakkhemādhivāhananti ettha yogehi khemattā ‘‘yogakkhema’’nti nibbānaṃ vuccati, taṃ adhikatvā vāhīyati, abhimukhaṃ vā vāhīyatīti adhivāhanaṃ. Yogakkhemassa adhivāhanaṃ yogakkhemādhivāhanaṃ. Tena kiṃ dīpeti? Yathā tava dhuradhorayhaṃ puratthimaṃ disaṃ pacchimādīsu vā aññataraṃ abhimukhaṃ vāhīyati, tathā mama dhuradhorayhaṃ nibbānābhimukhaṃ vāhīyati.

    เอวํ วาหิยมานญฺจ คจฺฉติ อนิวตฺตนฺตํฯ ยถา ตว นงฺคลํ วหนฺตํ ธุรโธรยฺหํ เขตฺตโกฎิํ ปตฺวา ปุน นิวตฺตติ, เอวํ อนิวตฺตนฺตํ ทีปงฺกรกาลโต ปภุติ คจฺฉเตวฯ ยสฺมา วา เตน เตน มเคฺคน ปหีนา กิเลสา ปุนปฺปุนํ ปหาตพฺพา น โหนฺติ, ยถา ตว นงฺคเลน ฉินฺนานิ ติณานิ ปุนปิ อปรสฺมิํ สมเย ฉินฺทิตพฺพานิ โหนฺติ, ตสฺมาปิ เอตํ ปฐมมคฺควเสน ทิเฎฺฐกเฎฺฐ กิเลเส, ทุติยวเสน โอฬาริเก, ตติยวเสน อนุสหคเต กิเลเส, จตุตฺถวเสน สพฺพกิเลเส ปชหนฺตํ คจฺฉติ อนิวตฺตนฺตํฯ อถ วา คจฺฉติ อนิวตฺตนฺติ นิวตฺตนรหิตํ หุตฺวา คจฺฉตีติ อโตฺถฯ นฺติ ตํ ธุรโธรยฺหํฯ เอวเมฺปตฺถ ปทเจฺฉโท เวทิตโพฺพฯ เอวํ คจฺฉนฺตญฺจ ยถา ตว ธุรโธรยฺหํ น ตํ ฐานํ คจฺฉติ, ยตฺถ คนฺตฺวา กสฺสโก อโสโก นิโสฺสโก วิรโช หุตฺวา น โสจติ, เอตํ ปน ตํ ฐานํ คจฺฉติ, ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจติฯ ยตฺถ สติปาจเนน เอตํ วีริยธุรโธรยฺหํ โจเทโนฺต คนฺตฺวา มาทิโส กสฺสโก อโสโก นิโสฺสโก วิรโช หุตฺวา น โสจติ, ตํ สพฺพโสกสลฺลสมุคฺฆาตภูตํ นิพฺพานามตสงฺขาตํ ฐานํ คจฺฉตีติฯ

    Evaṃ vāhiyamānañca gacchati anivattantaṃ. Yathā tava naṅgalaṃ vahantaṃ dhuradhorayhaṃ khettakoṭiṃ patvā puna nivattati, evaṃ anivattantaṃ dīpaṅkarakālato pabhuti gacchateva. Yasmā vā tena tena maggena pahīnā kilesā punappunaṃ pahātabbā na honti, yathā tava naṅgalena chinnāni tiṇāni punapi aparasmiṃ samaye chinditabbāni honti, tasmāpi etaṃ paṭhamamaggavasena diṭṭhekaṭṭhe kilese, dutiyavasena oḷārike, tatiyavasena anusahagate kilese, catutthavasena sabbakilese pajahantaṃ gacchati anivattantaṃ. Atha vā gacchati anivattanti nivattanarahitaṃ hutvā gacchatīti attho. Nti taṃ dhuradhorayhaṃ. Evampettha padacchedo veditabbo. Evaṃ gacchantañca yathā tava dhuradhorayhaṃ na taṃ ṭhānaṃ gacchati, yattha gantvā kassako asoko nissoko virajo hutvā na socati, etaṃ pana taṃ ṭhānaṃ gacchati, yattha gantvā na socati. Yattha satipācanena etaṃ vīriyadhuradhorayhaṃ codento gantvā mādiso kassako asoko nissoko virajo hutvā na socati, taṃ sabbasokasallasamugghātabhūtaṃ nibbānāmatasaṅkhātaṃ ṭhānaṃ gacchatīti.

    ๘๐. อิทานิ นิคมนํ กโรโนฺต ภควา อิมํ คาถมาห –

    80. Idāni nigamanaṃ karonto bhagavā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘เอวเมสา กสี กฎฺฐา, สา โหติ อมตปฺผลา;

    ‘‘Evamesā kasī kaṭṭhā, sā hoti amatapphalā;

    เอตํ กสิํ กสิตฺวาน, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติฯ

    Etaṃ kasiṃ kasitvāna, sabbadukkhā pamuccatī’’ti.

    ตสฺสายํ สเงฺขปโตฺถ – มยา พฺราหฺมณ เอสา สทฺธาพีชา ตโปวุฎฺฐิยา อนุคฺคหิตา กสิ, ปญฺญามยํ ยุคนงฺคลํ, หิริมยญฺจ อีสํ, มโนมเยน โยเตฺตน, เอกาพทฺธํ กตฺวา, ปญฺญานงฺคเล สติผาลํ อาโกเฎตฺวา, สติปาจนํ คเหตฺวา, กายวจีอาหารคุตฺติยา โคเปตฺวา, สจฺจํ นิทฺทานํ กตฺวา, โสรจฺจํ ปโมจนํ วีริยํ ธุรโธรยฺหํ โยคเกฺขมาภิมุขํ อนิวตฺตนฺตํ วาเหเนฺตน กฎฺฐา, กสิกมฺมปริโยสานํ จตุพฺพิธํ สามญฺญผลํ ปาปิตา, สา โหติ อมตปฺผลา, สา เอสา กสิ อมตปฺผลา โหติฯ อมตํ วุจฺจติ นิพฺพานํ, นิพฺพานานิสํสา โหตีติ อโตฺถฯ สา โข ปเนสา กสิ น มเมเวกสฺส อมตปฺผลา โหติ, อปิจ, โข, ปน โย โกจิ ขตฺติโย วา พฺราหฺมโณ วา เวโสฺส วา สุโทฺท วา คหโฎฺฐ วา ปพฺพชิโต วา เอตํ กสิํ กสติ, โส สโพฺพปิ เอตํ กสิํ กสิตฺวาน, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ, สพฺพสฺมา วฎฺฎทุกฺขทุกฺขทุกฺขสงฺขารทุกฺขวิปริณามทุกฺขา ปมุจฺจตีติฯ เอวํ ภควา พฺราหฺมณสฺส อรหตฺตนิกูเฎน นิพฺพานปริโยสานํ กตฺวา เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ

    Tassāyaṃ saṅkhepattho – mayā brāhmaṇa esā saddhābījā tapovuṭṭhiyā anuggahitā kasi, paññāmayaṃ yuganaṅgalaṃ, hirimayañca īsaṃ, manomayena yottena, ekābaddhaṃ katvā, paññānaṅgale satiphālaṃ ākoṭetvā, satipācanaṃ gahetvā, kāyavacīāhāraguttiyā gopetvā, saccaṃ niddānaṃ katvā, soraccaṃ pamocanaṃ vīriyaṃ dhuradhorayhaṃ yogakkhemābhimukhaṃ anivattantaṃ vāhentena kaṭṭhā, kasikammapariyosānaṃ catubbidhaṃ sāmaññaphalaṃ pāpitā, hoti amatapphalā, sā esā kasi amatapphalā hoti. Amataṃ vuccati nibbānaṃ, nibbānānisaṃsā hotīti attho. Sā kho panesā kasi na mamevekassa amatapphalā hoti, apica, kho, pana yo koci khattiyo vā brāhmaṇo vā vesso vā suddo vā gahaṭṭho vā pabbajito vā etaṃ kasiṃ kasati, so sabbopi etaṃ kasiṃ kasitvāna, sabbadukkhā pamuccati, sabbasmā vaṭṭadukkhadukkhadukkhasaṅkhāradukkhavipariṇāmadukkhā pamuccatīti. Evaṃ bhagavā brāhmaṇassa arahattanikūṭena nibbānapariyosānaṃ katvā desanaṃ niṭṭhāpesi.

    ตโต พฺราหฺมโณ คมฺภีรตฺถํ เทสนํ สุตฺวา ‘‘มม กสิผลํ ภุญฺชิตฺวา อปรชฺชุ เอว ฉาโต โหติ, อิมสฺส ปน กสิ อมตปฺผลา, ตสฺสา ผลํ ภุญฺชิตฺวา สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติ จ วิทิตฺวา ปสโนฺน ปสนฺนาการํ กาตุํ ปายาสํ ทาตุมารโทฺธฯ เตนาห ‘‘อถ โข กสิภารทฺวาโช’’ติฯ ตตฺถ มหติยาติ มหติยนฺติ อโตฺถฯ กํสปาติยาติ สุวณฺณปาติยํ, สตสหสฺสคฺฆนเก อตฺตโน สุวณฺณถาเลฯ วเฑฺฒตฺวาติ ฉุปิตฺวา, อากิริตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ภควโต อุปนาเมสีติ สปฺปิมธุผาณิตาทีหิ วิจิตฺรํ กตฺวา, ทุกูลวิตาเนน ปฎิจฺฉาเทตฺวา, อุกฺขิปิตฺวา, สกฺกจฺจํ ตถาคตสฺส อภิหริฯ กินฺติ? ‘‘ภุญฺชตุ ภวํ โคตโม ปายาสํ, กสฺสโก ภว’’นฺติฯ ตโต กสฺสกภาวสาธกํ การณมาห ‘‘ยญฺหิ…เป.… กสตี’’ติ, ยสฺมา ภวํ…เป.… กสตีติ วุตฺตํ โหติฯ อถ ภควา ‘‘คาถาภิคีตํ เม’’ติ อาหฯ

    Tato brāhmaṇo gambhīratthaṃ desanaṃ sutvā ‘‘mama kasiphalaṃ bhuñjitvā aparajju eva chāto hoti, imassa pana kasi amatapphalā, tassā phalaṃ bhuñjitvā sabbadukkhā pamuccatī’’ti ca viditvā pasanno pasannākāraṃ kātuṃ pāyāsaṃ dātumāraddho. Tenāha ‘‘atha kho kasibhāradvājo’’ti. Tattha mahatiyāti mahatiyanti attho. Kaṃsapātiyāti suvaṇṇapātiyaṃ, satasahassagghanake attano suvaṇṇathāle. Vaḍḍhetvāti chupitvā, ākiritvāti vuttaṃ hoti. Bhagavato upanāmesīti sappimadhuphāṇitādīhi vicitraṃ katvā, dukūlavitānena paṭicchādetvā, ukkhipitvā, sakkaccaṃ tathāgatassa abhihari. Kinti? ‘‘Bhuñjatu bhavaṃ gotamo pāyāsaṃ, kassako bhava’’nti. Tato kassakabhāvasādhakaṃ kāraṇamāha ‘‘yañhi…pe… kasatī’’ti, yasmā bhavaṃ…pe… kasatīti vuttaṃ hoti. Atha bhagavā ‘‘gāthābhigītaṃ me’’ti āha.

    ๘๑. ตตฺถ คาถาภิคีตนฺติ คาถาหิ อภิคีตํ, คาถาโย ภาสิตฺวา ลทฺธนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เมติ มยาฯ อโภชเนยฺยนฺติ ภุญฺชนารหํ น โหติฯ สมฺปสฺสตนฺติ สมฺมา อาชีวสุทฺธิํ ปสฺสตํ , สมนฺตา วา ปสฺสตํ สมฺปสฺสตํ, พุทฺธานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เนส ธโมฺมติ ‘‘คาถาภิคีตํ ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ เอส ธโมฺม เอตํ จาริตฺตํ น โหติ, ตสฺมา คาถาภิคีตํ ปนุทนฺติ พุทฺธา ปฎิกฺขิปนฺติ น ภุญฺชนฺตีติฯ กิํ ปน ภควตา ปายาสตฺถํ คาถา อภิคีตา, เยน เอวมาหาติ? น เอตทตฺถํ อภิคีตา, อปิจ, โข, ปน ปาโต ปฎฺฐาย เขตฺตสมีเป ฐตฺวา กฎจฺฉุภิกฺขมฺปิ อลภิตฺวา ปุน สกลพุทฺธคุเณ ปกาเสตฺวา ลทฺธํ ตเทตํ นฎนจฺจกาทีหิ นจฺจิตฺวา คายิตฺวา จ ลทฺธสทิสํ โหติ, เตน ‘‘คาถาภิคีต’’นฺติ วุตฺตํฯ ตาทิสญฺจ ยสฺมา พุทฺธานํ น กปฺปติ, ตสฺมา ‘‘อโภชเนยฺย’’นฺติ วุตฺตํฯ อปฺปิจฺฉตานุรูปเญฺจตํ น โหติ, ตสฺมาปิ ปจฺฉิมํ ชนตํ อนุกมฺปมาเนน จ เอวํ วุตฺตํฯ ยตฺร จ นาม ปรปฺปกาสิเตนาปิ อตฺตโน คุเณน อุปฺปนฺนํ ลาภํ ปฎิกฺขิปนฺติ เสยฺยถาปิ อปฺปิโจฺฉ ฆฎิกาโร กุมฺภกาโร, ตตฺร กถํ โกฎิปฺปตฺตาย อปฺปิจฺฉตาย สมนฺนาคโต ภควา อตฺตนาว อตฺตโน คุณปฺปกาสเนน อุปฺปนฺนํ ลาภํ สาทิยิสฺสติ, ยโต ยุตฺตเมว เอตํ ภควโต วตฺตุนฺติฯ

    81. Tattha gāthābhigītanti gāthāhi abhigītaṃ, gāthāyo bhāsitvā laddhanti vuttaṃ hoti. Meti mayā. Abhojaneyyanti bhuñjanārahaṃ na hoti. Sampassatanti sammā ājīvasuddhiṃ passataṃ , samantā vā passataṃ sampassataṃ, buddhānanti vuttaṃ hoti. Nesa dhammoti ‘‘gāthābhigītaṃ bhuñjitabba’’nti esa dhammo etaṃ cārittaṃ na hoti, tasmā gāthābhigītaṃ panudanti buddhā paṭikkhipanti na bhuñjantīti. Kiṃ pana bhagavatā pāyāsatthaṃ gāthā abhigītā, yena evamāhāti? Na etadatthaṃ abhigītā, apica, kho, pana pāto paṭṭhāya khettasamīpe ṭhatvā kaṭacchubhikkhampi alabhitvā puna sakalabuddhaguṇe pakāsetvā laddhaṃ tadetaṃ naṭanaccakādīhi naccitvā gāyitvā ca laddhasadisaṃ hoti, tena ‘‘gāthābhigīta’’nti vuttaṃ. Tādisañca yasmā buddhānaṃ na kappati, tasmā ‘‘abhojaneyya’’nti vuttaṃ. Appicchatānurūpañcetaṃ na hoti, tasmāpi pacchimaṃ janataṃ anukampamānena ca evaṃ vuttaṃ. Yatra ca nāma parappakāsitenāpi attano guṇena uppannaṃ lābhaṃ paṭikkhipanti seyyathāpi appiccho ghaṭikāro kumbhakāro, tatra kathaṃ koṭippattāya appicchatāya samannāgato bhagavā attanāva attano guṇappakāsanena uppannaṃ lābhaṃ sādiyissati, yato yuttameva etaṃ bhagavato vattunti.

    เอตฺตาวตา ‘‘อปฺปสนฺนํ อทาตุกามํ พฺราหฺมณํ คาถาคายเนน ทาตุกามํ กตฺวา, สมโณ โคตโม โภชนํ ปฎิคฺคเหสิ, อามิสการณา อิมสฺส เทสนา’’ติ อิมมฺหา โลกาปวาทา อตฺตานํ โมเจโนฺต เทสนาปาริสุทฺธิํ ทีเปตฺวา, อิทานิ อาชีวปาริสุทฺธิํ ทีเปโนฺต อาห ‘‘ธเมฺม สตี พฺราหฺมณ วุตฺติเรสา’’ติ ตสฺสโตฺถ – อาชีวปาริสุทฺธิธเมฺม วา ทสวิธสุจริตธเมฺม วา พุทฺธานํ จาริตฺตธเมฺม วา สติ สํวิชฺชมาเน อนุปหเต วตฺตมาเน วุตฺติเรสา เอกนฺตโวทาตา อากาเส ปาณิปฺปสารณกปฺปา เอสนา ปริเยสนา ชีวิตวุตฺติ พุทฺธานํ พฺราหฺมณาติฯ

    Ettāvatā ‘‘appasannaṃ adātukāmaṃ brāhmaṇaṃ gāthāgāyanena dātukāmaṃ katvā, samaṇo gotamo bhojanaṃ paṭiggahesi, āmisakāraṇā imassa desanā’’ti imamhā lokāpavādā attānaṃ mocento desanāpārisuddhiṃ dīpetvā, idāni ājīvapārisuddhiṃ dīpento āha ‘‘dhamme satī brāhmaṇa vuttiresā’’ti tassattho – ājīvapārisuddhidhamme vā dasavidhasucaritadhamme vā buddhānaṃ cārittadhamme vā sati saṃvijjamāne anupahate vattamāne vuttiresā ekantavodātā ākāse pāṇippasāraṇakappā esanā pariyesanā jīvitavutti buddhānaṃ brāhmaṇāti.

    ๘๒. เอวํ วุเตฺต พฺราหฺมโณ ‘‘ปายาสํ เม ปฎิกฺขิปติ, อกปฺปิยํ กิเรตํ โภชนํ, อธโญฺญ วตสฺมิํ, ทานํ ทาตุํ น ลภามี’’ติ โทมนสฺสํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘อเปฺปว นาม อญฺญํ ปฎิคฺคเณฺหยฺยา’’ติ จ จิเนฺตสิฯ ตํ ญตฺวา ภควา ‘‘อหํ ภิกฺขาจารเวลํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา อาคโต – ‘เอตฺตเกน กาเลน อิมํ พฺราหฺมณํ ปสาเทสฺสามี’ติ, พฺราหฺมโณ จ โทมนสฺสํ อกาสิฯ อิทานิ เตน โทมนเสฺสน มยิ จิตฺตํ ปโกเปตฺวา อมตวรธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิตุํ น สกฺขิสฺสตี’’ติ พฺราหฺมณสฺส ปสาทชนนตฺถํ เตน ปตฺถิตมโนรถํ ปูเรโนฺต อาห ‘‘อเญฺญน จ เกวลิน’’นฺติฯ ตตฺถ เกวลินนฺติ สพฺพคุณปริปุณฺณํ, สพฺพโยควิสํยุตฺตํ วาติ อโตฺถฯ มหนฺตานํ สีลกฺขนฺธาทีนํ คุณานํ เอสนโต มเหสิํฯ ปริกฺขีณสพฺพาสวตฺตา ขีณาสวํฯ หตฺถปาทกุกฺกุจฺจมาทิํ กตฺวา วูปสนฺตสพฺพกุกฺกุจฺจตฺตา กุกฺกุจฺจวูปสนฺตํอุปฎฺฐหสฺสูติ ปริวิสสฺสุ ปฎิมานยสฺสุฯ เอวํ พฺราหฺมเณน จิเตฺต อุปฺปาทิเตปิ ปริยายเมว ภณติ, น ตุ ภณติ ‘‘เทหิ, อาหราหี’’ติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ

    82. Evaṃ vutte brāhmaṇo ‘‘pāyāsaṃ me paṭikkhipati, akappiyaṃ kiretaṃ bhojanaṃ, adhañño vatasmiṃ, dānaṃ dātuṃ na labhāmī’’ti domanassaṃ uppādetvā ‘‘appeva nāma aññaṃ paṭiggaṇheyyā’’ti ca cintesi. Taṃ ñatvā bhagavā ‘‘ahaṃ bhikkhācāravelaṃ paricchinditvā āgato – ‘ettakena kālena imaṃ brāhmaṇaṃ pasādessāmī’ti, brāhmaṇo ca domanassaṃ akāsi. Idāni tena domanassena mayi cittaṃ pakopetvā amatavaradhammaṃ paṭivijjhituṃ na sakkhissatī’’ti brāhmaṇassa pasādajananatthaṃ tena patthitamanorathaṃ pūrento āha ‘‘aññena ca kevalina’’nti. Tattha kevalinanti sabbaguṇaparipuṇṇaṃ, sabbayogavisaṃyuttaṃ vāti attho. Mahantānaṃ sīlakkhandhādīnaṃ guṇānaṃ esanato mahesiṃ. Parikkhīṇasabbāsavattā khīṇāsavaṃ. Hatthapādakukkuccamādiṃ katvā vūpasantasabbakukkuccattā kukkuccavūpasantaṃ. Upaṭṭhahassūti parivisassu paṭimānayassu. Evaṃ brāhmaṇena citte uppāditepi pariyāyameva bhaṇati, na tu bhaṇati ‘‘dehi, āharāhī’’ti. Sesamettha uttānameva.

    อถ พฺราหฺมโณ ‘‘อยํ ปายาโส ภควโต อานีโต นาหํ อรหามิ ตํ อตฺตโน ฉเนฺทน กสฺสจิ ทาตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาห ‘‘อถ กสฺส จาห’’นฺติฯ ตโต ภควา ‘‘ตํ ปายาสํ ฐเปตฺวา ตถาคตํ ตถาคตสาวกญฺจ อญฺญสฺส อชีรณธโมฺม’’ติ ญตฺวา อาห – ‘‘น ขฺวาหํ ต’’นฺติฯ ตตฺถ สเทวกวจเนน ปญฺจกามาวจรเทวคฺคหณํ, สมารกวจเนน ฉฎฺฐกามาวจรเทวคฺคหณํ, สพฺรหฺมกวจเนน รูปาวจรพฺรหฺมคฺคหณํ อรูปาวจรา ปน ภุเญฺชยฺยุนฺติ อสมฺภาวเนยฺยาฯ สสฺสมณพฺราหฺมณิวจเนน สาสนปจฺจตฺถิกปจฺจามิตฺตสมณพฺราหฺมณคฺคหณํ สมิตปาปพาหิตปาปสมณพฺราหฺมณคฺคหณญฺจฯ ปชาวจเนน สตฺตโลกคฺคหณํ, สเทวมนุสฺสวจเนน สมฺมุติเทวอวเสสมนุสฺสคฺคหณํฯ เอวเมตฺถ ตีหิ วจเนหิ โอกาสโลโก, ทฺวีหิ ปชาวเสน สตฺตโลโก คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ เอส สเงฺขโป, วิตฺถารํ ปน อาฬวกสุเตฺต วณฺณยิสฺสามฯ

    Atha brāhmaṇo ‘‘ayaṃ pāyāso bhagavato ānīto nāhaṃ arahāmi taṃ attano chandena kassaci dātu’’nti cintetvā āha ‘‘atha kassa cāha’’nti. Tato bhagavā ‘‘taṃ pāyāsaṃ ṭhapetvā tathāgataṃ tathāgatasāvakañca aññassa ajīraṇadhammo’’ti ñatvā āha – ‘‘na khvāhaṃ ta’’nti. Tattha sadevakavacanena pañcakāmāvacaradevaggahaṇaṃ, samārakavacanena chaṭṭhakāmāvacaradevaggahaṇaṃ, sabrahmakavacanena rūpāvacarabrahmaggahaṇaṃ arūpāvacarā pana bhuñjeyyunti asambhāvaneyyā. Sassamaṇabrāhmaṇivacanena sāsanapaccatthikapaccāmittasamaṇabrāhmaṇaggahaṇaṃ samitapāpabāhitapāpasamaṇabrāhmaṇaggahaṇañca. Pajāvacanena sattalokaggahaṇaṃ, sadevamanussavacanena sammutidevaavasesamanussaggahaṇaṃ. Evamettha tīhi vacanehi okāsaloko, dvīhi pajāvasena sattaloko gahitoti veditabbo. Esa saṅkhepo, vitthāraṃ pana āḷavakasutte vaṇṇayissāma.

    กสฺมา ปน สเทวกาทีสุ กสฺสจิ น สมฺมา ปริณามํ คเจฺฉยฺยาติ? โอฬาริเก สุขุโมชาปกฺขิปนโตฯ อิมสฺมิญฺหิ ปายาเส ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส คหิตมเตฺตเยว เทวตาหิ โอชา ปกฺขิตฺตา ยถา สุชาตาย ปายาเส, จุนฺทสฺส จ สูกรมทฺทเว ปจฺจมาเน, เวรญฺชายญฺจ ภควตา คหิตคหิตาโลเป, เภสชฺชกฺขนฺธเก จ กจฺจานสฺส คุฬฺหกุมฺภสฺมิํ อวสิฎฺฐคุเฬฺหฯ โส โอฬาริเก สุขุโมชาปกฺขิปนโต เทวานํ น ปริณมติฯ เทวา หิ สุขุมสรีรา, เตสํ โอฬาริโก มนุสฺสาหาโร น สมฺมา ปริณมติฯ มนุสฺสานมฺปิ น ปริณมติฯ มนุสฺสา หิ โอฬาริกสรีรา, เตสํ สุขุมา ทิโพฺพชา น สมฺมา ปริณมติฯ ตถาคตสฺส ปน ปกติอคฺคินาว ปริณมติ, สมฺมา ชีรติฯ กายพลญาณพลปฺปภาเวนาติ เอเก ตถาคตสาวกสฺส ขีณาสวเสฺสตํ สมาธิพเลน มตฺตญฺญุตาย จ ปริณมติ, อิตเรสํ อิทฺธิมนฺตานมฺปิ น ปริณมติฯ อจินฺตนียํ วา เอตฺถ การณํ, พุทฺธวิสโย เอโสติฯ

    Kasmā pana sadevakādīsu kassaci na sammā pariṇāmaṃ gaccheyyāti? Oḷārike sukhumojāpakkhipanato. Imasmiñhi pāyāse bhagavantaṃ uddissa gahitamatteyeva devatāhi ojā pakkhittā yathā sujātāya pāyāse, cundassa ca sūkaramaddave paccamāne, verañjāyañca bhagavatā gahitagahitālope, bhesajjakkhandhake ca kaccānassa guḷhakumbhasmiṃ avasiṭṭhaguḷhe. So oḷārike sukhumojāpakkhipanato devānaṃ na pariṇamati. Devā hi sukhumasarīrā, tesaṃ oḷāriko manussāhāro na sammā pariṇamati. Manussānampi na pariṇamati. Manussā hi oḷārikasarīrā, tesaṃ sukhumā dibbojā na sammā pariṇamati. Tathāgatassa pana pakatiaggināva pariṇamati, sammā jīrati. Kāyabalañāṇabalappabhāvenāti eke tathāgatasāvakassa khīṇāsavassetaṃ samādhibalena mattaññutāya ca pariṇamati, itaresaṃ iddhimantānampi na pariṇamati. Acintanīyaṃ vā ettha kāraṇaṃ, buddhavisayo esoti.

