Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๑๑. กยวิกฺกยสมาปตฺติวินิจฺฉยกถา
11. Kayavikkayasamāpattivinicchayakathā
๕๗. กยวิกฺกยสมาปตฺตีติ กยวิกฺกยสมาปชฺชนํฯ ‘‘อิมินา อิมํ เทหี’’ติอาทินา (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๙๕) หิ นเยน ปรสฺส กปฺปิยภณฺฑํ คณฺหโนฺต กยํ สมาปชฺชติ, อตฺตโน กปฺปิยภณฺฑํ เทโนฺต วิกฺกยํฯ อยํ ปน กยวิกฺกโย ฐเปตฺวา ปญฺจ สหธมฺมิเก อวเสเสหิ คิหิปพฺพชิเตหิ อนฺตมโส มาตาปิตูหิปิ สทฺธิํ น วฎฺฎติฯ
57.Kayavikkayasamāpattīti kayavikkayasamāpajjanaṃ. ‘‘Iminā imaṃ dehī’’tiādinā (pārā. aṭṭha. 2.595) hi nayena parassa kappiyabhaṇḍaṃ gaṇhanto kayaṃ samāpajjati, attano kappiyabhaṇḍaṃ dento vikkayaṃ. Ayaṃ pana kayavikkayo ṭhapetvā pañca sahadhammike avasesehi gihipabbajitehi antamaso mātāpitūhipi saddhiṃ na vaṭṭati.
ตตฺรายํ วินิจฺฉโย – วเตฺถน วา วตฺถํ โหตุ, ภเตฺตน วา ภตฺตํ, ยํ กิญฺจิ กปฺปิยํ ‘‘อิมินา อิมํ เทหี’’ติ วทติ, ทุกฺกฎํฯ เอวํ วตฺวา มาตุยาปิ อตฺตโน ภณฺฑํ เทติ, ทุกฺกฎํ, ‘‘อิมินา อิมํ เทหี’’ติ วุโตฺต วา ‘‘อิมํ เทหิ, อิมํ เต ทสฺสามี’’ติ ตํ วตฺวา วา มาตุยาปิ ภณฺฑํ อตฺตนา คณฺหาติ, ทุกฺกฎํ, อตฺตโน ภเณฺฑ ปรหตฺถํ, ปรภเณฺฑ จ อตฺตโน หตฺถํ สมฺปเตฺต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ มาตรํ วา ปน ปิตรํ วา ‘‘อิมํ เทหี’’ติ วทโต วิญฺญตฺติ น โหติ, ‘‘อิมํ คณฺหาหี’’ติ ททโต สทฺธาเทยฺยวินิปาตนํ น โหติฯ อญฺญาตกํ ‘‘อิมํ เทหี’’ติ วทโต วิญฺญตฺติ, ‘‘อิมํ คณฺหาหี’’ติ ททโต สทฺธาเทยฺยวินิปาตนํ, ‘‘อิมินา อิมํ เทหี’’ติ กยวิกฺกยํ อาปชฺชโต นิสฺสคฺคิยํฯ ตสฺมา กปฺปิยภณฺฑํ ปริวตฺตเนฺตน มาตาปิตูหิปิ สทฺธิํ กยวิกฺกยํ, อญฺญาตเกหิ สทฺธิํ ติโสฺส อาปตฺติโย โมเจเนฺตน ปริวเตฺตตพฺพํฯ
Tatrāyaṃ vinicchayo – vatthena vā vatthaṃ hotu, bhattena vā bhattaṃ, yaṃ kiñci kappiyaṃ ‘‘iminā imaṃ dehī’’ti vadati, dukkaṭaṃ. Evaṃ vatvā mātuyāpi attano bhaṇḍaṃ deti, dukkaṭaṃ, ‘‘iminā imaṃ dehī’’ti vutto vā ‘‘imaṃ dehi, imaṃ te dassāmī’’ti taṃ vatvā vā mātuyāpi bhaṇḍaṃ attanā gaṇhāti, dukkaṭaṃ, attano bhaṇḍe parahatthaṃ, parabhaṇḍe ca attano hatthaṃ sampatte nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. Mātaraṃ vā pana pitaraṃ vā ‘‘imaṃ dehī’’ti vadato viññatti na hoti, ‘‘imaṃ gaṇhāhī’’ti dadato saddhādeyyavinipātanaṃ na hoti. Aññātakaṃ ‘‘imaṃ dehī’’ti vadato viññatti, ‘‘imaṃ gaṇhāhī’’ti dadato saddhādeyyavinipātanaṃ, ‘‘iminā imaṃ dehī’’ti kayavikkayaṃ āpajjato nissaggiyaṃ. Tasmā kappiyabhaṇḍaṃ parivattantena mātāpitūhipi saddhiṃ kayavikkayaṃ, aññātakehi saddhiṃ tisso āpattiyo mocentena parivattetabbaṃ.
ตตฺรายํ ปริวตฺตนวิธิ – ภิกฺขุสฺส ปาเถยฺยตณฺฑุลา โหนฺติ, โส อนฺตรามเคฺค ภตฺตหตฺถํ ปุริสํ ทิสฺวา ‘‘อมฺหากํ ตณฺฑุลา อตฺถิ, น จ โน อิเมหิ อโตฺถ, ภเตฺตน ปน อโตฺถ’’ติ วทติ, ปุริโส ตณฺฑุเล คเหตฺวา ภตฺตํ เทติ, วฎฺฎติฯ ติโสฺสปิ อาปตฺติโย น โหนฺติ, อนฺตมโส นิมิตฺตกมฺมมตฺตมฺปิ น โหติฯ กสฺมา? มูลสฺส อตฺถิตายฯ โย ปน เอวํ อกตฺวา ‘‘อิมินา อิมํ เทหี’’ติ ปริวเตฺตติ, ยถาวตฺถุกเมวฯ วิฆาสาทํ ทิสฺวา ‘‘อิมํ โอทนํ ภุญฺชิตฺวา รชนํ วา ทารูนิ วา อาหรา’’ติ วทติ, รชนฉลฺลิคณนาย ทารุคณนาย จ นิสฺสคฺคิยานิ โหนฺติฯ ‘‘อิมํ โอทนํ ภุญฺชิตฺวา อิมํ นาม กโรถา’’ติ ทนฺตการาทีหิ สิปฺปิเกหิ ธมฺมกรณาทีสุ ตํ ตํ ปริกฺขารํ กาเรติ, รชเกหิ วา วตฺถํ โธวาเปติ, ยถาวตฺถุกเมวฯ นหาปิเตน เกเส ฉินฺทาเปติ , กมฺมกาเรหิ นวกมฺมํ กาเรติ, ยถาวตฺถุกเมวฯ สเจ ปน ‘‘อิทํ ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา อิทํ กโรถา’’ติ น วทติ, ‘‘อิทํ ภตฺตํ ภุญฺช, ภุโตฺตสิ, ภุญฺชิสฺสสิ, อิทํ นาม กโรหี’’ติ วทติ, วฎฺฎติฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ วตฺถโธวเน วา เกสเจฺฉทเน วา ภูมิโสธนาทินวกเมฺม วา ปรภณฺฑํ อตฺตโน หตฺถคตํ นิสฺสชฺชิตพฺพํ นาม นตฺถิ, มหาอฎฺฐกถายํ ปน ทฬฺหํ กตฺวา วุตฺตตฺตา น สกฺกา เอตํ ปฎิกฺขิปิตุํ, ตสฺมา ยถา นิสฺสคฺคิยวตฺถุมฺหิ ปริภุเตฺต วา นเฎฺฐ วา ปาจิตฺติยํ เทเสติ, เอวมิธาปิ เทเสตพฺพํฯ
Tatrāyaṃ parivattanavidhi – bhikkhussa pātheyyataṇḍulā honti, so antarāmagge bhattahatthaṃ purisaṃ disvā ‘‘amhākaṃ taṇḍulā atthi, na ca no imehi attho, bhattena pana attho’’ti vadati, puriso taṇḍule gahetvā bhattaṃ deti, vaṭṭati. Tissopi āpattiyo na honti, antamaso nimittakammamattampi na hoti. Kasmā? Mūlassa atthitāya. Yo pana evaṃ akatvā ‘‘iminā imaṃ dehī’’ti parivatteti, yathāvatthukameva. Vighāsādaṃ disvā ‘‘imaṃ odanaṃ bhuñjitvā rajanaṃ vā dārūni vā āharā’’ti vadati, rajanachalligaṇanāya dārugaṇanāya ca nissaggiyāni honti. ‘‘Imaṃ odanaṃ bhuñjitvā imaṃ nāma karothā’’ti dantakārādīhi sippikehi dhammakaraṇādīsu taṃ taṃ parikkhāraṃ kāreti, rajakehi vā vatthaṃ dhovāpeti, yathāvatthukameva. Nahāpitena kese chindāpeti , kammakārehi navakammaṃ kāreti, yathāvatthukameva. Sace pana ‘‘idaṃ bhattaṃ bhuñjitvā idaṃ karothā’’ti na vadati, ‘‘idaṃ bhattaṃ bhuñja, bhuttosi, bhuñjissasi, idaṃ nāma karohī’’ti vadati, vaṭṭati. Ettha ca kiñcāpi vatthadhovane vā kesacchedane vā bhūmisodhanādinavakamme vā parabhaṇḍaṃ attano hatthagataṃ nissajjitabbaṃ nāma natthi, mahāaṭṭhakathāyaṃ pana daḷhaṃ katvā vuttattā na sakkā etaṃ paṭikkhipituṃ, tasmā yathā nissaggiyavatthumhi paribhutte vā naṭṭhe vā pācittiyaṃ deseti, evamidhāpi desetabbaṃ.
ยํ กิญฺจิ กปฺปิยภณฺฑํ คณฺหิตุกามตาย อคฺฆํ ปุจฺฉิตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา ‘‘อยํ ตว ปโตฺต กิํ อคฺฆตี’’ติ ปุจฺฉิเต ‘‘อิทํ นามา’’ติ วทติ, สเจ อตฺตโน กปฺปิยภณฺฑํ มหคฺฆํ โหติ, เอวญฺจ นํ ปฎิวทติ ‘‘อุปาสก มม อิทํ วตฺถุ มหคฺฆํ, ตว ปตฺตํ อญฺญสฺส เทหี’’ติฯ ตํ สุตฺวา อิตโร ‘‘อญฺญํ ถาลกมฺปิ ทสฺสามี’’ติ วทติ, คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ สเจ โส ปโตฺต มหโคฺฆ, ภิกฺขุโน วตฺถุ อปฺปคฺฆํ, ปตฺตสามิโก จสฺส อปฺปคฺฆภาวํ น ชานาติ, ปโตฺต น คเหตโพฺพ, ‘‘มม วตฺถุ อปฺปคฺฆ’’นฺติ อาจิกฺขิตพฺพํฯ มหคฺฆภาวํ ญตฺวา วเญฺจตฺวา คณฺหโนฺตปิ หิ ภณฺฑํ อคฺฆาเปตฺวา กาเรตพฺพตํ อาปชฺชติฯ สเจ ปตฺตสามิโก ‘‘โหตุ, ภเนฺต, เสสํ มม ปุญฺญํ ภวิสฺสตี’’ติ เทติ, วฎฺฎติฯ กปฺปิยการกสฺส ปน ‘‘อิมินา อิมํ คเหตฺวา เทหี’’ติ อาจิกฺขิตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา ยสฺส หตฺถโต ภณฺฑํ คณฺหาติ, ตํ ฐเปตฺวา อญฺญํ อนฺตมโส ตสฺส ปุตฺตภาติกมฺปิ กปฺปิยการกํ กตฺวา ‘‘อิมินา อิมํ นาม คเหตฺวา เทหี’’ติ อาจิกฺขติ, โส เจ เฉโก โหติ, ปุนปฺปุนํ อปเนตฺวา วิวทิตฺวา คณฺหาติ, ตุณฺหีภูเตน ฐาตพฺพํฯ โน เจ เฉโก โหติ, น ชานาติ คเหตุํ, วาณิชโก จ ตํ วเญฺจติ, ‘‘มา คณฺหาหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ
Yaṃ kiñci kappiyabhaṇḍaṃ gaṇhitukāmatāya agghaṃ pucchituṃ vaṭṭati, tasmā ‘‘ayaṃ tava patto kiṃ agghatī’’ti pucchite ‘‘idaṃ nāmā’’ti vadati, sace attano kappiyabhaṇḍaṃ mahagghaṃ hoti, evañca naṃ paṭivadati ‘‘upāsaka mama idaṃ vatthu mahagghaṃ, tava pattaṃ aññassa dehī’’ti. Taṃ sutvā itaro ‘‘aññaṃ thālakampi dassāmī’’ti vadati, gaṇhituṃ vaṭṭati. Sace so patto mahaggho, bhikkhuno vatthu appagghaṃ, pattasāmiko cassa appagghabhāvaṃ na jānāti, patto na gahetabbo, ‘‘mama vatthu appaggha’’nti ācikkhitabbaṃ. Mahagghabhāvaṃ ñatvā vañcetvā gaṇhantopi hi bhaṇḍaṃ agghāpetvā kāretabbataṃ āpajjati. Sace pattasāmiko ‘‘hotu, bhante, sesaṃ mama puññaṃ bhavissatī’’ti deti, vaṭṭati. Kappiyakārakassa pana ‘‘iminā imaṃ gahetvā dehī’’ti ācikkhituṃ vaṭṭati, tasmā yassa hatthato bhaṇḍaṃ gaṇhāti, taṃ ṭhapetvā aññaṃ antamaso tassa puttabhātikampi kappiyakārakaṃ katvā ‘‘iminā imaṃ nāma gahetvā dehī’’ti ācikkhati, so ce cheko hoti, punappunaṃ apanetvā vivaditvā gaṇhāti, tuṇhībhūtena ṭhātabbaṃ. No ce cheko hoti, na jānāti gahetuṃ, vāṇijako ca taṃ vañceti, ‘‘mā gaṇhāhī’’ti vattabbo.
‘‘อิทํ ปฎิคฺคหิตํ เตลํ วา สปฺปิ วา อมฺหากํ อตฺถิ, อมฺหากญฺจ อเญฺญน อปฺปฎิคฺคหิตเกน อโตฺถ’’ติ วุเตฺต ปน สเจ โส ตํ คเหตฺวา อญฺญํ เทติ, ปฐมํ อตฺตโน เตลํ น มินาเปตพฺพํฯ กสฺมา? นาฬิยญฺหิ อวสิฎฺฐเตลํ โหติ, ตํ ปจฺฉา มินนฺตสฺส อปฺปฎิคฺคหิตํ ทูเสยฺยฯ อยญฺจ กยวิกฺกโย นาม กปฺปิยภณฺฑวเสน วุโตฺตฯ กปฺปิเยน หิ กปฺปิยํ ปริวเตฺตนฺตสฺส กยวิกฺกยสิกฺขาปเทน นิสฺสคฺคิยํ วุตฺตํ, อกปฺปิเยน ปน อกปฺปิยํ ปริวเตฺตนฺตสฺส, กปฺปิเยน วา อกปฺปิยํ อกปฺปิเยน วา กปฺปิยํ ปริวเตฺตนฺตสฺส รูปิยสํโวหารสิกฺขาปเทน นิสฺสคฺคิยํ, ตสฺมา อุโภสุ วา เอกสฺมิํ วา อกปฺปิเย สติ รูปิยสํโวหาโร นาม โหติฯ
‘‘Idaṃ paṭiggahitaṃ telaṃ vā sappi vā amhākaṃ atthi, amhākañca aññena appaṭiggahitakena attho’’ti vutte pana sace so taṃ gahetvā aññaṃ deti, paṭhamaṃ attano telaṃ na mināpetabbaṃ. Kasmā? Nāḷiyañhi avasiṭṭhatelaṃ hoti, taṃ pacchā minantassa appaṭiggahitaṃ dūseyya. Ayañca kayavikkayo nāma kappiyabhaṇḍavasena vutto. Kappiyena hi kappiyaṃ parivattentassa kayavikkayasikkhāpadena nissaggiyaṃ vuttaṃ, akappiyena pana akappiyaṃ parivattentassa, kappiyena vā akappiyaṃ akappiyena vā kappiyaṃ parivattentassa rūpiyasaṃvohārasikkhāpadena nissaggiyaṃ, tasmā ubhosu vā ekasmiṃ vā akappiye sati rūpiyasaṃvohāro nāma hoti.
๕๘. รูปิยสํโวหารสฺส จ ครุภาวทีปนตฺถํ อิทํ ปตฺตจตุกฺกํ เวทิตพฺพํฯ โย หิ รูปิยํ อุคฺคณฺหิตฺวา เตน อยพีชํ สมุฎฺฐาเปติ, ตํ โกฎฺฎาเปตฺวา เตน โลเหน ปตฺตํ กาเรติ, อยํ ปโตฺต มหาอกปฺปิโย นาม, น สกฺกา เกนจิ อุปาเยน กปฺปิโย กาตุํฯ สเจปิ ตํ วินาเสตฺวา ถาลกํ กาเรติ, ตมฺปิ อกปฺปิยํฯ วาสิํ กาเรติ, ตาย ฉินฺนทนฺตกฎฺฐมฺปิ อกปฺปิยํฯ พฬิสํ กาเรติ, เตน มาริตา มจฺฉาปิ อกปฺปิยาฯ วาสิํ ตาเปตฺวา อุทกํ วา ขีรํ วา อุณฺหาเปติ, ตมฺปิ อกปฺปิยเมวฯ
58. Rūpiyasaṃvohārassa ca garubhāvadīpanatthaṃ idaṃ pattacatukkaṃ veditabbaṃ. Yo hi rūpiyaṃ uggaṇhitvā tena ayabījaṃ samuṭṭhāpeti, taṃ koṭṭāpetvā tena lohena pattaṃ kāreti, ayaṃ patto mahāakappiyo nāma, na sakkā kenaci upāyena kappiyo kātuṃ. Sacepi taṃ vināsetvā thālakaṃ kāreti, tampi akappiyaṃ. Vāsiṃ kāreti, tāya chinnadantakaṭṭhampi akappiyaṃ. Baḷisaṃ kāreti, tena māritā macchāpi akappiyā. Vāsiṃ tāpetvā udakaṃ vā khīraṃ vā uṇhāpeti, tampi akappiyameva.
โย ปน รูปิยํ อุคฺคณฺหิตฺวา เตน ปตฺตํ กิณาติ, อยมฺปิ ปโตฺต อกปฺปิโยฯ ‘‘ปญฺจนฺนมฺปิ สหธมฺมิกานํ น กปฺปตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ สกฺกา ปน กปฺปิโย กาตุํฯ โส หิ มูเล มูลสามิกานํ, ปเตฺต จ ปตฺตสามิกานํ ทิเนฺน กปฺปิโย โหติ, กปฺปิยภณฺฑํ ทตฺวา คเหตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ
Yo pana rūpiyaṃ uggaṇhitvā tena pattaṃ kiṇāti, ayampi patto akappiyo. ‘‘Pañcannampi sahadhammikānaṃ na kappatī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Sakkā pana kappiyo kātuṃ. So hi mūle mūlasāmikānaṃ, patte ca pattasāmikānaṃ dinne kappiyo hoti, kappiyabhaṇḍaṃ datvā gahetvā paribhuñjituṃ vaṭṭati.
โยปิ รูปิยํ อุคฺคณฺหาเปตฺวา กปฺปิยการเกน สทฺธิํ กมฺมารกุลํ คนฺตฺวา ปตฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มยฺหํ รุจฺจตี’’ติ วทติ, กปฺปิยการโก จ ตํ รูปิยํ ทตฺวา กมฺมารํ สญฺญาเปติ, อยมฺปิ ปโตฺต กปฺปิยโวหาเรน คหิโตปิ ทุติยปตฺตสทิโสเยว, มูลสฺส สมฺปฎิจฺฉิตตฺตา อกปฺปิโยฯ กสฺมา เสสานํ น กปฺปตีติ? มูลสฺส อนิสฺสฎฺฐตฺตาฯ
Yopi rūpiyaṃ uggaṇhāpetvā kappiyakārakena saddhiṃ kammārakulaṃ gantvā pattaṃ disvā ‘‘ayaṃ mayhaṃ ruccatī’’ti vadati, kappiyakārako ca taṃ rūpiyaṃ datvā kammāraṃ saññāpeti, ayampi patto kappiyavohārena gahitopi dutiyapattasadisoyeva, mūlassa sampaṭicchitattā akappiyo. Kasmā sesānaṃ na kappatīti? Mūlassa anissaṭṭhattā.
โย ปน รูปิยํ อสมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘เถรสฺส ปตฺตํ กิณิตฺวา เทหี’’ติ ปหิตกปฺปิยการเกน สทฺธิํ กมฺมารกุลํ คนฺตฺวา ปตฺตํ ทิสฺวา ‘‘อิเม กหาปเณ คเหตฺวา อิมํ เทหี’’ติ กหาปเณ ทาเปตฺวา คหิโต, อยํ ปโตฺต เอตเสฺสว ภิกฺขุโน น วฎฺฎติ ทุพฺพิจาริตตฺตา, อเญฺญสํ ปน วฎฺฎติ มูลสฺส อสมฺปฎิจฺฉิตตฺตาฯ มหาสุมเตฺถรสฺส กิร อุปชฺฌาโย อนุรุทฺธเตฺถโร นาม อโหสิฯ โส อตฺตโน เอวรูปํ ปตฺตํ สปฺปิสฺส ปูเรตฺวา สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชิฯ ติปิฎกจูฬนาคเตฺถรสฺส สทฺธิวิหาริกานํ เอวรูโป ปโตฺต อโหสิฯ ตํ เถโรปิ สปฺปิสฺส ปูเรตฺวา สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชาเปสีติฯ อิทํ อกปฺปิยปตฺตจตุกฺกํฯ
Yo pana rūpiyaṃ asampaṭicchitvā ‘‘therassa pattaṃ kiṇitvā dehī’’ti pahitakappiyakārakena saddhiṃ kammārakulaṃ gantvā pattaṃ disvā ‘‘ime kahāpaṇe gahetvā imaṃ dehī’’ti kahāpaṇe dāpetvā gahito, ayaṃ patto etasseva bhikkhuno na vaṭṭati dubbicāritattā, aññesaṃ pana vaṭṭati mūlassa asampaṭicchitattā. Mahāsumattherassa kira upajjhāyo anuruddhatthero nāma ahosi. So attano evarūpaṃ pattaṃ sappissa pūretvā saṅghassa nissajji. Tipiṭakacūḷanāgattherassa saddhivihārikānaṃ evarūpo patto ahosi. Taṃ theropi sappissa pūretvā saṅghassa nissajjāpesīti. Idaṃ akappiyapattacatukkaṃ.
สเจ ปน รูปิยํ อสมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘เถรสฺส ปตฺตํ กิณิตฺวา เทหี’’ติ ปหิตกปฺปิยการเกน สทฺธิํ กมฺมารกุลํ คนฺตฺวา ปตฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มยฺหํ รุจฺจตี’’ติ วา ‘‘อิมาหํ คเหสฺสามี’’ติ วา วทติ, กปฺปิยการโก จ ตํ รูปิยํ ทตฺวา กมฺมารํ สญฺญาเปติ, อยํ ปโตฺต สพฺพกปฺปิโย พุทฺธานมฺปิ ปริโภคารโหฯ อิมํ ปน รูปิยสํโวหารํ กโรเนฺตน ‘‘อิมินา อิมํ คเหตฺวา เทหี’’ติ กปฺปิยการกมฺปิ อาจิกฺขิตุํ น วฎฺฎติฯ
Sace pana rūpiyaṃ asampaṭicchitvā ‘‘therassa pattaṃ kiṇitvā dehī’’ti pahitakappiyakārakena saddhiṃ kammārakulaṃ gantvā pattaṃ disvā ‘‘ayaṃ mayhaṃ ruccatī’’ti vā ‘‘imāhaṃ gahessāmī’’ti vā vadati, kappiyakārako ca taṃ rūpiyaṃ datvā kammāraṃ saññāpeti, ayaṃ patto sabbakappiyo buddhānampi paribhogāraho. Imaṃ pana rūpiyasaṃvohāraṃ karontena ‘‘iminā imaṃ gahetvā dehī’’ti kappiyakārakampi ācikkhituṃ na vaṭṭati.
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
กยวิกฺกยสมาปตฺติวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Kayavikkayasamāpattivinicchayakathā samattā.