Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā |
กถินกฺขนฺธกกถาวณฺณนา
Kathinakkhandhakakathāvaṇṇanā
๒๖๙๗. วุตฺถวสฺสานํ ปุริมิกาย วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ยาว มหาปวารณา, ตาว รตฺติเจฺฉทํ อกตฺวา วุตฺถวสฺสานํ ภิกฺขูนํ เอกสฺส วา ทฺวินฺนํ ติณฺณํ จตุนฺนํ ปญฺจนฺนํ อติเรกานํ วา ภิกฺขูนํ ปญฺจนฺนํ อานิสํสานํ วกฺขมานานํ อนามนฺตจาราทีนํ ปญฺจนฺนํ อานิสํสานํ ปฎิลาภการณา มุนิปุงฺคโว สเพฺพสํ อคาริกาทิมุนีนํ สกลคุณคเณหิ อุตฺตโม ภควา กถินตฺถารํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, วสฺสํวุตฺถานํ ภิกฺขูนํ กถินํ อตฺถริตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๐๖) อพฺรฺวิ กเถสีติ โยชนาฯ
2697.Vutthavassānaṃ purimikāya vassaṃ upagantvā yāva mahāpavāraṇā, tāva ratticchedaṃ akatvā vutthavassānaṃ bhikkhūnaṃ ekassa vā dvinnaṃ tiṇṇaṃ catunnaṃ pañcannaṃ atirekānaṃ vā bhikkhūnaṃ pañcannaṃ ānisaṃsānaṃ vakkhamānānaṃ anāmantacārādīnaṃ pañcannaṃ ānisaṃsānaṃ paṭilābhakāraṇā munipuṅgavo sabbesaṃ agārikādimunīnaṃ sakalaguṇagaṇehi uttamo bhagavā kathinatthāraṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, vassaṃvutthānaṃ bhikkhūnaṃ kathinaṃ attharitu’’nti (mahāva. 306) abrvi kathesīti yojanā.
เอตฺถายํ วินิจฺฉโย – ‘‘กถินตฺถารํ เก ลภนฺติ, เก น ลภนฺตีติ? คณนวเสน ตาว ปจฺฉิมโกฎิยา ปญฺจ ชนา ลภนฺติ, อุทฺธํ สตสหสฺสมฺปิ, ปญฺจนฺนํ เหฎฺฐา น ลภนฺตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๐๖) อิทํ อฎฺฐกถาย อตฺถารกสฺส ภิกฺขุโน สงฺฆสฺส กถินทุสฺสทานกมฺมํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘วุตฺถวสฺสวเสน ปุริมิกาย วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ปฐมปวารณาย ปวาริตา ลภนฺติ, ฉินฺนวสฺสา วา ปจฺฉิมิกาย อุปคตา วา น ลภนฺติฯ อญฺญสฺมิํ วิหาเร วุตฺถวสฺสาปิ น ลภนฺตีติ มหาปจฺจริยํ วุตฺต’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๐๖) อิทํ อฎฺฐกถาย อานิสํสลาภํ สนฺธาย วุตฺตํ, น กมฺมํฯ
Etthāyaṃ vinicchayo – ‘‘kathinatthāraṃ ke labhanti, ke na labhantīti? Gaṇanavasena tāva pacchimakoṭiyā pañca janā labhanti, uddhaṃ satasahassampi, pañcannaṃ heṭṭhā na labhantī’’ti (mahāva. aṭṭha. 306) idaṃ aṭṭhakathāya atthārakassa bhikkhuno saṅghassa kathinadussadānakammaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Vutthavassavasena purimikāya vassaṃ upagantvā paṭhamapavāraṇāya pavāritā labhanti, chinnavassā vā pacchimikāya upagatā vā na labhanti. Aññasmiṃ vihāre vutthavassāpi na labhantīti mahāpaccariyaṃ vutta’’nti (mahāva. aṭṭha. 306) idaṃ aṭṭhakathāya ānisaṃsalābhaṃ sandhāya vuttaṃ, na kammaṃ.
อิทานิ ตทุภยํ วิภชิตฺวา ทเสฺสติ –
Idāni tadubhayaṃ vibhajitvā dasseti –
‘‘ปุริมิกาย อุปคตานํ ปน สเพฺพ คณปูรกา โหนฺติ, อานิสํสํ น ลภนฺติ, อานิสํโส อิตเรสํเยว โหติฯ สเจ ปุริมิกาย อุปคตา จตฺตาโร วา โหนฺติ, ตโย วา เทฺว วา เอโก วา, อิตเร คณปูรเก กตฺวา กถินํ อตฺถริตพฺพํฯ อถ จตฺตาโร ภิกฺขู อุปคตา, เอโก ปริปุณฺณวโสฺส สามเณโร, โส เจ ปจฺฉิมิกาย อุปสมฺปชฺชติ, คณปูรโก เจว โหติ, อานิสํสญฺจ ลภติ ฯ ตโย ภิกฺขู เทฺว สามเณรา, เทฺว ภิกฺขู ตโย สามเณรา, เอโก ภิกฺขุ จตฺตาโร สามเณราติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สเจ ปุริมิกาย อุปคตา กถินตฺถารกุสลา น โหนฺติ, อตฺถารกุสลา ขนฺธกภาณกเตฺถรา ปริเยสิตฺวา อาเนตพฺพา, กมฺมวาจํ สาเวตฺวา กถินํ อตฺถราเปตฺวา ทานญฺจ ภุญฺชิตฺวา คมิสฺสนฺติ, อานิสํโส ปน อิตเรสํเยว โหตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๐๖)ฯ
‘‘Purimikāya upagatānaṃ pana sabbe gaṇapūrakā honti, ānisaṃsaṃ na labhanti, ānisaṃso itaresaṃyeva hoti. Sace purimikāya upagatā cattāro vā honti, tayo vā dve vā eko vā, itare gaṇapūrake katvā kathinaṃ attharitabbaṃ. Atha cattāro bhikkhū upagatā, eko paripuṇṇavasso sāmaṇero, so ce pacchimikāya upasampajjati, gaṇapūrako ceva hoti, ānisaṃsañca labhati . Tayo bhikkhū dve sāmaṇerā, dve bhikkhū tayo sāmaṇerā, eko bhikkhu cattāro sāmaṇerāti etthāpi eseva nayo. Sace purimikāya upagatā kathinatthārakusalā na honti, atthārakusalā khandhakabhāṇakattherā pariyesitvā ānetabbā, kammavācaṃ sāvetvā kathinaṃ attharāpetvā dānañca bhuñjitvā gamissanti, ānisaṃso pana itaresaṃyeva hotī’’ti (mahāva. aṭṭha. 306).
กถินํ เกน ทินฺนํ วฎฺฎตีติ? เยน เกนจิ เทเวน วา มนุเสฺสน วา ปญฺจนฺนํ วา สหธมฺมิกานํ อญฺญตเรน ทินฺนํ วฎฺฎติฯ กถินทายกสฺส วตฺตํ อตฺถิ, สเจ โส ตํ อชานโนฺต ปุจฺฉติ ‘‘ภเนฺต, กถํ กถินํ ทาตพฺพ’’นฺติ, ตสฺส เอวํ อาจิกฺขิตพฺพํ ‘‘ติณฺณํ จีวรานํ อญฺญตรปฺปโหนกํ สูริยุคฺคมนสมเย วตฺถํ ‘กถินจีวรํ เทมา’ติ ทาตุํ วฎฺฎติ, ตสฺส ปริกมฺมตฺถํ เอตฺตกา นาม สูจิโย, เอตฺตกํ สุตฺตํ, เอตฺตกํ รชนํ, ปริกมฺมํ กโรนฺตานํ เอตฺตกานํ ภิกฺขูนํ ยาคุภตฺตญฺจ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ
Kathinaṃ kena dinnaṃ vaṭṭatīti? Yena kenaci devena vā manussena vā pañcannaṃ vā sahadhammikānaṃ aññatarena dinnaṃ vaṭṭati. Kathinadāyakassa vattaṃ atthi, sace so taṃ ajānanto pucchati ‘‘bhante, kathaṃ kathinaṃ dātabba’’nti, tassa evaṃ ācikkhitabbaṃ ‘‘tiṇṇaṃ cīvarānaṃ aññatarappahonakaṃ sūriyuggamanasamaye vatthaṃ ‘kathinacīvaraṃ demā’ti dātuṃ vaṭṭati, tassa parikammatthaṃ ettakā nāma sūciyo, ettakaṃ suttaṃ, ettakaṃ rajanaṃ, parikammaṃ karontānaṃ ettakānaṃ bhikkhūnaṃ yāgubhattañca dātuṃ vaṭṭatī’’ti.
กถินตฺถารเกนาปิ ธเมฺมน สเมน อุปฺปนฺนํ กถินํ อตฺถรเนฺตน วตฺตํ ชานิตพฺพํฯ ตนฺตวายเคหโต หิ อาภตสนฺตาเนเนว ขลิมกฺขิตสาฎโกปิ น วฎฺฎติ, มลีนสาฎโกปิ น วฎฺฎติ, ตสฺมา กถินตฺถารสาฎกํ ลภิตฺวา สุทฺธํ โธวิตฺวา สูจิอาทีนิ จีวรกมฺมูปกรณานิ สเชฺชตฺวา พหูหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ตทเหว สิพฺพิตฺวา นิฎฺฐิตสูจิกมฺมํ รชิตฺวา กปฺปพินฺทุํ ทตฺวา กถินํ อตฺถริตพฺพํฯ สเจ ตสฺมิํ อนตฺถเตเยว อโญฺญ กถินสาฎกํ อตฺถริตพฺพกํ อาหรติ, อญฺญานิ จ พหูนิ กถินานิสํสวตฺถานิ เทติ, โย อานิสํสํ พหุํ เทติ, ตสฺส สนฺตเกเนว อตฺถริตพฺพํฯ อิตโร ยถา ตถา โอวทิตฺวา สญฺญาเปตโพฺพฯ
Kathinatthārakenāpi dhammena samena uppannaṃ kathinaṃ attharantena vattaṃ jānitabbaṃ. Tantavāyagehato hi ābhatasantāneneva khalimakkhitasāṭakopi na vaṭṭati, malīnasāṭakopi na vaṭṭati, tasmā kathinatthārasāṭakaṃ labhitvā suddhaṃ dhovitvā sūciādīni cīvarakammūpakaraṇāni sajjetvā bahūhi bhikkhūhi saddhiṃ tadaheva sibbitvā niṭṭhitasūcikammaṃ rajitvā kappabinduṃ datvā kathinaṃ attharitabbaṃ. Sace tasmiṃ anatthateyeva añño kathinasāṭakaṃ attharitabbakaṃ āharati, aññāni ca bahūni kathinānisaṃsavatthāni deti, yo ānisaṃsaṃ bahuṃ deti, tassa santakeneva attharitabbaṃ. Itaro yathā tathā ovaditvā saññāpetabbo.
กถินํ ปน เกน อตฺถริตพฺพํ? ยสฺส สโงฺฆ กถินจีวรํ เทติฯ สเงฺฆน ปน กสฺส ทาตพฺพํ? โย ชิณฺณจีวโร โหติฯ สเจ พหู ชิณฺณจีวรา โหนฺติ, วุฑฺฒสฺส ทาตพฺพํฯ วุเฑฺฒสุปิ โย มหาปริวาโร ตทเหว จีวรํ กตฺวา อตฺถริตุํ สโกฺกติ, ตสฺส ทาตพฺพํฯ สเจ วุโฑฺฒ น สโกฺกติ, นวกตโร สโกฺกติ, ตสฺส ทาตพฺพํฯ อปิ จ สเงฺฆน มหาเถรสฺส สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, คณฺหถ, มยํ กตฺวา ทสฺสามา’’ติ วตฺตพฺพํฯ
Kathinaṃ pana kena attharitabbaṃ? Yassa saṅgho kathinacīvaraṃ deti. Saṅghena pana kassa dātabbaṃ? Yo jiṇṇacīvaro hoti. Sace bahū jiṇṇacīvarā honti, vuḍḍhassa dātabbaṃ. Vuḍḍhesupi yo mahāparivāro tadaheva cīvaraṃ katvā attharituṃ sakkoti, tassa dātabbaṃ. Sace vuḍḍho na sakkoti, navakataro sakkoti, tassa dātabbaṃ. Api ca saṅghena mahātherassa saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭati, tasmā ‘‘tumhe, bhante, gaṇhatha, mayaṃ katvā dassāmā’’ti vattabbaṃ.
ตีสุ จีวเรสุ ยํ ชิณฺณํ โหติ, ตทตฺถาย ทาตพฺพํฯ ปกติยา ทุปฎฺฎจีวรสฺส ทุปฎฺฎตฺถาเยว ทาตพฺพํฯ สเจปิสฺส เอกปฎฺฎจีวรํ ฆนํ โหติ, กถินสาฎโก จ เปลโว, สารุปฺปตฺถาย ทุปฎฺฎปฺปโหนกเมว ทาตพฺพํฯ ‘‘อหํ อลภโนฺต เอกปฎฺฎํ ปารุปามี’’ติ วทนฺตสฺสาปิ ทุปฎฺฎํ ทาตุํ วฎฺฎติฯ โย ปน โลภปกติโก โหติ, ตสฺส น ทาตพฺพํฯ เตนาปิ กถินํ อตฺถริตฺวา ‘‘ปจฺฉา วิสิพฺพิตฺวา เทฺว จีวรานิ กริสฺสามี’’ติ น คเหตพฺพํฯ
Tīsu cīvaresu yaṃ jiṇṇaṃ hoti, tadatthāya dātabbaṃ. Pakatiyā dupaṭṭacīvarassa dupaṭṭatthāyeva dātabbaṃ. Sacepissa ekapaṭṭacīvaraṃ ghanaṃ hoti, kathinasāṭako ca pelavo, sāruppatthāya dupaṭṭappahonakameva dātabbaṃ. ‘‘Ahaṃ alabhanto ekapaṭṭaṃ pārupāmī’’ti vadantassāpi dupaṭṭaṃ dātuṃ vaṭṭati. Yo pana lobhapakatiko hoti, tassa na dātabbaṃ. Tenāpi kathinaṃ attharitvā ‘‘pacchā visibbitvā dve cīvarāni karissāmī’’ti na gahetabbaṃ.
ยสฺส ปน ทิยฺยติ, ตสฺส –
Yassa pana diyyati, tassa –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต สโงฺฆ, อิทํ สงฺฆสฺส กถินทุสฺสํ อุปฺปนฺนํ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ กถินทุสฺสํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺย กถินํ อตฺถริตุํ, เอสา ญตฺติฯ
‘‘Suṇātu me, bhante saṅgho, idaṃ saṅghassa kathinadussaṃ uppannaṃ, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ kathinadussaṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyya kathinaṃ attharituṃ, esā ñatti.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต สโงฺฆ, อิทํ สงฺฆสฺส กถินทุสฺสํ อุปฺปนฺนํ, สโงฺฆ อิมํ กถินทุสฺสํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน เทติ กถินํ อตฺถริตุํ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิมสฺส กถินทุสฺสสฺส อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทานํ กถินํ อตฺถริตุํ, โส ตุณฺหสฺส, ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ
‘‘Suṇātu me, bhante saṅgho, idaṃ saṅghassa kathinadussaṃ uppannaṃ, saṅgho imaṃ kathinadussaṃ itthannāmassa bhikkhuno deti kathinaṃ attharituṃ, yassāyasmato khamati imassa kathinadussassa itthannāmassa bhikkhuno dānaṃ kathinaṃ attharituṃ, so tuṇhassa, yassa nakkhamati, so bhāseyya.
‘‘ทินฺนํ อิทํ สเงฺฆน กถินทุสฺสํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กถินํ อตฺถริตุํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (มหาว. ๓๐๗) –
‘‘Dinnaṃ idaṃ saṅghena kathinadussaṃ itthannāmassa bhikkhuno kathinaṃ attharituṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (mahāva. 307) –
เอวํ ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย ทาตพฺพนฺติ เอวํ ทินฺนํฯ
Evaṃ ñattidutiyāya kammavācāya dātabbanti evaṃ dinnaṃ.
๒๖๙๘-๙. น อุลฺลิขิตมตฺตาทิ-จตุวีสติวชฺชิตนฺติ ปาฬิยํ อาคเตหิ ‘‘น อุลฺลิขิตมเตฺตน อตฺถตํ โหติ กถิน’’นฺติ (มหาว. ๓๐๘) อุลฺลิขิตมตฺตาทีหิ จตุวีสติยา อากาเรหิ วชฺชิตํฯ จีวรนฺติ ‘‘อหเตน อตฺถตํ โหติ กถิน’’นฺติ (มหาว. ๓๐๙) ปาฬิยํ อาคตานํ โสฬสนฺนํ อาการานํ อญฺญตเรน ยุตฺตํ กตปริโยสิตํ ทินฺนํ กปฺปพินฺทุํ ติณฺณํ จีวรานํ อญฺญตรจีวรํฯ เต ปน จตุวีสติ อาการา, โสฬสาการา จ ปาฬิโต (มหาว. ๓๐๘), อฎฺฐกถาโต (มหาว. อฎฺฐ. ๓๐๘) จ คเหตพฺพาฯ คนฺถคารวปริหารตฺถมิธ น วุตฺตาฯ
2698-9.Na ullikhitamattādi-catuvīsativajjitanti pāḷiyaṃ āgatehi ‘‘na ullikhitamattena atthataṃ hoti kathina’’nti (mahāva. 308) ullikhitamattādīhi catuvīsatiyā ākārehi vajjitaṃ. Cīvaranti ‘‘ahatena atthataṃ hoti kathina’’nti (mahāva. 309) pāḷiyaṃ āgatānaṃ soḷasannaṃ ākārānaṃ aññatarena yuttaṃ katapariyositaṃ dinnaṃ kappabinduṃ tiṇṇaṃ cīvarānaṃ aññataracīvaraṃ. Te pana catuvīsati ākārā, soḷasākārā ca pāḷito (mahāva. 308), aṭṭhakathāto (mahāva. aṭṭha. 308) ca gahetabbā. Ganthagāravaparihāratthamidha na vuttā.
ภิกฺขุนา วกฺขมาเน อฎฺฐธเมฺม ชานเนฺตน อตฺถรเกน อาทาย คเหตฺวา ปุราณกํ อตฺตนา ปริภุญฺชิยมานํ อตฺถริตพฺพจีวเรน เอกนามกํ ปุราณจีวรํ อุทฺธริตฺวา ปจฺจุทฺธริตฺวา นวํ อตฺถริตพฺพํ จีวรํ อธิฎฺฐหิตฺวา ปุราณปจฺจุทฺธฎจีวรสฺส นาเมน อธิฎฺฐหิตฺวาว ตํ อนฺตรวาสกํ เจ, ‘‘อิมินา อนฺตรวาสเกน กถินํ อตฺถรามิ’’อิติ วจสา วตฺตพฺพนฺติ โยชนาฯ สเจ อุตฺตราสโงฺค โหติ, ‘‘อิมินา อุตฺตราสเงฺคน กถินํ อตฺถรามิ’’, สเจ สงฺฆาฎิ โหติ, ‘‘อิมาย สงฺฆาฎิยา กถินํ อตฺถรามี’’ติ วตฺตพฺพํฯ
Bhikkhunā vakkhamāne aṭṭhadhamme jānantena attharakena ādāya gahetvā purāṇakaṃ attanā paribhuñjiyamānaṃ attharitabbacīvarena ekanāmakaṃ purāṇacīvaraṃ uddharitvā paccuddharitvā navaṃ attharitabbaṃ cīvaraṃ adhiṭṭhahitvā purāṇapaccuddhaṭacīvarassa nāmena adhiṭṭhahitvāva taṃ antaravāsakaṃ ce, ‘‘iminā antaravāsakena kathinaṃ attharāmi’’iti vacasā vattabbanti yojanā. Sace uttarāsaṅgo hoti, ‘‘iminā uttarāsaṅgena kathinaṃ attharāmi’’, sace saṅghāṭi hoti, ‘‘imāya saṅghāṭiyā kathinaṃ attharāmī’’ti vattabbaṃ.
๒๗๐๐-๑. อิเจฺจวํ ติกฺขตฺตุํ วุเตฺต กถินํ อตฺถตํ โหตีติ โยชนาฯ เตน ปน ภิกฺขุนา นวเกน กถินจีวรํ อาทาย สงฺฆํ อุปสงฺกมฺม ‘‘อตฺถตํ, ภเนฺต, สงฺฆสฺส กถินํ, ธมฺมิโก กถินตฺถาโร, อนุโมทถ’’อิติ วตฺตพฺพนฺติ โยชนาฯ
2700-1. Iccevaṃ tikkhattuṃ vutte kathinaṃ atthataṃ hotīti yojanā. Tena pana bhikkhunā navakena kathinacīvaraṃ ādāya saṅghaṃ upasaṅkamma ‘‘atthataṃ, bhante, saṅghassa kathinaṃ, dhammiko kathinatthāro, anumodatha’’iti vattabbanti yojanā.
๒๗๐๒. อนุโมทเกสุ จ เถเรหิ ‘‘อตฺถตํ, อาวุโส, สงฺฆสฺส กถินํ, ธมฺมิโก กถินตฺถาโร, อนุโมทามา’’ติ วตฺตพฺพํ, นเวน ปน ‘‘อตฺถตํ, ภเนฺต, สงฺฆสฺส กถินํ, ธมฺมิโก กถินตฺถาโร, อนุโมทามี’’ติ อิติ ปุน อีรเย กเถยฺยาติ โยชนาฯ คาถาย ปน อนุโมทนปาฐสฺส อตฺถทสฺสนมุเขน ‘‘สุอตฺถตํ ตยา ภเนฺต’’ติ วุตฺตํ, น ปาฐกฺกมทสฺสนวเสนาติ เวทิตพฺพํฯ
2702. Anumodakesu ca therehi ‘‘atthataṃ, āvuso, saṅghassa kathinaṃ, dhammiko kathinatthāro, anumodāmā’’ti vattabbaṃ, navena pana ‘‘atthataṃ, bhante, saṅghassa kathinaṃ, dhammiko kathinatthāro, anumodāmī’’ti iti puna īraye katheyyāti yojanā. Gāthāya pana anumodanapāṭhassa atthadassanamukhena ‘‘suatthataṃ tayā bhante’’ti vuttaṃ, na pāṭhakkamadassanavasenāti veditabbaṃ.
อตฺถารเกสุ จ อนุโมทเกสุ จ นเวหิ วุฑฺฒานํ วจนกฺกโม วุโตฺต, วุเฑฺฒหิ นวานํ วจนกฺกโม ปน ตทนุสาเรน ยถารหํ โยเชตฺวา วตฺตโพฺพติ คาถาสุ น วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ อตฺถารเกน เถเรน วา นเวน วา คณปุคฺคลานํ วจนกฺกโม จ คณปุคฺคเลหิ อตฺถารกสฺส วจนกฺกโม จ วุตฺตนเยน ยถารหํ โยเชตุํ สกฺกาติ น วุโตฺตฯ
Atthārakesu ca anumodakesu ca navehi vuḍḍhānaṃ vacanakkamo vutto, vuḍḍhehi navānaṃ vacanakkamo pana tadanusārena yathārahaṃ yojetvā vattabboti gāthāsu na vuttoti veditabbo. Atthārakena therena vā navena vā gaṇapuggalānaṃ vacanakkamo ca gaṇapuggalehi atthārakassa vacanakkamo ca vuttanayena yathārahaṃ yojetuṃ sakkāti na vutto.
เอวํ อตฺถเต ปน กถิเน สเจ กถินจีวเรน สทฺธิํ อาภตํ อานิสํสํ ทายกา ‘‘เยน อมฺหากํ กถินํ คหิตํ, ตเสฺสว จ เทมา’’ติ เทนฺติ, ภิกฺขุสโงฺฆ อนิสฺสโรฯ อถ อวิจาเรตฺวาว ทตฺวา คจฺฉนฺติ, ภิกฺขุสโงฺฆ อิสฺสโรฯ ตสฺมา สเจ กถินตฺถารกสฺส เสสจีวรานิปิ ทุพฺพลานิ โหนฺติ, สเงฺฆน อปโลเกตฺวา เตสมฺปิ อตฺถาย วตฺถานิ ทาตพฺพานิ, กมฺมวาจาย ปน เอกาเยว วฎฺฎติฯ อวเสเส กถินานิสํเส พลววตฺถานิ วสฺสาวาสิกฐิติกาย ทาตพฺพานิ, ฐิติกาย อภาเว เถราสนโต ปฎฺฐาย ทาตพฺพานิ, ครุภณฺฑํ น ภาเชตพฺพํฯ สเจ ปน เอกสีมาย พหู วิหารา โหนฺติ, สเพฺพ ภิกฺขู สนฺนิปาเตตฺวา เอกตฺถ กถินํ อตฺถริตพฺพํ, วิสุํ วิสุํ อตฺถริตุํ น วฎฺฎติฯ
Evaṃ atthate pana kathine sace kathinacīvarena saddhiṃ ābhataṃ ānisaṃsaṃ dāyakā ‘‘yena amhākaṃ kathinaṃ gahitaṃ, tasseva ca demā’’ti denti, bhikkhusaṅgho anissaro. Atha avicāretvāva datvā gacchanti, bhikkhusaṅgho issaro. Tasmā sace kathinatthārakassa sesacīvarānipi dubbalāni honti, saṅghena apaloketvā tesampi atthāya vatthāni dātabbāni, kammavācāya pana ekāyeva vaṭṭati. Avasese kathinānisaṃse balavavatthāni vassāvāsikaṭhitikāya dātabbāni, ṭhitikāya abhāve therāsanato paṭṭhāya dātabbāni, garubhaṇḍaṃ na bhājetabbaṃ. Sace pana ekasīmāya bahū vihārā honti, sabbe bhikkhū sannipātetvā ekattha kathinaṃ attharitabbaṃ, visuṃ visuṃ attharituṃ na vaṭṭati.
๒๗๐๓. ‘‘กถินสฺส จ กิํ มูล’’นฺติอาทีนิ สยเมว วิวริสฺสติฯ
2703.‘‘Kathinassa ca kiṃ mūla’’ntiādīni sayameva vivarissati.
๒๗๐๖. อฎฺฐธมฺมุเทฺทสคาถาย ปุพฺพกิจฺจํ ปุพฺพ-วจเนเนว อุตฺตรปทโลเปน วุตฺตํฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘ปุพฺพกิจฺจนฺติ วุจฺจตี’’ติฯ ‘‘ปจฺจุทฺธาร’’อิติ วตฺตเพฺพ ‘‘ปจฺจุทฺธร’’อิติ คาถาพนฺธวเสน รโสฺสฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘ปจฺจุทฺธาโร’’ติฯ อธิฎฺฐหนํ อธิฎฺฐานํฯ ปจฺจุทฺธาโร จ อธิฎฺฐานญฺจ ปจฺจุทฺธราธิฎฺฐานาฯ อิตรีตรโยเคน ทฺวนฺทสมาโสฯ อตฺถาโรติ เอตฺถ ‘‘กถินตฺถาโร’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ
2706. Aṭṭhadhammuddesagāthāya pubbakiccaṃ pubba-vacaneneva uttarapadalopena vuttaṃ. Teneva vakkhati ‘‘pubbakiccanti vuccatī’’ti. ‘‘Paccuddhāra’’iti vattabbe ‘‘paccuddhara’’iti gāthābandhavasena rasso. Teneva vakkhati ‘‘paccuddhāro’’ti. Adhiṭṭhahanaṃ adhiṭṭhānaṃ. Paccuddhāro ca adhiṭṭhānañca paccuddharādhiṭṭhānā. Itarītarayogena dvandasamāso. Atthāroti ettha ‘‘kathinatthāro’’ti pakaraṇato labbhati.
‘‘มาติกา’’ติ อิมินา ‘‘อฎฺฐ กถินุพฺภารมาติกา’’ติ ปกรณโต วิญฺญายติฯ ยถาห – ‘‘อฎฺฐิมา, ภิกฺขเว, มาติกา กถินสฺส อุพฺภารายา’’ติ (มหาว. ๓๑๐)ฯ มาติกาติ มาตโร ชเนตฺติโย, กถินุพฺภารํ เอตา อฎฺฐ ชเนนฺตีติ อโตฺถฯ อุทฺธาโรติ กถินสฺส อุทฺธาโรฯ อานิสํสาติ เอตฺถ ‘‘กถินสฺสา’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ กถินสฺส อานิสํสาติ อิเม อฎฺฐ ธมฺมาติ โยชนาฯ ยถาห ‘‘อตฺถตกถินานํ โว, ภิกฺขเว, ปญฺจ กปฺปิสฺสนฺตี’’ติอาทิ (มหาว. ๓๐๖)ฯ ‘‘อานิสํเสนา’’ติปิ ปาโฐฯ อานิสํเสน สห อิเม อฎฺฐ ธมฺมาติ โยชนาฯ
‘‘Mātikā’’ti iminā ‘‘aṭṭha kathinubbhāramātikā’’ti pakaraṇato viññāyati. Yathāha – ‘‘aṭṭhimā, bhikkhave, mātikā kathinassa ubbhārāyā’’ti (mahāva. 310). Mātikāti mātaro janettiyo, kathinubbhāraṃ etā aṭṭha janentīti attho. Uddhāroti kathinassa uddhāro. Ānisaṃsāti ettha ‘‘kathinassā’’ti pakaraṇato labbhati. Kathinassa ānisaṃsāti ime aṭṭha dhammāti yojanā. Yathāha ‘‘atthatakathinānaṃ vo, bhikkhave, pañca kappissantī’’tiādi (mahāva. 306). ‘‘Ānisaṃsenā’’tipi pāṭho. Ānisaṃsena saha ime aṭṭha dhammāti yojanā.
๒๗๐๗. ‘‘น อุลฺลิขิตมตฺตาทิ-จตุวีสติวชฺชิต’’นฺติอาทินา กถินํ อตฺถริตุํ กตปริโยสิตํ จีวรํ เจ ลทฺธํ, ตตฺถ ปฎิปชฺชนวิธิํ ทเสฺสตฺวา สเจ อกตสิพฺพนาทิกมฺมํ วตฺถเมว ลทฺธํ, ตตฺถ ปฎิปชฺชนวิธิํ ปุพฺพกิจฺจวเสน ทเสฺสตุมาห ‘‘โธวน’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ โธวนนฺติ กถินทุสฺสสฺส เสตภาวกรณํฯ วิจาโรติ ‘‘ปญฺจกํ วา สตฺตกํ วา นวกํ วา เอกาทสกํ วา โหตู’’ติ วิจารณํฯ เฉทนนฺติ ยถาวิจาริตสฺส วตฺถสฺส เฉทนํฯ พนฺธนนฺติ โมฆสุตฺตกาโรปนํฯ สิพฺพนนฺติ สพฺพสูจิกมฺมํฯ รชนนฺติ รชนกมฺมํฯ กปฺปนฺติ กปฺปพินฺทุทานํฯ ‘‘ปุพฺพกิจฺจ’’นฺติ วุจฺจติ อิทํ สพฺพํ กถินตฺถารสฺส ปฐมเมว กตฺตพฺพตฺตาฯ
2707. ‘‘Na ullikhitamattādi-catuvīsativajjita’’ntiādinā kathinaṃ attharituṃ katapariyositaṃ cīvaraṃ ce laddhaṃ, tattha paṭipajjanavidhiṃ dassetvā sace akatasibbanādikammaṃ vatthameva laddhaṃ, tattha paṭipajjanavidhiṃ pubbakiccavasena dassetumāha ‘‘dhovana’’ntiādi. Tattha dhovananti kathinadussassa setabhāvakaraṇaṃ. Vicāroti ‘‘pañcakaṃ vā sattakaṃ vā navakaṃ vā ekādasakaṃ vā hotū’’ti vicāraṇaṃ. Chedananti yathāvicāritassa vatthassa chedanaṃ. Bandhananti moghasuttakāropanaṃ. Sibbananti sabbasūcikammaṃ. Rajananti rajanakammaṃ. Kappanti kappabindudānaṃ. ‘‘Pubbakicca’’nti vuccati idaṃ sabbaṃ kathinatthārassa paṭhamameva kattabbattā.
๒๗๐๘. อนฺตรวาสโกติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ สงฺฆาฎิ, อุตฺตราสโงฺค, อโถ อนฺตรวาสโกติ เอสเมว ตุ ปจฺจุทฺธาโรปิ อธิฎฺฐานมฺปิ อตฺถาโรปิ วุโตฺตติ โยชนาฯ
2708.Antaravāsakoti ettha iti-saddo luttaniddiṭṭho. Saṅghāṭi, uttarāsaṅgo, atho antaravāsakoti esameva tu paccuddhāropi adhiṭṭhānampi atthāropi vuttoti yojanā.
๒๗๐๙. อฎฺฐมาติกา (มหาว. ๓๑๐-๓๑๑; ปริ. ๔๑๕; มหาว. อฎฺฐ. ๓๑๐-๓๑๑) ทเสฺสตุมาห ‘‘ปกฺกมนญฺจา’’ติอาทิฯ ปกฺกมนํ อโนฺต เอตสฺสาติ ปกฺกมนนฺติกาติ วตฺตเพฺพ อุตฺตรปทโลเปน ‘‘ปกฺกมน’’นฺติ วุตฺตํฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อฎฺฐิมาติ เอตฺถ ‘‘มาติกา’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ อิมา อฎฺฐ มาติกาติ โยชนาฯ
2709. Aṭṭhamātikā (mahāva. 310-311; pari. 415; mahāva. aṭṭha. 310-311) dassetumāha ‘‘pakkamanañcā’’tiādi. Pakkamanaṃ anto etassāti pakkamanantikāti vattabbe uttarapadalopena ‘‘pakkamana’’nti vuttaṃ. Esa nayo sabbattha. Aṭṭhimāti ettha ‘‘mātikā’’ti pakaraṇato labbhati. Imā aṭṭha mātikāti yojanā.
๒๗๑๐. อุเทฺทสานุกฺกเมน นิทฺทิสิตุมาห ‘‘กตจีวรมาทายา’’ติอาทิฯ ‘‘กตจีวรมาทายา’’ติ อิมินา จีวรปลิโพธุปเจฺฉโท ทสฺสิโตฯ ‘‘อาวาเส นิรเปกฺขโก’’ติ อิมินา ทุติโย อาวาสปลิโพธุปเจฺฉโท ทสฺสิโตฯ เอตฺถ สพฺพวาเกฺยสุ ‘‘อตฺถตกถิโน โย ภิกฺขุ สเจ ปกฺกมตี’’ติ เสโสฯ อติกฺกนฺตาย สีมายาติ วิหารสีมาย อติกฺกนฺตายฯ โหติ ปกฺกมนนฺติกาติ เอตฺถ ‘‘ตสฺส ภิกฺขุโน’’ติ เสโส, ตสฺส ภิกฺขุโน ปกฺกมนนฺติกา นาม มาติกา โหตีติ อโตฺถฯ
2710. Uddesānukkamena niddisitumāha ‘‘katacīvaramādāyā’’tiādi. ‘‘Katacīvaramādāyā’’ti iminā cīvarapalibodhupacchedo dassito. ‘‘Āvāse nirapekkhako’’ti iminā dutiyo āvāsapalibodhupacchedo dassito. Ettha sabbavākyesu ‘‘atthatakathino yo bhikkhu sace pakkamatī’’ti seso. Atikkantāya sīmāyāti vihārasīmāya atikkantāya. Hoti pakkamanantikāti ettha ‘‘tassa bhikkhuno’’ti seso, tassa bhikkhuno pakkamanantikā nāma mātikā hotīti attho.
๒๗๑๑-๒. อานิสํสํ นาม วุตฺถวเสฺสน ลทฺธํ อกตสูจิกมฺมวตฺถํฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘กโรตี’’ติอาทิฯ ‘‘วิหาเร อนเปกฺขโก’’ติ อิมินา เอตฺถ ปฐมํ อาวาสปลิโพธุปเจฺฉโท ทสฺสิโตฯ สุขวิหรณํ ปโยชนมสฺสาติ สุขวิหาริโก, วิหาโรติฯ ตตฺถ ตสฺมิํ วิหาเร วิหรโนฺตว ตํ จีวรํ ยทิ กโรติ, ตสฺมิํ จีวเร นิฎฺฐิเต นิฎฺฐานนฺตา นิฎฺฐานนฺติกาติ วุจฺจตีติ โยชนาฯ ‘‘นิฎฺฐิเตจีวเร’’ติ อิมินา จีวรปลิโพธุปเจฺฉโท ทสฺสิโตฯ
2711-2.Ānisaṃsaṃ nāma vutthavassena laddhaṃ akatasūcikammavatthaṃ. Teneva vakkhati ‘‘karotī’’tiādi. ‘‘Vihāre anapekkhako’’ti iminā ettha paṭhamaṃ āvāsapalibodhupacchedo dassito. Sukhaviharaṇaṃ payojanamassāti sukhavihāriko, vihāroti. Tattha tasmiṃ vihāre viharantova taṃ cīvaraṃ yadi karoti, tasmiṃ cīvare niṭṭhite niṭṭhānantā niṭṭhānantikāti vuccatīti yojanā. ‘‘Niṭṭhitecīvare’’ti iminā cīvarapalibodhupacchedo dassito.
๒๗๑๓. ตมสฺสมนฺติ ตํ วุตฺถวสฺสาวาสํฯ ธุรนิเกฺขเปติ อุภยธุรนิเกฺขปวเสน จิตฺตปฺปวตฺตกฺขเณฯ สนฺนิฎฺฐานํ นาม ธุรนิเกฺขโปฯ เอตฺถ ปลิโพธทฺวยสฺส เอกกฺขเณเยว อุปเจฺฉโท อฎฺฐกถายํ วุโตฺต ‘‘สนฺนิฎฺฐานนฺติเก เทฺวปิ ปลิโพธา ‘เนวิมํ จีวรํ กาเรสฺสํ, น ปเจฺจสฺส’นฺติ จินฺติตมเตฺตเยว เอกโต ฉิชฺชนฺตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๑๑)ฯ
2713.Tamassamanti taṃ vutthavassāvāsaṃ. Dhuranikkhepeti ubhayadhuranikkhepavasena cittappavattakkhaṇe. Sanniṭṭhānaṃ nāma dhuranikkhepo. Ettha palibodhadvayassa ekakkhaṇeyeva upacchedo aṭṭhakathāyaṃ vutto ‘‘sanniṭṭhānantike dvepi palibodhā ‘nevimaṃ cīvaraṃ kāressaṃ, na paccessa’nti cintitamatteyeva ekato chijjantī’’ti (mahāva. aṭṭha. 311).
๒๗๑๔. กถินจฺฉาทนนฺติ กถินานิสํสํ จีวรวตฺถุํฯ น ปเจฺจสฺสนฺติ น ปจฺจาคมิสฺสามิฯ กโรนฺตเสฺสวาติ เอตฺถ ‘‘จีวร’’นฺติ ปกรณโต ลพฺภติฯ ‘‘กถินจฺฉาทน’’นฺติ อิทํ วา สมฺพนฺธนียํฯ กโรนฺตสฺสาติ อนาทเร สามิวจนํฯ นฎฺฐนฺติ โจเรหิ หฎตฺตา วา อุปจิกาทีหิ ขาทิตตฺตา วา นฎฺฐํฯ ทฑฺฒํ วาติ อคฺคินา ทฑฺฒํ วาฯ นาสนนฺติกาติ เอวํ จีวรสฺส นาสนเนฺต ลพฺภมานา อยํ มาติกา นาสนนฺติกา นามาติ อโตฺถฯ เอตฺถ ‘‘น ปเจฺจสฺส’’นฺติ อิมินา ปฐมํ อาวาสปลิโพธุปเจฺฉโท ทสฺสิโตฯ ‘‘กโรนฺตเสฺสวา’’ติ อิมินา ทุติยํ จีวรปลิโพธุปเจฺฉโท ทสฺสิโตฯ
2714.Kathinacchādananti kathinānisaṃsaṃ cīvaravatthuṃ. Na paccessanti na paccāgamissāmi. Karontassevāti ettha ‘‘cīvara’’nti pakaraṇato labbhati. ‘‘Kathinacchādana’’nti idaṃ vā sambandhanīyaṃ. Karontassāti anādare sāmivacanaṃ. Naṭṭhanti corehi haṭattā vā upacikādīhi khāditattā vā naṭṭhaṃ. Daḍḍhaṃ vāti agginā daḍḍhaṃ vā. Nāsanantikāti evaṃ cīvarassa nāsanante labbhamānā ayaṃ mātikā nāsanantikā nāmāti attho. Ettha ‘‘na paccessa’’nti iminā paṭhamaṃ āvāsapalibodhupacchedo dassito. ‘‘Karontassevā’’ti iminā dutiyaṃ cīvarapalibodhupacchedo dassito.
๒๗๑๕. ลทฺธานิสํโสติ ลทฺธกถินานิสํสจีวโรฯ อานิสํเส จีวเร สาเปโกฺข อเปกฺขวา พหิสีมคโต วสฺสํวุตฺถสีมาย พหิสีมคโต ตํ จีวรํ กโรติ, โส กตจีวโร อนฺตรุพฺภารํ อนฺตรา อุพฺภารํ สุณาติ เจ, สวนนฺติกา นาม โหตีติ โยชนาฯ ‘‘พหิสีมคโต’’ติอาทินา ทุติยปลิโพธุปเจฺฉโท ทสฺสิโตฯ เอตฺถ ‘‘กตจีวโร’’ติ วุตฺตตฺตา จีวรปลิโพธุปเจฺฉโท ปฐมํ โหติ, อิตโร ปน ‘‘สห สวเนน อาวาสปลิโพโธ ฉิชฺชตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๑๑) อฎฺฐกถาย วุตฺตตฺตา ปจฺฉา โหติฯ
2715.Laddhānisaṃsoti laddhakathinānisaṃsacīvaro. Ānisaṃse cīvare sāpekkho apekkhavā bahisīmagato vassaṃvutthasīmāya bahisīmagato taṃ cīvaraṃ karoti, so katacīvaro antarubbhāraṃ antarā ubbhāraṃ suṇāti ce, savanantikā nāma hotīti yojanā. ‘‘Bahisīmagato’’tiādinā dutiyapalibodhupacchedo dassito. Ettha ‘‘katacīvaro’’ti vuttattā cīvarapalibodhupacchedo paṭhamaṃ hoti, itaro pana ‘‘saha savanena āvāsapalibodho chijjatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 311) aṭṭhakathāya vuttattā pacchā hoti.
๒๗๑๖-๗. จีวราสาย วสฺสํวุโตฺถ อาวาสโต ปกฺกโนฺต ‘‘ตุยฺหํ จีวรํ ทสฺสามี’’ติ เกนจิ วุโตฺต พหิสีมคโต ปน สวติ, ปุน ‘‘ตว จีวรํ ทาตุํ น สโกฺกมี’’ติ วุโตฺต อาสาย ฉินฺนมตฺตาย จีวเร ปจฺจาสาย อุปจฺฉินฺนมตฺตาย อาสาวเจฺฉทิกา นาม มาติกาติ มตา ญาตาติ โยชนาฯ อาสาวจฺฉาทิเก กถินุพฺภาเร อาวาสปลิโพโธ ปฐมํ ฉิชฺชติ, จีวราสาย อุปจฺฉินฺนาย จีวรปลิโพโธ ฉิชฺชติฯ
2716-7. Cīvarāsāya vassaṃvuttho āvāsato pakkanto ‘‘tuyhaṃ cīvaraṃ dassāmī’’ti kenaci vutto bahisīmagato pana savati, puna ‘‘tava cīvaraṃ dātuṃ na sakkomī’’ti vutto āsāya chinnamattāya cīvare paccāsāya upacchinnamattāya āsāvacchedikā nāma mātikāti matā ñātāti yojanā. Āsāvacchādike kathinubbhāre āvāsapalibodho paṭhamaṃ chijjati, cīvarāsāya upacchinnāya cīvarapalibodho chijjati.
๒๗๑๘-๒๐. โย วสฺสํวุตฺถวิหารมฺหา อญฺญํ วิหารํ คโต โหติ, โส อาคจฺฉํ อาคจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค กถินุทฺธารํ อติกฺกเมยฺย, ตสฺส โส กถินุทฺธาโร สีมาติกฺกนฺติโก มโตติ โยชนาฯ ตตฺถ สีมาติกฺกนฺติเก กถินุพฺภาเร จีวรปลิโพโธ ปฐมํ ฉิชฺชติ, ตสฺส พหิสีเม อาวาสปลิโพโธ ฉิชฺชติฯ
2718-20. Yo vassaṃvutthavihāramhā aññaṃ vihāraṃ gato hoti, so āgacchaṃ āgacchanto antarāmagge kathinuddhāraṃ atikkameyya, tassa so kathinuddhāro sīmātikkantiko matoti yojanā. Tattha sīmātikkantike kathinubbhāre cīvarapalibodho paṭhamaṃ chijjati, tassa bahisīme āvāsapalibodho chijjati.
เอตฺถ จ ‘‘สีมาติกฺกนฺติโก นาม จีวรกาลสีมาติกฺกนฺติโก’’ติ เกนจิ วุตฺตํฯ ‘‘พหิสีมายํ จีวรกาลสมยสฺส อติกฺกนฺตตฺตา สีมาติกฺกนฺติโก’’ติ (สารตฺถ. ฎี. มหาว. ๓๑๑) สารตฺถทีปนิยํ วุตฺตํฯ ‘‘อาคจฺฉํ อนฺตรามเคฺค, ตทุทฺธารมติกฺกเม’’ติ วุตฺตตฺตา ปน สเงฺฆน กริยมานํ อนฺตรุพฺภารํ อาคจฺฉโนฺต วิหารสีมํ อสมฺปเตฺตเยว กถินุพฺภารสฺส ชาตตฺตา ตํ น สมฺภุเณยฺย, ตเสฺสวํ สีมมติกฺกนฺตเสฺสว สโต ปุน อาคจฺฉโต อนฺตรามเคฺค ชาโต กถินุพฺภาโร สีมาติกฺกนฺติโกติ อมฺหากํ ขนฺติฯ
Ettha ca ‘‘sīmātikkantiko nāma cīvarakālasīmātikkantiko’’ti kenaci vuttaṃ. ‘‘Bahisīmāyaṃ cīvarakālasamayassa atikkantattā sīmātikkantiko’’ti (sārattha. ṭī. mahāva. 311) sāratthadīpaniyaṃ vuttaṃ. ‘‘Āgacchaṃ antarāmagge, taduddhāramatikkame’’ti vuttattā pana saṅghena kariyamānaṃ antarubbhāraṃ āgacchanto vihārasīmaṃ asampatteyeva kathinubbhārassa jātattā taṃ na sambhuṇeyya, tassevaṃ sīmamatikkantasseva sato puna āgacchato antarāmagge jāto kathinubbhāro sīmātikkantikoti amhākaṃ khanti.
กถินานิสํสจีวรํ อาทาย สเจ อาวาเส สาเปโกฺขว คโต โหติ, ปุน อาคนฺตฺวา กถินุทฺธารํ กถินสฺส อนฺตรุพฺภารเมว สมฺภุณาติ เจ ยทิ ปาปุเณยฺย, ตสฺส โส กถินุทฺธาโร โหติ, โส ‘‘สหุพฺภาโร’’ติ วุจฺจตีติ โยชนาฯ สหุพฺภาเร เทฺว ปลิโพธา อปุพฺพํ อจริมํ ฉิชฺชนฺติฯ
Kathinānisaṃsacīvaraṃ ādāya sace āvāse sāpekkhova gato hoti, puna āgantvā kathinuddhāraṃ kathinassa antarubbhārameva sambhuṇāti ce yadi pāpuṇeyya, tassa so kathinuddhāro hoti, so ‘‘sahubbhāro’’ti vuccatīti yojanā. Sahubbhāre dve palibodhā apubbaṃ acarimaṃ chijjanti.
๒๗๒๑. ‘‘สีมาติกฺกนฺติเกนา’’ติ วตฺตเพฺพ อุตฺตรปทโลเปน ‘‘สีมโต’’ติ วุตฺตํฯ ปกฺกมนญฺจ นิฎฺฐานญฺจ สนฺนิฎฺฐานญฺจ สีมโต สีมาติกฺกนฺติเกน สห อิเม จตฺตาโร กถินุพฺภารา ปุคฺคลาธีนา ปุคฺคลายตฺตา สหุพฺภารสงฺขาโต อนฺตรุพฺภาโร สงฺฆาธีโนติ โยชนาฯ ‘‘อนฺตรุพฺภโร’’ติ คาถาพนฺธวเสน รสฺสตฺตํฯ
2721. ‘‘Sīmātikkantikenā’’ti vattabbe uttarapadalopena ‘‘sīmato’’ti vuttaṃ. Pakkamanañca niṭṭhānañca sanniṭṭhānañca sīmato sīmātikkantikena saha ime cattāro kathinubbhārā puggalādhīnā puggalāyattā sahubbhārasaṅkhāto antarubbhāro saṅghādhīnoti yojanā. ‘‘Antarubbharo’’ti gāthābandhavasena rassattaṃ.
๒๗๒๒. นาสนนฺติ นาสนนฺติโกฯ สวนนฺติ สวนนฺติโกฯ อาสาวเจฺฉทิกาปิ จาติ ตโยปิ กถินุพฺภาราฯ น ตุ สงฺฆา น ภิกฺขุโตติ สงฺฆโตปิ น โหนฺติ, ปุคฺคลโตปิ น โหนฺตีติ อโตฺถฯ จีวรสฺส วินาโส สงฺฆสฺส วา จีวรสามิกสฺส วา ปโยเคน น ชาโตติ นาสนโก ตาว กถินุพฺภาโร อุภโตปิ น โหตีติ วุโตฺตฯ สวนญฺจ อุภเยสํ ปโยคโต น ชาตนฺติ ตถา วุตฺตํฯ ตถา อาสาวเจฺฉทิกาปิฯ
2722.Nāsananti nāsanantiko. Savananti savanantiko. Āsāvacchedikāpi cāti tayopi kathinubbhārā. Na tu saṅghā na bhikkhutoti saṅghatopi na honti, puggalatopi na hontīti attho. Cīvarassa vināso saṅghassa vā cīvarasāmikassa vā payogena na jātoti nāsanako tāva kathinubbhāro ubhatopi na hotīti vutto. Savanañca ubhayesaṃ payogato na jātanti tathā vuttaṃ. Tathā āsāvacchedikāpi.
๒๗๒๓. อาวาโสเยว ปลิโพโธติ วิคฺคโหฯ ปลิโพโธ จ จีวเรติ เอตฺถ จีวเรติ เภทวจนิจฺฉาย นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํ, จีวรนิมิตฺตปลิโพโธติ อโตฺถ, จีวรสงฺขาโต ปลิโพโธติ วุตฺตํ โหติฯ สจฺจาทิคุณยุตฺตํ มุสาวาทาทิโทสวิมุตฺตํ อตฺถํ วทติ สีเลนาติ ยุตฺตมุตฺตตฺถวาที, เตนฯ
2723. Āvāsoyeva palibodhoti viggaho. Palibodho ca cīvareti ettha cīvareti bhedavacanicchāya nimittatthe bhummaṃ, cīvaranimittapalibodhoti attho, cīvarasaṅkhāto palibodhoti vuttaṃ hoti. Saccādiguṇayuttaṃ musāvādādidosavimuttaṃ atthaṃ vadati sīlenāti yuttamuttatthavādī, tena.
๒๗๒๔. อฎฺฐนฺนํ มาติกานนฺติ พหิสีมคตานํ วเสน วุตฺตา ปกฺกมนนฺติกาทโย สตฺต มาติกา, พหิสีมํ คนฺตฺวา อนฺตรุพฺภารํ สมฺภุณนฺตสฺส วเสน วุโตฺต สหุพฺภาโรติ อิมาสํ อฎฺฐนฺนํ มาติกานํ วเสน จฯ อนฺตรุพฺภารโตปิ วาติ พหิสีมํ อคนฺตฺวา ตเตฺถว วสิตฺวา กถินุพฺภารกเมฺมน อุพฺภารกถินานํ วเสน ลพฺภนโต อนฺตรุพฺภารโต จาติ มเหสินา กถินสฺส ทุเว อุพฺภาราปิ วุตฺตาติ โยชนาฯ พหิสีมํ คนฺตฺวา อาคตสฺส วเสน สหุพฺภาโร, พหิสีมํ อาคตานํ วเสน อนฺตรุพฺภาโรติ เอโกเยว อุพฺภาโร ทฺวิธา วุโตฺต, ตสฺมา อนฺตรุพฺภารํ วิสุํ อคฺคเหตฺวา อเฎฺฐว มาติกา ปาฬิยํ (มหาว. ๓๑๐) วิภตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
2724.Aṭṭhannaṃmātikānanti bahisīmagatānaṃ vasena vuttā pakkamanantikādayo satta mātikā, bahisīmaṃ gantvā antarubbhāraṃ sambhuṇantassa vasena vutto sahubbhāroti imāsaṃ aṭṭhannaṃ mātikānaṃ vasena ca. Antarubbhāratopi vāti bahisīmaṃ agantvā tattheva vasitvā kathinubbhārakammena ubbhārakathinānaṃ vasena labbhanato antarubbhārato cāti mahesinā kathinassa duve ubbhārāpi vuttāti yojanā. Bahisīmaṃ gantvā āgatassa vasena sahubbhāro, bahisīmaṃ āgatānaṃ vasena antarubbhāroti ekoyeva ubbhāro dvidhā vutto, tasmā antarubbhāraṃ visuṃ aggahetvā aṭṭheva mātikā pāḷiyaṃ (mahāva. 310) vibhattāti veditabbā.
๒๗๒๕. อนามนฺตจาโร อุตฺตรปทโลปวเสน ‘‘อนามนฺตา’’ อิติ วุโตฺตฯ ยาว กถินํ น อุทฺธรียติ, ตาว อนามเนฺตตฺวา จรณํ กปฺปิสฺสติ, จาริตฺตสิกฺขาปเทน อนาปตฺติ ภวิสฺสตีติ อโตฺถฯ
2725. Anāmantacāro uttarapadalopavasena ‘‘anāmantā’’ iti vutto. Yāva kathinaṃ na uddharīyati, tāva anāmantetvā caraṇaṃ kappissati, cārittasikkhāpadena anāpatti bhavissatīti attho.
อสมาทานจาโร ‘‘อสมาทาน’’นฺติ อุตฺตรปทโลเปน วุโตฺตฯ อสมาทานจาโรติ ติจีวรํ อสมาทาย จรณํ, จีวรวิปฺปวาโส กปฺปิสฺสตีติ อโตฺถฯ
Asamādānacāro ‘‘asamādāna’’nti uttarapadalopena vutto. Asamādānacāroti ticīvaraṃ asamādāya caraṇaṃ, cīvaravippavāso kappissatīti attho.
‘‘คณโต’’ติ อิมินา อุตฺตรปทโลเปน คณโภชนํ ทสฺสิตํฯ คณโภชนมฺปิ กปฺปิสฺสติ, ตํ สรูปโต ปาจิตฺติยกเณฺฑ วุตฺตํฯ
‘‘Gaṇato’’ti iminā uttarapadalopena gaṇabhojanaṃ dassitaṃ. Gaṇabhojanampi kappissati, taṃ sarūpato pācittiyakaṇḍe vuttaṃ.
‘‘ยาวทตฺถิก’’นฺติ อิมินา ยาวทตฺถจีวรํ วุตฺตํฯ ยาวทตฺถจีวรนฺติ ยาวตเกน จีวเรน อโตฺถ, ตาวตกํ อนธิฎฺฐิตํ อวิกปฺปิตํ กปฺปิสฺสตีติ อโตฺถฯ
‘‘Yāvadatthika’’nti iminā yāvadatthacīvaraṃ vuttaṃ. Yāvadatthacīvaranti yāvatakena cīvarena attho, tāvatakaṃ anadhiṭṭhitaṃ avikappitaṃ kappissatīti attho.
‘‘ตตฺถ โย จีวรุปฺปาโท’’ติ อิมินา ‘‘โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท’’ติ (มหาว. ๓๐๖) วุโตฺต อานิสํโส ทสฺสิโตฯ โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโทติ ตตฺถ กถินตฺถตสีมายํ มตกจีวรํ วา โหตุ สงฺฆสฺส อุทฺทิสฺส ทินฺนํ วา สงฺฆิเกน ตตฺรุปฺปาเทน อาภตํ วา, เยน เกนจิ อากาเรน ยํ สงฺฆิกํ จีวรํ อุปฺปชฺชติ, ตํ เตสํ ภวิสฺสตีติ อโตฺถฯ อิเม ปญฺจ กถินานิสํสา จ วุตฺตาติ สมฺพโนฺธฯ
‘‘Tattha yo cīvaruppādo’’ti iminā ‘‘yo ca tattha cīvaruppādo’’ti (mahāva. 306) vutto ānisaṃso dassito. Yo ca tattha cīvaruppādoti tattha kathinatthatasīmāyaṃ matakacīvaraṃ vā hotu saṅghassa uddissa dinnaṃ vā saṅghikena tatruppādena ābhataṃ vā, yena kenaci ākārena yaṃ saṅghikaṃ cīvaraṃ uppajjati, taṃ tesaṃ bhavissatīti attho. Ime pañca kathinānisaṃsā ca vuttāti sambandho.
กถินกฺขนฺธกกถาวณฺณนาฯ
Kathinakkhandhakakathāvaṇṇanā.