Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-ปุราณ-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-purāṇa-ṭīkā |
๒. กายสํสคฺคสิกฺขาปทวณฺณนา
2. Kāyasaṃsaggasikkhāpadavaṇṇanā
‘‘โอติโณฺณ’’ติ อิมินาสฺส เสวนาธิปฺปายตา ทสฺสิตาฯ เตเนว ‘‘กายสํสคฺคราคสมงฺคิเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘วิปริณเตน…เป.… สทฺธิ’’นฺติ อิมินาสฺส วายาโม ทสฺสิโตฯ ‘‘สทฺธิ’’นฺติ หิ ปทํ สํโยคํ ทีเปติ, โส จ สํโยโค สมาคโมฯ เกน จิเตฺตน? วิปริณเตน จิเตฺตน, น ปตฺตปฺปฎิคฺคหณาธิปฺปายาทินาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘กายสํสคฺคํ สมาปเชฺชยฺยา’’ติ อิมินาสฺส วายมโต ผสฺสปฺปฎิวิชานนา ทสฺสิตา โหติฯ วายมิตฺวา ผสฺสํ ปฎิวิชานโนฺต หิ สมาปชฺชติ นามฯ เอวมสฺส ติวงฺคสมฺปตฺติ ทสฺสิตา โหติฯ อถ วา โอติโณฺณ วิปริณเตน จิเตฺตน ยกฺขาทินา สโตฺต วิยฯ อุปโยคเตฺถ วา เอตํ กรณวจนํ, โอติโณฺณ วิปริณตํ จิตฺตํ กูปาทิํ วิย สโตฺตฯ อถ วา ‘‘ราคโต อุตฺติโณฺณ ภวิสฺสามี’’ติ ภิกฺขุภาวํ อุปคโตปิ โย ปน ภิกฺขุ ตโต อุตฺติณฺณาธิปฺปายโต วิปริณเตน จิเตฺตน เหตุภูเตน ตเมว ราคํ โอติโณฺณฯ มาตุคาเมน อตฺตโน สมีปํ วา อาคเตน, อตฺตนา อุปคเตน วาฯ เอเตน มาตุคามสฺส สารตฺตตา วา โหตุ, วิรตฺตตา วา, สา อิธ อปฺปมาณํฯ
‘‘Otiṇṇo’’ti imināssa sevanādhippāyatā dassitā. Teneva ‘‘kāyasaṃsaggarāgasamaṅgissetaṃ adhivacana’’nti vuttaṃ. ‘‘Vipariṇatena…pe… saddhi’’nti imināssa vāyāmo dassito. ‘‘Saddhi’’nti hi padaṃ saṃyogaṃ dīpeti, so ca saṃyogo samāgamo. Kena cittena? Vipariṇatena cittena, na pattappaṭiggahaṇādhippāyādināti adhippāyo. ‘‘Kāyasaṃsaggaṃ samāpajjeyyā’’ti imināssa vāyamato phassappaṭivijānanā dassitā hoti. Vāyamitvā phassaṃ paṭivijānanto hi samāpajjati nāma. Evamassa tivaṅgasampatti dassitā hoti. Atha vā otiṇṇo vipariṇatena cittena yakkhādinā satto viya. Upayogatthe vā etaṃ karaṇavacanaṃ, otiṇṇo vipariṇataṃ cittaṃ kūpādiṃ viya satto. Atha vā ‘‘rāgato uttiṇṇo bhavissāmī’’ti bhikkhubhāvaṃ upagatopi yo pana bhikkhu tato uttiṇṇādhippāyato vipariṇatena cittena hetubhūtena tameva rāgaṃ otiṇṇo. Mātugāmena attano samīpaṃ vā āgatena, attanā upagatena vā. Etena mātugāmassa sārattatā vā hotu, virattatā vā, sā idha appamāṇaṃ.
หตฺถคฺคาหํ วาติ เอตฺถ หเตฺถน สโพฺพปิ อุปาทินฺนโก กาโย สงฺคหิโต, น ภินฺนสนฺตาโน ตปฺปฎิพโทฺธ วตฺถาลงฺการาทิฯ เวณิคฺคหเณน อนุปาทินฺนโก อภินฺนสนฺตาโน เกสโลมนขคฺคทนฺตคฺคาทิโก กมฺมปจฺจยอุตุสมุฎฺฐาโน คหิโตติ เวทิตพฺพํฯ เตเนวาห ‘‘อนฺตมโส โลเมน โลมํ ผุสนฺตสฺสาปี’’ติฯ เตน อญฺญตรสฺส วา…เป.… ปรามสนนฺติ เอตฺถ อนุปาทินฺนกานมฺปิ เสสโลมาทีนํ องฺคภาโว เวทิตโพฺพฯ เอวํ สเนฺต ‘‘ผสฺสํ ปฎิชานนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโส’’ติ อิมินา วิรุชฺฌตีติ เจ? น, ตทตฺถชานนโตฯ ผุฎฺฐภาวํ ปฎิวิชานโนฺตปิ ผสฺสํ ปฎิชานาติ นาม, น กายวิญฺญาณุปฺปตฺติยา เอวฯ อเนกนฺติกเญฺหตฺถ กายวิญฺญาณํฯ ตสฺมา เอว อิธ ผสฺสปฺปฎิวิชานนํ องฺคเนฺตฺวว น วุตฺตํฯ ตสฺมิญฺหิ วุเตฺต ฐานเมตํ วิชฺชติ ‘‘น จ เม โลมฆฎฺฎเนน กายวิญฺญาณํ อุปฺปนฺนํ, ตสฺมิํ ‘น ผสฺสํ ปฎิชานามี’ติ อนาปนฺนสญฺญี สิยา’’ติฯ ‘‘เวณี นาม กหาปณมาลาทิสมฺปยุตฺตํ, ตตฺถ ‘เวณิํ คณฺหิสฺสามี’ติ กหาปณมาลาทิํ เอว คณฺหาติ, น โลมํ, นตฺถิ สงฺฆาทิเสโส’’ติ วทนฺติฯ วีมํสิตพฺพํฯ
Hatthaggāhaṃ vāti ettha hatthena sabbopi upādinnako kāyo saṅgahito, na bhinnasantāno tappaṭibaddho vatthālaṅkārādi. Veṇiggahaṇena anupādinnako abhinnasantāno kesalomanakhaggadantaggādiko kammapaccayautusamuṭṭhāno gahitoti veditabbaṃ. Tenevāha ‘‘antamaso lomena lomaṃ phusantassāpī’’ti. Tena aññatarassa vā…pe… parāmasananti ettha anupādinnakānampi sesalomādīnaṃ aṅgabhāvo veditabbo. Evaṃ sante ‘‘phassaṃ paṭijānantassa saṅghādiseso’’ti iminā virujjhatīti ce? Na, tadatthajānanato. Phuṭṭhabhāvaṃ paṭivijānantopi phassaṃ paṭijānāti nāma, na kāyaviññāṇuppattiyā eva. Anekantikañhettha kāyaviññāṇaṃ. Tasmā eva idha phassappaṭivijānanaṃ aṅgantveva na vuttaṃ. Tasmiñhi vutte ṭhānametaṃ vijjati ‘‘na ca me lomaghaṭṭanena kāyaviññāṇaṃ uppannaṃ, tasmiṃ ‘na phassaṃ paṭijānāmī’ti anāpannasaññī siyā’’ti. ‘‘Veṇī nāma kahāpaṇamālādisampayuttaṃ, tattha ‘veṇiṃ gaṇhissāmī’ti kahāpaṇamālādiṃ eva gaṇhāti, na lomaṃ, natthi saṅghādiseso’’ti vadanti. Vīmaṃsitabbaṃ.
กายสํสคฺคสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kāyasaṃsaggasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.