Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๑๒] ๒. กสฺสปมนฺทิยชาตกวณฺณนา
[312] 2. Kassapamandiyajātakavaṇṇanā
อปิ กสฺสป มนฺทิยาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ มหลฺลกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิเรโก กุลปุโตฺต กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา กมฺมฎฺฐาเน อนุยุโตฺต น จิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตสฺส อปรภาเค มาตา กาลมกาสิฯ โส มาตุ อจฺจเยน ปิตรญฺจ กนิฎฺฐภาตรญฺจ ปพฺพาเชตฺวา เชตวเน วสิตฺวา วสฺสูปนายิกสมเย จีวรปจฺจยสฺส สุลภตํ สุตฺวา เอกํ คามกาวาสํ คนฺตฺวา ตโยปิ ตเตฺถว วสฺสํ อุปคนฺตฺวา วุตฺถวสฺสา เชตวนเมว อาคมํสุฯ ทหรภิกฺขุ เชตวนสฺส อาสนฺนฎฺฐาเน ‘‘สามเณร ตฺวํ เถรํ วิสฺสาเมตฺวา อาเนยฺยาสิ, อหํ ปุเรตรํ คนฺตฺวา ปริเวณํ ปฎิชคฺคิสฺสามี’’ติ เชตวนํ ปาวิสิฯ มหลฺลกเตฺถโร สณิกํ อาคจฺฉติฯ สามเณโร ปุนปฺปุนํ สีเสน อุปฺปีเฬโนฺต วิย ‘‘คจฺฉ, ภเนฺต, คจฺฉ, ภเนฺต’’ติ ตํ พลกฺกาเรน เนติฯ เถโร ‘‘ตฺวํ มํ อตฺตโน วสํ อาเนสี’’ติ ปุน นิวตฺติตฺวา โกฎิโต ปฎฺฐาย อาคจฺฉติฯ เตสํ เอวํ อญฺญมญฺญํ กลหํ กโรนฺตานเญฺญว สูริโย อตฺถงฺคโต, อนฺธกาโร ชาโตฯ
Apikassapa mandiyāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ mahallakabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kireko kulaputto kāmesu ādīnavaṃ disvā satthu santike pabbajitvā kammaṭṭhāne anuyutto na cirasseva arahattaṃ pāpuṇi. Tassa aparabhāge mātā kālamakāsi. So mātu accayena pitarañca kaniṭṭhabhātarañca pabbājetvā jetavane vasitvā vassūpanāyikasamaye cīvarapaccayassa sulabhataṃ sutvā ekaṃ gāmakāvāsaṃ gantvā tayopi tattheva vassaṃ upagantvā vutthavassā jetavanameva āgamaṃsu. Daharabhikkhu jetavanassa āsannaṭṭhāne ‘‘sāmaṇera tvaṃ theraṃ vissāmetvā āneyyāsi, ahaṃ puretaraṃ gantvā pariveṇaṃ paṭijaggissāmī’’ti jetavanaṃ pāvisi. Mahallakatthero saṇikaṃ āgacchati. Sāmaṇero punappunaṃ sīsena uppīḷento viya ‘‘gaccha, bhante, gaccha, bhante’’ti taṃ balakkārena neti. Thero ‘‘tvaṃ maṃ attano vasaṃ ānesī’’ti puna nivattitvā koṭito paṭṭhāya āgacchati. Tesaṃ evaṃ aññamaññaṃ kalahaṃ karontānaññeva sūriyo atthaṅgato, andhakāro jāto.
อิตโรปิ ปริเวณํ สมฺมชฺชิตฺวา อุทกํ อุปฎฺฐเปตฺวา เตสํ อาคมนํ อปสฺสโนฺต อุกฺกํ คเหตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา เต อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ จิรายิตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ มหลฺลโก ตํ การณํ กเถสิฯ โส เต เทฺวปิ วิสฺสาเมตฺวา สณิกํ อาเนสิฯ ตํ ทิวสํ พุทฺธุปฎฺฐานสฺส โอกาสํ น ลภิฯ อถ นํ ทุติยทิวเส พุทฺธุปฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสินฺนํ สตฺถา ‘‘กทา อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘หิโยฺย, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘หิโยฺย อาคนฺตฺวา อชฺช พุทฺธุปฎฺฐานํ กโรสี’’ติ? โส ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ วตฺวา ตํ การณํ อาจิกฺขิฯ สตฺถา มหลฺลกํ ครหิตฺวา ‘‘น เอส อิทาเนว เอวรูปํ กมฺมํ กโรติ, ปุเพฺพปิ อกาสิฯ อิทานิ ปน เตน ตฺวํ กิลมิโต, ปุเพฺพปิ ปณฺฑิเต กิลเมสี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Itaropi pariveṇaṃ sammajjitvā udakaṃ upaṭṭhapetvā tesaṃ āgamanaṃ apassanto ukkaṃ gahetvā paccuggamanaṃ katvā te āgacchante disvā ‘‘kiṃ cirāyitthā’’ti pucchi. Mahallako taṃ kāraṇaṃ kathesi. So te dvepi vissāmetvā saṇikaṃ ānesi. Taṃ divasaṃ buddhupaṭṭhānassa okāsaṃ na labhi. Atha naṃ dutiyadivase buddhupaṭṭhānaṃ āgantvā vanditvā nisinnaṃ satthā ‘‘kadā āgatosī’’ti pucchi. ‘‘Hiyyo, bhante’’ti. ‘‘Hiyyo āgantvā ajja buddhupaṭṭhānaṃ karosī’’ti? So ‘‘āma, bhante’’ti vatvā taṃ kāraṇaṃ ācikkhi. Satthā mahallakaṃ garahitvā ‘‘na esa idāneva evarūpaṃ kammaṃ karoti, pubbepi akāsi. Idāni pana tena tvaṃ kilamito, pubbepi paṇḍite kilamesī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กาสินิคเม พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺส วยปฺปตฺตกาเล มาตา กาลมกาสิฯ โส มาตุ สรีรกิจฺจํ กตฺวา มาสทฺธมาสจฺจเยน ฆเร วิชฺชมานํ ธนํ ทานํ ทตฺวา ปิตรญฺจ กนิฎฺฐภาตรญฺจ คเหตฺวา หิมวนฺตปเทเส เทวทตฺติยํ วกฺกลํ คเหตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อุญฺฉาจริยาย วนมูลผลาผเลหิ ยาเปโนฺต รมณีเย วนสเณฺฑ วสิฯ หิมวเนฺต ปน วสฺสกาเล อจฺฉินฺนธาเร เทเว วสฺสเนฺต น สกฺกา โหติ กนฺทมูลํ ขณิตุํ, ผลานิ จ ปณฺณานิ จ ปตนฺติฯ ตาปสา เยภุเยฺยน หิมวนฺตโต นิกฺขมิตฺวา มนุสฺสปเถ วสนฺติฯ ตทา โพธิสโตฺต ปิตรญฺจ กนิฎฺฐภาตรญฺจ คเหตฺวา มนุสฺสปเถ วสิตฺวา ปุน หิมวเนฺต ปุปฺผิตผลิเต เต อุโภปิ คเหตฺวา หิมวเนฺต อตฺตโน อสฺสมปทํ อาคจฺฉโนฺต อสฺสมสฺสาวิทูเร สูริเย อตฺถงฺคเต ‘‘ตุเมฺห สณิกํ อาคเจฺฉยฺยาถ, อหํ ปุรโต คนฺตฺวา อสฺสมํ ปฎิชคฺคิสฺสามี’’ติ วตฺวา เต โอหาย คโตฯ ขุทฺทกตาปโส ปิตรา สทฺธิํ สณิกํ คจฺฉโนฺต ตํ กฎิปฺปเทเส สีเสน อุปฺปีเฬโนฺต วิย คจฺฉ คจฺฉาติ ตํ พลกฺกาเรน เนติฯ มหลฺลโก ‘‘ตฺวํ มํ อตฺตโน รุจิยา อาเนสี’’ติ ปฎินิวตฺติตฺวา โกฎิโต ปฎฺฐาย อาคจฺฉติฯ เอวํ เตสํ กลหํ กโรนฺตานเญฺญว อนฺธกาโร อโหสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kāsinigame brāhmaṇakule nibbatti. Tassa vayappattakāle mātā kālamakāsi. So mātu sarīrakiccaṃ katvā māsaddhamāsaccayena ghare vijjamānaṃ dhanaṃ dānaṃ datvā pitarañca kaniṭṭhabhātarañca gahetvā himavantapadese devadattiyaṃ vakkalaṃ gahetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā uñchācariyāya vanamūlaphalāphalehi yāpento ramaṇīye vanasaṇḍe vasi. Himavante pana vassakāle acchinnadhāre deve vassante na sakkā hoti kandamūlaṃ khaṇituṃ, phalāni ca paṇṇāni ca patanti. Tāpasā yebhuyyena himavantato nikkhamitvā manussapathe vasanti. Tadā bodhisatto pitarañca kaniṭṭhabhātarañca gahetvā manussapathe vasitvā puna himavante pupphitaphalite te ubhopi gahetvā himavante attano assamapadaṃ āgacchanto assamassāvidūre sūriye atthaṅgate ‘‘tumhe saṇikaṃ āgaccheyyātha, ahaṃ purato gantvā assamaṃ paṭijaggissāmī’’ti vatvā te ohāya gato. Khuddakatāpaso pitarā saddhiṃ saṇikaṃ gacchanto taṃ kaṭippadese sīsena uppīḷento viya gaccha gacchāti taṃ balakkārena neti. Mahallako ‘‘tvaṃ maṃ attano ruciyā ānesī’’ti paṭinivattitvā koṭito paṭṭhāya āgacchati. Evaṃ tesaṃ kalahaṃ karontānaññeva andhakāro ahosi.
โพธิสโตฺตปิ ปณฺณสาลํ สมฺมชฺชิตฺวา อุทกํ อุปฎฺฐเปตฺวา อุกฺกมาทาย ปฎิปถํ อาคจฺฉโนฺต เต ทิสฺวา ‘‘เอตฺตกํ กาลํ กิํ กริตฺถา’’ติ อาหฯ ขุทฺทกตาปโส ปิตรา กตการณํ กเถสิฯ โพธิสโตฺต อุโภปิ เต สณิกํ เนตฺวา ปริกฺขารํ ปฎิสาเมตฺวา ปิตรํ นฺหาเปตฺวา ปาทโธวนปิฎฺฐิสมฺพาหนาทีนิ กตฺวา องฺคารกปลฺลํ อุปฎฺฐเปตฺวา ปฎิปฺปสฺสทฺธกิลมถํ ปิตรํ อุปนิสีทิตฺวา ‘‘ตาต, ตรุณทารกา นาม มตฺติกาภาชนสทิสา มุหุตฺตเนว ภิชฺชนฺติ , สกิํ ภินฺนกาลโต ปฎฺฐาย ปุน น สกฺกา โหนฺติ ฆเฎตุํ, เต อโกฺกสนฺตาปิ ปริภาสนฺตาปิ มหลฺลเกหิ อธิวาเสตพฺพา’’ติ วตฺวา ปิตรํ โอวทโนฺต อิมา คาถา อภาสิ –
Bodhisattopi paṇṇasālaṃ sammajjitvā udakaṃ upaṭṭhapetvā ukkamādāya paṭipathaṃ āgacchanto te disvā ‘‘ettakaṃ kālaṃ kiṃ karitthā’’ti āha. Khuddakatāpaso pitarā katakāraṇaṃ kathesi. Bodhisatto ubhopi te saṇikaṃ netvā parikkhāraṃ paṭisāmetvā pitaraṃ nhāpetvā pādadhovanapiṭṭhisambāhanādīni katvā aṅgārakapallaṃ upaṭṭhapetvā paṭippassaddhakilamathaṃ pitaraṃ upanisīditvā ‘‘tāta, taruṇadārakā nāma mattikābhājanasadisā muhuttaneva bhijjanti , sakiṃ bhinnakālato paṭṭhāya puna na sakkā honti ghaṭetuṃ, te akkosantāpi paribhāsantāpi mahallakehi adhivāsetabbā’’ti vatvā pitaraṃ ovadanto imā gāthā abhāsi –
๔๕.
45.
‘‘อปิ กสฺสป มนฺทิยา, ยุวา สปติ หนฺติ วา;
‘‘Api kassapa mandiyā, yuvā sapati hanti vā;
สพฺพํ ตํ ขมเต ธีโร, ปณฺฑิโต ตํ ติติกฺขติฯ
Sabbaṃ taṃ khamate dhīro, paṇḍito taṃ titikkhati.
๔๖.
46.
‘‘สเจปิ สโนฺต วิวทนฺติ, ขิปฺปํ สนฺตียเร ปุน;
‘‘Sacepi santo vivadanti, khippaṃ santīyare puna;
พาลา ปตฺตาว ภิชฺชนฺติ, น เต สมถมชฺฌคูฯ
Bālā pattāva bhijjanti, na te samathamajjhagū.
๔๗.
47.
‘‘เอเต ภิโยฺย สมายนฺติ, สนฺธิ เตสํ น ชีรติ;
‘‘Ete bhiyyo samāyanti, sandhi tesaṃ na jīrati;
โย จาธิปนฺนํ ชานาติ, โย จ ชานาติ เทสนํฯ
Yo cādhipannaṃ jānāti, yo ca jānāti desanaṃ.
๔๘.
48.
‘‘เอโส หิ อุตฺตริตโร, ภารวโห ธุรทฺธโร;
‘‘Eso hi uttaritaro, bhāravaho dhuraddharo;
โย ปเรสาธิปนฺนานํ, สยํ สนฺธาตุมรหตี’’ติฯ
Yo paresādhipannānaṃ, sayaṃ sandhātumarahatī’’ti.
ตตฺถ กสฺสปาติ ปิตรํ นาเมนาลปติฯ มนฺทิยาติ มนฺทีภาเวน ตรุณตายฯ ยุวา สปติ หนฺติ วาติ ตรุณทารโก อโกฺกสติปิ ปหรติปิฯ ธีโรติ ธิกฺกตปาโป, ธี วา วุจฺจติ ปญฺญา, ตาย สมนฺนาคโตติปิ อโตฺถฯ อิตรํ ปน อิมเสฺสว เววจนํฯ อุภเยนาปิ สพฺพํ ตํ พาลทารเกหิ กตํ อปราธํ มหลฺลโก ธีโร ปณฺฑิโต สหติ ติติกฺขตีติ ทเสฺสติฯ
Tattha kassapāti pitaraṃ nāmenālapati. Mandiyāti mandībhāvena taruṇatāya. Yuvā sapati hanti vāti taruṇadārako akkosatipi paharatipi. Dhīroti dhikkatapāpo, dhī vā vuccati paññā, tāya samannāgatotipi attho. Itaraṃ pana imasseva vevacanaṃ. Ubhayenāpi sabbaṃ taṃ bāladārakehi kataṃ aparādhaṃ mahallako dhīro paṇḍito sahati titikkhatīti dasseti.
สนฺธียเรติ ปุน มิตฺตภาเวน สนฺธียนฺติ ฆฎียนฺติฯ พาลา ปตฺตาวาติ พาลกา ปน มตฺติกาปตฺตาว ภิชฺชนฺติฯ น เต สมถมชฺฌคูติ เต พาลกา อปฺปมตฺตกมฺปิ วิวาทํ กตฺวา เวรูปสมนํ น วินฺทนฺติ นาธิคจฺฉนฺติฯ เอเต ภิโยฺยติ เอเต เทฺว ชนา ภินฺนาปิ ปุน สมาคจฺฉนฺติฯ สนฺธีติ มิตฺตสนฺธิฯ เตสนฺติ เตสเญฺญว ทฺวินฺนํ สนฺธิ น ชีรติฯ โย จาธิปนฺนนฺติ โย จ อตฺตนา อธิปนฺนํ อติกฺกนฺตํ อญฺญสฺมิํ กตโทสํ ชานาติฯ เทสนนฺติ โย จ เตน อตฺตโน โทสํ ชานเนฺตน เทสิตํ อจฺจยเทสนํ ปฎิคฺคณฺหิตุํ ชานาติฯ
Sandhīyareti puna mittabhāvena sandhīyanti ghaṭīyanti. Bālā pattāvāti bālakā pana mattikāpattāva bhijjanti. Na te samathamajjhagūti te bālakā appamattakampi vivādaṃ katvā verūpasamanaṃ na vindanti nādhigacchanti. Ete bhiyyoti ete dve janā bhinnāpi puna samāgacchanti. Sandhīti mittasandhi. Tesanti tesaññeva dvinnaṃ sandhi na jīrati. Yo cādhipannanti yo ca attanā adhipannaṃ atikkantaṃ aññasmiṃ katadosaṃ jānāti. Desananti yo ca tena attano dosaṃ jānantena desitaṃ accayadesanaṃ paṭiggaṇhituṃ jānāti.
โย ปเรสาธิปนฺนานนฺติ โย ปเรสํ อธิปนฺนานํ โทเสน อภิภูตานํ อปราธการกานํฯ สยํ สนฺธาตุมรหตีติ เตสุ อขมาเปเนฺตสุปิ ‘‘เอหิ, ภทฺรมุข, อุเทฺทสํ คณฺห, อฎฺฐกถํ สุณ, ภาวนมนุยุญฺช, กสฺมา ปริพาหิโร โหสี’’ติ เอวํ สยํ สนฺธาตุํ อรหติ มิตฺตภาวํ ฆเฎติ, เอโส เอวรูโป เมตฺตาวิหารี อุตฺตริตโร มิตฺตภารสฺส มิตฺตธุรสฺส จ วหนโต ‘‘ภารวโห’’ติ ‘‘ธุรทฺธโร’’ติ จ สงฺขํ คจฺฉตีติฯ
Yo paresādhipannānanti yo paresaṃ adhipannānaṃ dosena abhibhūtānaṃ aparādhakārakānaṃ. Sayaṃ sandhātumarahatīti tesu akhamāpentesupi ‘‘ehi, bhadramukha, uddesaṃ gaṇha, aṭṭhakathaṃ suṇa, bhāvanamanuyuñja, kasmā paribāhiro hosī’’ti evaṃ sayaṃ sandhātuṃ arahati mittabhāvaṃ ghaṭeti, eso evarūpo mettāvihārī uttaritaro mittabhārassa mittadhurassa ca vahanato ‘‘bhāravaho’’ti ‘‘dhuraddharo’’ti ca saṅkhaṃ gacchatīti.
เอวํ โพธิสโตฺต ปิตุ โอวาทํ อทาสิ, โสปิ ตโต ปภุติ ทโนฺต อโหสิ สุทโนฺตฯ
Evaṃ bodhisatto pitu ovādaṃ adāsi, sopi tato pabhuti danto ahosi sudanto.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปิตา ตาปโส มหลฺลโก อโหสิ, ขุทฺทกตาปโส สามเณโร, ปิตุ โอวาททายโก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā pitā tāpaso mahallako ahosi, khuddakatāpaso sāmaṇero, pitu ovādadāyako pana ahameva ahosi’’nti.
กสฺสปมนฺทิยชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Kassapamandiyajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๑๒. กสฺสปมนฺทิยชาตกํ • 312. Kassapamandiyajātakaṃ