    เตน หิ ตฺวนฺติ ยสฺมา อญฺญํ น ปสฺสามิ, มม น กปฺปติ, มม อกปฺปนฺตํ สาวกสฺสาปิ เม น กปฺปติ, ตสฺมา ตฺวํ พฺราหฺมณาติ วุตฺตํ โหติฯ อปฺปหริเตติ ปริตฺตหริตติเณ, อปฺปรุฬฺหริตติเณ วา ปาสาณปิฎฺฐิสทิเสฯ อปฺปาณเกติ นิปฺปาณเก, ปายาสโชฺฌตฺถรณการเณน มริตพฺพปาณรหิเต วา มหาอุทกกฺขเนฺธฯ สห ติณนิสฺสิเตหิ ปาเณหิ ติณานํ ปาณกานญฺจ อนุรกฺขณตฺถาย เอตํ วุตฺตํฯ จิจฺจิฎายติ จิฎิจิฎายตีติ เอวํ สทฺทํ กโรติฯ สํธูปายตีติ สมนฺตา ธูปายติฯ สมฺปธูปายตีติ ตเถว อธิมตฺตํ ธูปายติฯ กสฺมา เอวํ อโหสีติ? ภควโต อานุภาเวน, น อุทกสฺส, น ปายาสสฺส, น พฺราหฺมณสฺส, น อเญฺญสํ เทวยกฺขาทีนํฯ ภควา หิ พฺราหฺมณสฺส ธมฺมสํเวคตฺถํ ตถา อธิฎฺฐาสิฯ เสยฺยถาปิ นามาติ โอปมฺมนิทสฺสนมตฺตเมตํ, ยถา ผาโลติ เอตฺตกเมว วุตฺตํ โหติฯ สํวิโคฺค จิเตฺตน, โลมหฎฺฐชาโต สรีเรนฯ สรีเร กิรสฺส นวนวุติโลมกูปสหสฺสานิ สุวณฺณภิตฺติยา อาหตมณินาคทนฺตา วิย อุทฺธคฺคา อเหสุํฯ เสสํ ปากฎเมวฯ

    Tena hi tvanti yasmā aññaṃ na passāmi, mama na kappati, mama akappantaṃ sāvakassāpi me na kappati, tasmā tvaṃ brāhmaṇāti vuttaṃ hoti. Appahariteti parittaharitatiṇe, apparuḷharitatiṇe vā pāsāṇapiṭṭhisadise. Appāṇaketi nippāṇake, pāyāsajjhottharaṇakāraṇena maritabbapāṇarahite vā mahāudakakkhandhe. Saha tiṇanissitehi pāṇehi tiṇānaṃ pāṇakānañca anurakkhaṇatthāya etaṃ vuttaṃ. Cicciṭāyati ciṭiciṭāyatīti evaṃ saddaṃ karoti. Saṃdhūpāyatīti samantā dhūpāyati. Sampadhūpāyatīti tatheva adhimattaṃ dhūpāyati. Kasmā evaṃ ahosīti? Bhagavato ānubhāvena, na udakassa, na pāyāsassa, na brāhmaṇassa, na aññesaṃ devayakkhādīnaṃ. Bhagavā hi brāhmaṇassa dhammasaṃvegatthaṃ tathā adhiṭṭhāsi. Seyyathāpi nāmāti opammanidassanamattametaṃ, yathā phāloti ettakameva vuttaṃ hoti. Saṃviggo cittena, lomahaṭṭhajāto sarīrena. Sarīre kirassa navanavutilomakūpasahassāni suvaṇṇabhittiyā āhatamaṇināgadantā viya uddhaggā ahesuṃ. Sesaṃ pākaṭameva.

    ปาเทสุ ปน นิปติตฺวา ภควโต ธมฺมเทสนํ อพฺภนุโมทมาโน ภควนฺตํ เอตทโวจ ‘‘อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตมา’’ติฯ อพฺภนุโมทเน หิ อยมิธ อภิกฺกนฺต สโทฺทฯ วิตฺถารโต ปนสฺส มงฺคลสุตฺตวณฺณนายํ อตฺถวณฺณนา อาวิ ภวิสฺสติฯ ยสฺมา จ อพฺภนุโมทนเตฺถ, ตสฺมา สาธุ สาธุ โภ โคตมาติ วุตฺตํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Pādesu pana nipatitvā bhagavato dhammadesanaṃ abbhanumodamāno bhagavantaṃ etadavoca ‘‘abhikkantaṃ, bho gotama, abhikkantaṃ, bho gotamā’’ti. Abbhanumodane hi ayamidha abhikkanta saddo. Vitthārato panassa maṅgalasuttavaṇṇanāyaṃ atthavaṇṇanā āvi bhavissati. Yasmā ca abbhanumodanatthe, tasmā sādhu sādhu bho gotamāti vuttaṃ hotīti veditabbaṃ.

    ‘‘ภเย โกเธ ปสํสายํ, ตุริเต โกตูหลจฺฉเร;

    ‘‘Bhaye kodhe pasaṃsāyaṃ, turite kotūhalacchare;

    หาเส โสเก ปสาเท จ, กเร อาเมฑิตํ พุโธ’’ติฯ –

    Hāse soke pasāde ca, kare āmeḍitaṃ budho’’ti. –

    อิมินา จ ลกฺขเณน อิธ ปสาทวเสน ปสํสาวเสน จายํ ทฺวิกฺขตฺตุํ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ อถ วา อภิกฺกนฺตนฺติ อภิกนฺตํ อติอิฎฺฐํ, อติมนาปํ, อติสุนฺทรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Iminā ca lakkhaṇena idha pasādavasena pasaṃsāvasena cāyaṃ dvikkhattuṃ vuttoti veditabbo. Atha vā abhikkantanti abhikantaṃ atiiṭṭhaṃ, atimanāpaṃ, atisundaranti vuttaṃ hoti.

    ตตฺถ เอเกน อภิกฺกนฺตสเทฺทน เทสนํ โถเมติ, เอเกน อตฺตโน ปสาทํฯ อยญฺหิ เอตฺถ อธิปฺปาโย – อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, ยทิทํ โภโต โคตมสฺส ธมฺมเทสนา, อภิกฺกนฺตํ ยทิทํ โภโต โคตมสฺส ธมฺมเทสนํ อาคมฺม มม ปสาโทติฯ ภควโต เอว วา วจนํ เทฺว เทฺว อเตฺถ สนฺธาย โถเมติ – โภโต โคตมสฺส วจนํ อภิกฺกนฺตํ โทสนาสนโต, อภิกฺกนฺตํ คุณาธิคมนโต, ตถา สทฺธาชนนโต, ปญฺญาชนนโต, สาตฺถโต, สพฺยญฺชนโต, อุตฺตานปทโต, คมฺภีรตฺถโต, กณฺณสุขโต, หทยงฺคมโต, อนตฺตุกฺกํสนโต, อปรวมฺภนโต, กรุณาสีตลโต, ปญฺญาวทาตโต, อาปาถรมณียโต, วิมทฺทกฺขมโต, สุยฺยมานสุขโต, วีมํสิยมานหิตโตติ เอวมาทีหิ โยเชตพฺพํฯ

    Tattha ekena abhikkantasaddena desanaṃ thometi, ekena attano pasādaṃ. Ayañhi ettha adhippāyo – abhikkantaṃ, bho gotama, yadidaṃ bhoto gotamassa dhammadesanā, abhikkantaṃ yadidaṃ bhoto gotamassa dhammadesanaṃ āgamma mama pasādoti. Bhagavato eva vā vacanaṃ dve dve atthe sandhāya thometi – bhoto gotamassa vacanaṃ abhikkantaṃ dosanāsanato, abhikkantaṃ guṇādhigamanato, tathā saddhājananato, paññājananato, sātthato, sabyañjanato, uttānapadato, gambhīratthato, kaṇṇasukhato, hadayaṅgamato, anattukkaṃsanato, aparavambhanato, karuṇāsītalato, paññāvadātato, āpātharamaṇīyato, vimaddakkhamato, suyyamānasukhato, vīmaṃsiyamānahitatoti evamādīhi yojetabbaṃ.

    ตโต ปรมฺปิ จตูหิ อุปมาหิ เทสนํเยว โถเมติฯ ตตฺถ นิกฺกุชฺชิตนฺติ อโธมุขฎฺฐปิตํ, เหฎฺฐา มุขชาตํ วาฯ อุกฺกุเชฺชยฺยาติ อุปริมุขํ กเรยฺยฯ ปฎิจฺฉนฺนนฺติ ติณปณฺณาทิจฺฉาทิตํฯ วิวเรยฺยาติ อุคฺฆาเฎยฺยฯ มูฬฺหสฺสาติ ทิสามูฬฺหสฺสฯ มคฺคํ อาจิเกฺขยฺยาติ หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘เอส มโคฺค’’ติ วเทยฺยฯ อนฺธกาเรติ กาฬปกฺขจาตุทฺทสีอฑฺฒรตฺตฆนวนสณฺฑเมฆปฎเลหิ จตุรเงฺค ตมสิฯ อยํ ตาว ปทโตฺถฯ

    Tato parampi catūhi upamāhi desanaṃyeva thometi. Tattha nikkujjitanti adhomukhaṭṭhapitaṃ, heṭṭhā mukhajātaṃ vā. Ukkujjeyyāti uparimukhaṃ kareyya. Paṭicchannanti tiṇapaṇṇādicchāditaṃ. Vivareyyāti ugghāṭeyya. Mūḷhassāti disāmūḷhassa. Maggaṃ ācikkheyyāti hatthe gahetvā ‘‘esa maggo’’ti vadeyya. Andhakāreti kāḷapakkhacātuddasīaḍḍharattaghanavanasaṇḍameghapaṭalehi caturaṅge tamasi. Ayaṃ tāva padattho.

    อยํ ปน อธิปฺปายโยชนา – ยถา โกจิ นิกฺกุชฺชิตํ อุกฺกุเชฺชยฺย, เอวํ สทฺธมฺมวิมุขํ อสทฺธมฺมปติตํ มํ อสทฺธมฺมา วุฎฺฐาเปเนฺตน, ยถา ปฎิจฺฉนฺนํ วิวเรยฺย; เอวํ กสฺสปสฺส ภควโต สาสนนฺตรธานา ปภุติ มิจฺฉาทิฎฺฐิคหนปฎิจฺฉนฺนํ สาสนํ วิวรเนฺตน, ยถา มูฬฺหสฺส มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, เอวํ กุมฺมคฺคมิจฺฉามคฺคปฎิปนฺนสฺส เม สคฺคโมกฺขมคฺคํ อาจิกฺขเนฺตน, ยถา อนฺธกาเร เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย, เอวํ โมหนฺธการนิมุคฺคสฺส เม พุทฺธาทิรตนรูปานิ อปสฺสโต ตปฺปฎิจฺฉาทกโมหนฺธการวิทฺธํสกเทสนาปโชฺชตธารเณน มยฺหํ โภตา โคตเมน เอเตหิ ปริยาเยหิ เทสิตตฺตา อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตฯ

    Ayaṃ pana adhippāyayojanā – yathā koci nikkujjitaṃ ukkujjeyya, evaṃ saddhammavimukhaṃ asaddhammapatitaṃ maṃ asaddhammā vuṭṭhāpentena, yathā paṭicchannaṃ vivareyya; evaṃ kassapassa bhagavato sāsanantaradhānā pabhuti micchādiṭṭhigahanapaṭicchannaṃ sāsanaṃ vivarantena, yathā mūḷhassa maggaṃ ācikkheyya, evaṃ kummaggamicchāmaggapaṭipannassa me saggamokkhamaggaṃ ācikkhantena, yathā andhakāre telapajjotaṃ dhāreyya, evaṃ mohandhakāranimuggassa me buddhādiratanarūpāni apassato tappaṭicchādakamohandhakāraviddhaṃsakadesanāpajjotadhāraṇena mayhaṃ bhotā gotamena etehi pariyāyehi desitattā anekapariyāyena dhammo pakāsito.

    อถ วา เอกจฺจิเยน มเตฺตน ยสฺมา อยํ ธโมฺม ทุกฺขทสฺสเนน อสุเภ ‘‘สุภ’’นฺติ วิปลฺลาสปฺปหาเนน จ นิกฺกุชฺชิตุกฺกุชฺชิตสทิโส, สมุทยทสฺสเนน ทุเกฺข ‘‘สุข’’นฺติ วิปลฺลาสปฺปหาเนน จ ปฎิจฺฉนฺนวิวรณสทิโส, นิโรธทสฺสเนน อนิเจฺจ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ วิปลฺลาสปฺปหาเนน จ มูฬฺหสฺส มคฺคาจิกฺขณสทิโส, มคฺคทสฺสเนน อนตฺตนิ ‘‘อตฺตา’’ติ วิปลฺลาสปฺปหาเนน จ อนฺธกาเร ปโชฺชตสทิโส, ตสฺมา เสยฺยถาปิ นาม นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย…เป.… ปโชฺชตํ ธาเรยฺย ‘‘จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตี’’ติ, เอวํ ปกาสิโต โหติฯ

    Atha vā ekacciyena mattena yasmā ayaṃ dhammo dukkhadassanena asubhe ‘‘subha’’nti vipallāsappahānena ca nikkujjitukkujjitasadiso, samudayadassanena dukkhe ‘‘sukha’’nti vipallāsappahānena ca paṭicchannavivaraṇasadiso, nirodhadassanena anicce ‘‘nicca’’nti vipallāsappahānena ca mūḷhassa maggācikkhaṇasadiso, maggadassanena anattani ‘‘attā’’ti vipallāsappahānena ca andhakāre pajjotasadiso, tasmā seyyathāpi nāma nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya…pe… pajjotaṃ dhāreyya ‘‘cakkhumanto rūpāni dakkhantī’’ti, evaṃ pakāsito hoti.

    ยสฺมา ปเนตฺถ สทฺธาตปกายคุตฺตตาทีหิ สีลกฺขโนฺธ ปกาสิโต โหติ, ปญฺญาย ปญฺญากฺขโนฺธ, หิริมนาทีหิ สมาธิกฺขโนฺธ, โยคเกฺขเมน นิโรโธติ เอวํ ติกฺขโนฺธ อริยมโคฺค นิโรโธ จาติ สรูเปเนว เทฺว อริยสจฺจานิ ปกาสิตานิฯ ตตฺถ มโคฺค ปฎิปโกฺข สมุทยสฺส, นิโรโธ ทุกฺขสฺสาติ ปฎิปเกฺขน เทฺวฯ อิติ อิมินา ปริยาเยน จตฺตาริ สจฺจานิ ปกาสิตานิฯ ตสฺมา อเนกปริยาเยน ปกาสิโต โหตีติ เวทิตโพฺพ ฯ

    Yasmā panettha saddhātapakāyaguttatādīhi sīlakkhandho pakāsito hoti, paññāya paññākkhandho, hirimanādīhi samādhikkhandho, yogakkhemena nirodhoti evaṃ tikkhandho ariyamaggo nirodho cāti sarūpeneva dve ariyasaccāni pakāsitāni. Tattha maggo paṭipakkho samudayassa, nirodho dukkhassāti paṭipakkhena dve. Iti iminā pariyāyena cattāri saccāni pakāsitāni. Tasmā anekapariyāyena pakāsito hotīti veditabbo .

    เอสาหนฺติอาทีสุ เอโส อหนฺติ เอสาหํฯ สรณํ คจฺฉามีติ ปาเทสุ นิปติตฺวา ปณิปาเตน สรณคมเนน คโตปิ อิทานิ วาจาย สมาทิยโนฺต อาหฯ อถ วา ปณิปาเตน พุทฺธํเยว สรณํ คโตติ อิทานิ ตํ อาทิํ กตฺวา เสเส ธมฺมสเงฺฆปิ คนฺตุํ อาหฯ อชฺชตเคฺคติ อชฺชตํ อาทิํ กตฺวา, อชฺชทเคฺคติ วา ปาโฐ, ท-กาโร ปทสนฺธิกโร, อชฺช อคฺคํ กตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ปาเณหิ อุเปตํ ปาณุเปตํ, ยาว เม ชีวิตํ ปวตฺตติ, ตาว อุเปตํ, อนญฺญสตฺถุกํ ตีหิ สรณคมเนหิ สรณํ คตํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตุ ชานาตูติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺตาวตา อเนน สุตานุรูปา ปฎิปตฺติ ทสฺสิตา โหติฯ นิกฺกุชฺชิตาทีหิ วา สตฺถุสมฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิมินา ‘‘เอสาห’’นฺติอาทินา สิสฺสสมฺปตฺติ ทสฺสิตาฯ เตน วา ปญฺญาปฎิลาภํ ทเสฺสตฺวา อิมินา สทฺธาปฎิลาโภ ทสฺสิโตฯ อิทานิ เอวํ ปฎิลทฺธสเทฺธน ปญฺญวตา ยํ กตฺตพฺพํ, ตํ กตฺตุกาโม ภควนฺตํ ยาจติ ‘‘ลเภยฺยาห’’นฺติฯ ตตฺถ ภควโต อิทฺธิยาทีหิ อภิปฺปสาทิตจิโตฺต ‘‘ภควาปิ จกฺกวตฺติรชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโต, กิมงฺคํ ปนาห’’นฺติ สทฺธาย ปพฺพชฺชํ ยาจติ, ตตฺถ ปริปูรการิตํ ปเตฺถโนฺต ปญฺญาย อุปสมฺปทํฯ เสสํ ปากฎเมวฯ

    Esāhantiādīsu eso ahanti esāhaṃ. Saraṇaṃ gacchāmīti pādesu nipatitvā paṇipātena saraṇagamanena gatopi idāni vācāya samādiyanto āha. Atha vā paṇipātena buddhaṃyeva saraṇaṃ gatoti idāni taṃ ādiṃ katvā sese dhammasaṅghepi gantuṃ āha. Ajjataggeti ajjataṃ ādiṃ katvā, ajjadaggeti vā pāṭho, da-kāro padasandhikaro, ajja aggaṃ katvāti vuttaṃ hoti. Pāṇehi upetaṃ pāṇupetaṃ, yāva me jīvitaṃ pavattati, tāva upetaṃ, anaññasatthukaṃ tīhi saraṇagamanehi saraṇaṃ gataṃ maṃ bhavaṃ gotamo dhāretu jānātūti vuttaṃ hoti. Ettāvatā anena sutānurūpā paṭipatti dassitā hoti. Nikkujjitādīhi vā satthusampattiṃ dassetvā iminā ‘‘esāha’’ntiādinā sissasampatti dassitā. Tena vā paññāpaṭilābhaṃ dassetvā iminā saddhāpaṭilābho dassito. Idāni evaṃ paṭiladdhasaddhena paññavatā yaṃ kattabbaṃ, taṃ kattukāmo bhagavantaṃ yācati ‘‘labheyyāha’’nti. Tattha bhagavato iddhiyādīhi abhippasāditacitto ‘‘bhagavāpi cakkavattirajjaṃ pahāya pabbajito, kimaṅgaṃ panāha’’nti saddhāya pabbajjaṃ yācati, tattha paripūrakāritaṃ patthento paññāya upasampadaṃ. Sesaṃ pākaṭameva.

    เอโก วูปกโฎฺฐติอาทีสุ ปน เอโก กายวิเวเกน, วูปกโฎฺฐ จิตฺตวิเวเกน, อปฺปมโตฺต กมฺมฎฺฐาเน สติอวิชหเนน, อาตาปี กายิกเจตสิกวีริยสงฺขาเตน อาตาเปน, ปหิตโตฺต กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขตาย วิหรโนฺต อญฺญตรอิริยาปถวิหาเรนฯ น จิรเสฺสวาติ ปพฺพชฺชํ อุปาทาย วุจฺจติฯ กุลปุตฺตาติ ทุวิธา กุลปุตฺตา, ชาติกุลปุตฺตา, อาจารกุลปุตฺตา จฯ อยํ ปน อุภยถาปิ กุลปุโตฺตฯ อคารสฺมาติ ฆราฯ อคารานํ หิตํ อคาริยํ กสิโครกฺขาทิกุฎุมฺพโปสนกมฺมํ วุจฺจติฯ นตฺถิ เอตฺถ อคาริยนฺติ อนคาริยํ, ปพฺพชฺชาเยตํ อธิวจนํ ปพฺพชนฺตีติ อุปคจฺฉนฺติ อุปสงฺกมนฺติฯ ตทนุตฺตรนฺติ ตํ อนุตฺตรํฯ พฺรหฺมจริยปริโยสานนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส ปริโยสานํ, อรหตฺตผลนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส หิ อตฺถาย กุลปุตฺตา ปพฺพชนฺติฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ ตสฺมิํเยว อตฺตภาเวฯ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวาติ อตฺตนาเยว ปญฺญาย ปจฺจกฺขํ กตฺวา, อปรปฺปจฺจยํ ญตฺวาติ อโตฺถฯ อุปสมฺปชฺช วิหาสีติ ปาปุณิตฺวา สมฺปาเทตฺวา วา วิหาสิฯ เอวํ วิหรโนฺต จ ขีณา ชาติ…เป.… อพฺภญฺญาสิฯ เอเตนสฺส ปจฺจเวกฺขณภูมิํ ทเสฺสติฯ

    Eko vūpakaṭṭhotiādīsu pana eko kāyavivekena, vūpakaṭṭho cittavivekena, appamatto kammaṭṭhāne satiavijahanena, ātāpī kāyikacetasikavīriyasaṅkhātena ātāpena, pahitatto kāye ca jīvite ca anapekkhatāya viharanto aññatarairiyāpathavihārena. Na cirassevāti pabbajjaṃ upādāya vuccati. Kulaputtāti duvidhā kulaputtā, jātikulaputtā, ācārakulaputtā ca. Ayaṃ pana ubhayathāpi kulaputto. Agārasmāti gharā. Agārānaṃ hitaṃ agāriyaṃ kasigorakkhādikuṭumbaposanakammaṃ vuccati. Natthi ettha agāriyanti anagāriyaṃ, pabbajjāyetaṃ adhivacanaṃ pabbajantīti upagacchanti upasaṅkamanti. Tadanuttaranti taṃ anuttaraṃ. Brahmacariyapariyosānanti maggabrahmacariyassa pariyosānaṃ, arahattaphalanti vuttaṃ hoti. Tassa hi atthāya kulaputtā pabbajanti. Diṭṭheva dhammeti tasmiṃyeva attabhāve. Sayaṃ abhiññā sacchikatvāti attanāyeva paññāya paccakkhaṃ katvā, aparappaccayaṃ ñatvāti attho. Upasampajja vihāsīti pāpuṇitvā sampādetvā vā vihāsi. Evaṃ viharanto ca khīṇā jāti…pe… abbhaññāsi. Etenassa paccavekkhaṇabhūmiṃ dasseti.

    กตมา ปนสฺส ชาติ ขีณา, กถญฺจ นํ อพฺภญฺญาสีติ? วุจฺจเต – น ตาวสฺส อตีตา ชาติ ขีณา ปุเพฺพว ขีณตฺตา, น อนาคตา อนาคเต วายามาภาวโต, น ปจฺจุปฺปนฺนา วิชฺชมานตฺตาฯ ยา ปน มคฺคสฺส อภาวิตตฺตา อุปฺปเชฺชยฺย เอกจตุปญฺจโวการภเวสุ เอกจตุปญฺจกฺขนฺธปฺปเภทา ชาติ, สา มคฺคสฺส ภาวิตตฺตา อนุปฺปาทธมฺมตํ อาปชฺชเนน ขีณาฯ ตํ โส มคฺคภาวนาย ปหีนกิเลเส ปจฺจเวกฺขิตฺวา กิเลสาภาเว วิชฺชมานมฺปิ กมฺมํ อายติํ อปฎิสนฺธิกํ โหตีติ ชานโนฺต ชานาติฯ

    Katamā panassa jāti khīṇā, kathañca naṃ abbhaññāsīti? Vuccate – na tāvassa atītā jāti khīṇā pubbeva khīṇattā, na anāgatā anāgate vāyāmābhāvato, na paccuppannā vijjamānattā. Yā pana maggassa abhāvitattā uppajjeyya ekacatupañcavokārabhavesu ekacatupañcakkhandhappabhedā jāti, sā maggassa bhāvitattā anuppādadhammataṃ āpajjanena khīṇā. Taṃ so maggabhāvanāya pahīnakilese paccavekkhitvā kilesābhāve vijjamānampi kammaṃ āyatiṃ apaṭisandhikaṃ hotīti jānanto jānāti.

    วุสิตนฺติ วุตฺถํ ปริวุตฺถํ, กตํ จริตํ นิฎฺฐาปิตนฺติ อโตฺถฯ พฺรหฺมจริยนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ กตํ กรณียนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยภาวนาวเสน โสฬสวิธมฺปิ กิจฺจํ นิฎฺฐาปิตนฺติ อโตฺถฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ อิทานิ ปุน อิตฺถภาวาย เอวํ โสฬสกิจฺจภาวาย กิเลสกฺขยาย วา มคฺคภาวนา นตฺถีติฯ อถ วา อิตฺถตฺตายาติ อิตฺถภาวโต, อิมสฺมา เอวํปการา อิทานิ วตฺตมานกฺขนฺธสนฺตานา อปรํ ขนฺธสนฺตานํ นตฺถิฯ อิเม ปน ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา ติฎฺฐนฺติ ฉินฺนมูลโก รุโกฺข วิยาติ อพฺภญฺญาสิฯ อญฺญตโรติ เอโกฯ อรหตนฺติ อรหนฺตานํฯ มหาสาวกานํ อพฺภนฺตโร อายสฺมา ภารทฺวาโช อโหสีติ อยํ กิเรตฺถ อธิปฺปาโยติฯ

    Vusitanti vutthaṃ parivutthaṃ, kataṃ caritaṃ niṭṭhāpitanti attho. Brahmacariyanti maggabrahmacariyaṃ. Kataṃ karaṇīyanti catūsu saccesu catūhi maggehi pariññāpahānasacchikiriyabhāvanāvasena soḷasavidhampi kiccaṃ niṭṭhāpitanti attho. Nāparaṃ itthattāyāti idāni puna itthabhāvāya evaṃ soḷasakiccabhāvāya kilesakkhayāya vā maggabhāvanā natthīti. Atha vā itthattāyāti itthabhāvato, imasmā evaṃpakārā idāni vattamānakkhandhasantānā aparaṃ khandhasantānaṃ natthi. Ime pana pañcakkhandhā pariññātā tiṭṭhanti chinnamūlako rukkho viyāti abbhaññāsi. Aññataroti eko. Arahatanti arahantānaṃ. Mahāsāvakānaṃ abbhantaro āyasmā bhāradvājo ahosīti ayaṃ kirettha adhippāyoti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย กสิภารทฺวาชสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya kasibhāradvājasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๔. กสิภารทฺวาชสุตฺตํ • 4. Kasibhāradvājasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact