Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) |
๑๑. เกวฎฺฎสุตฺตวณฺณนา
11. Kevaṭṭasuttavaṇṇanā
เกวฎฺฎคหปติปุตฺตวตฺถุวณฺณนา
Kevaṭṭagahapatiputtavatthuvaṇṇanā
๔๘๑. ปาวาริกมฺพวเนติ ปาวาริกเสฎฺฐิโน อมฺพพหุเล อุปวเนฯ ตํ กิร โส เสฎฺฐี ภควโต อนุจฺฉวิกํ คนฺธกุฎิํ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานกุฎิมณฺฑปาทีนิ สมฺปาเทตฺวา ปาการปริกฺขิตฺตํ ทฺวารโกฎฺฐกสมฺปนฺนํ กตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส นิยฺยาเตสิ, ปุริมโวหาเรน ปน ‘‘ปาวาริกมฺพวน’’นฺติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ ปาวาริกมฺพวเนฯ เกวโฎฺฎติ อิทํ ตสฺส นามํ เกวเฎฺฎหิ สํรกฺขิตตฺตา, เตสํ วา สนฺติเก สํวฑฺฒิตตฺตาติ เกจิฯ ‘‘คหปติปุตฺตสฺสา’’ติ เอตฺถ กามํ ตทา โส คหปติฎฺฐาเน ฐิโต, ปิตุ ปนสฺส อจิรกาลํกตตาย ปุริมสมญฺญาย ‘‘คหปติปุโตฺต’’ เตฺวว โวหรียติ, เตนาห ‘‘คหปติ มหาสาโล’’ติฯ มหาวิภวตาย มหาสาโร, คหปตีติ อโตฺถ ร-การสฺส ล-การํ กตฺวา ‘‘มหาสาโล สุขุมาโล อห’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๓๙) วิยฯ สทฺธาสมฺปโนฺนติ โปถุชฺชนิกาย สทฺธาย วเสน สทฺธา สมนฺนาคโตฯ
481.Pāvārikambavaneti pāvārikaseṭṭhino ambabahule upavane. Taṃ kira so seṭṭhī bhagavato anucchavikaṃ gandhakuṭiṃ, bhikkhusaṅghassa ca rattiṭṭhānadivāṭṭhānakuṭimaṇḍapādīni sampādetvā pākāraparikkhittaṃ dvārakoṭṭhakasampannaṃ katvā buddhappamukhassa saṅghassa niyyātesi, purimavohārena pana ‘‘pāvārikambavana’’nti vuccati, tasmiṃ pāvārikambavane. Kevaṭṭoti idaṃ tassa nāmaṃ kevaṭṭehi saṃrakkhitattā, tesaṃ vā santike saṃvaḍḍhitattāti keci. ‘‘Gahapatiputtassā’’ti ettha kāmaṃ tadā so gahapatiṭṭhāne ṭhito, pitu panassa acirakālaṃkatatāya purimasamaññāya ‘‘gahapatiputto’’ tveva voharīyati, tenāha ‘‘gahapati mahāsālo’’ti. Mahāvibhavatāya mahāsāro, gahapatīti attho ra-kārassa la-kāraṃ katvā ‘‘mahāsālo sukhumālo aha’’ntiādīsu (a. ni. 3.39) viya. Saddhāsampannoti pothujjanikāya saddhāya vasena saddhā samannāgato.
สมิทฺธาติ สมฺมเทว อิทฺธา, อิทฺธิยา วิภวสมฺปตฺติยา เวปุลฺลปฺปตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘เอหิ ตฺวํ ภิกฺขุ อนฺวทฺธมาสํ, อนุมาสํ, อนุสํวจฺฉรํ วา มนุสฺสานํ ปสาทาย อิทฺธิปาฎิหาริยํ กโรหี’’ติ เอกสฺส ภิกฺขุโน อาณาปนํ ตสฺมิํ ฐาเน ตสฺส ฐปนํ นาม โหตีติ อาห ‘‘ฐานนฺตเร ฐเปตู’’ติฯ อุตฺตริมนุสฺสานํ ธมฺมโตติ อุตฺตริมนุสฺสานํ พุทฺธาทีนํ อธิคมธมฺมโตฯ นิทฺธารเณ เจตํ นิสฺสกฺกํฯ อิทฺธิปาฎิหาริยญฺหิ ตโต นิทฺธาเรติฯ มนุสฺสธมฺมโต อุตฺตรีติ ปกติมนุสฺสธมฺมโต อุปริฯ ปชฺชลิตปทีโปติ ปชฺชลโนฺต ปทีโปฯ
Samiddhāti sammadeva iddhā, iddhiyā vibhavasampattiyā vepullappattāti attho. ‘‘Ehi tvaṃ bhikkhu anvaddhamāsaṃ, anumāsaṃ, anusaṃvaccharaṃ vā manussānaṃ pasādāya iddhipāṭihāriyaṃ karohī’’ti ekassa bhikkhuno āṇāpanaṃ tasmiṃ ṭhāne tassa ṭhapanaṃ nāma hotīti āha ‘‘ṭhānantare ṭhapetū’’ti. Uttarimanussānaṃdhammatoti uttarimanussānaṃ buddhādīnaṃ adhigamadhammato. Niddhāraṇe cetaṃ nissakkaṃ. Iddhipāṭihāriyañhi tato niddhāreti. Manussadhammato uttarīti pakatimanussadhammato upari. Pajjalitapadīpoti pajjalanto padīpo.
๔๘๒. น ธํเสมีติ คุณสมฺปตฺติโต น จาเวมิ, เตนาห ‘‘สีลเภท’’นฺติอาทิฯ วิสฺสาสํ วเฑฺฒตฺวา ภควติ อตฺตโน วิสฺสตฺถภาวํ พฺรูเหตฺวา วิภูตํ ปากฎํ กตฺวาฯ
482.Na dhaṃsemīti guṇasampattito na cāvemi, tenāha ‘‘sīlabheda’’ntiādi. Vissāsaṃ vaḍḍhetvā bhagavati attano vissatthabhāvaṃ brūhetvā vibhūtaṃ pākaṭaṃ katvā.
อิทฺธิปาฎิหาริยวณฺณนา
Iddhipāṭihāriyavaṇṇanā
๔๘๓-๔. อาทีนวนฺติ โทสํฯ คนฺธารีติ จูฬคนฺธารี, มหาคนฺธารีติ เทฺว คนฺธารีวิชฺชาฯ ตตฺถ จูฬคนฺธารี นาม ติวสฺสโต โอรํ มตานํ สตฺตานํ อุปปนฺนฎฺฐานชานนวิชฺชาฯ มหาคนฺธารี ตมฺปิ ชานาติ ตโต อุตฺตริปิ อิทฺธิวิธญาณกปฺปํ เยภุเยฺยน อิทฺธิวิธกิจฺจํ สาเธติฯ ตสฺสา กิร วิชฺชาย สาธโก ปุคฺคโล ตาทิเส เทสกาเล มนฺตํ ปริชปฺปิตฺวา พหุธาปิ อตฺตานํ ทเสฺสติ, หตฺถิอาทีนิปิ ทเสฺสติ, ทสฺสนีโยปิ โหติ, อคฺคิถมฺภมฺปิ กโรติ, ชลถมฺภมฺปิ กโรติ, อากาเสปิ อตฺตานํ ทเสฺสติฯ สพฺพํ อินฺทชาลสทิสํ ทฎฺฐพฺพํฯ อโฎฺฎติ ทุกฺขิโต พาธิโต, เตนาห ‘‘ปีฬิโต’’ติฯ
483-4.Ādīnavanti dosaṃ. Gandhārīti cūḷagandhārī, mahāgandhārīti dve gandhārīvijjā. Tattha cūḷagandhārī nāma tivassato oraṃ matānaṃ sattānaṃ upapannaṭṭhānajānanavijjā. Mahāgandhārī tampi jānāti tato uttaripi iddhividhañāṇakappaṃ yebhuyyena iddhividhakiccaṃ sādheti. Tassā kira vijjāya sādhako puggalo tādise desakāle mantaṃ parijappitvā bahudhāpi attānaṃ dasseti, hatthiādīnipi dasseti, dassanīyopi hoti, aggithambhampi karoti, jalathambhampi karoti, ākāsepi attānaṃ dasseti. Sabbaṃ indajālasadisaṃ daṭṭhabbaṃ. Aṭṭoti dukkhito bādhito, tenāha ‘‘pīḷito’’ti.
อาเทสนาปาฎิหาริยวณฺณนา
Ādesanāpāṭihāriyavaṇṇanā
๔๘๕. กามํ ‘‘เจตสิก’’นฺติ ปทํ เย เจตสิ นิยุตฺตา จิเตฺตน สมฺปยุตฺตา, เตสํ สาธารณวจนํ, สาธารเณ ปน คหิเต จิตฺตวิเสโส คหิโตว โหติ, สามญฺญโชตนา จ วิเสเส อวติฎฺฐตีติ เจตสิกคฺคหณสฺส อธิปฺปายํ วิวรโนฺต ‘‘โสมนสฺสโทมนสฺสํ อธิเปฺปต’’นฺติ อาหฯ โสมนสฺสคฺคหเณน เจตฺถ ตเทกฎฺฐา ราคาทโย, สทฺธาทโย จ ทสฺสิตา โหนฺติ, โทมนสฺสคฺคหเณน โทสาทโยฯ วิตกฺกวิจารา ปน สรูเปเนว ทสฺสิตาฯ เอวํ ตว มโนติ อิมินา อากาเรน ตว มโน ปวโตฺตติ อโตฺถ ฯ เกน ปกาเรน ปวโตฺตติ อาห ‘‘โสมนสฺสิโต วา’’ติอาทิฯ ‘‘เอวํ ตว มโน’’ติ อิทํ ปน โสมนสฺสิตตาทิมตฺตทสฺสนํ, น ปน เยน เยน โสมนสฺสิโต วา โทมนสฺสิโต วา, ตํ ตํ ทสฺสนํฯ ทุติยนฺติ ‘‘อิตฺถมฺปิ เต มโน’’ติ อิทํฯ อิติปีติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท นิทสฺสนโตฺถ ‘‘อตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยเมโก อโนฺต’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๕; ๓.๙๐) วิย, เตนาห ‘‘อิมญฺจ อิมญฺจ อตฺถํ จินฺตยมาน’’นฺติ ปิ-สโทฺท วุตฺตตฺถสมฺปิณฺฑนโตฺถฯ ปรสฺส จินฺตํ มนติ ชานาติ เอเตนาติ จินฺตามณิฯ ตสฺสา กิร วิชฺชาย สาธโก ปุคฺคโล ตาทิเส เทสกาเล มนฺตํ ปริชปฺปิตฺวา ยสฺส จิตฺตํ ชานิตุกาโม, ตสฺส ทิฎฺฐสุตาทิวิเสสสญฺชานนมุเขน จิตฺตาจารํ อนุมินโนฺต กเถตีติ เกจิฯ อปเร ‘‘วาจํ นิจฺฉราเปตฺวา ตตฺถ อกฺขรสลฺลกฺขณวเสนา’’ติ วทนฺติฯ
485. Kāmaṃ ‘‘cetasika’’nti padaṃ ye cetasi niyuttā cittena sampayuttā, tesaṃ sādhāraṇavacanaṃ, sādhāraṇe pana gahite cittaviseso gahitova hoti, sāmaññajotanā ca visese avatiṭṭhatīti cetasikaggahaṇassa adhippāyaṃ vivaranto ‘‘somanassadomanassaṃ adhippeta’’nti āha. Somanassaggahaṇena cettha tadekaṭṭhā rāgādayo, saddhādayo ca dassitā honti, domanassaggahaṇena dosādayo. Vitakkavicārā pana sarūpeneva dassitā. Evaṃ tava manoti iminā ākārena tava mano pavattoti attho . Kena pakārena pavattoti āha ‘‘somanassito vā’’tiādi. ‘‘Evaṃ tava mano’’ti idaṃ pana somanassitatādimattadassanaṃ, na pana yena yena somanassito vā domanassito vā, taṃ taṃ dassanaṃ. Dutiyanti ‘‘itthampi te mano’’ti idaṃ. Itipīti ettha iti-saddo nidassanattho ‘‘atthīti kho, kaccāna, ayameko anto’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.15; 3.90) viya, tenāha ‘‘imañca imañca atthaṃ cintayamāna’’nti pi-saddo vuttatthasampiṇḍanattho. Parassa cintaṃ manati jānāti etenāti cintāmaṇi. Tassā kira vijjāya sādhako puggalo tādise desakāle mantaṃ parijappitvā yassa cittaṃ jānitukāmo, tassa diṭṭhasutādivisesasañjānanamukhena cittācāraṃ anuminanto kathetīti keci. Apare ‘‘vācaṃ niccharāpetvā tattha akkharasallakkhaṇavasenā’’ti vadanti.
อนุสาสนีปาฎิหาริยวณฺณนา
Anusāsanīpāṭihāriyavaṇṇanā
๔๘๖. ปวเตฺตนฺตาติ ปวตฺตนกา หุตฺวา, ปวตฺตนวเสนาติ อโตฺถฯ ‘‘เอว’’นฺติ หิ ปทํ ยถานุสิฎฺฐาย อนุสาสนิยา วิธิวเสน, ปฎิเสธวเสน จ ปวตฺติอาการปรามสนํ, สา จ สมฺมาวิตกฺกานํ มิจฺฉาวิตกฺกานญฺจ ปวตฺติอาการทสฺสนวเสน ปวตฺตติ ตตฺถ อานิสํสสฺส อาทีนวสฺส จ วิภาวนตฺถํฯ อนิจฺจสญฺญเมว น นิจฺจสญฺญนฺติ อโตฺถฯ ปฎิโยคีนิวตฺตนตฺถญฺหิ เอว-การคฺคหณํฯ อิธาปิ เอวํ สทฺทคฺคหณสฺส อโตฺถ, ปโยชนญฺจ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อิทํคหเณปิ เอเสว นโยฯ ปญฺจกามคุณิกราคนฺติ นิทสฺสนมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํ, ตทญฺญราคสฺส, โทสาทีนญฺจ ปหานสฺส อิจฺฉิตตฺตา, ตปฺปหานสฺส จ ตทญฺญราคาทิเขปนสฺส อุปายภาวโต ตถา วุตฺตํ ทุฎฺฐโลหิตวิโมจนสฺส ปุพฺพทุฎฺฐมํสเขปนูปายตา วิยฯ โลกุตฺตรธมฺมเมวาติ อวธารณํ ปฎิปกฺขภาวโต สาวชฺชธมฺมนิวตฺตนปรํ ทฎฺฐพฺพํ ตสฺสาธิคมูปายานิสํสภูตานํ ตทเญฺญสํ อนวชฺชธมฺมานํ นานนฺตริยภาวโตฯ อิทฺธิวิธํ อิทฺธิปาฎิหาริยนฺติ ทเสฺสติ อิทฺธิทสฺสเนน ปรสนฺตาเน ปสาทาทีนํ ปฎิปกฺขสฺส หรณโตฯ อิมินา นเยน เสสปททฺวเยปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สตตํ ธมฺมเทสนาติ สพฺพกาลํ เทเสตพฺพธมฺมเทสนาฯ
486.Pavattentāti pavattanakā hutvā, pavattanavasenāti attho. ‘‘Eva’’nti hi padaṃ yathānusiṭṭhāya anusāsaniyā vidhivasena, paṭisedhavasena ca pavattiākāraparāmasanaṃ, sā ca sammāvitakkānaṃ micchāvitakkānañca pavattiākāradassanavasena pavattati tattha ānisaṃsassa ādīnavassa ca vibhāvanatthaṃ. Aniccasaññameva na niccasaññanti attho. Paṭiyogīnivattanatthañhi eva-kāraggahaṇaṃ. Idhāpi evaṃ saddaggahaṇassa attho, payojanañca vuttanayeneva veditabbaṃ. Idaṃgahaṇepi eseva nayo. Pañcakāmaguṇikarāganti nidassanamattaṃ daṭṭhabbaṃ, tadaññarāgassa, dosādīnañca pahānassa icchitattā, tappahānassa ca tadaññarāgādikhepanassa upāyabhāvato tathā vuttaṃ duṭṭhalohitavimocanassa pubbaduṭṭhamaṃsakhepanūpāyatā viya. Lokuttaradhammamevāti avadhāraṇaṃ paṭipakkhabhāvato sāvajjadhammanivattanaparaṃ daṭṭhabbaṃ tassādhigamūpāyānisaṃsabhūtānaṃ tadaññesaṃ anavajjadhammānaṃ nānantariyabhāvato. Iddhividhaṃ iddhipāṭihāriyanti dasseti iddhidassanena parasantāne pasādādīnaṃ paṭipakkhassa haraṇato. Iminā nayena sesapadadvayepi attho veditabbo. Satataṃ dhammadesanāti sabbakālaṃ desetabbadhammadesanā.
อิทฺธิปาฎิหาริเยนาติ สหโยเค กรณวจนํ, อิทฺธิปาฎิหาริเยน สทฺธินฺติ อโตฺถฯ อาเทสนาปาฎิหาริเยนาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ธมฺมเสนาปติสฺส อาจิณฺณนฺติ โยชนาฯ ‘‘จิตฺตาจารํ ญตฺวา’’ติ อิมินา อาเทสนาปาฎิหาริยํ ทเสฺสติฯ ‘‘ธมฺมํ เทเสสี’’ติ อิมินา อนุสาสนีปาฎิหาริยํ ‘‘พุทฺธานํ สตตํ ธมฺมเทสนา’’ติ อนุสาสนีปาฎิหาริยสฺส ตตฺถ สาติสยตาย วุตฺตํฯ สอุปารมฺภานิ ปติรูเปน อุปารมฺภิตพฺพโตฯ สโทสานิ โทสสมุจฺฉินฺทนสฺส อนุปายภาวโตฯ สโทสตฺตา เอว อทฺธานํ น ติฎฺฐนฺติ จิรกาลฎฺฐายีนิ น โหนฺติฯ อทฺธานํ อติฎฺฐนโต น นิยฺยนฺตีติ ผเลน เหตุโน อนุมานํฯ อนิยฺยานิกตาย หิ ตานิ อนทฺธนิยานิฯ อนุสาสนีปาฎิหาริยํ อนุปารมฺภํ วิสุทฺธิปฺปภวโต, วิสุทฺธินิสฺสยโต จฯ ตโต เอว นิโทฺทสํฯ น หิ ตตฺถ ปุพฺพาปรวิโรธาทิโทสสมฺภโวฯ นิโทฺทสตฺตา เอว อทฺธานํ ติฎฺฐติ ปรวาทวาเตหิ, กิเลสวาเตหิ จ อนุปหนฺตพฺพโตฯ ตสฺมาติ ยถาวุตฺตการณโต, เตน สอุปารมฺภาทิํ, อนุปารมฺภาทิํ จาติ อุภยํ อุภยตฺถ ยถากฺกมํ คารยฺหปาสํสภาวานํ เหตุภาเวน ปจฺจามสติฯ
Iddhipāṭihāriyenāti sahayoge karaṇavacanaṃ, iddhipāṭihāriyena saddhinti attho. Ādesanāpāṭihāriyenāti etthāpi eseva nayo. Dhammasenāpatissa āciṇṇanti yojanā. ‘‘Cittācāraṃ ñatvā’’ti iminā ādesanāpāṭihāriyaṃ dasseti. ‘‘Dhammaṃ desesī’’ti iminā anusāsanīpāṭihāriyaṃ ‘‘buddhānaṃ satataṃ dhammadesanā’’ti anusāsanīpāṭihāriyassa tattha sātisayatāya vuttaṃ. Saupārambhāni patirūpena upārambhitabbato. Sadosāni dosasamucchindanassa anupāyabhāvato. Sadosattā eva addhānaṃ na tiṭṭhanti cirakālaṭṭhāyīni na honti. Addhānaṃ atiṭṭhanato na niyyantīti phalena hetuno anumānaṃ. Aniyyānikatāya hi tāni anaddhaniyāni. Anusāsanīpāṭihāriyaṃ anupārambhaṃ visuddhippabhavato, visuddhinissayato ca. Tato eva niddosaṃ. Na hi tattha pubbāparavirodhādidosasambhavo. Niddosattā eva addhānaṃ tiṭṭhati paravādavātehi, kilesavātehi ca anupahantabbato. Tasmāti yathāvuttakāraṇato, tena saupārambhādiṃ, anupārambhādiṃ cāti ubhayaṃ ubhayattha yathākkamaṃ gārayhapāsaṃsabhāvānaṃ hetubhāvena paccāmasati.
ภูตนิโรเธสกวตฺถุวณฺณนา
Bhūtanirodhesakavatthuvaṇṇanā
๔๘๗. อนิยฺยานิกภาวทสฺสนตฺถนฺติ ยสฺมา มหาภูตปริเยสโก ภิกฺขุ ปุริเมสุ ทฺวีสุ ปาฎิหาริเยสุ วสิปฺปโตฺต กุสโลปิ สมาโน มหาภูตานํ อปริเสสนิโรธสงฺขาตํ นิพฺพานํ นาวพุชฺฌิ , ตสฺมา ตานิ นิยฺยานาวหตาภาวโต อนิยฺยานิกานีติ เตสํ อนิยฺยานิกภาวทสฺสนตฺถํฯ ตติยํ ปน ตกฺกรสฺส เอกนฺตโต นิยฺยานาวหนฺติ ตเสฺสว นิยฺยานิกภาวทสฺสนตฺถํฯ
487.Aniyyānikabhāvadassanatthanti yasmā mahābhūtapariyesako bhikkhu purimesu dvīsu pāṭihāriyesu vasippatto kusalopi samāno mahābhūtānaṃ aparisesanirodhasaṅkhātaṃ nibbānaṃ nāvabujjhi , tasmā tāni niyyānāvahatābhāvato aniyyānikānīti tesaṃ aniyyānikabhāvadassanatthaṃ. Tatiyaṃ pana takkarassa ekantato niyyānāvahanti tasseva niyyānikabhāvadassanatthaṃ.
เอวเมติสฺสา เทสนาย มุขฺยปโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อนุสงฺคิกมฺปิ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ มหาภูเต ปริเยสโนฺตติ อปริเสสํ นิรุชฺฌนวเสน มหาภูเต คเวสโนฺต, เตสํ อนวเสสนิโรธํ วีมํสโนฺตติ อโตฺถฯ วิจริตฺวาติ ธมฺมตาย โจทิยมาโน วิจริตฺวาฯ ธมฺมตาสิทฺธํ กิเรตํ, ยทิทํ ตสฺส ภิกฺขุโน ตถา วิจรณํ, ยถา อภิชาติยํ มหาปถวิกมฺปาทิฯ มหนฺตภาวปฺปกาสนตฺถนฺติ สเทวเก โลเก อนญฺญสาธารณสฺส พุทฺธานํ มหนฺตภาวสฺส มหานุภาวตาย ทีปนตฺถํฯ อิทญฺจ การณนฺติ สเพฺพสมฺปิ พุทฺธานํ สาสเน อีทิโส เอโก ภิกฺขุ ตทานุภาวปฺปกาสโน โหตีติ อิทมฺปิ การณํ ทเสฺสโนฺตฯ
Evametissā desanāya mukhyapayojanaṃ dassetvā idāni anusaṅgikampi dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi āraddhaṃ. Mahābhūte pariyesantoti aparisesaṃ nirujjhanavasena mahābhūte gavesanto, tesaṃ anavasesanirodhaṃ vīmaṃsantoti attho. Vicaritvāti dhammatāya codiyamāno vicaritvā. Dhammatāsiddhaṃ kiretaṃ, yadidaṃ tassa bhikkhuno tathā vicaraṇaṃ, yathā abhijātiyaṃ mahāpathavikampādi. Mahantabhāvappakāsanatthanti sadevake loke anaññasādhāraṇassa buddhānaṃ mahantabhāvassa mahānubhāvatāya dīpanatthaṃ. Idañca kāraṇanti sabbesampi buddhānaṃ sāsane īdiso eko bhikkhu tadānubhāvappakāsano hotīti idampi kāraṇaṃ dassento.
กตฺถาติ นิมิเตฺต ภุมฺมํ, ตสฺมา กตฺถาติ กิสฺมิํ ฐาเน การณภูเตฯ กิํ อาคมฺมาติ กิํ อารมฺมณํ ปจฺจยภูตํ อธิคนฺตฺวา, เตนาห ‘‘กิํ ปตฺตสฺสา’’ติฯ เตติ มหาภูตาฯ อปฺปวตฺติวเสนาติ อนุปฺปชฺชนวเสนฯ สพฺพากาเรนาติ วจนตฺถลกฺขณาทิสมุฎฺฐานกลาปจุณฺณนานเตฺตกตฺตวินิโพฺภคาวินิโพฺภค- สภาควิสภาคอชฺฌตฺติกพาหิรสงฺคหปจฺจยสมนฺนาหารปจฺจยวิภาคาการโต, สสมฺภารสเงฺขปสสมฺภารวิภตฺติสลกฺขณสเงฺขปสลกฺขณวิภตฺติอาการโต จาติ สเพฺพน อากาเรนฯ
Katthāti nimitte bhummaṃ, tasmā katthāti kismiṃ ṭhāne kāraṇabhūte. Kiṃ āgammāti kiṃ ārammaṇaṃ paccayabhūtaṃ adhigantvā, tenāha ‘‘kiṃ pattassā’’ti. Teti mahābhūtā. Appavattivasenāti anuppajjanavasena. Sabbākārenāti vacanatthalakkhaṇādisamuṭṭhānakalāpacuṇṇanānattekattavinibbhogāvinibbhoga- sabhāgavisabhāgaajjhattikabāhirasaṅgahapaccayasamannāhārapaccayavibhāgākārato, sasambhārasaṅkhepasasambhāravibhattisalakkhaṇasaṅkhepasalakkhaṇavibhattiākārato cāti sabbena ākārena.
๔๘๘. ทิพฺพนฺติ เอตฺถ ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมงฺคีภูตา หุตฺวา วิจรนฺติ, กีฬนฺติ, โชตนฺติ จาติ เทโว, เทวโลโกฯ ตํ ยนฺติ อุปคจฺฉนฺติ เอเตนาติ เทวยานิโยฯ วสํ วเตฺตโนฺตติ เอตฺถ วสวตฺตนํ นาม ยถิจฺฉิตฎฺฐานคมนํฯ จตฺตาโร มหาราชาโน เอเตสํ อิสฺสราติ จาตุมหาราชิกา ยา เทวตา มคฺคผลลาภิโน ตา ตมตฺถํ เอกเทเสน ชาเนยฺยุํ พุทฺธวิสโย ปนายํ ปโญฺหติ จิเนฺตตฺวา ‘‘น ชานามา’’ติ อาหํสุ, เตนาห ‘‘พุทฺธวิสเย’’ติอาทิฯ อโชฺฌตฺถรณํ นาเมตฺถ นิปฺปีฬนนฺติ อาห ‘‘ปุนปฺปุนํ ปุจฺฉตี’’ติฯ อภิกฺกนฺตตราติ รูปสมฺปตฺติยา เจว ปญฺญาปฎิภานาทิคุเณหิ จ อเมฺห อภิภุยฺย ปเรสํ กามนียตราฯ ปณีตตราติ อุฬารตรา, เตนาห ‘‘อุตฺตมตรา’’ติฯ
488. Dibbanti ettha pañcahi kāmaguṇehi samaṅgībhūtā hutvā vicaranti, kīḷanti, jotanti cāti devo, devaloko. Taṃ yanti upagacchanti etenāti devayāniyo. Vasaṃ vattentoti ettha vasavattanaṃ nāma yathicchitaṭṭhānagamanaṃ. Cattāro mahārājāno etesaṃ issarāti cātumahārājikā yā devatā maggaphalalābhino tā tamatthaṃ ekadesena jāneyyuṃ buddhavisayo panāyaṃ pañhoti cintetvā ‘‘na jānāmā’’ti āhaṃsu, tenāha ‘‘buddhavisaye’’tiādi. Ajjhottharaṇaṃ nāmettha nippīḷananti āha ‘‘punappunaṃ pucchatī’’ti. Abhikkantatarāti rūpasampattiyā ceva paññāpaṭibhānādiguṇehi ca amhe abhibhuyya paresaṃ kāmanīyatarā. Paṇītatarāti uḷāratarā, tenāha ‘‘uttamatarā’’ti.
๔๙๑-๓. เทวยานิยสทิโส อิทฺธิวิธญาณเสฺสว อธิเปฺปตตฺตาฯ ‘‘เทวยานิยมโคฺคติ วา …เป.… สพฺพเมตํ อิทฺธิวิธญาณเสฺสว นาม’’นฺติ อิทํ ปาฬิยํ อฎฺฐกถาสุ จ ตตฺถ ตตฺถ อาคตรุฬฺหิวเสน วุตฺตํฯ
491-3.Devayāniyasadiso iddhividhañāṇasseva adhippetattā. ‘‘Devayāniyamaggoti vā …pe… sabbametaṃ iddhividhañāṇasseva nāma’’nti idaṃ pāḷiyaṃ aṭṭhakathāsu ca tattha tattha āgataruḷhivasena vuttaṃ.
๔๙๔. อาคมนปุพฺพภาเค นิมิตฺตนฺติ พฺรหฺมุโน อาคมนสฺส ปุพฺพภาเค อุปฺปชฺชนนิมิตฺตํฯ ปาตุรโหสีติ อาวิ ภวิฯ ปากโฎ อโหสีติ ปกาโส อโหสิฯ
494.Āgamanapubbabhāge nimittanti brahmuno āgamanassa pubbabhāge uppajjananimittaṃ. Pāturahosīti āvi bhavi. Pākaṭo ahosīti pakāso ahosi.
๔๙๗. ปเทเสนาติ เอกเทเสน, อุปาทินฺนกวเสน, สตฺตสนฺตานปริยาปเนฺนนาติ อโตฺถฯ อนุปาทินฺนเกปีติ อนินฺทฺริยพเทฺธปิฯ นิปฺปเทสโต อนวเสสโตฯ ปุจฺฉามูฬฺหสฺสาติ ปุจฺฉิตุํ อชานนฺตสฺสฯ ปุจฺฉาย โทสํ ทเสฺสตฺวาติ เตน กตปุจฺฉาย ปุจฺฉิตากาเร โทสํ วิภาเวตฺวาฯ ยสฺมา วิสฺสชฺชนํ นาม ปุจฺฉานุรูปํ ปุจฺฉาสภาเคน วิสฺสเชฺชตพฺพโต, น จ ตถาคตา วิรชฺฌิตฺวา กตปุจฺฉานุรูปํ วิสฺสเชฺชนฺติ, อตฺถสภาคตาย จ วิสฺสชฺชนสฺส ปุจฺฉกา ตทตฺถํ อนวพุชฺฌนฺตา สมฺมุยฺหนฺติ, ตสฺมา ปุจฺฉาย สิกฺขาปนํ พุทฺธาจิณฺณํ, เตนาห ‘‘ปุจฺฉํ สิกฺขาเปตฺวา’’ติอาทิฯ
497.Padesenāti ekadesena, upādinnakavasena, sattasantānapariyāpannenāti attho. Anupādinnakepīti anindriyabaddhepi. Nippadesato anavasesato. Pucchāmūḷhassāti pucchituṃ ajānantassa. Pucchāya dosaṃ dassetvāti tena katapucchāya pucchitākāre dosaṃ vibhāvetvā. Yasmā vissajjanaṃ nāma pucchānurūpaṃ pucchāsabhāgena vissajjetabbato, na ca tathāgatā virajjhitvā katapucchānurūpaṃ vissajjenti, atthasabhāgatāya ca vissajjanassa pucchakā tadatthaṃ anavabujjhantā sammuyhanti, tasmā pucchāya sikkhāpanaṃ buddhāciṇṇaṃ, tenāha ‘‘pucchaṃ sikkhāpetvā’’tiādi.
๔๙๘. อปฺปติฎฺฐาติ อปฺปจฺจยา, สพฺพโส สมุจฺฉินฺนการณาติ อโตฺถฯ อุปาทินฺนํ เยวาติ อินฺทฺริยพทฺธเมวฯ ยสฺมา เอกทิสาภิมุขํ สนฺตานวเสน สณฺฐิเต รูปปฺปพเนฺธ ทีฆสมญฺญา ตํ อุปาทาย ตโต อปฺปเก รสฺสสมญฺญา ตทุภยญฺจ วิเสสโต รูปคฺคหณมุเขน คยฺหติ, ตสฺมา อาห ‘‘ทีฆญฺจ รสฺสญฺจาติ สณฺฐานวเสน อุปาทารูปํ วุตฺต’’นฺติฯ อปฺปปริมาเณ รูปสงฺฆาเต อณุสมญฺญา, ตํ อุปาทาย ตโต มหติ ถูลสมญฺญาฯ อิทมฺปิ ทฺวยํ วิเสสโต รูปคฺคหณมุเขน คยฺหติ, เตนาห ‘‘อิมินาปี’’ติอาทิฯ ปิ-สเทฺทน เจตฺถ ‘‘สณฺฐานวเสน อุปาทารูปํ วุตฺต’’นฺติ เอตฺถาปิ วณฺณมตฺตเมว กถิตนฺติ อิมมตฺถํ สมุจฺจินตีติ วทนฺติฯ สุภนฺติ สุนฺทรํ, อิฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ อสุภนฺติ อสุนฺทรํ, อนิฎฺฐนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เตเนวาห ‘‘อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมณํ ปเนวํ กถิต’’นฺติฯ ทีฆํ รสฺสํ, อณุํ ถูลํ, สุภาสุภนฺติ ตีสุ ฐาเนสุ อุปาทารูปเสฺสว คหณํ, ภูตรูปานํ วิสุํ คหิตตฺตาฯ นามนฺติ เวทนาทิกฺขนฺธจตุกฺกํ ตญฺหิ อารมฺมณาภิมุขํ นมนโต, นามกรณโต จ ‘‘นาม’’นฺติ วุจฺจติฯ เหฎฺฐา ‘‘ทีฆํ รสฺส’’นฺติอาทินา วุตฺตเมว อิธ รุปฺปนเฎฺฐน ‘‘รูป’’นฺติ คหิตนฺติ อาห ‘‘ทีฆาทิเภทํ รูปญฺจา’’ติฯ ทีฆาทีติ จ อาทิ-สเทฺทน อาปาทีนญฺจ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ยสฺมา วา ทีฆาทิสมญฺญา น รูปายตนวตฺถุกาว, อถ โข ภูตรูปวตฺถุกาปิฯ ตถา หิ สณฺฐานํ ผุสนมุเขนปิ คยฺหติ, ตสฺมา ทีฆรสฺสาทิคฺคหเณน ภูตรูปมฺปิ คยฺหเตวาติ ‘‘ทีฆาทิเภทํ รูป’’มิเจฺจว วุตฺตํฯ กิํ อาคมฺมาติ กิํ อธิคนฺตฺวา กิสฺส อธิคมเหตุฯ ‘‘อุปรุชฺฌตี’’ติ อิทํ อนุปฺปาทนิโรธํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ขณนิโรธนฺติ อาห ‘‘อเสสเมตํ นปฺปวตฺตตี’’ติฯ
498.Appatiṭṭhāti appaccayā, sabbaso samucchinnakāraṇāti attho. Upādinnaṃ yevāti indriyabaddhameva. Yasmā ekadisābhimukhaṃ santānavasena saṇṭhite rūpappabandhe dīghasamaññā taṃ upādāya tato appake rassasamaññā tadubhayañca visesato rūpaggahaṇamukhena gayhati, tasmā āha ‘‘dīghañca rassañcāti saṇṭhānavasena upādārūpaṃ vutta’’nti. Appaparimāṇe rūpasaṅghāte aṇusamaññā, taṃ upādāya tato mahati thūlasamaññā. Idampi dvayaṃ visesato rūpaggahaṇamukhena gayhati, tenāha ‘‘imināpī’’tiādi. Pi-saddena cettha ‘‘saṇṭhānavasena upādārūpaṃ vutta’’nti etthāpi vaṇṇamattameva kathitanti imamatthaṃ samuccinatīti vadanti. Subhanti sundaraṃ, iṭṭhanti attho. Asubhanti asundaraṃ, aniṭṭhanti vuttaṃ hoti. Tenevāha ‘‘iṭṭhāniṭṭhārammaṇaṃ panevaṃ kathita’’nti. Dīghaṃ rassaṃ, aṇuṃ thūlaṃ, subhāsubhanti tīsu ṭhānesu upādārūpasseva gahaṇaṃ, bhūtarūpānaṃ visuṃ gahitattā. Nāmanti vedanādikkhandhacatukkaṃ tañhi ārammaṇābhimukhaṃ namanato, nāmakaraṇato ca ‘‘nāma’’nti vuccati. Heṭṭhā ‘‘dīghaṃ rassa’’ntiādinā vuttameva idha ruppanaṭṭhena ‘‘rūpa’’nti gahitanti āha ‘‘dīghādibhedaṃ rūpañcā’’ti. Dīghādīti ca ādi-saddena āpādīnañca saṅgaho daṭṭhabbo. Yasmā vā dīghādisamaññā na rūpāyatanavatthukāva, atha kho bhūtarūpavatthukāpi. Tathā hi saṇṭhānaṃ phusanamukhenapi gayhati, tasmā dīgharassādiggahaṇena bhūtarūpampi gayhatevāti ‘‘dīghādibhedaṃ rūpa’’micceva vuttaṃ. Kiṃ āgammāti kiṃ adhigantvā kissa adhigamahetu. ‘‘Uparujjhatī’’ti idaṃ anuppādanirodhaṃ sandhāya vuttaṃ, na khaṇanirodhanti āha ‘‘asesametaṃ nappavattatī’’ti.
๔๙๙. วิญฺญาตพฺพนฺติ วิสิเฎฺฐน ญาตพฺพํ, ญาณุตฺตเมน อริยมคฺคญาเณน ปจฺจกฺขโต ชานิตพฺพนฺติ อโตฺถ, เตนาห ‘‘นิพฺพานเสฺสตํ นาม’’นฺติฯ นิทิสฺสตีติ นิทสฺสนํ, จกฺขุวิเญฺญยฺยํฯ น นิทสฺสนํ อนิทสฺสนํ, อจกฺขุวิเญฺญยฺยนฺติ เอตมตฺถํ วทนฺติฯ นิทสฺสนํ วา อุปมา, ตํ เอตสฺส นตฺถีติ อนิทสฺสนํฯ น หิ นิพฺพานสฺส นิจฺจสฺส เอกสฺส อจฺจนฺตสนฺตปณีตสภาวสฺส สทิสํ นิทสฺสนํ กุโตจิ ลพฺภตีติฯ ยํ อหุตฺวา สโมฺภติ, หุตฺวา ปฎิเวติ ตํ สงฺขตํ อุทยวยเนฺตหิ สอนฺตํ, อสงฺขตสฺส ปน นิพฺพานสฺส นิจฺจสฺส เต อุโภปิ อนฺตา น สนฺติ, ตโต เอว นวภาวาปคมสงฺขาโต ชรโนฺตปิ ตสฺส นตฺถีติ อาห ‘‘อุปฺปาทโนฺต…เป.… อนนฺต’’นฺติฯ ‘‘ติตฺถสฺส นาม’’นฺติ วตฺวา ตตฺถ นิพฺพจนํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปปนฺติ เอตฺถาติ ปป’’นฺติ วุตฺตํฯ เอตฺถ หิ ปปนฺติ ปานติตฺถํฯ ภ-กาโร กโต นิรุตฺตินเยนฯ วิสุทฺธเฎฺฐน วา สพฺพโตปภํ, เกนจิ อนุปกฺกิลิฎฺฐตาย สมนฺตโต ปภสฺสรนฺติ อโตฺถ ฯ เยน นิพฺพานํ อธิคตํ, ตํ สนฺตติปริยาปนฺนานํเยว อิธ อนุปฺปาทนิโรโธ อธิเปฺปโตติ วุตฺตํ ‘‘อุปาทินฺนกธมฺมชาตํ นิรุชฺฌติ อปฺปวตฺตํ โหตี’’ติฯ
499.Viññātabbanti visiṭṭhena ñātabbaṃ, ñāṇuttamena ariyamaggañāṇena paccakkhato jānitabbanti attho, tenāha ‘‘nibbānassetaṃ nāma’’nti. Nidissatīti nidassanaṃ, cakkhuviññeyyaṃ. Na nidassanaṃ anidassanaṃ, acakkhuviññeyyanti etamatthaṃ vadanti. Nidassanaṃ vā upamā, taṃ etassa natthīti anidassanaṃ. Na hi nibbānassa niccassa ekassa accantasantapaṇītasabhāvassa sadisaṃ nidassanaṃ kutoci labbhatīti. Yaṃ ahutvā sambhoti, hutvā paṭiveti taṃ saṅkhataṃ udayavayantehi saantaṃ, asaṅkhatassa pana nibbānassa niccassa te ubhopi antā na santi, tato eva navabhāvāpagamasaṅkhāto jarantopi tassa natthīti āha ‘‘uppādanto…pe… ananta’’nti. ‘‘Titthassa nāma’’nti vatvā tattha nibbacanaṃ dassetuṃ ‘‘papanti etthāti papa’’nti vuttaṃ. Ettha hi papanti pānatitthaṃ. Bha-kāro kato niruttinayena. Visuddhaṭṭhena vā sabbatopabhaṃ, kenaci anupakkiliṭṭhatāya samantato pabhassaranti attho . Yena nibbānaṃ adhigataṃ, taṃ santatipariyāpannānaṃyeva idha anuppādanirodho adhippetoti vuttaṃ ‘‘upādinnakadhammajātaṃ nirujjhati appavattaṃ hotī’’ti.
ตตฺถาติ ‘‘วิญฺญาณสฺส นิโรเธนา’’ติ ยํ ปทํ วุตฺตํ, ตสฺมิํฯ ‘‘วิญฺญาณ’’นฺติ วิญฺญาณํ อุทฺธรติ วิภตฺตพฺพตฺตา เอเตฺถตํ อุปรุชฺฌตีติ เอตสฺมิํ นิพฺพาเน เอตํ นามรูปํ จริมกวิญฺญาณนิโรเธน อนุปฺปาทวเสน นิรุชฺฌติ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา, เตนาห ‘‘วิชฺฌาตทีปสิขา วิย อปณฺณตฺติกภาวํ ยาตี’’ติฯ ‘‘จริมกวิญฺญาณ’’นฺติ หิ อรหโต จุติจิตฺตํ อธิเปฺปตํฯ ‘‘อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺสาปี’’ติอาทินาปิ สอุปาทิเสสนิพฺพานมุเขน อนุปาทิเสสนิพฺพานเมว วทติ นามรูปสฺส อนวเสสโต อุปรุชฺฌนสฺส อธิเปฺปตตฺตา, เตนาห ‘‘อนุปฺปาทวเสน อุปรุชฺฌตี’’ติฯ โสตาปตฺติมคฺคญาเณนาติ กตฺตริ, กรเณ วา กรณวจนํฯ นิโรเธนาติ ปน เหตุมฺหิฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ นิพฺพาเนฯ เสสเมตฺถ ยํ อตฺถโต น วิภตฺตํ, ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Tatthāti ‘‘viññāṇassa nirodhenā’’ti yaṃ padaṃ vuttaṃ, tasmiṃ. ‘‘Viññāṇa’’nti viññāṇaṃ uddharati vibhattabbattā etthetaṃ uparujjhatīti etasmiṃ nibbāne etaṃ nāmarūpaṃ carimakaviññāṇanirodhena anuppādavasena nirujjhati anupādisesāya nibbānadhātuyā, tenāha ‘‘vijjhātadīpasikhā viya apaṇṇattikabhāvaṃ yātī’’ti. ‘‘Carimakaviññāṇa’’nti hi arahato cuticittaṃ adhippetaṃ. ‘‘Abhisaṅkhāraviññāṇassāpī’’tiādināpi saupādisesanibbānamukhena anupādisesanibbānameva vadati nāmarūpassa anavasesato uparujjhanassa adhippetattā, tenāha ‘‘anuppādavasena uparujjhatī’’ti. Sotāpattimaggañāṇenāti kattari, karaṇe vā karaṇavacanaṃ. Nirodhenāti pana hetumhi. Etthāti etasmiṃ nibbāne. Sesamettha yaṃ atthato na vibhattaṃ, taṃ suviññeyyameva.
เกวฎฺฎสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนาฯ
Kevaṭṭasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๑๑. เกวฎฺฎสุตฺตํ • 11. Kevaṭṭasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๑๑. เกวฎฺฎสุตฺตวณฺณนา • 11. Kevaṭṭasuttavaṇṇanā