Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๔๖] ๖. เกสวชาตกวณฺณนา

    [346] 6. Kesavajātakavaṇṇanā

    มนุสฺสินฺทํ ชหิตฺวานาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต วิสฺสาสโภชนํ อารพฺภ กเถสิฯ อนาถปิณฺฑิกสฺส กิร เคเห ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ นิพทฺธภตฺตํ โหติ, เคหํ นิจฺจกาลํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอปานภูตํ กาสาวปโชฺชตํ อิสิวาตปฎิวาตํฯ อเถกทิวสํ ราชา นครํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต เสฎฺฐิโน นิเวสเน ภิกฺขุสงฺฆํ ทิสฺวา ‘‘อหมฺปิ อริยสงฺฆสฺส นิพทฺธํ ภิกฺขํ ทสฺสามี’’ติ วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ นิพทฺธํ ภิกฺขํ ปฎฺฐเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ราชนิเวสเน นิพทฺธํ ภิกฺขา ทิยฺยติ, ติวสฺสิกคนฺธสาลิโภชนํ ปณีตํฯ วิสฺสาเสนปิ สิเนเหนปิ สหตฺถา ทายกา นตฺถิ, ราชยุเตฺต ทาเปสิฯ ภิกฺขู นิสีทิตฺวา ภุญฺชิตุํ น อิจฺฉนฺติ, นานคฺครสภตฺตํ คเหตฺวา อตฺตโน อตฺตโน อุปฎฺฐากกุลํ คนฺตฺวา ตํ ภตฺตํ เตสํ ทตฺวา เตหิ ทินฺนํ ลูขํ วา ปณีตํ วา ภุญฺชนฺติฯ

    Manussindaṃ jahitvānāti idaṃ satthā jetavane viharanto vissāsabhojanaṃ ārabbha kathesi. Anāthapiṇḍikassa kira gehe pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ nibaddhabhattaṃ hoti, gehaṃ niccakālaṃ bhikkhusaṅghassa opānabhūtaṃ kāsāvapajjotaṃ isivātapaṭivātaṃ. Athekadivasaṃ rājā nagaraṃ padakkhiṇaṃ karonto seṭṭhino nivesane bhikkhusaṅghaṃ disvā ‘‘ahampi ariyasaṅghassa nibaddhaṃ bhikkhaṃ dassāmī’’ti vihāraṃ gantvā satthāraṃ vanditvā pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ nibaddhaṃ bhikkhaṃ paṭṭhapesi. Tato paṭṭhāya rājanivesane nibaddhaṃ bhikkhā diyyati, tivassikagandhasālibhojanaṃ paṇītaṃ. Vissāsenapi sinehenapi sahatthā dāyakā natthi, rājayutte dāpesi. Bhikkhū nisīditvā bhuñjituṃ na icchanti, nānaggarasabhattaṃ gahetvā attano attano upaṭṭhākakulaṃ gantvā taṃ bhattaṃ tesaṃ datvā tehi dinnaṃ lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā bhuñjanti.

    อเถกทิวสํ รโญฺญ พหุํ ผลาผลํ อาหริํสุฯ ราชา ‘‘สงฺฆสฺส เทถา’’ติ อาหฯ มนุสฺสา ภตฺตคฺคํ คนฺตฺวา เอกภิกฺขุมฺปิ อทิสฺวา ‘‘เอโก ภิกฺขุปิ นตฺถี’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ‘‘นนุ เวลาเยว ตาวา’’ติ? ‘‘อาม, เวลา, ภิกฺขู ปน ตุมฺหากํ เคเห ภตฺตํ คเหตฺวา อตฺตโน อตฺตโน วิสฺสาสิกานํ อุปฎฺฐากานํ เคหํ คนฺตฺวา เตสํ ทตฺวา เตหิ ทินฺนํ ลูขํ วา ปณีตํ วา ภุญฺชนฺตี’’ติฯ ราชา ‘‘อมฺหากํ ภตฺตํ ปณีตํ, เกน นุ โข การเณน อภุตฺวา อญฺญํ ภุญฺชนฺติ, สตฺถารํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปุจฺฉิฯ สตฺถา ‘‘มหาราช, โภชนํ นาม วิสฺสาสปรมํ, ตุมฺหากํ เคเห วิสฺสาสํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา สิเนเหน ทายกานํ อภาวา ภิกฺขู ภตฺตํ คเหตฺวา อตฺตโน อตฺตโน วิสฺสาสิกฎฺฐาเน ปริภุญฺชนฺติฯ มหาราช, วิสฺสาสสทิโส อโญฺญ รโส นาม นตฺถิ, อวิสฺสาสิเกน ทินฺนํ จตุมธุรมฺปิ หิ วิสฺสาสิเกน ทินฺนํ สามากภตฺตํ น อคฺฆติฯ โปราณกปณฺฑิตาปิ โรเค อุปฺปเนฺน รญฺญา ปญฺจ เวชฺชกุลานิ คเหตฺวา เภสเชฺช การิเตปิ โรเค อวูปสเนฺต วิสฺสาสิกานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา อโลณกํ สามากนีวารยาคุเญฺจว อุทกมตฺตสิตฺตํ อโลณกปณฺณญฺจ ปริภุญฺชิตฺวา นิโรคา ชาตา’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Athekadivasaṃ rañño bahuṃ phalāphalaṃ āhariṃsu. Rājā ‘‘saṅghassa dethā’’ti āha. Manussā bhattaggaṃ gantvā ekabhikkhumpi adisvā ‘‘eko bhikkhupi natthī’’ti rañño ārocesuṃ. ‘‘Nanu velāyeva tāvā’’ti? ‘‘Āma, velā, bhikkhū pana tumhākaṃ gehe bhattaṃ gahetvā attano attano vissāsikānaṃ upaṭṭhākānaṃ gehaṃ gantvā tesaṃ datvā tehi dinnaṃ lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā bhuñjantī’’ti. Rājā ‘‘amhākaṃ bhattaṃ paṇītaṃ, kena nu kho kāraṇena abhutvā aññaṃ bhuñjanti, satthāraṃ pucchissāmī’’ti cintetvā vihāraṃ gantvā satthāraṃ vanditvā pucchi. Satthā ‘‘mahārāja, bhojanaṃ nāma vissāsaparamaṃ, tumhākaṃ gehe vissāsaṃ paccupaṭṭhāpetvā sinehena dāyakānaṃ abhāvā bhikkhū bhattaṃ gahetvā attano attano vissāsikaṭṭhāne paribhuñjanti. Mahārāja, vissāsasadiso añño raso nāma natthi, avissāsikena dinnaṃ catumadhurampi hi vissāsikena dinnaṃ sāmākabhattaṃ na agghati. Porāṇakapaṇḍitāpi roge uppanne raññā pañca vejjakulāni gahetvā bhesajje kāritepi roge avūpasante vissāsikānaṃ santikaṃ gantvā aloṇakaṃ sāmākanīvārayāguñceva udakamattasittaṃ aloṇakapaṇṇañca paribhuñjitvā nirogā jātā’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กาสิรเฎฺฐ พฺรามฺหณกุเล นิพฺพตฺติ, ‘‘กปฺปกุมาโร’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา อปรภาเค อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ ตทา เกสโว นาม ตาปโส ปญฺจหิ ตาปสสเตหิ ปริวุโต คณสตฺถา หุตฺวา หิมวเนฺต วสติฯ โพธิสโตฺต ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปญฺจนฺนํ อเนฺตวาสิกสตานํ เชฎฺฐเนฺตวาสิโก หุตฺวา วิหาสิ, เกสวตาปสสฺส หิตชฺฌาสโย สสิเนโห อโหสิฯ เต อญฺญมญฺญํ อติวิย วิสฺสาสิกา อเหสุํฯ อปรภาเค เกสโว เต ตาปเส อาทาย โลณมฺพิลเสวนตฺถาย มนุสฺสปถํ คนฺตฺวา พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิตฺวา ปุนทิวเส นครํ ภิกฺขาย ปวิสิตฺวา ราชทฺวารํ อคมาสิฯ ราชา อิสิคณํ ทิสฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา อโนฺตนิเวสเน โภเชตฺวา ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อุยฺยาเน วสาเปสิฯ อถ วสฺสารเตฺต อติกฺกเนฺต เกสโว ราชานํ อาปุจฺฉิฯ ราชา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห มหลฺลกา, อเมฺห ตาว อุปนิสฺสาย วสถ, ทหรตาปเส หิมวนฺตํ เปเสถา’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ เชฎฺฐเนฺตวาสิเกน สทฺธิํ เต หิมวนฺตํ เปเสตฺวา สยํ เอกโกว โอหิยิฯ กโปฺป หิมวนฺตํ คนฺตฺวา ตาปเสหิ สทฺธิํ วสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kāsiraṭṭhe brāmhaṇakule nibbatti, ‘‘kappakumāro’’tissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā aparabhāge isipabbajjaṃ pabbaji. Tadā kesavo nāma tāpaso pañcahi tāpasasatehi parivuto gaṇasatthā hutvā himavante vasati. Bodhisatto tassa santikaṃ gantvā pañcannaṃ antevāsikasatānaṃ jeṭṭhantevāsiko hutvā vihāsi, kesavatāpasassa hitajjhāsayo sasineho ahosi. Te aññamaññaṃ ativiya vissāsikā ahesuṃ. Aparabhāge kesavo te tāpase ādāya loṇambilasevanatthāya manussapathaṃ gantvā bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasitvā punadivase nagaraṃ bhikkhāya pavisitvā rājadvāraṃ agamāsi. Rājā isigaṇaṃ disvā pakkosāpetvā antonivesane bhojetvā paṭiññaṃ gahetvā uyyāne vasāpesi. Atha vassāratte atikkante kesavo rājānaṃ āpucchi. Rājā ‘‘bhante, tumhe mahallakā, amhe tāva upanissāya vasatha, daharatāpase himavantaṃ pesethā’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti jeṭṭhantevāsikena saddhiṃ te himavantaṃ pesetvā sayaṃ ekakova ohiyi. Kappo himavantaṃ gantvā tāpasehi saddhiṃ vasi.

    เกสโว กเปฺปน วินา วสโนฺต อุกฺกณฺฐิตฺวา ตํ ทฎฺฐุกาโม หุตฺวา นิทฺทํ น ลภติ, ตสฺส นิทฺทํ อลภนฺตสฺส สมฺมา อาหาโร น ปริณามํ คจฺฉติ, โลหิตปกฺขนฺทิกา อโหสิ, พาฬฺหา เวทนา วตฺตนฺติฯ ราชา ปญฺจ เวชฺชกุลานิ คเหตฺวา ตาปสํ ปฎิชคฺคิ, โรโค น วูปสมฺมติฯ เกสโว ราชานํ อาห ‘‘มหาราช, กิํ มยฺหํ มรณํ อิจฺฉถ, อุทาหุ อโรคภาว’’นฺติ ? ‘‘อโรคภาวํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เตน หิ มํ หิมวนฺตํ เปเสถา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ ราชา นารทํ นาม อมจฺจํ ปกฺกาสาเปตฺวา ‘‘นารท, อมฺหากํ ภทนฺตํ คเหตฺวา วนจรเกหิ สทฺธิํ หิมวนฺตํ ยาหี’’ติ เปเสสิฯ นารโท ตํ ตตฺถ เนตฺวา ปจฺจาคมาสิฯ เกสวสฺสปิ กเปฺป ทิฎฺฐมเตฺตเยว เจตสิกโรโค วูปสโนฺต, อุกฺกณฺฐา ปฎิปฺปสฺสมฺภิฯ อถสฺส กโปฺป อโลณเกน อธูปเนน อุทกมตฺตสิตฺตปเณฺณน สทฺธิํ สามากนีวารยาคุํ อทาสิ, ตสฺส ตงฺขณเญฺญว โลหิตปกฺขนฺทิกา ปฎิปฺปสฺสมฺภิฯ

    Kesavo kappena vinā vasanto ukkaṇṭhitvā taṃ daṭṭhukāmo hutvā niddaṃ na labhati, tassa niddaṃ alabhantassa sammā āhāro na pariṇāmaṃ gacchati, lohitapakkhandikā ahosi, bāḷhā vedanā vattanti. Rājā pañca vejjakulāni gahetvā tāpasaṃ paṭijaggi, rogo na vūpasammati. Kesavo rājānaṃ āha ‘‘mahārāja, kiṃ mayhaṃ maraṇaṃ icchatha, udāhu arogabhāva’’nti ? ‘‘Arogabhāvaṃ, bhante’’ti. ‘‘Tena hi maṃ himavantaṃ pesethā’’ti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti rājā nāradaṃ nāma amaccaṃ pakkāsāpetvā ‘‘nārada, amhākaṃ bhadantaṃ gahetvā vanacarakehi saddhiṃ himavantaṃ yāhī’’ti pesesi. Nārado taṃ tattha netvā paccāgamāsi. Kesavassapi kappe diṭṭhamatteyeva cetasikarogo vūpasanto, ukkaṇṭhā paṭippassambhi. Athassa kappo aloṇakena adhūpanena udakamattasittapaṇṇena saddhiṃ sāmākanīvārayāguṃ adāsi, tassa taṅkhaṇaññeva lohitapakkhandikā paṭippassambhi.

    ปุน ราชา นารทํ เปเสสิ ‘‘คจฺฉ เกสวสฺส ตาปสสฺส ปวตฺติํ ชานาหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา ตํ อโรคํ ทิสฺวา ‘‘ภเนฺต, พาราณสิราชา ปญฺจ เวชฺชกุลานิ คเหตฺวา ปฎิชคฺคโนฺต ตุเมฺห อโรเค กาตุํ นาสกฺขิ, กถํ เต กโปฺป ปฎิชคฺคี’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Puna rājā nāradaṃ pesesi ‘‘gaccha kesavassa tāpasassa pavattiṃ jānāhī’’ti. So gantvā taṃ arogaṃ disvā ‘‘bhante, bārāṇasirājā pañca vejjakulāni gahetvā paṭijagganto tumhe aroge kātuṃ nāsakkhi, kathaṃ te kappo paṭijaggī’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๗๗.

    177.

    ‘‘มนุสฺสินฺทํ ชหิตฺวาน, สพฺพกามสมิทฺธินํ;

    ‘‘Manussindaṃ jahitvāna, sabbakāmasamiddhinaṃ;

    กถํ นุ ภควา เกสี, กปฺปสฺส รมติ อสฺสเม’’ติฯ

    Kathaṃ nu bhagavā kesī, kappassa ramati assame’’ti.

    ตตฺถ มนุสฺสินฺทนฺติ มนุสฺสานํ อินฺทํ พาราณสิราชานํฯ กถํ นุ ภควา เกสีติ เกน นุ โข อุปาเยน อยํ อมฺหากํ ภควา เกสวตาปโส กปฺปสฺส อสฺสเม รมตีติฯ

    Tattha manussindanti manussānaṃ indaṃ bārāṇasirājānaṃ. Kathaṃ nu bhagavā kesīti kena nu kho upāyena ayaṃ amhākaṃ bhagavā kesavatāpaso kappassa assame ramatīti.

    เอวํ อเญฺญหิ สทฺธิํ สลฺลปโนฺต วิย เกสวสฺส อภิรติการณํ ปุจฺฉิฯ ตํ สุตฺวา เกสโว ทุติยํ คาถมาห –

    Evaṃ aññehi saddhiṃ sallapanto viya kesavassa abhiratikāraṇaṃ pucchi. Taṃ sutvā kesavo dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๗๘.

    178.

    ‘‘สาทูนิ รมณียานิ, สนฺติ วกฺขา มโนรมา;

    ‘‘Sādūni ramaṇīyāni, santi vakkhā manoramā;

    สุภาสิตานิ กปฺปสฺส, นารท รมยนฺติ ม’’นฺติฯ

    Subhāsitāni kappassa, nārada ramayanti ma’’nti.

    ตตฺถ วกฺขาติ รุกฺขาฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘รุกฺขา’’เตฺวว ลิขิตํฯ สุภาสิตานีติ กเปฺปน กถิตานิ สุภาสิตานิ มํ รมยนฺตีติ อโตฺถฯ

    Tattha vakkhāti rukkhā. Pāḷiyaṃ pana ‘‘rukkhā’’tveva likhitaṃ. Subhāsitānīti kappena kathitāni subhāsitāni maṃ ramayantīti attho.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘เอวํ มํ อภิรมาเปโนฺต กโปฺป อโลณกํ อธูปนํ อุทกสิตฺตปณฺณมิสฺสํ สามากนีวารยาคุํ ปาเยสิ, ตาย เม สรีเร พฺยาธิ วูปสมิโต, อโรโค ชาโตมฺหี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา นารโท ตติยํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘evaṃ maṃ abhiramāpento kappo aloṇakaṃ adhūpanaṃ udakasittapaṇṇamissaṃ sāmākanīvārayāguṃ pāyesi, tāya me sarīre byādhi vūpasamito, arogo jātomhī’’ti āha. Taṃ sutvā nārado tatiyaṃ gāthamāha –

    ๑๗๙.

    179.

    ‘‘สาลีนํ โอทนํ ภุเญฺช, สุจิํ มํสูปเสจนํ;

    ‘‘Sālīnaṃ odanaṃ bhuñje, suciṃ maṃsūpasecanaṃ;

    กถํ สามากนีวารํ, อโลณํ ฉาทยนฺติ ต’’นฺติฯ

    Kathaṃ sāmākanīvāraṃ, aloṇaṃ chādayanti ta’’nti.

    ตตฺถ ภุเญฺชติ ภุญฺชสิ, อยเมว วา ปาโฐฯ ฉาทยนฺตีติ ฉาทยติ ปีเณติ โตเสติฯ คาถาพนฺธสุขตฺถํ ปน อนุนาสิโก กโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย ตฺวํ สุจิํ มํสูปเสจนํ ราชกุเล ราชารหํ สาลิภตฺตํ ภุญฺชสิ, ตํ กถมิทํ สามากนีวารํ อโลณํ ปีเณติ โตเสติ, กถํ เต เอตํ รุจฺจตีติฯ

    Tattha bhuñjeti bhuñjasi, ayameva vā pāṭho. Chādayantīti chādayati pīṇeti toseti. Gāthābandhasukhatthaṃ pana anunāsiko kato. Idaṃ vuttaṃ hoti – yo tvaṃ suciṃ maṃsūpasecanaṃ rājakule rājārahaṃ sālibhattaṃ bhuñjasi, taṃ kathamidaṃ sāmākanīvāraṃ aloṇaṃ pīṇeti toseti, kathaṃ te etaṃ ruccatīti.

    ตํ สุตฺวา เกสโว จตุตฺถํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā kesavo catutthaṃ gāthamāha –

    ๑๘๐.

    180.

    ‘‘สาทุํ วา ยทิ วาสาทุํ, อปฺปํ วา ยทิ วา พหุํ;

    ‘‘Sāduṃ vā yadi vāsāduṃ, appaṃ vā yadi vā bahuṃ;

    วิสฺสโตฺถ ยตฺถ ภุเญฺชยฺย, วิสฺสาสปรมา รสา’’ติฯ

    Vissattho yattha bhuñjeyya, vissāsaparamā rasā’’ti.

    ตตฺถ ยทิ วาสาทุนฺติ ยทิ วา อสาทุํฯ วิสฺสโตฺถติ นิราสโงฺก วิสฺสาสปโตฺต หุตฺวาฯ ยตฺถ ภุเญฺชยฺยาติ ยสฺมิํ นิเวสเน เอวํ ภุเญฺชยฺย, ตตฺถ เอวํ ภุตฺตํ ยํกิญฺจิ โภชนํ สาทุเมวฯ กสฺมา? ยสฺมา วิสฺสาสปรมา รสา, วิสฺสาโส ปรโม อุตฺตโม เอเตสนฺติ วิสฺสาสปรมา รสาฯ วิสฺสาสสทิโส หิ อโญฺญ รโส นาม นตฺถิฯ อวิสฺสาสิเกน หิ ทินฺนํ จตุมธุรมฺปิ วิสฺสาสิเกน ทินฺนํ อมฺพิลกญฺชิยํ น อคฺฆตีติฯ

    Tattha yadi vāsādunti yadi vā asāduṃ. Vissatthoti nirāsaṅko vissāsapatto hutvā. Yattha bhuñjeyyāti yasmiṃ nivesane evaṃ bhuñjeyya, tattha evaṃ bhuttaṃ yaṃkiñci bhojanaṃ sādumeva. Kasmā? Yasmā vissāsaparamā rasā, vissāso paramo uttamo etesanti vissāsaparamā rasā. Vissāsasadiso hi añño raso nāma natthi. Avissāsikena hi dinnaṃ catumadhurampi vissāsikena dinnaṃ ambilakañjiyaṃ na agghatīti.

    นารโท ตสฺส วจนํ สุตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เกสโว อิทํ นาม กเถสี’’ติ อาจิกฺขิฯ

    Nārado tassa vacanaṃ sutvā rañño santikaṃ gantvā ‘‘kesavo idaṃ nāma kathesī’’ti ācikkhi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, นารโท สาริปุโตฺต, เกสโว พกพฺรหฺมา, กโปฺป ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, nārado sāriputto, kesavo bakabrahmā, kappo pana ahameva ahosi’’nti.

    เกสวชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ

    Kesavajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๔๖. เกสวชาตกํ • 346. Kesavajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact