Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-ปุราณ-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-purāṇa-ṭīkā

    นิสฺสคฺคิยกณฺฑํ

    Nissaggiyakaṇḍaṃ

    ๑. จีวรวโคฺค

    1. Cīvaravaggo

    ๑. กถินสิกฺขาปทวณฺณนา

    1. Kathinasikkhāpadavaṇṇanā

    นิสฺสคฺคิยกเณฺฑ ติณฺณํ กถินสิกฺขาปทานํ, วสฺสิกสาฎิกอเจฺจกจีวรสาสงฺกสิกฺขาปทานญฺจ เอกเทสนาย ตถากิณฺณาปตฺติกฺขนฺธาว เวทิตพฺพา –

    Nissaggiyakaṇḍe tiṇṇaṃ kathinasikkhāpadānaṃ, vassikasāṭikaaccekacīvarasāsaṅkasikkhāpadānañca ekadesanāya tathākiṇṇāpattikkhandhāva veditabbā –

    กถินํ ยสฺส จตฺตาโร, สหชา สมยทฺวยํ;

    Kathinaṃ yassa cattāro, sahajā samayadvayaṃ;

    ฉนฺนํ สิกฺขาปทานญฺจ, เอกเทสวินิจฺฉโยฯ

    Channaṃ sikkhāpadānañca, ekadesavinicchayo.

    ตตฺถ กถินนฺติ ‘‘สงฺฆสฺส อนุโมทนาย, คณสฺส อนุโมทนาย, ปุคฺคลสฺส อตฺถารา สงฺฆสฺส อตฺถตํ โหติ กถิน’’นฺติ (ปริ. ๔๑๔) วจนโต เตสํเยว อนุโมทนาทิธมฺมานํ สงฺคโห กถินํ นามฯ ยถาห ‘‘กถินํ ชานิตพฺพนฺติ เตสเญฺญว ธมฺมานํ สงฺคโห สมวาโย นามํ นามกมฺม’’นฺติอาทิ (ปริ. ๔๑๒)ฯ ตสฺมา กถินนฺติ อิทํ พหูสุ ธเมฺมสุ นามมตฺตํ, น ปรมตฺถโต เอโก ธโมฺมฯ โก ปนสฺส อตฺถาโรติ? ตเทกเทโสว ขีรสฺส ธารา วิยฯ ยถา จาห ‘‘อตฺถาโร เอเกน ธเมฺมน สงฺคหิโต วจีเภเทนา’’ติฯ สหชา นาม อฎฺฐ มาติกา, เทฺว ปลิโพธา, ปญฺจานิสํสาติ อิเม ปนฺนรส ธมฺมาฯ สมยทฺวยํ นาม กถินตฺถารสมโย, จีวรสมโย จาติฯ ตตฺถ กถินตฺถารสมโย วสฺสานสฺส ปจฺฉิโม มาโสฯ จีวรสมโย นาม อนตฺถเต กถิเน อยํ กตฺติกมาโส, อตฺถเต จตฺตาโร เหมนฺติกา จาติ ปญฺจ มาสาฯ

    Tattha kathinanti ‘‘saṅghassa anumodanāya, gaṇassa anumodanāya, puggalassa atthārā saṅghassa atthataṃ hoti kathina’’nti (pari. 414) vacanato tesaṃyeva anumodanādidhammānaṃ saṅgaho kathinaṃ nāma. Yathāha ‘‘kathinaṃ jānitabbanti tesaññeva dhammānaṃ saṅgaho samavāyo nāmaṃ nāmakamma’’ntiādi (pari. 412). Tasmā kathinanti idaṃ bahūsu dhammesu nāmamattaṃ, na paramatthato eko dhammo. Ko panassa atthāroti? Tadekadesova khīrassa dhārā viya. Yathā cāha ‘‘atthāro ekena dhammena saṅgahito vacībhedenā’’ti. Sahajā nāma aṭṭha mātikā, dve palibodhā, pañcānisaṃsāti ime pannarasa dhammā. Samayadvayaṃ nāma kathinatthārasamayo, cīvarasamayo cāti. Tattha kathinatthārasamayo vassānassa pacchimo māso. Cīvarasamayo nāma anatthate kathine ayaṃ kattikamāso, atthate cattāro hemantikā cāti pañca māsā.

    ตตฺถ อฎฺฐ มาติกา นาม ปกฺกมนนฺติกาทโยฯ ตา สพฺพาปิ อตฺถาเรน เอกโต อุปฺปชฺชนฺติ นามฯ ตพฺภาวภาวิตาย อตฺถาเร สติ อุทฺธาโร สมฺภวติฯ ตตฺถ กถินตฺถาเรน เอกุปฺปาทา เอกนิโรธา อนฺตรุพฺภาโร สหุพฺภาโร, อวเสสา กถินุพฺภารา เอกุปฺปาทา, นานานิโรธา จฯ ตตฺถ เอกนิโรธาติ อตฺถาเรน สห นิโรธา, อนฺตรุพฺภารสหุพฺภารานํ อุทฺธาราภาโว เอกกฺขเณ โหตีติ อโตฺถฯ เสสา นานา นิรุชฺฌนฺติ นามฯ เตสุ หิ อุทฺธารภาวํ ปเตฺตสุปิ อตฺถาโร ติฎฺฐติ เอวาติ อฎฺฐกถายํ อตฺถวิภาวนาฯ สเจ อตฺถเต กถิเน ภิกฺขุสฺมิํ สาเปเกฺข ตมฺหา อาวาสา ปกฺกมเนฺต สโงฺฆ อนฺตรุพฺภารํ กโรติ, ตสฺส ภิกฺขุโน ปฐมเมว มูลาวาเส นิฎฺฐิตจีวรปลิโพธาภาเวปิ สติ อนฺตรุพฺภาเร ปลิโพโธ ฉิชฺชติ สติปิ สาเปกฺขตาย สอุสฺสาหตฺตาฯ อิมินา ปริยาเยน ปกฺกมนนฺติโก กถินุทฺธาโร อตฺถาเรน เอกุปฺปาโท นานานิโรโธ โหติฯ ตถา อนฺตรุพฺภาเร สติ สุณนฺตสฺสาปิ ยาว จีวรนิฎฺฐานํ น คจฺฉติ, ตาว ปริหารสมฺภวโต นิฎฺฐานนฺติโกฯ ยาว สนฺนิฎฺฐานํ น คจฺฉติ, ตาว ปริหารสมฺภวโต สนฺนิฎฺฐานนฺติโกฯ ยาว น นสฺสติ, ตาว ปริหารสมฺภวโต นาสนนฺติโกฯ ยาว น สุณาติ, ตาว ปริหารสมฺภวโต สวนนฺติโกฯ ยาว จีวราสา น ฉิชฺชติ, ตาว ปริหารสมฺภวโต อาสาวเจฺฉทิโกฯ ยาว สีมํ นาติกฺกมติ, ตาว ปริหารสมฺภวโต สีมาติกฺกนฺติโกฯ อตฺถาเรน เอกุปฺปาโท นานานิโรโธ โหตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha aṭṭha mātikā nāma pakkamanantikādayo. Tā sabbāpi atthārena ekato uppajjanti nāma. Tabbhāvabhāvitāya atthāre sati uddhāro sambhavati. Tattha kathinatthārena ekuppādā ekanirodhā antarubbhāro sahubbhāro, avasesā kathinubbhārā ekuppādā, nānānirodhā ca. Tattha ekanirodhāti atthārena saha nirodhā, antarubbhārasahubbhārānaṃ uddhārābhāvo ekakkhaṇe hotīti attho. Sesā nānā nirujjhanti nāma. Tesu hi uddhārabhāvaṃ pattesupi atthāro tiṭṭhati evāti aṭṭhakathāyaṃ atthavibhāvanā. Sace atthate kathine bhikkhusmiṃ sāpekkhe tamhā āvāsā pakkamante saṅgho antarubbhāraṃ karoti, tassa bhikkhuno paṭhamameva mūlāvāse niṭṭhitacīvarapalibodhābhāvepi sati antarubbhāre palibodho chijjati satipi sāpekkhatāya saussāhattā. Iminā pariyāyena pakkamanantiko kathinuddhāro atthārena ekuppādo nānānirodho hoti. Tathā antarubbhāre sati suṇantassāpi yāva cīvaraniṭṭhānaṃ na gacchati, tāva parihārasambhavato niṭṭhānantiko. Yāva sanniṭṭhānaṃ na gacchati, tāva parihārasambhavato sanniṭṭhānantiko. Yāva na nassati, tāva parihārasambhavato nāsanantiko. Yāva na suṇāti, tāva parihārasambhavato savanantiko. Yāva cīvarāsā na chijjati, tāva parihārasambhavato āsāvacchediko. Yāva sīmaṃ nātikkamati, tāva parihārasambhavato sīmātikkantiko. Atthārena ekuppādo nānānirodho hotīti veditabbo.

    ตตฺถ อนฺตรุพฺภารสหุพฺภารา เทฺว อโนฺตสีมายํ เอว สมฺภวนฺติ, น พหิสีมายํฯ ปกฺกมนสวนสีมาติกฺกนฺติกา พหิสีมายเมว สมฺภวนฺติ, น อโนฺตสีมายํฯ นิฎฺฐานสออาฎฺฐานาสาวเจฺฉทิกา อโนฺตสีมายเญฺจว พหิสีมายญฺจฯ อนฺตรุพฺภาโร สงฺฆายโตฺต, ปกฺกมนนิฎฺฐานสนฺนิฎฺฐานสีมาติกฺกนฺติกา ปุคฺคลาธีนา, เสสา ตทุภยวิปรีตาฯ

    Tattha antarubbhārasahubbhārā dve antosīmāyaṃ eva sambhavanti, na bahisīmāyaṃ. Pakkamanasavanasīmātikkantikā bahisīmāyameva sambhavanti, na antosīmāyaṃ. Niṭṭhānasaaāṭṭhānāsāvacchedikā antosīmāyañceva bahisīmāyañca. Antarubbhāro saṅghāyatto, pakkamananiṭṭhānasanniṭṭhānasīmātikkantikā puggalādhīnā, sesā tadubhayaviparītā.

    ตตฺถ ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติ อิมินา จีวรปลิโพธาภาวเมว ทีเปติฯ น อาวาสปลิโพธาภาวํฯ ‘‘อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ อิมินา อุภยปลิโพธาภาวํ ทีเปติ, ตสฺมา อุภยปลิโพธาภาวทีปนตฺถํ ตเทว วตฺตพฺพนฺติ เจ? น, วิเสสตฺตาฯ กถํ? กามเญฺจตํ ตสฺมา ‘‘อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ เกสญฺจิ กถินุทฺธารานํ นานานิโรธตฺตา, สงฺฆปุคฺคลาธีนานธีนตฺตา จ อโนฺตพหิอุภยสีมาสุ นิยมานิยมโต จ อุพฺภตสฺมิํ กถิเน สงฺฆสฺส, น ปุคฺคลสฺส อุพฺภตํ โหติ, ตถาปิ ‘‘อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ อิทํ สามญฺญวจนํฯ ตสฺมา ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติ อิมินา นิยเมติฯ

    Tattha ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’nti iminā cīvarapalibodhābhāvameva dīpeti. Na āvāsapalibodhābhāvaṃ. ‘‘Ubbhatasmiṃ kathine’’ti iminā ubhayapalibodhābhāvaṃ dīpeti, tasmā ubhayapalibodhābhāvadīpanatthaṃ tadeva vattabbanti ce? Na, visesattā. Kathaṃ? Kāmañcetaṃ tasmā ‘‘ubbhatasmiṃ kathine’’ti kesañci kathinuddhārānaṃ nānānirodhattā, saṅghapuggalādhīnānadhīnattā ca antobahiubhayasīmāsu niyamāniyamato ca ubbhatasmiṃ kathine saṅghassa, na puggalassa ubbhataṃ hoti, tathāpi ‘‘ubbhatasmiṃ kathine’’ti idaṃ sāmaññavacanaṃ. Tasmā ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’nti iminā niyameti.

    กิํ วุตฺตํ โหติ – สงฺฆสฺส อนฺตรุพฺภาเรน อุพฺภตสฺมิํ กถิเน อจฺฉินฺนจีวรปลิโพโธ พหิสีมาคโต ปจฺฉา คนฺตฺวา อตฺตโน สีมาคโต อนิฎฺฐิตจีวโร อานิสํสํ ลภติ เอวาติ กตฺวา ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ อาวาสปลิโพโธ นาม วสติ วา ตสฺมิํ อาวาเส, สาเปโกฺข วา ปกฺกมติฯ จีวรปลิโพโธ นาม จีวรํ อกตํ วิปฺปกตํ, จีวราสานุปจฺฉินฺนา, ตพฺพิปรีเตน อปลิโพโธ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ อนตฺถตกถินานํ จีวรกาลสมเย นิยมโต จตฺตาโร อานิสํสา ลพฺภนฺติ, อสมาทานจาโร อนิยมโตฯ เตน สาสงฺกสิกฺขาปทํ วุตฺตํฯ กถํ จตฺตาโร นิยตาติ เจ? ‘‘จีวรกาลสมโย นาม อนตฺถเต กถิเน วสฺสานสฺส ปจฺฉิโม มาโส’’ติ (ปารา. ๖๔๙) วจนโต อนตฺถตกถินานํ ตสฺมิํ มาเส ยาวทตฺถจีวรํ สิทฺธํ, ตถา ตติยกถินสิกฺขาปเท (ปารา. ๔๙๗ อาทโย) อกาลจีวรํ นาม ปิฎฺฐิสมยโต ปฎฺฐาย ตํ ปฎิคฺคเหตฺวา สงฺฆโต ลภิตพฺพํ เจ, ยาว จีวรกาลสมยํ นิกฺขิปิตฺวา ภาเชตฺวา คเหตพฺพํฯ ปุคฺคลิกํ เจ, วสฺสานสฺส ฉฎฺฐปกฺขสฺส ปญฺจมิโต ปฎฺฐาย ยาว จีวรกาลสมยํ อนธิฎฺฐิตํ อวิกปฺปิตํ วฎฺฎติ อเจฺจกจีวรสิกฺขาปเทน อนุญฺญาตตฺตา, น ตโต ปรํฯ ตทา อุปฺปนฺนจีวรสฺส ปฎิสิทฺธตฺตา ปฐมกถิเนนฯ ตตฺถ อฎฺฐกถายํ วุตฺตนโย สงฺฆิกํ สนฺธาย, ตถา โปราณคณฺฐิปเท จาติ เวทิตพฺพํฯ

    Kiṃ vuttaṃ hoti – saṅghassa antarubbhārena ubbhatasmiṃ kathine acchinnacīvarapalibodho bahisīmāgato pacchā gantvā attano sīmāgato aniṭṭhitacīvaro ānisaṃsaṃ labhati evāti katvā ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’nti vuttanti veditabbaṃ. Tattha āvāsapalibodho nāma vasati vā tasmiṃ āvāse, sāpekkho vā pakkamati. Cīvarapalibodho nāma cīvaraṃ akataṃ vippakataṃ, cīvarāsānupacchinnā, tabbiparītena apalibodho veditabbo. Tattha anatthatakathinānaṃ cīvarakālasamaye niyamato cattāro ānisaṃsā labbhanti, asamādānacāro aniyamato. Tena sāsaṅkasikkhāpadaṃ vuttaṃ. Kathaṃ cattāro niyatāti ce? ‘‘Cīvarakālasamayo nāma anatthate kathine vassānassa pacchimo māso’’ti (pārā. 649) vacanato anatthatakathinānaṃ tasmiṃ māse yāvadatthacīvaraṃ siddhaṃ, tathā tatiyakathinasikkhāpade (pārā. 497 ādayo) akālacīvaraṃ nāma piṭṭhisamayato paṭṭhāya taṃ paṭiggahetvā saṅghato labhitabbaṃ ce, yāva cīvarakālasamayaṃ nikkhipitvā bhājetvā gahetabbaṃ. Puggalikaṃ ce, vassānassa chaṭṭhapakkhassa pañcamito paṭṭhāya yāva cīvarakālasamayaṃ anadhiṭṭhitaṃ avikappitaṃ vaṭṭati accekacīvarasikkhāpadena anuññātattā, na tato paraṃ. Tadā uppannacīvarassa paṭisiddhattā paṭhamakathinena. Tattha aṭṭhakathāyaṃ vuttanayo saṅghikaṃ sandhāya, tathā porāṇagaṇṭhipade cāti veditabbaṃ.

    ปฐมกถิเน (ปารา. ๔๕๙ อาทโย) ปฐมปญฺญตฺติยา, อวิเสเสน วา เอกาทสเม ทิวเส อาปตฺติฯ วสฺสานสฺส หิ อโนฺตนิวารณตฺถํ อฎฺฐกถาย ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ ภิกฺขุนา อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ (ปารา. ๔๖๒ อาทโย) วุตฺตํฯ เอเสว นโย ทุติเย, ตติเย จฯ เตน จีวรกาลโต ปุเร วา อโนฺต วา อุปฺปนฺนํ จีวรกาลโต อุทฺธํ เอกทิวสมฺปิ ปริหารํ น ลภติฯ ยทิ ลเภยฺย, อเจฺจกจีวรสิกฺขาปทวิโรโธฯ ‘‘ยาว จีวรกาลสมยํ นิกฺขิปิตพฺพํ, ตโต เจ อุตฺตริ นิกฺขิเปยฺย, นิสฺสคฺคิย’’นฺติ (ปารา. ๖๔๘) หิ ตตฺถ วุตฺตํฯ วสฺสาวาสิกภาเวน สงฺฆโต ลทฺธํ วุฎฺฐวสฺสตฺตา อตฺตโน สนฺตกภูตํ อเจฺจกจีวรํ จีวรกาลสมยํ อติกฺกามยโต เอว อาปตฺติ, น อเจฺจกจีวรกาลํ อติกฺกามยโต อาปตฺตีติฯ ‘‘อนตฺถเต กถิเน เอกาทสมาเส อุปฺปนฺน’’นฺติ (ปารา. ๕๐๐) วจนโต โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท, โส จ เนสํ ภวิสฺสตีติ สิทฺธํ, อนามนฺตจารคณโภชนสิกฺขาปเท ‘‘อญฺญตฺร สมยา’’ติ (ปาจิ. ๒๒๒ อาทโย) วุตฺตตฺตา เสสทฺวยํ สิทฺธเมวฯ ตสฺมา ‘‘กาเลปิ อาทิสฺส ทินฺนํ, เอตํ อกาลจีวร’’นฺติ (ปารา. ๕๐๐) วจนโต อาทิสฺส ทินฺนจีวรํ ปริหารํ น ลภติฯ

    Paṭhamakathine (pārā. 459 ādayo) paṭhamapaññattiyā, avisesena vā ekādasame divase āpatti. Vassānassa hi antonivāraṇatthaṃ aṭṭhakathāya ‘‘niṭṭhitacīvarasmiṃ bhikkhunā ubbhatasmiṃ kathine’’ti (pārā. 462 ādayo) vuttaṃ. Eseva nayo dutiye, tatiye ca. Tena cīvarakālato pure vā anto vā uppannaṃ cīvarakālato uddhaṃ ekadivasampi parihāraṃ na labhati. Yadi labheyya, accekacīvarasikkhāpadavirodho. ‘‘Yāva cīvarakālasamayaṃ nikkhipitabbaṃ, tato ce uttari nikkhipeyya, nissaggiya’’nti (pārā. 648) hi tattha vuttaṃ. Vassāvāsikabhāvena saṅghato laddhaṃ vuṭṭhavassattā attano santakabhūtaṃ accekacīvaraṃ cīvarakālasamayaṃ atikkāmayato eva āpatti, na accekacīvarakālaṃ atikkāmayato āpattīti. ‘‘Anatthate kathine ekādasamāse uppanna’’nti (pārā. 500) vacanato yo ca tattha cīvaruppādo, so ca nesaṃ bhavissatīti siddhaṃ, anāmantacāragaṇabhojanasikkhāpade ‘‘aññatra samayā’’ti (pāci. 222 ādayo) vuttattā sesadvayaṃ siddhameva. Tasmā ‘‘kālepi ādissa dinnaṃ, etaṃ akālacīvara’’nti (pārā. 500) vacanato ādissa dinnacīvaraṃ parihāraṃ na labhati.

    อปรกตฺติกายเมว วา อุพฺภตสฺมิํ กถิเน ลภติ, เอวํ ‘‘อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ วุตฺตตฺตาติ เจ? น วตฺตพฺพํฯ ฉ ฐานานิ หิ สาเปกฺขตาย วุตฺตานิ ฯ ทุฎฺฐโทสทฺวเย อธิกรณจตุตฺถํ, ปฐมานิยเต โสตสฺส รโห, ตติยกถิเน อาทิสฺส ทินฺนํ จีวรํ, อเจฺจกจีวรสิกฺขาปเท ‘‘สญฺญาณํ กตฺวา นิกฺขิปิตพฺพ’’นฺติ ปทํ, ทุฎฺฐุลฺลาโรจนปฺปฎิจฺฉาทนทฺวเย อธิกรณํ, ปาราชิกวจนญฺจ, ตีสุ กถินสิกฺขาปเทสุ ‘‘อฎฺฐนฺนํ มาติกานํ อญฺญตรายา’’ติ วจนนฺติฯ ตตฺถ อาทิสฺส ทินฺนํ จีวรํ สงฺฆิกํ ภาชิตพฺพจีวรํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ปุคฺคลิกํฯ สญฺญาณํ กตฺวา นิกฺขิปิตพฺพนฺติ วสฺสาวาสิกจีวรํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อวุฎฺฐวเสฺสน ปจฺฉา ทาตพฺพตฺตา สญฺญาณํ กาตพฺพํ, น ญาติปฺปวาริตโต ลทฺธํ ปุคฺคลิกํ สนฺธายฯ ตสฺมา ทุวิธํ อเจฺจกจีวรํ สเงฺฆ นินฺนํ, ปุคฺคเล นินฺนญฺจาติ สิทฺธํฯ ตตฺถ สเงฺฆ ปริณตํ อเจฺจกจีวรํ วสฺสูปนายิกทิวสโต ปฎฺฐาย, ปิฎฺฐิสมยโต ปฎฺฐาย วา ยาว ปวารณา นิกฺขิปิตุํ วฎฺฎติ เอว สงฺฆิกตฺตา, ปุคฺคลิกมฺปิ ‘‘วสฺสํวุฎฺฐกาเล คณฺหถา’’ติ ทินฺนตฺตาฯ ตาทิสญฺหิ ยาว วสฺสํวุโฎฺฐ น โหติ, ตาว ตเสฺสว ทายกสฺส สนฺตกํ โหติฯ เอตฺตโก วิเสสเหตุฯ

    Aparakattikāyameva vā ubbhatasmiṃ kathine labhati, evaṃ ‘‘ubbhatasmiṃ kathine’’ti vuttattāti ce? Na vattabbaṃ. Cha ṭhānāni hi sāpekkhatāya vuttāni . Duṭṭhadosadvaye adhikaraṇacatutthaṃ, paṭhamāniyate sotassa raho, tatiyakathine ādissa dinnaṃ cīvaraṃ, accekacīvarasikkhāpade ‘‘saññāṇaṃ katvā nikkhipitabba’’nti padaṃ, duṭṭhullārocanappaṭicchādanadvaye adhikaraṇaṃ, pārājikavacanañca, tīsu kathinasikkhāpadesu ‘‘aṭṭhannaṃ mātikānaṃ aññatarāyā’’ti vacananti. Tattha ādissa dinnaṃ cīvaraṃ saṅghikaṃ bhājitabbacīvaraṃ sandhāya vuttaṃ, na puggalikaṃ. Saññāṇaṃ katvā nikkhipitabbanti vassāvāsikacīvaraṃ sandhāya vuttaṃ. Avuṭṭhavassena pacchā dātabbattā saññāṇaṃ kātabbaṃ, na ñātippavāritato laddhaṃ puggalikaṃ sandhāya. Tasmā duvidhaṃ accekacīvaraṃ saṅghe ninnaṃ, puggale ninnañcāti siddhaṃ. Tattha saṅghe pariṇataṃ accekacīvaraṃ vassūpanāyikadivasato paṭṭhāya, piṭṭhisamayato paṭṭhāya vā yāva pavāraṇā nikkhipituṃ vaṭṭati eva saṅghikattā, puggalikampi ‘‘vassaṃvuṭṭhakāle gaṇhathā’’ti dinnattā. Tādisañhi yāva vassaṃvuṭṭho na hoti, tāva tasseva dāyakassa santakaṃ hoti. Ettako visesahetu.

    ‘‘อนเจฺจกจีวเร อนเจฺจกจีวรสญฺญี จีวรกาลสมยํ อติกฺกาเมติ, อนาปตฺตี’’ติ วจนโต อเจฺจกจีวรกเสฺสว โส อปราโธฯ เยน ‘‘วิโรโธ’’ติ วจนํ ทเสฺสยฺยาติ น วินเย วิเสสเหตุ ปริเยสิตโพฺพฯ พุทฺธวิสยตฺตา ปมาณนฺติ เจ? น, ยทิ เอวํ เอตฺถ อตฺตโน สนฺตกภูตมฺปิ อเจฺจกจีวรํ สญฺญาณํ กตฺวา นิกฺขิปิตพฺพเมว, น อธิฎฺฐาตพฺพํ น วิกเปฺปตพฺพํ น วิสฺสเชฺชตพฺพํฯ ตโต ‘‘อนาปตฺติ, อโนฺตสมเย อธิเฎฺฐติ วิกเปฺปติ วิสฺสเชฺชตี’’ติอาทิวจนวิโรโธ (ปารา. ๖๕๑) อธิวาเสตโพฺพ สิยาฯ ตถา ‘‘วสฺสานสฺส ปจฺฉิเม มาเส กถินุทฺธาเร กเต ตสฺมิํ มาเส อตฺถเต กถิเน กถินุทฺธารทิวสํ อติกฺกาเมติ, นิสฺสคฺคิยํ โหตี’’ติ วจนโต นิสฺสคฺคิยํ โหตีติ อยมฺปิ อตฺถวิโรโธ อธิวาเสตโพฺพ สิยาฯ ตสฺมิญฺจ ‘‘อนเจฺจกจีวเร อนาปตฺตี’’ติ วุตฺตํ, ตญฺจ อนธิฎฺฐิตํ อวิกปฺปิตเมวาติ เอตฺตโก วิเสสเหตุฯ อติเรกจีวรเญฺจตํ ปฐมสิกฺขาปเทนาปตฺติ, อิตรํ เจ อนาปตฺติเยวาติ อิมสฺส อตฺถสฺส อยํ ภควโต วิเสสเหตุฯ ตถา อติเรกทสาหานาคตาเยว กตฺติกปุณฺณมาย สงฺฆสฺส วสฺสาวาสิกตฺถํ อเจฺจกจีวรํ วิย ททมานํ น คเหตพฺพํ, ทสาหานาคตาย เอว คเหตพฺพนฺติ เอตฺตโก วิเสสเหตุฯ ตโต อฎฺฐกถานยวิโรโธ จ อธิวาเสตโพฺพ สิยาฯ ตตฺถ ‘‘อธิฎฺฐิตโต ปฎฺฐาย อุปฺปนฺนํ อเจฺจกจีวรํ น โหตี’’ติ วตฺวา อญฺญถา นโย ทสฺสิโตฯ โปราณคณฺฐิปเท โส จ นโย สงฺฆิกํ อุปาทาย วุตฺตตฺตา น วิรุชฺฌตีติ เนว โส จ ปฎิกฺขิโตฺตฯ ยถา อนเจฺจกจีวรํ ฉฎฺฐิโต ปฎฺฐาย อุปฺปนฺนํ อติเรกทสาหานาคตายปิ ปฎิคฺคเหตพฺพํ, ปฎิคฺคเหตฺวา จีวรกาลสมยํ อติกฺกามยโตปิ อนาปตฺตีติ อยมฺปิ นโย อธิวาเสตโพฺพ สิยาฯ ตโต ปฐมกถินวิโรโธฯ ทสาหานาคตาย เอว ปฎิคฺคเหตพฺพํ, ปฎิคฺคเหตฺวา จีวรกาลสมยํ อติกฺกามยโต อนาปตฺตีติ เจ, ตํ เทฺว ทสาเห ลภตีติ เอตฺตโก วิเสสเหตุฯ

    ‘‘Anaccekacīvare anaccekacīvarasaññī cīvarakālasamayaṃ atikkāmeti, anāpattī’’ti vacanato accekacīvarakasseva so aparādho. Yena ‘‘virodho’’ti vacanaṃ dasseyyāti na vinaye visesahetu pariyesitabbo. Buddhavisayattā pamāṇanti ce? Na, yadi evaṃ ettha attano santakabhūtampi accekacīvaraṃ saññāṇaṃ katvā nikkhipitabbameva, na adhiṭṭhātabbaṃ na vikappetabbaṃ na vissajjetabbaṃ. Tato ‘‘anāpatti, antosamaye adhiṭṭheti vikappeti vissajjetī’’tiādivacanavirodho (pārā. 651) adhivāsetabbo siyā. Tathā ‘‘vassānassa pacchime māse kathinuddhāre kate tasmiṃ māse atthate kathine kathinuddhāradivasaṃ atikkāmeti, nissaggiyaṃ hotī’’ti vacanato nissaggiyaṃ hotīti ayampi atthavirodho adhivāsetabbo siyā. Tasmiñca ‘‘anaccekacīvare anāpattī’’ti vuttaṃ, tañca anadhiṭṭhitaṃ avikappitamevāti ettako visesahetu. Atirekacīvarañcetaṃ paṭhamasikkhāpadenāpatti, itaraṃ ce anāpattiyevāti imassa atthassa ayaṃ bhagavato visesahetu. Tathā atirekadasāhānāgatāyeva kattikapuṇṇamāya saṅghassa vassāvāsikatthaṃ accekacīvaraṃ viya dadamānaṃ na gahetabbaṃ, dasāhānāgatāya eva gahetabbanti ettako visesahetu. Tato aṭṭhakathānayavirodho ca adhivāsetabbo siyā. Tattha ‘‘adhiṭṭhitato paṭṭhāya uppannaṃ accekacīvaraṃ na hotī’’ti vatvā aññathā nayo dassito. Porāṇagaṇṭhipade so ca nayo saṅghikaṃ upādāya vuttattā na virujjhatīti neva so ca paṭikkhitto. Yathā anaccekacīvaraṃ chaṭṭhito paṭṭhāya uppannaṃ atirekadasāhānāgatāyapi paṭiggahetabbaṃ, paṭiggahetvā cīvarakālasamayaṃ atikkāmayatopi anāpattīti ayampi nayo adhivāsetabbo siyā. Tato paṭhamakathinavirodho. Dasāhānāgatāya eva paṭiggahetabbaṃ, paṭiggahetvā cīvarakālasamayaṃ atikkāmayato anāpattīti ce, taṃ dve dasāhe labhatīti ettako visesahetu.

    อนฺตรา อนาปตฺติเกฺขตฺตจีวรกาลปฺปวิฎฺฐตฺตา อธิฎฺฐหิตฺวา ปจฺจุทฺธฎํ วิย ตํ ปุนปิ ทสาเห ลภตีติ เจ? น, กาลปฺปเวโส อธิฎฺฐานํ วิย โหตีติ เจ? น, ‘‘วสฺสิกสาฎิกํ วสฺสานํ จาตุมาสํ อธิฎฺฐาตุํ, ตโต ปรํ วิกเปฺปตุ’’นฺติ วจนวิโรธํ กตฺวา, ตโต ปรํ ทสาหํ อวิกเปฺปนฺตสฺสาปิ อนาปตฺติ สิยาฯ อปิจ ยํ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘วสฺสิกสาฎิกา อโนฺตวเสฺส ลทฺธา เจว นิฎฺฐิตา จ, อโนฺตทสาเห อธิฎฺฐาตพฺพา, ทสาหาติกฺกเม นิฎฺฐิตา, ตทเหว อธิฎฺฐาตพฺพา, ทสาเห อปฺปโหเนฺต จีวรกาลํ นาติกฺกาเมตพฺพา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๓๐)ฯ เตน อาปตฺติโต น มุเจฺจยฺยฯ กาลปฺปเวโส หิ อธิฎฺฐานปริยาโย น ชาโตติฯ เอตฺตาวตา ยถาวุโตฺต อตฺถวิกโปฺป ปาฬินเยเนว ปติฎฺฐาปิโต โหติฯ

    Antarā anāpattikkhettacīvarakālappaviṭṭhattā adhiṭṭhahitvā paccuddhaṭaṃ viya taṃ punapi dasāhe labhatīti ce? Na, kālappaveso adhiṭṭhānaṃ viya hotīti ce? Na, ‘‘vassikasāṭikaṃ vassānaṃ cātumāsaṃ adhiṭṭhātuṃ, tato paraṃ vikappetu’’nti vacanavirodhaṃ katvā, tato paraṃ dasāhaṃ avikappentassāpi anāpatti siyā. Apica yaṃ vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘vassikasāṭikā antovasse laddhā ceva niṭṭhitā ca, antodasāhe adhiṭṭhātabbā, dasāhātikkame niṭṭhitā, tadaheva adhiṭṭhātabbā, dasāhe appahonte cīvarakālaṃ nātikkāmetabbā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.630). Tena āpattito na mucceyya. Kālappaveso hi adhiṭṭhānapariyāyo na jātoti. Ettāvatā yathāvutto atthavikappo pāḷinayeneva patiṭṭhāpito hoti.

    อปิเจตฺถ ยํ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘ทสาเห อปฺปโหเนฺต จีวรกาลํ นาติกฺกาเมตพฺพา’’ติ, ตตฺถปิ จีวรกาเล อุปฺปนฺนํ, ทสาเห อปฺปโหเนฺต จสฺส กรณํ นตฺถิ, ตํ อเจฺจกจีวรํ อกาลจีวรมิว จีวรกาลํ นาติกฺกาเมตพฺพนฺติ สิทฺธเมตํฯ ปาฬิโต จ ตเญฺจ อโนฺตกาเล อุปฺปชฺชติ, ทสาเห อปฺปโหเนฺตปิ อุปฺปชฺชติ, เอวํ อุปฺปนฺนํ อเจฺจกจีวรํ อเจฺจกจีวรเมว น โหติฯ น หิ ตํ กาลวิเสสวเสน อเจฺจกจีวรสงฺขํ คจฺฉติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อเจฺจกจีวรํ นาม เสนาย วา คนฺตุกาโม โหติ, ปวาสํ วา คนฺตุกาโม โหติ, คิลาโน วา โหติ, คพฺภินี วา โหติ , อสฺสทฺธสฺส วา สทฺธา อุปฺปนฺนา โหติ…เป.… ‘วสฺสาวาสิกํ ทสฺสามี’ติ เอวํ อาโรจิตํ, เอตํ อเจฺจกจีวรํ นามา’’ติ (ปารา. ๖๔๙)ฯ ตสฺมา ยถา ตํ จีวรํ นาติกฺกาเมตพฺพํ, ตถา อนเจฺจกจีวรมฺปีติ สิทฺธํ โหติฯ เตน วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘ทสาเห อปฺปโหเนฺต จีวรกาลํ นาติกฺกาเมตพฺพา’’ติฯ อปิจ ยทิ เอวํ ตํ อเจฺจกจีวรสิกฺขาปทเมว อเจฺจกจีวรํ จีวรกาลํ นาติกฺกาเมตพฺพนฺติ อิมสฺส ปน อตฺถวิเสสสฺส ทสฺสนตฺถํ ภควตา ปญฺญตฺตํฯ

    Apicettha yaṃ vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘dasāhe appahonte cīvarakālaṃ nātikkāmetabbā’’ti, tatthapi cīvarakāle uppannaṃ, dasāhe appahonte cassa karaṇaṃ natthi, taṃ accekacīvaraṃ akālacīvaramiva cīvarakālaṃ nātikkāmetabbanti siddhametaṃ. Pāḷito ca tañce antokāle uppajjati, dasāhe appahontepi uppajjati, evaṃ uppannaṃ accekacīvaraṃ accekacīvarameva na hoti. Na hi taṃ kālavisesavasena accekacīvarasaṅkhaṃ gacchati. Vuttañhetaṃ ‘‘accekacīvaraṃ nāma senāya vā gantukāmo hoti, pavāsaṃ vā gantukāmo hoti, gilāno vā hoti, gabbhinī vā hoti , assaddhassa vā saddhā uppannā hoti…pe… ‘vassāvāsikaṃ dassāmī’ti evaṃ ārocitaṃ, etaṃ accekacīvaraṃ nāmā’’ti (pārā. 649). Tasmā yathā taṃ cīvaraṃ nātikkāmetabbaṃ, tathā anaccekacīvarampīti siddhaṃ hoti. Tena vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘dasāhe appahonte cīvarakālaṃ nātikkāmetabbā’’ti. Apica yadi evaṃ taṃ accekacīvarasikkhāpadameva accekacīvaraṃ cīvarakālaṃ nātikkāmetabbanti imassa pana atthavisesassa dassanatthaṃ bhagavatā paññattaṃ.

    มหาอฎฺฐกถายํ ปน ตํ เอวํ วุตฺตํ – กามเญฺจทํ ‘‘ทสาหปรมํ อติเรกจีวรํ ธาเรตพฺพ’’นฺติ อิมินา สิทฺธํ, อฎฺฐุปฺปตฺติวเสน ปน อปุพฺพํ วิย อตฺถํ ทเสฺสตฺวา สิกฺขาปทํ ฐปิตนฺติ อตฺถวิเสสทีปนปโยชนโตฯ ตสฺมา ตํ ตสฺส อตฺถวิเสสทสฺสนตฺถํ วุตฺตนฺติ สิทฺธเมวฯ ตสฺมาปิ เวทิตพฺพเมว ยํ กิญฺจิ จีวรํ จีวรกาลสมยํ นาติกฺกาเมตพฺพนฺติฯ อปิจ ยํ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘ฉฎฺฐิโต ปฎฺฐาย ปน อุปฺปนฺนํ อนเจฺจกจีวรมฺปิ ปจฺจุทฺธาเรตฺวา ฐปิตจีวรมฺปิ เอตํ ปริหารํ ลภตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๔๖-๖๔๙)ฯ เตน ‘‘อนเจฺจกจีวเร อนเจฺจกจีวรสญฺญี จีวรกาลสมยํ อติกฺกาเมติ, อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๖๕๐) อิมินาปิ อนเจฺจกจีวรสฺสาปิ อเจฺจกจีวรปริหารลาภํ ทีเปตีติฯ

    Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana taṃ evaṃ vuttaṃ – kāmañcedaṃ ‘‘dasāhaparamaṃ atirekacīvaraṃ dhāretabba’’nti iminā siddhaṃ, aṭṭhuppattivasena pana apubbaṃ viya atthaṃ dassetvā sikkhāpadaṃ ṭhapitanti atthavisesadīpanapayojanato. Tasmā taṃ tassa atthavisesadassanatthaṃ vuttanti siddhameva. Tasmāpi veditabbameva yaṃ kiñci cīvaraṃ cīvarakālasamayaṃ nātikkāmetabbanti. Apica yaṃ vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘chaṭṭhito paṭṭhāya pana uppannaṃ anaccekacīvarampi paccuddhāretvā ṭhapitacīvarampi etaṃ parihāraṃ labhatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.646-649). Tena ‘‘anaccekacīvare anaccekacīvarasaññī cīvarakālasamayaṃ atikkāmeti, anāpattī’’ti (pārā. 650) imināpi anaccekacīvarassāpi accekacīvaraparihāralābhaṃ dīpetīti.

    เอตฺตาวตา ยถาวุโตฺต ทุติโย อตฺถวิกโปฺป ปาฬินเยน, อฎฺฐกถานเยน จ ปติฎฺฐาปิโต โหติฯ เอวํ ตาว ปกิณฺณกาย อธิกถา ปรโต ปาฐโต วิตฺถาริตา โหตีติ อปกิณฺณกํฯ

    Ettāvatā yathāvutto dutiyo atthavikappo pāḷinayena, aṭṭhakathānayena ca patiṭṭhāpito hoti. Evaṃ tāva pakiṇṇakāya adhikathā parato pāṭhato vitthāritā hotīti apakiṇṇakaṃ.

    จีวรปลิโพโธ, อาวาสปลิโพโธ จาติ เทฺว ปลิโพธาฯ เตสุ เอกปลิโพเธปิ สติ อนามนฺตจาราทิอานิสํสํ ลภติ, ตํ อิธ นตฺถีติ ทเสฺสตุํ ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ ภิกฺขุนา อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมา เอว ‘‘อตฺถตกถินสฺส หิ ภิกฺขุโน’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กถินตฺถารารหสฺสาติ เอตฺถ ‘‘อฎฺฐหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ภโพฺพ กถินํ อตฺถริตุํ – ปุพฺพกรณํ ชานาติ, ปจฺจุทฺธารํ ชานาติ, อธิฎฺฐานํ ชานาติ, อตฺถารํ ชานาติ, มาติกํ ชานาติ, ปลิโพธํ ชานาติ, อุทฺธารํ ชานาติ, อานิสํสํ ชานาตี’’ติ (ปริ. ๔๐๙) วจนโต อิเมหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคโต ปุคฺคโล กถินตฺถารารโห นามฯ ปุพฺพกรณํ นาม โธวนวิจารณเจฺฉทนสิพฺพนรชนกปฺปกรณํฯ

    Cīvarapalibodho, āvāsapalibodho cāti dve palibodhā. Tesu ekapalibodhepi sati anāmantacārādiānisaṃsaṃ labhati, taṃ idha natthīti dassetuṃ ‘‘niṭṭhitacīvarasmiṃ bhikkhunā ubbhatasmiṃ kathine’’ti vuttaṃ. Tasmā eva ‘‘atthatakathinassa hi bhikkhuno’’tiādi vuttaṃ. Kathinatthārārahassāti ettha ‘‘aṭṭhahi aṅgehi samannāgato puggalo bhabbo kathinaṃ attharituṃ – pubbakaraṇaṃ jānāti, paccuddhāraṃ jānāti, adhiṭṭhānaṃ jānāti, atthāraṃ jānāti, mātikaṃ jānāti, palibodhaṃ jānāti, uddhāraṃ jānāti, ānisaṃsaṃ jānātī’’ti (pari. 409) vacanato imehi aṭṭhahi aṅgehi samannāgato puggalo kathinatthārāraho nāma. Pubbakaraṇaṃ nāma dhovanavicāraṇacchedanasibbanarajanakappakaraṇaṃ.

    ‘‘จีวรํ นาม โขม’’นฺติอาทินา ปาฬิวเสน ชาติญฺจ ปมาณญฺจ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อติเรกจีวรํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยํ ปน วุตฺตํ อธิฎฺฐิตวิกปฺปิเตสู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ฐปิตฎฺฐานํ สลฺลเกฺขตฺวา’’ติ วุเตฺตปิ ยสฺมิํ ฐาเน ยํ ฐปิตํ, ตสฺมิํ ตํ ปจฺฉา โหตุ วา, มา วา, อธิฎฺฐานํ รุหเตวฯ ปุเร ปจฺฉา ฐปนฎฺฐานํ น ปมาณํฯ

    ‘‘Cīvaraṃnāma khoma’’ntiādinā pāḷivasena jātiñca pamāṇañca dassetvā idāni atirekacīvaraṃ dassetuṃ ‘‘yaṃ pana vuttaṃ adhiṭṭhitavikappitesū’’tiādi vuttaṃ. Ṭhapitaṭṭhānaṃ sallakkhetvā’’ti vuttepi yasmiṃ ṭhāne yaṃ ṭhapitaṃ, tasmiṃ taṃ pacchā hotu vā, mā vā, adhiṭṭhānaṃ ruhateva. Pure pacchā ṭhapanaṭṭhānaṃ na pamāṇaṃ.

    อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนสฺส ภิกฺขุภาวปริจฺจาควเสน เสตวตฺถนิวาสนํ วา กาสาวจชนํ วา หีนายาวตฺตนํ

    Antimavatthuṃ ajjhāpannassa bhikkhubhāvapariccāgavasena setavatthanivāsanaṃ vā kāsāvacajanaṃ vā hīnāyāvattanaṃ.

    เอกาทสเม อรุณุคฺคมเนติ อนฺติมํ ฐเปตฺวา ตโต ปุริมตรสฺมินฺติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ อนฺติมํ นาม อปรกตฺติกาย ปฐมารุณุคฺคมนํฯ ตญฺหิ กาลตฺตา นิสฺสคฺคิยํ น กโรติฯ อิธ ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ ภิกฺขุนา’’ติ กรณวจนํ นิทานานเปกฺขํ นิทาเน กรณาภาวโตฯ ตสฺมา เอว ‘‘ทสาหปรม’’นฺติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺตีติ วุตฺตํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’’นฺติอาทิ (มหาว. ๓๕๘) วจนโต จ อิธ ‘‘วิกเปฺปตี’’ติ อวิเสเสน วุตฺตวจนํ วิรุทฺธํ วิย ทิสฺสติ, น จ วิรุทฺธํ ตถาคตา ภาสนฺติ, ตสฺมา เอวมสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพ – ติจีวรํ ติจีวรสเงฺขเปน ปริหารโต อธิฎฺฐาตุเมว อนุชานามิ, น วิกเปฺปตุํฯ วสฺสิกสาฎิกํ ปน จตุมาสโต ปรํ วิกเปฺปตุเมว, น อธิฎฺฐาตุนฺติฯ เอวญฺจ ปน สติ โย ติจีวเร เอเกน จีวเรน วิปฺปวสิตุกาโม โหติ, ตสฺส ติจีวราธิฎฺฐานํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิปฺปวาสสุขตฺถํ วิกปฺปนาย โอกาโส ทิโนฺน โหติ, ทสาหาติกฺกเม จ อนาปตฺตีติฯ เอเตน อุปาเยน สพฺพตฺถ วิกปฺปนาย อปฎิสิทฺธภาโว เวทิตโพฺพติ ลิขิตํฯ

    Ekādasame aruṇuggamaneti antimaṃ ṭhapetvā tato purimatarasminti attho veditabbo. Tattha antimaṃ nāma aparakattikāya paṭhamāruṇuggamanaṃ. Tañhi kālattā nissaggiyaṃ na karoti. Idha ‘‘niṭṭhitacīvarasmiṃ bhikkhunā’’ti karaṇavacanaṃ nidānānapekkhaṃ nidāne karaṇābhāvato. Tasmā eva ‘‘dasāhaparama’’nti ayamettha anupaññattīti vuttaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’’ntiādi (mahāva. 358) vacanato ca idha ‘‘vikappetī’’ti avisesena vuttavacanaṃ viruddhaṃ viya dissati, na ca viruddhaṃ tathāgatā bhāsanti, tasmā evamassa attho veditabbo – ticīvaraṃ ticīvarasaṅkhepena parihārato adhiṭṭhātumeva anujānāmi, na vikappetuṃ. Vassikasāṭikaṃ pana catumāsato paraṃ vikappetumeva, na adhiṭṭhātunti. Evañca pana sati yo ticīvare ekena cīvarena vippavasitukāmo hoti, tassa ticīvarādhiṭṭhānaṃ paccuddharitvā vippavāsasukhatthaṃ vikappanāya okāso dinno hoti, dasāhātikkame ca anāpattīti. Etena upāyena sabbattha vikappanāya apaṭisiddhabhāvo veditabboti likhitaṃ.

    อิมสฺส ปน สิกฺขาปทสฺส อยํ สเงฺขปวินิจฺฉโย – อนตฺถเต กถิเน เหมนฺตานํ ปฐมทิวสโต ปฎฺฐาย, อตฺถเต กถิเน คิมฺหานํ ปฐมทิวสโต ปฎฺฐาย อุปฺปนฺนจีวรํ สนฺธาย ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เอตฺถาห – ‘‘รชเกหิ โธวาเปตฺวา เสตกํ การาเปนฺตสฺสาปิ อธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐานเมวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๕) วจนโต อรชิเตปิ อธิฎฺฐานํ รุหตีติฯ เตน สูจิกมฺมํ กตฺวา รชิตฺวา กปฺปพินฺทุํ ทตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพนฺติ นิยโม กาตโพฺพ, น กาตโพฺพติ? กตฺตโพฺพวฯ ปโตฺต วิย อธิฎฺฐิโต ยถา ปุน เสตภาวํ วา ตมฺพภาวํ วา ปโตฺต อธิฎฺฐานํ น วิชหติ, น จ ปน ตาทิโส ยํ อธิฎฺฐานํ อุปคจฺฉติ, เอวเมตํ ทฎฺฐพฺพนฺติฯ ‘‘เสฺว กถินํ อุทฺธริสฺสตี’’ติ ลทฺธจีวรํ สเจ อเชฺชว น อธิฎฺฐาติ, อรุณุคฺคมเน เอว นิสฺสคฺคิยํ โหติฯ กสฺมา? ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติอาทินา (ปารา. ๔๖๒-๔๖๓;) สิกฺขาปทสฺส วุตฺตตฺตาฯ กถินพฺภนฺตเร ทสาหโต อุตฺตริปิ ปริหารํ ลภติ, กถินโต ปน ปจฺฉา เอกทิวสมฺปิ น ลภติฯ ยถา กิํ – ยถา อตฺถตกถิโน สโงฺฆ ติจีวรํ อตฺถตทิวสโต ปฎฺฐาย ยาว อุพฺภารา อานิสํสํ ลภติ, น ตโต ปรํ, เอวํ อตฺถตทิวสโต ปฎฺฐาย ยาว อุพฺภารา ลภติ, อุทฺธเต ปน กถิเน เอกทิวสมฺปิ น ลภติฯ เอตฺถาห – อุพฺภตทิวสโต ปฎฺฐาย ปุน ทสาหํ ลภตีติ? น, กสฺมา? ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทสาหปรมํ อติเรกจีวรํ ธาเรตุ’’นฺติ วจนโตฯ กถินพฺภนฺตเรปิ เอกาทเส อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิยนฺติ อาปนฺนํฯ ตํ ปน อติปฺปสงฺคํ นิวาเรตุํ ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติอาทิ วุตฺตํ, น กถินทิวสานิ อทิวสานีติ ทีปนตฺถํฯ อยมโตฺถ ตตฺถ ตตฺถ อาวิภวิสฺสติฯ อถ วา วสฺสิกสาฎิกา อนติริตฺตปฺปมาณา นามํ คเหตฺวา วุตฺตนเยเนว จตฺตาโร วสฺสิเก มาเส อธิฎฺฐาตพฺพา, ตโต ปรํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพาติ วุตฺตํฯ เอตฺถ ‘‘ปจฺจุทฺธริตฺวา’’ติ วจเน อุโปสถทิวเส เอว ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตฺวา ฐปิตํ โหติ, ตโต ปรํ เหมนฺตสฺส ปฐมทิวสโต ปฎฺฐาย ปจฺจุทฺธรณาภาวาฯ เอวํ กถินพฺภนฺตเร อุปฺปนฺนจีวรมฺปิ เวทิตพฺพนฺติ ลิขิตํฯ

    Imassa pana sikkhāpadassa ayaṃ saṅkhepavinicchayo – anatthate kathine hemantānaṃ paṭhamadivasato paṭṭhāya, atthate kathine gimhānaṃ paṭhamadivasato paṭṭhāya uppannacīvaraṃ sandhāya ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’ntiādi vuttaṃ. Etthāha – ‘‘rajakehi dhovāpetvā setakaṃ kārāpentassāpi adhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhānamevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.465) vacanato arajitepi adhiṭṭhānaṃ ruhatīti. Tena sūcikammaṃ katvā rajitvā kappabinduṃ datvā adhiṭṭhātabbanti niyamo kātabbo, na kātabboti? Kattabbova. Patto viya adhiṭṭhito yathā puna setabhāvaṃ vā tambabhāvaṃ vā patto adhiṭṭhānaṃ na vijahati, na ca pana tādiso yaṃ adhiṭṭhānaṃ upagacchati, evametaṃ daṭṭhabbanti. ‘‘Sve kathinaṃ uddharissatī’’ti laddhacīvaraṃ sace ajjeva na adhiṭṭhāti, aruṇuggamane eva nissaggiyaṃ hoti. Kasmā? ‘‘Niṭṭhitacīvarasmi’’ntiādinā (pārā. 462-463;) sikkhāpadassa vuttattā. Kathinabbhantare dasāhato uttaripi parihāraṃ labhati, kathinato pana pacchā ekadivasampi na labhati. Yathā kiṃ – yathā atthatakathino saṅgho ticīvaraṃ atthatadivasato paṭṭhāya yāva ubbhārā ānisaṃsaṃ labhati, na tato paraṃ, evaṃ atthatadivasato paṭṭhāya yāva ubbhārā labhati, uddhate pana kathine ekadivasampi na labhati. Etthāha – ubbhatadivasato paṭṭhāya puna dasāhaṃ labhatīti? Na, kasmā? ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, dasāhaparamaṃ atirekacīvaraṃ dhāretu’’nti vacanato. Kathinabbhantarepi ekādase aruṇuggamane nissaggiyanti āpannaṃ. Taṃ pana atippasaṅgaṃ nivāretuṃ ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’ntiādi vuttaṃ, na kathinadivasāni adivasānīti dīpanatthaṃ. Ayamattho tattha tattha āvibhavissati. Atha vā vassikasāṭikā anatirittappamāṇā nāmaṃ gahetvā vuttanayeneva cattāro vassike māse adhiṭṭhātabbā, tato paraṃ paccuddharitvā vikappetabbāti vuttaṃ. Ettha ‘‘paccuddharitvā’’ti vacane uposathadivase eva paccuddharitvā vikappetvā ṭhapitaṃ hoti, tato paraṃ hemantassa paṭhamadivasato paṭṭhāya paccuddharaṇābhāvā. Evaṃ kathinabbhantare uppannacīvarampi veditabbanti likhitaṃ.

    กถินสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kathinasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact