Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๓. ขคฺควิสาณสุตฺตวณฺณนา

    3. Khaggavisāṇasuttavaṇṇanā

    สเพฺพสุ ภูเตสูติ ขคฺควิสาณสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? สพฺพสุตฺตานํ จตุพฺพิธา อุปฺปตฺติ – อตฺตชฺฌาสยโต, ปรชฺฌาสยโต, อฎฺฐุปฺปตฺติโต, ปุจฺฉาวสิโต จาติฯ ทฺวยตานุปสฺสนาทีนญฺหิ อตฺตชฺฌาสยโต อุปฺปตฺติ, เมตฺตสุตฺตาทีนํ ปรชฺฌาสยโต, อุรคสุตฺตาทีนํ อฎฺฐุปฺปตฺติโต, ธมฺมิกสุตฺตาทีนํ ปุจฺฉาวสิโตฯ ตตฺถ ขคฺควิสาณสุตฺตสฺส อวิเสเสน ปุจฺฉาวสิโต อุปฺปตฺติฯ วิเสเสน ปน ยสฺมา เอตฺถ กาจิ คาถา เตน เตน ปเจฺจกสมฺพุเทฺธน ปุเฎฺฐน วุตฺตา, กาจิ อปุเฎฺฐน อตฺตนา อธิคตมคฺคนยานุรูปํ อุทานํเยว อุทาเนเนฺตน, ตสฺมา กายจิ คาถาย ปุจฺฉาวสิโต, กายจิ อตฺตชฺฌาสยโต อุปฺปตฺติฯ

    Sabbesubhūtesūti khaggavisāṇasuttaṃ. Kā uppatti? Sabbasuttānaṃ catubbidhā uppatti – attajjhāsayato, parajjhāsayato, aṭṭhuppattito, pucchāvasito cāti. Dvayatānupassanādīnañhi attajjhāsayato uppatti, mettasuttādīnaṃ parajjhāsayato, uragasuttādīnaṃ aṭṭhuppattito, dhammikasuttādīnaṃ pucchāvasito. Tattha khaggavisāṇasuttassa avisesena pucchāvasito uppatti. Visesena pana yasmā ettha kāci gāthā tena tena paccekasambuddhena puṭṭhena vuttā, kāci apuṭṭhena attanā adhigatamagganayānurūpaṃ udānaṃyeva udānentena, tasmā kāyaci gāthāya pucchāvasito, kāyaci attajjhāsayato uppatti.

    ตตฺถ ยา อยํ อวิเสเสน ปุจฺฉาวสิโต อุปฺปตฺติ, สา อาทิโต ปภุติ เอวํ เวทิตพฺพา – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติฯ อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส รโหคตสฺส ปฎิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘‘พุทฺธานํ ปตฺถนา จ อภินีหาโร จ ทิสฺสติ; ตถา สาวกานํ, ปเจฺจกพุทฺธานํ น ทิสฺสติ; ยํนูนาหํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ โส ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ยถากฺกเมน เอตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ อถสฺส ภควา ปุพฺพโยคาวจรสุตฺตํ อภาสิ –

    Tattha yā ayaṃ avisesena pucchāvasito uppatti, sā ādito pabhuti evaṃ veditabbā – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati. Atha kho āyasmato ānandassa rahogatassa paṭisallīnassa evaṃ cetaso parivitakko udapādi – ‘‘buddhānaṃ patthanā ca abhinīhāro ca dissati; tathā sāvakānaṃ, paccekabuddhānaṃ na dissati; yaṃnūnāhaṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā puccheyya’’nti. So paṭisallānā vuṭṭhito bhagavantaṃ upasaṅkamitvā yathākkamena etamatthaṃ pucchi. Athassa bhagavā pubbayogāvacarasuttaṃ abhāsi –

    ‘‘ปญฺจิเม, อานนฺท, อานิสํสา ปุพฺพโยคาวจเร ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปฎิกเจฺจว อญฺญํ อาราเธติฯ โน เจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปฎิกเจฺจว อญฺญํ อาราเธติ, อถ มรณกาเล อญฺญํ อาราเธติฯ โน เจ มรณกาเล อญฺญํ อาราเธติ, อถ เทวปุโตฺต สมาโน อญฺญํ อาราเธติ, อถ พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเว ขิปฺปาภิโญฺญ โหติ, อถ ปจฺฉิเม กาเล ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ โหตี’’ติ –

    ‘‘Pañcime, ānanda, ānisaṃsā pubbayogāvacare diṭṭheva dhamme paṭikacceva aññaṃ ārādheti. No ce diṭṭheva dhamme paṭikacceva aññaṃ ārādheti, atha maraṇakāle aññaṃ ārādheti. No ce maraṇakāle aññaṃ ārādheti, atha devaputto samāno aññaṃ ārādheti, atha buddhānaṃ sammukhībhāve khippābhiñño hoti, atha pacchime kāle paccekasambuddho hotī’’ti –

    เอวํ วตฺวา ปุน อาห –

    Evaṃ vatvā puna āha –

    ‘‘ปเจฺจกพุทฺธา นาม, อานนฺท, อภินีหารสมฺปนฺนา ปุพฺพโยคาวจรา โหนฺติฯ ตสฺมา พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกานํ สเพฺพสํ ปตฺถนา จ อภินีหาโร จ อิจฺฉิตโพฺพ’’ติฯ

    ‘‘Paccekabuddhā nāma, ānanda, abhinīhārasampannā pubbayogāvacarā honti. Tasmā buddhapaccekabuddhasāvakānaṃ sabbesaṃ patthanā ca abhinīhāro ca icchitabbo’’ti.

    โส อาห – ‘‘พุทฺธานํ, ภเนฺต, ปตฺถนา กีว จิรํ วฎฺฎตี’’ติ? พุทฺธานํ, อานนฺท, เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, มชฺฌิมปริเจฺฉเทน อฎฺฐ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, อุปริมปริเจฺฉเทน โสฬส อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจฯ เอเต จ เภทา ปญฺญาธิกสทฺธาธิกวีริยาธิกวเสน ญาตพฺพาฯ ปญฺญาธิกานญฺหิ สทฺธา มนฺทา โหติ, ปญฺญา ติกฺขาฯ สทฺธาธิกานํ ปญฺญา มชฺฌิมา โหติ, สทฺธา พลวาฯ วีริยาธิกานํ สทฺธาปญฺญา มนฺทา, วีริยํ พลวนฺติฯ อปฺปตฺวา ปน จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ทิวเส ทิวเส เวสฺสนฺตรทานสทิสํ ทานํ เทโนฺตปิ ตทนุรูปสีลาทิสพฺพปารมิธเมฺม อาจินโนฺตปิ อนฺตรา พุโทฺธ ภวิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ กสฺมา? ญาณํ คพฺภํ น คณฺหาติ, เวปุลฺลํ นาปชฺชติ, ปริปากํ น คจฺฉตีติฯ ยถา นาม ติมาสจตุมาสปญฺจมาสจฺจเยน นิปฺผชฺชนกํ สสฺสํ ตํ ตํ กาลํ อปฺปตฺวา ทิวเส ทิวเส สหสฺสกฺขตฺตุํ เกฬายโนฺตปิ อุทเกน สิญฺจโนฺตปิ อนฺตรา ปเกฺขน วา มาเสน วา นิปฺผาเทสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ กสฺมา? สสฺสํ คพฺภํ น คณฺหาติ, เวปุลฺลํ นาปชฺชติ, ปริปากํ น คจฺฉตีติฯ เอวเมวํ อปฺปตฺวา จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ…เป.… เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติฯ ตสฺมา ยถาวุตฺตเมว กาลํ ปารมิปูรณํ กาตพฺพํ ญาณปริปากตฺถายฯ เอตฺตเกนปิ จ กาเลน พุทฺธตฺตํ ปตฺถยโต อภินีหารกรเณ อฎฺฐ สมฺปตฺติโย อิจฺฉิตพฺพาฯ อยญฺหิ –

    So āha – ‘‘buddhānaṃ, bhante, patthanā kīva ciraṃ vaṭṭatī’’ti? Buddhānaṃ, ānanda, heṭṭhimaparicchedena cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca, majjhimaparicchedena aṭṭha asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca, uparimaparicchedena soḷasa asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca. Ete ca bhedā paññādhikasaddhādhikavīriyādhikavasena ñātabbā. Paññādhikānañhi saddhā mandā hoti, paññā tikkhā. Saddhādhikānaṃ paññā majjhimā hoti, saddhā balavā. Vīriyādhikānaṃ saddhāpaññā mandā, vīriyaṃ balavanti. Appatvā pana cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca divase divase vessantaradānasadisaṃ dānaṃ dentopi tadanurūpasīlādisabbapāramidhamme ācinantopi antarā buddho bhavissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Kasmā? Ñāṇaṃ gabbhaṃ na gaṇhāti, vepullaṃ nāpajjati, paripākaṃ na gacchatīti. Yathā nāma timāsacatumāsapañcamāsaccayena nipphajjanakaṃ sassaṃ taṃ taṃ kālaṃ appatvā divase divase sahassakkhattuṃ keḷāyantopi udakena siñcantopi antarā pakkhena vā māsena vā nipphādessatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Kasmā? Sassaṃ gabbhaṃ na gaṇhāti, vepullaṃ nāpajjati, paripākaṃ na gacchatīti. Evamevaṃ appatvā cattāri asaṅkhyeyyāni…pe… netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti. Tasmā yathāvuttameva kālaṃ pāramipūraṇaṃ kātabbaṃ ñāṇaparipākatthāya. Ettakenapi ca kālena buddhattaṃ patthayato abhinīhārakaraṇe aṭṭha sampattiyo icchitabbā. Ayañhi –

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;

    ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา;

    Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā;

    อฎฺฐธมฺมสโมธานา, อภินีหาโร สมิชฺฌตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙);

    Aṭṭhadhammasamodhānā, abhinīhāro samijjhatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.59);

    อภินีหาโรติ จ มูลปณิธานเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตตฺถ มนุสฺสตฺตนฺติ มนุสฺสชาติฯ อญฺญตฺร หิ มนุสฺสชาติยา อวเสสชาตีสุ เทวชาติยมฺปิ ฐิตสฺส ปณิธิ น อิชฺฌติฯ เอตฺถ ฐิเตน ปน พุทฺธตฺตํ ปเตฺถเนฺตน ทานาทีนิ ปุญฺญกมฺมานิ กตฺวา มนุสฺสตฺตํเยว ปเตฺถตพฺพํฯ ตตฺถ ฐตฺวา ปณิธิ กาตโพฺพฯ เอวญฺหิ สมิชฺฌติฯ ลิงฺคสมฺปตฺตีติ ปุริสภาโวฯ มาตุคามนปุํสกอุภโตพฺยญฺชนกานญฺหิ มนุสฺสชาติยํ ฐิตานมฺปิ ปณิธิ น สมิชฺฌติฯ ตตฺถ ฐิเตน ปน พุทฺธตฺตํ ปเตฺถเนฺตน ทานาทีนิ ปุญฺญกมฺมานิ กตฺวา ปุริสภาโวเยว ปเตฺถตโพฺพฯ ตตฺถ ฐตฺวา ปณิธิ กาตโพฺพฯ เอวญฺหิ สมิชฺฌติฯ เหตูติ อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปตฺติฯ โย หิ ตสฺมิํ อตฺตภาเว วายมโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณิตุํ สมโตฺถ, ตสฺส สมิชฺฌติ, โน อิตรสฺส, ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ ทีปงฺกรปาทมูเล ปพฺพชิตฺวา เตนตฺตภาเวน อรหตฺตํ ปาปุณิตุํ สมโตฺถ อโหสิ ฯ สตฺถารทสฺสนนฺติ พุทฺธานํ สมฺมุขาทสฺสนํฯ เอวญฺหิ อิชฺฌติ, โน อญฺญถา; ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ ทีปงฺกรํ สมฺมุขา ทิสฺวา ปณิเธสิฯ ปพฺพชฺชาติ อนคาริยภาโวฯ โส จ โข สาสเน วา กมฺมวาทิกิริยวาทิตาปสปริพฺพาชกนิกาเย วา วฎฺฎติ ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ สุเมโธ นาม ตาปโส หุตฺวา ปณิเธสิฯ คุณสมฺปตฺตีติ ฌานาทิคุณปฎิลาโภฯ ปพฺพชิตสฺสาปิ หิ คุณสมฺปนฺนเสฺสว อิชฺฌติ, โน อิตรสฺส; ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ ปญฺจาภิโญฺญ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี จ หุตฺวา ปณิเธสิฯ อธิกาโรติ อธิกกาโร, ปริจฺจาโคติ อโตฺถฯ ชีวิตาทิปริจฺจาคญฺหิ กตฺวา ปณิทหโตเยว อิชฺฌติ, โน อิตรสฺส; ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ –

    Abhinīhāroti ca mūlapaṇidhānassetaṃ adhivacanaṃ. Tattha manussattanti manussajāti. Aññatra hi manussajātiyā avasesajātīsu devajātiyampi ṭhitassa paṇidhi na ijjhati. Ettha ṭhitena pana buddhattaṃ patthentena dānādīni puññakammāni katvā manussattaṃyeva patthetabbaṃ. Tattha ṭhatvā paṇidhi kātabbo. Evañhi samijjhati. Liṅgasampattīti purisabhāvo. Mātugāmanapuṃsakaubhatobyañjanakānañhi manussajātiyaṃ ṭhitānampi paṇidhi na samijjhati. Tattha ṭhitena pana buddhattaṃ patthentena dānādīni puññakammāni katvā purisabhāvoyeva patthetabbo. Tattha ṭhatvā paṇidhi kātabbo. Evañhi samijjhati. Hetūti arahattassa upanissayasampatti. Yo hi tasmiṃ attabhāve vāyamanto arahattaṃ pāpuṇituṃ samattho, tassa samijjhati, no itarassa, yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi dīpaṅkarapādamūle pabbajitvā tenattabhāvena arahattaṃ pāpuṇituṃ samattho ahosi . Satthāradassananti buddhānaṃ sammukhādassanaṃ. Evañhi ijjhati, no aññathā; yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi dīpaṅkaraṃ sammukhā disvā paṇidhesi. Pabbajjāti anagāriyabhāvo. So ca kho sāsane vā kammavādikiriyavāditāpasaparibbājakanikāye vā vaṭṭati yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi sumedho nāma tāpaso hutvā paṇidhesi. Guṇasampattīti jhānādiguṇapaṭilābho. Pabbajitassāpi hi guṇasampannasseva ijjhati, no itarassa; yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi pañcābhiñño aṭṭhasamāpattilābhī ca hutvā paṇidhesi. Adhikāroti adhikakāro, pariccāgoti attho. Jīvitādipariccāgañhi katvā paṇidahatoyeva ijjhati, no itarassa; yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi –

    ‘‘อกฺกมิตฺวาน มํ พุโทฺธ, สห สิเสฺสหิ คจฺฉตุ;

    ‘‘Akkamitvāna maṃ buddho, saha sissehi gacchatu;

    มา นํ กลเล อกฺกมิตฺถ, หิตาย เม ภวิสฺสตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๓) –

    Mā naṃ kalale akkamittha, hitāya me bhavissatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.53) –

    เอวํ ชีวิตปริจฺจาคํ กตฺวา ปณิเธสิฯ ฉนฺทตาติ กตฺตุกมฺยตาฯ สา ยสฺส พลวตี โหติ, ตสฺส อิชฺฌติฯ สา จ, สเจ โกจิ วเทยฺย ‘‘โก จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ สตสหสฺสญฺจ กเปฺป นิรเย ปจฺจิตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉตี’’ติ, ตํ สุตฺวา โย ‘‘อห’’นฺติ วตฺตุํ อุสฺสหติ, ตสฺส พลวตีติ เวทิตพฺพาฯ ตถา ยทิ โกจิ วเทยฺย ‘‘โก สกลจกฺกวาฬํ วีตจฺจิกานํ องฺคารานํ ปูรํ อกฺกมโนฺต อติกฺกมิตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉติ, โก สกลจกฺกวาฬํ สตฺติสูเลหิ อากิณฺณํ อกฺกมโนฺต อติกฺกมิตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉติ, โก สกลจกฺกวาฬํ สมติตฺติกํ อุทกปุณฺณํ อุตฺตริตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉติ, โก สกลจกฺกวาฬํ นิรนฺตรํ เวฬุคุมฺพสญฺฉนฺนํ มทฺทโนฺต อติกฺกมิตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉตี’’ติ ตํ สุตฺวา โย ‘‘อห’’นฺติ วตฺตุํ อุสฺสหติ, ตสฺส พลวตีติ เวทิตพฺพาฯ เอวรูเปน จ กตฺตุกมฺยตาฉเนฺทน สมนฺนาคโต สุเมธปณฺฑิโต ปณิเธสีติฯ

    Evaṃ jīvitapariccāgaṃ katvā paṇidhesi. Chandatāti kattukamyatā. Sā yassa balavatī hoti, tassa ijjhati. Sā ca, sace koci vadeyya ‘‘ko cattāri asaṅkhyeyyāni satasahassañca kappe niraye paccitvā buddhattaṃ icchatī’’ti, taṃ sutvā yo ‘‘aha’’nti vattuṃ ussahati, tassa balavatīti veditabbā. Tathā yadi koci vadeyya ‘‘ko sakalacakkavāḷaṃ vītaccikānaṃ aṅgārānaṃ pūraṃ akkamanto atikkamitvā buddhattaṃ icchati, ko sakalacakkavāḷaṃ sattisūlehi ākiṇṇaṃ akkamanto atikkamitvā buddhattaṃ icchati, ko sakalacakkavāḷaṃ samatittikaṃ udakapuṇṇaṃ uttaritvā buddhattaṃ icchati, ko sakalacakkavāḷaṃ nirantaraṃ veḷugumbasañchannaṃ maddanto atikkamitvā buddhattaṃ icchatī’’ti taṃ sutvā yo ‘‘aha’’nti vattuṃ ussahati, tassa balavatīti veditabbā. Evarūpena ca kattukamyatāchandena samannāgato sumedhapaṇḍito paṇidhesīti.

    เอวํ สมิทฺธาภินีหาโร จ โพธิสโตฺต อิมานิ อฎฺฐารส อภพฺพฎฺฐานานิ น อุเปติฯ โส หิ ตโต ปภุติ น ชจฺจโนฺธ โหติ, น ชจฺจพธิโร, น อุมฺมตฺตโก, น เอฬมูโค, น ปีฐสปฺปี, น มิลกฺขูสุ อุปฺปชฺชติ, น ทาสิกุจฺฉิยา นิพฺพตฺตติ, น นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, นาสฺส ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, น ปญฺจานนฺตริยกมฺมานิ กโรติ, น กุฎฺฐี โหติ, น ติรจฺฉานโยนิยํ วฎฺฎกโต ปจฺฉิมตฺตภาโว โหติ, น ขุปฺปิปาสิกนิชฺฌามตณฺหิกเปเตสุ อุปฺปชฺชติ, น กาลกญฺจิกาสุเรสุ, น อวีจินิรเย, น โลกนฺตริเกสุ, กามาวจเรสุ น มาโร โหติ, รูปาวจเรสุ น อสญฺญีภเว, น สุทฺธาวาสภเวสุ อุปฺปชฺชติ, น อรูปภเวสุ, น อญฺญํ จกฺกวาฬํ สงฺกมติฯ

    Evaṃ samiddhābhinīhāro ca bodhisatto imāni aṭṭhārasa abhabbaṭṭhānāni na upeti. So hi tato pabhuti na jaccandho hoti, na jaccabadhiro, na ummattako, na eḷamūgo, na pīṭhasappī, na milakkhūsu uppajjati, na dāsikucchiyā nibbattati, na niyatamicchādiṭṭhiko hoti, nāssa liṅgaṃ parivattati, na pañcānantariyakammāni karoti, na kuṭṭhī hoti, na tiracchānayoniyaṃ vaṭṭakato pacchimattabhāvo hoti, na khuppipāsikanijjhāmataṇhikapetesu uppajjati, na kālakañcikāsuresu, na avīciniraye, na lokantarikesu, kāmāvacaresu na māro hoti, rūpāvacaresu na asaññībhave, na suddhāvāsabhavesu uppajjati, na arūpabhavesu, na aññaṃ cakkavāḷaṃ saṅkamati.

    ยา จิมา อุสฺสาโห อุมฺมโงฺค อวตฺถานํ หิตจริยา จาติ จตโสฺส พุทฺธภูมิโย, ตาหิ สมนฺนาคโต โหติฯ ตตฺถ –

    Yā cimā ussāho ummaṅgo avatthānaṃ hitacariyā cāti catasso buddhabhūmiyo, tāhi samannāgato hoti. Tattha –

    ‘‘อุสฺสาโห วีริยํ วุตฺตํ, อุมฺมโงฺค ปญฺญา ปวุจฺจติ;

    ‘‘Ussāho vīriyaṃ vuttaṃ, ummaṅgo paññā pavuccati;

    อวตฺถานํ อธิฎฺฐานํ, หิตจริยา เมตฺตาภาวนา’’ติฯ –

    Avatthānaṃ adhiṭṭhānaṃ, hitacariyā mettābhāvanā’’ti. –

    เวทิตพฺพาฯ เย จาปิ อิเม เนกฺขมฺมชฺฌาสโย, ปวิเวกชฺฌาสโย, อโลภชฺฌาสโย, อโทสชฺฌาสโย, อโมหชฺฌาสโย, นิสฺสรณชฺฌาสโยติ ฉ อชฺฌาสยา โพธิปริปากาย สํวตฺตนฺติ, เยหิ สมนฺนาคตตฺตา เนกฺขมฺมชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา กาเม โทสทสฺสาวิโน, ปวิเวกชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา สงฺคณิกาย โทสทสฺสาวิโน, อโลภชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา โลเภ โทสทสฺสาวิโน, อโทสชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา โทเส โทสทสฺสาวิโน, อโมหชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา โมเห โทสทสฺสาวิโน, นิสฺสรณชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา สพฺพภเวสุ โทสทสฺสาวิโนติ วุจฺจนฺติ, เตหิ จ สมนฺนาคโต โหติฯ

    Veditabbā. Ye cāpi ime nekkhammajjhāsayo, pavivekajjhāsayo, alobhajjhāsayo, adosajjhāsayo, amohajjhāsayo, nissaraṇajjhāsayoti cha ajjhāsayā bodhiparipākāya saṃvattanti, yehi samannāgatattā nekkhammajjhāsayā ca bodhisattā kāme dosadassāvino, pavivekajjhāsayā ca bodhisattā saṅgaṇikāya dosadassāvino, alobhajjhāsayā ca bodhisattā lobhe dosadassāvino, adosajjhāsayā ca bodhisattā dose dosadassāvino, amohajjhāsayā ca bodhisattā mohe dosadassāvino, nissaraṇajjhāsayā ca bodhisattā sabbabhavesu dosadassāvinoti vuccanti, tehi ca samannāgato hoti.

    ปเจฺจกพุทฺธานํ ปน กีว จิรํ ปตฺถนา วฎฺฎตีติ? ปเจฺจกพุทฺธานํ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจฯ ตโต โอรํ น สกฺกาฯ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนเวตฺถ การณํ เวทิตพฺพํฯ เอตฺตเกนาปิ จ กาเลน ปเจฺจกพุทฺธตฺตํ ปตฺถยโต อภินีหารกรเณ ปญฺจ สมฺปตฺติโย อิจฺฉิตพฺพาฯ เตสญฺหิ –

    Paccekabuddhānaṃ pana kīva ciraṃ patthanā vaṭṭatīti? Paccekabuddhānaṃ dve asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca. Tato oraṃ na sakkā. Pubbe vuttanayenevettha kāraṇaṃ veditabbaṃ. Ettakenāpi ca kālena paccekabuddhattaṃ patthayato abhinīhārakaraṇe pañca sampattiyo icchitabbā. Tesañhi –

    มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, วิคตาสวทสฺสนํ;

    Manussattaṃ liṅgasampatti, vigatāsavadassanaṃ;

    อธิกาโร ฉนฺทตา เอเต, อภินีหารการณาฯ

    Adhikāro chandatā ete, abhinīhārakāraṇā.

    ตตฺถ วิคตาสวทสฺสนนฺติ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกานํ ยสฺส กสฺสจิ ทสฺสนนฺติ อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Tattha vigatāsavadassananti buddhapaccekabuddhasāvakānaṃ yassa kassaci dassananti attho. Sesaṃ vuttanayameva.

    อถ สาวกานํ ปตฺถนา กิตฺตกํ วฎฺฎตีติ? ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, อสีติมหาสาวกานํ กปฺปสตสหสฺสํ, ตถา พุทฺธสฺส มาตาปิตูนํ อุปฎฺฐากสฺส ปุตฺตสฺส จาติฯ ตโต โอรํ น สกฺกาฯ วุตฺตนยเมเวตฺถ การณํฯ อิเมสํ ปน สเพฺพสมฺปิ อธิกาโร ฉนฺทตาติ ทฺวงฺคสมฺปโนฺนเยว อภินีหาโร โหติฯ

    Atha sāvakānaṃ patthanā kittakaṃ vaṭṭatīti? Dvinnaṃ aggasāvakānaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ kappasatasahassañca, asītimahāsāvakānaṃ kappasatasahassaṃ, tathā buddhassa mātāpitūnaṃ upaṭṭhākassa puttassa cāti. Tato oraṃ na sakkā. Vuttanayamevettha kāraṇaṃ. Imesaṃ pana sabbesampi adhikāro chandatāti dvaṅgasampannoyeva abhinīhāro hoti.

    เอวํ อิมาย ปตฺถนาย อิมินา จ อภินีหาเรน ยถาวุตฺตปฺปเภทํ กาลํ ปารมิโย ปูเรตฺวา พุทฺธา โลเก อุปฺปชฺชนฺตา ขตฺติยกุเล วา พฺราหฺมณกุเล วา อุปฺปชฺชนฺติ, ปเจฺจกพุทฺธา ขตฺติยพฺราหฺมณคหปติกุลานํ อญฺญตรสฺมิํ, อคฺคสาวกา ปน ขตฺติยพฺราหฺมณกุเลเสฺวว พุทฺธา อิว สพฺพพุทฺธา สํวฎฺฎมาเน กเปฺป น อุปฺปชฺชนฺติ, วิวฎฺฎมาเน กเปฺป อุปฺปชฺชนฺติฯ ปเจฺจกพุทฺธา พุเทฺธ อปฺปตฺวา พุทฺธานํ อุปฺปชฺชนกาเลเยว อุปฺปชฺชนฺติฯ พุทฺธา สยญฺจ พุชฺฌนฺติ, ปเร จ โพเธนฺติฯ ปเจฺจกพุทฺธา สยเมว พุชฺฌนฺติ, น ปเร โพเธนฺติฯ อตฺถรสเมว ปฎิวิชฺฌนฺติ, น ธมฺมรสํฯ น หิ เต โลกุตฺตรธมฺมํ ปญฺญตฺติํ อาโรเปตฺวา เทเสตุํ สโกฺกนฺติ, มูเคน ทิฎฺฐสุปิโน วิย วนจรเกน นคเร สายิตพฺยญฺชนรโส วิย จ เนสํ ธมฺมาภิสมโย โหติฯ สพฺพํ อิทฺธิสมาปตฺติปฎิสมฺภิทาปเภทํ ปาปุณนฺติ, คุณวิสิฎฺฐตาย พุทฺธานํ เหฎฺฐา สาวกานํ อุปริ โหนฺติ, อเญฺญ ปพฺพาเชตฺวา อาภิสมาจาริกํ สิกฺขาเปนฺติ, ‘‘จิตฺตสเลฺลโข กาตโพฺพ, โวสานํ นาปชฺชิตพฺพ’’นฺติ อิมินา อุเทฺทเสน อุโปสถํ กโรนฺติ, ‘อชฺชุโปสโถ’ติ วจนมเตฺตน วาฯ อุโปสถํ กโรนฺตา จ คนฺธมาทเน มญฺชูสกรุกฺขมูเล รตนมาเฬ สนฺนิปติตฺวา กโรนฺตีติฯ เอวํ ภควา อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปเจฺจกพุทฺธานํ สพฺพาการปริปูรํ ปตฺถนญฺจ อภินีหารญฺจ กเถตฺวา, อิทานิ อิมาย ปตฺถนาย อิมินา จ อภินีหาเรน สมุทาคเต เต เต ปเจฺจกพุเทฺธ กเถตุํ ‘‘สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑ’’นฺติอาทินา นเยน อิมํ ขคฺควิสาณสุตฺตํ อภาสิฯ อยํ ตาว อวิเสเสน ปุจฺฉาวสิโต ขคฺควิสาณสุตฺตสฺส อุปฺปตฺติฯ

    Evaṃ imāya patthanāya iminā ca abhinīhārena yathāvuttappabhedaṃ kālaṃ pāramiyo pūretvā buddhā loke uppajjantā khattiyakule vā brāhmaṇakule vā uppajjanti, paccekabuddhā khattiyabrāhmaṇagahapatikulānaṃ aññatarasmiṃ, aggasāvakā pana khattiyabrāhmaṇakulesveva buddhā iva sabbabuddhā saṃvaṭṭamāne kappe na uppajjanti, vivaṭṭamāne kappe uppajjanti. Paccekabuddhā buddhe appatvā buddhānaṃ uppajjanakāleyeva uppajjanti. Buddhā sayañca bujjhanti, pare ca bodhenti. Paccekabuddhā sayameva bujjhanti, na pare bodhenti. Attharasameva paṭivijjhanti, na dhammarasaṃ. Na hi te lokuttaradhammaṃ paññattiṃ āropetvā desetuṃ sakkonti, mūgena diṭṭhasupino viya vanacarakena nagare sāyitabyañjanaraso viya ca nesaṃ dhammābhisamayo hoti. Sabbaṃ iddhisamāpattipaṭisambhidāpabhedaṃ pāpuṇanti, guṇavisiṭṭhatāya buddhānaṃ heṭṭhā sāvakānaṃ upari honti, aññe pabbājetvā ābhisamācārikaṃ sikkhāpenti, ‘‘cittasallekho kātabbo, vosānaṃ nāpajjitabba’’nti iminā uddesena uposathaṃ karonti, ‘ajjuposatho’ti vacanamattena vā. Uposathaṃ karontā ca gandhamādane mañjūsakarukkhamūle ratanamāḷe sannipatitvā karontīti. Evaṃ bhagavā āyasmato ānandassa paccekabuddhānaṃ sabbākāraparipūraṃ patthanañca abhinīhārañca kathetvā, idāni imāya patthanāya iminā ca abhinīhārena samudāgate te te paccekabuddhe kathetuṃ ‘‘sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍa’’ntiādinā nayena imaṃ khaggavisāṇasuttaṃ abhāsi. Ayaṃ tāva avisesena pucchāvasito khaggavisāṇasuttassa uppatti.

    ๓๕. อิทานิ วิเสเสน วตฺตพฺพาฯ ตตฺถ อิมิสฺสา ตาว คาถาย เอวํ อุปฺปตฺติ เวทิตพฺพา – อยํ กิร ปเจฺจกพุโทฺธ ปเจฺจกโพธิสตฺตภูมิํ โอคาหโนฺต เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา อารญฺญิโก หุตฺวา คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต สมณธมฺมํ อกาสิฯ เอตํ กิร วตฺตํ อปริปูเรตฺวา ปเจฺจกโพธิํ ปาปุณนฺตา นาม นตฺถิฯ กิํ ปเนตํ คตปจฺจาคตวตฺตํ นาม? หรณปจฺจาหรณนฺติฯ ตํ ยถา วิภูตํ โหติ, ตถา กเถสฺสามฯ

    35. Idāni visesena vattabbā. Tattha imissā tāva gāthāya evaṃ uppatti veditabbā – ayaṃ kira paccekabuddho paccekabodhisattabhūmiṃ ogāhanto dve asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā kassapassa bhagavato sāsane pabbajitvā āraññiko hutvā gatapaccāgatavattaṃ pūrento samaṇadhammaṃ akāsi. Etaṃ kira vattaṃ aparipūretvā paccekabodhiṃ pāpuṇantā nāma natthi. Kiṃ panetaṃ gatapaccāgatavattaṃ nāma? Haraṇapaccāharaṇanti. Taṃ yathā vibhūtaṃ hoti, tathā kathessāma.

    อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ หรติ, น ปจฺจาหรติ; เอกโจฺจ ปจฺจาหรติ, น หรติ; เอกโจฺจ ปน เนว หรติ, น ปจฺจาหรติ; เอกโจฺจ หรติ จ ปจฺจาหรติ จฯ ตตฺถ โย ภิกฺขุ ปเคว วุฎฺฐาย เจติยงฺคณโพธิยงฺคณวตฺตํ กตฺวา, โพธิรุเกฺข อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา, ปานียฆฎํ ปูเรตฺวา ปานียมาเฬ ฐเปตฺวา, อาจริยวตฺตํ อุปชฺฌายวตฺตํ กตฺวา, เทฺวอสีติ ขุทฺทกวตฺตานิ จุทฺทส มหาวตฺตานิ จ สมาทาย วตฺตติ, โส สรีรปริกมฺมํ กตฺวา, เสนาสนํ ปวิสิตฺวา, ยาว ภิกฺขาจารเวลา ตาว วิวิตฺตาสเน วีตินาเมตฺวา, เวลํ ญตฺวา, นิวาเสตฺวา, กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา, อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา, สงฺฆาฎิํ ขเนฺธ กริตฺวา, ปตฺตํ อํเส อาลเคฺคตฺวา, กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรโนฺต เจติยงฺคณํ ปตฺวา, เจติยญฺจ โพธิญฺจ วนฺทิตฺวา, คามสมีเป จีวรํ ปารุปิตฺวา, ปตฺตมาทาย คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ, เอวํ ปวิโฎฺฐ จ ลาภี ภิกฺขุ ปุญฺญวา อุปาสเกหิ สกฺกตครุกโต อุปฎฺฐากกุเล วา ปฎิกฺกมนสาลายํ วา ปฎิกฺกมิตฺวา อุปาสเกหิ ตํ ตํ ปญฺหํ ปุจฺฉิยมาโน เตสํ ปญฺหวิสฺสชฺชเนน ธมฺมเทสนาวิเกฺขเปน จ ตํ มนสิการํ ฉเฑฺฑตฺวา นิกฺขมติ, วิหารํ อาคโตปิ ภิกฺขูนํ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ กเถติ, ธมฺมํ ภณติ, ตํ ตํ พฺยาปารมาปชฺชติ, ปจฺฉาภตฺตมฺปิ ปุริมยามมฺปิ มชฺฌิมยามมฺปิ เอวํ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ปปญฺจิตฺวา กายทุฎฺฐุลฺลาภิภูโต ปจฺฉิมยาเมปิ สยติ, เนว กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรติ, อยํ วุจฺจติ หรติ, น ปจฺจาหรตีติฯ

    Idhekacco bhikkhu harati, na paccāharati; ekacco paccāharati, na harati; ekacco pana neva harati, na paccāharati; ekacco harati ca paccāharati ca. Tattha yo bhikkhu pageva vuṭṭhāya cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇavattaṃ katvā, bodhirukkhe udakaṃ āsiñcitvā, pānīyaghaṭaṃ pūretvā pānīyamāḷe ṭhapetvā, ācariyavattaṃ upajjhāyavattaṃ katvā, dveasīti khuddakavattāni cuddasa mahāvattāni ca samādāya vattati, so sarīraparikammaṃ katvā, senāsanaṃ pavisitvā, yāva bhikkhācāravelā tāva vivittāsane vītināmetvā, velaṃ ñatvā, nivāsetvā, kāyabandhanaṃ bandhitvā, uttarāsaṅgaṃ karitvā, saṅghāṭiṃ khandhe karitvā, pattaṃ aṃse ālaggetvā, kammaṭṭhānaṃ manasi karonto cetiyaṅgaṇaṃ patvā, cetiyañca bodhiñca vanditvā, gāmasamīpe cīvaraṃ pārupitvā, pattamādāya gāmaṃ piṇḍāya pavisati, evaṃ paviṭṭho ca lābhī bhikkhu puññavā upāsakehi sakkatagarukato upaṭṭhākakule vā paṭikkamanasālāyaṃ vā paṭikkamitvā upāsakehi taṃ taṃ pañhaṃ pucchiyamāno tesaṃ pañhavissajjanena dhammadesanāvikkhepena ca taṃ manasikāraṃ chaḍḍetvā nikkhamati, vihāraṃ āgatopi bhikkhūnaṃ pañhaṃ puṭṭho katheti, dhammaṃ bhaṇati, taṃ taṃ byāpāramāpajjati, pacchābhattampi purimayāmampi majjhimayāmampi evaṃ bhikkhūhi saddhiṃ papañcitvā kāyaduṭṭhullābhibhūto pacchimayāmepi sayati, neva kammaṭṭhānaṃ manasi karoti, ayaṃ vuccati harati, na paccāharatīti.

    โย ปน พฺยาธิพหุโล โหติ, ภุตฺตาหาโร ปจฺจูสสมเย น สมฺมา ปริณมติ, ปเคว วุฎฺฐาย ยถาวุตฺตํ วตฺตํ กาตุํ น สโกฺกติ กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิ กาตุํ, อญฺญทตฺถุ ยาคุํ วา เภสชฺชํ วา ปตฺถยมาโน กาลเสฺสว ปตฺตจีวรมาทาย คามํ ปวิสติฯ ตตฺถ ยาคุํ วา เภสชฺชํ วา ภตฺตํ วา ลทฺธา ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา, ปญฺญตฺตาสเน นิสิโนฺน กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กตฺวา, วิเสสํ ปตฺวา วา อปฺปตฺวา วา, วิหารํ อาคนฺตฺวา, เตเนว มนสิกาเรน วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ ปจฺจาหรติ น หรตีติฯ เอทิสา จ ภิกฺขู ยาคุํ ปิวิตฺวา, วิปสฺสนํ อารภิตฺวา, พุทฺธสาสเน อรหตฺตํ ปตฺตา คณนปถํ วีติวตฺตาฯ สีหฬทีเปเยว เตสุ เตสุ คาเมสุ อาสนสาลาย น ตํ อาสนํ อตฺถิ, ยตฺถ ยาคุํ ปิวิตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺต ภิกฺขุ นตฺถีติฯ

    Yo pana byādhibahulo hoti, bhuttāhāro paccūsasamaye na sammā pariṇamati, pageva vuṭṭhāya yathāvuttaṃ vattaṃ kātuṃ na sakkoti kammaṭṭhānaṃ vā manasi kātuṃ, aññadatthu yāguṃ vā bhesajjaṃ vā patthayamāno kālasseva pattacīvaramādāya gāmaṃ pavisati. Tattha yāguṃ vā bhesajjaṃ vā bhattaṃ vā laddhā bhattakiccaṃ niṭṭhāpetvā, paññattāsane nisinno kammaṭṭhānaṃ manasi katvā, visesaṃ patvā vā appatvā vā, vihāraṃ āgantvā, teneva manasikārena viharati. Ayaṃ vuccati paccāharati na haratīti. Edisā ca bhikkhū yāguṃ pivitvā, vipassanaṃ ārabhitvā, buddhasāsane arahattaṃ pattā gaṇanapathaṃ vītivattā. Sīhaḷadīpeyeva tesu tesu gāmesu āsanasālāya na taṃ āsanaṃ atthi, yattha yāguṃ pivitvā arahattaṃ patto bhikkhu natthīti.

    โย ปน ปมาทวิหารี โหติ นิกฺขิตฺตธุโร, สพฺพวตฺตานิ ภินฺทิตฺวา ปญฺจวิธเจโตขิลวินิพนฺธนพทฺธจิโตฺต วิหรโนฺต กมฺมฎฺฐานมนสิการมนนุยุโตฺต คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา คิหิปปเญฺจน ปปญฺจิโต ตุจฺฉโก นิกฺขมติ, อยํ วุจฺจติ เนว หรติ น ปจฺจาหรตีติฯ

    Yo pana pamādavihārī hoti nikkhittadhuro, sabbavattāni bhinditvā pañcavidhacetokhilavinibandhanabaddhacitto viharanto kammaṭṭhānamanasikāramananuyutto gāmaṃ piṇḍāya pavisitvā gihipapañcena papañcito tucchako nikkhamati, ayaṃ vuccati neva harati na paccāharatīti.

    โย ปน ปเคว วุฎฺฐาย ปุริมนเยเนว สพฺพวตฺตานิ ปริปูเรตฺวา ยาว ภิกฺขาจารเวลา, ตาว ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรติฯ กมฺมฎฺฐานํ นาม ทุวิธํ – สพฺพตฺถกํ, ปาริหาริยญฺจฯ สพฺพตฺถกํ นาม เมตฺตา จ มรณสฺสติ จฯ ตํ สพฺพตฺถ อิจฺฉิตพฺพโต ‘‘สพฺพตฺถก’’นฺติ วุจฺจติฯ เมตฺตา นาม อาวาสาทีสุ สพฺพตฺถ อิจฺฉิตพฺพาฯ อาวาเสสุ หิ เมตฺตาวิหารี ภิกฺขุ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย โหติ, เตน ผาสุ อสงฺฆโฎฺฐ วิหรติฯ เทวตาสุ เมตฺตาวิหารี เทวตาหิ รกฺขิตโคปิโต สุขํ วิหรติฯ ราชราชมหามตฺตาทีสุ เมตฺตาวิหารี, เตหิ มมายิโต สุขํ วิหรติฯ คามนิคมาทีสุ เมตฺตาวิหารี สพฺพตฺถ ภิกฺขาจริยาทีสุ มนุเสฺสหิ สกฺกตครุกโต สุขํ วิหรติฯ มรณสฺสติภาวนาย ชีวิตนิกนฺติํ ปหาย อปฺปมโตฺต วิหรติฯ

    Yo pana pageva vuṭṭhāya purimanayeneva sabbavattāni paripūretvā yāva bhikkhācāravelā, tāva pallaṅkaṃ ābhujitvā kammaṭṭhānaṃ manasi karoti. Kammaṭṭhānaṃ nāma duvidhaṃ – sabbatthakaṃ, pārihāriyañca. Sabbatthakaṃ nāma mettā ca maraṇassati ca. Taṃ sabbattha icchitabbato ‘‘sabbatthaka’’nti vuccati. Mettā nāma āvāsādīsu sabbattha icchitabbā. Āvāsesu hi mettāvihārī bhikkhu sabrahmacārīnaṃ piyo hoti, tena phāsu asaṅghaṭṭho viharati. Devatāsu mettāvihārī devatāhi rakkhitagopito sukhaṃ viharati. Rājarājamahāmattādīsu mettāvihārī, tehi mamāyito sukhaṃ viharati. Gāmanigamādīsu mettāvihārī sabbattha bhikkhācariyādīsu manussehi sakkatagarukato sukhaṃ viharati. Maraṇassatibhāvanāya jīvitanikantiṃ pahāya appamatto viharati.

    ยํ ปน สทา ปริหริตพฺพํ จริตานุกูเลน คหิตตฺตา ทสาสุภกสิณานุสฺสตีสุ อญฺญตรํ, จตุธาตุววตฺถานเมว วา, ตํ สทา ปริหริตพฺพโต, รกฺขิตพฺพโต, ภาเวตพฺพโต จ ปาริหาริยนฺติ วุจฺจติ, มูลกมฺมฎฺฐานนฺติปิ ตเทวฯ ตตฺถ ยํ ปฐมํ สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐานํ มนสิ กริตฺวา ปจฺฉา ปาริหาริยกมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรติ, ตํ จตุธาตุววตฺถานมุเขน ทเสฺสสฺสามฯ

    Yaṃ pana sadā pariharitabbaṃ caritānukūlena gahitattā dasāsubhakasiṇānussatīsu aññataraṃ, catudhātuvavatthānameva vā, taṃ sadā pariharitabbato, rakkhitabbato, bhāvetabbato ca pārihāriyanti vuccati, mūlakammaṭṭhānantipi tadeva. Tattha yaṃ paṭhamaṃ sabbatthakakammaṭṭhānaṃ manasi karitvā pacchā pārihāriyakammaṭṭhānaṃ manasi karoti, taṃ catudhātuvavatthānamukhena dassessāma.

    อยญฺหิ ยถาฐิตํ ยถาปณิหิตํ กายํ ธาตุโส ปจฺจเวกฺขติ – ยํ อิมสฺมิํ สรีเร วีสติโกฎฺฐาเสสุ กกฺขฬํ ขรคตํ, สา ปถวีธาตุฯ ยํ ทฺวาทสสุ อาพนฺธนกิจฺจกรํ เสฺนหคตํ, สา อาโปธาตุฯ ยํ จตูสุ ปริปาจนกรํ อุสุมคตํ, สา เตโชธาตุฯ ยํ ปน ฉสุ วิตฺถมฺภนกรํ วาโยคตํ, สา วาโยธาตุฯ ยํ ปเนตฺถ จตูหิ มหาภูเตหิ อสมฺผุฎฺฐํ ฉิทฺทํ วิวรํ, สา อากาสธาตุฯ ตํวิชานนกํ จิตฺตํ วิญฺญาณธาตุฯ ตโต อุตฺตริ อโญฺญ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา นตฺถิฯ เกวลํ สุทฺธสงฺขารปุโญฺชว อยนฺติฯ

    Ayañhi yathāṭhitaṃ yathāpaṇihitaṃ kāyaṃ dhātuso paccavekkhati – yaṃ imasmiṃ sarīre vīsatikoṭṭhāsesu kakkhaḷaṃ kharagataṃ, sā pathavīdhātu. Yaṃ dvādasasu ābandhanakiccakaraṃ snehagataṃ, sā āpodhātu. Yaṃ catūsu paripācanakaraṃ usumagataṃ, sā tejodhātu. Yaṃ pana chasu vitthambhanakaraṃ vāyogataṃ, sā vāyodhātu. Yaṃ panettha catūhi mahābhūtehi asamphuṭṭhaṃ chiddaṃ vivaraṃ, sā ākāsadhātu. Taṃvijānanakaṃ cittaṃ viññāṇadhātu. Tato uttari añño satto vā puggalo vā natthi. Kevalaṃ suddhasaṅkhārapuñjova ayanti.

    เอวํ อาทิมชฺฌปริโยสานโต กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กริตฺวา, กาลํ ญตฺวา, อุฎฺฐายาสนา นิวาเสตฺวา, ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว คามํ ปิณฺฑาย คจฺฉติฯ คจฺฉโนฺต จ ยถา อนฺธปุถุชฺชนา อภิกฺกมาทีสุ ‘‘อตฺตา อภิกฺกมติ, อตฺตนา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา, ‘‘อหํ อภิกฺกมามิ, มยา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา สมฺมุยฺหนฺติ, ตถา อสมฺมุยฺหโนฺต ‘‘อภิกฺกมามีติ จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานา สนฺธารณวาโยธาตุ อุปฺปชฺชติฯ สา อิมํ ปถวีธาตฺวาทิสนฺนิเวสภูตํ กายสมฺมตํ อฎฺฐิกสงฺฆาฎํ วิปฺผรติ, ตโต จิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผารวเสน อยํ กายสมฺมโต อฎฺฐิกสงฺฆาโฎ อภิกฺกมติฯ ตเสฺสวํ อภิกฺกมโต เอเกกปาทุทฺธารเณ จตูสุ ธาตูสุ วาโยธาตุอนุคตา เตโชธาตุ อธิกา อุปฺปชฺชติ, มนฺทา อิตราฯ อติหรณวีติหรณาปหรเณสุ ปน เตโชธาตุอนุคตา วาโยธาตุ อธิกา อุปฺปชฺชติ, มนฺทา อิตราฯ โอโรหเณ ปน ปถวีธาตุอนุคตา อาโปธาตุ อธิกา อุปฺปชฺชติ, มนฺทา อิตราฯ สนฺนิเกฺขปนสมุปฺปีฬเนสุ อาโปธาตุอนุคตา ปถวีธาตุ อธิกา อุปฺปชฺชติ, มนฺทา อิตราฯ อิเจฺจตา ธาตุโย เตน เตน อตฺตโน อุปฺปาทกจิเตฺตน สทฺธิํ ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชนฺติ ฯ ตตฺถ โก เอโก อภิกฺกมติ, กสฺส วา เอกสฺส อภิกฺกมน’’นฺติ เอวํ เอเกกปาทุทฺธารณาทิปฺปกาเรสุ เอเกกสฺมิํ ปกาเร อุปฺปนฺนธาตุโย, ตทวินิพฺภุตฺตา จ เสสา รูปธมฺมา, ตํสมุฎฺฐาปกํ จิตฺตํ, ตํสมฺปยุตฺตา จ เสสา อรูปธมฺมาติ เอเต รูปารูปธมฺมาฯ ตโต ปรํ อติหรณวีติหรณาทีสุ อญฺญํ ปการํ น สมฺปาปุณนฺติ, ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชนฺติฯ ตสฺมา อนิจฺจาฯ ยญฺจ อนิจฺจํ, ตํ ทุกฺขํฯ ยํ ทุกฺขํ, ตทนตฺตาติ เอวํ สพฺพาการปริปูรํ กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว คจฺฉติฯ อตฺถกามา หิ กุลปุตฺตา สาสเน ปพฺพชิตฺวา ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ สฎฺฐิปิ สตฺตติปิ สตมฺปิ เอกโต วสนฺตา กติกวตฺตํ กตฺวา วิหรนฺติ – ‘‘อาวุโส, ตุเมฺห น อิณฎฺฐา, น ภยฎฺฐา, น ชีวิกาปกตา ปพฺพชิตา; ทุกฺขา มุจฺจิตุกามา ปเนตฺถ ปพฺพชิตาฯ ตสฺมา คมเน อุปฺปนฺนกิเลสํ คมเนเยว นิคฺคณฺหถ, ฐาเน นิสชฺชาย, สยเน อุปฺปนฺนกิเลสํ คมเนเยว นิคฺคณฺหถา’’ติฯ เต เอวํ กติกวตฺตํ กตฺวา ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตา อฑฺฒอุสภอุสภอฑฺฒคาวุตคาวุตนฺตเรสุ ปาสาณา โหนฺติ, ตาย สญฺญาย กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตาว คจฺฉนฺติฯ สเจ กสฺสจิ คมเน กิเลโส อุปฺปชฺชติ, ตเตฺถว นํ นิคฺคณฺหาติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต ติฎฺฐติฯ อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ ติฎฺฐติฯ โส – ‘‘อยํ ภิกฺขุ ตุยฺหํ อุปฺปนฺนวิตกฺกํ ชานาติ, อนนุจฺฉวิกํ เต เอต’’นฺติ อตฺตานํ ปฎิโจเทตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ตเตฺถว อริยภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต นิสีทติฯ อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ นิสีทตีติ โสเยว นโยฯ อริยภูมิ โอกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺตปิ ตํ กิเลสํ วิกฺขเมฺภตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว คจฺฉติฯ น กมฺมฎฺฐานวิปฺปยุเตฺตน จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรติฯ อุทฺธรติ เจ, ปฎินิวตฺติตฺวา ปุริมปฺปเทสํเยว เอติ สีหฬทีเป อาลินฺทกวาสี มหาผุสฺสเทวเตฺถโร วิย ฯ

    Evaṃ ādimajjhapariyosānato kammaṭṭhānaṃ manasi karitvā, kālaṃ ñatvā, uṭṭhāyāsanā nivāsetvā, pubbe vuttanayeneva gāmaṃ piṇḍāya gacchati. Gacchanto ca yathā andhaputhujjanā abhikkamādīsu ‘‘attā abhikkamati, attanā abhikkamo nibbattito’’ti vā, ‘‘ahaṃ abhikkamāmi, mayā abhikkamo nibbattito’’ti vā sammuyhanti, tathā asammuyhanto ‘‘abhikkamāmīti citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānā sandhāraṇavāyodhātu uppajjati. Sā imaṃ pathavīdhātvādisannivesabhūtaṃ kāyasammataṃ aṭṭhikasaṅghāṭaṃ vippharati, tato cittakiriyāvāyodhātuvipphāravasena ayaṃ kāyasammato aṭṭhikasaṅghāṭo abhikkamati. Tassevaṃ abhikkamato ekekapāduddhāraṇe catūsu dhātūsu vāyodhātuanugatā tejodhātu adhikā uppajjati, mandā itarā. Atiharaṇavītiharaṇāpaharaṇesu pana tejodhātuanugatā vāyodhātu adhikā uppajjati, mandā itarā. Orohaṇe pana pathavīdhātuanugatā āpodhātu adhikā uppajjati, mandā itarā. Sannikkhepanasamuppīḷanesu āpodhātuanugatā pathavīdhātu adhikā uppajjati, mandā itarā. Iccetā dhātuyo tena tena attano uppādakacittena saddhiṃ tattha tattheva bhijjanti . Tattha ko eko abhikkamati, kassa vā ekassa abhikkamana’’nti evaṃ ekekapāduddhāraṇādippakāresu ekekasmiṃ pakāre uppannadhātuyo, tadavinibbhuttā ca sesā rūpadhammā, taṃsamuṭṭhāpakaṃ cittaṃ, taṃsampayuttā ca sesā arūpadhammāti ete rūpārūpadhammā. Tato paraṃ atiharaṇavītiharaṇādīsu aññaṃ pakāraṃ na sampāpuṇanti, tattha tattheva bhijjanti. Tasmā aniccā. Yañca aniccaṃ, taṃ dukkhaṃ. Yaṃ dukkhaṃ, tadanattāti evaṃ sabbākāraparipūraṃ kammaṭṭhānaṃ manasikarontova gacchati. Atthakāmā hi kulaputtā sāsane pabbajitvā dasapi vīsampi tiṃsampi cattālīsampi paññāsampi saṭṭhipi sattatipi satampi ekato vasantā katikavattaṃ katvā viharanti – ‘‘āvuso, tumhe na iṇaṭṭhā, na bhayaṭṭhā, na jīvikāpakatā pabbajitā; dukkhā muccitukāmā panettha pabbajitā. Tasmā gamane uppannakilesaṃ gamaneyeva niggaṇhatha, ṭhāne nisajjāya, sayane uppannakilesaṃ gamaneyeva niggaṇhathā’’ti. Te evaṃ katikavattaṃ katvā bhikkhācāraṃ gacchantā aḍḍhausabhausabhaaḍḍhagāvutagāvutantaresu pāsāṇā honti, tāya saññāya kammaṭṭhānaṃ manasikarontāva gacchanti. Sace kassaci gamane kileso uppajjati, tattheva naṃ niggaṇhāti. Tathā asakkonto tiṭṭhati. Athassa pacchato āgacchantopi tiṭṭhati. So – ‘‘ayaṃ bhikkhu tuyhaṃ uppannavitakkaṃ jānāti, ananucchavikaṃ te eta’’nti attānaṃ paṭicodetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā tattheva ariyabhūmiṃ okkamati. Tathā asakkonto nisīdati. Athassa pacchato āgacchantopi nisīdatīti soyeva nayo. Ariyabhūmi okkamituṃ asakkontopi taṃ kilesaṃ vikkhambhetvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova gacchati. Na kammaṭṭhānavippayuttena cittena pādaṃ uddharati. Uddharati ce, paṭinivattitvā purimappadesaṃyeva eti sīhaḷadīpe ālindakavāsī mahāphussadevatthero viya .

    โส กิร เอกูนวีสติ วสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต เอว วิหาสิฯ มนุสฺสาปิ สุทํ อนฺตรามเคฺค กสนฺตา จ วปนฺตา จ มทฺทนฺตา จ กมฺมานิ กโรนฺตา เถรํ ตถา คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา – ‘‘อยํ เถโร ปุนปฺปุนํ นิวตฺติตฺวา คจฺฉติ, กิํ นุ โข มคฺคมูโฬฺห, อุทาหุ กิญฺจิ ปมุโฎฺฐ’’ติ สมุลฺลปนฺติฯ โส ตํ อนาทิยิตฺวา กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน สมณธมฺมํ กโรโนฺต วีสติวสฺสพฺภนฺตเร อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรหตฺตปฺปตฺตทิวเส จสฺส จงฺกมนโกฎิยํ อธิวตฺถา เทวตา องฺคุลีหิ ทีปํ อุชฺชาเลตฺวา อฎฺฐาสิฯ จตฺตาโรปิ มหาราชาโน สโกฺก จ เทวานมิโนฺท, พฺรหฺมา จ สหมฺปติ อุปฎฺฐานํ อาคมํสุฯ ตญฺจ โอภาสํ ทิสฺวา วนวาสี มหาติสฺสเตฺถโร ตํ ทุติยทิวเส ปุจฺฉิ ‘‘รตฺติภาเค อายสฺมโต สนฺติเก โอภาโส อโหสิ, กิํ โส โอภาโส’’ติ? เถโร วิเกฺขปํ กโรโนฺต ‘‘โอภาโส นาม ทีโปภาโสปิ โหติ, มณิโอภาโสปี’’ติ เอวมาทิํ อาหฯ โส ‘‘ปฎิจฺฉาเทถ ตุเมฺห’’ติ นิพโทฺธ ‘‘อามา’’ติ ปฎิชานิตฺวา อาโรเจสิฯ

    So kira ekūnavīsati vassāni gatapaccāgatavattaṃ pūrento eva vihāsi. Manussāpi sudaṃ antarāmagge kasantā ca vapantā ca maddantā ca kammāni karontā theraṃ tathā gacchantaṃ disvā – ‘‘ayaṃ thero punappunaṃ nivattitvā gacchati, kiṃ nu kho maggamūḷho, udāhu kiñci pamuṭṭho’’ti samullapanti. So taṃ anādiyitvā kammaṭṭhānayutteneva cittena samaṇadhammaṃ karonto vīsativassabbhantare arahattaṃ pāpuṇi. Arahattappattadivase cassa caṅkamanakoṭiyaṃ adhivatthā devatā aṅgulīhi dīpaṃ ujjāletvā aṭṭhāsi. Cattāropi mahārājāno sakko ca devānamindo, brahmā ca sahampati upaṭṭhānaṃ āgamaṃsu. Tañca obhāsaṃ disvā vanavāsī mahātissatthero taṃ dutiyadivase pucchi ‘‘rattibhāge āyasmato santike obhāso ahosi, kiṃ so obhāso’’ti? Thero vikkhepaṃ karonto ‘‘obhāso nāma dīpobhāsopi hoti, maṇiobhāsopī’’ti evamādiṃ āha. So ‘‘paṭicchādetha tumhe’’ti nibaddho ‘‘āmā’’ti paṭijānitvā ārocesi.

    กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย จฯ โสปิ กิร คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต ‘‘ปฐมํ ตาว ภควโต มหาปธานํ ปูเชมี’’ติ สตฺต วสฺสานิ ฐานจงฺกมเมว อธิฎฺฐาสิฯ ปุน โสฬส วสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เอวํ กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต วิปฺปยุเตฺตน จิเตฺตน อุทฺธเฎ ปน ปฎินิวตฺตโนฺต คามสมีปํ คนฺตฺวา, ‘‘คาวี นุ ปพฺพชิโต นู’’ติ อาสงฺกนียปฺปเทเส ฐตฺวา, สงฺฆาฎิํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา, คามทฺวารํ ปตฺวา, กจฺฉกนฺตรโต อุทกํ คเหตฺวา, คณฺฑูสํ กตฺวา คามํ ปวิสติ ‘‘ภิกฺขํ ทาตุํ วา วนฺทิตุํ วา อุปคเต มนุเสฺส ‘ทีฆายุกา โหถา’ติ วจนมเตฺตนปิ มา เม กมฺมฎฺฐานวิเกฺขโป อโหสี’’ติ สเจ ปน ‘‘อชฺช, ภเนฺต, กิํ สตฺตมี, อุทาหุ อฎฺฐมี’’ติ ทิวสํ ปุจฺฉนฺติ, อุทกํ คิลิตฺวา อาโรเจติฯ สเจ ทิวสปุจฺฉกา น โหนฺติ, นิกฺขมนเวลายํ คามทฺวาเร นิฎฺฐุภิตฺวาว ยาติฯ

    Kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya ca. Sopi kira gatapaccāgatavattaṃ pūrento ‘‘paṭhamaṃ tāva bhagavato mahāpadhānaṃ pūjemī’’ti satta vassāni ṭhānacaṅkamameva adhiṭṭhāsi. Puna soḷasa vassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā arahattaṃ pāpuṇi. Evaṃ kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto vippayuttena cittena uddhaṭe pana paṭinivattanto gāmasamīpaṃ gantvā, ‘‘gāvī nu pabbajito nū’’ti āsaṅkanīyappadese ṭhatvā, saṅghāṭiṃ pārupitvā pattaṃ gahetvā, gāmadvāraṃ patvā, kacchakantarato udakaṃ gahetvā, gaṇḍūsaṃ katvā gāmaṃ pavisati ‘‘bhikkhaṃ dātuṃ vā vandituṃ vā upagate manusse ‘dīghāyukā hothā’ti vacanamattenapi mā me kammaṭṭhānavikkhepo ahosī’’ti sace pana ‘‘ajja, bhante, kiṃ sattamī, udāhu aṭṭhamī’’ti divasaṃ pucchanti, udakaṃ gilitvā āroceti. Sace divasapucchakā na honti, nikkhamanavelāyaṃ gāmadvāre niṭṭhubhitvāva yāti.

    สีหฬทีเปเยว กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตา ปญฺญาสภิกฺขู วิย จฯ เต กิร วสฺสูปนายิกอุโปสถทิวเส กติกวตฺตํ อกํสุ – ‘‘อรหตฺตํ อปฺปตฺวา อญฺญมญฺญํ นาลปิสฺสามา’’ติฯ คามญฺจ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตา คามทฺวาเร อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา ปวิสิํสุ, ทิวเส ปุจฺฉิเต อุทกํ คิลิตฺวา อาโรเจสุํ, อปุจฺฉิเต คามทฺวาเร นิฎฺฐุภิตฺวา วิหารํ อาคมํสุฯ ตตฺถ มนุสฺสา นิฎฺฐุภนฎฺฐานํ ทิสฺวา ชานิํสุ ‘‘อชฺช เอโก อาคโต, อชฺช เทฺว’’ติฯ เอวญฺจ จิเนฺตสุํ ‘‘กิํ นุ โข เอเต อเมฺหเหว สทฺธิํ น สลฺลปนฺติ, อุทาหุ อญฺญมญฺญมฺปิ? ยทิ อญฺญมญฺญมฺปิ น สลฺลปนฺติ, อทฺธา วิวาทชาตา ภวิสฺสนฺติ, หนฺท เนสํ อญฺญมญฺญํ ขมาเปสฺสามา’’ติ สเพฺพ วิหารํ อคมํสุฯ ตตฺถ ปญฺญาสภิกฺขูสุ วสฺสํ อุปคเตสุ เทฺว ภิกฺขู เอโกกาเส นาทฺทสํสุฯ ตโต โย เตสุ จกฺขุมา ปุริโส, โส เอวมาห – ‘‘น, โภ, กลหการกานํ วสโนกาโส อีทิโส โหติ, สุสมฺมฎฺฐํ เจติยงฺคณํ โพธิยงฺคณํ, สุนิกฺขิตฺตา สมฺมชฺชนิโย, สูปฎฺฐปิตํ ปานียปริโภชนีย’’นฺติฯ เต ตโตว นิวตฺตาฯ เต ภิกฺขู อโนฺตเตมาเสเยว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา มหาปวารณาย วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสุํฯ

    Sīhaḷadīpeyeva kalambatitthavihāre vassūpagatā paññāsabhikkhū viya ca. Te kira vassūpanāyikauposathadivase katikavattaṃ akaṃsu – ‘‘arahattaṃ appatvā aññamaññaṃ nālapissāmā’’ti. Gāmañca piṇḍāya pavisantā gāmadvāre udakagaṇḍūsaṃ katvā pavisiṃsu, divase pucchite udakaṃ gilitvā ārocesuṃ, apucchite gāmadvāre niṭṭhubhitvā vihāraṃ āgamaṃsu. Tattha manussā niṭṭhubhanaṭṭhānaṃ disvā jāniṃsu ‘‘ajja eko āgato, ajja dve’’ti. Evañca cintesuṃ ‘‘kiṃ nu kho ete amheheva saddhiṃ na sallapanti, udāhu aññamaññampi? Yadi aññamaññampi na sallapanti, addhā vivādajātā bhavissanti, handa nesaṃ aññamaññaṃ khamāpessāmā’’ti sabbe vihāraṃ agamaṃsu. Tattha paññāsabhikkhūsu vassaṃ upagatesu dve bhikkhū ekokāse nāddasaṃsu. Tato yo tesu cakkhumā puriso, so evamāha – ‘‘na, bho, kalahakārakānaṃ vasanokāso īdiso hoti, susammaṭṭhaṃ cetiyaṅgaṇaṃ bodhiyaṅgaṇaṃ, sunikkhittā sammajjaniyo, sūpaṭṭhapitaṃ pānīyaparibhojanīya’’nti. Te tatova nivattā. Te bhikkhū antotemāseyeva vipassanaṃ ārabhitvā arahattaṃ patvā mahāpavāraṇāya visuddhipavāraṇaṃ pavāresuṃ.

    เอวํ กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตภิกฺขู วิย จ กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต คามสมีปํ ปตฺวา, อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา, วีถิโย สลฺลเกฺขตฺวา, ยตฺถ สุราโสณฺฑธุตฺตาทโย กลหการกา จณฺฑหตฺถิอสฺสาทโย วา นตฺถิ, ตํ วีถิํ ปฎิปชฺชติฯ ตตฺถ จ ปิณฺฑาย จรมาโน น ตุริตตุริโต วิย ชเวน คจฺฉติ, ชวนปิณฺฑปาติกธุตงฺคํ นาม นตฺถิฯ วิสมภูมิภาคปฺปตฺตํ ปน อุทกภริตสกฎมิว นิจฺจโลว หุตฺวา คจฺฉติฯ อนุฆรํ ปวิโฎฺฐ จ ทาตุกามํ อทาตุกามํ วา สลฺลเกฺขตุํ ตทนุรูปํ กาลํ อาคเมโนฺต ภิกฺขํ คเหตฺวา, ปติรูเป โอกาเส นิสีทิตฺวา, กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรโนฺต อาหาเร ปฎิกูลสญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวา, อกฺขพฺภญฺชนวณาเลปนปุตฺตมํสูปมาวเสน ปจฺจเวกฺขโนฺต อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อาหารํ อาหาเรติ, เนว ทวาย น มทาย…เป.… ภุตฺตาวี จ อุทกกิจฺจํ กตฺวา, มุหุตฺตํ ภตฺตกิลมถํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา, ยถา ปุเร ภตฺตํ, เอวํ ปจฺฉา ภตฺตํ ปุริมยามํ ปจฺฉิมยามญฺจ กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรติฯ อยํ วุจฺจติ หรติ เจว ปจฺจาหรติ จาติฯ เอวเมตํ หรณปจฺจาหรณํ คตปจฺจาคตวตฺตนฺติ วุจฺจติฯ

    Evaṃ kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya kalambatitthavihāre vassūpagatabhikkhū viya ca kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto gāmasamīpaṃ patvā, udakagaṇḍūsaṃ katvā, vīthiyo sallakkhetvā, yattha surāsoṇḍadhuttādayo kalahakārakā caṇḍahatthiassādayo vā natthi, taṃ vīthiṃ paṭipajjati. Tattha ca piṇḍāya caramāno na turitaturito viya javena gacchati, javanapiṇḍapātikadhutaṅgaṃ nāma natthi. Visamabhūmibhāgappattaṃ pana udakabharitasakaṭamiva niccalova hutvā gacchati. Anugharaṃ paviṭṭho ca dātukāmaṃ adātukāmaṃ vā sallakkhetuṃ tadanurūpaṃ kālaṃ āgamento bhikkhaṃ gahetvā, patirūpe okāse nisīditvā, kammaṭṭhānaṃ manasi karonto āhāre paṭikūlasaññaṃ upaṭṭhapetvā, akkhabbhañjanavaṇālepanaputtamaṃsūpamāvasena paccavekkhanto aṭṭhaṅgasamannāgataṃ āhāraṃ āhāreti, neva davāya na madāya…pe… bhuttāvī ca udakakiccaṃ katvā, muhuttaṃ bhattakilamathaṃ paṭippassambhetvā, yathā pure bhattaṃ, evaṃ pacchā bhattaṃ purimayāmaṃ pacchimayāmañca kammaṭṭhānaṃ manasi karoti. Ayaṃ vuccati harati ceva paccāharati cāti. Evametaṃ haraṇapaccāharaṇaṃ gatapaccāgatavattanti vuccati.

    เอตํ ปูเรโนฺต ยทิ อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน โหติ, ปฐมวเย เอว อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ โน เจ ปฐมวเย ปาปุณาติ, อถ มชฺฌิมวเย ปาปุณาติฯ โน เจ มชฺฌิมวเย ปาปุณาติ, อถ มรณสมเย ปาปุณาติฯ โน เจ มรณสมเย ปาปุณาติ, อถ เทวปุโตฺต หุตฺวา ปาปุณาติฯ โน เจ เทวปุโตฺต หุตฺวา ปาปุณาติ, อถ ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ปรินิพฺพาติฯ โน เจ ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ปรินิพฺพาติ, อถ พุทฺธานํ สนฺติเก ขิปฺปาภิโญฺญ โหติ; เสยฺยถาปิ – เถโร พาหิโย, มหาปโญฺญ วา โหติ; เสยฺยถาปิ เถโร สาริปุโตฺตฯ

    Etaṃ pūrento yadi upanissayasampanno hoti, paṭhamavaye eva arahattaṃ pāpuṇāti. No ce paṭhamavaye pāpuṇāti, atha majjhimavaye pāpuṇāti. No ce majjhimavaye pāpuṇāti, atha maraṇasamaye pāpuṇāti. No ce maraṇasamaye pāpuṇāti, atha devaputto hutvā pāpuṇāti. No ce devaputto hutvā pāpuṇāti, atha paccekasambuddho hutvā parinibbāti. No ce paccekasambuddho hutvā parinibbāti, atha buddhānaṃ santike khippābhiñño hoti; seyyathāpi – thero bāhiyo, mahāpañño vā hoti; seyyathāpi thero sāriputto.

    อยํ ปน ปเจฺจกโพธิสโตฺต กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา, อารญฺญิโก หุตฺวา, วีสติ วสฺสสหสฺสานิ เอตํ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา, กาลํ กตฺวา, กามาวจรเทวโลเก อุปฺปชฺชิฯ ตโต จวิตฺวา พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ กุสลา อิตฺถิโย ตทเหว คพฺภสณฺฐานํ ชานนฺติ, สา จ ตาสมญฺญตรา , ตสฺมา ตํ คพฺภปติฎฺฐานํ รโญฺญ นิเวเทสิฯ ธมฺมตา เอสา, ยํ ปุญฺญวเนฺต สเตฺต คเพฺภ อุปฺปเนฺน มาตุคาโม คพฺภปริหารํ ลภติฯ ตสฺมา ราชา ตสฺสา คพฺภปริหารํ อทาสิฯ สา ตโต ปภุติ นาจฺจุณฺหํ กิญฺจิ อโชฺฌหริตุํ ลภติ, นาติสีตํ, นาติอมฺพิลํ, นาติโลณํ, นาติกฎุกํ, นาติติตฺตกํฯ อจฺจุเณฺห หิ มาตรา อโชฺฌหเฎ คพฺภสฺส โลหกุมฺภิวาโส วิย โหติ, อติสีเต โลกนฺตริกวาโส วิย, อจฺจมฺพิลโลณกฎุกติตฺตเกสุ ภุเตฺตสุ สเตฺถน ผาเลตฺวา อมฺพิลาทีหิ สิตฺตานิ วิย คพฺภเสยฺยกสฺส องฺคานิ ติพฺพเวทนานิ โหนฺติฯ อติจงฺกมนฎฺฐานนิสชฺชาสยนโตปิ นํ นิวาเรนฺติ – ‘‘กุจฺฉิคตสฺส สญฺจลนทุกฺขํ มา อโหสี’’ติฯ มุทุกตฺถรณตฺถตาย ภูมิยํ จงฺกมนาทีนิ มตฺตาย กาตุํ ลภติ, วณฺณคนฺธาทิสมฺปนฺนํ สาทุสปฺปายํ อนฺนปานํ ลภติฯ ปริคฺคเหตฺวาว นํ จงฺกมาเปนฺติ, นิสีทาเปนฺติ, วุฎฺฐาเปนฺติฯ

    Ayaṃ pana paccekabodhisatto kassapassa bhagavato sāsane pabbajitvā, āraññiko hutvā, vīsati vassasahassāni etaṃ gatapaccāgatavattaṃ pūretvā, kālaṃ katvā, kāmāvacaradevaloke uppajji. Tato cavitvā bārāṇasirañño aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ aggahesi. Kusalā itthiyo tadaheva gabbhasaṇṭhānaṃ jānanti, sā ca tāsamaññatarā , tasmā taṃ gabbhapatiṭṭhānaṃ rañño nivedesi. Dhammatā esā, yaṃ puññavante satte gabbhe uppanne mātugāmo gabbhaparihāraṃ labhati. Tasmā rājā tassā gabbhaparihāraṃ adāsi. Sā tato pabhuti nāccuṇhaṃ kiñci ajjhoharituṃ labhati, nātisītaṃ, nātiambilaṃ, nātiloṇaṃ, nātikaṭukaṃ, nātitittakaṃ. Accuṇhe hi mātarā ajjhohaṭe gabbhassa lohakumbhivāso viya hoti, atisīte lokantarikavāso viya, accambilaloṇakaṭukatittakesu bhuttesu satthena phāletvā ambilādīhi sittāni viya gabbhaseyyakassa aṅgāni tibbavedanāni honti. Aticaṅkamanaṭṭhānanisajjāsayanatopi naṃ nivārenti – ‘‘kucchigatassa sañcalanadukkhaṃ mā ahosī’’ti. Mudukattharaṇatthatāya bhūmiyaṃ caṅkamanādīni mattāya kātuṃ labhati, vaṇṇagandhādisampannaṃ sādusappāyaṃ annapānaṃ labhati. Pariggahetvāva naṃ caṅkamāpenti, nisīdāpenti, vuṭṭhāpenti.

    สา เอวํ ปริหริยมานา คพฺภปริปากกาเล สูติฆรํ ปวิสิตฺวา ปจฺจูสสมเย ปุตฺตํ วิชายิ ปกฺกเตลมทฺทิตมโนสิลาปิณฺฑิสทิสํ ธญฺญปุญฺญลกฺขณูเปตํฯ ตโต นํ ปญฺจมทิวเส อลงฺกตปฺปฎิยตฺตํ รโญฺญ ทเสฺสสุํ, ราชา ตุโฎฺฐ ฉสฎฺฐิยา ธาตีหิ อุปฎฺฐาเปสิฯ โส สพฺพสมฺปตฺตีหิ วฑฺฒมาโน น จิรเสฺสว วิญฺญุตํ ปาปุณิฯ ตํ โสฬสวสฺสุเทฺทสิกเมว สมานํ ราชา รเชฺช อภิสิญฺจิ, วิวิธนาฎกานิ จสฺส อุปฎฺฐาเปสิฯ อภิสิโตฺต ราชปุโตฺต รชฺชํ กาเรสิ นาเมน พฺรหฺมทโตฺต สกลชมฺพุทีเป วีสติยา นครสหเสฺสสุฯ ชมฺพุทีเป หิ ปุเพฺพ จตุราสีติ นครสหสฺสานิ อเหสุํฯ ตานิ ปริหายนฺตานิ สฎฺฐิ อเหสุํ, ตโต ปริหายนฺตานิ จตฺตาลีสํ, สพฺพปริหายนกาเล ปน วีสติ โหนฺติฯ อยญฺจ พฺรหฺมทโตฺต สพฺพปริหายนกาเล อุปฺปชฺชิฯ เตนสฺส วีสติ นครสหสฺสานิ อเหสุํ, วีสติ ปาสาทสหสฺสานิ, วีสติ หตฺถิสหสฺสานิ, วีสติ อสฺสสหสฺสานิ, วีสติ รถสหสฺสานิ , วีสติ ปตฺติสหสฺสานิ, วีสติ อิตฺถิสหสฺสานิ – โอโรธา จ นาฎกิตฺถิโย จ, วีสติ อมจฺจสหสฺสานิฯ โส มหารชฺชํ การยมาโน เอว กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ปญฺจ อภิญฺญาโย, อฎฺฐ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตสิฯ ยสฺมา ปน อภิสิตฺตรญฺญา นาม อวสฺสํ อฎฺฎกรเณ นิสีทิตพฺพํ, ตสฺมา เอกทิวสํ ปเคว ปาตราสํ ภุญฺชิตฺวา วินิจฺฉยฎฺฐาเน นิสีทิฯ ตตฺถ อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทํ อกํสุฯ โส ‘‘อยํ สโทฺท สมาปตฺติยา อุปกฺกิเลโส’’ติ ปาสาทตลํ อภิรุหิตฺวา ‘‘สมาปตฺติํ อเปฺปมี’’ติ นิสิโนฺน นาสกฺขิ อเปฺปตุํ, รชฺชวิเกฺขเปน สมาปตฺติ ปริหีนาฯ ตโต จิเนฺตสิ ‘‘กิํ รชฺชํ วรํ, อุทาหุ สมณธโมฺม’’ติฯ ตโต ‘‘รชฺชสุขํ ปริตฺตํ อเนกาทีนวํ, สมณธมฺมสุขํ ปน วิปุลมเนกานิสํสํ อุตฺตมปุริสเสวิตญฺจา’’ติ ญตฺวา อญฺญตรํ อมจฺจํ อาณาเปสิ – ‘‘อิมํ รชฺชํ ธเมฺมน สเมน อนุสาส, มา โข อธมฺมการํ อกาสี’’ติ สพฺพํ นิยฺยาเตตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา สมาปตฺติสุเขน วิหรติ, น โกจิ อุปสงฺกมิตุํ ลภติ อญฺญตฺร มุขโธวนทนฺตกฎฺฐทายกภตฺตนีหารกาทีหิฯ

    Sā evaṃ parihariyamānā gabbhaparipākakāle sūtigharaṃ pavisitvā paccūsasamaye puttaṃ vijāyi pakkatelamadditamanosilāpiṇḍisadisaṃ dhaññapuññalakkhaṇūpetaṃ. Tato naṃ pañcamadivase alaṅkatappaṭiyattaṃ rañño dassesuṃ, rājā tuṭṭho chasaṭṭhiyā dhātīhi upaṭṭhāpesi. So sabbasampattīhi vaḍḍhamāno na cirasseva viññutaṃ pāpuṇi. Taṃ soḷasavassuddesikameva samānaṃ rājā rajje abhisiñci, vividhanāṭakāni cassa upaṭṭhāpesi. Abhisitto rājaputto rajjaṃ kāresi nāmena brahmadatto sakalajambudīpe vīsatiyā nagarasahassesu. Jambudīpe hi pubbe caturāsīti nagarasahassāni ahesuṃ. Tāni parihāyantāni saṭṭhi ahesuṃ, tato parihāyantāni cattālīsaṃ, sabbaparihāyanakāle pana vīsati honti. Ayañca brahmadatto sabbaparihāyanakāle uppajji. Tenassa vīsati nagarasahassāni ahesuṃ, vīsati pāsādasahassāni, vīsati hatthisahassāni, vīsati assasahassāni, vīsati rathasahassāni , vīsati pattisahassāni, vīsati itthisahassāni – orodhā ca nāṭakitthiyo ca, vīsati amaccasahassāni. So mahārajjaṃ kārayamāno eva kasiṇaparikammaṃ katvā pañca abhiññāyo, aṭṭha samāpattiyo ca nibbattesi. Yasmā pana abhisittaraññā nāma avassaṃ aṭṭakaraṇe nisīditabbaṃ, tasmā ekadivasaṃ pageva pātarāsaṃ bhuñjitvā vinicchayaṭṭhāne nisīdi. Tattha uccāsaddamahāsaddaṃ akaṃsu. So ‘‘ayaṃ saddo samāpattiyā upakkileso’’ti pāsādatalaṃ abhiruhitvā ‘‘samāpattiṃ appemī’’ti nisinno nāsakkhi appetuṃ, rajjavikkhepena samāpatti parihīnā. Tato cintesi ‘‘kiṃ rajjaṃ varaṃ, udāhu samaṇadhammo’’ti. Tato ‘‘rajjasukhaṃ parittaṃ anekādīnavaṃ, samaṇadhammasukhaṃ pana vipulamanekānisaṃsaṃ uttamapurisasevitañcā’’ti ñatvā aññataraṃ amaccaṃ āṇāpesi – ‘‘imaṃ rajjaṃ dhammena samena anusāsa, mā kho adhammakāraṃ akāsī’’ti sabbaṃ niyyātetvā pāsādaṃ abhiruhitvā samāpattisukhena viharati, na koci upasaṅkamituṃ labhati aññatra mukhadhovanadantakaṭṭhadāyakabhattanīhārakādīhi.

    ตโต อทฺธมาสมเตฺต วีติกฺกเนฺต มเหสี ปุจฺฉิ ‘‘ราชา อุยฺยานคมนพลทสฺสนนาฎกาทีสุ กตฺถจิ น ทิสฺสติ, กุหิํ คโต’’ติ? ตสฺสา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ สา อมจฺจสฺส ปาเหสิ ‘‘รเชฺช ปฎิจฺฉิเต อหมฺปิ ปฎิจฺฉิตา โหมิ, เอตุ มยา สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปตู’’ติฯ โส อุโภ กเณฺณ ถเกตฺวา ‘‘อสวนียเมต’’นฺติ ปฎิกฺขิปิฯ สา ปุนปิ ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ เปเสตฺวา อนิจฺฉมานํ ตชฺชาเปสิ – ‘‘ยทิ น กโรสิ, ฐานาปิ เต จาเวมิ, ชีวิตาปิ โวโรเปมี’’ติฯ โส ภีโต ‘‘มาตุคาโม นาม ทฬฺหนิจฺฉโย, กทาจิ เอวมฺปิ การาเปยฺยา’’ติ เอกทิวสํ รโห คนฺตฺวา ตาย สทฺธิํ สิริสยเน สํวาสํ กเปฺปสิฯ สา ปุญฺญวตี สุขสมฺผสฺสาฯ โส ตสฺสา สมฺผสฺสราเคน รโตฺต ตตฺถ อภิกฺขณํ สงฺกิตสงฺกิโตว อคมาสิฯ อนุกฺกเมน อตฺตโน ฆรสามิโก วิย นิพฺพิสโงฺก ปวิสิตุมารโทฺธฯ

    Tato addhamāsamatte vītikkante mahesī pucchi ‘‘rājā uyyānagamanabaladassananāṭakādīsu katthaci na dissati, kuhiṃ gato’’ti? Tassā tamatthaṃ ārocesuṃ. Sā amaccassa pāhesi ‘‘rajje paṭicchite ahampi paṭicchitā homi, etu mayā saddhiṃ saṃvāsaṃ kappetū’’ti. So ubho kaṇṇe thaketvā ‘‘asavanīyameta’’nti paṭikkhipi. Sā punapi dvattikkhattuṃ pesetvā anicchamānaṃ tajjāpesi – ‘‘yadi na karosi, ṭhānāpi te cāvemi, jīvitāpi voropemī’’ti. So bhīto ‘‘mātugāmo nāma daḷhanicchayo, kadāci evampi kārāpeyyā’’ti ekadivasaṃ raho gantvā tāya saddhiṃ sirisayane saṃvāsaṃ kappesi. Sā puññavatī sukhasamphassā. So tassā samphassarāgena ratto tattha abhikkhaṇaṃ saṅkitasaṅkitova agamāsi. Anukkamena attano gharasāmiko viya nibbisaṅko pavisitumāraddho.

    ตโต ราชมนุสฺสา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา น สทฺทหติฯ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ อาโรเจสุํฯ ตโต นิลีโน สยเมว ทิสฺวา สพฺพามเจฺจ สนฺนิปาตาเปตฺวา อาโรเจสิฯ เต – ‘‘อยํ ราชาปราธิโก หตฺถเจฺฉทํ อรหติ, ปาทเจฺฉทํ อรหตี’’ติ ยาว สูเล อุตฺตาสนํ, ตาว สพฺพกมฺมการณานิ นิทฺทิสิํสุฯ ราชา – ‘‘เอตสฺส วธพนฺธนตาฬเน มยฺหํ วิหิํสา อุปฺปเชฺชยฺย, ชีวิตา โวโรปเน ปาณาติปาโต ภเวยฺย, ธนหรเณ อทินฺนาทานํ, อลํ เอวรูเปหิ กเตหิ, อิมํ มม รชฺชา นิกฺกฑฺฒถา’’ติ อาหฯ อมจฺจา ตํ นิพฺพิสยํ อกํสุฯ โส อตฺตโน ธนสารญฺจ ปุตฺตทารญฺจ คเหตฺวา ปรวิสยํ อคมาสิฯ ตตฺถ ราชา สุตฺวา ‘‘กิํ อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, อิจฺฉามิ ตํ อุปฎฺฐาตุ’’นฺติฯ โส ตํ สมฺปฎิจฺฉิฯ อมโจฺจ กติปาหจฺจเยน ลทฺธวิสฺสาโส ตํ ราชานํ เอตทโวจ – ‘‘มหาราช, อมกฺขิกมธุํ ปสฺสามิ, ตํ ขาทโนฺต นตฺถี’’ติฯ ราชา ‘‘กิํ เอตํ อุปฺปเณฺฑตุกาโม ภณตี’’ติ น สุณาติฯ โส อนฺตรํ ลภิตฺวา ปุนปิ สุฎฺฐุตรํ วเณฺณตฺวา อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘กิํ เอต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พาราณสิรชฺชํ, เทวา’’ติฯ ราชา ‘‘มํ เนตฺวา มาเรตุกาโมสี’’ติ อาหฯ โส ‘‘มา, เทว, เอวํ อวจ, ยทิ น สทฺทหสิ, มนุเสฺส เปเสหี’’ติฯ โส มนุเสฺส เปเสสิฯ เต คนฺตฺวา โคปุรํ ขณิตฺวา รโญฺญ สยนฆเร อุฎฺฐหิํสุฯ

    Tato rājamanussā taṃ pavattiṃ rañño ārocesuṃ. Rājā na saddahati. Dutiyampi tatiyampi ārocesuṃ. Tato nilīno sayameva disvā sabbāmacce sannipātāpetvā ārocesi. Te – ‘‘ayaṃ rājāparādhiko hatthacchedaṃ arahati, pādacchedaṃ arahatī’’ti yāva sūle uttāsanaṃ, tāva sabbakammakāraṇāni niddisiṃsu. Rājā – ‘‘etassa vadhabandhanatāḷane mayhaṃ vihiṃsā uppajjeyya, jīvitā voropane pāṇātipāto bhaveyya, dhanaharaṇe adinnādānaṃ, alaṃ evarūpehi katehi, imaṃ mama rajjā nikkaḍḍhathā’’ti āha. Amaccā taṃ nibbisayaṃ akaṃsu. So attano dhanasārañca puttadārañca gahetvā paravisayaṃ agamāsi. Tattha rājā sutvā ‘‘kiṃ āgatosī’’ti pucchi. ‘‘Deva, icchāmi taṃ upaṭṭhātu’’nti. So taṃ sampaṭicchi. Amacco katipāhaccayena laddhavissāso taṃ rājānaṃ etadavoca – ‘‘mahārāja, amakkhikamadhuṃ passāmi, taṃ khādanto natthī’’ti. Rājā ‘‘kiṃ etaṃ uppaṇḍetukāmo bhaṇatī’’ti na suṇāti. So antaraṃ labhitvā punapi suṭṭhutaraṃ vaṇṇetvā ārocesi. Rājā ‘‘kiṃ eta’’nti pucchi. ‘‘Bārāṇasirajjaṃ, devā’’ti. Rājā ‘‘maṃ netvā māretukāmosī’’ti āha. So ‘‘mā, deva, evaṃ avaca, yadi na saddahasi, manusse pesehī’’ti. So manusse pesesi. Te gantvā gopuraṃ khaṇitvā rañño sayanaghare uṭṭhahiṃsu.

    ราชา ทิสฺวา ‘‘กิสฺส อาคตาตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘โจรา มยํ, มหาราชา’’ติฯ ราชา เตสํ ธนํ ทาเปตฺวา ‘‘มา ปุน เอวมกตฺถา’’ติ โอวทิตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ เต อาคนฺตฺวา ตสฺส รโญฺญ อาโรเจสุํฯ โส ปุนปิ ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ ตเถว วีมํสิตฺวา ‘‘สีลวา ราชา’’ติ จตุรงฺคินิํ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา สีมนฺตเร เอกํ นครํ อุปคมฺม ตตฺถ อมจฺจสฺส ปาเหสิ ‘‘นครํ วา เม เทหิ ยุทฺธํ วา’’ติฯ โส พฺรหฺมทตฺตสฺส ตมตฺถํ อาโรจาเปสิ ‘‘อาณาเปตุ เทโว กิํ ยุชฺฌามิ, อุทาหุ นครํ เทมี’’ติฯ ราชา ‘‘น ยุชฺฌิตพฺพํ, นครํ ทตฺวา อิธาคจฺฉา’’ติ เปเสสิฯ โส ตถา อกาสิฯ ปฎิราชาปิ ตํ นครํ คเหตฺวา อวเสสนคเรสุปิ ตเถว ทูตํ ปาเหสิฯ เตปิ อมจฺจา ตเถว พฺรหฺมทตฺตสฺส อาโรเจตฺวา เตน ‘‘น ยุชฺฌิตพฺพํ, อิธาคนฺตพฺพ’’นฺติ วุตฺตา พาราณสิํ อาคมํสุฯ

    Rājā disvā ‘‘kissa āgatātthā’’ti pucchi. ‘‘Corā mayaṃ, mahārājā’’ti. Rājā tesaṃ dhanaṃ dāpetvā ‘‘mā puna evamakatthā’’ti ovaditvā vissajjesi. Te āgantvā tassa rañño ārocesuṃ. So punapi dvattikkhattuṃ tatheva vīmaṃsitvā ‘‘sīlavā rājā’’ti caturaṅginiṃ senaṃ sannayhitvā sīmantare ekaṃ nagaraṃ upagamma tattha amaccassa pāhesi ‘‘nagaraṃ vā me dehi yuddhaṃ vā’’ti. So brahmadattassa tamatthaṃ ārocāpesi ‘‘āṇāpetu devo kiṃ yujjhāmi, udāhu nagaraṃ demī’’ti. Rājā ‘‘na yujjhitabbaṃ, nagaraṃ datvā idhāgacchā’’ti pesesi. So tathā akāsi. Paṭirājāpi taṃ nagaraṃ gahetvā avasesanagaresupi tatheva dūtaṃ pāhesi. Tepi amaccā tatheva brahmadattassa ārocetvā tena ‘‘na yujjhitabbaṃ, idhāgantabba’’nti vuttā bārāṇasiṃ āgamaṃsu.

    ตโต อมจฺจา พฺรหฺมทตฺตํ อาหํสุ – ‘‘มหาราช, เตน สห ยุชฺฌามา’’ติฯ ราชา – ‘‘มม ปาณาติปาโต ภวิสฺสตี’’ติ วาเรสิฯ อมจฺจา – ‘‘มยํ, มหาราช, ตํ ชีวคฺคาหํ คเหตฺวา อิเธว อาเนสฺสามา’’ติ นานาอุปาเยหิ ราชานํ สญฺญาเปตฺวา ‘‘เอหิ มหาราชา’’ติ คนฺตุํ อารทฺธาฯ ราชา ‘‘สเจ สตฺตมารณปฺปหรณวิลุมฺปนกมฺมํ น กโรถ, คจฺฉามี’’ติ ภณติฯ อมจฺจา ‘‘น, เทว, กโรม, ภยํ ทเสฺสตฺวา ปลาเปมา’’ติ จตุรงฺคินิํ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา ฆเฎสุ ทีเป ปกฺขิปิตฺวา รตฺติํ คจฺฉิํสุฯ ปฎิราชา ตํ ทิวสํ พาราณสิสมีเป นครํ คเหตฺวา อิทานิ กินฺติ รตฺติํ สนฺนาหํ โมจาเปตฺวา ปมโตฺต นิทฺทํ โอกฺกมิ สทฺธิํ พลกาเยนฯ ตโต อมจฺจา พาราณสิราชานํ คเหตฺวา ปฎิรโญฺญ ขนฺธาวารํ คนฺตฺวา สพฺพฆเฎหิ ทีเป นิหราเปตฺวา เอกปโชฺชตาย เสนาย สทฺทํ อกํสุฯ ปฎิรโญฺญ อมโจฺจ มหาพลํ ทิสฺวา ภีโต อตฺตโน ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อุเฎฺฐหิ อมกฺขิกมธุํ ขาทาหี’’ติ มหาสทฺทํ อกาสิฯ ตถา ทุติโยปิ, ตติโยปิฯ ปฎิราชา เตน สเทฺทน ปฎิพุชฺฌิตฺวา ภยํ สนฺตาสํ อาปชฺชิฯ อุกฺกุฎฺฐิสตานิ ปวตฺติํสุฯ โส ‘‘ปรวจนํ สทฺทหิตฺวา อมิตฺตหตฺถํ ปโตฺตมฺหี’’ติ สพฺพรตฺติํ ตํ ตํ วิปฺปลปิตฺวา ทุติยทิวเส ‘‘ธมฺมิโก ราชา, อุปโรธํ น กเรยฺย, คนฺตฺวา ขมาเปมี’’ติ จิเนฺตตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ชณฺณุเกหิ ปติฎฺฐหิตฺวา ‘‘ขม, มหาราช, มยฺหํ อปราธ’’นฺติ อาหฯ ราชา ตํ โอวทิตฺวา ‘‘อุเฎฺฐหิ, ขมามิ เต’’ติ อาหฯ โส รญฺญา เอวํ วุตฺตมเตฺตเยว ปรมสฺสาสปฺปโตฺต อโหสิ, พาราณสิรโญฺญ สมีเปเยว ชนปเท รชฺชํ ลภิฯ เต อญฺญมญฺญํ สหายกา อเหสุํฯ

    Tato amaccā brahmadattaṃ āhaṃsu – ‘‘mahārāja, tena saha yujjhāmā’’ti. Rājā – ‘‘mama pāṇātipāto bhavissatī’’ti vāresi. Amaccā – ‘‘mayaṃ, mahārāja, taṃ jīvaggāhaṃ gahetvā idheva ānessāmā’’ti nānāupāyehi rājānaṃ saññāpetvā ‘‘ehi mahārājā’’ti gantuṃ āraddhā. Rājā ‘‘sace sattamāraṇappaharaṇavilumpanakammaṃ na karotha, gacchāmī’’ti bhaṇati. Amaccā ‘‘na, deva, karoma, bhayaṃ dassetvā palāpemā’’ti caturaṅginiṃ senaṃ sannayhitvā ghaṭesu dīpe pakkhipitvā rattiṃ gacchiṃsu. Paṭirājā taṃ divasaṃ bārāṇasisamīpe nagaraṃ gahetvā idāni kinti rattiṃ sannāhaṃ mocāpetvā pamatto niddaṃ okkami saddhiṃ balakāyena. Tato amaccā bārāṇasirājānaṃ gahetvā paṭirañño khandhāvāraṃ gantvā sabbaghaṭehi dīpe niharāpetvā ekapajjotāya senāya saddaṃ akaṃsu. Paṭirañño amacco mahābalaṃ disvā bhīto attano rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘uṭṭhehi amakkhikamadhuṃ khādāhī’’ti mahāsaddaṃ akāsi. Tathā dutiyopi, tatiyopi. Paṭirājā tena saddena paṭibujjhitvā bhayaṃ santāsaṃ āpajji. Ukkuṭṭhisatāni pavattiṃsu. So ‘‘paravacanaṃ saddahitvā amittahatthaṃ pattomhī’’ti sabbarattiṃ taṃ taṃ vippalapitvā dutiyadivase ‘‘dhammiko rājā, uparodhaṃ na kareyya, gantvā khamāpemī’’ti cintetvā rājānaṃ upasaṅkamitvā jaṇṇukehi patiṭṭhahitvā ‘‘khama, mahārāja, mayhaṃ aparādha’’nti āha. Rājā taṃ ovaditvā ‘‘uṭṭhehi, khamāmi te’’ti āha. So raññā evaṃ vuttamatteyeva paramassāsappatto ahosi, bārāṇasirañño samīpeyeva janapade rajjaṃ labhi. Te aññamaññaṃ sahāyakā ahesuṃ.

    อถ พฺรหฺมทโตฺต เทฺวปิ เสนา สโมฺมทมานา เอกโต ฐิตา ทิสฺวา ‘‘มเมกสฺส จิตฺตานุรกฺขณาย อสฺมิํ ชนกาเย ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตพินฺทุ น อุปฺปนฺนํฯ อโห สาธุ, อโห สุฎฺฐุ, สเพฺพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ, อเวรา โหนฺตุ, อพฺยาปชฺฌา โหนฺตู’’ติ เมตฺตาฌานํ อุปฺปาเทตฺวา, ตเทว ปาทกํ กตฺวา, สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา, ปเจฺจกโพธิญาณํ สจฺฉิกตฺวา, สยมฺภุตํ ปาปุณิฯ ตํ มคฺคสุเขน ผลสุเขน สุขิตํ หตฺถิกฺขเนฺธ นิสินฺนํ อมจฺจา ปณิปาตํ กตฺวา อาหํสุ – ‘‘ยานกาโล, มหาราช, วิชิตพลกายสฺส สกฺกาโร กาตโพฺพ, ปราชิตพลกายสฺส ภตฺตปริพฺพโย ทาตโพฺพ’’ติฯ โส อาห – ‘‘นาหํ, ภเณ, ราชา, ปเจฺจกพุโทฺธ นามาห’’นฺติฯ กิํ เทโว ภณติ, น เอทิสา ปเจฺจกพุทฺธา โหนฺตีติ? กีทิสา, ภเณ, ปเจฺจกพุทฺธาติ? ปเจฺจกพุทฺธา นาม ทฺวงฺคุลเกสมสฺสุ อฎฺฐปริกฺขารยุตฺตา ภวนฺตีติฯ โส ทกฺขิณหเตฺถน สีสํ ปรามสิ, ตาวเทว คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายิ, ปพฺพชิตเวโส ปาตุรโหสิ, ทฺวงฺคุลเกสมสฺสุ อฎฺฐปริกฺขารสมนฺนาคโต วสฺสสติกเตฺถรสทิโส อโหสิฯ โส จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา หตฺถิกฺขนฺธโต เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปทุมปุเปฺผ นิสีทิฯ อมจฺจา วนฺทิตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต, กมฺมฎฺฐานํ, กถํ อธิคโตสี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส ยโต อสฺส เมตฺตาฌานกมฺมฎฺฐานํ อโหสิ , ตญฺจ วิปสฺสนํ วิปสฺสิตฺวา อธิคโต, ตสฺมา ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อุทานคาถญฺจ พฺยากรณคาถญฺจ อิมเญฺญว คาถํ อภาสิ ‘‘สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑ’’นฺติฯ

    Atha brahmadatto dvepi senā sammodamānā ekato ṭhitā disvā ‘‘mamekassa cittānurakkhaṇāya asmiṃ janakāye khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitabindu na uppannaṃ. Aho sādhu, aho suṭṭhu, sabbe sattā sukhitā hontu, averā hontu, abyāpajjhā hontū’’ti mettājhānaṃ uppādetvā, tadeva pādakaṃ katvā, saṅkhāre sammasitvā, paccekabodhiñāṇaṃ sacchikatvā, sayambhutaṃ pāpuṇi. Taṃ maggasukhena phalasukhena sukhitaṃ hatthikkhandhe nisinnaṃ amaccā paṇipātaṃ katvā āhaṃsu – ‘‘yānakālo, mahārāja, vijitabalakāyassa sakkāro kātabbo, parājitabalakāyassa bhattaparibbayo dātabbo’’ti. So āha – ‘‘nāhaṃ, bhaṇe, rājā, paccekabuddho nāmāha’’nti. Kiṃ devo bhaṇati, na edisā paccekabuddhā hontīti? Kīdisā, bhaṇe, paccekabuddhāti? Paccekabuddhā nāma dvaṅgulakesamassu aṭṭhaparikkhārayuttā bhavantīti. So dakkhiṇahatthena sīsaṃ parāmasi, tāvadeva gihiliṅgaṃ antaradhāyi, pabbajitaveso pāturahosi, dvaṅgulakesamassu aṭṭhaparikkhārasamannāgato vassasatikattherasadiso ahosi. So catutthajjhānaṃ samāpajjitvā hatthikkhandhato vehāsaṃ abbhuggantvā padumapupphe nisīdi. Amaccā vanditvā ‘‘kiṃ, bhante, kammaṭṭhānaṃ, kathaṃ adhigatosī’’ti pucchiṃsu. So yato assa mettājhānakammaṭṭhānaṃ ahosi , tañca vipassanaṃ vipassitvā adhigato, tasmā tamatthaṃ dassento udānagāthañca byākaraṇagāthañca imaññeva gāthaṃ abhāsi ‘‘sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍa’’nti.

    ตตฺถ สเพฺพสูติ อนวเสเสสุฯ ภูเตสูติ สเตฺตสุฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารํ ปน รตนสุตฺตวณฺณนายํ วกฺขามฯ นิธายาติ นิกฺขิปิตฺวาฯ ทณฺฑนฺติ กายวจีมโนทณฺฑํ, กายทุจฺจริตาทีนเมตํ อธิวจนํฯ กายทุจฺจริตญฺหิ ทณฺฑยตีติ ทโณฺฑ, พาเธติ อนยพฺยสนํ ปาเปตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ วจีทุจฺจริตํ มโนทุจฺจริตํ จฯ ปหรณทโณฺฑ เอว วา ทโณฺฑ, ตํ นิธายาติปิ วุตฺตํ โหติฯ อวิเหฐยนฺติ อวิเหฐยโนฺตฯ อญฺญตรมฺปีติ ยํกิญฺจิ เอกมฺปิฯ เตสนฺติ เตสํ สพฺพภูตานํฯ น ปุตฺตมิเจฺฉยฺยาติ อตฺรโช, เขตฺรโช, ทินฺนโก, อเนฺตวาสิโกติ อิเมสุ จตูสุ ปุเตฺตสุ ยํ กิญฺจิ ปุตฺตํ น อิเจฺฉยฺยฯ กุโต สหายนฺติ สหายํ ปน อิเจฺฉยฺยาติ กุโต เอว เอตํฯ

    Tattha sabbesūti anavasesesu. Bhūtesūti sattesu. Ayamettha saṅkhepo, vitthāraṃ pana ratanasuttavaṇṇanāyaṃ vakkhāma. Nidhāyāti nikkhipitvā. Daṇḍanti kāyavacīmanodaṇḍaṃ, kāyaduccaritādīnametaṃ adhivacanaṃ. Kāyaduccaritañhi daṇḍayatīti daṇḍo, bādheti anayabyasanaṃ pāpetīti vuttaṃ hoti. Evaṃ vacīduccaritaṃ manoduccaritaṃ ca. Paharaṇadaṇḍo eva vā daṇḍo, taṃ nidhāyātipi vuttaṃ hoti. Aviheṭhayanti aviheṭhayanto. Aññatarampīti yaṃkiñci ekampi. Tesanti tesaṃ sabbabhūtānaṃ. Na puttamiccheyyāti atrajo, khetrajo, dinnako, antevāsikoti imesu catūsu puttesu yaṃ kiñci puttaṃ na iccheyya. Kuto sahāyanti sahāyaṃ pana iccheyyāti kuto eva etaṃ.

    เอโกติ ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน เอโก, อทุติยเฎฺฐน เอโก, ตณฺหาปหาเนน เอโก, เอกนฺตวิคตกิเลโสติ เอโก, เอโก ปเจฺจกสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ เอโกฯ สมณสหสฺสสฺสาปิ หิ มเชฺฌ วตฺตมาโน คิหิสโญฺญชนสฺส ฉินฺนตฺตา เอโก – เอวํ ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน เอโกฯ เอโก ติฎฺฐติ, เอโก คจฺฉติ, เอโก นิสีทติ, เอโก เสยฺยํ กเปฺปติ, เอโก อิริยติ วตฺตตีติ – เอวํ อทุติยเฎฺฐน เอโกฯ

    Ekoti pabbajjāsaṅkhātena eko, adutiyaṭṭhena eko, taṇhāpahānena eko, ekantavigatakilesoti eko, eko paccekasambodhiṃ abhisambuddhoti eko. Samaṇasahassassāpi hi majjhe vattamāno gihisaññojanassa chinnattā eko – evaṃ pabbajjāsaṅkhātena eko. Eko tiṭṭhati, eko gacchati, eko nisīdati, eko seyyaṃ kappeti, eko iriyati vattatīti – evaṃ adutiyaṭṭhena eko.

    ‘‘ตณฺหาทุติโย ปุริโส, ทีฆมทฺธานสํสรํ;

    ‘‘Taṇhādutiyo puriso, dīghamaddhānasaṃsaraṃ;

    อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ, สํสารํ นาติวตฺตติฯ

    Itthabhāvaññathābhāvaṃ, saṃsāraṃ nātivattati.

    ‘‘เอวมาทีนวํ ญตฺวา, ตณฺหํ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ;

    ‘‘Evamādīnavaṃ ñatvā, taṇhaṃ dukkhassa sambhavaṃ;

    วีตตโณฺห อนาทาโน, สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเช’’ติฯ (อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕; มหานิ. ๑๙๑; จูฬนิ. ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๐๗) –

    Vītataṇho anādāno, sato bhikkhu paribbaje’’ti. (itivu. 15, 105; mahāni. 191; cūḷani. pārāyanānugītigāthāniddesa 107) –

    เอวํ ตณฺหาปหานเฎฺฐน เอโกฯ สพฺพกิเลสาสฺส ปหีนา อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวํกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาติ – เอวํ เอกนฺตวิคตกิเลโสติ เอโกฯ อนาจริยโก หุตฺวา สยมฺภู สามเญฺญว ปเจฺจกสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ – เอวํ เอโก ปเจฺจกสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ เอโกฯ

    Evaṃ taṇhāpahānaṭṭhena eko. Sabbakilesāssa pahīnā ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṃkatā āyatiṃ anuppādadhammāti – evaṃ ekantavigatakilesoti eko. Anācariyako hutvā sayambhū sāmaññeva paccekasambodhiṃ abhisambuddhoti – evaṃ eko paccekasambodhiṃ abhisambuddhoti eko.

    จเรติ ยา อิมา อฎฺฐ จริยาโย; เสยฺยถิทํ – ปณิธิสมฺปนฺนานํ จตูสุ อิริยาปเถสุ อิริยาปถจริยา , อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ อชฺฌตฺติกายตเนสุ อายตนจริยา, อปฺปมาทวิหารีนํ จตูสุ สติปฎฺฐาเนสุ สติจริยา, อธิจิตฺตมนุยุตฺตานํ จตูสุ ฌาเนสุ สมาธิจริยา, พุทฺธิสมฺปนฺนานํ จตูสุ อริยสเจฺจสุ ญาณจริยา, สมฺมา ปฎิปนฺนานํ จตูสุ อริยมเคฺคสุ มคฺคจริยา, อธิคตปฺผลานํ จตูสุ สามญฺญผเลสุ ปตฺติจริยา, ติณฺณํ พุทฺธานํ สพฺพสเตฺตสุ โลกตฺถจริยา, ตตฺถ ปเทสโต ปเจฺจกพุทฺธสาวกานนฺติฯ ยถาห – ‘‘จริยาติ อฎฺฐ จริยาโย อิริยาปถจริยา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๙๗; ๓.๒๘) วิตฺถาโรฯ ตาหิ จริยาหิ สมนฺนาคโต ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ อถ วา ยา อิมา ‘‘อธิมุจฺจโนฺต สทฺธาย จรติ, ปคฺคณฺหโนฺต วีริเยน จรติ, อุปฎฺฐหโนฺต สติยา จรติ, อวิกฺขิโตฺต สมาธินา จรติ, ปชานโนฺต ปญฺญาย จรติ, วิชานโนฺต วิญฺญาเณน จรติ, เอวํ ปฎิปนฺนสฺส กุสลา ธมฺมา อายตนฺตีติ อายตนจริยาย จรติ, เอวํ ปฎิปโนฺน วิเสสมธิคจฺฉตีติ วิเสสจริยาย จรตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๙๗; ๓.๒๙) เอวํ อปราปิ อฎฺฐ จริยา วุตฺตาฯ ตาหิปิ สมนฺนาคโต ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ ขคฺควิสาณกโปฺปติ เอตฺถ ขคฺควิสาณํ นาม ขคฺคมิคสิงฺคํฯ กปฺปสทฺทสฺส อตฺถํ วิตฺถารโต มงฺคลสุตฺตวณฺณนายํ ปกาสยิสฺสามฯ อิธ ปนายํ ‘‘สตฺถุกเปฺปน วต, โภ, กิร สาวเกน สทฺธิํ มนฺตยมานา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๖๐) เอวมาทีสุ วิย ปฎิภาโค เวทิตโพฺพฯ ขคฺควิสาณกโปฺปติ ขคฺควิสาณสทิโสติ วุตฺตํ โหติฯ อยํ ตาเวตฺถ ปทโต อตฺถวณฺณนาฯ

    Careti yā imā aṭṭha cariyāyo; seyyathidaṃ – paṇidhisampannānaṃ catūsu iriyāpathesu iriyāpathacariyā , indriyesu guttadvārānaṃ ajjhattikāyatanesu āyatanacariyā, appamādavihārīnaṃ catūsu satipaṭṭhānesu saticariyā, adhicittamanuyuttānaṃ catūsu jhānesu samādhicariyā, buddhisampannānaṃ catūsu ariyasaccesu ñāṇacariyā, sammā paṭipannānaṃ catūsu ariyamaggesu maggacariyā, adhigatapphalānaṃ catūsu sāmaññaphalesu patticariyā, tiṇṇaṃ buddhānaṃ sabbasattesu lokatthacariyā, tattha padesato paccekabuddhasāvakānanti. Yathāha – ‘‘cariyāti aṭṭha cariyāyo iriyāpathacariyā’’ti (paṭi. ma. 1.197; 3.28) vitthāro. Tāhi cariyāhi samannāgato bhaveyyāti attho. Atha vā yā imā ‘‘adhimuccanto saddhāya carati, paggaṇhanto vīriyena carati, upaṭṭhahanto satiyā carati, avikkhitto samādhinā carati, pajānanto paññāya carati, vijānanto viññāṇena carati, evaṃ paṭipannassa kusalā dhammā āyatantīti āyatanacariyāya carati, evaṃ paṭipanno visesamadhigacchatīti visesacariyāya caratī’’ti (paṭi. ma. 1.197; 3.29) evaṃ aparāpi aṭṭha cariyā vuttā. Tāhipi samannāgato bhaveyyāti attho. Khaggavisāṇakappoti ettha khaggavisāṇaṃ nāma khaggamigasiṅgaṃ. Kappasaddassa atthaṃ vitthārato maṅgalasuttavaṇṇanāyaṃ pakāsayissāma. Idha panāyaṃ ‘‘satthukappena vata, bho, kira sāvakena saddhiṃ mantayamānā’’ti (ma. ni. 1.260) evamādīsu viya paṭibhāgo veditabbo. Khaggavisāṇakappoti khaggavisāṇasadisoti vuttaṃ hoti. Ayaṃ tāvettha padato atthavaṇṇanā.

    อธิปฺปายานุสนฺธิโต ปน เอวํ เวทิตพฺพา – ยฺวายํ วุตฺตปฺปกาโร ทโณฺฑ ภูเตสุ ปวตฺติยมาโน อหิโต โหติ, ตํ เตสุ อปฺปวตฺตเนน ตปฺปฎิปกฺขภูตาย เมตฺตาย ปรหิตูปสํหาเรน จ สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ, นิหิตทณฺฑตฺตา เอว จฯ ยถา อนิหิตทณฺฑา สตฺตา ภูตานิ ทเณฺฑน วา สเตฺถน วา ปาณินา วา เลฑฺฑุนา วา วิเหฐยนฺติ, ตถา อวิเหฐยํ อญฺญตรมฺปิ เตสํฯ อิมํ เมตฺตากมฺมฎฺฐานมาคมฺม ยเทว ตตฺถ เวทนาคตํ สญฺญาสงฺขารวิญฺญาณคตํ ตญฺจ ตทนุสาเรเนว ตทญฺญญฺจ สงฺขารคตํ วิปสฺสิตฺวา อิมํ ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติ อยํ ตาว อธิปฺปาโยฯ

    Adhippāyānusandhito pana evaṃ veditabbā – yvāyaṃ vuttappakāro daṇḍo bhūtesu pavattiyamāno ahito hoti, taṃ tesu appavattanena tappaṭipakkhabhūtāya mettāya parahitūpasaṃhārena ca sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍaṃ, nihitadaṇḍattā eva ca. Yathā anihitadaṇḍā sattā bhūtāni daṇḍena vā satthena vā pāṇinā vā leḍḍunā vā viheṭhayanti, tathā aviheṭhayaṃ aññatarampi tesaṃ. Imaṃ mettākammaṭṭhānamāgamma yadeva tattha vedanāgataṃ saññāsaṅkhāraviññāṇagataṃ tañca tadanusāreneva tadaññañca saṅkhāragataṃ vipassitvā imaṃ paccekabodhiṃ adhigatomhīti ayaṃ tāva adhippāyo.

    อยํ ปน อนุสนฺธิ – เอวํ วุเตฺต เต อมจฺจา อาหํสุ – ‘‘อิทานิ, ภเนฺต, กุหิํ คจฺฉถา’’ติ? ตโต เตน ‘‘ปุพฺพปเจฺจกสมฺพุทฺธา กตฺถ วสนฺตี’’ติ อาวเชฺชตฺวา ญตฺวา ‘‘คนฺธมาทนปพฺพเต’’ติ วุเตฺต ปุนาหํสุ – ‘‘อเมฺห ทานิ, ภเนฺต, ปชหถ, น อิจฺฉถา’’ติฯ อถ ปเจฺจกพุโทฺธ อาห – ‘‘น ปุตฺตมิเจฺฉยฺยา’’ติ สพฺพํฯ ตตฺราธิปฺปาโย – อหํ อิทานิ อตฺรชาทีสุ ยํ กิญฺจิ ปุตฺตมฺปิ น อิเจฺฉยฺยํ, กุโต ปน ตุมฺหาทิสํ สหายํ? ตสฺมา ตุเมฺหสุปิ โย มยา สทฺธิํ คนฺตุํ มาทิโส วา โหตุํ อิจฺฉติ, โส เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ อถ วา เตหิ ‘‘อเมฺห ทานิ, ภเนฺต, ปชหถ น อิจฺฉถา’’ติ วุเตฺต โส ปเจฺจกพุโทฺธ ‘‘น ปุตฺตมิเจฺฉยฺย กุโต สหาย’’นฺติ วตฺวา อตฺตโน ยถาวุเตฺตนเตฺถน เอกจริยาย คุณํ ทิสฺวา ปมุทิโต ปีติโสมนสฺสชาโต อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ – ‘‘เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ เอวํ วตฺวา เปกฺขมานเสฺสว มหาชนสฺส อากาเส อุปฺปติตฺวา คนฺธมาทนํ อคมาสิฯ

    Ayaṃ pana anusandhi – evaṃ vutte te amaccā āhaṃsu – ‘‘idāni, bhante, kuhiṃ gacchathā’’ti? Tato tena ‘‘pubbapaccekasambuddhā kattha vasantī’’ti āvajjetvā ñatvā ‘‘gandhamādanapabbate’’ti vutte punāhaṃsu – ‘‘amhe dāni, bhante, pajahatha, na icchathā’’ti. Atha paccekabuddho āha – ‘‘na puttamiccheyyā’’ti sabbaṃ. Tatrādhippāyo – ahaṃ idāni atrajādīsu yaṃ kiñci puttampi na iccheyyaṃ, kuto pana tumhādisaṃ sahāyaṃ? Tasmā tumhesupi yo mayā saddhiṃ gantuṃ mādiso vā hotuṃ icchati, so eko care khaggavisāṇakappo. Atha vā tehi ‘‘amhe dāni, bhante, pajahatha na icchathā’’ti vutte so paccekabuddho ‘‘na puttamiccheyya kuto sahāya’’nti vatvā attano yathāvuttenatthena ekacariyāya guṇaṃ disvā pamudito pītisomanassajāto imaṃ udānaṃ udānesi – ‘‘eko care khaggavisāṇakappo’’ti. Evaṃ vatvā pekkhamānasseva mahājanassa ākāse uppatitvā gandhamādanaṃ agamāsi.

    คนฺธมาทโน นาม หิมวติ จูฬกาฬปพฺพตํ, มหากาฬปพฺพตํ, นาคปลิเวฐนํ, จนฺทคพฺภํ, สูริยคพฺภํ, สุวณฺณปสฺสํ, หิมวนฺตปพฺพตนฺติ สตฺต ปพฺพเต อติกฺกมฺม โหติฯ ตตฺถ นนฺทมูลกํ นาม ปพฺภารํ ปเจฺจกพุทฺธานํ วสโนกาโสฯ ติโสฺส จ คุหาโย – สุวณฺณคุหา, มณิคุหา, รชตคุหาติฯ ตตฺถ มณิคุหาทฺวาเร มญฺชูสโก นาม รุโกฺข โยชนํ อุเพฺพเธน, โยชนํ วิตฺถาเรนฯ โส ยตฺตกานิ อุทเก วา ถเล วา ปุปฺผานิ, สพฺพานิ ตานิ ปุปฺผยติ วิเสเสน ปเจฺจกพุทฺธาคมนทิวเสฯ ตสฺสูปริโต สพฺพรตนมาโฬ โหติฯ ตตฺถ สมฺมชฺชนกวาโต กจวรํ ฉเฑฺฑติ, สมกรณวาโต สพฺพรตนมยํ วาลิกํ สมํ กโรติ, สิญฺจนกวาโต อโนตตฺตทหโต อาเนตฺวา อุทกํ สิญฺจติ, สุคนฺธกรณวาโต หิมวนฺตโต สเพฺพสํ คนฺธรุกฺขานํ คเนฺธ อาเนติ, โอจินกวาโต ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ปาเตติ, สนฺถรกวาโต สพฺพตฺถ สนฺถรติฯ สทา ปญฺญตฺตาเนว เจตฺถ อาสนานิ โหนฺติ, เยสุ ปเจฺจกพุทฺธุปฺปาททิวเส อุโปสถทิวเส จ สพฺพปเจฺจกพุทฺธา สนฺนิปติตฺวา นิสีทนฺติฯ อยํ ตตฺถ ปกติฯ อภิสมฺพุทฺธ-ปเจฺจกพุโทฺธ ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทติฯ ตโต สเจ ตสฺมิํ กาเล อเญฺญปิ ปเจฺจกพุทฺธา สํวิชฺชนฺติ, เตปิ ตงฺขณํ สนฺนิปติตฺวา ปญฺญตฺตาสเนสุ นิสีทนฺติฯ นิสีทิตฺวา จ กิญฺจิเทว สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐหนฺติ, ตโต สงฺฆเตฺถโร อธุนาคตปเจฺจกพุทฺธํ สเพฺพสํ อนุโมทนตฺถาย ‘‘กถมธิคต’’นฺติ กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉติฯ ตทาปิ โส ตเมว อตฺตโน อุทานพฺยากรณคาถํ ภาสติฯ ปุน ภควาปิ อายสฺมตา อานเนฺทน ปุโฎฺฐ ตเมว คาถํ ภาสติ, อานโนฺท จ สงฺคีติยนฺติ เอวเมเกกา คาถา ปเจฺจกสโมฺพธิอภิสมฺพุทฺธฎฺฐาเน, มญฺชูสกมาเฬ , อานเนฺทน ปุจฺฉิตกาเล, สงฺคีติยนฺติ จตุกฺขตฺตุํ ภาสิตา โหตีติฯ

    Gandhamādano nāma himavati cūḷakāḷapabbataṃ, mahākāḷapabbataṃ, nāgapaliveṭhanaṃ, candagabbhaṃ, sūriyagabbhaṃ, suvaṇṇapassaṃ, himavantapabbatanti satta pabbate atikkamma hoti. Tattha nandamūlakaṃ nāma pabbhāraṃ paccekabuddhānaṃ vasanokāso. Tisso ca guhāyo – suvaṇṇaguhā, maṇiguhā, rajataguhāti. Tattha maṇiguhādvāre mañjūsako nāma rukkho yojanaṃ ubbedhena, yojanaṃ vitthārena. So yattakāni udake vā thale vā pupphāni, sabbāni tāni pupphayati visesena paccekabuddhāgamanadivase. Tassūparito sabbaratanamāḷo hoti. Tattha sammajjanakavāto kacavaraṃ chaḍḍeti, samakaraṇavāto sabbaratanamayaṃ vālikaṃ samaṃ karoti, siñcanakavāto anotattadahato ānetvā udakaṃ siñcati, sugandhakaraṇavāto himavantato sabbesaṃ gandharukkhānaṃ gandhe āneti, ocinakavāto pupphāni ocinitvā pāteti, santharakavāto sabbattha santharati. Sadā paññattāneva cettha āsanāni honti, yesu paccekabuddhuppādadivase uposathadivase ca sabbapaccekabuddhā sannipatitvā nisīdanti. Ayaṃ tattha pakati. Abhisambuddha-paccekabuddho tattha gantvā paññattāsane nisīdati. Tato sace tasmiṃ kāle aññepi paccekabuddhā saṃvijjanti, tepi taṅkhaṇaṃ sannipatitvā paññattāsanesu nisīdanti. Nisīditvā ca kiñcideva samāpattiṃ samāpajjitvā vuṭṭhahanti, tato saṅghatthero adhunāgatapaccekabuddhaṃ sabbesaṃ anumodanatthāya ‘‘kathamadhigata’’nti kammaṭṭhānaṃ pucchati. Tadāpi so tameva attano udānabyākaraṇagāthaṃ bhāsati. Puna bhagavāpi āyasmatā ānandena puṭṭho tameva gāthaṃ bhāsati, ānando ca saṅgītiyanti evamekekā gāthā paccekasambodhiabhisambuddhaṭṭhāne, mañjūsakamāḷe , ānandena pucchitakāle, saṅgītiyanti catukkhattuṃ bhāsitā hotīti.

    ปฐมคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Paṭhamagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๓๖. สํสคฺคชาตสฺสาติ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปเจฺจกโพธิสโตฺต กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน วีสติ วสฺสสหสฺสานิ ปุริมนเยเนว สมณธมฺมํ กโรโนฺต กสิณปริกมฺมํ กตฺวา, ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา, นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา, ลกฺขณสมฺมสนํ กตฺวา, อริยมคฺคํ อนธิคมฺม พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ โส ตโต จุโต พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ อุปฺปชฺชิตฺวา ปุริมนเยเนว วฑฺฒมาโน ยโต ปภุติ ‘‘อยํ อิตฺถี อยํ ปุริโส’’ติ วิเสสํ อญฺญาสิ, ตตุปาทาย อิตฺถีนํ หเตฺถ น รมติ, อุจฺฉาทนนฺหาปนมณฺฑนาทิมตฺตมฺปิ น สหติฯ ตํ ปุริสา เอว โปเสนฺติ, ถญฺญปายนกาเล ธาติโย กญฺจุกํ ปฎิมุญฺจิตฺวา ปุริสเวเสน ถญฺญํ ปาเยนฺติฯ โส อิตฺถีนํ คนฺธํ ฆายิตฺวา สทฺทํ วา สุตฺวา โรทติ, วิญฺญุตํ ปโตฺตปิ อิตฺถิโย ปสฺสิตุํ น อิจฺฉติ, เตน ตํ อนิตฺถิคโนฺธเตฺวว สญฺชานิํสุฯ

    36.Saṃsaggajātassāti kā uppatti? Ayampi paccekabodhisatto kassapassa bhagavato sāsane vīsati vassasahassāni purimanayeneva samaṇadhammaṃ karonto kasiṇaparikammaṃ katvā, paṭhamajjhānaṃ nibbattetvā, nāmarūpaṃ vavatthapetvā, lakkhaṇasammasanaṃ katvā, ariyamaggaṃ anadhigamma brahmaloke nibbatti. So tato cuto bārāṇasirañño aggamahesiyā kucchimhi uppajjitvā purimanayeneva vaḍḍhamāno yato pabhuti ‘‘ayaṃ itthī ayaṃ puriso’’ti visesaṃ aññāsi, tatupādāya itthīnaṃ hatthe na ramati, ucchādananhāpanamaṇḍanādimattampi na sahati. Taṃ purisā eva posenti, thaññapāyanakāle dhātiyo kañcukaṃ paṭimuñcitvā purisavesena thaññaṃ pāyenti. So itthīnaṃ gandhaṃ ghāyitvā saddaṃ vā sutvā rodati, viññutaṃ pattopi itthiyo passituṃ na icchati, tena taṃ anitthigandhotveva sañjāniṃsu.

    ตสฺมิํ โสฬสวสฺสุเทฺทสิเก ชาเต ราชา ‘‘กุลวํสํ สณฺฐเปสฺสามี’’ติ นานากุเลหิ ตสฺส อนุรูปา กญฺญาโย อาเนตฺวา อญฺญตรํ อมจฺจํ อาณาเปสิ ‘‘กุมารํ รมาเปหี’’ติฯ อมโจฺจ อุปาเยน ตํ รมาเปตุกาโม ตสฺส อวิทูเร สาณิปาการํ ปริกฺขิปาเปตฺวา นาฎกานิ ปโยชาเปสิฯ กุมาโร คีตวาทิตสทฺทํ สุตฺวา – ‘‘กเสฺสโส สโทฺท’’ติ อาหฯ อมโจฺจ ‘‘ตเวโส, เทว, นาฎกิตฺถีนํ สโทฺท, ปุญฺญวนฺตานํ อีทิสานิ นาฎกานิ โหนฺติ, อภิรม, เทว, มหาปุโญฺญสิ ตฺว’’นฺติ อาหฯ กุมาโร อมจฺจํ ทเณฺฑน ตาฬาเปตฺวา นิกฺกฑฺฒาเปสิฯ โส รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา กุมารสฺส มาตรา สห คนฺตฺวา, กุมารํ ขมาเปตฺวา, ปุน อมจฺจํ อเปฺปสิฯ กุมาโร เตหิ อตินิปฺปีฬิยมาโน เสฎฺฐสุวณฺณํ ทตฺวา สุวณฺณกาเร อาณาเปสิ – ‘‘สุนฺทรํ อิตฺถิรูปํ กโรถา’’ติฯ เต วิสฺสกมฺมุนา นิมฺมิตสทิสํ สพฺพาลงฺการวิภูสิตํ อิตฺถิรูปํ กตฺวา ทเสฺสสุํฯ กุมาโร ทิสฺวา วิมฺหเยน สีสํ จาเลตฺวา มาตาปิตูนํ เปเสสิ ‘‘ยทิ อีทิสิํ อิตฺถิํ ลภิสฺสามิ, คณฺหิสฺสามี’’ติฯ มาตาปิตโร ‘‘อมฺหากํ ปุโตฺต มหาปุโญฺญ, อวสฺสํ เตน สห กตปุญฺญา กาจิ ทาริกา โลเก อุปฺปนฺนา ภวิสฺสตี’’ติ ตํ สุวณฺณรูปํ รถํ อาโรเปตฺวา อมจฺจานํ อเปฺปสุํ ‘‘คจฺฉถ, อีทิสิํ ทาริกํ คเวสถา’’ติฯ เต คเหตฺวา โสฬส มหาชนปเท วิจรนฺตา ตํ ตํ คามํ คนฺตฺวา อุทกติตฺถาทีสุ ยตฺถ ยตฺถ ชนสมูหํ ปสฺสนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ เทวตํ วิย สุวณฺณรูปํ ฐเปตฺวา นานาปุปฺผวตฺถาลงฺกาเรหิ ปูชํ กตฺวา, วิตานํ พนฺธิตฺวา, เอกมนฺตํ ติฎฺฐนฺติ – ‘‘ยทิ เกนจิ เอวรูปา ทิฎฺฐปุพฺพา ภวิสฺสติ, โส กถํ สมุฎฺฐาเปสฺสตี’’ติ? เอเตนุปาเยน อญฺญตฺร มทฺทรฎฺฐา สเพฺพ ชนปเท อาหิณฺฑิตฺวา ตํ ‘‘ขุทฺทกรฎฺฐ’’นฺติ อวมญฺญมานา ตตฺถ ปฐมํ อคนฺตฺวา นิวตฺติํสุฯ

    Tasmiṃ soḷasavassuddesike jāte rājā ‘‘kulavaṃsaṃ saṇṭhapessāmī’’ti nānākulehi tassa anurūpā kaññāyo ānetvā aññataraṃ amaccaṃ āṇāpesi ‘‘kumāraṃ ramāpehī’’ti. Amacco upāyena taṃ ramāpetukāmo tassa avidūre sāṇipākāraṃ parikkhipāpetvā nāṭakāni payojāpesi. Kumāro gītavāditasaddaṃ sutvā – ‘‘kasseso saddo’’ti āha. Amacco ‘‘taveso, deva, nāṭakitthīnaṃ saddo, puññavantānaṃ īdisāni nāṭakāni honti, abhirama, deva, mahāpuññosi tva’’nti āha. Kumāro amaccaṃ daṇḍena tāḷāpetvā nikkaḍḍhāpesi. So rañño ārocesi. Rājā kumārassa mātarā saha gantvā, kumāraṃ khamāpetvā, puna amaccaṃ appesi. Kumāro tehi atinippīḷiyamāno seṭṭhasuvaṇṇaṃ datvā suvaṇṇakāre āṇāpesi – ‘‘sundaraṃ itthirūpaṃ karothā’’ti. Te vissakammunā nimmitasadisaṃ sabbālaṅkāravibhūsitaṃ itthirūpaṃ katvā dassesuṃ. Kumāro disvā vimhayena sīsaṃ cāletvā mātāpitūnaṃ pesesi ‘‘yadi īdisiṃ itthiṃ labhissāmi, gaṇhissāmī’’ti. Mātāpitaro ‘‘amhākaṃ putto mahāpuñño, avassaṃ tena saha katapuññā kāci dārikā loke uppannā bhavissatī’’ti taṃ suvaṇṇarūpaṃ rathaṃ āropetvā amaccānaṃ appesuṃ ‘‘gacchatha, īdisiṃ dārikaṃ gavesathā’’ti. Te gahetvā soḷasa mahājanapade vicarantā taṃ taṃ gāmaṃ gantvā udakatitthādīsu yattha yattha janasamūhaṃ passanti, tattha tattha devataṃ viya suvaṇṇarūpaṃ ṭhapetvā nānāpupphavatthālaṅkārehi pūjaṃ katvā, vitānaṃ bandhitvā, ekamantaṃ tiṭṭhanti – ‘‘yadi kenaci evarūpā diṭṭhapubbā bhavissati, so kathaṃ samuṭṭhāpessatī’’ti? Etenupāyena aññatra maddaraṭṭhā sabbe janapade āhiṇḍitvā taṃ ‘‘khuddakaraṭṭha’’nti avamaññamānā tattha paṭhamaṃ agantvā nivattiṃsu.

    ตโต เนสํ อโหสิ ‘‘มทฺทรฎฺฐมฺปิ ตาว คจฺฉาม, มา โน พาราณสิํ ปวิเฎฺฐปิ ราชา ปุน ปาเหสี’’ติ มทฺทรเฎฺฐ สาคลนครํ อคมํสุฯ สาคลนคเร จ มทฺทโว นาม ราชาฯ ตสฺส ธีตา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา อภิรูปา โหติฯ ตสฺสา วณฺณทาสิโย นฺหาโนทกตฺถาย ติตฺถํ คตาฯ ตตฺถ อมเจฺจหิ ฐปิตํ ตํ สุวณฺณรูปํ ทูรโตว ทิสฺวา ‘‘อเมฺห อุทกตฺถาย เปเสตฺวา ราชปุตฺตี สยเมว อาคตา’’ติ ภณนฺติโย สมีปํ คนฺตฺวา ‘‘นายํ สามินี, อมฺหากํ สามินี อิโต อภิรูปตรา’’ติ อาหํสุฯ อมจฺจา ตํ สุตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา อนุรูเปน นเยน ทาริกํ ยาจิํสุ, โสปิ อทาสิฯ ตโต พาราณสิรโญฺญ ปาเหสุํ ‘‘ลทฺธา ทาริกา, สามํ อาคจฺฉิสฺสติ, อุทาหุ อเมฺหว อาเนมา’’ติ? โส จ ‘‘มยิ อาคจฺฉเนฺต ชนปทปีฬา ภวิสฺสติ, ตุเมฺหว อาเนถา’’ติ เปเสสิฯ

    Tato nesaṃ ahosi ‘‘maddaraṭṭhampi tāva gacchāma, mā no bārāṇasiṃ paviṭṭhepi rājā puna pāhesī’’ti maddaraṭṭhe sāgalanagaraṃ agamaṃsu. Sāgalanagare ca maddavo nāma rājā. Tassa dhītā soḷasavassuddesikā abhirūpā hoti. Tassā vaṇṇadāsiyo nhānodakatthāya titthaṃ gatā. Tattha amaccehi ṭhapitaṃ taṃ suvaṇṇarūpaṃ dūratova disvā ‘‘amhe udakatthāya pesetvā rājaputtī sayameva āgatā’’ti bhaṇantiyo samīpaṃ gantvā ‘‘nāyaṃ sāminī, amhākaṃ sāminī ito abhirūpatarā’’ti āhaṃsu. Amaccā taṃ sutvā rājānaṃ upasaṅkamitvā anurūpena nayena dārikaṃ yāciṃsu, sopi adāsi. Tato bārāṇasirañño pāhesuṃ ‘‘laddhā dārikā, sāmaṃ āgacchissati, udāhu amheva ānemā’’ti? So ca ‘‘mayi āgacchante janapadapīḷā bhavissati, tumheva ānethā’’ti pesesi.

    อมจฺจา ทาริกํ คเหตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา กุมารสฺส ปาเหสุํ – ‘‘ลทฺธา สุวณฺณรูปสทิสี ทาริกา’’ติฯ กุมาโร สุตฺวาว ราเคน อภิภูโต ปฐมชฺฌานา ปริหายิฯ โส ทูตปรมฺปรํ เปเสสิ ‘‘สีฆํ อาเนถ, สีฆํ อาเนถา’’ติฯ เต สพฺพตฺถ เอกรตฺติวาเสเนว พาราณสิํ ปตฺวา พหินคเร ฐิตา รโญฺญ ปาเหสุํ – ‘‘อชฺช ปวิสิตพฺพํ, โน’’ติ? ราชา ‘‘เสฎฺฐกุลา อานีตา ทาริกา, มงฺคลกิริยํ กตฺวา มหาสกฺกาเรน ปเวเสสฺสาม, อุยฺยานํ ตาว นํ เนถา’’ติ อาณาเปสิฯ เต ตถา อกํสุฯ สา อจฺจนฺตสุขุมาลา ยานุคฺฆาเตน อุพฺพาฬฺหา อทฺธานปริสฺสเมน อุปฺปนฺนวาตโรคา มิลาตมาลา วิย หุตฺวา รตฺติํเยว กาลมกาสิฯ อมจฺจา ‘‘สกฺการา ปริภฎฺฐมฺหา’’ติ ปริเทวิํสุฯ ราชา จ นาครา จ ‘‘กุลวํโส วินโฎฺฐ’’ติ ปริเทวิํสุฯ นคเร มหาโกลาหลํ อโหสิฯ กุมารสฺส สุตมเตฺตเยว มหาโสโก อุทปาทิฯ ตโต กุมาโร โสกสฺส มูลํ ขณิตุมารโทฺธฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ โสโก นาม น อชาตสฺส โหติ, ชาตสฺส ปน โหติ, ตสฺมา ชาติํ ปฎิจฺจ โสโก’’ติฯ ‘‘ชาติ ปน กิํ ปฎิจฺจา’’ติ? ตโต ‘‘ภวํ ปฎิจฺจ ชาตี’’ติ เอวํ ปุพฺพภาวนานุภาเวน โยนิโส มนสิกโรโนฺต อนุโลมปฎิโลมปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ทิสฺวา สงฺขาเร สมฺมสโนฺต ตเตฺถว นิสิโนฺน ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตํ มคฺคผลสุเขน สุขิตํ สนฺตินฺทฺริยํ สนฺตมานสํ นิสินฺนํ ทิสฺวา, ปณิปาตํ กตฺวา, อมจฺจา อาหํสุ – ‘‘มา โสจิ, เทว, มหโนฺต ชมฺพุทีโป, อญฺญํ ตโต สุนฺทรตรํ อาเนสฺสามา’’ติฯ โส อาห – ‘‘นาหํ โสจโก, นิโสฺสโก ปเจฺจกพุโทฺธ อห’’นฺติฯ อิโต ปรํ สพฺพํ ปุริมคาถาสทิสเมว ฐเปตฺวา คาถาวณฺณนํฯ

    Amaccā dārikaṃ gahetvā nagarā nikkhamitvā kumārassa pāhesuṃ – ‘‘laddhā suvaṇṇarūpasadisī dārikā’’ti. Kumāro sutvāva rāgena abhibhūto paṭhamajjhānā parihāyi. So dūtaparamparaṃ pesesi ‘‘sīghaṃ ānetha, sīghaṃ ānethā’’ti. Te sabbattha ekarattivāseneva bārāṇasiṃ patvā bahinagare ṭhitā rañño pāhesuṃ – ‘‘ajja pavisitabbaṃ, no’’ti? Rājā ‘‘seṭṭhakulā ānītā dārikā, maṅgalakiriyaṃ katvā mahāsakkārena pavesessāma, uyyānaṃ tāva naṃ nethā’’ti āṇāpesi. Te tathā akaṃsu. Sā accantasukhumālā yānugghātena ubbāḷhā addhānaparissamena uppannavātarogā milātamālā viya hutvā rattiṃyeva kālamakāsi. Amaccā ‘‘sakkārā paribhaṭṭhamhā’’ti parideviṃsu. Rājā ca nāgarā ca ‘‘kulavaṃso vinaṭṭho’’ti parideviṃsu. Nagare mahākolāhalaṃ ahosi. Kumārassa sutamatteyeva mahāsoko udapādi. Tato kumāro sokassa mūlaṃ khaṇitumāraddho. So cintesi – ‘‘ayaṃ soko nāma na ajātassa hoti, jātassa pana hoti, tasmā jātiṃ paṭicca soko’’ti. ‘‘Jāti pana kiṃ paṭiccā’’ti? Tato ‘‘bhavaṃ paṭicca jātī’’ti evaṃ pubbabhāvanānubhāvena yoniso manasikaronto anulomapaṭilomapaṭiccasamuppādaṃ disvā saṅkhāre sammasanto tattheva nisinno paccekabodhiṃ sacchākāsi. Taṃ maggaphalasukhena sukhitaṃ santindriyaṃ santamānasaṃ nisinnaṃ disvā, paṇipātaṃ katvā, amaccā āhaṃsu – ‘‘mā soci, deva, mahanto jambudīpo, aññaṃ tato sundarataraṃ ānessāmā’’ti. So āha – ‘‘nāhaṃ socako, nissoko paccekabuddho aha’’nti. Ito paraṃ sabbaṃ purimagāthāsadisameva ṭhapetvā gāthāvaṇṇanaṃ.

    คาถาวณฺณนายํ ปน สํสคฺคชาตสฺสาติ ชาตสํสคฺคสฺสฯ ตตฺถ ทสฺสน, สวน, กาย, สมุลฺลปน, สโมฺภคสํสคฺควเสน ปญฺจวิโธ สํสโคฺคฯ ตตฺถ อญฺญมญฺญํ ทิสฺวา จกฺขุวิญฺญาณวีถิวเสน อุปฺปนฺนราโค ทสฺสนสํสโคฺค นามฯ ตตฺถ สีหฬทีเป กาฬทีฆวาปีคาเม ปิณฺฑาย จรนฺตํ กลฺยาณวิหารวาสีทีฆภาณกทหรภิกฺขุํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิตฺตา เกนจิ อุปาเยน ตํ อลภิตฺวา, กาลกตา กุฎุมฺพิยธีตา, ตสฺสา นิวาสนโจฬขณฺฑํ ทิสฺวา ‘‘เอวรูปวตฺถธารินิยา นาม สทฺธิํ สํวาสํ นาลตฺถ’’นฺติ หทยํ ผาเลตฺวา กาลกโตฯ โส เอว จ ทหโร นิทสฺสนํฯ

    Gāthāvaṇṇanāyaṃ pana saṃsaggajātassāti jātasaṃsaggassa. Tattha dassana, savana, kāya, samullapana, sambhogasaṃsaggavasena pañcavidho saṃsaggo. Tattha aññamaññaṃ disvā cakkhuviññāṇavīthivasena uppannarāgo dassanasaṃsaggo nāma. Tattha sīhaḷadīpe kāḷadīghavāpīgāme piṇḍāya carantaṃ kalyāṇavihāravāsīdīghabhāṇakadaharabhikkhuṃ disvā paṭibaddhacittā kenaci upāyena taṃ alabhitvā, kālakatā kuṭumbiyadhītā, tassā nivāsanacoḷakhaṇḍaṃ disvā ‘‘evarūpavatthadhāriniyā nāma saddhiṃ saṃvāsaṃ nālattha’’nti hadayaṃ phāletvā kālakato. So eva ca daharo nidassanaṃ.

    ปเรหิ ปน กถิยมานํ รูปาทิสมฺปตฺติํ อตฺตนา วา หสิตลปิตคีตสทฺทํ สุตฺวา โสตวิญฺญาณวีถิวเสน อุปฺปโนฺน ราโค สวนสํสโคฺค นามฯ ตตฺราปิ คิริคามวาสีกมฺมารธีตาย ปญฺจหิ กุมารีหิ สทฺธิํ ปทุมสฺสรํ คนฺตฺวา, นฺหตฺวา มาลํ อาโรเปตฺวา, อุจฺจาสเทฺทน คายนฺติยา อากาเสน คจฺฉโนฺต สทฺทํ สุตฺวา กามราเคน วิเสสา ปริหายิตฺวา อนยพฺยสนํ ปโตฺต ปญฺจคฺคฬเลณวาสี ติสฺสทหโร นิทสฺสนํฯ

    Parehi pana kathiyamānaṃ rūpādisampattiṃ attanā vā hasitalapitagītasaddaṃ sutvā sotaviññāṇavīthivasena uppanno rāgo savanasaṃsaggo nāma. Tatrāpi girigāmavāsīkammāradhītāya pañcahi kumārīhi saddhiṃ padumassaraṃ gantvā, nhatvā mālaṃ āropetvā, uccāsaddena gāyantiyā ākāsena gacchanto saddaṃ sutvā kāmarāgena visesā parihāyitvā anayabyasanaṃ patto pañcaggaḷaleṇavāsī tissadaharo nidassanaṃ.

    อญฺญมญฺญํ องฺคปรามสเนน อุปฺปนฺนราโค กายสํสโคฺค นามฯ ธมฺมคายนทหรภิกฺขุ เจตฺถ นิทสฺสนํฯ มหาวิหาเร กิร ทหรภิกฺขุ ธมฺมํ ภาสติ ฯ ตตฺถ มหาชเน อาคเต ราชาปิ อคมาสิ สทฺธิํ อเนฺตปุเรนฯ ตโต ราชธีตาย ตสฺส รูปญฺจ สทฺทญฺจ อาคมฺม พลวราโค อุปฺปโนฺน, ตสฺส จ ทหรสฺสาปิฯ ตํ ทิสฺวา ราชา สลฺลเกฺขตฺวา สาณิปากาเรน ปริกฺขิปาเปสิฯ เต อญฺญมญฺญํ ปรามสิตฺวา อาลิงฺคิํสุฯ ปุน สาณิปาการํ อปเนตฺวา ปสฺสนฺตา เทฺวปิ กาลกเตเยว อทฺทสํสูติฯ

    Aññamaññaṃ aṅgaparāmasanena uppannarāgo kāyasaṃsaggo nāma. Dhammagāyanadaharabhikkhu cettha nidassanaṃ. Mahāvihāre kira daharabhikkhu dhammaṃ bhāsati . Tattha mahājane āgate rājāpi agamāsi saddhiṃ antepurena. Tato rājadhītāya tassa rūpañca saddañca āgamma balavarāgo uppanno, tassa ca daharassāpi. Taṃ disvā rājā sallakkhetvā sāṇipākārena parikkhipāpesi. Te aññamaññaṃ parāmasitvā āliṅgiṃsu. Puna sāṇipākāraṃ apanetvā passantā dvepi kālakateyeva addasaṃsūti.

    อญฺญมญฺญํ อาลปนสมุลฺลปเน อุปฺปโนฺน ราโค ปน สมุลฺลปนสํสโคฺค นามฯ ภิกฺขุภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ ปริโภคกรเณ อุปฺปนฺนราโค สโมฺภคสํสโคฺค นามฯ ทฺวีสุปิ เจเตสุ ปาราชิกปฺปโตฺต ภิกฺขุ จ ภิกฺขุนี จ นิทสฺสนํฯ มริจิวฎฺฎินามมหาวิหารมเห กิร ทุฎฺฐคามณิ อภยมหาราชา มหาทานํ ปฎิยาเทตฺวา อุภโตสงฺฆํ ปริวิสติฯ ตตฺถ อุณฺหยาคุยา ทินฺนาย สงฺฆนวกสามเณรี อนาธารกสฺส สงฺฆนวกสามเณรสฺส ทนฺตวลยํ ทตฺวา สมุลฺลาปํ อกาสิฯ เต อุโภปิ อุปสมฺปชฺชิตฺวา สฎฺฐิวสฺสา หุตฺวา ปรตีรํ คตา อญฺญมญฺญํ สมุลฺลาเปน ปุพฺพสญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ตาวเทว ชาตสิเนหา สิกฺขาปทํ วีติกฺกมิตฺวา ปาราชิกา อเหสุนฺติฯ

    Aññamaññaṃ ālapanasamullapane uppanno rāgo pana samullapanasaṃsaggo nāma. Bhikkhubhikkhunīhi saddhiṃ paribhogakaraṇe uppannarāgo sambhogasaṃsaggo nāma. Dvīsupi cetesu pārājikappatto bhikkhu ca bhikkhunī ca nidassanaṃ. Maricivaṭṭināmamahāvihāramahe kira duṭṭhagāmaṇi abhayamahārājā mahādānaṃ paṭiyādetvā ubhatosaṅghaṃ parivisati. Tattha uṇhayāguyā dinnāya saṅghanavakasāmaṇerī anādhārakassa saṅghanavakasāmaṇerassa dantavalayaṃ datvā samullāpaṃ akāsi. Te ubhopi upasampajjitvā saṭṭhivassā hutvā paratīraṃ gatā aññamaññaṃ samullāpena pubbasaññaṃ paṭilabhitvā tāvadeva jātasinehā sikkhāpadaṃ vītikkamitvā pārājikā ahesunti.

    เอวํ ปญฺจวิเธ สํสเคฺค เยน เกนจิ สํสเคฺคน ชาตสํสคฺคสฺส ภวติ เสฺนโห, ปุริมราคปจฺจยา พลวราโค อุปฺปชฺชติฯ ตโต เสฺนหนฺวยํ ทุกฺขมิทํ ปโหติ ตเมว เสฺนหํ อนุคจฺฉนฺตํ สนฺทิฎฺฐิกสมฺปรายิกโสกปริเทวาทินานปฺปการกํ ทุกฺขมิทํ ปโหติ, นิพฺพตฺตติ, ภวติ, ชายติฯ อปเร ปน ‘‘อารมฺมเณ จิตฺตสฺส โวสฺสโคฺค สํสโคฺค’’ติ ภณนฺติฯ ตโต เสฺนโห, เสฺนหา ทุกฺขมิทนฺติฯ

    Evaṃ pañcavidhe saṃsagge yena kenaci saṃsaggena jātasaṃsaggassa bhavati sneho, purimarāgapaccayā balavarāgo uppajjati. Tato snehanvayaṃ dukkhamidaṃ pahoti tameva snehaṃ anugacchantaṃ sandiṭṭhikasamparāyikasokaparidevādinānappakārakaṃ dukkhamidaṃ pahoti, nibbattati, bhavati, jāyati. Apare pana ‘‘ārammaṇe cittassa vossaggo saṃsaggo’’ti bhaṇanti. Tato sneho, snehā dukkhamidanti.

    เอวมตฺถปฺปเภทํ อิมํ อฑฺฒคาถํ วตฺวา โส ปเจฺจกพุโทฺธ อาห – ‘‘สฺวาหํ ยมิทํ เสฺนหนฺวยํ โสกาทิทุกฺขํ ปโหติ, ตสฺส ทุกฺขสฺส มูลํ ขนโนฺต ปเจฺจกสโมฺพธิมธิคโต’’ติฯ เอวํ วุเตฺต เต อมจฺจา อาหํสุ – ‘‘อเมฺหหิ ทานิ, ภเนฺต, กิํ กาตพฺพ’’นฺติ? ตโต โส อาห – ‘‘ตุเมฺห วา อเญฺญ วา โย อิมมฺหา ทุกฺขา มุจฺจิตุกาโม, โส สโพฺพปิ อาทีนวํ เสฺนหชํ เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ เอตฺถ จ ยํ ‘‘เสฺนหนฺวยํ ทุกฺขมิทํ ปโหตี’’ติ วุตฺตํ ‘‘ตเทว สนฺธาย อาทีนวํ เสฺนหชํ เปกฺขมาโน’’ติ อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อถ วา ยถาวุเตฺตน สํสเคฺคน สํสคฺคชาตสฺส ภวติ เสฺนโห, เสฺนหนฺวยํ ทุกฺขมิทํ ปโหติ, เอตํ ยถาภูตํ อาทีนวํ เสฺนหชํ เปกฺขมาโน อหํ อธิคโตติฯ เอวํ อภิสมฺพนฺธิตฺวา จตุตฺถปาโท ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว อุทานวเสน วุโตฺตปิ เวทิตโพฺพฯ ตโต ปรํ สพฺพํ ปุริมคาถาย วุตฺตสทิสเมวาติฯ

    Evamatthappabhedaṃ imaṃ aḍḍhagāthaṃ vatvā so paccekabuddho āha – ‘‘svāhaṃ yamidaṃ snehanvayaṃ sokādidukkhaṃ pahoti, tassa dukkhassa mūlaṃ khananto paccekasambodhimadhigato’’ti. Evaṃ vutte te amaccā āhaṃsu – ‘‘amhehi dāni, bhante, kiṃ kātabba’’nti? Tato so āha – ‘‘tumhe vā aññe vā yo imamhā dukkhā muccitukāmo, so sabbopi ādīnavaṃ snehajaṃ pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti. Ettha ca yaṃ ‘‘snehanvayaṃ dukkhamidaṃ pahotī’’ti vuttaṃ ‘‘tadeva sandhāya ādīnavaṃ snehajaṃ pekkhamāno’’ti idaṃ vuttanti veditabbaṃ. Atha vā yathāvuttena saṃsaggena saṃsaggajātassa bhavati sneho, snehanvayaṃ dukkhamidaṃ pahoti, etaṃ yathābhūtaṃ ādīnavaṃ snehajaṃ pekkhamāno ahaṃ adhigatoti. Evaṃ abhisambandhitvā catutthapādo pubbe vuttanayeneva udānavasena vuttopi veditabbo. Tato paraṃ sabbaṃ purimagāthāya vuttasadisamevāti.

    สํสคฺคคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Saṃsaggagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๓๗. มิเตฺต สุหเชฺชติ กา อุปฺปตฺติ? อยํ ปเจฺจกโพธิสโตฺต ปุริมคาถาย วุตฺตนเยเนว อุปฺปชฺชิตฺวา พาราณสิยํ รชฺชํ กาเรโนฺต ปฐมํ ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ‘‘กิํ สมณธโมฺม วโร, รชฺชํ วร’’นฺติ วีมํสิตฺวา จตุนฺนํ อมจฺจานํ หเตฺถ รชฺชํ นิยฺยาเตตฺวา สมณธมฺมํ กโรติฯ อมจฺจา ‘‘ธเมฺมน สเมน กโรถา’’ติ วุตฺตาปิ ลญฺชํ คเหตฺวา อธเมฺมน กโรนฺติฯ เต ลญฺชํ คเหตฺวา สามิเก ปราเชนฺตา เอกทา อญฺญตรํ ราชวลฺลภํ ปราเชสุํฯ โส รโญฺญ ภตฺตหารเกน สทฺธิํ ปวิสิตฺวา สพฺพํ อาโรเจสิฯ ราชา ทุติยทิวเส สยํ วินิจฺฉยฎฺฐานํ อคมาสิฯ ตโต มหาชนกายา – ‘‘อมจฺจา สามิเก อสามิเก กโรนฺตี’’ติ มหาสทฺทํ กโรนฺตา มหายุทฺธํ วิย อกํสุฯ อถ ราชา วินิจฺฉยฎฺฐานา วุฎฺฐาย ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา สมาปตฺติํ อเปฺปตุํ นิสิโนฺน เตน สเทฺทน วิกฺขิตฺตจิโตฺต น สโกฺกติ อเปฺปตุํฯ โส ‘‘กิํ เม รเชฺชน, สมณธโมฺม วโร’’ติ รชฺชสุขํ ปหาย ปุน สมาปตฺติํ นิพฺพเตฺตตฺวา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกสโมฺพธิํ สจฺฉากาสิฯ กมฺมฎฺฐานญฺจ ปุจฺฉิโต อิมํ คาถํ อภาสิ –

    37.Mitte suhajjeti kā uppatti? Ayaṃ paccekabodhisatto purimagāthāya vuttanayeneva uppajjitvā bārāṇasiyaṃ rajjaṃ kārento paṭhamaṃ jhānaṃ nibbattetvā ‘‘kiṃ samaṇadhammo varo, rajjaṃ vara’’nti vīmaṃsitvā catunnaṃ amaccānaṃ hatthe rajjaṃ niyyātetvā samaṇadhammaṃ karoti. Amaccā ‘‘dhammena samena karothā’’ti vuttāpi lañjaṃ gahetvā adhammena karonti. Te lañjaṃ gahetvā sāmike parājentā ekadā aññataraṃ rājavallabhaṃ parājesuṃ. So rañño bhattahārakena saddhiṃ pavisitvā sabbaṃ ārocesi. Rājā dutiyadivase sayaṃ vinicchayaṭṭhānaṃ agamāsi. Tato mahājanakāyā – ‘‘amaccā sāmike asāmike karontī’’ti mahāsaddaṃ karontā mahāyuddhaṃ viya akaṃsu. Atha rājā vinicchayaṭṭhānā vuṭṭhāya pāsādaṃ abhiruhitvā samāpattiṃ appetuṃ nisinno tena saddena vikkhittacitto na sakkoti appetuṃ. So ‘‘kiṃ me rajjena, samaṇadhammo varo’’ti rajjasukhaṃ pahāya puna samāpattiṃ nibbattetvā pubbe vuttanayeneva vipassanto paccekasambodhiṃ sacchākāsi. Kammaṭṭhānañca pucchito imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘มิเตฺต สุหเชฺช อนุกมฺปมาโน, หาเปติ อตฺถํ ปฎิพทฺธจิโตฺต;

    ‘‘Mitte suhajje anukampamāno, hāpeti atthaṃ paṭibaddhacitto;

    เอตํ ภยํ สนฺถเว เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Etaṃ bhayaṃ santhave pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ เมตฺตายนวเสน มิตฺตาฯ สุหทยภาเวน สุหชฺชาฯ เกจิ หิ เอกนฺตหิตกามตาย มิตฺตาว โหนฺติ, น สุหชฺชาฯ เกจิ คมนาคมนฎฺฐานนิสชฺชาสมุลฺลาปาทีสุ หทยสุขชนเนน สุหชฺชาว โหนฺติ, น มิตฺตาฯ เกจิ ตทุภยวเสน สุหชฺชา เจว มิตฺตา จฯ เต ทุวิธา โหนฺติ – อคาริยา อนคาริยา จฯ ตตฺถ อคาริยา ติวิธา โหนฺติ – อุปกาโร, สมานสุขทุโกฺข, อนุกมฺปโกติฯ อนคาริยา วิเสเสน อตฺถกฺขายิโน เอวฯ เต จตูหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตา โหนฺติฯ ยถาห –

    Tattha mettāyanavasena mittā. Suhadayabhāvena suhajjā. Keci hi ekantahitakāmatāya mittāva honti, na suhajjā. Keci gamanāgamanaṭṭhānanisajjāsamullāpādīsu hadayasukhajananena suhajjāva honti, na mittā. Keci tadubhayavasena suhajjā ceva mittā ca. Te duvidhā honti – agāriyā anagāriyā ca. Tattha agāriyā tividhā honti – upakāro, samānasukhadukkho, anukampakoti. Anagāriyā visesena atthakkhāyino eva. Te catūhi aṅgehi samannāgatā honti. Yathāha –

    ‘‘จตูหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ อุปกาโร มิโตฺต สุหโท เวทิตโพฺพ – ปมตฺตํ รกฺขติ, ปมตฺตสฺส สาปเตยฺยํ รกฺขติ, ภีตสฺส สรณํ โหติ, อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสุ ตทฺทิคุณํ โภคํ อนุปฺปเทติ’’ (ที. นิ. ๓.๒๖๑)ฯ

    ‘‘Catūhi kho, gahapatiputta, ṭhānehi upakāro mitto suhado veditabbo – pamattaṃ rakkhati, pamattassa sāpateyyaṃ rakkhati, bhītassa saraṇaṃ hoti, uppannesu kiccakaraṇīyesu taddiguṇaṃ bhogaṃ anuppadeti’’ (dī. ni. 3.261).

    ตถา –

    Tathā –

    ‘‘จตูหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ สมานสุขทุโกฺข มิโตฺต สุหโท เวทิตโพฺพ – คุยฺหมสฺส อาจิกฺขติ, คุยฺหมสฺส ปริคูหติ, อาปทาสุ น วิชหติ, ชีวิตมฺปิสฺส อตฺถาย ปริจฺจตฺตํ โหติ’’ (ที. นิ. ๓.๒๖๒)ฯ

    ‘‘Catūhi kho, gahapatiputta, ṭhānehi samānasukhadukkho mitto suhado veditabbo – guyhamassa ācikkhati, guyhamassa parigūhati, āpadāsu na vijahati, jīvitampissa atthāya pariccattaṃ hoti’’ (dī. ni. 3.262).

    ตถา –

    Tathā –

    ‘‘จตูหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ อนุกมฺปโก มิโตฺต สุหโท เวทิตโพฺพ – อภเวนสฺส น นนฺทติ, ภเวนสฺส นนฺทติ, อวณฺณํ ภณมานํ นิวาเรติ, วณฺณํ ภณมานํ ปสํสติ’’ (ที. นิ. ๓.๒๖๔)ฯ

    ‘‘Catūhi kho, gahapatiputta, ṭhānehi anukampako mitto suhado veditabbo – abhavenassa na nandati, bhavenassa nandati, avaṇṇaṃ bhaṇamānaṃ nivāreti, vaṇṇaṃ bhaṇamānaṃ pasaṃsati’’ (dī. ni. 3.264).

    ตถา –

    Tathā –

    ‘‘จตูหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ อตฺถกฺขายี มิโตฺต สุหโท เวทิตโพฺพ – ปาปา นิวาเรติ, กลฺยาเณ นิเวเสติ, อสฺสุตํ สาเวติ, สคฺคสฺส มคฺคํ อาจิกฺขตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๖๓)ฯ

    ‘‘Catūhi kho, gahapatiputta, ṭhānehi atthakkhāyī mitto suhado veditabbo – pāpā nivāreti, kalyāṇe niveseti, assutaṃ sāveti, saggassa maggaṃ ācikkhatī’’ti (dī. ni. 3.263).

    เตสฺวิธ อคาริยา อธิเปฺปตาฯ อตฺถโต ปน สเพฺพปิ ยุชฺชนฺติฯ เต มิเตฺต สุหเชฺชฯ อนุกมฺปมาโนติ อนุทยมาโนฯ เตสํ สุขํ อุปสํหริตุกาโม ทุกฺขํ อปหริตุกาโม จฯ

    Tesvidha agāriyā adhippetā. Atthato pana sabbepi yujjanti. Te mitte suhajje. Anukampamānoti anudayamāno. Tesaṃ sukhaṃ upasaṃharitukāmo dukkhaṃ apaharitukāmo ca.

    หาเปติ อตฺถนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถวเสน ติวิธํ, ตถา อตฺตตฺถปรตฺถอุภยตฺถวเสนาปิ ติวิธํฯ อตฺถํ ลทฺธวินาสเนน อลทฺธานุปฺปาทเนนาติ ทฺวิธาปิ หาเปติ วินาเสติฯ ปฎิพทฺธจิโตฺตติ ‘‘อหํ อิมํ วินา น ชีวามิ, เอส เม คติ, เอส เม ปรายณ’’นฺติ เอวํ อตฺตานํ นีเจ ฐาเน ฐเปโนฺตปิ ปฎิพทฺธจิโตฺต โหติฯ ‘‘อิเม มํ วินา น ชีวนฺติ, อหํ เตสํ คติ, เตสํ ปรายณ’’นฺติ เอวํ อตฺตานํ อุเจฺจ ฐาเน ฐเปโนฺตปิ ปฎิพทฺธจิโตฺต โหติฯ อิธ ปน เอวํ ปฎิพทฺธจิโตฺต อธิเปฺปโตฯ เอตํ ภยนฺติ เอตํ อตฺถหาปนภยํ, อตฺตโน สมาปตฺติหานิํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สนฺถเวติ ติวิโธ สนฺถโว – ตณฺหาทิฎฺฐิมิตฺตสนฺถววเสนฯ ตตฺถ อฎฺฐสตปฺปเภทาปิ ตณฺหา ตณฺหาสนฺถโว, ทฺวาสฎฺฐิเภทาปิ ทิฎฺฐิ ทิฎฺฐิสนฺถโว, ปฎิพทฺธจิตฺตตาย มิตฺตานุกมฺปนา มิตฺตสนฺถโวฯ โส อิธาธิเปฺปโตฯ เตน หิสฺส สมาปตฺติ ปริหีนาฯ เตนาห – ‘‘เอตํ ภยํ สนฺถเว เปกฺขมาโน อหมธิคโต’’ติฯ เสสํ วุตฺตสทิสเมวาติ เวทิตพฺพนฺติฯ

    Hāpeti atthanti diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthavasena tividhaṃ, tathā attatthaparatthaubhayatthavasenāpi tividhaṃ. Atthaṃ laddhavināsanena aladdhānuppādanenāti dvidhāpi hāpeti vināseti. Paṭibaddhacittoti ‘‘ahaṃ imaṃ vinā na jīvāmi, esa me gati, esa me parāyaṇa’’nti evaṃ attānaṃ nīce ṭhāne ṭhapentopi paṭibaddhacitto hoti. ‘‘Ime maṃ vinā na jīvanti, ahaṃ tesaṃ gati, tesaṃ parāyaṇa’’nti evaṃ attānaṃ ucce ṭhāne ṭhapentopi paṭibaddhacitto hoti. Idha pana evaṃ paṭibaddhacitto adhippeto. Etaṃ bhayanti etaṃ atthahāpanabhayaṃ, attano samāpattihāniṃ sandhāya vuttaṃ. Santhaveti tividho santhavo – taṇhādiṭṭhimittasanthavavasena. Tattha aṭṭhasatappabhedāpi taṇhā taṇhāsanthavo, dvāsaṭṭhibhedāpi diṭṭhi diṭṭhisanthavo, paṭibaddhacittatāya mittānukampanā mittasanthavo. So idhādhippeto. Tena hissa samāpatti parihīnā. Tenāha – ‘‘etaṃ bhayaṃ santhave pekkhamāno ahamadhigato’’ti. Sesaṃ vuttasadisamevāti veditabbanti.

    มิตฺตสุหชฺชคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Mittasuhajjagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๓๘. วํโส วิสาโลติ กา อุปฺปตฺติ? ปุเพฺพ กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ตโย ปเจฺจกโพธิสตฺตา ปพฺพชิตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา เทวโลเก อุปฺปนฺนาฯ ตโต จวิตฺวา เตสํ เชฎฺฐโก พาราณสิราชกุเล นิพฺพโตฺต, อิตเร ปจฺจนฺตราชกุเลสุฯ เต อุโภปิ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคณฺหิตฺวา, รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา, อนุกฺกเมน ปเจฺจกพุทฺธา หุตฺวา, นนฺทมูลกปพฺภาเร วสนฺตา เอกทิวสํ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ‘‘มยํ กิํ กมฺมํ กตฺวา อิมํ โลกุตฺตรสุขํ อนุปฺปตฺตา’’ติ อาวเชฺชตฺวา ปจฺจเวกฺขมานา กสฺสปพุทฺธกาเล อตฺตโน จริยํ อทฺทสํสุฯ ตโต ‘‘ตติโย กุหิ’’นฺติ อาวเชฺชนฺตา พาราณสิยํ รชฺชํ กาเรนฺตํ ทิสฺวา ตสฺส คุเณ สริตฺวา ‘‘โส ปกติยาว อปฺปิจฺฉตาทิคุณสมนฺนาคโต อโหสิ, อมฺหากเญฺญว โอวาทโก วตฺตา วจนกฺขโม ปาปครหี, หนฺท, นํ อารมฺมณํ ทเสฺสตฺวา โมเจสฺสามา’’ติ โอกาสํ คเวสนฺตา ตํ เอกทิวสํ สพฺพาลงฺการวิภูสิตํ อุยฺยานํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อากาเสนาคนฺตฺวา อุยฺยานทฺวาเร เวฬุคุมฺพมูเล อฎฺฐํสุฯ มหาชโน อติโตฺต ราชทสฺสเนน ราชานํ โอโลเกติฯ ตโต ราชา ‘‘อตฺถิ นุ โข โกจิ มม ทสฺสเน อพฺยาวโฎ’’ติ โอโลเกโนฺต ปเจฺจกพุเทฺธ อทฺทกฺขิฯ สห ทสฺสเนเนว จสฺส เตสุ สิเนโห อุปฺปชฺชิฯ

    38.Vaṃso visāloti kā uppatti? Pubbe kira kassapassa bhagavato sāsane tayo paccekabodhisattā pabbajitvā vīsati vassasahassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā devaloke uppannā. Tato cavitvā tesaṃ jeṭṭhako bārāṇasirājakule nibbatto, itare paccantarājakulesu. Te ubhopi kammaṭṭhānaṃ uggaṇhitvā, rajjaṃ pahāya pabbajitvā, anukkamena paccekabuddhā hutvā, nandamūlakapabbhāre vasantā ekadivasaṃ samāpattito vuṭṭhāya ‘‘mayaṃ kiṃ kammaṃ katvā imaṃ lokuttarasukhaṃ anuppattā’’ti āvajjetvā paccavekkhamānā kassapabuddhakāle attano cariyaṃ addasaṃsu. Tato ‘‘tatiyo kuhi’’nti āvajjentā bārāṇasiyaṃ rajjaṃ kārentaṃ disvā tassa guṇe saritvā ‘‘so pakatiyāva appicchatādiguṇasamannāgato ahosi, amhākaññeva ovādako vattā vacanakkhamo pāpagarahī, handa, naṃ ārammaṇaṃ dassetvā mocessāmā’’ti okāsaṃ gavesantā taṃ ekadivasaṃ sabbālaṅkāravibhūsitaṃ uyyānaṃ gacchantaṃ disvā ākāsenāgantvā uyyānadvāre veḷugumbamūle aṭṭhaṃsu. Mahājano atitto rājadassanena rājānaṃ oloketi. Tato rājā ‘‘atthi nu kho koci mama dassane abyāvaṭo’’ti olokento paccekabuddhe addakkhi. Saha dassaneneva cassa tesu sineho uppajji.

    โส หตฺถิกฺขนฺธา โอรุยฺห สเนฺตน อุปจาเรน เต อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, กิํ นามา ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ เต อาหํสุ ‘‘มยํ, มหาราช, อสชฺชมานา นามา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ‘อสชฺชมานา’ติ เอตสฺส โก อโตฺถ’’ติ? ‘‘อลคฺคนโตฺถ, มหาราชา’’ติฯ ตโต ตํ เวฬุคุมฺพํ ทเสฺสนฺตา อาหํสุ – ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, อิมํ เวฬุคุมฺพํ สพฺพโส มูลขนฺธสาขานุสาขาหิ สํสิพฺพิตฺวา ฐิตํ อสิหโตฺถ ปุริโส มูเล เฉตฺวา อาวิญฺฉโนฺต น สกฺกุเณยฺย อุทฺธริตุํ , เอวเมว ตฺวํ อโนฺต จ พหิ จ ชฎาย ชฎิโต อาสตฺตวิสโตฺต ตตฺถ ลโคฺคฯ เสยฺยถาปิ วา ปนสฺส เวมชฺฌคโตปิ อยํ วํสกฬีโร อสญฺชาตสาขตฺตา เกนจิ อลโคฺค ฐิโต, สกฺกา จ ปน อเคฺค วา มูเล วา เฉตฺวา อุทฺธริตุํ, เอวเมว มยํ กตฺถจิ อสชฺชมานา สพฺพทิสา คจฺฉามา’’ติ ตาวเทว จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา ปสฺสโต เอว รโญฺญ อากาเสน นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมํสุฯ ตโต ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘กทา นุ โข อหมฺปิ เอวํ อสชฺชมาโน ภเวยฺย’’นฺติ ตเตฺถว นิสีทิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ปุริมนเยเนว กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉิโต อิมํ คาถํ อภาสิ –

    So hatthikkhandhā oruyha santena upacārena te upasaṅkamitvā ‘‘bhante, kiṃ nāmā tumhe’’ti pucchi. Te āhaṃsu ‘‘mayaṃ, mahārāja, asajjamānā nāmā’’ti. ‘‘Bhante, ‘asajjamānā’ti etassa ko attho’’ti? ‘‘Alagganattho, mahārājā’’ti. Tato taṃ veḷugumbaṃ dassentā āhaṃsu – ‘‘seyyathāpi, mahārāja, imaṃ veḷugumbaṃ sabbaso mūlakhandhasākhānusākhāhi saṃsibbitvā ṭhitaṃ asihattho puriso mūle chetvā āviñchanto na sakkuṇeyya uddharituṃ , evameva tvaṃ anto ca bahi ca jaṭāya jaṭito āsattavisatto tattha laggo. Seyyathāpi vā panassa vemajjhagatopi ayaṃ vaṃsakaḷīro asañjātasākhattā kenaci alaggo ṭhito, sakkā ca pana agge vā mūle vā chetvā uddharituṃ, evameva mayaṃ katthaci asajjamānā sabbadisā gacchāmā’’ti tāvadeva catutthajjhānaṃ samāpajjitvā passato eva rañño ākāsena nandamūlakapabbhāraṃ agamaṃsu. Tato rājā cintesi – ‘‘kadā nu kho ahampi evaṃ asajjamāno bhaveyya’’nti tattheva nisīditvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchākāsi. Purimanayeneva kammaṭṭhānaṃ pucchito imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘วํโส วิสาโลว ยถา วิสโตฺต, ปุเตฺตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา;

    ‘‘Vaṃso visālova yathā visatto, puttesu dāresu ca yā apekkhā;

    วํสกฺกฬีโรว อสชฺชมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Vaṃsakkaḷīrova asajjamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ วํโสติ เวฬุฯ วิสาโลติ วิตฺถิโณฺณฯ จกาโร อวธารณโตฺถ, เอวกาโร วา อยํ, สนฺธิวเสเนตฺถ เอกาโร นโฎฺฐฯ ตสฺส ปรปเทน สมฺพโนฺธ, ตํ ปจฺฉา โยเชสฺสามฯ ยถาติ ปฎิภาเคฯ วิสโตฺตติ ลโคฺค, ชฎิโต สํสิพฺพิโตฯ ปุเตฺตสุ ทาเรสุ จาติ ปุตฺตธีตุภริยาสุฯ ยา อเปกฺขาติ ยา ตณฺหา โย เสฺนโหฯ วํสกฺกฬีโรว อสชฺชมาโนติ วํสกฬีโร วิย อลคฺคมาโนฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา วํโส วิสาโล วิสโตฺต เอว โหติ, ปุเตฺตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา, สาปิ เอวํ ตานิ วตฺถูนิ สํสิพฺพิตฺวา ฐิตตฺตา วิสตฺตา เอวฯ สฺวาหํ ตาย อเปกฺขาย อเปกฺขวา วิสาโล วํโส วิย วิสโตฺตติ เอวํ อเปกฺขาย อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ อเปกฺขํ มคฺคญาเณน ฉินฺทโนฺต อยํ วํสกฬีโรว รูปาทีสุ วา โลภาทีสุ วา กามภวาทีสุ วา ทิฎฺฐาทีสุ วา ตณฺหามานทิฎฺฐิวเสน อสชฺชมาโน ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tattha vaṃsoti veḷu. Visāloti vitthiṇṇo. Cakāro avadhāraṇattho, evakāro vā ayaṃ, sandhivasenettha ekāro naṭṭho. Tassa parapadena sambandho, taṃ pacchā yojessāma. Yathāti paṭibhāge. Visattoti laggo, jaṭito saṃsibbito. Puttesu dāresu cāti puttadhītubhariyāsu. Yā apekkhāti yā taṇhā yo sneho. Vaṃsakkaḷīrova asajjamānoti vaṃsakaḷīro viya alaggamāno. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā vaṃso visālo visatto eva hoti, puttesu dāresu ca yā apekkhā, sāpi evaṃ tāni vatthūni saṃsibbitvā ṭhitattā visattā eva. Svāhaṃ tāya apekkhāya apekkhavā visālo vaṃso viya visattoti evaṃ apekkhāya ādīnavaṃ disvā taṃ apekkhaṃ maggañāṇena chindanto ayaṃ vaṃsakaḷīrova rūpādīsu vā lobhādīsu vā kāmabhavādīsu vā diṭṭhādīsu vā taṇhāmānadiṭṭhivasena asajjamāno paccekabodhiṃ adhigatoti. Sesaṃ purimanayeneva veditabbanti.

    วํสกฬีรคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Vaṃsakaḷīragāthāvaṇṇanā samattā.

    ๓๙. มิโค อรญฺญมฺหีติ กา อุปฺปตฺติ? เอโก กิร ภิกฺขุ กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน โยคาวจโร กาลํ กตฺวา, พาราณสิยํ เสฎฺฐิกุเล อุปฺปโนฺน อเฑฺฒ มหทฺธเน มหาโภเค, โส สุภโค อโหสิฯ ตโต ปรทาริโก หุตฺวา ตตฺถ กาลกโต นิรเย นิพฺพโตฺต ตตฺถ ปจฺจิตฺวา วิปากาวเสเสน เสฎฺฐิภริยาย กุจฺฉิมฺหิ อิตฺถิปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ นิรยโต อาคตานํ คตฺตานิ อุณฺหานิ โหนฺติฯ เตน เสฎฺฐิภริยา ฑยฺหมาเนน อุทเรน กิเจฺฉน กสิเรน ตํ คพฺภํ ธาเรตฺวา กาเลน ทาริกํ วิชายิฯ สา ชาตทิวสโต ปภุติ มาตาปิตูนํ เสสพนฺธุปริชนานญฺจ เทสฺสา อโหสิฯ วยปฺปตฺตา จ ยมฺหิ กุเล ทินฺนา, ตตฺถาปิ สามิกสสฺสุสสุรานํ เทสฺสาว อโหสิ อปฺปิยา อมนาปาฯ อถ นกฺขเตฺต โฆสิเต เสฎฺฐิปุโตฺต ตาย สทฺธิํ กีฬิตุํ อนิจฺฉโนฺต เวสิํ อาเนตฺวา กีฬติฯ สา ตํ ทาสีนํ สนฺติกา สุตฺวา เสฎฺฐิปุตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา นานปฺปกาเรหิ อนุนยิตฺวา อาห – ‘‘อยฺยปุตฺต, อิตฺถี นาม สเจปิ ทสนฺนํ ราชูนํ กนิฎฺฐา โหติ, จกฺกวตฺติโน วา ธีตา, ตถาปิ สามิกสฺส เปสนกรา โหติฯ สามิเก อนาลปเนฺต สูเล อาโรปิตา วิย ทุกฺขํ ปฎิสํเวเทติฯ สเจ อหํ อนุคฺคหารหา, อนุคฺคเหตพฺพาฯ โน เจ, วิสฺสเชฺชตพฺพา, อตฺตโน ญาติกุลํ คมิสฺสามี’’ติฯ เสฎฺฐิปุโตฺต – ‘‘โหตุ, ภเทฺท, มา โสจิ, กีฬนสชฺชา โหหิ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามา’’ติ อาหฯ เสฎฺฐิธีตา ตาวตเกนปิ สลฺลาปมเตฺตน อุสฺสาหชาตา ‘‘เสฺว นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติ พหุํ ขชฺชโภชฺชํ ปฎิยาเทติฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ทุติยทิวเส อนาโรเจตฺวาว กีฬนฎฺฐานํ คโตฯ สา ‘‘อิทานิ เปเสสฺสติ, อิทานิ เปเสสฺสตี’’ติ มคฺคํ โอโลเกนฺตี นิสินฺนา อุสฺสูรํ ทิสฺวา มนุเสฺส เปเสสิฯ เต ปจฺจาคนฺตฺวา ‘‘เสฎฺฐิปุโตฺต คโต’’ติ อาโรเจสุํฯ สา สพฺพํ ตํ ปฎิยาทิตํ อาทาย ยานํ อภิรุหิตฺวา อุยฺยานํ คนฺตุํ อารทฺธาฯ

    39.Migoaraññamhīti kā uppatti? Eko kira bhikkhu kassapassa bhagavato sāsane yogāvacaro kālaṃ katvā, bārāṇasiyaṃ seṭṭhikule uppanno aḍḍhe mahaddhane mahābhoge, so subhago ahosi. Tato paradāriko hutvā tattha kālakato niraye nibbatto tattha paccitvā vipākāvasesena seṭṭhibhariyāya kucchimhi itthipaṭisandhiṃ aggahesi. Nirayato āgatānaṃ gattāni uṇhāni honti. Tena seṭṭhibhariyā ḍayhamānena udarena kicchena kasirena taṃ gabbhaṃ dhāretvā kālena dārikaṃ vijāyi. Sā jātadivasato pabhuti mātāpitūnaṃ sesabandhuparijanānañca dessā ahosi. Vayappattā ca yamhi kule dinnā, tatthāpi sāmikasassusasurānaṃ dessāva ahosi appiyā amanāpā. Atha nakkhatte ghosite seṭṭhiputto tāya saddhiṃ kīḷituṃ anicchanto vesiṃ ānetvā kīḷati. Sā taṃ dāsīnaṃ santikā sutvā seṭṭhiputtaṃ upasaṅkamitvā nānappakārehi anunayitvā āha – ‘‘ayyaputta, itthī nāma sacepi dasannaṃ rājūnaṃ kaniṭṭhā hoti, cakkavattino vā dhītā, tathāpi sāmikassa pesanakarā hoti. Sāmike anālapante sūle āropitā viya dukkhaṃ paṭisaṃvedeti. Sace ahaṃ anuggahārahā, anuggahetabbā. No ce, vissajjetabbā, attano ñātikulaṃ gamissāmī’’ti. Seṭṭhiputto – ‘‘hotu, bhadde, mā soci, kīḷanasajjā hohi, nakkhattaṃ kīḷissāmā’’ti āha. Seṭṭhidhītā tāvatakenapi sallāpamattena ussāhajātā ‘‘sve nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti bahuṃ khajjabhojjaṃ paṭiyādeti. Seṭṭhiputto dutiyadivase anārocetvāva kīḷanaṭṭhānaṃ gato. Sā ‘‘idāni pesessati, idāni pesessatī’’ti maggaṃ olokentī nisinnā ussūraṃ disvā manusse pesesi. Te paccāgantvā ‘‘seṭṭhiputto gato’’ti ārocesuṃ. Sā sabbaṃ taṃ paṭiyāditaṃ ādāya yānaṃ abhiruhitvā uyyānaṃ gantuṃ āraddhā.

    อถ นนฺทมูลกปพฺภาเร ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ สตฺตเม ทิวเส นิโรธา วุฎฺฐาย อโนตเตฺต มุขํ โธวิตฺวา นาคลตาทนฺตโปณํ ขาทิตฺวา ‘‘กตฺถ อชฺช ภิกฺขํ จริสฺสามี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ตํ เสฎฺฐิธีตรํ ทิสฺวา ‘‘อิมิสฺสา มยิ สกฺการํ กริตฺวา ตํ กมฺมํ ปริกฺขยํ คมิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ปพฺภารสมีเป สฎฺฐิโยชนํ มโนสิลาตลํ, ตตฺถ ฐตฺวา นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อภิญฺญาปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา อากาเสนาคนฺตฺวา ตสฺสา ปฎิปเถ โอรุยฺห พาราณสีภิมุโข อคมาสิฯ ตํ ทิสฺวา ทาสิโย เสฎฺฐิธีตาย อาโรเจสุํฯ สา ยานา โอรุยฺห สกฺกจฺจํ วนฺทิตฺวา, ปตฺตํ คเหตฺวา, สพฺพรสสมฺปเนฺนน ขาทนียโภชนีเยน ปูเรตฺวา, ปทุมปุเปฺผน ปฎิจฺฉาเทตฺวา เหฎฺฐาปิ ปทุมปุปฺผํ กตฺวา, ปุปฺผกลาปํ หเตฺถน คเหตฺวา, ปเจฺจกพุทฺธํ อุปสงฺกมิตฺวา, ตสฺส หเตฺถ ปตฺตํ ทตฺวา, วนฺทิตฺวา, ปุปฺผกลาปหตฺถา ปเตฺถสิ ‘‘ภเนฺต, ยถา อิทํ ปุปฺผํ, เอวาหํ ยตฺถ ยตฺถ อุปฺปชฺชามิ, ตตฺถ ตตฺถ มหาชนสฺส ปิยา ภเวยฺยํ มนาปา’’ติฯ เอวํ ปเตฺถตฺวา ทุติยํ ปเตฺถสิ ‘‘ภเนฺต, ทุโกฺข คพฺภวาโส, ตํ อนุปคมฺม ปทุมปุเปฺผ เอวํ ปฎิสนฺธิ ภเวยฺยา’’ติฯ ตติยมฺปิ ปเตฺถสิ ‘‘ภเนฺต, ชิคุจฺฉนีโย มาตุคาโม, จกฺกวตฺติธีตาปิ ปรวสํ คจฺฉติ, ตสฺมา อหํ อิตฺถิภาวํ อนุปคมฺม ปุริโส ภเวยฺย’’นฺติฯ จตุตฺถมฺปิ ปเตฺถสิ ‘‘ภเนฺต, อิมํ สํสารทุกฺขํ อติกฺกมฺม ปริโยสาเน ตุเมฺหหิ ปตฺตํ อมตํ ปาปุเณยฺย’’นฺติฯ

    Atha nandamūlakapabbhāre paccekasambuddho sattame divase nirodhā vuṭṭhāya anotatte mukhaṃ dhovitvā nāgalatādantapoṇaṃ khāditvā ‘‘kattha ajja bhikkhaṃ carissāmī’’ti āvajjento taṃ seṭṭhidhītaraṃ disvā ‘‘imissā mayi sakkāraṃ karitvā taṃ kammaṃ parikkhayaṃ gamissatī’’ti ñatvā pabbhārasamīpe saṭṭhiyojanaṃ manosilātalaṃ, tattha ṭhatvā nivāsetvā pattacīvaramādāya abhiññāpādakajjhānaṃ samāpajjitvā ākāsenāgantvā tassā paṭipathe oruyha bārāṇasībhimukho agamāsi. Taṃ disvā dāsiyo seṭṭhidhītāya ārocesuṃ. Sā yānā oruyha sakkaccaṃ vanditvā, pattaṃ gahetvā, sabbarasasampannena khādanīyabhojanīyena pūretvā, padumapupphena paṭicchādetvā heṭṭhāpi padumapupphaṃ katvā, pupphakalāpaṃ hatthena gahetvā, paccekabuddhaṃ upasaṅkamitvā, tassa hatthe pattaṃ datvā, vanditvā, pupphakalāpahatthā patthesi ‘‘bhante, yathā idaṃ pupphaṃ, evāhaṃ yattha yattha uppajjāmi, tattha tattha mahājanassa piyā bhaveyyaṃ manāpā’’ti. Evaṃ patthetvā dutiyaṃ patthesi ‘‘bhante, dukkho gabbhavāso, taṃ anupagamma padumapupphe evaṃ paṭisandhi bhaveyyā’’ti. Tatiyampi patthesi ‘‘bhante, jigucchanīyo mātugāmo, cakkavattidhītāpi paravasaṃ gacchati, tasmā ahaṃ itthibhāvaṃ anupagamma puriso bhaveyya’’nti. Catutthampi patthesi ‘‘bhante, imaṃ saṃsāradukkhaṃ atikkamma pariyosāne tumhehi pattaṃ amataṃ pāpuṇeyya’’nti.

    เอวํ จตุโร ปณิธโย กตฺวา, ตํ ปทุมปุปฺผกลาปํ ปูเชตฺวา, ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ‘‘ปุปฺผสทิโส เอว เม คโนฺธ เจว วโณฺณ จ โหตู’’ติ อิมํ ปญฺจมํ ปณิธิํ อกาสิฯ ตโต ปเจฺจกพุโทฺธ ปตฺตํ ปุปฺผกลาปญฺจ คเหตฺวา อากาเส ฐตฺวา –

    Evaṃ caturo paṇidhayo katvā, taṃ padumapupphakalāpaṃ pūjetvā, paccekabuddhassa pañcapatiṭṭhitena vanditvā ‘‘pupphasadiso eva me gandho ceva vaṇṇo ca hotū’’ti imaṃ pañcamaṃ paṇidhiṃ akāsi. Tato paccekabuddho pattaṃ pupphakalāpañca gahetvā ākāse ṭhatvā –

    ‘‘อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ, ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ;

    ‘‘Icchitaṃ patthitaṃ tuyhaṃ, khippameva samijjhatu;

    สเพฺพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา, จโนฺท ปนฺนรโส ยถา’’ติฯ –

    Sabbe pūrentu saṅkappā, cando pannaraso yathā’’ti. –

    อิมาย คาถาย เสฎฺฐิธีตาย อนุโมทนํ กตฺวา ‘‘เสฎฺฐิธีตา มํ คจฺฉนฺตํ ปสฺสตู’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ เสฎฺฐิธีตาย ตํ ทิสฺวา มหตี ปีติ อุปฺปนฺนาฯ ภวนฺตเร กตํ อกุสลกมฺมํ อโนกาสตาย ปริกฺขีณํ, จิญฺจมฺพิลโธตตมฺพภาชนมิว สุทฺธา ชาตาฯ ตาวเทว จสฺสา ปติกุเล ญาติกุเล จ สโพฺพ ชโน ตุโฎฺฐ ‘‘กิํ กโรมา’’ติ ปิยวจนานิ ปณฺณาการานิ จ เปเสสิฯ เสฎฺฐิปุโตฺต มนุเสฺส เปเสสิ ‘‘สีฆํ สีฆํ อาเนถ เสฎฺฐิธีตรํ, อหํ วิสฺสริตฺวา อุยฺยานํ อาคโต’’ติฯ ตโต ปภุติ จ นํ อุเร วิลิตฺตจนฺทนํ วิย อามุตฺตมุตฺตาหารํ วิย ปุปฺผมาลํ วิย จ ปิยายโนฺต ปริหริฯ

    Imāya gāthāya seṭṭhidhītāya anumodanaṃ katvā ‘‘seṭṭhidhītā maṃ gacchantaṃ passatū’’ti adhiṭṭhahitvā nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi. Seṭṭhidhītāya taṃ disvā mahatī pīti uppannā. Bhavantare kataṃ akusalakammaṃ anokāsatāya parikkhīṇaṃ, ciñcambiladhotatambabhājanamiva suddhā jātā. Tāvadeva cassā patikule ñātikule ca sabbo jano tuṭṭho ‘‘kiṃ karomā’’ti piyavacanāni paṇṇākārāni ca pesesi. Seṭṭhiputto manusse pesesi ‘‘sīghaṃ sīghaṃ ānetha seṭṭhidhītaraṃ, ahaṃ vissaritvā uyyānaṃ āgato’’ti. Tato pabhuti ca naṃ ure vilittacandanaṃ viya āmuttamuttāhāraṃ viya pupphamālaṃ viya ca piyāyanto parihari.

    สา ตตฺถ ยาวตายุกํ อิสฺสริยโภคสุขํ อนุภวิตฺวา กาลํ กตฺวา ปุริสภาเวน เทวโลเก ปทุมปุเปฺผ อุปฺปชฺชิฯ โส เทวปุโตฺต คจฺฉโนฺตปิ ปทุมปุปฺผคเพฺภเยว คจฺฉติ, ติฎฺฐโนฺตปิ, นิสีทโนฺตปิ, สยโนฺตปิ ปทุมคเพฺภเยว สยติฯ มหาปทุมเทวปุโตฺตติ จสฺส นามํ อกํสุฯ เอวํ โส เตน อิทฺธานุภาเวน อนุโลมปฎิโลมํ ฉเทวโลเก เอว สํสรติฯ

    Sā tattha yāvatāyukaṃ issariyabhogasukhaṃ anubhavitvā kālaṃ katvā purisabhāvena devaloke padumapupphe uppajji. So devaputto gacchantopi padumapupphagabbheyeva gacchati, tiṭṭhantopi, nisīdantopi, sayantopi padumagabbheyeva sayati. Mahāpadumadevaputtoti cassa nāmaṃ akaṃsu. Evaṃ so tena iddhānubhāvena anulomapaṭilomaṃ chadevaloke eva saṃsarati.

    เตน จ สมเยน พาราณสิรโญฺญ วีสติ อิตฺถิสหสฺสานิ โหนฺติฯ ราชา เอกิสฺสาปิ กุจฺฉิยํ ปุตฺตํ น ลภติฯ อมจฺจา ราชานํ วิญฺญาเปสุํ ‘‘เทว, กุลวํสานุปาลโก ปุโตฺต อิจฺฉิตโพฺพ, อตฺรเช อวิชฺชมาเน เขตฺรโชปิ กุลวํสธโร โหตี’’ติฯ ราชา ‘‘ฐเปตฺวา มเหสิํ อวเสสา นาฎกิตฺถิโย สตฺตาหํ ธมฺมนาฎกํ กโรถา’’ติ ยถากามํ พหิ จราเปสิ, ตถาปิ ปุตฺตํ นาลตฺถฯ ปุน อมจฺจา อาหํสุ – ‘‘มหาราช, มเหสี นาม ปุเญฺญน จ ปญฺญาย จ สพฺพิตฺถีนํ อคฺคา, อเปฺปว นาม เทโว มเหสิยาปิ กุจฺฉิสฺมิํ ปุตฺตํ ลเภยฺยา’’ติฯ ราชา มเหสิยา เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สา อาห – ‘‘มหาราช, ยา อิตฺถี สจฺจวาทินี สีลวตี, สา ปุตฺตํ ลเภยฺย, หิโรตฺตปฺปรหิตาย กุโต ปุโตฺต’’ติ ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา ปญฺจ สีลานิ สมาทิยิตฺวา ปุนปฺปุนํ อนุมชฺชติฯ สีลวติยา ราชธีตาย ปญฺจ สีลานิ อนุมชฺชนฺติยา ปุตฺตปตฺถนาจิเตฺต อุปฺปนฺนมเตฺต สกฺกสฺส อาสนํ สนฺตปฺปิฯ

    Tena ca samayena bārāṇasirañño vīsati itthisahassāni honti. Rājā ekissāpi kucchiyaṃ puttaṃ na labhati. Amaccā rājānaṃ viññāpesuṃ ‘‘deva, kulavaṃsānupālako putto icchitabbo, atraje avijjamāne khetrajopi kulavaṃsadharo hotī’’ti. Rājā ‘‘ṭhapetvā mahesiṃ avasesā nāṭakitthiyo sattāhaṃ dhammanāṭakaṃ karothā’’ti yathākāmaṃ bahi carāpesi, tathāpi puttaṃ nālattha. Puna amaccā āhaṃsu – ‘‘mahārāja, mahesī nāma puññena ca paññāya ca sabbitthīnaṃ aggā, appeva nāma devo mahesiyāpi kucchismiṃ puttaṃ labheyyā’’ti. Rājā mahesiyā etamatthaṃ ārocesi. Sā āha – ‘‘mahārāja, yā itthī saccavādinī sīlavatī, sā puttaṃ labheyya, hirottapparahitāya kuto putto’’ti pāsādaṃ abhiruhitvā pañca sīlāni samādiyitvā punappunaṃ anumajjati. Sīlavatiyā rājadhītāya pañca sīlāni anumajjantiyā puttapatthanācitte uppannamatte sakkassa āsanaṃ santappi.

    อถ สโกฺก อาสนตาปการณํ อาวเชฺชโนฺต เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ‘‘สีลวติยา ราชธีตาย ปุตฺตวรํ เทมี’’ติ อากาเสนาคนฺตฺวา เทวิยา สมฺมุเข ฐตฺวา ‘‘กิํ ปเตฺถสิ เทวี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปุตฺตํ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘ทมฺมิ เต, เทวิ, ปุตฺตํ, มา จินฺตยี’’ติ วตฺวา เทวโลกํ คนฺตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข เอตฺถ ขีณายุโก’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘อยํ มหาปทุโม อุปริเทวโลเก อุปฺปชฺชิตุํ อิโต จวตี’’ติ ญตฺวา ตสฺส วิมานํ คนฺตฺวา ‘‘ตาต มหาปทุม, มนุสฺสโลกํ คจฺฉาหี’’ติ ยาจิฯ โส อาห – ‘‘มหาราช, มา เอวํ ภณิ, เชคุโจฺฉ มนุสฺสโลโก’’ติฯ ‘‘ตาต, ตฺวํ มนุสฺสโลเก ปุญฺญํ กตฺวา อิธูปปโนฺน, ตเตฺถว ฐตฺวา ปารมิโย ปูเรตพฺพา, คจฺฉ, ตาตา’’ติฯ ‘‘ทุโกฺข, มหาราช, คพฺภวาโส, น สโกฺกมิ ตตฺถ วสิตุ’’นฺติฯ ‘‘กิํ เต, ตาต, คพฺภวาเสน, ตถา หิ ตฺวํ กมฺมมกาสิ, ยถา ปทุมคเพฺภเยว นิพฺพตฺติสฺสสิ, คจฺฉ, ตาตา’’ติ ปุนปฺปุนํ วุจฺจมาโน อธิวาเสสิฯ

    Atha sakko āsanatāpakāraṇaṃ āvajjento etamatthaṃ viditvā ‘‘sīlavatiyā rājadhītāya puttavaraṃ demī’’ti ākāsenāgantvā deviyā sammukhe ṭhatvā ‘‘kiṃ patthesi devī’’ti pucchi. ‘‘Puttaṃ, mahārājā’’ti. ‘‘Dammi te, devi, puttaṃ, mā cintayī’’ti vatvā devalokaṃ gantvā ‘‘atthi nu kho ettha khīṇāyuko’’ti āvajjento ‘‘ayaṃ mahāpadumo uparidevaloke uppajjituṃ ito cavatī’’ti ñatvā tassa vimānaṃ gantvā ‘‘tāta mahāpaduma, manussalokaṃ gacchāhī’’ti yāci. So āha – ‘‘mahārāja, mā evaṃ bhaṇi, jeguccho manussaloko’’ti. ‘‘Tāta, tvaṃ manussaloke puññaṃ katvā idhūpapanno, tattheva ṭhatvā pāramiyo pūretabbā, gaccha, tātā’’ti. ‘‘Dukkho, mahārāja, gabbhavāso, na sakkomi tattha vasitu’’nti. ‘‘Kiṃ te, tāta, gabbhavāsena, tathā hi tvaṃ kammamakāsi, yathā padumagabbheyeva nibbattissasi, gaccha, tātā’’ti punappunaṃ vuccamāno adhivāsesi.

    ตโต มหาปทุโม เทวโลกา จวิตฺวา พาราณสิรโญฺญ อุยฺยาเน สิลาปฎฺฎโปกฺขรณิยํ ปทุมคเพฺภ นิพฺพโตฺตฯ ตญฺจ รตฺติํ มเหสี ปจฺจูสสมเย สุปินเนฺตน วีสติอิตฺถิสหสฺสปริวุตา อุยฺยานํ คนฺตฺวา สิลาปฎฺฎโปกฺขรณิยํ ปทุมสฺสเร ปุตฺตํ ลทฺธา วิย อโหสิฯ สา ปภาตาย รตฺติยา สีลานิ รกฺขมานา ตเถว ตตฺถ คนฺตฺวา เอกํ ปทุมปุปฺผํ อทฺทสฯ ตํ เนว ตีเร โหติ น คมฺภีเรฯ สห ทสฺสเนเนว จสฺสา ตตฺถ ปุตฺตสิเนโห อุปฺปชฺชิฯ สา สามํเยว ปวิสิตฺวา ตํ ปุปฺผํ อคฺคเหสิฯ ปุเปฺผ คหิตมเตฺตเยว ปตฺตานิ วิกสิํสุฯ ตตฺถ ตฎฺฎเก อาสิตฺตสุวณฺณปฎิมํ วิย ทารกํ อทฺทสฯ ทิสฺวาว ‘‘ปุโตฺต เม ลโทฺธ’’ติ สทฺทํ นิจฺฉาเรสิฯ มหาชโน สาธุการสหสฺสานิ มุญฺจิ, รโญฺญ จ เปเสสิฯ ราชา สุตฺวา ‘‘กตฺถ ลโทฺธ’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ลโทฺธกาสญฺจ สุตฺวา ‘‘อุยฺยานญฺจ โปกฺขรณิยํ ปทุมญฺจ อมฺหากเญฺญว เขตฺตํ, ตสฺมา อมฺหากํ เขเตฺต ชาตตฺตา เขตฺรโช นามายํ ปุโตฺต’’ติ วตฺวา นครํ ปเวเสตฺวา วีสติสหสฺสอิตฺถิโย ธาติกิจฺจํ การาเปสิฯ ยา ยา กุมารสฺส รุจิํ ญตฺวา ปตฺถิตปตฺถิตํ ขาทนียํ ขาทาเปติ, สา สา สหสฺสํ ลภติฯ สกลพาราณสี จลิตา, สโพฺพ ชโน กุมารสฺส ปณฺณาการสหสฺสานิ เปเสสิฯ กุมาโร ตํ ตํ อติเนตฺวา ‘‘อิมํ ขาท, อิมํ ภุญฺชา’’ติ วุจฺจมาโน โภชเนน อุพฺพาโฬฺห อุกฺกณฺฐิโต หุตฺวา, โคปุรทฺวารํ คนฺตฺวา, ลาขาคุฬเกน กีฬติฯ

    Tato mahāpadumo devalokā cavitvā bārāṇasirañño uyyāne silāpaṭṭapokkharaṇiyaṃ padumagabbhe nibbatto. Tañca rattiṃ mahesī paccūsasamaye supinantena vīsatiitthisahassaparivutā uyyānaṃ gantvā silāpaṭṭapokkharaṇiyaṃ padumassare puttaṃ laddhā viya ahosi. Sā pabhātāya rattiyā sīlāni rakkhamānā tatheva tattha gantvā ekaṃ padumapupphaṃ addasa. Taṃ neva tīre hoti na gambhīre. Saha dassaneneva cassā tattha puttasineho uppajji. Sā sāmaṃyeva pavisitvā taṃ pupphaṃ aggahesi. Pupphe gahitamatteyeva pattāni vikasiṃsu. Tattha taṭṭake āsittasuvaṇṇapaṭimaṃ viya dārakaṃ addasa. Disvāva ‘‘putto me laddho’’ti saddaṃ nicchāresi. Mahājano sādhukārasahassāni muñci, rañño ca pesesi. Rājā sutvā ‘‘kattha laddho’’ti pucchitvā laddhokāsañca sutvā ‘‘uyyānañca pokkharaṇiyaṃ padumañca amhākaññeva khettaṃ, tasmā amhākaṃ khette jātattā khetrajo nāmāyaṃ putto’’ti vatvā nagaraṃ pavesetvā vīsatisahassaitthiyo dhātikiccaṃ kārāpesi. Yā yā kumārassa ruciṃ ñatvā patthitapatthitaṃ khādanīyaṃ khādāpeti, sā sā sahassaṃ labhati. Sakalabārāṇasī calitā, sabbo jano kumārassa paṇṇākārasahassāni pesesi. Kumāro taṃ taṃ atinetvā ‘‘imaṃ khāda, imaṃ bhuñjā’’ti vuccamāno bhojanena ubbāḷho ukkaṇṭhito hutvā, gopuradvāraṃ gantvā, lākhāguḷakena kīḷati.

    ตทา อญฺญตโร ปเจฺจกพุโทฺธ พาราณสิํ นิสฺสาย อิสิปตเน วสติฯ โส กาลเสฺสว วุฎฺฐาย เสนาสนวตฺตสรีรปริกมฺมมนสิการาทีนิ สพฺพกิจฺจานิ กตฺวา, ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต ‘‘อชฺช กตฺถ ภิกฺขํ คเหสฺสามี’’ติ อาวเชฺชโนฺต กุมารสฺส สมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘เอส ปุเพฺพ กิํ กมฺมํ กรี’’ติ วีมํสโนฺต ‘‘มาทิสสฺส ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา, จตโสฺส ปตฺถนา ปเตฺถสิ ตตฺถ ติโสฺส สิทฺธา, เอกา ตาว น สิชฺฌติ, ตสฺส อุปาเยน อารมฺมณํ ทเสฺสมี’’ติ ภิกฺขาจริยวเสน กุมารสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ กุมาโร ตํ ทิสฺวา ‘‘สมณ, มา อิธ อาคจฺฉิ, อิเม หิ ตมฺปิ ‘อิทํ ขาท, อิทํ ภุญฺชา’ติ วเทยฺยุ’’นฺติ อาหฯ โส เอกวจเนเนว ตโต นิวตฺติตฺวา อตฺตโน เสนาสนํ ปาวิสิฯ กุมาโร ปริชนํ อาห – ‘‘อยํ สมโณ มยา วุตฺตมโตฺตว นิวโตฺต, กุโทฺธ, นุ, โข มมา’’ติฯ ตโต เตหิ ‘‘ปพฺพชิตา นาม, เทว, น โกธปรายณา โหนฺติ, ปเรน ปสนฺนมเนน ยํ ทินฺนํ โหติ, เตน ยาเปนฺตี’’ติ วุจฺจมาโนปิ ‘‘กุโทฺธ เอว มมายํ สมโณ, ขมาเปสฺสามิ น’’นฺติ มาตาปิตูนํ อาโรเจตฺวา หตฺถิํ อภิรุหิตฺวา, มหตา ราชานุภาเวน อิสิปตนํ คนฺตฺวา, มิคยูถํ ทิสฺวา, ปุจฺฉิ ‘‘กิํ นาม เอเต’’ติ? ‘‘เอเต, สามิ, มิคา นามา’’ติฯ เอเตสํ ‘‘อิมํ ขาทถ, อิมํ ภุญฺชถ, อิมํ สายถา’’ติ วตฺวา ปฎิชคฺคนฺตา อตฺถีติฯ นตฺถิ สามิ, ยตฺถ ติโณทกํ สุลภํ, ตตฺถ วสนฺตีติฯ

    Tadā aññataro paccekabuddho bārāṇasiṃ nissāya isipatane vasati. So kālasseva vuṭṭhāya senāsanavattasarīraparikammamanasikārādīni sabbakiccāni katvā, paṭisallānā vuṭṭhito ‘‘ajja kattha bhikkhaṃ gahessāmī’’ti āvajjento kumārassa sampattiṃ disvā ‘‘esa pubbe kiṃ kammaṃ karī’’ti vīmaṃsanto ‘‘mādisassa piṇḍapātaṃ datvā, catasso patthanā patthesi tattha tisso siddhā, ekā tāva na sijjhati, tassa upāyena ārammaṇaṃ dassemī’’ti bhikkhācariyavasena kumārassa santikaṃ agamāsi. Kumāro taṃ disvā ‘‘samaṇa, mā idha āgacchi, ime hi tampi ‘idaṃ khāda, idaṃ bhuñjā’ti vadeyyu’’nti āha. So ekavacaneneva tato nivattitvā attano senāsanaṃ pāvisi. Kumāro parijanaṃ āha – ‘‘ayaṃ samaṇo mayā vuttamattova nivatto, kuddho, nu, kho mamā’’ti. Tato tehi ‘‘pabbajitā nāma, deva, na kodhaparāyaṇā honti, parena pasannamanena yaṃ dinnaṃ hoti, tena yāpentī’’ti vuccamānopi ‘‘kuddho eva mamāyaṃ samaṇo, khamāpessāmi na’’nti mātāpitūnaṃ ārocetvā hatthiṃ abhiruhitvā, mahatā rājānubhāvena isipatanaṃ gantvā, migayūthaṃ disvā, pucchi ‘‘kiṃ nāma ete’’ti? ‘‘Ete, sāmi, migā nāmā’’ti. Etesaṃ ‘‘imaṃ khādatha, imaṃ bhuñjatha, imaṃ sāyathā’’ti vatvā paṭijaggantā atthīti. Natthi sāmi, yattha tiṇodakaṃ sulabhaṃ, tattha vasantīti.

    กุมาโร ‘‘ยถา อิเม อรกฺขิยมานาว ยตฺถ อิจฺฉนฺติ, ตตฺถ วสนฺติ, กทา นุ, โข, อหมฺปิ เอวํ วเสยฺย’’นฺติ เอตมารมฺมณํ อคฺคเหสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธปิ ตสฺส อาคมนํ ญตฺวา เสนาสนมคฺคญฺจ จงฺกมญฺจ สมฺมชฺชิตฺวา, มฎฺฐํ กตฺวา, เอกทฺวิกฺขตฺตุํ จงฺกมิตฺวา, ปทนิเกฺขปํ ทเสฺสตฺวา, ทิวาวิหาโรกาสญฺจ ปณฺณสาลญฺจ สมฺมชฺชิตฺวา, มฎฺฐํ กตฺวา, ปวิสนปทนิเกฺขปํ ทเสฺสตฺวา, นิกฺขมนปทนิเกฺขปํ อทเสฺสตฺวา, อญฺญตฺร อคมาสิฯ กุมาโร ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ ปเทสํ สมฺมชฺชิตฺวา มฎฺฐํ กตํ ทิสฺวา ‘‘วสติ มเญฺญ เอตฺถ โส ปเจฺจกพุโทฺธ’’ติ ปริชเนน ภาสิตํ สุตฺวา อาห – ‘‘ปาโตปิ โส สมโณ กุโทฺธ, อิทานิ หตฺถิอสฺสาทีหิ อตฺตโน โอกาสํ อกฺกนฺตํ ทิสฺวา, สุฎฺฐุตรํ กุเชฺฌยฺย, อิเธว ตุเมฺห ติฎฺฐถา’’ติ หตฺถิกฺขนฺธา โอรุยฺห เอกโกว เสนาสนํ ปวิโฎฺฐ วตฺตสีเสน สุสมฺมโฎฺฐกาเส ปทนิเกฺขปํ ทิสฺวา, ‘‘อยํ สมโณ เอตฺถ จงฺกมโนฺต น วณิชฺชาทิกมฺมํ จิเนฺตสิ, อทฺธา อตฺตโน หิตเมว จิเนฺตสิ มเญฺญ’’ติ ปสนฺนมานโส จงฺกมํ อารุหิตฺวา, ทูรีกตปุถุวิตโกฺก คนฺตฺวา, ปาสาณผลเก นิสีทิตฺวา, สญฺชาตเอกโคฺค หุตฺวา, ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา, วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิญาณํ อธิคนฺตฺวา, ปุริมนเยเนว ปุโรหิเตน กมฺมฎฺฐาเน ปุจฺฉิเต คคนตเล นิสิโนฺน อิมํ คาถมาห –

    Kumāro ‘‘yathā ime arakkhiyamānāva yattha icchanti, tattha vasanti, kadā nu, kho, ahampi evaṃ vaseyya’’nti etamārammaṇaṃ aggahesi. Paccekabuddhopi tassa āgamanaṃ ñatvā senāsanamaggañca caṅkamañca sammajjitvā, maṭṭhaṃ katvā, ekadvikkhattuṃ caṅkamitvā, padanikkhepaṃ dassetvā, divāvihārokāsañca paṇṇasālañca sammajjitvā, maṭṭhaṃ katvā, pavisanapadanikkhepaṃ dassetvā, nikkhamanapadanikkhepaṃ adassetvā, aññatra agamāsi. Kumāro tattha gantvā taṃ padesaṃ sammajjitvā maṭṭhaṃ kataṃ disvā ‘‘vasati maññe ettha so paccekabuddho’’ti parijanena bhāsitaṃ sutvā āha – ‘‘pātopi so samaṇo kuddho, idāni hatthiassādīhi attano okāsaṃ akkantaṃ disvā, suṭṭhutaraṃ kujjheyya, idheva tumhe tiṭṭhathā’’ti hatthikkhandhā oruyha ekakova senāsanaṃ paviṭṭho vattasīsena susammaṭṭhokāse padanikkhepaṃ disvā, ‘‘ayaṃ samaṇo ettha caṅkamanto na vaṇijjādikammaṃ cintesi, addhā attano hitameva cintesi maññe’’ti pasannamānaso caṅkamaṃ āruhitvā, dūrīkataputhuvitakko gantvā, pāsāṇaphalake nisīditvā, sañjātaekaggo hutvā, paṇṇasālaṃ pavisitvā, vipassanto paccekabodhiñāṇaṃ adhigantvā, purimanayeneva purohitena kammaṭṭhāne pucchite gaganatale nisinno imaṃ gāthamāha –

    ‘‘มิโค อรญฺญมฺหิ ยถา อพโทฺธ, เยนิจฺฉกํ คจฺฉติ โคจราย;

    ‘‘Migo araññamhi yathā abaddho, yenicchakaṃ gacchati gocarāya;

    วิญฺญู นโร เสริตํ เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Viññū naro seritaṃ pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ มิโคติ เทฺว มิคา เอณีมิโค, ปสทมิโค จาติฯ อปิจ สเพฺพสํ อารญฺญิกานํ จตุปฺปทานเมตํ อธิวจนํฯ อิธ ปน ปสทมิโค อธิเปฺปโตฯ อรญฺญมฺหีติ คามญฺจ คามูปจารญฺจ ฐเปตฺวา อวเสสํ อรญฺญํ, อิธํ ปน อุยฺยานมธิเปฺปตํ, ตสฺมา อุยฺยานมฺหีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาติ ปฎิภาเคฯ อพโทฺธติ รชฺชุพนฺธนาทีหิ อพโทฺธ, เอเตน วิสฺสตฺถจริยํ ทีเปติฯ เยนิจฺฉกํ คจฺฉติ โคจรายติ เยน เยน ทิสาภาเคน คนฺตุมิจฺฉติ, เตน เตน ทิสาภาเคน โคจราย คจฺฉติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา –

    Tattha migoti dve migā eṇīmigo, pasadamigo cāti. Apica sabbesaṃ āraññikānaṃ catuppadānametaṃ adhivacanaṃ. Idha pana pasadamigo adhippeto. Araññamhīti gāmañca gāmūpacārañca ṭhapetvā avasesaṃ araññaṃ, idhaṃ pana uyyānamadhippetaṃ, tasmā uyyānamhīti vuttaṃ hoti. Yathāti paṭibhāge. Abaddhoti rajjubandhanādīhi abaddho, etena vissatthacariyaṃ dīpeti. Yenicchakaṃ gacchati gocarāyati yena yena disābhāgena gantumicchati, tena tena disābhāgena gocarāya gacchati. Vuttampi cetaṃ bhagavatā –

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อารญฺญโก มิโค อรเญฺญ ปวเน จรมาโน วิสฺสโตฺถ คจฺฉติ, วิสฺสโตฺถ ติฎฺฐติ, วิสฺสโตฺถ นิสีทติ, วิสฺสโตฺถ เสยฺยํ กเปฺปติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อนาปาถคโต, ภิกฺขเว, ลุทฺทสฺส; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อนฺธมกาสิ มารํ อปทํ, วธิตฺวา มารจกฺขุํ อทสฺสนํ คโต ปาปิมโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๘๗; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๕) วิตฺถาโรฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, āraññako migo araññe pavane caramāno vissattho gacchati, vissattho tiṭṭhati, vissattho nisīdati, vissattho seyyaṃ kappeti. Taṃ kissa hetu? Anāpāthagato, bhikkhave, luddassa; evameva kho, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu andhamakāsi māraṃ apadaṃ, vadhitvā māracakkhuṃ adassanaṃ gato pāpimato’’ti (ma. ni. 1.287; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 125) vitthāro.

    วิญฺญู นโรติ ปณฺฑิตปุริโสฯ เสริตนฺติ สจฺฉนฺทวุตฺติตํ อปรายตฺตตํฯ เปกฺขมาโนติ ปญฺญาจกฺขุนา โอโลกยมาโนฯ อถ วา ธมฺมเสริตํ ปุคฺคลเสริตญฺจฯ โลกุตฺตรธมฺมา หิ กิเลสวสํ อคมนโต เสริโน เตหิ สมนฺนาคตา ปุคฺคลา จ, เตสํ ภาวนิเทฺทโส เสริตาฯ ตํ เปกฺขมาโนติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ‘‘ยถา มิโค อรญฺญมฺหิ อพโทฺธ เยนิจฺฉกํ คจฺฉติ โคจราย, กทา นุ โข อหมฺปิ เอวํ คเจฺฉยฺย’’นฺติ อิติ เม ตุเมฺหหิ อิโต จิโต จ ปริวาเรตฺวา ฐิเตหิ พทฺธสฺส เยนิจฺฉกํ คนฺตุํ อลภนฺตสฺส ตสฺมิํ เยนิจฺฉกคมนาภาเวน เยนิจฺฉกคมเน จานิสํสํ ทิสฺวา อนุกฺกเมน สมถวิปสฺสนา ปาริปูริํ อคมํสุฯ ตโต ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหิฯ ตสฺมา อโญฺญปิ วิญฺญู ปณฺฑิโต นโร เสริตํ เปกฺขมาโน เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Viññūnaroti paṇḍitapuriso. Seritanti sacchandavuttitaṃ aparāyattataṃ. Pekkhamānoti paññācakkhunā olokayamāno. Atha vā dhammaseritaṃ puggalaseritañca. Lokuttaradhammā hi kilesavasaṃ agamanato serino tehi samannāgatā puggalā ca, tesaṃ bhāvaniddeso seritā. Taṃ pekkhamānoti. Kiṃ vuttaṃ hoti? ‘‘Yathā migo araññamhi abaddho yenicchakaṃ gacchati gocarāya, kadā nu kho ahampi evaṃ gaccheyya’’nti iti me tumhehi ito cito ca parivāretvā ṭhitehi baddhassa yenicchakaṃ gantuṃ alabhantassa tasmiṃ yenicchakagamanābhāvena yenicchakagamane cānisaṃsaṃ disvā anukkamena samathavipassanā pāripūriṃ agamaṃsu. Tato paccekabodhiṃ adhigatomhi. Tasmā aññopi viññū paṇḍito naro seritaṃ pekkhamāno eko care khaggavisāṇakappoti. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbanti.

    มิคอรญฺญคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Migaaraññagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๔๐. อามนฺตนา โหตีติ กา อุปฺปตฺติ? อตีเต กิร เอกวชฺชิกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิ มุทุกชาติโกฯ ยทา อมจฺจา เตน สห ยุตฺตํ วา อยุตฺตํ วา มเนฺตตุกามา โหนฺติ, ตทา นํ ปาฎิเยกฺกํ ปาฎิเยกฺกํ เอกมนฺตํ เนนฺติฯ ตํ เอกทิวสํ ทิวาเสยฺยํ อุปคตํ อญฺญตโร อมโจฺจ ‘‘เทว, มม โสตพฺพํ อตฺถี’’ติ เอกมนฺตํ คมนํ ยาจิฯ โส อุฎฺฐาย อคมาสิฯ ปุน เอโก มหาอุปฎฺฐาเน นิสินฺนํ วรํ ยาจิ, เอโก หตฺถิกฺขเนฺธ, เอโก อสฺสปิฎฺฐิยํ , เอโก สุวณฺณรเถ, เอโก สิวิกาย นิสีทิตฺวา อุยฺยานํ คจฺฉนฺตํ ยาจิฯ ราชา ตโต โอโรหิตฺวา เอกมนฺตํ อคมาสิฯ อปโร ชนปทจาริกํ คจฺฉนฺตํ ยาจิ, ตสฺสาปิ วจนํ สุตฺวา หตฺถิโต โอรุยฺห เอกมนฺตํ อคมาสิฯ เอวํ โส เตหิ นิพฺพิโนฺน หุตฺวา ปพฺพชิฯ อมจฺจา อิสฺสริเยน วฑฺฒนฺติฯ เตสุ เอโก คนฺตฺวา ราชานํ อาห – ‘‘อมุกํ, มหาราช, ชนปทํ มยฺหํ เทหี’’ติฯ ราชา ‘‘ตํ อิตฺถนฺนาโม ภุญฺชตี’’ติ ภณติฯ โส รโญฺญ วจนํ อนาทิยิตฺวา ‘‘คจฺฉามหํ ตํ ชนปทํ คเหตฺวา ภุญฺชามี’’ติ ตตฺถ คนฺตฺวา, กลหํ กตฺวา, ปุน อุโภปิ รโญฺญ สนฺติกํ อาคนฺตฺวา, อญฺญมญฺญสฺส โทสํ อาโรเจนฺติฯ ราชา ‘‘น สกฺกา อิเม โตเสตุ’’นฺติ เตสํ โลเภ อาทีนวํ ทิสฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกสโมฺพธิํ สจฺฉากาสิฯ โส ปุริมนเยเนว อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    40.Āmantanā hotīti kā uppatti? Atīte kira ekavajjikabrahmadatto nāma rājā ahosi mudukajātiko. Yadā amaccā tena saha yuttaṃ vā ayuttaṃ vā mantetukāmā honti, tadā naṃ pāṭiyekkaṃ pāṭiyekkaṃ ekamantaṃ nenti. Taṃ ekadivasaṃ divāseyyaṃ upagataṃ aññataro amacco ‘‘deva, mama sotabbaṃ atthī’’ti ekamantaṃ gamanaṃ yāci. So uṭṭhāya agamāsi. Puna eko mahāupaṭṭhāne nisinnaṃ varaṃ yāci, eko hatthikkhandhe, eko assapiṭṭhiyaṃ , eko suvaṇṇarathe, eko sivikāya nisīditvā uyyānaṃ gacchantaṃ yāci. Rājā tato orohitvā ekamantaṃ agamāsi. Aparo janapadacārikaṃ gacchantaṃ yāci, tassāpi vacanaṃ sutvā hatthito oruyha ekamantaṃ agamāsi. Evaṃ so tehi nibbinno hutvā pabbaji. Amaccā issariyena vaḍḍhanti. Tesu eko gantvā rājānaṃ āha – ‘‘amukaṃ, mahārāja, janapadaṃ mayhaṃ dehī’’ti. Rājā ‘‘taṃ itthannāmo bhuñjatī’’ti bhaṇati. So rañño vacanaṃ anādiyitvā ‘‘gacchāmahaṃ taṃ janapadaṃ gahetvā bhuñjāmī’’ti tattha gantvā, kalahaṃ katvā, puna ubhopi rañño santikaṃ āgantvā, aññamaññassa dosaṃ ārocenti. Rājā ‘‘na sakkā ime tosetu’’nti tesaṃ lobhe ādīnavaṃ disvā vipassanto paccekasambodhiṃ sacchākāsi. So purimanayeneva imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘อามนฺตนา โหติ สหายมเชฺฌ, วาเส ฐาเน คมเน จาริกาย;

    ‘‘Āmantanā hoti sahāyamajjhe, vāse ṭhāne gamane cārikāya;

    อนภิชฺฌิตํ เสริตํ เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Anabhijjhitaṃ seritaṃ pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – สหายมเชฺฌ ฐิตสฺส ทิวาเสยฺยสงฺขาเต วาเส จ, มหาอุปฎฺฐานสงฺขาเต ฐาเน จ, อุยฺยานคมนสงฺขาเต คมเน จ, ชนปทจาริกสงฺขาตาย จาริกาย จ ‘‘อิทํ เม สุณ, อิทํ เม เทหี’’ติอาทินา นเยน ตถา ตถา อามนฺตนา โหติ, ตสฺมา อหํ ตตฺถ นิพฺพิชฺชิตฺวา ยายํ อริยชนเสวิตา อเนกานิสํสา เอกนฺตสุขา, เอวํ สเนฺตปิ โลภาภิภูเตหิ สพฺพกาปุริเสหิ อนภิชฺฌิตา อนภิปตฺถิตา ปพฺพชฺชา, ตํ อนภิชฺฌิตํ ปเรสํ อวสวตฺตเนน ธมฺมปุคฺคลวเสน จ เสริตํ เปกฺขมาโน วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อนุกฺกเมน ปเจฺจกสโมฺพธิํ อธิคโตมฺหีติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tassattho – sahāyamajjhe ṭhitassa divāseyyasaṅkhāte vāse ca, mahāupaṭṭhānasaṅkhāte ṭhāne ca, uyyānagamanasaṅkhāte gamane ca, janapadacārikasaṅkhātāya cārikāya ca ‘‘idaṃ me suṇa, idaṃ me dehī’’tiādinā nayena tathā tathā āmantanā hoti, tasmā ahaṃ tattha nibbijjitvā yāyaṃ ariyajanasevitā anekānisaṃsā ekantasukhā, evaṃ santepi lobhābhibhūtehi sabbakāpurisehi anabhijjhitā anabhipatthitā pabbajjā, taṃ anabhijjhitaṃ paresaṃ avasavattanena dhammapuggalavasena ca seritaṃ pekkhamāno vipassanaṃ ārabhitvā anukkamena paccekasambodhiṃ adhigatomhīti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อามนฺตนาคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Āmantanāgāthāvaṇṇanā samattā.

    ๔๑. ขิฑฺฑา รตีติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ เอกปุตฺตกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ โส จสฺส เอกปุตฺตโก ปิโย อโหสิ มนาโป ปาณสโมฯ โส สพฺพิริยาปเถสุ ปุตฺตํ คเหตฺวาว วตฺตติฯ โส เอกทิวสํ อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต ตํ ฐเปตฺวา คโตฯ กุมาโรปิ ตํ ทิวสํเยว อุปฺปเนฺนน พฺยาธินา มโตฯ อมจฺจา ‘‘ปุตฺตสิเนเหน รโญฺญ หทยมฺปิ ผเลยฺยา’’ติ อนาโรเจตฺวาว นํ ฌาเปสุํฯ ราชา อุยฺยาเน สุรามเทน มโตฺต ปุตฺตํ เนว สริ, ตถา ทุติยทิวเสปิ นฺหานโภชนเวลาสุฯ อถ ภุตฺตาวี นิสิโนฺน สริตฺวา ‘‘ปุตฺตํ เม อาเนถา’’ติ อาหฯ ตสฺส อนุรูเปน วิธาเนน ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ ตโต โสกาภิภูโต นิสิโนฺน เอวํ โยนิโส มนสากาสิ ‘‘อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชตี’’ติฯ โส เอวํ อนุกฺกเมน อนุโลมปฎิโลมํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ สมฺมสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ เสสํ สํสคฺคคาถาย วุตฺตสทิสเมว ฐเปตฺวา คาถายตฺถวณฺณนํฯ

    41.Khiḍḍā ratīti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ ekaputtakabrahmadatto nāma rājā ahosi. So cassa ekaputtako piyo ahosi manāpo pāṇasamo. So sabbiriyāpathesu puttaṃ gahetvāva vattati. So ekadivasaṃ uyyānaṃ gacchanto taṃ ṭhapetvā gato. Kumāropi taṃ divasaṃyeva uppannena byādhinā mato. Amaccā ‘‘puttasinehena rañño hadayampi phaleyyā’’ti anārocetvāva naṃ jhāpesuṃ. Rājā uyyāne surāmadena matto puttaṃ neva sari, tathā dutiyadivasepi nhānabhojanavelāsu. Atha bhuttāvī nisinno saritvā ‘‘puttaṃ me ānethā’’ti āha. Tassa anurūpena vidhānena taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Tato sokābhibhūto nisinno evaṃ yoniso manasākāsi ‘‘imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjatī’’ti. So evaṃ anukkamena anulomapaṭilomaṃ paṭiccasamuppādaṃ sammasanto paccekabodhiṃ sacchākāsi. Sesaṃ saṃsaggagāthāya vuttasadisameva ṭhapetvā gāthāyatthavaṇṇanaṃ.

    อตฺถวณฺณนายํ ปน ขิฑฺฑาติ กีฬนาฯ สา ทุวิธา โหติ – กายิกา, วาจสิกา จฯ ตตฺถ กายิกา นาม หตฺถีหิปิ กีฬนฺติ, อเสฺสหิปิ, รเถหิปิ, ธนูหิปิ, ถรูหิปีติ เอวมาทิฯ วาจสิกา นาม คีตํ, สิโลกภณนํ, มุขเภรีติ เอวมาทิฯ รตีติ ปญฺจกามคุณรติฯ วิปุลนฺติ ยาว อฎฺฐิมิญฺชํ อาหจฺจ ฐาเนน สกลตฺตภาวพฺยาปกํฯ เสสํ ปากฎเมวฯ อนุสนฺธิโยชนาปิ เจตฺถ สํสคฺคคาถาย วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพา, ตโต ปรญฺจ สพฺพนฺติฯ

    Atthavaṇṇanāyaṃ pana khiḍḍāti kīḷanā. Sā duvidhā hoti – kāyikā, vācasikā ca. Tattha kāyikā nāma hatthīhipi kīḷanti, assehipi, rathehipi, dhanūhipi, tharūhipīti evamādi. Vācasikā nāma gītaṃ, silokabhaṇanaṃ, mukhabherīti evamādi. Ratīti pañcakāmaguṇarati. Vipulanti yāva aṭṭhimiñjaṃ āhacca ṭhānena sakalattabhāvabyāpakaṃ. Sesaṃ pākaṭameva. Anusandhiyojanāpi cettha saṃsaggagāthāya vuttanayeneva veditabbā, tato parañca sabbanti.

    ขิฑฺฑารติคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Khiḍḍāratigāthāvaṇṇanā samattā.

    ๔๒. จาตุทฺทิโสติ กา อุปฺปตฺติ? ปุเพฺพ กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปญฺจ ปเจฺจกโพธิสตฺตา ปพฺพชิตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา เทวโลเก อุปฺปนฺนาฯ ตโต จวิตฺวา เตสํ เชฎฺฐโก พาราณสิยํ ราชา อโหสิ, เสสา ปากติกราชาโนฯ เต จตฺตาโรปิ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคณฺหิตฺวา, รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา, อนุกฺกเมน ปเจฺจกพุทฺธา หุตฺวา นนฺทมูลกปพฺภาเร วสนฺตา เอกทิวสํ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย วํสกฬีรคาถายํ วุตฺตนเยเนว อตฺตโน กมฺมญฺจ สหายญฺจ อาวเชฺชตฺวา ญตฺวา พาราณสิรโญฺญ อุปาเยน อารมฺมณํ ทเสฺสตุํ โอกาสํ คเวสนฺติฯ โส จ ราชา ติกฺขตฺตุํ รตฺติยา อุพฺพิชฺชติ, ภีโต วิสฺสรํ กโรติ, มหาตเล ธาวติฯ ปุโรหิเตน กาลเสฺสว วุฎฺฐาย สุขเสยฺยํ ปุจฺฉิโตปิ ‘‘กุโต เม, อาจริย, สุข’’นฺติ สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ ปุโรหิโตปิ ‘‘อยํ โรโค น สกฺกา เยน เกนจิ อุทฺธํวิเรจนาทินา เภสชฺชกเมฺมน วิเนตุํ , มยฺหํ ปน ขาทนูปาโย อุปฺปโนฺน’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘รชฺชหานิชีวิตนฺตรายาทีนํ ปุพฺพนิมิตฺตํ เอตํ มหาราชา’’ติ ราชานํ สุฎฺฐุตรํ อุเพฺพเชตฺวา ตสฺส วูปสมนตฺถํ ‘‘เอตฺตเก จ เอตฺตเก จ หตฺถิอสฺสรถาทโย หิรญฺญสุวณฺณญฺจ ทกฺขิณํ ทตฺวา ยโญฺญ ยชิตโพฺพ’’ติ ตํ ยญฺญยชเน สมาทเปสิฯ

    42.Cātuddisoti kā uppatti? Pubbe kira kassapassa bhagavato sāsane pañca paccekabodhisattā pabbajitvā vīsati vassasahassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā devaloke uppannā. Tato cavitvā tesaṃ jeṭṭhako bārāṇasiyaṃ rājā ahosi, sesā pākatikarājāno. Te cattāropi kammaṭṭhānaṃ uggaṇhitvā, rajjaṃ pahāya pabbajitvā, anukkamena paccekabuddhā hutvā nandamūlakapabbhāre vasantā ekadivasaṃ samāpattito vuṭṭhāya vaṃsakaḷīragāthāyaṃ vuttanayeneva attano kammañca sahāyañca āvajjetvā ñatvā bārāṇasirañño upāyena ārammaṇaṃ dassetuṃ okāsaṃ gavesanti. So ca rājā tikkhattuṃ rattiyā ubbijjati, bhīto vissaraṃ karoti, mahātale dhāvati. Purohitena kālasseva vuṭṭhāya sukhaseyyaṃ pucchitopi ‘‘kuto me, ācariya, sukha’’nti sabbaṃ taṃ pavattiṃ ārocesi. Purohitopi ‘‘ayaṃ rogo na sakkā yena kenaci uddhaṃvirecanādinā bhesajjakammena vinetuṃ , mayhaṃ pana khādanūpāyo uppanno’’ti cintetvā ‘‘rajjahānijīvitantarāyādīnaṃ pubbanimittaṃ etaṃ mahārājā’’ti rājānaṃ suṭṭhutaraṃ ubbejetvā tassa vūpasamanatthaṃ ‘‘ettake ca ettake ca hatthiassarathādayo hiraññasuvaṇṇañca dakkhiṇaṃ datvā yañño yajitabbo’’ti taṃ yaññayajane samādapesi.

    ตโต ปเจฺจกพุทฺธา อเนกานิ ปาณสหสฺสานิ ยญฺญตฺถาย สมฺปิณฺฑิยมานานิ ทิสฺวา ‘‘เอตสฺมิํ กเมฺม กเต ทุโพฺพธเนโยฺย ภวิสฺสติ, หนฺท นํ ปฎิกเจฺจว คนฺตฺวา เปกฺขามา’’ติ วํสกฬีรคาถายํ วุตฺตนเยเนว อาคนฺตฺวา ปิณฺฑาย จรมานา ราชงฺคเณ ปฎิปาฎิยา อคมํสุฯ ราชา สีหปญฺชเร ฐิโต ราชงฺคณํ โอโลกยมาโน เต อทฺทกฺขิ , สห ทสฺสเนเนว จสฺส สิเนโห อุปฺปชฺชิฯ ตโต เต ปโกฺกสาเปตฺวา อากาสตเล ปญฺญตฺตาสเน นิสีทาเปตฺวา สกฺกจฺจํ โภเชตฺวา กตภตฺตกิเจฺจ ‘‘เก ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยํ, มหาราช, จาตุทฺทิสา นามา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, จาตุทฺทิสาติ อิมสฺส โก อโตฺถ’’ติ? ‘‘จตูสุ ทิสาสุ กตฺถจิ กุโตจิ ภยํ วา จิตฺตุตฺราโส วา อมฺหากํ นตฺถิ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ตํ ภยํ กิํ การณา น โหตี’’ติ? ‘‘มยญฺหิ, มหาราช, เมตฺตํ ภาเวม, กรุณํ ภาเวม, มุทิตํ ภาเวม, อุเปกฺขํ ภาเวม, เตน โน ตํ ภยํ น โหตี’’ติ วตฺวา อุฎฺฐายาสนา อตฺตโน วสติํ อคมํสุฯ

    Tato paccekabuddhā anekāni pāṇasahassāni yaññatthāya sampiṇḍiyamānāni disvā ‘‘etasmiṃ kamme kate dubbodhaneyyo bhavissati, handa naṃ paṭikacceva gantvā pekkhāmā’’ti vaṃsakaḷīragāthāyaṃ vuttanayeneva āgantvā piṇḍāya caramānā rājaṅgaṇe paṭipāṭiyā agamaṃsu. Rājā sīhapañjare ṭhito rājaṅgaṇaṃ olokayamāno te addakkhi , saha dassaneneva cassa sineho uppajji. Tato te pakkosāpetvā ākāsatale paññattāsane nisīdāpetvā sakkaccaṃ bhojetvā katabhattakicce ‘‘ke tumhe’’ti pucchi. ‘‘Mayaṃ, mahārāja, cātuddisā nāmā’’ti. ‘‘Bhante, cātuddisāti imassa ko attho’’ti? ‘‘Catūsu disāsu katthaci kutoci bhayaṃ vā cittutrāso vā amhākaṃ natthi, mahārājā’’ti. ‘‘Bhante, tumhākaṃ taṃ bhayaṃ kiṃ kāraṇā na hotī’’ti? ‘‘Mayañhi, mahārāja, mettaṃ bhāvema, karuṇaṃ bhāvema, muditaṃ bhāvema, upekkhaṃ bhāvema, tena no taṃ bhayaṃ na hotī’’ti vatvā uṭṭhāyāsanā attano vasatiṃ agamaṃsu.

    ตโต ราชา จิเนฺตสิ ‘‘อิเม สมณา เมตฺตาทิภาวนาย ภยํ น โหตีติ ภณนฺติ, พฺราหฺมณา ปน อเนกสหสฺสปาณวธํ วณฺณยนฺติ, เกสํ นุ โข วจนํ สจฺจ’’นฺติฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘สมณา สุเทฺธน อสุทฺธํ โธวนฺติ, พฺราหฺมณา ปน อสุเทฺธน อสุทฺธํฯ น จ สกฺกา อสุเทฺธน อสุทฺธํ โธวิตุํ, ปพฺพชิตานํ เอว วจนํ สจฺจ’’นฺติฯ โส ‘‘สเพฺพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตู’’ติอาทินา นเยน เมตฺตาทโย จตฺตาโรปิ พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา หิตผรณจิเตฺตน อมเจฺจ อาณาเปสิ ‘‘สเพฺพ ปาเณ มุญฺจถ, สีตานิ ปานียานิ ปิวนฺตุ, หริตานิ ติณานิ ขาทนฺตุ, สีโต จ เนสํ วาโต อุปวายตู’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ

    Tato rājā cintesi ‘‘ime samaṇā mettādibhāvanāya bhayaṃ na hotīti bhaṇanti, brāhmaṇā pana anekasahassapāṇavadhaṃ vaṇṇayanti, kesaṃ nu kho vacanaṃ sacca’’nti. Athassa etadahosi – ‘‘samaṇā suddhena asuddhaṃ dhovanti, brāhmaṇā pana asuddhena asuddhaṃ. Na ca sakkā asuddhena asuddhaṃ dhovituṃ, pabbajitānaṃ eva vacanaṃ sacca’’nti. So ‘‘sabbe sattā sukhitā hontū’’tiādinā nayena mettādayo cattāropi brahmavihāre bhāvetvā hitapharaṇacittena amacce āṇāpesi ‘‘sabbe pāṇe muñcatha, sītāni pānīyāni pivantu, haritāni tiṇāni khādantu, sīto ca nesaṃ vāto upavāyatū’’ti. Te tathā akaṃsu.

    ตโต ราชา ‘‘กลฺยาณมิตฺตานํ วจเนเนว ปาปกมฺมโต มุโตฺตมฺหี’’ติ ตเตฺถว นิสิโนฺน วิปสฺสิตฺวา ปเจฺจกสโมฺพธิํ สจฺฉากาสิฯ อมเจฺจหิ จ โภชนเวลายํ ‘‘ภุญฺช, มหาราช, กาโล’’ติ วุเตฺต ‘‘นาหํ ราชา’’ติ ปุริมนเยเนว สพฺพํ วตฺวา อิมํ อุทานพฺยากรณคาถํ อภาสิ –

    Tato rājā ‘‘kalyāṇamittānaṃ vacaneneva pāpakammato muttomhī’’ti tattheva nisinno vipassitvā paccekasambodhiṃ sacchākāsi. Amaccehi ca bhojanavelāyaṃ ‘‘bhuñja, mahārāja, kālo’’ti vutte ‘‘nāhaṃ rājā’’ti purimanayeneva sabbaṃ vatvā imaṃ udānabyākaraṇagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘จาตุทฺทิโส อปฺปฎิโฆ จ โหติ, สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรน;

    ‘‘Cātuddiso appaṭigho ca hoti, santussamāno itarītarena;

    ปริสฺสยานํ สหิตา อฉมฺภี, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Parissayānaṃ sahitā achambhī, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ จาตุทฺทิโสติ จตูสุ ทิสาสุ ยถาสุขวิหารี, ‘‘เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๐๘; อ. นิ. ๔.๑๒๕; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๘) วา นเยน พฺรหฺมวิหารภาวนาผริตา จตโสฺส ทิสา อสฺส สนฺตีติปิ จาตุทฺทิโสฯ ตาสุ ทิสาสุ กตฺถจิ สเตฺต วา สงฺขาเร วา ภเยน น ปฎิหญฺญตีติ อปฺปฎิโฆฯ สนฺตุสฺสมาโนติ ทฺวาทสวิธสฺส สโนฺตสสฺสวเสน สนฺตุสฺสโก, อิตรีตเรนาติ อุจฺจาวเจน ปจฺจเยนฯ ปริสฺสยานํ สหิตา อฉมฺภีติ เอตฺถ ปริสฺสยนฺติ กายจิตฺตานิ, ปริหาเปนฺติ วา เตสํ สมฺปตฺติํ, ตานิ วา ปฎิจฺจ สยนฺตีติ ปริสฺสยา, พาหิรานํ สีหพฺยคฺฆาทีนํ อพฺภนฺตรานญฺจ กามจฺฉนฺทาทีนํ กายจิตฺตุปทฺทวานํ เอตํ อธิวจนํฯ เต ปริสฺสเย อธิวาสนขนฺติยา จ วีริยาทีหิ ธเมฺมหิ จ สหตีติ ปริสฺสยานํ สหิตาฯ ถทฺธภาวกรภยาภาเวน อฉมฺภีฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา เต จตฺตาโร สมณา, เอวํ อิตรีตเรน ปจฺจเยน สนฺตุสฺสมาโน เอตฺถ ปฎิปตฺติปทฎฺฐาเน สโนฺตเส ฐิโต จตูสุ ทิสาสุ เมตฺตาทิภาวนาย จาตุทฺทิโส, สตฺตสงฺขาเรสุ ปฎิหนนภยาภาเวน อปฺปฎิโฆ จ โหติฯ โส จาตุทฺทิสตฺตา วุตฺตปฺปการานํ ปริสฺสยานํ สหิตา, อปฺปฎิฆตฺตา อฉมฺภี จ โหตีติ เอวํ ปฎิปตฺติคุณํ ทิสฺวา โยนิโส ปฎิปชฺชิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติฯ อถ วา เต สมณา วิย สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรน วุตฺตนเยเนว จาตุทฺทิโส โหตีติ ญตฺวา เอวํ จาตุทฺทิสภาวํ ปตฺถยโนฺต โยนิโส ปฎิปชฺชิตฺวา อธิคโตมฺหิฯ ตสฺมา อโญฺญปิ อีทิสํ ฐานํ ปตฺถยมาโน จาตุทฺทิสตาย ปริสฺสยานํ สหิตา อปฺปฎิฆตาย จ อฉมฺภี หุตฺวา เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha cātuddisoti catūsu disāsu yathāsukhavihārī, ‘‘ekaṃ disaṃ pharitvā viharatī’’tiādinā (dī. ni. 3.308; a. ni. 4.125; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 128) vā nayena brahmavihārabhāvanāpharitā catasso disā assa santītipi cātuddiso. Tāsu disāsu katthaci satte vā saṅkhāre vā bhayena na paṭihaññatīti appaṭigho. Santussamānoti dvādasavidhassa santosassavasena santussako, itarītarenāti uccāvacena paccayena. Parissayānaṃ sahitā achambhīti ettha parissayanti kāyacittāni, parihāpenti vā tesaṃ sampattiṃ, tāni vā paṭicca sayantīti parissayā, bāhirānaṃ sīhabyagghādīnaṃ abbhantarānañca kāmacchandādīnaṃ kāyacittupaddavānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Te parissaye adhivāsanakhantiyā ca vīriyādīhi dhammehi ca sahatīti parissayānaṃ sahitā. Thaddhabhāvakarabhayābhāvena achambhī. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā te cattāro samaṇā, evaṃ itarītarena paccayena santussamāno ettha paṭipattipadaṭṭhāne santose ṭhito catūsu disāsu mettādibhāvanāya cātuddiso, sattasaṅkhāresu paṭihananabhayābhāvena appaṭigho ca hoti. So cātuddisattā vuttappakārānaṃ parissayānaṃ sahitā, appaṭighattā achambhī ca hotīti evaṃ paṭipattiguṇaṃ disvā yoniso paṭipajjitvā paccekabodhiṃ adhigatomhīti. Atha vā te samaṇā viya santussamāno itarītarena vuttanayeneva cātuddiso hotīti ñatvā evaṃ cātuddisabhāvaṃ patthayanto yoniso paṭipajjitvā adhigatomhi. Tasmā aññopi īdisaṃ ṭhānaṃ patthayamāno cātuddisatāya parissayānaṃ sahitā appaṭighatāya ca achambhī hutvā eko care khaggavisāṇakappoti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    จาตุทฺทิสคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Cātuddisagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๔๓. ทุสฺสงฺคหาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิรโญฺญ กิร อคฺคมเหสี กาลมกาสิฯ ตโต วีติวเตฺตสุ โสกทิวเสสุ เอกํ ทิวสํ อมจฺจา ‘‘ราชูนํ นาม เตสุ เตสุ กิเจฺจสุ อคฺคมเหสี อวสฺสํ อิจฺฉิตพฺพา, สาธุ, เทโว, อญฺญํ เทวิํ อาเนตู’’ติ ยาจิํสุฯ ราชา‘‘เตน หิ, ภเณ, ชานาถา’’ติ อาหฯ เต ปริเยสนฺตา สามนฺตรเชฺช ราชา มโตฯ ตสฺส เทวี รชฺชํ อนุสาสติฯ สา จ คพฺภินี โหติฯ อมจฺจา ‘‘อยํ รโญฺญ อนุรูปา’’ติ ญตฺวา ตํ ยาจิํสุฯ สา ‘‘คพฺภินี นาม มนุสฺสานํ อมนาปา โหติ, สเจ อาคเมถ, ยาว วิชายามิ, เอวํ โหตุ, โน เจ, อญฺญํ ปริเยสถา’’ติ อาหฯ เต รโญฺญปิ เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘คพฺภินีปิ โหตุ อาเนถา’’ติฯ เต อาเนสุํฯ ราชา ตํ อภิสิญฺจิตฺวา สพฺพํ มเหสีโภคํ อทาสิฯ ตสฺสา ปริชนญฺจ นานาวิเธหิ ปณฺณากาเรหิ สงฺคณฺหาติฯ สา กาเลน ปุตฺตํ วิชายิฯ ตมฺปิ ราชา อตฺตโน ชาตปุตฺตมิว สพฺพิริยาปเถสุ อเงฺก จ อุเร จ กตฺวา วิหรติฯ ตโต เทวิยา ปริชโน จิเนฺตสิ ‘‘ราชา อติวิย สงฺคณฺหาติ กุมารํ, อติวิสฺสาสนิยานิ ราชหทยานิ, หนฺท นํ ปริเภเทมา’’ติฯ

    43.Dussaṅgahāti kā uppatti? Bārāṇasirañño kira aggamahesī kālamakāsi. Tato vītivattesu sokadivasesu ekaṃ divasaṃ amaccā ‘‘rājūnaṃ nāma tesu tesu kiccesu aggamahesī avassaṃ icchitabbā, sādhu, devo, aññaṃ deviṃ ānetū’’ti yāciṃsu. Rājā‘‘tena hi, bhaṇe, jānāthā’’ti āha. Te pariyesantā sāmantarajje rājā mato. Tassa devī rajjaṃ anusāsati. Sā ca gabbhinī hoti. Amaccā ‘‘ayaṃ rañño anurūpā’’ti ñatvā taṃ yāciṃsu. Sā ‘‘gabbhinī nāma manussānaṃ amanāpā hoti, sace āgametha, yāva vijāyāmi, evaṃ hotu, no ce, aññaṃ pariyesathā’’ti āha. Te raññopi etamatthaṃ ārocesuṃ. Rājā ‘‘gabbhinīpi hotu ānethā’’ti. Te ānesuṃ. Rājā taṃ abhisiñcitvā sabbaṃ mahesībhogaṃ adāsi. Tassā parijanañca nānāvidhehi paṇṇākārehi saṅgaṇhāti. Sā kālena puttaṃ vijāyi. Tampi rājā attano jātaputtamiva sabbiriyāpathesu aṅke ca ure ca katvā viharati. Tato deviyā parijano cintesi ‘‘rājā ativiya saṅgaṇhāti kumāraṃ, ativissāsaniyāni rājahadayāni, handa naṃ paribhedemā’’ti.

    ตโต กุมารํ – ‘‘ตฺวํ, ตาต, อมฺหากํ รโญฺญ ปุโตฺต, น อิมสฺส รโญฺญ, มา เอตฺถ วิสฺสาสํ อาปชฺชี’’ติ อาหํสุฯ อถ กุมาโร ‘‘เอหิ ปุตฺตา’’ติ รญฺญา วุจฺจมาโนปิ หเตฺถ คเหตฺวา อากฑฺฒิยมาโนปิ ปุเพฺพ วิย ราชานํ น อลฺลียติฯ ราชา ‘‘กิํ เอต’’นฺติ วีมํสโนฺต ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘อเร, เอเต มยา เอวํ สงฺคหิตาปิ ปฎิกูลวุตฺติโน เอวา’’ติ นิพฺพิชฺชิตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโตฯ ‘‘ราชา ปพฺพชิโต’’ติ อมจฺจปริชนาปิ พหู ปพฺพชิตา , ‘‘สปริชโน ราชา ปพฺพชิโต’’ติ มนุสฺสา ปณีเต ปจฺจเย อุปเนนฺติฯ ราชา ปณีเต ปจฺจเย ยถาวุฑฺฒํ ทาเปติฯ ตตฺถ เย สุนฺทรํ ลภนฺติ, เต ตุสฺสนฺติฯ อิตเร อุชฺฌายนฺติ ‘‘มยํ ปริเวณสมฺมชฺชนาทีนิ สพฺพกิจฺจานิ กโรนฺตา ลูขภตฺตํ ชิณฺณวตฺถญฺจ ลภามา’’ติฯ โส ตมฺปิ ญตฺวา ‘‘อเร, ยถาวุฑฺฒํ ทิยฺยมาเนปิ นาม อุชฺฌายนฺติ, อโห, อยํ ปริสา ทุสฺสงฺคหา’’ติ ปตฺตจีวรํ อาทาย เอโก อรญฺญํ ปวิสิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตตฺถ อาคเตหิ จ กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉิโต อิมํ คาถํ อภาสิ –

    Tato kumāraṃ – ‘‘tvaṃ, tāta, amhākaṃ rañño putto, na imassa rañño, mā ettha vissāsaṃ āpajjī’’ti āhaṃsu. Atha kumāro ‘‘ehi puttā’’ti raññā vuccamānopi hatthe gahetvā ākaḍḍhiyamānopi pubbe viya rājānaṃ na allīyati. Rājā ‘‘kiṃ eta’’nti vīmaṃsanto taṃ pavattiṃ ñatvā ‘‘are, ete mayā evaṃ saṅgahitāpi paṭikūlavuttino evā’’ti nibbijjitvā rajjaṃ pahāya pabbajito. ‘‘Rājā pabbajito’’ti amaccaparijanāpi bahū pabbajitā , ‘‘saparijano rājā pabbajito’’ti manussā paṇīte paccaye upanenti. Rājā paṇīte paccaye yathāvuḍḍhaṃ dāpeti. Tattha ye sundaraṃ labhanti, te tussanti. Itare ujjhāyanti ‘‘mayaṃ pariveṇasammajjanādīni sabbakiccāni karontā lūkhabhattaṃ jiṇṇavatthañca labhāmā’’ti. So tampi ñatvā ‘‘are, yathāvuḍḍhaṃ diyyamānepi nāma ujjhāyanti, aho, ayaṃ parisā dussaṅgahā’’ti pattacīvaraṃ ādāya eko araññaṃ pavisitvā vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi. Tattha āgatehi ca kammaṭṭhānaṃ pucchito imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘ทุสฺสงฺคหา ปพฺพชิตาปิ เอเก, อโถ คหฎฺฐา ฆรมาวสนฺตา;

    ‘‘Dussaṅgahā pabbajitāpi eke, atho gahaṭṭhā gharamāvasantā;

    อโปฺปสฺสุโกฺก ปรปุเตฺตสุ หุตฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Appossukko paraputtesu hutvā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    สา อตฺถโต ปากฎา เอวฯ อยํ ปน โยชนา – ทุสฺสงฺคหา ปพฺพชิตาปิ เอเก, เย อสโนฺตสาภิภูตา, ตถาวิธา เอว จ อโถ คหฎฺฐา ฆรมาวสนฺตาฯ เอตมหํ ทุสฺสงฺคหภาวํ ชิคุจฺฉโนฺต วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Sā atthato pākaṭā eva. Ayaṃ pana yojanā – dussaṅgahā pabbajitāpi eke, ye asantosābhibhūtā, tathāvidhā eva ca atho gahaṭṭhā gharamāvasantā. Etamahaṃ dussaṅgahabhāvaṃ jigucchanto vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ adhigatomhīti. Sesaṃ purimanayeneva veditabbanti.

    ทุสฺสงฺคหคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Dussaṅgahagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๔๔. โอโรปยิตฺวาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร จาตุมาสิกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา คิมฺหานํ ปฐเม มาเส อุยฺยานํ คโตฯ ตตฺถ รมณีเย ภูมิภาเค นีลฆนปตฺตสญฺฉนฺนํ โกวิฬารรุกฺขํ ทิสฺวา ‘‘โกวิฬารมูเล มม สยนํ ปญฺญาเปถา’’ติ วตฺวา อุยฺยาเน กีฬิตฺวา สายนฺหสมยํ ตตฺถ เสยฺยํ กเปฺปสิฯ ปุน คิมฺหานํ มชฺฌิเม มาเส อุยฺยานํ คโตฯ ตทา โกวิฬาโร ปุปฺผิโต โหติ, ตทาปิ ตเถว อกาสิฯ ปุน คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส คโตฯ ตทา โกวิฬาโร สญฺฉินฺนปโตฺต สุกฺขรุโกฺข วิย โหติฯ ตทาปิ โส อทิสฺวาว ตํ รุกฺขํ ปุพฺพปริจเยน ตเตฺถว เสยฺยํ อาณาเปสิฯ อมจฺจา ชานนฺตาปิ ‘‘รญฺญา อาณตฺต’’นฺติ ภเยน ตตฺถ สยนํ ปญฺญาเปสุํฯ โส อุยฺยาเน กีฬิตฺวา สายนฺหสมยํ ตตฺถ เสยฺยํ กเปฺปโนฺต ตํ รุกฺขํ ทิสฺวา ‘‘อเร, อยํ ปุเพฺพ สญฺฉนฺนปโตฺต มณิมโย วิย อภิรูปทสฺสโน อโหสิฯ ตโต มณิวณฺณสาขนฺตเร ฐปิตปวาฬงฺกุรสทิเสหิ ปุเปฺผหิ สสฺสิริกจารุทสฺสโน อโหสิฯ มุตฺตาทลสทิสวาลิกากิโณฺณ จสฺส เหฎฺฐา ภูมิภาโค พนฺธนา ปมุตฺตปุปฺผสญฺฉโนฺน รตฺตกมฺพลสนฺถโต วิย อโหสิฯ โส นามชฺช สุกฺขรุโกฺข วิย สาขามตฺตาวเสโส ฐิโตฯ ‘อโห, ชราย อุปหโต โกวิฬาโร’’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อนุปาทินฺนมฺปิ ตาว ชรา หญฺญติ, กิมงฺค ปน อุปาทินฺน’’นฺติ อนิจฺจสญฺญํ ปฎิลภิฯ ตทนุสาเรเนว สพฺพสงฺขาเร ทุกฺขโต อนตฺตโต จ วิปสฺสโนฺต ‘‘อโห วตาหมฺปิ สญฺฉินฺนปโตฺต โกวิฬาโร วิย อเปตคิหิพฺยญฺชโน ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถยมาโน อนุปุเพฺพน ตสฺมิํ สยนตเล ทกฺขิเณน ปเสฺสน นิปโนฺนเยว ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตโต คมนกาเล อมเจฺจหิ ‘‘กาโล คนฺตุํ, มหาราชา’’ติ วุเตฺต ‘‘นาหํ ราชา’’ติอาทีนิ วตฺวา ปุริมนเยเนว อิมํ คาถํ อภาสิ –

    44.Oropayitvāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira cātumāsikabrahmadatto nāma rājā gimhānaṃ paṭhame māse uyyānaṃ gato. Tattha ramaṇīye bhūmibhāge nīlaghanapattasañchannaṃ koviḷārarukkhaṃ disvā ‘‘koviḷāramūle mama sayanaṃ paññāpethā’’ti vatvā uyyāne kīḷitvā sāyanhasamayaṃ tattha seyyaṃ kappesi. Puna gimhānaṃ majjhime māse uyyānaṃ gato. Tadā koviḷāro pupphito hoti, tadāpi tatheva akāsi. Puna gimhānaṃ pacchime māse gato. Tadā koviḷāro sañchinnapatto sukkharukkho viya hoti. Tadāpi so adisvāva taṃ rukkhaṃ pubbaparicayena tattheva seyyaṃ āṇāpesi. Amaccā jānantāpi ‘‘raññā āṇatta’’nti bhayena tattha sayanaṃ paññāpesuṃ. So uyyāne kīḷitvā sāyanhasamayaṃ tattha seyyaṃ kappento taṃ rukkhaṃ disvā ‘‘are, ayaṃ pubbe sañchannapatto maṇimayo viya abhirūpadassano ahosi. Tato maṇivaṇṇasākhantare ṭhapitapavāḷaṅkurasadisehi pupphehi sassirikacārudassano ahosi. Muttādalasadisavālikākiṇṇo cassa heṭṭhā bhūmibhāgo bandhanā pamuttapupphasañchanno rattakambalasanthato viya ahosi. So nāmajja sukkharukkho viya sākhāmattāvaseso ṭhito. ‘Aho, jarāya upahato koviḷāro’’’ti cintetvā ‘‘anupādinnampi tāva jarā haññati, kimaṅga pana upādinna’’nti aniccasaññaṃ paṭilabhi. Tadanusāreneva sabbasaṅkhāre dukkhato anattato ca vipassanto ‘‘aho vatāhampi sañchinnapatto koviḷāro viya apetagihibyañjano bhaveyya’’nti patthayamāno anupubbena tasmiṃ sayanatale dakkhiṇena passena nipannoyeva paccekabodhiṃ sacchākāsi. Tato gamanakāle amaccehi ‘‘kālo gantuṃ, mahārājā’’ti vutte ‘‘nāhaṃ rājā’’tiādīni vatvā purimanayeneva imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘โอโรปยิตฺวา คิหิพฺยญฺชนานิ, สญฺฉินฺนปโตฺต ยถา โกวิฬาโร;

    ‘‘Oropayitvā gihibyañjanāni, sañchinnapatto yathā koviḷāro;

    เฉตฺวาน วีโร คิหิพนฺธนานิ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Chetvāna vīro gihibandhanāni, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ โอโรปยิตฺวาติ อปเนตฺวาฯ คิหิพฺยญฺชนานีติ เกสมสฺสุโอทาตวตฺถาลงฺการมาลาคนฺธวิเลปนอิตฺถิปุตฺตทาสิทาสาทีนิฯ เอตานิ หิ คิหิภาวํ พฺยญฺชยนฺติ, ตสฺมา ‘‘คิหิพฺยญฺชนานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ สญฺฉินฺนปโตฺตติ ปติตปโตฺตฯ เฉตฺวานาติ มคฺคญาเณน ฉินฺทิตฺวาฯ วีโรติ มคฺควีริยสมนฺนาคโตฯ คิหิพนฺธนานีติ กามพนฺธนานิฯ กามา หิ คิหีนํ พนฺธนานิฯ อยํ ตาว ปทโตฺถฯ

    Tattha oropayitvāti apanetvā. Gihibyañjanānīti kesamassuodātavatthālaṅkāramālāgandhavilepanaitthiputtadāsidāsādīni. Etāni hi gihibhāvaṃ byañjayanti, tasmā ‘‘gihibyañjanānī’’ti vuccanti. Sañchinnapattoti patitapatto. Chetvānāti maggañāṇena chinditvā. Vīroti maggavīriyasamannāgato. Gihibandhanānīti kāmabandhanāni. Kāmā hi gihīnaṃ bandhanāni. Ayaṃ tāva padattho.

    อยํ ปน อธิปฺปาโย – ‘‘อโห วตาหมฺปิ โอโรปยิตฺวา คิหิพฺยญฺชนานิ สญฺฉินฺนปโตฺต ยถา โกวิฬาโร ภเวยฺย’’นฺติ เอวญฺหิ จินฺตยมาโน วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Ayaṃ pana adhippāyo – ‘‘aho vatāhampi oropayitvā gihibyañjanāni sañchinnapatto yathā koviḷāro bhaveyya’’nti evañhi cintayamāno vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ adhigatomhīti. Sesaṃ purimanayeneva veditabbanti.

    โกวิฬารคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ ปฐโม วโคฺค นิฎฺฐิโตฯ

    Koviḷāragāthāvaṇṇanā samattā. Paṭhamo vaggo niṭṭhito.

    ๔๕-๔๖. สเจ ลเภถาติ กา อุปฺปตฺติ? ปุเพฺพ กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน เทฺว ปเจฺจกโพธิสตฺตา ปพฺพชิตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา เทวโลเก อุปฺปนฺนาฯ ตโต จวิตฺวา เตสํ เชฎฺฐโก พาราณสิรโญฺญ ปุโตฺต อโหสิ, กนิโฎฺฐ ปุโรหิตสฺส ปุโตฺต อโหสิฯ เต เอกทิวสํเยว ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา เอกทิวสเมว มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิตฺวา สหปํสุกีฬิตสหายกา อเหสุํฯ ปุโรหิตปุโตฺต ปญฺญวา อโหสิฯ โส ราชปุตฺตํ อาห – ‘‘สมฺม, ตฺวํ ปิตุโน อจฺจเยน รชฺชํ ลภิสฺสสิ, อหํ ปุโรหิตฎฺฐานํ, สุสิกฺขิเตน จ สุขํ รชฺชํ อนุสาสิตุํ สกฺกา, เอหิ สิปฺปํ อุคฺคเหสฺสามา’’ติฯ ตโต อุโภปิ ปุโพฺพปจิตกมฺมา หุตฺวา คามนิคมาทีสุ ภิกฺขํ จรมานา ปจฺจนฺตชนปทคามํ คตาฯ ตญฺจ คามํ ปเจฺจกพุทฺธา ภิกฺขาจารเวลาย ปวิสนฺติฯ อถ มนุสฺสา ปเจฺจกพุเทฺธ ทิสฺวา อุสฺสาหชาตา อาสนานิ ปญฺญาเปนฺติ, ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ อุปนาเมนฺติ, มาเนนฺติ, ปูเชนฺติฯ เตสํ เอตทโหสิ – ‘‘อเมฺหหิ สทิสา อุจฺจากุลิกา นาม นตฺถิ, อถ จ ปนิเม มนุสฺสา ยทิ อิจฺฉนฺติ, อมฺหากํ ภิกฺขํ เทนฺติ, ยทิ จ นิจฺฉนฺติ, น เทนฺติ, อิเมสํ ปน ปพฺพชิตานํ เอวรูปํ สกฺการํ กโรนฺติ, อทฺธา เอเต กิญฺจิ สิปฺปํ ชานนฺติ, หนฺท เนสํ สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหามา’’ติฯ

    45-46.Sacelabhethāti kā uppatti? Pubbe kira kassapassa bhagavato sāsane dve paccekabodhisattā pabbajitvā vīsati vassasahassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā devaloke uppannā. Tato cavitvā tesaṃ jeṭṭhako bārāṇasirañño putto ahosi, kaniṭṭho purohitassa putto ahosi. Te ekadivasaṃyeva paṭisandhiṃ gahetvā ekadivasameva mātukucchito nikkhamitvā sahapaṃsukīḷitasahāyakā ahesuṃ. Purohitaputto paññavā ahosi. So rājaputtaṃ āha – ‘‘samma, tvaṃ pituno accayena rajjaṃ labhissasi, ahaṃ purohitaṭṭhānaṃ, susikkhitena ca sukhaṃ rajjaṃ anusāsituṃ sakkā, ehi sippaṃ uggahessāmā’’ti. Tato ubhopi pubbopacitakammā hutvā gāmanigamādīsu bhikkhaṃ caramānā paccantajanapadagāmaṃ gatā. Tañca gāmaṃ paccekabuddhā bhikkhācāravelāya pavisanti. Atha manussā paccekabuddhe disvā ussāhajātā āsanāni paññāpenti, paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ upanāmenti, mānenti, pūjenti. Tesaṃ etadahosi – ‘‘amhehi sadisā uccākulikā nāma natthi, atha ca panime manussā yadi icchanti, amhākaṃ bhikkhaṃ denti, yadi ca nicchanti, na denti, imesaṃ pana pabbajitānaṃ evarūpaṃ sakkāraṃ karonti, addhā ete kiñci sippaṃ jānanti, handa nesaṃ santike sippaṃ uggaṇhāmā’’ti.

    เต มนุเสฺสสุ ปฎิกฺกเนฺตสุ โอกาสํ ลภิตฺวา ‘‘ยํ, ภเนฺต, ตุเมฺห สิปฺปํ ชานาถ, ตํ อเมฺหปิ สิกฺขาเปถา’’ติ ยาจิํสุฯ ปเจฺจกพุทฺธา ‘‘น สกฺกา อปพฺพชิเตน สิกฺขิตุ’’นฺติ อาหํสุฯ เต ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปพฺพชิํสุฯ ตโต เนสํ ปเจฺจกพุทฺธา ‘‘เอวํ โว นิวาเสตพฺพํ, เอวํ ปารุปิตพฺพ’’นฺติอาทินา นเยน อาภิสมาจาริกํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิมสฺส สิปฺปสฺส เอกีภาวาภิรติ นิปฺผตฺติ, ตสฺมา เอเกเนว นิสีทิตพฺพํ, เอเกน จงฺกมิตพฺพํ, ฐาตพฺพํ, สยิตพฺพ’’นฺติ ปาฎิเยกฺกํ ปณฺณสาลมทํสุฯ ตโต เต อตฺตโน อตฺตโน ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา นิสีทิํสุฯ ปุโรหิตปุโตฺต นิสินฺนกาลโต ปภุติ จิตฺตสมาธานํ ลทฺธา ฌานํ ลภิฯ ราชปุโตฺต มุหุเตฺตเนว อุกฺกณฺฐิโต ตสฺส สนฺติกํ อาคโตฯ โส ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ, สมฺมา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อุกฺกณฺฐิโตมฺหี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ อิธ นิสีทา’’ติฯ โส ตตฺถ มุหุตฺตํ นิสีทิตฺวา อาห – ‘‘อิมสฺส กิร, สมฺม, สิปฺปสฺส เอกีภาวาภิรติ นิปฺผตฺตี’’ติ ปุโรหิตปุโตฺต ‘‘เอวํ, สมฺม, เตน หิ ตฺวํ อตฺตโน นิสิโนฺนกาสํ เอว คจฺฉ, อุคฺคเหสฺสามิ อิมสฺส สิปฺปสฺส นิปฺผตฺติ’’นฺติ อาหฯ โส คนฺตฺวา ปุนปิ มุหุเตฺตเนว อุกฺกณฺฐิโต ปุริมนเยเนว ติกฺขตฺตุํ อาคโตฯ

    Te manussesu paṭikkantesu okāsaṃ labhitvā ‘‘yaṃ, bhante, tumhe sippaṃ jānātha, taṃ amhepi sikkhāpethā’’ti yāciṃsu. Paccekabuddhā ‘‘na sakkā apabbajitena sikkhitu’’nti āhaṃsu. Te pabbajjaṃ yācitvā pabbajiṃsu. Tato nesaṃ paccekabuddhā ‘‘evaṃ vo nivāsetabbaṃ, evaṃ pārupitabba’’ntiādinā nayena ābhisamācārikaṃ ācikkhitvā ‘‘imassa sippassa ekībhāvābhirati nipphatti, tasmā ekeneva nisīditabbaṃ, ekena caṅkamitabbaṃ, ṭhātabbaṃ, sayitabba’’nti pāṭiyekkaṃ paṇṇasālamadaṃsu. Tato te attano attano paṇṇasālaṃ pavisitvā nisīdiṃsu. Purohitaputto nisinnakālato pabhuti cittasamādhānaṃ laddhā jhānaṃ labhi. Rājaputto muhutteneva ukkaṇṭhito tassa santikaṃ āgato. So taṃ disvā ‘‘kiṃ, sammā’’ti pucchi. ‘‘Ukkaṇṭhitomhī’’ti āha. ‘‘Tena hi idha nisīdā’’ti. So tattha muhuttaṃ nisīditvā āha – ‘‘imassa kira, samma, sippassa ekībhāvābhirati nipphattī’’ti purohitaputto ‘‘evaṃ, samma, tena hi tvaṃ attano nisinnokāsaṃ eva gaccha, uggahessāmi imassa sippassa nipphatti’’nti āha. So gantvā punapi muhutteneva ukkaṇṭhito purimanayeneva tikkhattuṃ āgato.

    ตโต นํ ปุโรหิตปุโตฺต ตเถว อุโยฺยเชตฺวา ตสฺมิํ คเต จิเนฺตสิ ‘‘อยํ อตฺตโน จ กมฺมํ หาเปติ, มม จ อิธาภิกฺขณํ อาคจฺฉโนฺต’’ติฯ โส ปณฺณสาลโต นิกฺขมฺม อรญฺญํ ปวิโฎฺฐฯ อิตโร อตฺตโน ปณฺณสาลาเยว นิสิโนฺน ปุนปิ มุหุเตฺตเนว อุกฺกณฺฐิโต หุตฺวา ตสฺส ปณฺณสาลํ อาคนฺตฺวา อิโต จิโต จ มคฺคโนฺตปิ ตํ อทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘โย คหฎฺฐกาเล ปณฺณาการมฺปิ อาทาย อาคโต มํ ทฎฺฐุํ น ลภติ, โส นาม มยิ อาคเต ทสฺสนมฺปิ อทาตุกาโม ปกฺกามิ, อโห, เร จิตฺต, น ลชฺชสิ, ยํ มํ จตุกฺขตฺตุํ อิธาเนสิ, โสทานิ เต วเส น วตฺติสฺสามิ, อญฺญทตฺถุ ตํเยว มม วเส วตฺตาเปสฺสามี’’ติ อตฺตโน เสนาสนํ ปวิสิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อากาเสน นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ อิตโรปิ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา ตเตฺถว อคมาสิฯ เต อุโภปิ มโนสิลาตเล นิสีทิตฺวา ปาฎิเยกฺกํ ปาฎิเยกฺกํ อิมา อุทานคาถาโย อภาสิํสุ –

    Tato naṃ purohitaputto tatheva uyyojetvā tasmiṃ gate cintesi ‘‘ayaṃ attano ca kammaṃ hāpeti, mama ca idhābhikkhaṇaṃ āgacchanto’’ti. So paṇṇasālato nikkhamma araññaṃ paviṭṭho. Itaro attano paṇṇasālāyeva nisinno punapi muhutteneva ukkaṇṭhito hutvā tassa paṇṇasālaṃ āgantvā ito cito ca maggantopi taṃ adisvā cintesi – ‘‘yo gahaṭṭhakāle paṇṇākārampi ādāya āgato maṃ daṭṭhuṃ na labhati, so nāma mayi āgate dassanampi adātukāmo pakkāmi, aho, re citta, na lajjasi, yaṃ maṃ catukkhattuṃ idhānesi, sodāni te vase na vattissāmi, aññadatthu taṃyeva mama vase vattāpessāmī’’ti attano senāsanaṃ pavisitvā vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchikatvā ākāsena nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi. Itaropi araññaṃ pavisitvā vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchikatvā tattheva agamāsi. Te ubhopi manosilātale nisīditvā pāṭiyekkaṃ pāṭiyekkaṃ imā udānagāthāyo abhāsiṃsu –

    ‘‘สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ, สทฺธิํ จรํ สาธุวิหาริ ธีรํ;

    ‘‘Sace labhetha nipakaṃ sahāyaṃ, saddhiṃ caraṃ sādhuvihāri dhīraṃ;

    อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ, จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมาฯ

    Abhibhuyya sabbāni parissayāni, careyya tenattamano satīmā.

    ‘‘โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ, สทฺธิํ จรํ สาธุวิหาริ ธีรํ;

    ‘‘No ce labhetha nipakaṃ sahāyaṃ, saddhiṃ caraṃ sādhuvihāri dhīraṃ;

    ราชาว รฎฺฐํ วิชิตํ ปหาย, เอโก จเร มาตงฺครเญฺญว นาโค’’ติฯ

    Rājāva raṭṭhaṃ vijitaṃ pahāya, eko care mātaṅgaraññeva nāgo’’ti.

    ตตฺถ นิปกนฺติ ปกตินิปุณํ ปณฺฑิตํ กสิณปริกมฺมาทีสุ กุสลํฯ สาธุวิหารินฺติ อปฺปนาวิหาเรน วา อุปจาเรน วา สมนฺนาคตํฯ ธีรนฺติ ธิติสมฺปนฺนํฯ ตตฺถ นิปกเตฺตน ธิติสมฺปทา วุตฺตาฯ อิธ ปน ธิติสมฺปนฺนเมวาติ อโตฺถฯ ธิติ นาม อสิถิลปรกฺกมตา, ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จา’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๔; อ. นิ. ๒.๕; มหานิ. ๑๙๖) เอวํ ปวตฺตวีริยเสฺสตํ อธิวจนํฯ อปิจ ธิกตปาโปติปิ ธีโรฯ ราชาว รฎฺฐํ วิชิตํ ปหายาติ ยถา ปฎิราชา ‘‘วิชิตํ รฎฺฐํ อนตฺถาวห’’นฺติ ญตฺวา รชฺชํ ปหาย เอโก จรติ, เอวํ พาลสหายํ ปหาย เอโก จเรฯ อถ วา ราชาว รฎฺฐนฺติ ยถา สุตโสโม ราชา วิชิตํ รฎฺฐํ ปหาย เอโก จริ, ยถา จ มหาชนโก, เอวํ เอโก จเรติ อยมฺปิ ตสฺสโตฺถฯ เสสํ วุตฺตานุสาเรน สกฺกา ชานิตุนฺติ น วิตฺถาริตนฺติฯ

    Tattha nipakanti pakatinipuṇaṃ paṇḍitaṃ kasiṇaparikammādīsu kusalaṃ. Sādhuvihārinti appanāvihārena vā upacārena vā samannāgataṃ. Dhīranti dhitisampannaṃ. Tattha nipakattena dhitisampadā vuttā. Idha pana dhitisampannamevāti attho. Dhiti nāma asithilaparakkamatā, ‘‘kāmaṃ taco ca nhāru cā’’ti (ma. ni. 2.184; a. ni. 2.5; mahāni. 196) evaṃ pavattavīriyassetaṃ adhivacanaṃ. Apica dhikatapāpotipi dhīro. Rājāva raṭṭhaṃ vijitaṃ pahāyāti yathā paṭirājā ‘‘vijitaṃ raṭṭhaṃ anatthāvaha’’nti ñatvā rajjaṃ pahāya eko carati, evaṃ bālasahāyaṃ pahāya eko care. Atha vā rājāva raṭṭhanti yathā sutasomo rājā vijitaṃ raṭṭhaṃ pahāya eko cari, yathā ca mahājanako, evaṃ eko careti ayampi tassattho. Sesaṃ vuttānusārena sakkā jānitunti na vitthāritanti.

    สหายคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Sahāyagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๔๗. อทฺธา ปสํสามาติ อิมิสฺสา คาถาย ยาว อากาสตเล ปญฺญตฺตาสเน ปเจฺจกพุทฺธานํ นิสชฺชา, ตาว จาตุทฺทิสคาถาย อุปฺปตฺติสทิสา เอว อุปฺปตฺติฯ อยํ ปน วิเสโส – ยถา โส ราชา รตฺติยา ติกฺขตฺตุํ อุพฺพิชฺชิ, น ตถา อยํ, เนวสฺส ยโญฺญ ปจฺจุปฎฺฐิโต อโหสิฯ โส อากาสตเล ปญฺญเตฺตสุ อาสเนสุ ปเจฺจกพุเทฺธ นิสีทาเปตฺวา ‘‘เก ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยํ, มหาราช, อนวชฺชโภชิโน นามา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ‘อนวชฺชโภชิโน’ติ อิมสฺส โก อโตฺถ’’ติ? ‘‘สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วา ลทฺธา นิพฺพิการา ภุญฺชาม, มหาราชา’’ติฯ ตํ สุตฺวา รโญฺญ เอตทโหสิ ‘‘ยํนูนาหํ อิเม อุปปริเกฺขยฺยํ เอทิสา วา โน วา’’ติฯ ตํ ทิวสํ กณาชเกน พิลงฺคทุติเยน ปริวิสิฯ ปเจฺจกพุทฺธา อมตํ ภุญฺชนฺตา วิย นิพฺพิการา ภุญฺชิํสุฯ ราชา ‘‘โหนฺติ นาม เอกทิวสํ ปฎิญฺญาตตฺตา นิพฺพิการา, เสฺว ชานิสฺสามี’’ติ สฺวาตนายปิ นิมเนฺตสิฯ ตโต ทุติยทิวเสปิ ตเถวากาสิฯ เตปิ ตเถว ปริภุญฺชิํสุฯ อถ ราชา ‘‘อิทานิ สุนฺทรํ ทตฺวา วีมํสิสฺสามี’’ติ ปุนปิ นิมเนฺตตฺวา, เทฺว ทิวเส มหาสกฺการํ กตฺวา, ปณีเตน อติวิจิเตฺรน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิฯ เตปิ ตเถว นิพฺพิการา ภุญฺชิตฺวา รโญฺญ มงฺคลํ วตฺวา ปกฺกมิํสุฯ ราชา อจิรปกฺกเนฺตสุ เตสุ ‘‘อนวชฺชโภชิโนว เอเต สมณา, อโห วตาหมฺปิ อนวชฺชโภชี ภเวยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา มหารชฺชํ ปหาย ปพฺพชฺชํ สมาทาย วิปสฺสนํ อารภิตฺวา, ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา, มญฺชูสกรุกฺขมูเล ปเจฺจกพุทฺธานํ มเชฺฌ อตฺตโน อารมฺมณํ วิภาเวโนฺต อิมํ คาถํ อภาสิ –

    47.Addhā pasaṃsāmāti imissā gāthāya yāva ākāsatale paññattāsane paccekabuddhānaṃ nisajjā, tāva cātuddisagāthāya uppattisadisā eva uppatti. Ayaṃ pana viseso – yathā so rājā rattiyā tikkhattuṃ ubbijji, na tathā ayaṃ, nevassa yañño paccupaṭṭhito ahosi. So ākāsatale paññattesu āsanesu paccekabuddhe nisīdāpetvā ‘‘ke tumhe’’ti pucchi. ‘‘Mayaṃ, mahārāja, anavajjabhojino nāmā’’ti. ‘‘Bhante, ‘anavajjabhojino’ti imassa ko attho’’ti? ‘‘Sundaraṃ vā asundaraṃ vā laddhā nibbikārā bhuñjāma, mahārājā’’ti. Taṃ sutvā rañño etadahosi ‘‘yaṃnūnāhaṃ ime upaparikkheyyaṃ edisā vā no vā’’ti. Taṃ divasaṃ kaṇājakena bilaṅgadutiyena parivisi. Paccekabuddhā amataṃ bhuñjantā viya nibbikārā bhuñjiṃsu. Rājā ‘‘honti nāma ekadivasaṃ paṭiññātattā nibbikārā, sve jānissāmī’’ti svātanāyapi nimantesi. Tato dutiyadivasepi tathevākāsi. Tepi tatheva paribhuñjiṃsu. Atha rājā ‘‘idāni sundaraṃ datvā vīmaṃsissāmī’’ti punapi nimantetvā, dve divase mahāsakkāraṃ katvā, paṇītena ativicitrena khādanīyena bhojanīyena parivisi. Tepi tatheva nibbikārā bhuñjitvā rañño maṅgalaṃ vatvā pakkamiṃsu. Rājā acirapakkantesu tesu ‘‘anavajjabhojinova ete samaṇā, aho vatāhampi anavajjabhojī bhaveyya’’nti cintetvā mahārajjaṃ pahāya pabbajjaṃ samādāya vipassanaṃ ārabhitvā, paccekabuddho hutvā, mañjūsakarukkhamūle paccekabuddhānaṃ majjhe attano ārammaṇaṃ vibhāvento imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘อทฺธา ปสํสาม สหายสมฺปทํ, เสฎฺฐา สมา เสวิตพฺพา สหายา;

    ‘‘Addhā pasaṃsāma sahāyasampadaṃ, seṭṭhā samā sevitabbā sahāyā;

    เอเต อลทฺธา อนวชฺชโภชี, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Ete aladdhā anavajjabhojī, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    สา ปทตฺถโต อุตฺตานา เอวฯ เกวลํ ปน สหายสมฺปทนฺติ เอตฺถ อเสเขหิ สีลาทิกฺขเนฺธหิ สมฺปนฺนา สหายา เอว สหายสมฺปทาติ เวทิตพฺพาฯ อยํ ปเนตฺถ โยชนา – ยายํ วุตฺตา สหายสมฺปทา, ตํ สหายสมฺปทํ อทฺธา ปสํสาม, เอกํเสเนว โถเมมาติ วุตฺตํ โหติฯ กถํ? เสฎฺฐา สมา เสวิตพฺพา สหายาติฯ กสฺมา? อตฺตโน หิ สีลาทีหิ เสเฎฺฐ เสวมานสฺส สีลาทโย ธมฺมา อนุปฺปนฺนา อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปนฺนา วุทฺธิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ ปาปุณนฺติฯ สเม เสวมานสฺส อญฺญมญฺญํ สมธารเณน กุกฺกุจฺจสฺส วิโนทเนน จ ลทฺธา น ปริหายนฺติฯ เอเต ปน สหายเก เสเฎฺฐ จ สเม จ อลทฺธา กุหนาทิมิจฺฉาชีวํ วเชฺชตฺวา ธเมฺมน สเมน อุปฺปนฺนํ โภชนํ ภุญฺชโนฺต ตตฺถ จ ปฎิฆานุนยํ อนุปฺปาเทโนฺต อนวชฺชโภชี หุตฺวา อตฺถกาโม กุลปุโตฺต เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ อหมฺปิ หิ เอวํ จรโนฺต อิมํ สมฺปตฺติํ อธิคโตมฺหีติฯ

    Sā padatthato uttānā eva. Kevalaṃ pana sahāyasampadanti ettha asekhehi sīlādikkhandhehi sampannā sahāyā eva sahāyasampadāti veditabbā. Ayaṃ panettha yojanā – yāyaṃ vuttā sahāyasampadā, taṃ sahāyasampadaṃ addhā pasaṃsāma, ekaṃseneva thomemāti vuttaṃ hoti. Kathaṃ? Seṭṭhā samā sevitabbā sahāyāti. Kasmā? Attano hi sīlādīhi seṭṭhe sevamānassa sīlādayo dhammā anuppannā uppajjanti, uppannā vuddhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ pāpuṇanti. Same sevamānassa aññamaññaṃ samadhāraṇena kukkuccassa vinodanena ca laddhā na parihāyanti. Ete pana sahāyake seṭṭhe ca same ca aladdhā kuhanādimicchājīvaṃ vajjetvā dhammena samena uppannaṃ bhojanaṃ bhuñjanto tattha ca paṭighānunayaṃ anuppādento anavajjabhojī hutvā atthakāmo kulaputto eko care khaggavisāṇakappo. Ahampi hi evaṃ caranto imaṃ sampattiṃ adhigatomhīti.

    อนวชฺชโภชิคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Anavajjabhojigāthāvaṇṇanā samattā.

    ๔๘. ทิสฺวา สุวณฺณสฺสาติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร พาราณสิราชา คิมฺหสมเย ทิวาเสยฺยํ อุปคโตฯ สนฺติเก จสฺส วณฺณทาสี โคสีตจนฺทนํ ปิสติฯ ตสฺสา เอกพาหายํ เอกํ สุวณฺณวลยํ, เอกพาหายํ เทฺว, ตานิ สงฺฆฎฺฎนฺติ อิตรํ น สงฺฆฎฺฎติฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ‘‘เอวเมว คณวาเส สงฺฆฎฺฎนา, เอกวาเส อสงฺฆฎฺฎนา’’ติ ปุนปฺปุนํ ตํ ทาสิํ โอโลกยมาโน จิเนฺตสิฯ เตน จ สมเยน สพฺพาลงฺการภูสิตา เทวี ตํ พีชยนฺตี ฐิตา โหติฯ สา ‘‘วณฺณทาสิยา ปฎิพทฺธจิโตฺต มเญฺญ ราชา’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ ทาสิํ อุฎฺฐาเปตฺวา สยเมว ปิสิตุมารทฺธา ฯ ตสฺสา อุโภสุ พาหาสุ อเนเก สุวณฺณวลยา, เต สงฺฆฎฺฎนฺตา มหาสทฺทํ ชนยิํสุฯ ราชา สุฎฺฐุตรํ นิพฺพิโนฺน ทกฺขิเณน ปเสฺสน นิปโนฺนเยว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตํ อนุตฺตเรน สุเขน สุขิตํ นิปนฺนํ จนฺทนหตฺถา เทวี อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อาลิมฺปามิ, มหาราชา’’ติ อาหฯ ราชา – ‘‘อเปหิ, มา อาลิมฺปาหี’’ติ อาหฯ สา ‘‘กิสฺส, มหาราชา’’ติ อาหฯ โส ‘‘นาหํ ราชา’’ติฯ เอวเมเตสํ ตํ กถาสลฺลาปํ สุตฺวา อมจฺจา อุปสงฺกมิํสุฯ เตหิปิ มหาราชวาเทน อาลปิโต ‘‘นาหํ, ภเณ, ราชา’’ติ อาหฯ เสสํ ปฐมคาถาย วุตฺตสทิสเมวฯ

    48.Disvāsuvaṇṇassāti kā uppatti? Aññataro bārāṇasirājā gimhasamaye divāseyyaṃ upagato. Santike cassa vaṇṇadāsī gosītacandanaṃ pisati. Tassā ekabāhāyaṃ ekaṃ suvaṇṇavalayaṃ, ekabāhāyaṃ dve, tāni saṅghaṭṭanti itaraṃ na saṅghaṭṭati. Rājā taṃ disvā ‘‘evameva gaṇavāse saṅghaṭṭanā, ekavāse asaṅghaṭṭanā’’ti punappunaṃ taṃ dāsiṃ olokayamāno cintesi. Tena ca samayena sabbālaṅkārabhūsitā devī taṃ bījayantī ṭhitā hoti. Sā ‘‘vaṇṇadāsiyā paṭibaddhacitto maññe rājā’’ti cintetvā taṃ dāsiṃ uṭṭhāpetvā sayameva pisitumāraddhā . Tassā ubhosu bāhāsu aneke suvaṇṇavalayā, te saṅghaṭṭantā mahāsaddaṃ janayiṃsu. Rājā suṭṭhutaraṃ nibbinno dakkhiṇena passena nipannoyeva vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi. Taṃ anuttarena sukhena sukhitaṃ nipannaṃ candanahatthā devī upasaṅkamitvā ‘‘ālimpāmi, mahārājā’’ti āha. Rājā – ‘‘apehi, mā ālimpāhī’’ti āha. Sā ‘‘kissa, mahārājā’’ti āha. So ‘‘nāhaṃ rājā’’ti. Evametesaṃ taṃ kathāsallāpaṃ sutvā amaccā upasaṅkamiṃsu. Tehipi mahārājavādena ālapito ‘‘nāhaṃ, bhaṇe, rājā’’ti āha. Sesaṃ paṭhamagāthāya vuttasadisameva.

    อยํ ปน คาถาวณฺณนา – ทิสฺวาติ โอโลเกตฺวาฯ สุวณฺณสฺสาติ กญฺจนสฺส ‘‘วลยานี’’ติ ปาฐเสโสฯ สาวเสสปาโฐ หิ อยํ อโตฺถฯ ปภสฺสรานีติ ปภาสนสีลานิ, ชุติมนฺตานีติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ อยํ ปน โยชนา – ทิสฺวา ภุชสฺมิํ สุวณฺณสฺส วลยานิ ‘‘คณวาเส สติ สงฺฆฎฺฎนา, เอกวาเส อสงฺฆฎฺฎนา’’ติ เอวํ จิเนฺตโนฺต วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Ayaṃ pana gāthāvaṇṇanā – disvāti oloketvā. Suvaṇṇassāti kañcanassa ‘‘valayānī’’ti pāṭhaseso. Sāvasesapāṭho hi ayaṃ attho. Pabhassarānīti pabhāsanasīlāni, jutimantānīti vuttaṃ hoti. Sesaṃ uttānatthameva. Ayaṃ pana yojanā – disvā bhujasmiṃ suvaṇṇassa valayāni ‘‘gaṇavāse sati saṅghaṭṭanā, ekavāse asaṅghaṭṭanā’’ti evaṃ cintento vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ adhigatomhīti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    สุวณฺณวลยคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Suvaṇṇavalayagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๔๙. เอวํ ทุติเยนาติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร พาราณสิราชา ทหโรว ปพฺพชิตุกาโม อมเจฺจ อาณาเปสิ ‘‘เทวิํ คเหตฺวา รชฺชํ ปริหรถ, อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ อมจฺจา ‘‘น, มหาราช, อราชกํ รชฺชํ อเมฺหหิ สกฺกา รกฺขิตุํ, สามนฺตราชาโน อาคมฺม วิลุมฺปิสฺสนฺติ, ยาว เอกปุโตฺตปิ อุปฺปชฺชติ, ตาว อาคเมหี’’ติ สญฺญาเปสุํฯ มุทุจิโตฺต ราชา อธิวาเสสิฯ อถ เทวี คพฺภํ คณฺหิฯ ราชา ปุนปิ เต อาณาเปสิ – ‘‘เทวี คพฺภินี, ปุตฺตํ ชาตํ รเชฺช อภิสิญฺจิตฺวา รชฺชํ ปริหรถ, อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ อมจฺจา ‘‘ทุชฺชานํ, มหาราช, เอตํ เทวี ปุตฺตํ วา วิชายิสฺสติ ธีตรํ วา, วิชายนกาลํ ตาว อาคเมหี’’ติ ปุนปิ สญฺญาเปสุํฯ อถ สา ปุตฺตํ วิชายิฯ ตทาปิ ราชา ตเถว อมเจฺจ อาณาเปสิฯ อมจฺจา ปุนปิ ราชานํ ‘‘อาคเมหิ, มหาราช, ยาว, ปฎิพโล โหตี’’ติ พหูหิ การเณหิ สญฺญาเปสุํฯ ตโต กุมาเร ปฎิพเล ชาเต อมเจฺจ สนฺนิปาตาเปตฺวา ‘‘ปฎิพโล อยํ, ตํ รเชฺช อภิสิญฺจิตฺวา ปฎิปชฺชถา’’ติ อมจฺจานํ โอกาสํ อทตฺวา อนฺตราปณา กาสายวตฺถาทโย สพฺพปริกฺขาเร อาหราเปตฺวา อเนฺตปุเร เอว ปพฺพชิตฺวา มหาชนโก วิย นิกฺขมิฯ สพฺพปริชโน นานปฺปการกํ ปริเทวมาโน ราชานํ อนุพนฺธิฯ

    49.Evaṃ dutiyenāti kā uppatti? Aññataro bārāṇasirājā daharova pabbajitukāmo amacce āṇāpesi ‘‘deviṃ gahetvā rajjaṃ pariharatha, ahaṃ pabbajissāmī’’ti. Amaccā ‘‘na, mahārāja, arājakaṃ rajjaṃ amhehi sakkā rakkhituṃ, sāmantarājāno āgamma vilumpissanti, yāva ekaputtopi uppajjati, tāva āgamehī’’ti saññāpesuṃ. Muducitto rājā adhivāsesi. Atha devī gabbhaṃ gaṇhi. Rājā punapi te āṇāpesi – ‘‘devī gabbhinī, puttaṃ jātaṃ rajje abhisiñcitvā rajjaṃ pariharatha, ahaṃ pabbajissāmī’’ti. Amaccā ‘‘dujjānaṃ, mahārāja, etaṃ devī puttaṃ vā vijāyissati dhītaraṃ vā, vijāyanakālaṃ tāva āgamehī’’ti punapi saññāpesuṃ. Atha sā puttaṃ vijāyi. Tadāpi rājā tatheva amacce āṇāpesi. Amaccā punapi rājānaṃ ‘‘āgamehi, mahārāja, yāva, paṭibalo hotī’’ti bahūhi kāraṇehi saññāpesuṃ. Tato kumāre paṭibale jāte amacce sannipātāpetvā ‘‘paṭibalo ayaṃ, taṃ rajje abhisiñcitvā paṭipajjathā’’ti amaccānaṃ okāsaṃ adatvā antarāpaṇā kāsāyavatthādayo sabbaparikkhāre āharāpetvā antepure eva pabbajitvā mahājanako viya nikkhami. Sabbaparijano nānappakārakaṃ paridevamāno rājānaṃ anubandhi.

    ราชา ยาว อตฺตโน รชฺชสีมา, ตาว คนฺตฺวา กตฺตรทเณฺฑน เลขํ กตฺวา ‘‘อยํ เลขา นาติกฺกมิตพฺพา’’ติ อาหฯ มหาชโน เลขาย สีสํ กตฺวา, ภูมิยํ นิปโนฺน ปริเทวมาโน ‘‘ตุยฺหํ ทานิ, ตาต, รโญฺญ อาณา, กิํ กริสฺสตี’’ติ กุมารํ เลขํ อติกฺกมาเปสิฯ กุมาโร ‘‘ตาต, ตาตา’’ติ ธาวิตฺวา ราชานํ สมฺปาปุณิฯ ราชา กุมารํ ทิสฺวา ‘‘เอตํ มหาชนํ ปริหรโนฺต รชฺชํ กาเรสิํ, กิํ ทานิ เอกํ ทารกํ ปริหริตุํ น สกฺขิสฺส’’นฺติ กุมารํ คเหตฺวา อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ, ตตฺถ ปุพฺพปเจฺจกพุเทฺธหิ วสิตปณฺณสาลํ ทิสฺวา วาสํ กเปฺปสิ สทฺธิํ ปุเตฺตนฯ ตโต กุมาโร วรสยนาทีสุ กตปริจโย ติณสนฺถารเก วา รชฺชุมญฺจเก วา สยมาโน โรทติฯ สีตวาตาทีหิ ผุโฎฺฐ สมาโน ‘‘สีตํ, ตาต, อุณฺหํ, ตาต, มกฺขิกา, ตาต, ขาทนฺติ, ฉาโตมฺหิ, ตาต, ปิปาสิโตมฺหิ, ตาตา’’ติ วทติฯ ราชา ตํ สญฺญาเปโนฺตเยว รตฺติํ วีตินาเมติฯ ทิวาปิสฺส ปิณฺฑาย จริตฺวา ภตฺตํ อุปนาเมติ, ตํ โหติ มิสฺสกภตฺตํ กงฺคุวรกมุคฺคาทิพหุลํฯ กุมาโร อจฺฉาเทนฺตมฺปิ ตํ ชิฆจฺฉาวเสน ภุญฺชมาโน กติปาเหเนว อุเณฺห ฐปิตปทุมํ วิย มิลายิฯ ปเจฺจกโพธิสโตฺต ปน ปฎิสงฺขานพเลน นิพฺพิกาโรเยว ภุญฺชติฯ

    Rājā yāva attano rajjasīmā, tāva gantvā kattaradaṇḍena lekhaṃ katvā ‘‘ayaṃ lekhā nātikkamitabbā’’ti āha. Mahājano lekhāya sīsaṃ katvā, bhūmiyaṃ nipanno paridevamāno ‘‘tuyhaṃ dāni, tāta, rañño āṇā, kiṃ karissatī’’ti kumāraṃ lekhaṃ atikkamāpesi. Kumāro ‘‘tāta, tātā’’ti dhāvitvā rājānaṃ sampāpuṇi. Rājā kumāraṃ disvā ‘‘etaṃ mahājanaṃ pariharanto rajjaṃ kāresiṃ, kiṃ dāni ekaṃ dārakaṃ pariharituṃ na sakkhissa’’nti kumāraṃ gahetvā araññaṃ paviṭṭho, tattha pubbapaccekabuddhehi vasitapaṇṇasālaṃ disvā vāsaṃ kappesi saddhiṃ puttena. Tato kumāro varasayanādīsu kataparicayo tiṇasanthārake vā rajjumañcake vā sayamāno rodati. Sītavātādīhi phuṭṭho samāno ‘‘sītaṃ, tāta, uṇhaṃ, tāta, makkhikā, tāta, khādanti, chātomhi, tāta, pipāsitomhi, tātā’’ti vadati. Rājā taṃ saññāpentoyeva rattiṃ vītināmeti. Divāpissa piṇḍāya caritvā bhattaṃ upanāmeti, taṃ hoti missakabhattaṃ kaṅguvarakamuggādibahulaṃ. Kumāro acchādentampi taṃ jighacchāvasena bhuñjamāno katipāheneva uṇhe ṭhapitapadumaṃ viya milāyi. Paccekabodhisatto pana paṭisaṅkhānabalena nibbikāroyeva bhuñjati.

    ตโต โส กุมารํ สญฺญาเปโนฺต อาห – ‘‘นครสฺมิํ, ตาต, ปณีตาหาโร ลพฺภติ, ตตฺถ คจฺฉามา’’ติฯ กุมาโร ‘‘อาม, ตาตา’’ติ อาหฯ ตโต นํ ปุรกฺขตฺวา อาคตมเคฺคเนว นิวตฺติฯ กุมารมาตาปิ เทวี ‘‘น ทานิ ราชา กุมารํ คเหตฺวา อรเญฺญ จิรํ วสิสฺสติ, กติปาเหเนว นิวตฺติสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา รญฺญา กตฺตรทเณฺฑน ลิขิตฎฺฐาเนเยว วติํ การาเปตฺวา วาสํ กเปฺปสิฯ ตโต ราชา ตสฺสา วติยา อวิทูเร ฐตฺวา ‘‘เอตฺถ เต, ตาต, มาตา นิสินฺนา, คจฺฉาหี’’ติ เปเสสิฯ ยาว จ โส ตํ ฐานํ ปาปุณาติ, ตาว อุทิกฺขโนฺต อฎฺฐาสิ ‘‘มา เหว นํ โกจิ วิเหเฐยฺยา’’ติฯ กุมาโร มาตุ สนฺติกํ ธาวโนฺต อคมาสิฯ อารกฺขกปุริสา จ นํ ทิสฺวา เทวิยา อาโรเจสุํฯ เทวี วีสตินาฎกิตฺถิสหสฺสปริวุตา คนฺตฺวา ปฎิคฺคเหสิ, รโญฺญ จ ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ อถ ‘‘ปจฺฉโต อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวา มนุเสฺส เปเสสิฯ ราชาปิ ตาวเทว สกวสติํ อคมาสิฯ มนุสฺสา ราชานํ อทิสฺวา นิวตฺติํสุฯ ตโต เทวี นิราสาว หุตฺวา, ปุตฺตํ คเหตฺวา, นครํ คนฺตฺวา, ตํ รเชฺช อภิสิญฺจิฯ ราชาปิ อตฺตโน วสติํ ปตฺวา, ตตฺถ นิสิโนฺน วิปสฺสิตฺวา, ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา, มญฺชูสกรุกฺขมูเล ปเจฺจกพุทฺธานํ มเชฺฌ อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    Tato so kumāraṃ saññāpento āha – ‘‘nagarasmiṃ, tāta, paṇītāhāro labbhati, tattha gacchāmā’’ti. Kumāro ‘‘āma, tātā’’ti āha. Tato naṃ purakkhatvā āgatamaggeneva nivatti. Kumāramātāpi devī ‘‘na dāni rājā kumāraṃ gahetvā araññe ciraṃ vasissati, katipāheneva nivattissatī’’ti cintetvā raññā kattaradaṇḍena likhitaṭṭhāneyeva vatiṃ kārāpetvā vāsaṃ kappesi. Tato rājā tassā vatiyā avidūre ṭhatvā ‘‘ettha te, tāta, mātā nisinnā, gacchāhī’’ti pesesi. Yāva ca so taṃ ṭhānaṃ pāpuṇāti, tāva udikkhanto aṭṭhāsi ‘‘mā heva naṃ koci viheṭheyyā’’ti. Kumāro mātu santikaṃ dhāvanto agamāsi. Ārakkhakapurisā ca naṃ disvā deviyā ārocesuṃ. Devī vīsatināṭakitthisahassaparivutā gantvā paṭiggahesi, rañño ca pavattiṃ pucchi. Atha ‘‘pacchato āgacchatī’’ti sutvā manusse pesesi. Rājāpi tāvadeva sakavasatiṃ agamāsi. Manussā rājānaṃ adisvā nivattiṃsu. Tato devī nirāsāva hutvā, puttaṃ gahetvā, nagaraṃ gantvā, taṃ rajje abhisiñci. Rājāpi attano vasatiṃ patvā, tattha nisinno vipassitvā, paccekabodhiṃ sacchikatvā, mañjūsakarukkhamūle paccekabuddhānaṃ majjhe imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘เอวํ ทุติเยน สห มมสฺส, วาจาภิลาโป อภิสชฺชนา วา;

    ‘‘Evaṃ dutiyena saha mamassa, vācābhilāpo abhisajjanā vā;

    เอตํ ภยํ อายติํ เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Etaṃ bhayaṃ āyatiṃ pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    สา ปทตฺถโต อุตฺตานา เอวฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – ยฺวายํ เอเตน ทุติเยน กุมาเรน สีตุณฺหาทีนิ นิเวเทเนฺตน สหวาเสน ตํ สญฺญาเปนฺตสฺส มม วาจาภิลาโป, ตสฺมิํ สิเนหวเสน อภิสชฺชนา จ ชาตา, สเจ อหํ อิมํ น ปริจฺจชามิ, ตโต อายติมฺปิ เหสฺสติ ยเถว อิทานิ; เอวํ ทุติเยน สห มมสฺส วาจาภิลาโป อภิสชฺชนา วาฯ อุภยมฺปิ เจตํ อนฺตรายกรํ วิเสสาธิคมสฺสาติ เอตํ ภยํ อายติํ เปกฺขมาโน ตํ ฉเฑฺฑตฺวา โยนิโส ปฎิปชฺชิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Sā padatthato uttānā eva. Ayaṃ panettha adhippāyo – yvāyaṃ etena dutiyena kumārena sītuṇhādīni nivedentena sahavāsena taṃ saññāpentassa mama vācābhilāpo, tasmiṃ sinehavasena abhisajjanā ca jātā, sace ahaṃ imaṃ na pariccajāmi, tato āyatimpi hessati yatheva idāni; evaṃ dutiyena saha mamassa vācābhilāpo abhisajjanā vā. Ubhayampi cetaṃ antarāyakaraṃ visesādhigamassāti etaṃ bhayaṃ āyatiṃ pekkhamāno taṃ chaḍḍetvā yoniso paṭipajjitvā paccekabodhiṃ adhigatomhīti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อายติภยคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Āyatibhayagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๕๐. กามา หิ จิตฺราติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร เสฎฺฐิปุโตฺต ทหโรว เสฎฺฐิฎฺฐานํ ลภิฯ ตสฺส ติณฺณํ อุตูนํ ตโย ปาสาทา โหนฺติ ฯ โส ตตฺถ สพฺพสมฺปตฺตีหิ เทวกุมาโร วิย ปริจาเรติฯ โส ทหโรว สมาโน ‘‘ปพฺพชิสฺสามี’’ติ มาตาปิตโร ยาจิฯ เต นํ วาเรนฺติฯ โส ตเถว นิพนฺธติฯ ปุนปิ นํ มาตาปิตโร ‘‘ตฺวํ, ตาต, สุขุมาโล, ทุกฺกรา ปพฺพชฺชา, ขุรธาราย อุปริ จงฺกมนสทิสา’’ติ นานปฺปกาเรหิ วาเรนฺติฯ โส ตเถว นิพนฺธติฯ เต จิเนฺตสุํ ‘‘สจายํ ปพฺพชติ, อมฺหากํ โทมนสฺสํ โหติฯ สเจ นํ นิวาเรม, เอตสฺส โทมนสฺสํ โหติฯ อปิจ อมฺหากํ โทมนสฺสํ โหตุ, มา จ เอตสฺสา’’ติ อนุชานิํสุฯ ตโต โส สพฺพปริชนํ ปริเทวมานํ อนาทิยิตฺวา อิสิปตนํ คนฺตฺวา ปเจฺจกพุทฺธานํ สนฺติเก ปพฺพชิฯ ตสฺส อุฬารเสนาสนํ น ปาปุณาติ, มญฺจเก ตฎฺฎิกํ ปตฺถริตฺวา สยิฯ โส วรสยเน กตปริจโย สพฺพรตฺติํ อติทุกฺขิโต อโหสิฯ ปภาเตปิ สรีรปริกมฺมํ กตฺวา, ปตฺตจีวรมาทาย ปเจฺจกพุเทฺธหิ สทฺธิํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ ตตฺถ วุฑฺฒา อคฺคาสนญฺจ อคฺคปิณฺฑญฺจ ลภนฺติ, นวกา ยํกิญฺจิเทว อาสนํ ลูขโภชนญฺจฯ โส เตน ลูขโภชเนนาปิ อติทุกฺขิโต อโหสิฯ โส กติปาหํเยว กิโส ทุพฺพโณฺณ หุตฺวา นิพฺพิชฺชิ ยถา ตํ อปริปากคเต สมณธเมฺมฯ ตโต มาตาปิตูนํ ทูตํ เปเสตฺวา อุปฺปพฺพชิฯ โส กติปาหํเยว พลํ คเหตฺวา ปุนปิ ปพฺพชิตุกาโม อโหสิฯ ตโต เตเนว กเมน ปพฺพชิตฺวา ปุนปิ อุปฺปพฺพชิตฺวา ตติยวาเร ปพฺพชิตฺวา สมฺมา ปฎิปโนฺน ปเจฺจกสโมฺพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ วตฺวา ปุน ปเจฺจกพุทฺธานํ มเชฺฌ อิมเมว พฺยากรณคาถํ อภาสิ –

    50.Kāmā hi citrāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira seṭṭhiputto daharova seṭṭhiṭṭhānaṃ labhi. Tassa tiṇṇaṃ utūnaṃ tayo pāsādā honti . So tattha sabbasampattīhi devakumāro viya paricāreti. So daharova samāno ‘‘pabbajissāmī’’ti mātāpitaro yāci. Te naṃ vārenti. So tatheva nibandhati. Punapi naṃ mātāpitaro ‘‘tvaṃ, tāta, sukhumālo, dukkarā pabbajjā, khuradhārāya upari caṅkamanasadisā’’ti nānappakārehi vārenti. So tatheva nibandhati. Te cintesuṃ ‘‘sacāyaṃ pabbajati, amhākaṃ domanassaṃ hoti. Sace naṃ nivārema, etassa domanassaṃ hoti. Apica amhākaṃ domanassaṃ hotu, mā ca etassā’’ti anujāniṃsu. Tato so sabbaparijanaṃ paridevamānaṃ anādiyitvā isipatanaṃ gantvā paccekabuddhānaṃ santike pabbaji. Tassa uḷārasenāsanaṃ na pāpuṇāti, mañcake taṭṭikaṃ pattharitvā sayi. So varasayane kataparicayo sabbarattiṃ atidukkhito ahosi. Pabhātepi sarīraparikammaṃ katvā, pattacīvaramādāya paccekabuddhehi saddhiṃ piṇḍāya pāvisi. Tattha vuḍḍhā aggāsanañca aggapiṇḍañca labhanti, navakā yaṃkiñcideva āsanaṃ lūkhabhojanañca. So tena lūkhabhojanenāpi atidukkhito ahosi. So katipāhaṃyeva kiso dubbaṇṇo hutvā nibbijji yathā taṃ aparipākagate samaṇadhamme. Tato mātāpitūnaṃ dūtaṃ pesetvā uppabbaji. So katipāhaṃyeva balaṃ gahetvā punapi pabbajitukāmo ahosi. Tato teneva kamena pabbajitvā punapi uppabbajitvā tatiyavāre pabbajitvā sammā paṭipanno paccekasambodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ vatvā puna paccekabuddhānaṃ majjhe imameva byākaraṇagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘กามา หิ จิตฺรา มธุรา มโนรมา, วิรูปรูเปน มเถนฺติ จิตฺตํ;

    ‘‘Kāmā hi citrā madhurā manoramā, virūparūpena mathenti cittaṃ;

    อาทีนวํ กามคุเณสุ ทิสฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Ādīnavaṃ kāmaguṇesu disvā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ กามาติ เทฺว กามา วตฺถุกามา จ กิเลสกามา จฯ ตตฺถ วตฺถุกามา มนาปิยรูปาทโย ธมฺมา, กิเลสกามา ฉนฺทาทโย สเพฺพปิ ราคปฺปเภทาฯ อิธ ปน วตฺถุกามา อธิเปฺปตาฯ รูปาทิอเนกปฺปการวเสน จิตฺราฯ โลกสฺสาทวเสน มธุราฯ พาลปุถุชฺชนานํ มนํ รเมนฺตีติ มโนรมาฯ วิรูปรูเปนาติ วิรูเปน รูเปน, อเนกวิเธน สภาเวนาติ วุตฺตํ โหติฯ เต หิ รูปาทิวเสน จิตฺรา, รูปาทีสุปิ นีลาทิวเสน วิวิธรูปาฯ เอวํ เตน วิรูปรูเปน ตถา ตถา อสฺสาทํ ทเสฺสตฺวา มเถนฺติ จิตฺตํ ปพฺพชฺชาย อภิรมิตุํ น เทนฺตีติฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ นิคมนมฺปิ ทฺวีหิ ตีหิ วา ปเทหิ โยเชตฺวา ปุริมคาถาสุ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tattha kāmāti dve kāmā vatthukāmā ca kilesakāmā ca. Tattha vatthukāmā manāpiyarūpādayo dhammā, kilesakāmā chandādayo sabbepi rāgappabhedā. Idha pana vatthukāmā adhippetā. Rūpādianekappakāravasena citrā. Lokassādavasena madhurā. Bālaputhujjanānaṃ manaṃ ramentīti manoramā. Virūparūpenāti virūpena rūpena, anekavidhena sabhāvenāti vuttaṃ hoti. Te hi rūpādivasena citrā, rūpādīsupi nīlādivasena vividharūpā. Evaṃ tena virūparūpena tathā tathā assādaṃ dassetvā mathenti cittaṃ pabbajjāya abhiramituṃ na dentīti. Sesamettha pākaṭameva. Nigamanampi dvīhi tīhi vā padehi yojetvā purimagāthāsu vuttanayeneva veditabbanti.

    กามคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Kāmagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๕๑. อีตี จาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร รโญฺญ คโณฺฑ อุทปาทิฯ พาฬฺหา เวทนา วตฺตนฺติฯ เวชฺชา ‘‘สตฺถกเมฺมน วินา ผาสุ น โหตี’’ติ ภณนฺติฯ ราชา เตสํ อภยํ ทตฺวา สตฺถกมฺมํ การาเปสิฯ เต ผาเลตฺวา, ปุพฺพโลหิตํ นีหริตฺวา, นิเพฺพทนํ กตฺวา, วณํ ปเฎฺฎน พนฺธิํสุ, อาหาราจาเรสุ จ นํ สมฺมา โอวทิํสุฯ ราชา ลูขโภชเนน กิสสรีโร อโหสิ, คโณฺฑ จสฺส มิลายิฯ โส ผาสุกสญฺญี หุตฺวา สินิทฺธาหารํ ภุญฺชิฯ เตน จ สญฺชาตพโล วิสเย ปฎิเสวิฯ ตสฺส คโณฺฑ ปุน ปุริมสภาวเมว สมฺปาปุณิฯ เอวํ ยาว ติกฺขตฺตุํ สตฺถกมฺมํ การาเปตฺวา, เวเชฺชหิ ปริวชฺชิโต นิพฺพิชฺชิตฺวา, รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา, อรญฺญํ ปวิสิตฺวา, วิปสฺสนํ อารภิตฺวา, สตฺตหิ วเสฺสหิ ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา, อิมํ อุทานคาถํ ภาสิตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ

    51.Ītīti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira rañño gaṇḍo udapādi. Bāḷhā vedanā vattanti. Vejjā ‘‘satthakammena vinā phāsu na hotī’’ti bhaṇanti. Rājā tesaṃ abhayaṃ datvā satthakammaṃ kārāpesi. Te phāletvā, pubbalohitaṃ nīharitvā, nibbedanaṃ katvā, vaṇaṃ paṭṭena bandhiṃsu, āhārācāresu ca naṃ sammā ovadiṃsu. Rājā lūkhabhojanena kisasarīro ahosi, gaṇḍo cassa milāyi. So phāsukasaññī hutvā siniddhāhāraṃ bhuñji. Tena ca sañjātabalo visaye paṭisevi. Tassa gaṇḍo puna purimasabhāvameva sampāpuṇi. Evaṃ yāva tikkhattuṃ satthakammaṃ kārāpetvā, vejjehi parivajjito nibbijjitvā, rajjaṃ pahāya pabbajitvā, araññaṃ pavisitvā, vipassanaṃ ārabhitvā, sattahi vassehi paccekabodhiṃ sacchikatvā, imaṃ udānagāthaṃ bhāsitvā nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi.

    ‘‘อีตี จ คโณฺฑ จ อุปทฺทโว จ, โรโค จ สลฺลญฺจ ภยญฺจ เมตํ;

    ‘‘Ītī ca gaṇḍo ca upaddavo ca, rogo ca sallañca bhayañca metaṃ;

    เอตํ ภยํ กามคุเณสุ ทิสฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Etaṃ bhayaṃ kāmaguṇesu disvā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ เอตีติ อีติ, อาคนฺตุกานํ อกุสลภาคิยานํ พฺยสนเหตูนํ เอตํ อธิวจนํฯ ตสฺมา กามคุณาปิ เอเต อเนกพฺยสนาวหเฎฺฐน ทฬฺหสนฺนิปาตเฎฺฐน จ อีติฯ คโณฺฑปิ อสุจิํ ปคฺฆรติ, อุทฺธุมาตปริปกฺกปริภิโนฺน โหติฯ ตสฺมา เอเต กิเลสาสุจิปคฺฆรณโต อุปฺปาทชราภเงฺคหิ อุทฺธุมาตปริปกฺกปริภินฺนภาวโต จ คโณฺฑฯ อุปทฺทวตีติ อุปทฺทโว; อนตฺถํ ชเนโนฺต อภิภวติ; อโชฺฌตฺถรตีติ อโตฺถ, ราชทณฺฑาทีนเมตํ อธิวจนํฯ ตสฺมา กามคุณาเปเต อวิทิตนิพฺพานตฺถาวหเหตุตาย สพฺพุปทฺทววตฺถุตาย จ อุปทฺทโวฯ ยสฺมา ปเนเต กิเลสาตุรภาวํ ชเนนฺตา สีลสงฺขาตมาโรคฺยํ, โลลุปฺปํ วา อุปฺปาเทนฺตา ปากติกเมว อาโรคฺยํ วิลุมฺปนฺติ, ตสฺมา อิมินา อาโรคฺยวิลุมฺปนเฎฺฐเนว โรโคฯ อพฺภนฺตรมนุปฺปวิฎฺฐเฎฺฐน ปน อโนฺตตุทกเฎฺฐน ทุนฺนิหรณียเฎฺฐน จ สลฺลํฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกภยาวหนโต ภยํฯ เม เอตนฺติ เมตํฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ นิคมนํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tattha etīti īti, āgantukānaṃ akusalabhāgiyānaṃ byasanahetūnaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Tasmā kāmaguṇāpi ete anekabyasanāvahaṭṭhena daḷhasannipātaṭṭhena ca īti. Gaṇḍopi asuciṃ paggharati, uddhumātaparipakkaparibhinno hoti. Tasmā ete kilesāsucipaggharaṇato uppādajarābhaṅgehi uddhumātaparipakkaparibhinnabhāvato ca gaṇḍo. Upaddavatīti upaddavo; anatthaṃ janento abhibhavati; ajjhottharatīti attho, rājadaṇḍādīnametaṃ adhivacanaṃ. Tasmā kāmaguṇāpete aviditanibbānatthāvahahetutāya sabbupaddavavatthutāya ca upaddavo. Yasmā panete kilesāturabhāvaṃ janentā sīlasaṅkhātamārogyaṃ, loluppaṃ vā uppādentā pākatikameva ārogyaṃ vilumpanti, tasmā iminā ārogyavilumpanaṭṭheneva rogo. Abbhantaramanuppaviṭṭhaṭṭhena pana antotudakaṭṭhena dunniharaṇīyaṭṭhena ca sallaṃ. Diṭṭhadhammikasamparāyikabhayāvahanato bhayaṃ. Me etanti metaṃ. Sesamettha pākaṭameva. Nigamanaṃ vuttanayeneva veditabbanti.

    อีติคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Ītigāthāvaṇṇanā samattā.

    ๕๒. สีตญฺจาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร สีตาลุกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ โส ปพฺพชิตฺวา อรญฺญกุฎิกาย วิหรติฯ ตสฺมิญฺจ ปเทเส สีเต สีตํ, อุเณฺห อุณฺหเมว จ โหติ อโพฺภกาสตฺตา ปเทสสฺสฯ โคจรคาเม ภิกฺขา ยาวทตฺถาย น ลพฺภติฯ ปิวนกปานียมฺปิ ทุลฺลภํ, วาตาตปฑํสสรีสปาปิ พาเธนฺติฯ ตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อิโต อฑฺฒโยชนมเตฺต สมฺปโนฺน ปเทโส, ตตฺถ สเพฺพปิ เอเต ปริสฺสยา นตฺถิฯ ยํนูนาหํ ตตฺถ คเจฺฉยฺยํ; ผาสุกํ วิหรเนฺตน สกฺกา วิเสสํ อธิคนฺตุ’’นฺติฯ ตสฺส ปุน อโหสิ – ‘‘ปพฺพชิตา นาม น ปจฺจยวสิกา โหนฺติ, เอวรูปญฺจ จิตฺตํ วเส วเตฺตนฺติ, น จิตฺตสฺส วเส วเตฺตนฺติ, นาหํ คมิสฺสามี’’ติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา น อคมาสิฯ เอวํ ยาวตติยกํ อุปฺปนฺนจิตฺตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา นิวเตฺตสิฯ ตโต ตเตฺถว สตฺต วสฺสานิ วสิตฺวา, สมฺมา ปฎิปชฺชมาโน ปเจฺจกสโมฺพธิํ สจฺฉิกตฺวา, อิมํ อุทานคาถํ ภาสิตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ

    52.Sītañcāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira sītālukabrahmadatto nāma rājā ahosi. So pabbajitvā araññakuṭikāya viharati. Tasmiñca padese sīte sītaṃ, uṇhe uṇhameva ca hoti abbhokāsattā padesassa. Gocaragāme bhikkhā yāvadatthāya na labbhati. Pivanakapānīyampi dullabhaṃ, vātātapaḍaṃsasarīsapāpi bādhenti. Tassa etadahosi – ‘‘ito aḍḍhayojanamatte sampanno padeso, tattha sabbepi ete parissayā natthi. Yaṃnūnāhaṃ tattha gaccheyyaṃ; phāsukaṃ viharantena sakkā visesaṃ adhigantu’’nti. Tassa puna ahosi – ‘‘pabbajitā nāma na paccayavasikā honti, evarūpañca cittaṃ vase vattenti, na cittassa vase vattenti, nāhaṃ gamissāmī’’ti paccavekkhitvā na agamāsi. Evaṃ yāvatatiyakaṃ uppannacittaṃ paccavekkhitvā nivattesi. Tato tattheva satta vassāni vasitvā, sammā paṭipajjamāno paccekasambodhiṃ sacchikatvā, imaṃ udānagāthaṃ bhāsitvā nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi.

    ‘‘สีตญฺจ อุณฺหญฺจ ขุทํ ปิปาสํ, วาตาตเป ฑํสสรีสเป จ;

    ‘‘Sītañca uṇhañca khudaṃ pipāsaṃ, vātātape ḍaṃsasarīsape ca;

    สพฺพานิเปตานิ อภิสมฺภวิตฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Sabbānipetāni abhisambhavitvā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ สีตญฺจาติ สีตํ นาม ทุวิธํ อพฺภนฺตรธาตุโกฺขภปจฺจยญฺจ, พาหิรธาตุโกฺขภปจฺจยญฺจ; ตถา อุณฺหํฯ ฑํสาติ ปิงฺคลมกฺขิกาฯ สรีสปาติ เย เกจิ ทีฆชาติกา สริตฺวา คจฺฉนฺติฯ เสสํ ปากฎเมวฯ นิคมนมฺปิ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tattha sītañcāti sītaṃ nāma duvidhaṃ abbhantaradhātukkhobhapaccayañca, bāhiradhātukkhobhapaccayañca; tathā uṇhaṃ. Ḍaṃsāti piṅgalamakkhikā. Sarīsapāti ye keci dīghajātikā saritvā gacchanti. Sesaṃ pākaṭameva. Nigamanampi vuttanayeneva veditabbanti.

    สีตาลุกคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Sītālukagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๕๓. นาโควาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา วีสติ วสฺสานิ รชฺชํ กาเรตฺวา กาลกโต นิรเย วีสติ เอว วสฺสานิ ปจฺจิตฺวา หิมวนฺตปฺปเทเส หตฺถิโยนิยํ อุปฺปชฺชิตฺวา สญฺชาตกฺขโนฺธ ปทุมวณฺณสกลสรีโร อุฬาโร ยูถปติ มหานาโค อโหสิฯ ตสฺส โอภโคฺคภคฺคํ สาขาภงฺคํ หตฺถิฉาปาว ขาทนฺติฯ โอคาเหปิ นํ หตฺถินิโย กทฺทเมน ลิมฺปนฺติ , สพฺพํ ปาลิเลยฺยกนาคเสฺสว อโหสิฯ โส ยูถา นิพฺพิชฺชิตฺวา ปกฺกมิฯ ตโต นํ ปทานุสาเรน ยูถํ อนุพนฺธิฯ เอวํ ยาวตติยํ ปกฺกโนฺต อนุพโทฺธวฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘อิทานิ มยฺหํ นตฺตโก พาราณสิยํ รชฺชํ กาเรติ, ยํนูนาหํ อตฺตโน ปุริมชาติยา อุยฺยานํ คเจฺฉยฺยํ, ตตฺร มํ โส รกฺขิสฺสตี’’ติฯ ตโต รตฺติํ นิทฺทาวสํ คเต ยูเถ ยูถํ ปหาย ตเมว อุยฺยานํ ปาวิสิฯ อุยฺยานปาโล ทิสฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘หตฺถิํ คเหสฺสามี’’ติ เสนาย ปริวาเรสิฯ หตฺถี ราชานํ เอว อภิมุโข คจฺฉติฯ ราชา ‘‘มํ อภิมุโข เอตี’’ติ ขุรปฺปํ สนฺนยฺหิตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตโต หตฺถี ‘‘วิเชฺฌยฺยาปิ มํ เอโส’’ติ มานุสิกาย วาจาย ‘‘พฺรหฺมทตฺต, มา มํ วิชฺฌ, อหํ เต อยฺยโก’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘กิํ ภณสี’’ติ สพฺพํ ปุจฺฉิฯ หตฺถีปิ รเชฺช จ นรเก จ หตฺถิโยนิยญฺจ ปวตฺติํ สพฺพํ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘สุนฺทรํ, มา ภายิ, มา จ กญฺจิ ภิํสาเปหี’’ติ หตฺถิโน วฎฺฎญฺจ อารกฺขเก จ หตฺถิภเณฺฑ จ อุปฎฺฐาเปสิฯ

    53.Nāgovāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā vīsati vassāni rajjaṃ kāretvā kālakato niraye vīsati eva vassāni paccitvā himavantappadese hatthiyoniyaṃ uppajjitvā sañjātakkhandho padumavaṇṇasakalasarīro uḷāro yūthapati mahānāgo ahosi. Tassa obhaggobhaggaṃ sākhābhaṅgaṃ hatthichāpāva khādanti. Ogāhepi naṃ hatthiniyo kaddamena limpanti , sabbaṃ pālileyyakanāgasseva ahosi. So yūthā nibbijjitvā pakkami. Tato naṃ padānusārena yūthaṃ anubandhi. Evaṃ yāvatatiyaṃ pakkanto anubaddhova. Tato cintesi – ‘‘idāni mayhaṃ nattako bārāṇasiyaṃ rajjaṃ kāreti, yaṃnūnāhaṃ attano purimajātiyā uyyānaṃ gaccheyyaṃ, tatra maṃ so rakkhissatī’’ti. Tato rattiṃ niddāvasaṃ gate yūthe yūthaṃ pahāya tameva uyyānaṃ pāvisi. Uyyānapālo disvā rañño ārocesi. Rājā ‘‘hatthiṃ gahessāmī’’ti senāya parivāresi. Hatthī rājānaṃ eva abhimukho gacchati. Rājā ‘‘maṃ abhimukho etī’’ti khurappaṃ sannayhitvā aṭṭhāsi. Tato hatthī ‘‘vijjheyyāpi maṃ eso’’ti mānusikāya vācāya ‘‘brahmadatta, mā maṃ vijjha, ahaṃ te ayyako’’ti āha. Rājā ‘‘kiṃ bhaṇasī’’ti sabbaṃ pucchi. Hatthīpi rajje ca narake ca hatthiyoniyañca pavattiṃ sabbaṃ ārocesi. Rājā ‘‘sundaraṃ, mā bhāyi, mā ca kañci bhiṃsāpehī’’ti hatthino vaṭṭañca ārakkhake ca hatthibhaṇḍe ca upaṭṭhāpesi.

    อเถกทิวสํ ราชา หตฺถิกฺขนฺธคโต ‘‘อยํ วีสติ วสฺสานิ รชฺชํ กตฺวา นิรเย ปโกฺก, วิปากาวเสเสน จ ติรจฺฉานโยนิยํ อุปฺปโนฺน, ตตฺถปิ คณวาสสงฺฆฎฺฎนํ อสหโนฺต อิธาคโตฯ อโห ทุโกฺข คณวาโส, เอกีภาโว เอว จ ปน สุโข’’ติ จิเนฺตตฺวา ตเตฺถว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตํ โลกุตฺตรสุเขน สุขิตํ อมจฺจา อุปสงฺกมิตฺวา, ปณิปาตํ กตฺวา ‘‘ยานกาโล มหาราชา’’ติ อาหํสุฯ ตโต ‘‘นาหํ ราชา’’ติ วตฺวา ปุริมนเยเนว อิมํ คาถํ อภาสิ –

    Athekadivasaṃ rājā hatthikkhandhagato ‘‘ayaṃ vīsati vassāni rajjaṃ katvā niraye pakko, vipākāvasesena ca tiracchānayoniyaṃ uppanno, tatthapi gaṇavāsasaṅghaṭṭanaṃ asahanto idhāgato. Aho dukkho gaṇavāso, ekībhāvo eva ca pana sukho’’ti cintetvā tattheva vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi. Taṃ lokuttarasukhena sukhitaṃ amaccā upasaṅkamitvā, paṇipātaṃ katvā ‘‘yānakālo mahārājā’’ti āhaṃsu. Tato ‘‘nāhaṃ rājā’’ti vatvā purimanayeneva imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘นาโคว ยูถานิ วิวชฺชยิตฺวา, สญฺชาตขโนฺธ ปทุมี อุฬาโร;

    ‘‘Nāgova yūthāni vivajjayitvā, sañjātakhandho padumī uḷāro;

    ยถาภิรนฺตํ วิหรํ อรเญฺญ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Yathābhirantaṃ viharaṃ araññe, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    สา ปทตฺถโต ปากฎา เอวฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปายโยชนาฯ สา จ โข ยุตฺติวเสเนว, น อนุสฺสววเสนฯ ยถา อยํ หตฺถี มนุสฺสกเนฺตสุ สีเลสุ ทนฺตตฺตา อทนฺตภูมิํ นาคจฺฉตีติ วา, สรีรมหนฺตตาย วา นาโค, เอวํ กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ อริยกเนฺตสุ สีเลสุ ทนฺตตฺตา อทนฺตภูมิํ นาคมเนน อาคุํ อกรเณน ปุน อิตฺถตฺตํ อนาคมเนน จ คุณสรีรมหนฺตตาย วา นาโค ภเวยฺยํฯ ยถา เจส ยูถานิ วิวเชฺชตฺวา เอกจริยสุเขน ยถาภิรนฺตํ วิหรํ อรเญฺญ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ คณํ วิวเชฺชตฺวา เอกวิหารสุเขน ฌานสุเขน ยถาภิรนฺตํ วิหรํ อรเญฺญ อตฺตโน ยถา ยถา สุขํ, ตถา ตถา ยตฺตกํ วา อิจฺฉามิ, ตตฺตกํ อรเญฺญ นิวาสํ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป จเรยฺยนฺติ อโตฺถฯ ยถา เจส สุสณฺฐิตกฺขนฺธตาย สญฺชาตกฺขโนฺธ, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ อเสขสีลกฺขนฺธมหนฺตตาย สญฺชาตกฺขโนฺธ ภเวยฺยํฯ ยถา เจส ปทุมสทิสคตฺตตาย วา ปทุมกุเล อุปฺปนฺนตาย วา ปทุมี, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ ปทุมสทิสอุชุคตฺตตาย วา อริยชาติปทุเม อุปฺปนฺนตาย วา ปทุมี ภเวยฺยํฯ ยถา เจส ถามพลชวาทีหิ อุฬาโร, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ ปริสุทฺธกายสมาจารตาทีหิ สีลสมาธินิเพฺพธิกปญฺญาทีหิ วา อุฬาโร ภเวยฺยนฺติ เอวํ จิเนฺตโนฺต วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติฯ

    Sā padatthato pākaṭā eva. Ayaṃ panettha adhippāyayojanā. Sā ca kho yuttivaseneva, na anussavavasena. Yathā ayaṃ hatthī manussakantesu sīlesu dantattā adantabhūmiṃ nāgacchatīti vā, sarīramahantatāya vā nāgo, evaṃ kudāssu nāmāhampi ariyakantesu sīlesu dantattā adantabhūmiṃ nāgamanena āguṃ akaraṇena puna itthattaṃ anāgamanena ca guṇasarīramahantatāya vā nāgo bhaveyyaṃ. Yathā cesa yūthāni vivajjetvā ekacariyasukhena yathābhirantaṃ viharaṃ araññe eko care khaggavisāṇakappo, kudāssu nāmāhampi evaṃ gaṇaṃ vivajjetvā ekavihārasukhena jhānasukhena yathābhirantaṃ viharaṃ araññe attano yathā yathā sukhaṃ, tathā tathā yattakaṃ vā icchāmi, tattakaṃ araññe nivāsaṃ eko care khaggavisāṇakappo careyyanti attho. Yathā cesa susaṇṭhitakkhandhatāya sañjātakkhandho, kudāssu nāmāhampi evaṃ asekhasīlakkhandhamahantatāya sañjātakkhandho bhaveyyaṃ. Yathā cesa padumasadisagattatāya vā padumakule uppannatāya vā padumī, kudāssu nāmāhampi evaṃ padumasadisaujugattatāya vā ariyajātipadume uppannatāya vā padumī bhaveyyaṃ. Yathā cesa thāmabalajavādīhi uḷāro, kudāssu nāmāhampi evaṃ parisuddhakāyasamācāratādīhi sīlasamādhinibbedhikapaññādīhi vā uḷāro bhaveyyanti evaṃ cintento vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ adhigatomhīti.

    นาคคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Nāgagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๕๔. อฎฺฐาน ตนฺติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิรโญฺญ กิร ปุโตฺต ทหโร เอว สมาโน ปพฺพชิตุกาโม มาตาปิตโร ยาจิฯ มาตาปิตโร นํ วาเรนฺติฯ โส วาริยมาโนปิ นิพนฺธติเยว ‘‘ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ตโต นํ ปุเพฺพ วุตฺตเสฎฺฐิปุตฺตํ วิย สพฺพํ วตฺวา อนุชานิํสุฯ ปพฺพชิตฺวา จ อุยฺยาเนเยว วสิตพฺพนฺติ ปฎิชานาเปสุํ, โส ตถา อกาสิฯ ตสฺส มาตา ปาโตว วีสติสหสฺสนาฎกิตฺถิปริวุตา อุยฺยานํ คนฺตฺวา, ปุตฺตํ ยาคุํ ปาเยตฺวา, อนฺตรา ขชฺชกาทีนิ จ ขาทาเปตฺวา, ยาว มชฺฌนฺหิกสมยํ เตน สทฺธิํ สมุลฺลปิตฺวา, นครํ ปวิสติฯ ปิตา จ มชฺฌนฺหิเก อาคนฺตฺวา, ตํ โภเชตฺวา อตฺตนาปิ ภุญฺชิตฺวา, ทิวสํ เตน สทฺธิํ สมุลฺลปิตฺวา, สายนฺหสมเย ชคฺคนปุริเส ฐเปตฺวา นครํ ปวิสติฯ โส เอวํ รตฺตินฺทิวํ อวิวิโตฺต วิหรติฯ เตน โข ปน สมเยน อาทิจฺจพนฺธุ นาม ปเจฺจกพุโทฺธ นนฺทมูลกปพฺภาเร วิหรติฯ โส อาวเชฺชโนฺต ตํ อทฺทส – ‘‘อยํ กุมาโร ปพฺพชิตุํ อสกฺขิ, ชฎํ ฉินฺทิตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ ตโต ปรํ อาวชฺชิ ‘‘อตฺตโน ธมฺมตาย นิพฺพิชฺชิสฺสติ, โน’’ติฯ อถ ‘‘ธมฺมตาย นิพฺพินฺทโนฺต อติจิรํ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘ตสฺส อารมฺมณํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว มโนสิลาตลโต อาคนฺตฺวา อุยฺยาเน อฎฺฐาสิฯ ราชปุริโส ทิสฺวา ‘‘ปเจฺจกพุโทฺธ อาคโต, มหาราชา’’ติ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘อิทานิ เม ปุโตฺต ปเจฺจกพุเทฺธน สทฺธิํ อนุกฺกณฺฐิโต วสิสฺสตี’’ติ ปมุทิตมโน หุตฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหิตฺวา ตเตฺถว วาสํ ยาจิตฺวา ปณฺณสาลาทิวาวิหารฎฺฐานจงฺกมาทิสพฺพํ กาเรตฺวา วาเสสิฯ

    54.Aṭṭhāna tanti kā uppatti? Bārāṇasirañño kira putto daharo eva samāno pabbajitukāmo mātāpitaro yāci. Mātāpitaro naṃ vārenti. So vāriyamānopi nibandhatiyeva ‘‘pabbajissāmī’’ti. Tato naṃ pubbe vuttaseṭṭhiputtaṃ viya sabbaṃ vatvā anujāniṃsu. Pabbajitvā ca uyyāneyeva vasitabbanti paṭijānāpesuṃ, so tathā akāsi. Tassa mātā pātova vīsatisahassanāṭakitthiparivutā uyyānaṃ gantvā, puttaṃ yāguṃ pāyetvā, antarā khajjakādīni ca khādāpetvā, yāva majjhanhikasamayaṃ tena saddhiṃ samullapitvā, nagaraṃ pavisati. Pitā ca majjhanhike āgantvā, taṃ bhojetvā attanāpi bhuñjitvā, divasaṃ tena saddhiṃ samullapitvā, sāyanhasamaye jagganapurise ṭhapetvā nagaraṃ pavisati. So evaṃ rattindivaṃ avivitto viharati. Tena kho pana samayena ādiccabandhu nāma paccekabuddho nandamūlakapabbhāre viharati. So āvajjento taṃ addasa – ‘‘ayaṃ kumāro pabbajituṃ asakkhi, jaṭaṃ chindituṃ na sakkotī’’ti. Tato paraṃ āvajji ‘‘attano dhammatāya nibbijjissati, no’’ti. Atha ‘‘dhammatāya nibbindanto aticiraṃ bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘tassa ārammaṇaṃ dassessāmī’’ti pubbe vuttanayeneva manosilātalato āgantvā uyyāne aṭṭhāsi. Rājapuriso disvā ‘‘paccekabuddho āgato, mahārājā’’ti rañño ārocesi. Rājā ‘‘idāni me putto paccekabuddhena saddhiṃ anukkaṇṭhito vasissatī’’ti pamuditamano hutvā paccekabuddhaṃ sakkaccaṃ upaṭṭhahitvā tattheva vāsaṃ yācitvā paṇṇasālādivāvihāraṭṭhānacaṅkamādisabbaṃ kāretvā vāsesi.

    โส ตตฺถ วสโนฺต เอกทิวสํ โอกาสํ ลภิตฺวา กุมารํ ปุจฺฉิ ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ? โส อาห ‘‘อหํ ปพฺพชิโต’’ติฯ ‘‘ปพฺพชิตา นาม น เอทิสา โหนฺตี’’ติฯ ‘‘อถ ภเนฺต, กีทิสา โหนฺติ, กิํ มยฺหํ อนนุจฺฉวิก’’นฺติ วุเตฺต ‘‘ตฺวํ อตฺตโน อนนุจฺฉวิกํ น เปกฺขสิ , นนุ เต มาตา วีสติสหสฺสอิตฺถีหิ สทฺธิํ ปุพฺพณฺหสมเย อาคจฺฉนฺตี อุยฺยานํ อวิวิตฺตํ กโรติ, ปิตา มหตา พลกาเยน สายนฺหสมเย, ชคฺคนปุริสา สกลรตฺติํ; ปพฺพชิตา นาม ตว สทิสา น โหนฺติ, ‘เอทิสา ปน โหนฺตี’’’ติ ตตฺร ฐิตเสฺสว อิทฺธิยา หิมวเนฺต อญฺญตรํ วิหารํ ทเสฺสสิฯ โส ตตฺถ ปเจฺจกพุเทฺธ อาลมฺพนพาหํ นิสฺสาย ฐิเต จ จงฺกมเนฺต จ รชนกมฺมสูจิกมฺมาทีนิ กโรเนฺต จ ทิสฺวา อาห – ‘‘ตุเมฺห อิธ, นาคจฺฉถ, ปพฺพชฺชา นาม ตุเมฺหหิ อนุญฺญาตา’’ติฯ ‘‘อาม, ปพฺพชฺชา อนุญฺญาตา, ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย สมณา นาม อตฺตโน นิสฺสรณํ กาตุํ อิจฺฉิตปตฺถิตญฺจ ปเทสํ คนฺตุํ ลภนฺติ, เอตฺตกํว วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา อากาเส ฐตฺวา –

    So tattha vasanto ekadivasaṃ okāsaṃ labhitvā kumāraṃ pucchi ‘‘kosi tva’’nti? So āha ‘‘ahaṃ pabbajito’’ti. ‘‘Pabbajitā nāma na edisā hontī’’ti. ‘‘Atha bhante, kīdisā honti, kiṃ mayhaṃ ananucchavika’’nti vutte ‘‘tvaṃ attano ananucchavikaṃ na pekkhasi , nanu te mātā vīsatisahassaitthīhi saddhiṃ pubbaṇhasamaye āgacchantī uyyānaṃ avivittaṃ karoti, pitā mahatā balakāyena sāyanhasamaye, jagganapurisā sakalarattiṃ; pabbajitā nāma tava sadisā na honti, ‘edisā pana hontī’’’ti tatra ṭhitasseva iddhiyā himavante aññataraṃ vihāraṃ dassesi. So tattha paccekabuddhe ālambanabāhaṃ nissāya ṭhite ca caṅkamante ca rajanakammasūcikammādīni karonte ca disvā āha – ‘‘tumhe idha, nāgacchatha, pabbajjā nāma tumhehi anuññātā’’ti. ‘‘Āma, pabbajjā anuññātā, pabbajitakālato paṭṭhāya samaṇā nāma attano nissaraṇaṃ kātuṃ icchitapatthitañca padesaṃ gantuṃ labhanti, ettakaṃva vaṭṭatī’’ti vatvā ākāse ṭhatvā –

    ‘‘อฎฺฐาน ตํ สงฺคณิการตสฺส, ยํ ผสฺสเย สามยิกํ วิมุตฺติ’’นฺติฯ –

    ‘‘Aṭṭhāna taṃ saṅgaṇikāratassa, yaṃ phassaye sāmayikaṃ vimutti’’nti. –

    อิมํ อุปฑฺฒคาถํ วตฺวา, ทิสฺสมาเนเนว กาเยน นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ เอวํ คเต ปเจฺจกพุเทฺธ โส อตฺตโน ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชิฯ อารกฺขกปุริโสปิ ‘‘สยิโต กุมาโร, อิทานิ กุหิํ คมิสฺสตี’’ติ ปมโตฺต นิทฺทํ โอกฺกมิฯ โส ตสฺส ปมตฺตภาวํ ญตฺวา ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อรญฺญํ ปาวิสิฯ ตตฺร จ วิวิโตฺต วิปสฺสนํ อารภิตฺวา, ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา, ปเจฺจกพุทฺธฎฺฐานํ คโตฯ ตตฺร จ ‘‘กถมธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิโต อาทิจฺจพนฺธุนา วุตฺตํ อุปฑฺฒคาถํ ปริปุณฺณํ กตฺวา อภาสิฯ

    Imaṃ upaḍḍhagāthaṃ vatvā, dissamāneneva kāyena nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi. Evaṃ gate paccekabuddhe so attano paṇṇasālaṃ pavisitvā nipajji. Ārakkhakapurisopi ‘‘sayito kumāro, idāni kuhiṃ gamissatī’’ti pamatto niddaṃ okkami. So tassa pamattabhāvaṃ ñatvā pattacīvaraṃ gahetvā araññaṃ pāvisi. Tatra ca vivitto vipassanaṃ ārabhitvā, paccekabodhiṃ sacchikatvā, paccekabuddhaṭṭhānaṃ gato. Tatra ca ‘‘kathamadhigata’’nti pucchito ādiccabandhunā vuttaṃ upaḍḍhagāthaṃ paripuṇṇaṃ katvā abhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – อฎฺฐาน ตนฺติฯ อฎฺฐานํ ตํ, อการณํ ตนฺติ วุตฺตํ โหติ, อนุนาสิกโลโป กโต ‘‘อริยสจฺจาน ทสฺสน’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๕.๑๑; สุ. นิ. ๒๗๐) วิยฯ สงฺคณิการตสฺสาติ คณาภิรตสฺสฯ นฺติ กรณวจนเมตํ ‘‘ยํ หิรียติ หิรียิตเพฺพนา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๓๐) วิยฯ ผสฺสเยติ อธิคเจฺฉฯ สามยิกํ วิมุตฺตินฺติ โลกิยสมาปตฺติํฯ สา หิ อปฺปิตปฺปิตสมเย เอว ปจฺจนีเกหิ วิมุจฺจนโต ‘‘สามยิกา วิมุตฺตี’’ติ วุจฺจติฯ ตํ สามยิกํ วิมุตฺติํฯ อฎฺฐานํ ตํ, น ตํ การณํ วิชฺชติ สงฺคณิการตสฺส, เยน การเณน ผสฺสเยติ เอตํ อาทิจฺจพนฺธุสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส วโจ นิสมฺม สงฺคณิการติํ ปหาย โยนิโส ปฎิปชฺชโนฺต อธิคโตมฺหีติ อาหฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tassattho – aṭṭhāna tanti. Aṭṭhānaṃ taṃ, akāraṇaṃ tanti vuttaṃ hoti, anunāsikalopo kato ‘‘ariyasaccāna dassana’’ntiādīsu (khu. pā. 5.11; su. ni. 270) viya. Saṅgaṇikāratassāti gaṇābhiratassa. Yanti karaṇavacanametaṃ ‘‘yaṃ hirīyati hirīyitabbenā’’tiādīsu (dha. sa. 30) viya. Phassayeti adhigacche. Sāmayikaṃ vimuttinti lokiyasamāpattiṃ. Sā hi appitappitasamaye eva paccanīkehi vimuccanato ‘‘sāmayikā vimuttī’’ti vuccati. Taṃ sāmayikaṃ vimuttiṃ. Aṭṭhānaṃ taṃ, na taṃ kāraṇaṃ vijjati saṅgaṇikāratassa, yena kāraṇena phassayeti etaṃ ādiccabandhussa paccekabuddhassa vaco nisamma saṅgaṇikāratiṃ pahāya yoniso paṭipajjanto adhigatomhīti āha. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อฎฺฐานคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Aṭṭhānagāthāvaṇṇanā samattā.

    ทุติโย วโคฺค นิฎฺฐิโตฯ

    Dutiyo vaggo niṭṭhito.

    ๕๕. ทิฎฺฐีวิสูกานีติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา รโหคโต จิเนฺตสิ – ‘‘ยถา สีตาทีนํ ปฎิฆาตกานิ อุณฺหาทีนิ อตฺถิ, อตฺถิ นุ โข เอวํ วฎฺฎปฎิฆาตกํ วินฎฺฎํ, โน’’ติฯ โส อมเจฺจ ปุจฺฉิ – ‘‘วิวฎฺฎํ ชานาถา’’ติ? เต ‘‘ชานาม, มหาราชา’’ติ อาหํสุฯ ราชา – ‘‘กิํ ต’’นฺติ? ตโต ‘‘อนฺตวา โลโก’’ติอาทินา นเยน สสฺสตุเจฺฉทํ กเถสุํฯ อถ ราชา ‘‘อิเม น ชานนฺติ, สเพฺพปิเม ทิฎฺฐิคติกา’’ติ สยเมว เตสํ วิโลมตญฺจ อยุตฺตตญฺจ ทิสฺวา ‘‘วฎฺฎปฎิฆาตกํ วิวฎฺฎํ อตฺถิ, ตํ คเวสิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ อิมญฺจ อุทานคาถํ อภาสิ ปเจฺจกพุทฺธมเชฺฌ พฺยากรณคาถญฺจ –

    55.Diṭṭhīvisūkānīti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā rahogato cintesi – ‘‘yathā sītādīnaṃ paṭighātakāni uṇhādīni atthi, atthi nu kho evaṃ vaṭṭapaṭighātakaṃ vinaṭṭaṃ, no’’ti. So amacce pucchi – ‘‘vivaṭṭaṃ jānāthā’’ti? Te ‘‘jānāma, mahārājā’’ti āhaṃsu. Rājā – ‘‘kiṃ ta’’nti? Tato ‘‘antavā loko’’tiādinā nayena sassatucchedaṃ kathesuṃ. Atha rājā ‘‘ime na jānanti, sabbepime diṭṭhigatikā’’ti sayameva tesaṃ vilomatañca ayuttatañca disvā ‘‘vaṭṭapaṭighātakaṃ vivaṭṭaṃ atthi, taṃ gavesitabba’’nti cintetvā rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchākāsi. Imañca udānagāthaṃ abhāsi paccekabuddhamajjhe byākaraṇagāthañca –

    ‘‘ทิฎฺฐีวิสูกานิ อุปาติวโตฺต, ปโตฺต นิยามํ ปฎิลทฺธมโคฺค;

    ‘‘Diṭṭhīvisūkāni upātivatto, patto niyāmaṃ paṭiladdhamaggo;

    อุปฺปนฺนญาโณมฺหิ อนญฺญเนโยฺย, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Uppannañāṇomhi anaññaneyyo, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ทิฎฺฐีวิสูกานีติ ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคตานิฯ ตานิ หิ มคฺคสมฺมาทิฎฺฐิยา วิสูกเฎฺฐน วิชฺฌนเฎฺฐน วิโลมเฎฺฐน จ วิสูกานิฯ เอวํ ทิฎฺฐิยา วิสูกานิ, ทิฎฺฐิ เอว วา วิสูกานิ ทิฎฺฐิวิสูกานิฯ อุปาติวโตฺตติ ทสฺสนมเคฺคน อติกฺกโนฺตฯ ปโตฺต นิยามนฺติ อวินิปาตธมฺมตาย สโมฺพธิปรายณตาย จ นิยตภาวํ อธิคโต, สมฺมตฺตนิยามสงฺขาตํ วา ปฐมมคฺคนฺติฯ เอตฺตาวตา ปฐมมคฺคกิจฺจนิปฺผตฺติ จ ตสฺส ปฎิลาโภ จ วุโตฺตฯ อิทานิ ปฎิลทฺธมโคฺคติ อิมินา เสสมคฺคปฎิลาภํ ทเสฺสติฯ อุปฺปนฺนญาโณมฺหีติ อุปฺปนฺนปเจฺจกโพธิญาโณ อมฺหิฯ เอเตน ผลํ ทเสฺสติฯ อนญฺญเนโยฺยติ อเญฺญหิ ‘‘อิทํ สจฺจํ, อิทํ สจฺจ’’นฺติ น เนตโพฺพฯ เอเตน สยมฺภุตํ ทีเปติ, ปเตฺต วา ปเจฺจกโพธิญาเณ อเนยฺยตาย อภาวา สยํวสิตํฯ สมถวิปสฺสนาย วา ทิฎฺฐิวิสูกานิ อุปาติวโตฺต, อาทิมเคฺคน ปโตฺต นิยามํ, เสเสหิ ปฎิลทฺธมโคฺค, ผลญาเณน อุปฺปนฺนญาโณ, ตํ สพฺพํ อตฺตนาว อธิคโตติ อนญฺญเนโยฺยฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tassattho – diṭṭhīvisūkānīti dvāsaṭṭhidiṭṭhigatāni. Tāni hi maggasammādiṭṭhiyā visūkaṭṭhena vijjhanaṭṭhena vilomaṭṭhena ca visūkāni. Evaṃ diṭṭhiyā visūkāni, diṭṭhi eva vā visūkāni diṭṭhivisūkāni. Upātivattoti dassanamaggena atikkanto. Patto niyāmanti avinipātadhammatāya sambodhiparāyaṇatāya ca niyatabhāvaṃ adhigato, sammattaniyāmasaṅkhātaṃ vā paṭhamamagganti. Ettāvatā paṭhamamaggakiccanipphatti ca tassa paṭilābho ca vutto. Idāni paṭiladdhamaggoti iminā sesamaggapaṭilābhaṃ dasseti. Uppannañāṇomhīti uppannapaccekabodhiñāṇo amhi. Etena phalaṃ dasseti. Anaññaneyyoti aññehi ‘‘idaṃ saccaṃ, idaṃ sacca’’nti na netabbo. Etena sayambhutaṃ dīpeti, patte vā paccekabodhiñāṇe aneyyatāya abhāvā sayaṃvasitaṃ. Samathavipassanāya vā diṭṭhivisūkāni upātivatto, ādimaggena patto niyāmaṃ, sesehi paṭiladdhamaggo, phalañāṇena uppannañāṇo, taṃ sabbaṃ attanāva adhigatoti anaññaneyyo. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbanti.

    ทิฎฺฐิวิสูกคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Diṭṭhivisūkagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๕๖. นิโลฺลลุโปติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิรโญฺญ กิร สูโท อนฺตรภตฺตํ ปจิตฺวา อุปนาเมสิ มนุญฺญทสฺสนํ สาทุรสํ ‘‘อเปฺปว นาม เม ราชา ธนมนุปฺปเทยฺยา’’ติฯ ตํ รโญฺญ คเนฺธเนว โภตฺตุกามตํ ชเนสิ มุเข เขฬํ อุปฺปาเทนฺตํฯ ปฐมกพเฬ ปน มุเข ปกฺขิตฺตมเตฺต สตฺตรสหรณิสหสฺสานิ อมเตเนว ผุฎฺฐานิ อเหสุํฯ สูโท ‘‘อิทานิ เม ทสฺสติ, อิทานิ เม ทสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ ราชาปิ ‘‘สกฺการารโห สูโท’’ติ จิเนฺตสิ – ‘‘รสํ สายิตฺวา ปน สกฺกโรนฺตํ มํ ปาปโก กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคเจฺฉยฺย – ‘โลโล อยํ ราชา รสครุโก’’’ติ น กิญฺจิ อภณิฯ เอวํ ยาว โภชนปริโยสานํ, ตาว สูโทปิ ‘‘อิทานิ ทสฺสติ, อิทานิ ทสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ ราชาปิ อวณฺณภเยน น กิญฺจิ อภณิฯ ตโต สูโท ‘‘นตฺถิ อิมสฺส รโญฺญ ชิวฺหาวิญฺญาณ’’นฺติ ทุติยทิวเส อรสภตฺตํ อุปนาเมสิฯ ราชา ภุญฺชโนฺต ‘‘นิคฺคหารโห อชฺช สูโท’’ติ ชานโนฺตปิ ปุเพฺพ วิย ปจฺจเวกฺขิตฺวา อวณฺณภเยน น กิญฺจิ อภณิฯ ตโต สูโท ‘‘ราชา เนว สุนฺทรํ นาสุนฺทรํ ชานาตี’’ติ จิเนฺตตฺวา สพฺพํ ปริพฺพยํ อตฺตนา คเหตฺวา ยํกิญฺจิเทว ปจิตฺวา รโญฺญ เทติฯ ราชา ‘‘อโห วต โลโภ, อหํ นาม วีสติ นครสหสฺสานิ ภุญฺชโนฺต อิมสฺส โลเภน ภตฺตมตฺตมฺปิ น ลภามี’’ติ นิพฺพิชฺชิตฺวา, รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา, วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิ, ปุริมนเยเนว จ อิมํ คาถํ อภาสิ –

    56.Nillolupoti kā uppatti? Bārāṇasirañño kira sūdo antarabhattaṃ pacitvā upanāmesi manuññadassanaṃ sādurasaṃ ‘‘appeva nāma me rājā dhanamanuppadeyyā’’ti. Taṃ rañño gandheneva bhottukāmataṃ janesi mukhe kheḷaṃ uppādentaṃ. Paṭhamakabaḷe pana mukhe pakkhittamatte sattarasaharaṇisahassāni amateneva phuṭṭhāni ahesuṃ. Sūdo ‘‘idāni me dassati, idāni me dassatī’’ti cintesi. Rājāpi ‘‘sakkārāraho sūdo’’ti cintesi – ‘‘rasaṃ sāyitvā pana sakkarontaṃ maṃ pāpako kittisaddo abbhuggaccheyya – ‘lolo ayaṃ rājā rasagaruko’’’ti na kiñci abhaṇi. Evaṃ yāva bhojanapariyosānaṃ, tāva sūdopi ‘‘idāni dassati, idāni dassatī’’ti cintesi. Rājāpi avaṇṇabhayena na kiñci abhaṇi. Tato sūdo ‘‘natthi imassa rañño jivhāviññāṇa’’nti dutiyadivase arasabhattaṃ upanāmesi. Rājā bhuñjanto ‘‘niggahāraho ajja sūdo’’ti jānantopi pubbe viya paccavekkhitvā avaṇṇabhayena na kiñci abhaṇi. Tato sūdo ‘‘rājā neva sundaraṃ nāsundaraṃ jānātī’’ti cintetvā sabbaṃ paribbayaṃ attanā gahetvā yaṃkiñcideva pacitvā rañño deti. Rājā ‘‘aho vata lobho, ahaṃ nāma vīsati nagarasahassāni bhuñjanto imassa lobhena bhattamattampi na labhāmī’’ti nibbijjitvā, rajjaṃ pahāya pabbajitvā, vipassanto paccekabodhiṃ sacchākāsi, purimanayeneva ca imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘นิโลฺลลุโป นิกฺกุโห นิปฺปิปาโส, นิมฺมโกฺข นิทฺธนฺตกสาวโมโห;

    ‘‘Nillolupo nikkuho nippipāso, nimmakkho niddhantakasāvamoho;

    นิราสโย สพฺพโลเก ภวิตฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Nirāsayo sabbaloke bhavitvā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ นิโลฺลลุโปติ อโลลุโปฯ โย หิ รสตณฺหาภิภูโต โหติ, โส ภุสํ ลุปฺปติ ปุนปฺปุนญฺจ ลุปฺปติ, เตน โลลุโปติ วุจฺจติฯ ตสฺมา เอส ตํ ปฎิกฺขิปโนฺต อาห ‘‘นิโลฺลลุโป’’ติฯ นิกฺกุโหติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ยสฺส ติวิธํ กุหนวตฺถุ นตฺถิ, โส นิกฺกุโหติ วุจฺจติฯ อิมิสฺสา ปน คาถาย มนุญฺญโภชนาทีสุ วิมฺหยมนาปชฺชนโต นิกฺกุโหติ อยมธิปฺปาโย ฯ นิปฺปิปาโสติ เอตฺถ ปาตุมิจฺฉา ปิปาสา, ตสฺสา อภาเวน นิปฺปิปาโส, สาทุรสโลเภน โภตฺตุกมฺยตาวิรหิโตติ อโตฺถฯ นิมฺมโกฺขติ เอตฺถ ปรคุณวินาสนลกฺขโณ มโกฺข, ตสฺส อภาเวน นิมฺมโกฺขฯ อตฺตโน คหฎฺฐกาเล สูทสฺส คุณมกฺขนาภาวํ สนฺธายาหฯ นิทฺธนฺตกสาวโมโหติ เอตฺถ ราคาทโย ตโย, กายทุจฺจริตาทีนิ จ ตีณีติ ฉ ธมฺมา ยถาสมฺภวํ อปฺปสนฺนเฎฺฐน สกภาวํ วิชหาเปตฺวา ปรภาวํ คณฺหาปนเฎฺฐน กสฎเฎฺฐน จ กสาวาติ เวทิตพฺพาฯ ยถาห –

    Tattha nillolupoti alolupo. Yo hi rasataṇhābhibhūto hoti, so bhusaṃ luppati punappunañca luppati, tena lolupoti vuccati. Tasmā esa taṃ paṭikkhipanto āha ‘‘nillolupo’’ti. Nikkuhoti ettha kiñcāpi yassa tividhaṃ kuhanavatthu natthi, so nikkuhoti vuccati. Imissā pana gāthāya manuññabhojanādīsu vimhayamanāpajjanato nikkuhoti ayamadhippāyo . Nippipāsoti ettha pātumicchā pipāsā, tassā abhāvena nippipāso, sādurasalobhena bhottukamyatāvirahitoti attho. Nimmakkhoti ettha paraguṇavināsanalakkhaṇo makkho, tassa abhāvena nimmakkho. Attano gahaṭṭhakāle sūdassa guṇamakkhanābhāvaṃ sandhāyāha. Niddhantakasāvamohoti ettha rāgādayo tayo, kāyaduccaritādīni ca tīṇīti cha dhammā yathāsambhavaṃ appasannaṭṭhena sakabhāvaṃ vijahāpetvā parabhāvaṃ gaṇhāpanaṭṭhena kasaṭaṭṭhena ca kasāvāti veditabbā. Yathāha –

    ‘‘ตตฺถ, กตเม ตโย กสาวา? ราคกสาโว, โทสกสาโว, โมหกสาโว, อิเม ตโย กสาวาฯ ตตฺถ, กตเม อปเรปิ ตโย กสาวา? กายกสาโว, วจีกสาโว, มโนกสาโว’’ติ (วิภ. ๙๒๔)ฯ

    ‘‘Tattha, katame tayo kasāvā? Rāgakasāvo, dosakasāvo, mohakasāvo, ime tayo kasāvā. Tattha, katame aparepi tayo kasāvā? Kāyakasāvo, vacīkasāvo, manokasāvo’’ti (vibha. 924).

    เตสุ โมหํ ฐเปตฺวา ปญฺจนฺนํ กสาวานํ เตสญฺจ สเพฺพสํ มูลภูตสฺส โมหสฺส นิทฺธนฺตตฺตา นิทฺธนฺตกสาวโมโห, ติณฺณํ เอว วา กายวจีมโนกสาวานํ โมหสฺส จ นิทฺธนฺตตฺตา นิทฺธนฺตกสาวโมโหฯ อิตเรสุ นิโลฺลลุปตาทีหิ ราคกสาวสฺส, นิมฺมกฺขตาย โทสกสาวสฺส นิทฺธนฺตภาโว สิโทฺธ เอวฯ นิราสโยติ นิตฺตโณฺหฯ สพฺพโลเกติ สกลโลเก, ตีสุ ภเวสุ ทฺวาทสสุ วา อายตเนสุ ภววิภวตณฺหาวิรหิโต หุตฺวาติ อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อถ วา ตโยปิ ปาเท วตฺวา เอโก จเรติ เอโก จริตุํ สกฺกุเณยฺยาติ เอวมฺปิ เอตฺถ สมฺพโนฺธ กาตโพฺพติฯ

    Tesu mohaṃ ṭhapetvā pañcannaṃ kasāvānaṃ tesañca sabbesaṃ mūlabhūtassa mohassa niddhantattā niddhantakasāvamoho, tiṇṇaṃ eva vā kāyavacīmanokasāvānaṃ mohassa ca niddhantattā niddhantakasāvamoho. Itaresu nillolupatādīhi rāgakasāvassa, nimmakkhatāya dosakasāvassa niddhantabhāvo siddho eva. Nirāsayoti nittaṇho. Sabbaloketi sakalaloke, tīsu bhavesu dvādasasu vā āyatanesu bhavavibhavataṇhāvirahito hutvāti attho. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Atha vā tayopi pāde vatvā eko careti eko carituṃ sakkuṇeyyāti evampi ettha sambandho kātabboti.

    นิโลฺลลุปคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Nillolupagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๕๗. ปาปํ สหายนฺติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา มหจฺจราชานุภาเวน นครํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต มนุเสฺส โกฎฺฐาคารโต ปุราณธญฺญานิ พหิทฺธา นีหรเนฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ, ภเณ, อิท’’นฺติ อมเจฺจ ปุจฺฉิฯ ‘‘อิทานิ, มหาราช, นวธญฺญานิ อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ, เตสํ โอกาสํ กาตุํ อิเม มนุสฺสา ปุราณธญฺญาทีนิ ฉเฑฺฑนฺตี’’ติฯ ราชา – ‘‘กิํ, ภเณ, อิตฺถาคารพลกายาทีนํ วฎฺฎํ ปริปุณฺณ’’นฺติ ? ‘‘อาม, มหาราช, ปริปุณฺณนฺติ’’ฯ ‘‘เตน หิ, ภเณ, ทานสาลํ การาเปถ, ทานํ ทสฺสามิ, มา อิมานิ ธญฺญานิ อนุปการานิ วินสฺสิํสู’’ติฯ ตโต นํ อญฺญตโร ทิฎฺฐิคติโก อมโจฺจ ‘‘มหาราช, นตฺถิ ทินฺน’’นฺติ อารพฺภ ยาว ‘‘พาลา จ ปณฺฑิตา จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา นิวาเรสิฯ โส ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ โกฎฺฐาคาเร วิลุมฺปเนฺต ทิสฺวา ตเถว อาณาเปสิฯ ตติยมฺปิ นํ ‘‘มหาราช, ทตฺตุปญฺญตฺตํ ยทิทํ ทาน’’นฺติอาทีนิ วตฺวา นิวาเรสิฯ โส ‘‘อเร, อหํ อตฺตโน สนฺตกมฺปิ น ลภามิ ทาตุํ, กิํ เม อิเมหิ ปาปสหาเยหี’’ติ นิพฺพิโนฺน รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตญฺจ ปาปํ สหายํ ครหโนฺต อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    57.Pāpaṃ sahāyanti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā mahaccarājānubhāvena nagaraṃ padakkhiṇaṃ karonto manusse koṭṭhāgārato purāṇadhaññāni bahiddhā nīharante disvā ‘‘kiṃ, bhaṇe, ida’’nti amacce pucchi. ‘‘Idāni, mahārāja, navadhaññāni uppajjissanti, tesaṃ okāsaṃ kātuṃ ime manussā purāṇadhaññādīni chaḍḍentī’’ti. Rājā – ‘‘kiṃ, bhaṇe, itthāgārabalakāyādīnaṃ vaṭṭaṃ paripuṇṇa’’nti ? ‘‘Āma, mahārāja, paripuṇṇanti’’. ‘‘Tena hi, bhaṇe, dānasālaṃ kārāpetha, dānaṃ dassāmi, mā imāni dhaññāni anupakārāni vinassiṃsū’’ti. Tato naṃ aññataro diṭṭhigatiko amacco ‘‘mahārāja, natthi dinna’’nti ārabbha yāva ‘‘bālā ca paṇḍitā ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissantī’’ti vatvā nivāresi. So dutiyampi tatiyampi koṭṭhāgāre vilumpante disvā tatheva āṇāpesi. Tatiyampi naṃ ‘‘mahārāja, dattupaññattaṃ yadidaṃ dāna’’ntiādīni vatvā nivāresi. So ‘‘are, ahaṃ attano santakampi na labhāmi dātuṃ, kiṃ me imehi pāpasahāyehī’’ti nibbinno rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchākāsi. Tañca pāpaṃ sahāyaṃ garahanto imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘ปาปํ สหายํ ปริวชฺชเยถ, อนตฺถทสฺสิํ วิสเม นิวิฎฺฐํ;

    ‘‘Pāpaṃ sahāyaṃ parivajjayetha, anatthadassiṃ visame niviṭṭhaṃ;

    สยํ น เสเว ปสุตํ ปมตฺตํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Sayaṃ na seve pasutaṃ pamattaṃ, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตสฺสายํ สเงฺขปโตฺถ – ยฺวายํ ทสวตฺถุกาย ปาปทิฎฺฐิยา สมนฺนาคตตฺตา ปาโป, ปเรสมฺปิ อนตฺถํ ปสฺสตีติ อนตฺถทสฺสี, กายทุจฺจริตาทิมฺหิ จ วิสเม นิวิโฎฺฐ, ตํ อตฺถกาโม กุลปุโตฺต ปาปํ สหายํ ปริวชฺชเยถ อนตฺถทสฺสิํ วิสเม นิวิฎฺฐํฯ สยํ น เสเวติ อตฺตโน วเสน น เสเวฯ ยทิ ปน ปรวโส โหติ, กิํ สกฺกา กาตุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ปสุตนฺติ ปสฎํ , ทิฎฺฐิวเสน ตตฺถ ตตฺถ ลคฺคนฺติ อโตฺถฯ ปมตฺตนฺติ กามคุเณสุ โวสฺสฎฺฐจิตฺตํ, กุสลภาวนารหิตํ วาฯ ตํ เอวรูปํ น เสเว, น ภเช, น ปยิรุปาเส, อญฺญทตฺถุ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติฯ

    Tassāyaṃ saṅkhepattho – yvāyaṃ dasavatthukāya pāpadiṭṭhiyā samannāgatattā pāpo, paresampi anatthaṃ passatīti anatthadassī, kāyaduccaritādimhi ca visame niviṭṭho, taṃ atthakāmo kulaputto pāpaṃ sahāyaṃ parivajjayetha anatthadassiṃ visame niviṭṭhaṃ. Sayaṃ na seveti attano vasena na seve. Yadi pana paravaso hoti, kiṃ sakkā kātunti vuttaṃ hoti. Pasutanti pasaṭaṃ , diṭṭhivasena tattha tattha lagganti attho. Pamattanti kāmaguṇesu vossaṭṭhacittaṃ, kusalabhāvanārahitaṃ vā. Taṃ evarūpaṃ na seve, na bhaje, na payirupāse, aññadatthu eko care khaggavisāṇakappoti.

    ปาปสหายคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Pāpasahāyagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๕๘. พหุสฺสุตนฺติ กา อุปฺปตฺติ? ปุเพฺพ กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน อฎฺฐ ปเจฺจกโพธิสตฺตา ปพฺพชิตฺวา คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา เทวโลเก อุปฺปนฺนาติ สพฺพํ อนวชฺชโภชีคาถาย วุตฺตสทิสเมวฯ อยํ ปน วิเสโส – ปเจฺจกพุเทฺธ นิสีทาเปตฺวา ราชา อาห ‘‘เก ตุเมฺห’’ติ? เต อาหํสุ – ‘‘มยํ, มหาราช, พหุสฺสุตา นามา’’ติฯ ราชา – ‘‘อหํ สุตพฺรหฺมทโตฺต นาม, สุเตน ติตฺติํ น คจฺฉามิ, หนฺท, เนสํ สนฺติเก วิจิตฺรนยํ สทฺธมฺมเทสนํ โสสฺสามี’’ติ อตฺตมโน ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา, ปริวิสิตฺวา, ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สงฺฆเตฺถรสฺส ปตฺตํ คเหตฺวา, วนฺทิตฺวา, ปุรโต นิสีทิ ‘‘ธมฺมกถํ, ภเนฺต, กโรถา’’ติฯ โส ‘‘สุขิโต โหตุ, มหาราช, ราคกฺขโย โหตู’’ติ วตฺวา อุฎฺฐิโตฯ ราชา ‘‘อยํ น พหุสฺสุโต, ทุติโย พหุสฺสุโต ภวิสฺสติ, เสฺว ทานิ วิจิตฺรธมฺมเทสนํ โสสฺสามี’’ติ สฺวาตนาย นิมเนฺตสิฯ เอวํ ยาว สเพฺพสํ ปฎิปาฎิ คจฺฉติ, ตาว นิมเนฺตสิฯ เต สเพฺพปิ ‘‘โทสกฺขโย โหตุ, โมหกฺขโย, คติกฺขโย, วฎฺฎกฺขโย, อุปธิกฺขโย, ตณฺหกฺขโย โหตู’’ติ เอวํ เอเกกํ ปทํ วิเสเสตฺวา เสสํ ปฐมสทิสเมว วตฺวา อุฎฺฐหิํสุฯ

    58.Bahussutanti kā uppatti? Pubbe kira kassapassa bhagavato sāsane aṭṭha paccekabodhisattā pabbajitvā gatapaccāgatavattaṃ pūretvā devaloke uppannāti sabbaṃ anavajjabhojīgāthāya vuttasadisameva. Ayaṃ pana viseso – paccekabuddhe nisīdāpetvā rājā āha ‘‘ke tumhe’’ti? Te āhaṃsu – ‘‘mayaṃ, mahārāja, bahussutā nāmā’’ti. Rājā – ‘‘ahaṃ sutabrahmadatto nāma, sutena tittiṃ na gacchāmi, handa, nesaṃ santike vicitranayaṃ saddhammadesanaṃ sossāmī’’ti attamano dakkhiṇodakaṃ datvā, parivisitvā, bhattakiccapariyosāne saṅghattherassa pattaṃ gahetvā, vanditvā, purato nisīdi ‘‘dhammakathaṃ, bhante, karothā’’ti. So ‘‘sukhito hotu, mahārāja, rāgakkhayo hotū’’ti vatvā uṭṭhito. Rājā ‘‘ayaṃ na bahussuto, dutiyo bahussuto bhavissati, sve dāni vicitradhammadesanaṃ sossāmī’’ti svātanāya nimantesi. Evaṃ yāva sabbesaṃ paṭipāṭi gacchati, tāva nimantesi. Te sabbepi ‘‘dosakkhayo hotu, mohakkhayo, gatikkhayo, vaṭṭakkhayo, upadhikkhayo, taṇhakkhayo hotū’’ti evaṃ ekekaṃ padaṃ visesetvā sesaṃ paṭhamasadisameva vatvā uṭṭhahiṃsu.

    ตโต ราชา ‘‘อิเม ‘พหุสฺสุตา มย’นฺติ ภณนฺติ, น จ เตสํ วิจิตฺรกถา, กิเมเตหิ วุตฺต’’นฺติ เตสํ วจนตฺถํ อุปปริกฺขิตุมารโทฺธฯ อถ ‘‘ราคกฺขโย โหตู’’ติ อุปปริกฺขโนฺต ‘‘ราเค ขีเณ โทโสปิ โมโหปิ อญฺญตรญฺญตเรปิ กิเลสา ขีณา โหนฺตี’’ติ ญตฺวา อตฺตมโน อโหสิ – ‘‘นิปฺปริยายพหุสฺสุตา อิเม สมณาฯ ยถา หิ ปุริเสน มหาปถวิํ วา อากาสํ วา องฺคุลิยา นิทฺทิสเนฺตน น องฺคุลิมโตฺตว ปเทโส นิทฺทิโฎฺฐ โหติ, อปิจ, โข, ปน ปถวีอากาสา เอว นิทฺทิฎฺฐา โหนฺติ, เอวํ อิเมหิ เอกเมกํ อตฺถํ นิทฺทิสเนฺตหิ อปริมาณา อตฺถา นิทฺทิฎฺฐา โหนฺตี’’ติฯ ตโต โส ‘‘กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ พหุสฺสุโต ภวิสฺสามี’’ติ ตถารูปํ พหุสฺสุตภาวํ ปเตฺถโนฺต รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา, วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา, อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    Tato rājā ‘‘ime ‘bahussutā maya’nti bhaṇanti, na ca tesaṃ vicitrakathā, kimetehi vutta’’nti tesaṃ vacanatthaṃ upaparikkhitumāraddho. Atha ‘‘rāgakkhayo hotū’’ti upaparikkhanto ‘‘rāge khīṇe dosopi mohopi aññataraññatarepi kilesā khīṇā hontī’’ti ñatvā attamano ahosi – ‘‘nippariyāyabahussutā ime samaṇā. Yathā hi purisena mahāpathaviṃ vā ākāsaṃ vā aṅguliyā niddisantena na aṅgulimattova padeso niddiṭṭho hoti, apica, kho, pana pathavīākāsā eva niddiṭṭhā honti, evaṃ imehi ekamekaṃ atthaṃ niddisantehi aparimāṇā atthā niddiṭṭhā hontī’’ti. Tato so ‘‘kudāssu nāmāhampi evaṃ bahussuto bhavissāmī’’ti tathārūpaṃ bahussutabhāvaṃ patthento rajjaṃ pahāya pabbajitvā, vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā, imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘พหุสฺสุตํ ธมฺมธรํ ภเชถ, มิตฺตํ อุฬารํ ปฎิภานวนฺตํ;

    ‘‘Bahussutaṃ dhammadharaṃ bhajetha, mittaṃ uḷāraṃ paṭibhānavantaṃ;

    อญฺญาย อตฺถานิ วิเนยฺย กงฺขํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Aññāya atthāni vineyya kaṅkhaṃ, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถายํ สเงฺขปโตฺถ – พหุสฺสุตนฺติ ทุวิโธ พหุสฺสุโต ตีสุ ปิฎเกสุ อตฺถโต นิขิโล ปริยตฺติพหุสฺสุโต จ, มคฺคผลวิชฺชาภิญฺญานํ ปฎิวิทฺธตฺตา ปฎิเวธพหุสฺสุโต จฯ อาคตาคโม ธมฺมธโรฯ อุฬาเรหิ ปน กายวจีมโนกเมฺมหิ สมนฺนาคโต อุฬาโรฯ ยุตฺตปฎิภาโน จ มุตฺตปฎิภาโน จ ยุตฺตมุตฺตปฎิภาโน จ ปฎิภานวาฯ ปริยตฺติปริปุจฺฉาธิคมวเสน วา ติธา ปฎิภานวา เวทิตโพฺพฯ ยสฺส หิ ปริยตฺติ ปฎิภาติ, โส ปริยตฺติปฎิภานวาฯ ยสฺส อตฺถญฺจ ญาณญฺจ ลกฺขณญฺจ ฐานาฎฺฐานญฺจ ปริปุจฺฉนฺตสฺส ปริปุจฺฉา ปฎิภาติ, โส ปริปุจฺฉาปฎิภานวาฯ เยน มคฺคาทโย ปฎิวิทฺธา โหนฺติ, โส อธิคมปฎิภานวาฯ ตํ เอวรูปํ พหุสฺสุตํ ธมฺมธรํ ภเชถ มิตฺตํ อุฬารํ ปฎิภานวนฺตํฯ ตโต ตสฺสานุภาเวน อตฺตตฺถปรตฺถอุภยตฺถเภทโต วา ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถเภทโต วา อเนกปฺปการานิ อญฺญาย อตฺถานิฯ ตโต – ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) กงฺขฎฺฐาเนสุ วิเนยฺย กงฺขํ, วิจิกิจฺฉํ วิเนตฺวา วินาเสตฺวา เอวํ กตสพฺพกิโจฺจ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติฯ

    Tatthāyaṃ saṅkhepattho – bahussutanti duvidho bahussuto tīsu piṭakesu atthato nikhilo pariyattibahussuto ca, maggaphalavijjābhiññānaṃ paṭividdhattā paṭivedhabahussuto ca. Āgatāgamo dhammadharo. Uḷārehi pana kāyavacīmanokammehi samannāgato uḷāro. Yuttapaṭibhāno ca muttapaṭibhāno ca yuttamuttapaṭibhāno ca paṭibhānavā. Pariyattiparipucchādhigamavasena vā tidhā paṭibhānavā veditabbo. Yassa hi pariyatti paṭibhāti, so pariyattipaṭibhānavā. Yassa atthañca ñāṇañca lakkhaṇañca ṭhānāṭṭhānañca paripucchantassa paripucchā paṭibhāti, so paripucchāpaṭibhānavā. Yena maggādayo paṭividdhā honti, so adhigamapaṭibhānavā. Taṃ evarūpaṃ bahussutaṃ dhammadharaṃ bhajetha mittaṃ uḷāraṃ paṭibhānavantaṃ. Tato tassānubhāvena attatthaparatthaubhayatthabhedato vā diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthabhedato vā anekappakārāni aññāya atthāni. Tato – ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādīsu (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) kaṅkhaṭṭhānesu vineyya kaṅkhaṃ, vicikicchaṃ vinetvā vināsetvā evaṃ katasabbakicco eko care khaggavisāṇakappoti.

    พหุสฺสุตคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Bahussutagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๕๙. ขิฑฺฑํ รตินฺติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ วิภูสกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา ปาโตว ยาคุํ วา ภตฺตํ วา ภุญฺชิตฺวา นานาวิธวิภูสเนหิ อตฺตานํ วิภูสาเปตฺวา มหาอาทาเส สกลสรีรํ ทิสฺวา ยํ น อิจฺฉติ ตํ อปเนตฺวา อเญฺญน วิภูสเนน วิภูสาเปติฯ ตสฺส เอกทิวสํ เอวํ กโรโต ภตฺตเวลา มชฺฌนฺหิกสมโย ปโตฺตฯ อถ อวิภูสิโตว ทุสฺสปเฎฺฎน สีสํ เวเฐตฺวา, ภุญฺชิตฺวา, ทิวาเสยฺยํ อุปคจฺฉิฯ ปุนปิ อุฎฺฐหิตฺวา ตเถว กโรโต สูริโย อตฺถงฺคโตฯ เอวํ ทุติยทิวเสปิ ตติยทิวเสปิฯ อถสฺส เอวํ มณฺฑนปฺปสุตสฺส ปิฎฺฐิโรโค อุทปาทิฯ ตเสฺสตทโหสิ – ‘‘อโห เร, อหํ สพฺพถาเมน วิภูสโนฺตปิ อิมสฺมิํ กปฺปเก วิภูสเน อสนฺตุโฎฺฐ โลภํ อุปฺปาเทสิํฯ โลโภ จ นาเมส อปายคมนีโย ธโมฺม, หนฺทาหํ, โลภํ นิคฺคณฺหามี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    59.Khiḍḍaṃratinti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ vibhūsakabrahmadatto nāma rājā pātova yāguṃ vā bhattaṃ vā bhuñjitvā nānāvidhavibhūsanehi attānaṃ vibhūsāpetvā mahāādāse sakalasarīraṃ disvā yaṃ na icchati taṃ apanetvā aññena vibhūsanena vibhūsāpeti. Tassa ekadivasaṃ evaṃ karoto bhattavelā majjhanhikasamayo patto. Atha avibhūsitova dussapaṭṭena sīsaṃ veṭhetvā, bhuñjitvā, divāseyyaṃ upagacchi. Punapi uṭṭhahitvā tatheva karoto sūriyo atthaṅgato. Evaṃ dutiyadivasepi tatiyadivasepi. Athassa evaṃ maṇḍanappasutassa piṭṭhirogo udapādi. Tassetadahosi – ‘‘aho re, ahaṃ sabbathāmena vibhūsantopi imasmiṃ kappake vibhūsane asantuṭṭho lobhaṃ uppādesiṃ. Lobho ca nāmesa apāyagamanīyo dhammo, handāhaṃ, lobhaṃ niggaṇhāmī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘ขิฑฺฑํ รติํ กามสุขญฺจ โลเก, อนลงฺกริตฺวา อนเปกฺขมาโน;

    ‘‘Khiḍḍaṃ ratiṃ kāmasukhañca loke, analaṅkaritvā anapekkhamāno;

    วิภูสนฎฺฐานา วิรโต สจฺจวาที, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Vibhūsanaṭṭhānā virato saccavādī, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ ขิฑฺฑา จ รติ จ ปุเพฺพ วุตฺตาวฯ กามสุขนฺติ วตฺถุกามสุขํฯ วตฺถุกามาปิ หิ สุขสฺส วิสยาทิภาเวน สุขนฺติ วุจฺจนฺติฯ ยถาห – ‘‘อตฺถิ รูปํ สุขํ สุขานุปติต’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๖๐)ฯ เอวเมตํ ขิฑฺฑํ รติํ กามสุขญฺจ อิมสฺมิํ โอกาสโลเก อนลงฺกริตฺวา อลนฺติ อกตฺวา, เอตํ ตปฺปกนฺติ วา สารภูตนฺติ วา เอวํ อคฺคเหตฺวาฯ อนเปกฺขมาโนติ เตน อลงฺกรเณน อนเปกฺขณสีโล, อปิหาลุโก, นิตฺตโณฺห, วิภูสนฎฺฐานา วิรโต สจฺจวาที เอโก จเรติฯ ตตฺถ วิภูสา ทุวิธา – อคาริกวิภูสา, อนคาริกวิภูสา จฯ ตตฺถ อคาริกวิภูสา สาฎกเวฐนมาลาคนฺธาทิ, อนคาริกวิภูสา ปตฺตมณฺฑนาทิฯ วิภูสา เอว วิภูสนฎฺฐานํฯ ตสฺมา วิภูสนฎฺฐานา ติวิธาย วิรติยา วิรโตฯ อวิตถวจนโต สจฺจวาทีติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Tattha khiḍḍā ca rati ca pubbe vuttāva. Kāmasukhanti vatthukāmasukhaṃ. Vatthukāmāpi hi sukhassa visayādibhāvena sukhanti vuccanti. Yathāha – ‘‘atthi rūpaṃ sukhaṃ sukhānupatita’’nti (saṃ. ni. 3.60). Evametaṃ khiḍḍaṃ ratiṃ kāmasukhañca imasmiṃ okāsaloke analaṅkaritvā alanti akatvā, etaṃ tappakanti vā sārabhūtanti vā evaṃ aggahetvā. Anapekkhamānoti tena alaṅkaraṇena anapekkhaṇasīlo, apihāluko, nittaṇho, vibhūsanaṭṭhānā virato saccavādī eko careti. Tattha vibhūsā duvidhā – agārikavibhūsā, anagārikavibhūsā ca. Tattha agārikavibhūsā sāṭakaveṭhanamālāgandhādi, anagārikavibhūsā pattamaṇḍanādi. Vibhūsā eva vibhūsanaṭṭhānaṃ. Tasmā vibhūsanaṭṭhānā tividhāya viratiyā virato. Avitathavacanato saccavādīti evamattho daṭṭhabbo.

    วิภูสนฎฺฐานคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Vibhūsanaṭṭhānagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๖๐. ปุตฺตญฺจ ทารนฺติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิรโญฺญ กิร ปุโตฺต ทหรกาเล เอว อภิสิโตฺต รชฺชํ กาเรสิฯ โส ปฐมคาถาย วุตฺตปเจฺจกโพธิสโตฺต วิย รชฺชสิริมนุภวโนฺต เอกทิวสํ จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ รชฺชํ กาเรโนฺต พหูนํ ทุกฺขํ กโรมิฯ กิํ เม เอกภตฺตตฺถาย อิมินา ปาเปน, หนฺท สุขมุปฺปาเทมี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    60.Puttañcadāranti kā uppatti? Bārāṇasirañño kira putto daharakāle eva abhisitto rajjaṃ kāresi. So paṭhamagāthāya vuttapaccekabodhisatto viya rajjasirimanubhavanto ekadivasaṃ cintesi – ‘‘ahaṃ rajjaṃ kārento bahūnaṃ dukkhaṃ karomi. Kiṃ me ekabhattatthāya iminā pāpena, handa sukhamuppādemī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘ปุตฺตญฺจ ทารํ ปิตรญฺจ มาตรํ, ธนานิ ธญฺญานิ จ พนฺธวานิ;

    ‘‘Puttañca dāraṃ pitarañca mātaraṃ, dhanāni dhaññāni ca bandhavāni;

    หิตฺวาน กามานิ ยโถธิกานิ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Hitvāna kāmāni yathodhikāni, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ ธนานีติ มุตฺตามณิเวฬุริยสงฺขสิลาปวาฬรชตชาตรูปาทีนิ รตนานิฯ ธญฺญานีติ สาลิวีหิยวโคธุมกงฺกุวรกกุทฺรูสกปเภทานิ สตฺต เสสาปรณฺณานิ จฯ พนฺธวานีติ ญาติพนฺธุโคตฺตพนฺธุมิตฺตพนฺธุสิปฺปพนฺธุวเสน จตุพฺพิเธ พนฺธเวฯ ยโถธิกานีติ สกสกโอธิวเสน ฐิตาเนวฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha dhanānīti muttāmaṇiveḷuriyasaṅkhasilāpavāḷarajatajātarūpādīni ratanāni. Dhaññānīti sālivīhiyavagodhumakaṅkuvarakakudrūsakapabhedāni satta sesāparaṇṇāni ca. Bandhavānīti ñātibandhugottabandhumittabandhusippabandhuvasena catubbidhe bandhave. Yathodhikānīti sakasakaodhivasena ṭhitāneva. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    ปุตฺตทารคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Puttadāragāthāvaṇṇanā samattā.

    ๖๑. สโงฺค เอโสติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร ปาทโลลพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ โส ปาโตว ยาคุํ วา ภตฺตํ วา ภุญฺชิตฺวา ตีสุ ปาสาเทสุ ติวิธนาฎกานิ ปสฺสติฯ ติวิธนาฎกานีติ กิร ปุพฺพราชโต อาคตํ, อนนฺตรราชโต อาคตํ, อตฺตโน กาเล อุฎฺฐิตนฺติฯ โส เอกทิวสํ ปาโตว ทหรนาฎกปาสาทํ คโตฯ ตา นาฎกิตฺถิโย ‘‘ราชานํ รมาเปสฺสามา’’ติ สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส อจฺฉราโย วิย อติมโนหรํ นจฺจคีตวาทิตํ ปโยเชสุํฯ ราชา – ‘‘อนจฺฉริยเมตํ ทหราน’’นฺติ อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา มชฺฌิมนาฎกปาสาทํ คโตฯ ตาปิ นาฎกิตฺถิโย ตเถว อกํสุฯ โส ตตฺถาปิ ตเถว อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา มหานาฎกปาสาทํ คโตฯ ตาปิ นาฎกิตฺถิโย ตเถว อกํสุฯ ราชา เทฺว ตโย ราชปริวเฎฺฎ อตีตานํ ตาสํ มหลฺลกภาเวน อฎฺฐิกีฬนสทิสํ นจฺจํ ทิสฺวา คีตญฺจ อมธุรํ สุตฺวา ปุนเทว ทหรนาฎกปาสาทํ, ปุน มชฺฌิมนาฎกปาสาทนฺติ เอวํ วิจริตฺวา กตฺถจิ อสนฺตุโฎฺฐ จิเนฺตสิ – ‘‘อิมา นาฎกิตฺถิโย สกฺกํ เทวานมินฺทํ อจฺฉราโย วิย มํ รมาเปตุกามา สพฺพถาเมน นจฺจคีตวาทิตํ ปโยเชสุํ, สฺวาหํ กตฺถจิ อสนฺตุโฎฺฐ โลภเมว วเฑฺฒมิ, โลโภ จ นาเมส อปายคมนีโย ธโมฺม, หนฺทาหํ โลภํ นิคฺคณฺหามี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    61.Saṅgo esoti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira pādalolabrahmadatto nāma rājā ahosi. So pātova yāguṃ vā bhattaṃ vā bhuñjitvā tīsu pāsādesu tividhanāṭakāni passati. Tividhanāṭakānīti kira pubbarājato āgataṃ, anantararājato āgataṃ, attano kāle uṭṭhitanti. So ekadivasaṃ pātova daharanāṭakapāsādaṃ gato. Tā nāṭakitthiyo ‘‘rājānaṃ ramāpessāmā’’ti sakkassa devānamindassa accharāyo viya atimanoharaṃ naccagītavāditaṃ payojesuṃ. Rājā – ‘‘anacchariyametaṃ daharāna’’nti asantuṭṭho hutvā majjhimanāṭakapāsādaṃ gato. Tāpi nāṭakitthiyo tatheva akaṃsu. So tatthāpi tatheva asantuṭṭho hutvā mahānāṭakapāsādaṃ gato. Tāpi nāṭakitthiyo tatheva akaṃsu. Rājā dve tayo rājaparivaṭṭe atītānaṃ tāsaṃ mahallakabhāvena aṭṭhikīḷanasadisaṃ naccaṃ disvā gītañca amadhuraṃ sutvā punadeva daharanāṭakapāsādaṃ, puna majjhimanāṭakapāsādanti evaṃ vicaritvā katthaci asantuṭṭho cintesi – ‘‘imā nāṭakitthiyo sakkaṃ devānamindaṃ accharāyo viya maṃ ramāpetukāmā sabbathāmena naccagītavāditaṃ payojesuṃ, svāhaṃ katthaci asantuṭṭho lobhameva vaḍḍhemi, lobho ca nāmesa apāyagamanīyo dhammo, handāhaṃ lobhaṃ niggaṇhāmī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘สโงฺค เอโส ปริตฺตเมตฺถ โสขฺยํ, อปฺปสฺสาโท ทุกฺขเมตฺถ ภิโยฺย;

    ‘‘Saṅgo eso parittamettha sokhyaṃ, appassādo dukkhamettha bhiyyo;

    คโฬ เอโส อิติ ญตฺวา มติมา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Gaḷo eso iti ñatvā matimā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – สโงฺค เอโสติ อตฺตโน อุปโภคํ นิทฺทิสติฯ โส หิ สชฺชนฺติ ตตฺถ ปาณิโน กทฺทเม ปวิโฎฺฐ หตฺถี วิยาติ สโงฺคฯ ปริตฺตเมตฺถ โสขฺยนฺติ เอตฺถ ปญฺจกามคุณูปโภคกาเล วิปรีตสญฺญาย อุปฺปาเทตพฺพโต กามาวจรธมฺมปริยาปนฺนโต วา ลามกเฎฺฐน โสขฺยํ ปริตฺตํ, วิชฺชุปฺปภาย โอภาสิตนจฺจทสฺสนสุขํ วิย อิตฺตรํ , ตาวกาลิกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อปฺปสฺสาโท ทุกฺขเมตฺถ ภิโยฺยติ เอตฺถ จ ยฺวายํ ‘‘ยํ โข, ภิกฺขเว, อิเม ปญฺจ กามคุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ, อยํ กามานํ อสฺสาโท’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๖๖) วุโตฺตฯ โส ยทิทํ ‘‘โก จ, ภิกฺขเว, กามานํ อาทีนโว? อิธ, ภิกฺขเว, กุลปุโตฺต เยน สิปฺปฎฺฐาเนน ชีวิกํ กเปฺปติ, ยทิ มุทฺทาย, ยทิ คณนายา’’ติ เอวมาทินา (ม. นิ. ๑.๑๖๗) นเยเนตฺถ ทุกฺขํ วุตฺตํฯ ตํ อุปนิธาย อโปฺป อุทกพินฺทุมโตฺต โหติฯ อถ โข ทุกฺขเมว ภิโยฺย พหุ, จตูสุ สมุเทฺทสุ อุทกสทิสํ โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อปฺปสฺสาโท ทุกฺขเมตฺถ ภิโยฺย’’ติฯ คโฬ เอโสติ อสฺสาทํ ทเสฺสตฺวา อากฑฺฒนวเสน พฬิโส วิย เอโส ยทิทํ ปญฺจ กามคุณาฯ อิติ ญตฺวา มติมาติ เอวํ ญตฺวา พุทฺธิมา ปณฺฑิโต ปุริโส สพฺพเมฺปตํ ปหาย เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติฯ

    Tassattho – saṅgo esoti attano upabhogaṃ niddisati. So hi sajjanti tattha pāṇino kaddame paviṭṭho hatthī viyāti saṅgo. Parittamettha sokhyanti ettha pañcakāmaguṇūpabhogakāle viparītasaññāya uppādetabbato kāmāvacaradhammapariyāpannato vā lāmakaṭṭhena sokhyaṃ parittaṃ, vijjuppabhāya obhāsitanaccadassanasukhaṃ viya ittaraṃ , tāvakālikanti vuttaṃ hoti. Appassādo dukkhamettha bhiyyoti ettha ca yvāyaṃ ‘‘yaṃ kho, bhikkhave, ime pañca kāmaguṇe paṭicca uppajjati sukhaṃ somanassaṃ, ayaṃ kāmānaṃ assādo’’ti (ma. ni. 1.166) vutto. So yadidaṃ ‘‘ko ca, bhikkhave, kāmānaṃ ādīnavo? Idha, bhikkhave, kulaputto yena sippaṭṭhānena jīvikaṃ kappeti, yadi muddāya, yadi gaṇanāyā’’ti evamādinā (ma. ni. 1.167) nayenettha dukkhaṃ vuttaṃ. Taṃ upanidhāya appo udakabindumatto hoti. Atha kho dukkhameva bhiyyo bahu, catūsu samuddesu udakasadisaṃ hoti. Tena vuttaṃ ‘‘appassādo dukkhamettha bhiyyo’’ti. Gaḷo esoti assādaṃ dassetvā ākaḍḍhanavasena baḷiso viya eso yadidaṃ pañca kāmaguṇā. Iti ñatvā matimāti evaṃ ñatvā buddhimā paṇḍito puriso sabbampetaṃ pahāya eko care khaggavisāṇakappoti.

    สงฺคคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Saṅgagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๖๒. สนฺทาลยิตฺวานาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อนิวตฺตพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิ ฯ โส สงฺคามํ โอติโณฺณ อชินิตฺวา อญฺญํ วา กิจฺจํ อารโทฺธ อนิฎฺฐเปตฺวา น นิวตฺตติ, ตสฺมา นํ เอวํ สญฺชานิํสุฯ โส เอกทิวสํ อุยฺยานํ คจฺฉติฯ เตน จ สมเยน วนทาโห อุฎฺฐาสิฯ โส อคฺคิ สุกฺขานิ จ หริตานิ จ ติณาทีนิ ทหโนฺต อนิวตฺตมาโน เอว คจฺฉติฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ตปฺปฎิภาคนิมิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ ‘‘ยถายํ วนทาโห, เอวเมว เอกาทสวิโธ อคฺคิ สพฺพสเตฺต ทหโนฺต อนิวตฺตมาโนว คจฺฉติ มหาทุกฺขํ อุปฺปาเทโนฺต, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ อิมสฺส ทุกฺขสฺส นิวตฺตนตฺถํ อยํ อคฺคิ วิย อริยมคฺคญาณคฺคินา กิเลเส ทหโนฺต อนิวตฺตมาโน คเจฺฉยฺย’’นฺติ? ตโต มุหุตฺตํ คนฺตฺวา เกวเฎฺฎ อทฺทส นทิยํ มเจฺฉ คณฺหเนฺต ฯ เตสํ ชาลนฺตรํ ปวิโฎฺฐ เอโก มหามโจฺฉ ชาลํ เภตฺวา ปลายิฯ เต ‘‘มโจฺฉ ชาลํ เภตฺวา คโต’’ติ สทฺทมกํสุฯ ราชา ตมฺปิ วจนํ สุตฺวา ตปฺปฎิภาคนิมิตฺตํ อุปฺปาเทสิ – ‘‘กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ อริยมคฺคญาเณน ตณฺหาทิฎฺฐิชาลํ เภตฺวา อสชฺชมาโน คเจฺฉยฺย’’นฺติฯ โส รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิ, อิมญฺจ อุทานคาถํ อภาสิ –

    62.Sandālayitvānāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira anivattabrahmadatto nāma rājā ahosi . So saṅgāmaṃ otiṇṇo ajinitvā aññaṃ vā kiccaṃ āraddho aniṭṭhapetvā na nivattati, tasmā naṃ evaṃ sañjāniṃsu. So ekadivasaṃ uyyānaṃ gacchati. Tena ca samayena vanadāho uṭṭhāsi. So aggi sukkhāni ca haritāni ca tiṇādīni dahanto anivattamāno eva gacchati. Rājā taṃ disvā tappaṭibhāganimittaṃ uppādesi. ‘‘Yathāyaṃ vanadāho, evameva ekādasavidho aggi sabbasatte dahanto anivattamānova gacchati mahādukkhaṃ uppādento, kudāssu nāmāhampi imassa dukkhassa nivattanatthaṃ ayaṃ aggi viya ariyamaggañāṇagginā kilese dahanto anivattamāno gaccheyya’’nti? Tato muhuttaṃ gantvā kevaṭṭe addasa nadiyaṃ macche gaṇhante . Tesaṃ jālantaraṃ paviṭṭho eko mahāmaccho jālaṃ bhetvā palāyi. Te ‘‘maccho jālaṃ bhetvā gato’’ti saddamakaṃsu. Rājā tampi vacanaṃ sutvā tappaṭibhāganimittaṃ uppādesi – ‘‘kudāssu nāmāhampi ariyamaggañāṇena taṇhādiṭṭhijālaṃ bhetvā asajjamāno gaccheyya’’nti. So rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi, imañca udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘สนฺทาลยิตฺวาน สํโยชนานิ, ชาลํว เภตฺวา สลิลมฺพุจารี;

    ‘‘Sandālayitvāna saṃyojanāni, jālaṃva bhetvā salilambucārī;

    อคฺคีว ทฑฺฒํ อนิวตฺตมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Aggīva daḍḍhaṃ anivattamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตสฺสา ทุติยปาเท ชาลนฺติ สุตฺตมยํ วุจฺจติฯ อมฺพูติ อุทกํ, ตตฺถ จรตีติ อมฺพุจารี, มจฺฉเสฺสตํ อธิวจนํฯ สลิเล อมฺพุจารี สลิลมฺพุจารี, ตสฺมิํ นทีสลิเล ชาลํ เภตฺวา อมฺพุจารีวาติ วุตฺตํ โหติฯ ตติยปาเท ทฑฺฒนฺติ ทฑฺฒฎฺฐานํ วุจฺจติฯ ยถา อคฺคิ ทฑฺฒฎฺฐานํ ปุน น นิวตฺตติ, น ตตฺถ ภิโยฺย อาคจฺฉติ, เอวํ มคฺคญาณคฺคินา ทฑฺฒํ กามคุณฎฺฐานํ อนิวตฺตมาโน ตตฺถ ภิโยฺย อนาคจฺฉโนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tassā dutiyapāde jālanti suttamayaṃ vuccati. Ambūti udakaṃ, tattha caratīti ambucārī, macchassetaṃ adhivacanaṃ. Salile ambucārī salilambucārī, tasmiṃ nadīsalile jālaṃ bhetvā ambucārīvāti vuttaṃ hoti. Tatiyapāde daḍḍhanti daḍḍhaṭṭhānaṃ vuccati. Yathā aggi daḍḍhaṭṭhānaṃ puna na nivattati, na tattha bhiyyo āgacchati, evaṃ maggañāṇagginā daḍḍhaṃ kāmaguṇaṭṭhānaṃ anivattamāno tattha bhiyyo anāgacchantoti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    สนฺทาลนคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Sandālanagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๖๓. โอกฺขิตฺตจกฺขูติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร จกฺขุโลลพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา ปาทโลลพฺรหฺมทโตฺต วิย นาฎกทสฺสนมนุยุโตฺต โหติฯ อยํ ปน วิเสโส – โส อสนฺตุโฎฺฐ ตตฺถ ตตฺถ คจฺฉติ, อยํ ตํ ตํ นาฎกํ ทิสฺวา อติวิย อภินนฺทิตฺวา นาฎกปริวตฺตทสฺสเนน ตณฺหํ วเฑฺฒโนฺต วิจรติฯ โส กิร นาฎกทสฺสนาย อาคตํ อญฺญตรํ กุฎุมฺพิยภริยํ ทิสฺวา ราคํ อุปฺปาเทสิฯ ตโต สํเวคมาปชฺชิตฺวา ปุน ‘‘อหํ อิมํ ตณฺหํ วเฑฺฒโนฺต อปายปริปูรโก ภวิสฺสามิ, หนฺท นํ นิคฺคณฺหามี’’ติ ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อตฺตโน ปุริมปฎิปตฺติํ ครหโนฺต ตปฺปฎิปกฺขคุณทีปิกํ อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    63.Okkhittacakkhūti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira cakkhulolabrahmadatto nāma rājā pādalolabrahmadatto viya nāṭakadassanamanuyutto hoti. Ayaṃ pana viseso – so asantuṭṭho tattha tattha gacchati, ayaṃ taṃ taṃ nāṭakaṃ disvā ativiya abhinanditvā nāṭakaparivattadassanena taṇhaṃ vaḍḍhento vicarati. So kira nāṭakadassanāya āgataṃ aññataraṃ kuṭumbiyabhariyaṃ disvā rāgaṃ uppādesi. Tato saṃvegamāpajjitvā puna ‘‘ahaṃ imaṃ taṇhaṃ vaḍḍhento apāyaparipūrako bhavissāmi, handa naṃ niggaṇhāmī’’ti pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā attano purimapaṭipattiṃ garahanto tappaṭipakkhaguṇadīpikaṃ imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘โอกฺขิตฺตจกฺขู น จ ปาทโลโล, คุตฺตินฺทฺริโย รกฺขิตมานสาโน;

    ‘‘Okkhittacakkhū na ca pādalolo, guttindriyo rakkhitamānasāno;

    อนวสฺสุโต อปริฑยฺหมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Anavassuto apariḍayhamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ โอกฺขิตฺตจกฺขูติ เหฎฺฐาขิตฺตจกฺขุ, สตฺต คีวฎฺฐีนิ ปฎิปาฎิยา ฐเปตฺวา ปริวชฺชคเหตพฺพทสฺสนตฺถํ ยุคมตฺตํ เปกฺขมาโนติ วุตฺตํ โหติฯ น ตุ หนุกฎฺฐินา หทยฎฺฐิํ สงฺฆเฎฺฎโนฺตฯ เอวญฺหิ โอกฺขิตฺตจกฺขุตา น สมณสารุปฺปา โหตีฯ น จ ปาทโลโลติ เอกสฺส ทุติโย, ทฺวินฺนํ ตติโยติ เอวํ คณมชฺฌํ ปวิสิตุกามตาย กณฺฑูยมานปาโท วิย อภวโนฺต, ทีฆจาริกอนวฎฺฐิตจาริกวิรโต วาฯ คุตฺตินฺทฺริโยติ ฉสุ อินฺทฺริเยสุ อิธ วิสุํวุตฺตาวเสสวเสน โคปิตินฺทฺริโยฯ รกฺขิตมานสาโนติ มานสํ เยว มานสานํ, ตํ รกฺขิตมสฺสาติ รกฺขิตมานสาโนฯ ยถา กิเลเสหิ น วิลุปฺปติ, เอวํ รกฺขิตจิโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ อนวสฺสุโตติ อิมาย ปฎิปตฺติยา เตสุ เตสุ อารมฺมเณสุ กิเลสอนฺวาสฺสววิรหิโตฯ อปริฑยฺหมาโนติ เอวํ อนฺวาสฺสววิรหาว กิเลสคฺคีหิ อปริฑยฺหมาโนฯ พหิทฺธา วา อนวสฺสุโต, อชฺฌตฺตํ อปริฑยฺหมาโนฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha okkhittacakkhūti heṭṭhākhittacakkhu, satta gīvaṭṭhīni paṭipāṭiyā ṭhapetvā parivajjagahetabbadassanatthaṃ yugamattaṃ pekkhamānoti vuttaṃ hoti. Na tu hanukaṭṭhinā hadayaṭṭhiṃ saṅghaṭṭento. Evañhi okkhittacakkhutā na samaṇasāruppā hotī. Na ca pādaloloti ekassa dutiyo, dvinnaṃ tatiyoti evaṃ gaṇamajjhaṃ pavisitukāmatāya kaṇḍūyamānapādo viya abhavanto, dīghacārikaanavaṭṭhitacārikavirato vā. Guttindriyoti chasu indriyesu idha visuṃvuttāvasesavasena gopitindriyo. Rakkhitamānasānoti mānasaṃ yeva mānasānaṃ, taṃ rakkhitamassāti rakkhitamānasāno. Yathā kilesehi na viluppati, evaṃ rakkhitacittoti vuttaṃ hoti. Anavassutoti imāya paṭipattiyā tesu tesu ārammaṇesu kilesaanvāssavavirahito. Apariḍayhamānoti evaṃ anvāssavavirahāva kilesaggīhi apariḍayhamāno. Bahiddhā vā anavassuto, ajjhattaṃ apariḍayhamāno. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    โอกฺขิตฺตจกฺขุคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Okkhittacakkhugāthāvaṇṇanā samattā.

    ๖๔. โอหารยิตฺวาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อยํ อโญฺญปิ จาตุมาสิกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา จตุมาเส จตุมาเส อุยฺยานกีฬํ คจฺฉติฯ โส เอกทิวสํ คิมฺหานํ มชฺฌิเม มาเส อุยฺยานํ ปวิสโนฺต อุยฺยานทฺวาเร ปตฺตสญฺฉนฺนํ ปุปฺผาลงฺกตวิฎปํ ปาริจฺฉตฺตกโกวิฬารํ ทิสฺวา เอกํ ปุปฺผํ คเหตฺวา อุยฺยานํ ปาวิสิฯ ตโต ‘‘รญฺญา อคฺคปุปฺผํ คหิต’’นฺติ อญฺญตโรปิ อมโจฺจ หตฺถิกฺขเนฺธ ฐิโต เอว เอกํ ปุปฺผํ อคฺคเหสิฯ เอเตเนว อุปาเยน สโพฺพ พลกาโย อคฺคเหสิฯ ปุปฺผํ อนสฺสาเทนฺตา ปตฺตมฺปิ คณฺหิํสุฯ โส รุโกฺข นิปฺปตฺตปุโปฺผ ขนฺธมโตฺตว อโหสิฯ ตํ ราชา สายนฺหสมเย อุยฺยานา นิกฺขมโนฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ กโต อยํ รุโกฺข, มม อาคมนเวลายํ มณิวณฺณสาขนฺตเรสุ ปวาฬสทิสปุปฺผาลงฺกโต อโหสิ, อิทานิ นิปฺปตฺตปุโปฺผ ชาโต’’ติ จิเนฺตโนฺต ตเสฺสวาวิทูเร อปุปฺผิตํ รุกฺขํ สญฺฉนฺนปลาสํ อทฺทสฯ ทิสฺวา จสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อยํ รุโกฺข ปุปฺผภริตสาขตฺตา พหุชนสฺส โลภนีโย อโหสิ, เตน มุหุเตฺตเนว พฺยสนํ ปโตฺต, อยํ ปนโญฺญ อโลภนียตฺตา ตเถว ฐิโตฯ อิทมฺปิ รชฺชํ ปุปฺผิตรุโกฺข วิย โลภนียํ, ภิกฺขุภาโว ปน อปุปฺผิตรุโกฺข วิย อโลภนีโยฯ ตสฺมา ยาว อิทมฺปิ อยํ รุโกฺข วิย น วิลุปฺปติ, ตาว อยมโญฺญ สญฺฉนฺนปโตฺต ยถา ปาริจฺฉตฺตโก, เอวํ กาสาเวน ปริสญฺฉเนฺนน หุตฺวา ปพฺพชิตพฺพ’’นฺติฯ โส รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    64.Ohārayitvāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira ayaṃ aññopi cātumāsikabrahmadatto nāma rājā catumāse catumāse uyyānakīḷaṃ gacchati. So ekadivasaṃ gimhānaṃ majjhime māse uyyānaṃ pavisanto uyyānadvāre pattasañchannaṃ pupphālaṅkataviṭapaṃ pāricchattakakoviḷāraṃ disvā ekaṃ pupphaṃ gahetvā uyyānaṃ pāvisi. Tato ‘‘raññā aggapupphaṃ gahita’’nti aññataropi amacco hatthikkhandhe ṭhito eva ekaṃ pupphaṃ aggahesi. Eteneva upāyena sabbo balakāyo aggahesi. Pupphaṃ anassādentā pattampi gaṇhiṃsu. So rukkho nippattapuppho khandhamattova ahosi. Taṃ rājā sāyanhasamaye uyyānā nikkhamanto disvā ‘‘kiṃ kato ayaṃ rukkho, mama āgamanavelāyaṃ maṇivaṇṇasākhantaresu pavāḷasadisapupphālaṅkato ahosi, idāni nippattapuppho jāto’’ti cintento tassevāvidūre apupphitaṃ rukkhaṃ sañchannapalāsaṃ addasa. Disvā cassa etadahosi – ‘‘ayaṃ rukkho pupphabharitasākhattā bahujanassa lobhanīyo ahosi, tena muhutteneva byasanaṃ patto, ayaṃ panañño alobhanīyattā tatheva ṭhito. Idampi rajjaṃ pupphitarukkho viya lobhanīyaṃ, bhikkhubhāvo pana apupphitarukkho viya alobhanīyo. Tasmā yāva idampi ayaṃ rukkho viya na viluppati, tāva ayamañño sañchannapatto yathā pāricchattako, evaṃ kāsāvena parisañchannena hutvā pabbajitabba’’nti. So rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘โอหารยิตฺวา คิหิพฺยญฺชนานิ, สญฺฉนฺนปโตฺต ยถา ปาริฉโตฺต;

    ‘‘Ohārayitvā gihibyañjanāni, sañchannapatto yathā pārichatto;

    กาสายวโตฺถ อภินิกฺขมิตฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Kāsāyavattho abhinikkhamitvā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ กาสายวโตฺถ อภินิกฺขมิตฺวาติ อิมสฺส ปาทสฺส เคหา อภินิกฺขมิตฺวา กาสายวโตฺถ หุตฺวาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว สกฺกา ชานิตุนฺติ น วิตฺถาริตนฺติฯ

    Tattha kāsāyavattho abhinikkhamitvāti imassa pādassa gehā abhinikkhamitvā kāsāyavattho hutvāti evamattho veditabbo. Sesaṃ vuttanayeneva sakkā jānitunti na vitthāritanti.

    ปาริจฺฉตฺตกคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Pāricchattakagāthāvaṇṇanā samattā.

    ตติโย วโคฺค นิฎฺฐิโตฯ

    Tatiyo vaggo niṭṭhito.

    ๖๕. รเสสูติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร พาราณสิราชา อุยฺยาเน อมจฺจปุเตฺตหิ ปริวุโต สิลาปฎฺฎโปกฺขรณิยํ กีฬติฯ ตสฺส สูโท สพฺพมํสานํ รสํ คเหตฺวา อตีว สุสงฺขตํ อมตกปฺปํ อนฺตรภตฺตํ ปจิตฺวา อุปนาเมสิฯ โส ตตฺถ เคธมาปโนฺน กสฺสจิ กิญฺจิ อทตฺวา อตฺตนาว ภุญฺชิฯ อุทกกีฬโต จ อติวิกาเล นิกฺขโนฺต สีฆํ สีฆํ ภุญฺชิฯ เยหิ สทฺธิํ ปุเพฺพ ภุญฺชติ, น เตสํ กญฺจิ สริฯ อถ ปจฺฉา ปฎิสงฺขานํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘อโห, มยา ปาปํ กตํ, ยฺวาหํ รสตณฺหาย อภิภูโต สพฺพชนํ วิสริตฺวา เอกโกว ภุญฺชิํฯ หนฺท รสตณฺหํ นิคฺคณฺหามี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อตฺตโน ปุริมปฎิปตฺติํ ครหโนฺต ตปฺปฎิปกฺขคุณทีปิกํ อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    65.Rasesūti kā uppatti? Aññataro kira bārāṇasirājā uyyāne amaccaputtehi parivuto silāpaṭṭapokkharaṇiyaṃ kīḷati. Tassa sūdo sabbamaṃsānaṃ rasaṃ gahetvā atīva susaṅkhataṃ amatakappaṃ antarabhattaṃ pacitvā upanāmesi. So tattha gedhamāpanno kassaci kiñci adatvā attanāva bhuñji. Udakakīḷato ca ativikāle nikkhanto sīghaṃ sīghaṃ bhuñji. Yehi saddhiṃ pubbe bhuñjati, na tesaṃ kañci sari. Atha pacchā paṭisaṅkhānaṃ uppādetvā ‘‘aho, mayā pāpaṃ kataṃ, yvāhaṃ rasataṇhāya abhibhūto sabbajanaṃ visaritvā ekakova bhuñjiṃ. Handa rasataṇhaṃ niggaṇhāmī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā attano purimapaṭipattiṃ garahanto tappaṭipakkhaguṇadīpikaṃ imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘รเสสุ เคธํ อกรํ อโลโล, อนญฺญโปสี สปทานจารี;

    ‘‘Rasesu gedhaṃ akaraṃ alolo, anaññaposī sapadānacārī;

    กุเล กุเล อปฺปฎิพทฺธจิโตฺต, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Kule kule appaṭibaddhacitto, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ รเสสูติ อมฺพิลมธุรติตฺตกกฎุกโลณิกขาริกกสาวาทิเภเทสุ สายนีเยสุฯ เคธํ อกรนฺติ คิทฺธิํ อกโรโนฺต, ตณฺหํ อนุปฺปาเทโนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ อโลโลติ ‘‘อิทํ สายิสฺสามิ, อิทํ สายิสฺสามี’’ติ เอวํ รสวิเสเสสุ อนากุโลฯ อนญฺญโปสีติ โปเสตพฺพกสทฺธิวิหาริกาทิวิรหิโต , กายสนฺธารณมเตฺตน สนฺตุโฎฺฐติ วุตฺตํ โหติฯ ยถา วา ปุเพฺพ อุยฺยาเน รเสสุ เคธกรณโลโล หุตฺวา อญฺญโปสี อาสิํ, เอวํ อหุตฺวา ยาย ตณฺหาย โลโล หุตฺวา รเสสุ เคธํ กโรติฯ ตํ ตณฺหํ หิตฺวา อายติํ ตณฺหามูลกสฺส อญฺญสฺส อตฺตภาวสฺส อนิพฺพตฺตเนน อนญฺญโปสีติ ทเสฺสติฯ อถ วา อตฺถภญฺชนกเฎฺฐน อเญฺญติ กิเลสา วุจฺจนฺติฯ เตสํ อโปสเนน อนญฺญโปสีติ อยเมฺปตฺถ อโตฺถฯ สปทานจารีติ อโวกฺกมฺมจารี อนุปุพฺพจารี, ฆรปฎิปาฎิํ อฉเฑฺฑตฺวา อฑฺฒกุลญฺจ ทลิทฺทกุลญฺจ นิรนฺตรํ ปิณฺฑาย ปวิสมาโนติ อโตฺถฯ กุเล กุเล อปฺปฎิพทฺธจิโตฺตติ ขตฺติยกุลาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ กิเลสวเสน อลคฺคจิโตฺต, จนฺทูปโม นิจฺจนวโก หุตฺวาติ อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha rasesūti ambilamadhuratittakakaṭukaloṇikakhārikakasāvādibhedesu sāyanīyesu. Gedhaṃ akaranti giddhiṃ akaronto, taṇhaṃ anuppādentoti vuttaṃ hoti. Aloloti ‘‘idaṃ sāyissāmi, idaṃ sāyissāmī’’ti evaṃ rasavisesesu anākulo. Anaññaposīti posetabbakasaddhivihārikādivirahito , kāyasandhāraṇamattena santuṭṭhoti vuttaṃ hoti. Yathā vā pubbe uyyāne rasesu gedhakaraṇalolo hutvā aññaposī āsiṃ, evaṃ ahutvā yāya taṇhāya lolo hutvā rasesu gedhaṃ karoti. Taṃ taṇhaṃ hitvā āyatiṃ taṇhāmūlakassa aññassa attabhāvassa anibbattanena anaññaposīti dasseti. Atha vā atthabhañjanakaṭṭhena aññeti kilesā vuccanti. Tesaṃ aposanena anaññaposīti ayampettha attho. Sapadānacārīti avokkammacārī anupubbacārī, gharapaṭipāṭiṃ achaḍḍetvā aḍḍhakulañca daliddakulañca nirantaraṃ piṇḍāya pavisamānoti attho. Kule kule appaṭibaddhacittoti khattiyakulādīsu yattha katthaci kilesavasena alaggacitto, candūpamo niccanavako hutvāti attho. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    รสเคธคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Rasagedhagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๖๖. ปหาย ปญฺจาวรณานีติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา ปฐมชฺฌานลาภี อโหสิฯ โส ฌานานุรกฺขณตฺถํ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อตฺตโน ปฎิปตฺติสมฺปทํ ทีเปโนฺต อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    66.Pahāyapañcāvaraṇānīti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā paṭhamajjhānalābhī ahosi. So jhānānurakkhaṇatthaṃ rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā attano paṭipattisampadaṃ dīpento imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘ปหาย ปญฺจาวรณานิ เจตโส, อุปกฺกิเลเส พฺยปนุชฺช สเพฺพ;

    ‘‘Pahāya pañcāvaraṇāni cetaso, upakkilese byapanujja sabbe;

    อนิสฺสิโต เฉตฺว สิเนหโทสํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Anissito chetva sinehadosaṃ, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ อาวรณานีติ นีวรณาเนวฯ ตานิ อตฺถโต อุรคสุเตฺต วุตฺตานิฯ ตานิ ปน ยสฺมา อพฺภาทโย วิย จนฺทสูริเย เจโต อาวรนฺติ, ตสฺมา ‘‘อาวรณานิ เจตโส’’ติ วุตฺตานิฯ ตานิ อุปจาเรน วา อปฺปนาย วา ปหายฯ อุปกฺกิเลเสติ อุปคมฺม จิตฺตํ วิพาเธเนฺต อกุสเล ธเมฺม, วโตฺถปมาทีสุ วุเตฺต อภิชฺฌาทโย วาฯ พฺยปนุชฺชาติ ปนุทิตฺวา วินาเสตฺวา, วิปสฺสนามเคฺคน ปชหิตฺวาติ อโตฺถฯ สเพฺพติ อนวเสเสฯ เอวํ สมถวิปสฺสนาสมฺปโนฺน ปฐมมเคฺคน ทิฎฺฐินิสฺสยสฺส ปหีนตฺตา อนิสฺสิโตฯ เสสมเคฺคหิ เฉตฺวา เตธาตุกํ สิเนหโทสํ, ตณฺหาราคนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สิเนโห เอว หิ คุณปฎิปกฺขโต สิเนหโทโสติ วุโตฺตฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha āvaraṇānīti nīvaraṇāneva. Tāni atthato uragasutte vuttāni. Tāni pana yasmā abbhādayo viya candasūriye ceto āvaranti, tasmā ‘‘āvaraṇāni cetaso’’ti vuttāni. Tāni upacārena vā appanāya vā pahāya. Upakkileseti upagamma cittaṃ vibādhente akusale dhamme, vatthopamādīsu vutte abhijjhādayo vā. Byapanujjāti panuditvā vināsetvā, vipassanāmaggena pajahitvāti attho. Sabbeti anavasese. Evaṃ samathavipassanāsampanno paṭhamamaggena diṭṭhinissayassa pahīnattā anissito. Sesamaggehi chetvā tedhātukaṃ sinehadosaṃ, taṇhārāganti vuttaṃ hoti. Sineho eva hi guṇapaṭipakkhato sinehadosoti vutto. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อาวรณคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Āvaraṇagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๖๗. วิปิฎฺฐิกตฺวานาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา จตุตฺถชฺฌานลาภี อโหสิฯ โส ฌานานุรกฺขณตฺถํ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อตฺตโน ปฎิปตฺติสมฺปทํ ทีเปโนฺต อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    67.Vipiṭṭhikatvānāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā catutthajjhānalābhī ahosi. So jhānānurakkhaṇatthaṃ rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā attano paṭipattisampadaṃ dīpento imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘วิปิฎฺฐิกตฺวาน สุขํ ทุขญฺจ, ปุเพฺพว จ โสมนสฺสโทมนสฺสํ;

    ‘‘Vipiṭṭhikatvāna sukhaṃ dukhañca, pubbeva ca somanassadomanassaṃ;

    ลทฺธานุเปกฺขํ สมถํ วิสุทฺธํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Laddhānupekkhaṃ samathaṃ visuddhaṃ, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ วิปิฎฺฐิกตฺวานาติ ปิฎฺฐิโต กตฺวา, ฉเฑฺฑตฺวา ชหิตฺวาติ อโตฺถฯ สุขํ ทุขญฺจาติ กายิกํ สาตาสาตํฯ โสมนสฺสโทมนสฺสนฺติ เจตสิกํ สาตาสาตํฯ อุเปกฺขนฺติ จตุตฺถชฺฌานุเปกฺขํฯ สมถนฺติ จตุตฺถชฺฌานสมถเมวฯ วิสุทฺธนฺติ ปญฺจนีวรณวิตกฺกวิจารปีติสุขสงฺขาเตหิ นวหิ ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุตฺตตฺตา วิสุทฺธํ, นิทฺธนฺตสุวณฺณมิว วิคตูปกฺกิเลสนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha vipiṭṭhikatvānāti piṭṭhito katvā, chaḍḍetvā jahitvāti attho. Sukhaṃ dukhañcāti kāyikaṃ sātāsātaṃ. Somanassadomanassanti cetasikaṃ sātāsātaṃ. Upekkhanti catutthajjhānupekkhaṃ. Samathanti catutthajjhānasamathameva. Visuddhanti pañcanīvaraṇavitakkavicārapītisukhasaṅkhātehi navahi paccanīkadhammehi vimuttattā visuddhaṃ, niddhantasuvaṇṇamiva vigatūpakkilesanti attho.

    อยํ ปน โยชนา – วิปิฎฺฐิกตฺวาน สุขํ ทุกฺขญฺจ ปุเพฺพว ปฐมชฺฌานุปจารภูมิยํเยว ทุกฺขํ, ตติยชฺฌานุปจารภูมิยํ สุขนฺติ อธิปฺปาโยฯ ปุน อาทิโต วุตฺตํ จการํ ปรโต เนตฺวา ‘‘โสมนสฺสํ โทมนสฺสญฺจ วิปิฎฺฐิกตฺวาน ปุเพฺพวา’’ติ อธิกาโรฯ เตน โสมนสฺสํ จตุตฺถชฺฌานุปจาเร, โทมนสฺสญฺจ ทุติยชฺฌานุปจาเรเยวาติ ทีเปติฯ เอตานิ หิ เอเตสํ ปริยายโต ปหานฎฺฐานานิฯ นิปฺปริยายโต ปน ทุกฺขสฺส ปฐมชฺฌานํ, โทมนสฺสสฺส ทุติยชฺฌานํ, สุขสฺส ตติยชฺฌานํ, โสมนสฺสสฺส จตุตฺถชฺฌานํ ปหานฎฺฐานํฯ ยถาห – ‘‘ปฐมชฺฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ เอตฺถุปฺปนฺนํ ทุกฺขินฺทฺริยํ อปริเสสํ นิรุชฺฌตี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๕๑๐)ฯ ตํ สพฺพํ อฎฺฐสาลินิยา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๖๕) วุตฺตํฯ ยโต ปุเพฺพว ตีสุ ปฐมชฺฌานาทีสุ ทุกฺขโทมนสฺสสุขานิ วิปิฎฺฐิกตฺวา เอเตฺถว จตุตฺถชฺฌาเน โสมนสฺสํ วิปิฎฺฐิกตฺวา อิมาย ปฎิปทาย ลทฺธานุเปกฺขํ สมถํ วิสุทฺธํ เอโก จเรติฯ เสสํ สพฺพตฺถ ปากฎเมวาติฯ

    Ayaṃ pana yojanā – vipiṭṭhikatvāna sukhaṃ dukkhañca pubbeva paṭhamajjhānupacārabhūmiyaṃyeva dukkhaṃ, tatiyajjhānupacārabhūmiyaṃ sukhanti adhippāyo. Puna ādito vuttaṃ cakāraṃ parato netvā ‘‘somanassaṃ domanassañca vipiṭṭhikatvāna pubbevā’’ti adhikāro. Tena somanassaṃ catutthajjhānupacāre, domanassañca dutiyajjhānupacāreyevāti dīpeti. Etāni hi etesaṃ pariyāyato pahānaṭṭhānāni. Nippariyāyato pana dukkhassa paṭhamajjhānaṃ, domanassassa dutiyajjhānaṃ, sukhassa tatiyajjhānaṃ, somanassassa catutthajjhānaṃ pahānaṭṭhānaṃ. Yathāha – ‘‘paṭhamajjhānaṃ upasampajja viharati etthuppannaṃ dukkhindriyaṃ aparisesaṃ nirujjhatī’’tiādi (saṃ. ni. 5.510). Taṃ sabbaṃ aṭṭhasāliniyā dhammasaṅgahaṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 165) vuttaṃ. Yato pubbeva tīsu paṭhamajjhānādīsu dukkhadomanassasukhāni vipiṭṭhikatvā ettheva catutthajjhāne somanassaṃ vipiṭṭhikatvā imāya paṭipadāya laddhānupekkhaṃ samathaṃ visuddhaṃ eko careti. Sesaṃ sabbattha pākaṭamevāti.

    วิปิฎฺฐิกตฺวาคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Vipiṭṭhikatvāgāthāvaṇṇanā samattā.

    ๖๘. อารทฺธวีริโยติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร ปจฺจนฺตราชา สหสฺสโยธปริมาณพลกาโย รเชฺชน ขุทฺทโก, ปญฺญาย มหโนฺต อโหสิฯ โส เอกทิวสํ ‘‘กิญฺจาปิ อหํ ขุทฺทโก, ปญฺญวตา จ ปน สกฺกา สกลชมฺพุทีปํ คเหตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา สามนฺตรโญฺญ ทูตํ ปาเหสิ – ‘‘สตฺตทิวสพฺภนฺตเร เม รชฺชํ วา เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติฯ ตโต โส อตฺตโน อมเจฺจ สโมธาเนตฺวา อาห – ‘‘มยา ตุเมฺห อนาปุจฺฉาเยว สาหสํ กตํ, อมุกสฺส รโญฺญ เอวํ ปหิตํ, กิํ กาตพฺพ’’นฺติ? เต อาหํสุ – ‘‘สกฺกา, มหาราช, โส ทูโต นิวเตฺตตุ’’นฺติ? ‘‘น สกฺกา, คโต ภวิสฺสตี’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ วินาสิตมฺหา ตยา, เตน หิ ทุกฺขํ อญฺญสฺส สเตฺถน มริตุํฯ หนฺท, มยํ อญฺญมญฺญํ ปหริตฺวา มราม, อตฺตานํ ปหริตฺวา มราม, อุพฺพนฺธาม, วิสํ ขาทามา’’ติฯ เอวํ เตสุ เอกเมโก มรณเมว สํวเณฺณติฯ ตโต ราชา – ‘‘กิํ เม, อิเมหิ, อตฺถิ, ภเณ, มยฺหํ โยธา’’ติ อาหฯ อถ ‘‘อหํ, มหาราช, โยโธ, อหํ, มหาราช, โยโธ’’ติ ตํ โยธสหสฺสํ อุฎฺฐหิฯ

    68.Āraddhavīriyoti kā uppatti? Aññataro kira paccantarājā sahassayodhaparimāṇabalakāyo rajjena khuddako, paññāya mahanto ahosi. So ekadivasaṃ ‘‘kiñcāpi ahaṃ khuddako, paññavatā ca pana sakkā sakalajambudīpaṃ gahetu’’nti cintetvā sāmantarañño dūtaṃ pāhesi – ‘‘sattadivasabbhantare me rajjaṃ vā detu yuddhaṃ vā’’ti. Tato so attano amacce samodhānetvā āha – ‘‘mayā tumhe anāpucchāyeva sāhasaṃ kataṃ, amukassa rañño evaṃ pahitaṃ, kiṃ kātabba’’nti? Te āhaṃsu – ‘‘sakkā, mahārāja, so dūto nivattetu’’nti? ‘‘Na sakkā, gato bhavissatī’’ti. ‘‘Yadi evaṃ vināsitamhā tayā, tena hi dukkhaṃ aññassa satthena marituṃ. Handa, mayaṃ aññamaññaṃ paharitvā marāma, attānaṃ paharitvā marāma, ubbandhāma, visaṃ khādāmā’’ti. Evaṃ tesu ekameko maraṇameva saṃvaṇṇeti. Tato rājā – ‘‘kiṃ me, imehi, atthi, bhaṇe, mayhaṃ yodhā’’ti āha. Atha ‘‘ahaṃ, mahārāja, yodho, ahaṃ, mahārāja, yodho’’ti taṃ yodhasahassaṃ uṭṭhahi.

    ราชา ‘‘เอเต อุปปริกฺขิสฺสามี’’ติ มนฺตฺวา จิตกํ สเชฺชตฺวา อาห – ‘‘มยา, ภเณ, อิทํ นาม สาหสํ กตํ, ตํ เม อมจฺจา ปฎิโกฺกสนฺติ, โสหํ จิตกํ ปวิสิสฺสามิ, โก มยา สทฺธิํ ปวิสิสฺสติ, เกน มยฺหํ ชีวิตํ ปริจฺจตฺต’’นฺติ? เอวํ วุเตฺต ปญฺจสตา โยธา อุฎฺฐหิํสุ – ‘‘มยํ, มหาราช, ปวิสามา’’ติฯ ตโต ราชา อปเร ปญฺจสเต โยเธ อาห – ‘‘ตุเมฺห อิทานิ, ตาตา, กิํ กริสฺสถา’’ติ? เต อาหํสุ – ‘‘นายํ, มหาราช, ปุริสกาโร, อิตฺถิกิริยา เอสา, อปิจ มหาราเชน ปฎิรโญฺญ ทูโต เปสิโต, เตน มยํ รญฺญา สทฺธิํ ยุชฺฌิตฺวา มริสฺสามา’’ติฯ ตโต ราชา ‘‘ปริจฺจตฺตํ ตุเมฺหหิ มม ชีวิต’’นฺติ จตุรงฺคินิํ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา เตน โยธสหเสฺสน ปริวุโต คนฺตฺวา รชฺชสีมาย นิสีทิฯ

    Rājā ‘‘ete upaparikkhissāmī’’ti mantvā citakaṃ sajjetvā āha – ‘‘mayā, bhaṇe, idaṃ nāma sāhasaṃ kataṃ, taṃ me amaccā paṭikkosanti, sohaṃ citakaṃ pavisissāmi, ko mayā saddhiṃ pavisissati, kena mayhaṃ jīvitaṃ pariccatta’’nti? Evaṃ vutte pañcasatā yodhā uṭṭhahiṃsu – ‘‘mayaṃ, mahārāja, pavisāmā’’ti. Tato rājā apare pañcasate yodhe āha – ‘‘tumhe idāni, tātā, kiṃ karissathā’’ti? Te āhaṃsu – ‘‘nāyaṃ, mahārāja, purisakāro, itthikiriyā esā, apica mahārājena paṭirañño dūto pesito, tena mayaṃ raññā saddhiṃ yujjhitvā marissāmā’’ti. Tato rājā ‘‘pariccattaṃ tumhehi mama jīvita’’nti caturaṅginiṃ senaṃ sannayhitvā tena yodhasahassena parivuto gantvā rajjasīmāya nisīdi.

    โสปิ ปฎิราชา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘อเร, โส ขุทฺทกราชา มม ทาสสฺสาปิ นปฺปโหตี’’ติ กุชฺฌิตฺวา สพฺพํ พลกายํ อาทาย ยุชฺฌิตุํ นิกฺขมิฯ ขุทฺทกราชา ตํ อพฺภุยฺยาตํ ทิสฺวา พลกายํ อาห – ‘‘ตาตา, ตุเมฺห น พหุกา; สเพฺพ สมฺปิณฺฑิตฺวา, อสิจมฺมํ คเหตฺวา, สีฆํ อิมสฺส รโญฺญ ปุรโต อุชุกํ เอว คจฺฉถา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ อถ สา เสนา ทฺวิธา ภิชฺชิตฺวา อนฺตรมทาสิฯ เต ตํ ราชานํ ชีวคฺคาหํ คณฺหิํสุ, อเญฺญ โยธา ปลายิํสุฯ ขุทฺทกราชา ‘‘ตํ มาเรมี’’ติ ปุรโต ธาวติ, ปฎิราชา ตํ อภยํ ยาจิฯ ตโต ตสฺส อภยํ ทตฺวา, สปถํ การาเปตฺวา, ตํ อตฺตโน มนุสฺสํ กตฺวา, เตน สห อญฺญํ ราชานํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา, ตสฺส รชฺชสีมาย ฐตฺวา เปเสสิ – ‘‘รชฺชํ วา เม เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติฯ โส ‘‘อหํ เอกยุทฺธมฺปิ น สหามี’’ติ รชฺชํ นิยฺยาเตสิฯ เอเตเนว อุปาเยน สพฺพราชาโน คเหตฺวา อเนฺต พาราณสิราชานมฺปิ อคฺคเหสิฯ

    Sopi paṭirājā taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘are, so khuddakarājā mama dāsassāpi nappahotī’’ti kujjhitvā sabbaṃ balakāyaṃ ādāya yujjhituṃ nikkhami. Khuddakarājā taṃ abbhuyyātaṃ disvā balakāyaṃ āha – ‘‘tātā, tumhe na bahukā; sabbe sampiṇḍitvā, asicammaṃ gahetvā, sīghaṃ imassa rañño purato ujukaṃ eva gacchathā’’ti. Te tathā akaṃsu. Atha sā senā dvidhā bhijjitvā antaramadāsi. Te taṃ rājānaṃ jīvaggāhaṃ gaṇhiṃsu, aññe yodhā palāyiṃsu. Khuddakarājā ‘‘taṃ māremī’’ti purato dhāvati, paṭirājā taṃ abhayaṃ yāci. Tato tassa abhayaṃ datvā, sapathaṃ kārāpetvā, taṃ attano manussaṃ katvā, tena saha aññaṃ rājānaṃ abbhuggantvā, tassa rajjasīmāya ṭhatvā pesesi – ‘‘rajjaṃ vā me detu yuddhaṃ vā’’ti. So ‘‘ahaṃ ekayuddhampi na sahāmī’’ti rajjaṃ niyyātesi. Eteneva upāyena sabbarājāno gahetvā ante bārāṇasirājānampi aggahesi.

    โส เอกสตราชปริวุโต สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ อนุสาสโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ ปุเพฺพ ขุทฺทโก อโหสิํ, โสมฺหิ อตฺตโน ญาณสมฺปตฺติยา สกลชมฺพุทีปสฺส อิสฺสโร ชาโตฯ ตํ โข ปน เม ญาณํ โลกิยวีริยสมฺปยุตฺตํ, เนว นิพฺพิทาย น วิราคาย สํวตฺตติ, สาธุ วตสฺส สฺวาหํ อิมินา ญาเณน โลกุตฺตรธมฺมํ คเวเสยฺย’’นฺติฯ ตโต พาราณสิรโญฺญ รชฺชํ ทตฺวา, ปุตฺตทารญฺจ สกชนปทเมว เปเสตฺวา, ปพฺพชฺชํ สมาทาย วิปสฺสนํ อารภิตฺวา, ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อตฺตโน วีริยสมฺปตฺติํ ทีเปโนฺต อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    So ekasatarājaparivuto sakalajambudīpe rajjaṃ anusāsanto cintesi – ‘‘ahaṃ pubbe khuddako ahosiṃ, somhi attano ñāṇasampattiyā sakalajambudīpassa issaro jāto. Taṃ kho pana me ñāṇaṃ lokiyavīriyasampayuttaṃ, neva nibbidāya na virāgāya saṃvattati, sādhu vatassa svāhaṃ iminā ñāṇena lokuttaradhammaṃ gaveseyya’’nti. Tato bārāṇasirañño rajjaṃ datvā, puttadārañca sakajanapadameva pesetvā, pabbajjaṃ samādāya vipassanaṃ ārabhitvā, paccekabodhiṃ sacchikatvā attano vīriyasampattiṃ dīpento imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘อารทฺธวิริโย ปรมตฺถปตฺติยา, อลีนจิโตฺต อกุสีตวุตฺติ;

    ‘‘Āraddhaviriyo paramatthapattiyā, alīnacitto akusītavutti;

    ทฬฺหนิกฺกโม ถามพลูปปโนฺน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Daḷhanikkamo thāmabalūpapanno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ อารทฺธํ วีริยมสฺสาติ อารทฺธวิริโยฯ เอเตน อตฺตโน วีริยารมฺภํ อาทิวีริยํ ทเสฺสติฯ ปรมโตฺถ วุจฺจติ นิพฺพานํ, ตสฺส ปตฺติยา ปรมตฺถปตฺติยาฯ เอเตน วีริยารเมฺภน ปตฺตพฺพผลํ ทเสฺสติฯ อลีนจิโตฺตติ เอเตน พลวีริยูปตฺถมฺภานํ จิตฺตเจตสิกานํ อลีนตํ ทเสฺสติฯ อกุสีตวุตฺตีติ เอเตน ฐานอาสนจงฺกมนาทีสุ กายสฺส อนวสีทนํฯ ทฬฺหนิกฺกโมติ เอเตน ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จา’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๔; อ. นิ. ๒.๕; มหานิ. ๑๙๖) เอวํ ปวตฺตํ ปทหนวีริยํ ทเสฺสติ, ยํ ตํ อนุปุพฺพสิกฺขาทีสุ ปทหโนฺต ‘‘กาเยน เจว ปรมสจฺจํ สจฺฉิกโรติ, ปญฺญาย จ นํ อติวิชฺฌ ปสฺสตี’’ติ วุจฺจติฯ อถ วา เอเตน มคฺคสมฺปยุตฺตวีริยํ ทเสฺสติฯ ตญฺหิ ทฬฺหญฺจ ภาวนาปาริปูริํ คตตฺตา, นิกฺกโม จ สพฺพโส ปฎิปกฺขา นิกฺขนฺตตฺตา, ตสฺมา ตํสมงฺคีปุคฺคโลปิ ทโฬฺห นิกฺกโม อสฺสาติ ‘‘ทฬฺหนิกฺกโม’’ติ วุจฺจติฯ ถามพลูปปโนฺนติ มคฺคกฺขเณ กายถาเมน ญาณพเลน จ อุปปโนฺน, อถ วา ถามภูเตน พเลน อุปปโนฺนติ ถามพลูปปโนฺน, ถิรญาณพลูปปโนฺนติ วุตฺตํ โหติฯ เอเตน ตสฺส วีริยสฺส วิปสฺสนาญาณสมฺปโยคํ ทีเปโนฺต โยนิโส ปทหนภาวํ สาเธติฯ ปุพฺพภาคมชฺฌิมอุกฺกฎฺฐวีริยวเสน วา ตโยปิ ปาทา โยเชตพฺพาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha āraddhaṃ vīriyamassāti āraddhaviriyo. Etena attano vīriyārambhaṃ ādivīriyaṃ dasseti. Paramattho vuccati nibbānaṃ, tassa pattiyā paramatthapattiyā. Etena vīriyārambhena pattabbaphalaṃ dasseti. Alīnacittoti etena balavīriyūpatthambhānaṃ cittacetasikānaṃ alīnataṃ dasseti. Akusītavuttīti etena ṭhānaāsanacaṅkamanādīsu kāyassa anavasīdanaṃ. Daḷhanikkamoti etena ‘‘kāmaṃ taco ca nhāru cā’’ti (ma. ni. 2.184; a. ni. 2.5; mahāni. 196) evaṃ pavattaṃ padahanavīriyaṃ dasseti, yaṃ taṃ anupubbasikkhādīsu padahanto ‘‘kāyena ceva paramasaccaṃ sacchikaroti, paññāya ca naṃ ativijjha passatī’’ti vuccati. Atha vā etena maggasampayuttavīriyaṃ dasseti. Tañhi daḷhañca bhāvanāpāripūriṃ gatattā, nikkamo ca sabbaso paṭipakkhā nikkhantattā, tasmā taṃsamaṅgīpuggalopi daḷho nikkamo assāti ‘‘daḷhanikkamo’’ti vuccati. Thāmabalūpapannoti maggakkhaṇe kāyathāmena ñāṇabalena ca upapanno, atha vā thāmabhūtena balena upapannoti thāmabalūpapanno, thirañāṇabalūpapannoti vuttaṃ hoti. Etena tassa vīriyassa vipassanāñāṇasampayogaṃ dīpento yoniso padahanabhāvaṃ sādheti. Pubbabhāgamajjhimaukkaṭṭhavīriyavasena vā tayopi pādā yojetabbā. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อารทฺธวีริยคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Āraddhavīriyagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๖๙. ปฎิสลฺลานนฺติ กา อุปฺปตฺติ? อิมิสฺสา คาถาย อาวรณคาถาย อุปฺปตฺติสทิสา เอว อุปฺปตฺติ, นตฺถิ โกจิ วิเสโสฯ อตฺถวณฺณนายํ ปนสฺสา ปฎิสลฺลานนฺติ เตหิ เตหิ สตฺตสงฺขาเรหิ ปฎินิวตฺติตฺวา สลฺลีนํ เอกตฺตเสวิตา เอกีภาโว, กายวิเวโกติ อโตฺถฯ ฌานนฺติ ปจฺจนีกฌาปนโต อารมฺมณลกฺขณูปนิชฺฌานโต จ จิตฺตวิเวโก วุจฺจติฯ ตตฺถ อฎฺฐสมาปตฺติโย นีวรณาทิปจฺจนีกฌาปนโต อารมฺมณูปนิชฺฌานโต จ ฌานนฺติ วุจฺจติ, วิปสฺสนามคฺคผลานิ สตฺตสญฺญาทิปจฺจนีกฌาปนโต, ลกฺขณูปนิชฺฌานโตเยว เจตฺถ ผลานิฯ อิธ ปน อารมฺมณูปนิชฺฌานเมว อธิเปฺปตํฯ เอวเมตํ ปฎิสลฺลานญฺจ ฌานญฺจ อริญฺจมาโน, อชหมาโน, อนิสฺสชฺชมาโนฯ ธเมฺมสูติ วิปสฺสนูปเคสุ ปญฺจกฺขนฺธาทิธเมฺมสุฯ นิจฺจนฺติ สตตํ, สมิตํ, อโพฺภกิณฺณํฯ อนุธมฺมจารีติ เต ธเมฺม อารพฺภ ปวตฺตมาเนน อนุคตํ วิปสฺสนาธมฺมํ จรมาโนฯ อถ วา ธมฺมาติ นว โลกุตฺตรธมฺมา, เตสํ ธมฺมานํ อนุโลโม ธโมฺมติ อนุธโมฺม, วิปสฺสนาเยตํ อธิวจนํฯ ตตฺถ ‘‘ธมฺมานํ นิจฺจํ อนุธมฺมจารี’’ติ วตฺตเพฺพ คาถาพนฺธสุขตฺถํ วิภตฺติพฺยตฺตเยน ‘‘ธเมฺมสู’’ติ วุตฺตํ สิยาฯ อาทีนวํ สมฺมสิตา ภเวสูติ ตาย อนุธมฺมจริตาสงฺขาตาย วิปสฺสนาย อนิจฺจาการาทิโทสํ ตีสุ ภเวสุ สมนุปสฺสโนฺต เอวํ อิมํ กายวิเวกจิตฺตวิเวกํ อริญฺจมาโน สิขาปฺปตฺตวิปสฺสนาสงฺขาตาย ปฎิปทาย อธิคโตติ วตฺตโพฺพ เอโก จเรติ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    69.Paṭisallānanti kā uppatti? Imissā gāthāya āvaraṇagāthāya uppattisadisā eva uppatti, natthi koci viseso. Atthavaṇṇanāyaṃ panassā paṭisallānanti tehi tehi sattasaṅkhārehi paṭinivattitvā sallīnaṃ ekattasevitā ekībhāvo, kāyavivekoti attho. Jhānanti paccanīkajhāpanato ārammaṇalakkhaṇūpanijjhānato ca cittaviveko vuccati. Tattha aṭṭhasamāpattiyo nīvaraṇādipaccanīkajhāpanato ārammaṇūpanijjhānato ca jhānanti vuccati, vipassanāmaggaphalāni sattasaññādipaccanīkajhāpanato, lakkhaṇūpanijjhānatoyeva cettha phalāni. Idha pana ārammaṇūpanijjhānameva adhippetaṃ. Evametaṃ paṭisallānañca jhānañca ariñcamāno, ajahamāno, anissajjamāno. Dhammesūti vipassanūpagesu pañcakkhandhādidhammesu. Niccanti satataṃ, samitaṃ, abbhokiṇṇaṃ. Anudhammacārīti te dhamme ārabbha pavattamānena anugataṃ vipassanādhammaṃ caramāno. Atha vā dhammāti nava lokuttaradhammā, tesaṃ dhammānaṃ anulomo dhammoti anudhammo, vipassanāyetaṃ adhivacanaṃ. Tattha ‘‘dhammānaṃ niccaṃ anudhammacārī’’ti vattabbe gāthābandhasukhatthaṃ vibhattibyattayena ‘‘dhammesū’’ti vuttaṃ siyā. Ādīnavaṃ sammasitā bhavesūti tāya anudhammacaritāsaṅkhātāya vipassanāya aniccākārādidosaṃ tīsu bhavesu samanupassanto evaṃ imaṃ kāyavivekacittavivekaṃ ariñcamāno sikhāppattavipassanāsaṅkhātāya paṭipadāya adhigatoti vattabbo eko careti evaṃ yojanā veditabbā.

    ปฎิสลฺลานคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Paṭisallānagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๗๐. ตณฺหกฺขยนฺติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร พาราณสิราชา มหจฺจราชานุภาเวน นครํ ปทกฺขิณํ กโรติฯ ตสฺส สรีรโสภาย อาวฎฺฎิตหทยา สตฺตา ปุรโต คจฺฉนฺตาปิ นิวตฺติตฺวา ตเมว อุโลฺลเกนฺติ, ปจฺฉโต คจฺฉนฺตาปิ, อุโภหิ ปเสฺสหิ คจฺฉนฺตาปิฯ ปกติยา เอว หิ พุทฺธทสฺสเน ปุณฺณจนฺทสมุทฺทราชทสฺสเน จ อติโตฺต โลโกฯ อถ อญฺญตรา กุฎุมฺพิยภริยาปิ อุปริปาสาทคตา สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา โอโลกยมานา อฎฺฐาสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวาว ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา อมจฺจํ อาณาเปสิ – ‘‘ชานาหิ ตาว, ภเณ, อยํ อิตฺถี สสามิกา วา อสามิกา วา’’ติฯ โส คนฺตฺวา ‘‘สสามิกา’’ติ อาโรเจสิฯ อถ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อิมา วีสติสหสฺสนาฎกิตฺถิโย เทวจฺฉราโย วิย มํเยว เอกํ อภิรเมนฺติ, โส ทานาหํ เอตาปิ อตุสิตฺวา ปรสฺส อิตฺถิยา ตณฺหํ อุปฺปาเทสิํ, สา อุปฺปนฺนา อปายเมว อากฑฺฒตี’’ติ ตณฺหาย อาทีนวํ ทิสฺวา ‘‘หนฺท นํ นิคฺคณฺหามี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    70.Taṇhakkhayanti kā uppatti? Aññataro kira bārāṇasirājā mahaccarājānubhāvena nagaraṃ padakkhiṇaṃ karoti. Tassa sarīrasobhāya āvaṭṭitahadayā sattā purato gacchantāpi nivattitvā tameva ullokenti, pacchato gacchantāpi, ubhohi passehi gacchantāpi. Pakatiyā eva hi buddhadassane puṇṇacandasamuddarājadassane ca atitto loko. Atha aññatarā kuṭumbiyabhariyāpi uparipāsādagatā sīhapañjaraṃ vivaritvā olokayamānā aṭṭhāsi. Rājā taṃ disvāva paṭibaddhacitto hutvā amaccaṃ āṇāpesi – ‘‘jānāhi tāva, bhaṇe, ayaṃ itthī sasāmikā vā asāmikā vā’’ti. So gantvā ‘‘sasāmikā’’ti ārocesi. Atha rājā cintesi – ‘‘imā vīsatisahassanāṭakitthiyo devaccharāyo viya maṃyeva ekaṃ abhiramenti, so dānāhaṃ etāpi atusitvā parassa itthiyā taṇhaṃ uppādesiṃ, sā uppannā apāyameva ākaḍḍhatī’’ti taṇhāya ādīnavaṃ disvā ‘‘handa naṃ niggaṇhāmī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘ตณฺหกฺขยํ ปตฺถยมปฺปมโตฺต, อเนฬมูโค สุตวา สตีมา;

    ‘‘Taṇhakkhayaṃ patthayamappamatto, aneḷamūgo sutavā satīmā;

    สงฺขาตธโมฺม นิยโต ปธานวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Saṅkhātadhammo niyato padhānavā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ ตณฺหกฺขยนฺติ นิพฺพานํ, เอวํ ทิฎฺฐาทีนวาย ตณฺหาย เอว อปฺปวตฺติํฯ อปฺปมโตฺตติ สาตจฺจการี สกฺกจฺจการีฯ อเนฬมูโคติ อลาลามุโขฯ อถ วา อเนโฬ จ อมูโค จ, ปณฺฑิโต พฺยโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ หิตสุขสมฺปาปกํ สุตมสฺส อตฺถีติ สุตวา อาคมสมฺปโนฺนติ วุตฺตํ โหติฯ สตีมาติ จิรกตาทีนํ อนุสฺสริตาฯ สงฺขาตธโมฺมติ ธมฺมุปปริกฺขาย ปริญฺญาตธโมฺมฯ นิยโตติ อริยมเคฺคน นิยามํ ปโตฺตฯ ปธานวาติ สมฺมปฺปธานวีริยสมฺปโนฺนฯ อุปฺปฎิปาฎิยา เอส ปาโฐ โยเชตโพฺพฯ เอวเมเตหิ อปฺปมาทาทีหิ สมนฺนาคโต นิยามสมฺปาปเกน ปธาเนน ปธานวา, เตน ปธาเนน ปตฺตนิยามตฺตา นิยโต, ตโต อรหตฺตปฺปตฺติยา สงฺขาตธโมฺมฯ อรหา หิ ปุน สงฺขาตพฺพาภาวโต ‘‘สงฺขาตธโมฺม’’ติ วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘เย จ สงฺขาตธมฺมาเส, เย จ เสขา ปุถู อิธา’’ติ (สุ. นิ. ๑๐๔๔; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๗)ฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha taṇhakkhayanti nibbānaṃ, evaṃ diṭṭhādīnavāya taṇhāya eva appavattiṃ. Appamattoti sātaccakārī sakkaccakārī. Aneḷamūgoti alālāmukho. Atha vā aneḷo ca amūgo ca, paṇḍito byattoti vuttaṃ hoti. Hitasukhasampāpakaṃ sutamassa atthīti sutavā āgamasampannoti vuttaṃ hoti. Satīmāti cirakatādīnaṃ anussaritā. Saṅkhātadhammoti dhammupaparikkhāya pariññātadhammo. Niyatoti ariyamaggena niyāmaṃ patto. Padhānavāti sammappadhānavīriyasampanno. Uppaṭipāṭiyā esa pāṭho yojetabbo. Evametehi appamādādīhi samannāgato niyāmasampāpakena padhānena padhānavā, tena padhānena pattaniyāmattā niyato, tato arahattappattiyā saṅkhātadhammo. Arahā hi puna saṅkhātabbābhāvato ‘‘saṅkhātadhammo’’ti vuccati. Yathāha ‘‘ye ca saṅkhātadhammāse, ye ca sekhā puthū idhā’’ti (su. ni. 1044; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 7). Sesaṃ vuttanayamevāti.

    ตณฺหกฺขยคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Taṇhakkhayagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๗๑. สีโห วาติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตรสฺส กิร พาราณสิรโญฺญ ทูเร อุยฺยานํ โหติฯ โส ปเคว วุฎฺฐาย อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค ยานา โอรุยฺห อุทกฎฺฐานํ อุปคโต ‘‘มุขํ โธวิสฺสามี’’ติฯ ตสฺมิญฺจ ปเทเส สีหี โปตกํ ชเนตฺวา โคจราย คตาฯ ราชปุริโส ตํ ทิสฺวา ‘‘สีหโปตโก เทวา’’ติ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘สีโห กิร น กสฺสจิ ภายตี’’ติ ตํ อุปปริกฺขิตุํ เภริอาทีนิ อาโกฎาเปสิฯ สีหโปตโก ตํ สทฺทํ สุตฺวาปิ ตเถว สยิฯ ราชา ยาวตติยกํ อาโกฎาเปสิ, โส ตติยวาเร สีสํ อุกฺขิปิตฺวา สพฺพํ ปริสํ โอโลเกตฺวา ตเถว สยิฯ อถ ราชา ‘‘ยาวสฺส มาตา นาคจฺฉติ, ตาว คจฺฉามา’’ติ วตฺวา คจฺฉโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘ตํ ทิวสํ ชาโตปิ สีหโปตโก น สนฺตสติ น ภายติ, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ ตณฺหาทิฎฺฐิปริตาสํ เฉตฺวา น สนฺตเสยฺยํ น ภาเยยฺย’’นฺติฯ โส ตํ อารมฺมณํ คเหตฺวา, คจฺฉโนฺต ปุน เกวเฎฺฎหิ มเจฺฉ คเหตฺวา สาขาสุ พนฺธิตฺวา ปสาริเต ชาเล วาตํ อลคฺคํเยว คจฺฉมานํ ทิสฺวา, ตมฺปิ นิมิตฺตํ อคฺคเหสิ – ‘‘กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ ตณฺหาทิฎฺฐิชาลํ โมหชาลํ วา ผาเลตฺวา เอวํ อสชฺชมาโน คเจฺฉยฺย’’นฺติฯ

    71.Sīho vāti kā uppatti? Aññatarassa kira bārāṇasirañño dūre uyyānaṃ hoti. So pageva vuṭṭhāya uyyānaṃ gacchanto antarāmagge yānā oruyha udakaṭṭhānaṃ upagato ‘‘mukhaṃ dhovissāmī’’ti. Tasmiñca padese sīhī potakaṃ janetvā gocarāya gatā. Rājapuriso taṃ disvā ‘‘sīhapotako devā’’ti ārocesi. Rājā ‘‘sīho kira na kassaci bhāyatī’’ti taṃ upaparikkhituṃ bheriādīni ākoṭāpesi. Sīhapotako taṃ saddaṃ sutvāpi tatheva sayi. Rājā yāvatatiyakaṃ ākoṭāpesi, so tatiyavāre sīsaṃ ukkhipitvā sabbaṃ parisaṃ oloketvā tatheva sayi. Atha rājā ‘‘yāvassa mātā nāgacchati, tāva gacchāmā’’ti vatvā gacchanto cintesi – ‘‘taṃ divasaṃ jātopi sīhapotako na santasati na bhāyati, kudāssu nāmāhampi taṇhādiṭṭhiparitāsaṃ chetvā na santaseyyaṃ na bhāyeyya’’nti. So taṃ ārammaṇaṃ gahetvā, gacchanto puna kevaṭṭehi macche gahetvā sākhāsu bandhitvā pasārite jāle vātaṃ alaggaṃyeva gacchamānaṃ disvā, tampi nimittaṃ aggahesi – ‘‘kudāssu nāmāhampi taṇhādiṭṭhijālaṃ mohajālaṃ vā phāletvā evaṃ asajjamāno gaccheyya’’nti.

    อถ อุยฺยานํ คนฺตฺวา สิลาปฎฺฎโปกฺขรณิตีเร นิสิโนฺน วาตพฺภาหตานิ ปทุมานิ โอนมิตฺวา อุทกํ ผุสิตฺวา วาตวิคเม ปุน ยถาฐาเน ฐิตานิ อุทเกน อนุปลิตฺตานิ ทิสฺวา ตมฺปิ นิมิตฺตํ อคฺคเหสิ – ‘‘กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ ยถา เอตานิ อุทเก ชาตานิ อุทเกน อนุปลิตฺตานิ ติฎฺฐนฺติ, เอวเมวํ โลเก ชาโต โลเกน อนุปลิโตฺต ติเฎฺฐยฺย’’นฺติฯ โส ปุนปฺปุนํ ‘‘ยถา สีหวาตปทุมานิ, เอวํ อสนฺตสเนฺตน อสชฺชมาเนน อนุปลิเตฺตน ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา, รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา, วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    Atha uyyānaṃ gantvā silāpaṭṭapokkharaṇitīre nisinno vātabbhāhatāni padumāni onamitvā udakaṃ phusitvā vātavigame puna yathāṭhāne ṭhitāni udakena anupalittāni disvā tampi nimittaṃ aggahesi – ‘‘kudāssu nāmāhampi yathā etāni udake jātāni udakena anupalittāni tiṭṭhanti, evamevaṃ loke jāto lokena anupalitto tiṭṭheyya’’nti. So punappunaṃ ‘‘yathā sīhavātapadumāni, evaṃ asantasantena asajjamānena anupalittena bhavitabba’’nti cintetvā, rajjaṃ pahāya pabbajitvā, vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘สีโหว สเทฺทสุ อสนฺตสโนฺต, วาโตว ชาลมฺหิ อสชฺชมาโน;

    ‘‘Sīhova saddesu asantasanto, vātova jālamhi asajjamāno;

    ปทุมํว โตเยน อลิปฺปมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Padumaṃva toyena alippamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ สีโหติ จตฺตาโร สีหา – ติณสีโห, ปณฺฑุสีโห, กาฬสีโห, เกสรสีโหติฯ เกสรสีโห เตสํ อคฺคมกฺขายติฯ โสว อิธ อธิเปฺปโตฯ วาโต ปุรตฺถิมาทิวเสน อเนกวิโธ, ปทุมํ รตฺตเสตาทิวเสนฯ เตสุ โย โกจิ วาโต ยํกิญฺจิ ปทุมญฺจ วฎฺฎติเยวฯ ตตฺถ ยสฺมา สนฺตาโส อตฺตสิเนเหน โหติ, อตฺตสิเนโห จ ตณฺหาเลโป, โสปิ ทิฎฺฐิสมฺปยุเตฺตน วา ทิฎฺฐิวิปฺปยุเตฺตน วา โลเภน โหติ, โส จ ตณฺหาเยวฯ สชฺชนํ ปน ตตฺถ อุปปริกฺขาวิรหิตสฺส โมเหน โหติ, โมโห จ อวิชฺชาฯ ตตฺถ สมเถน ตณฺหาย ปหานํ โหติ, วิปสฺสนาย, อวิชฺชายฯ ตสฺมา สมเถน อตฺตสิเนหํ ปหาย สีโหว สเทฺทสุ อนิจฺจาทีสุ อสนฺตสโนฺต, วิปสฺสนาย โมหํ ปหาย วาโตว ชาลมฺหิ ขนฺธายตนาทีสุ อสชฺชมาโน, สมเถเนว โลภํ โลภสมฺปยุตฺตํ เอว ทิฎฺฐิญฺจ ปหาย, ปทุมํว โตเยน สพฺพภวโภคโลเภน อลิปฺปมาโนฯ เอตฺถ จ สมถสฺส สีลํ ปทฎฺฐานํ, สมโถ สมาธิ, วิปสฺสนา ปญฺญาติฯ เอวํ เตสุ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ สิเทฺธสุ ตโยปิ ขนฺธา สิทฺธา โหนฺติฯ ตตฺถ สีลกฺขเนฺธน สุรโต โหติฯ โส สีโหว สเทฺทสุ อาฆาตวตฺถูสุ กุชฺฌิตุกามตาย น สนฺตสติฯ ปญฺญากฺขเนฺธน ปฎิวิทฺธสภาโว วาโตว ชาลมฺหิ ขนฺธาทิธมฺมเภเท น สชฺชติ, สมาธิกฺขเนฺธน วีตราโค ปทุมํว โตเยน ราเคน น ลิปฺปติฯ เอวํ สมถวิปสฺสนาหิ สีลสมาธิปญฺญากฺขเนฺธหิ จ ยถาสมฺภวํ อวิชฺชาตณฺหานํ ติณฺณญฺจ อกุสลมูลานํ ปหานวเสน อสนฺตสโนฺต อสชฺชมาโน อลิปฺปมาโน จ เวทิตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha sīhoti cattāro sīhā – tiṇasīho, paṇḍusīho, kāḷasīho, kesarasīhoti. Kesarasīho tesaṃ aggamakkhāyati. Sova idha adhippeto. Vāto puratthimādivasena anekavidho, padumaṃ rattasetādivasena. Tesu yo koci vāto yaṃkiñci padumañca vaṭṭatiyeva. Tattha yasmā santāso attasinehena hoti, attasineho ca taṇhālepo, sopi diṭṭhisampayuttena vā diṭṭhivippayuttena vā lobhena hoti, so ca taṇhāyeva. Sajjanaṃ pana tattha upaparikkhāvirahitassa mohena hoti, moho ca avijjā. Tattha samathena taṇhāya pahānaṃ hoti, vipassanāya, avijjāya. Tasmā samathena attasinehaṃ pahāya sīhova saddesu aniccādīsu asantasanto, vipassanāya mohaṃ pahāya vātova jālamhi khandhāyatanādīsu asajjamāno, samatheneva lobhaṃ lobhasampayuttaṃ eva diṭṭhiñca pahāya, padumaṃva toyena sabbabhavabhogalobhena alippamāno. Ettha ca samathassa sīlaṃ padaṭṭhānaṃ, samatho samādhi, vipassanā paññāti. Evaṃ tesu dvīsu dhammesu siddhesu tayopi khandhā siddhā honti. Tattha sīlakkhandhena surato hoti. So sīhova saddesu āghātavatthūsu kujjhitukāmatāya na santasati. Paññākkhandhena paṭividdhasabhāvo vātova jālamhi khandhādidhammabhede na sajjati, samādhikkhandhena vītarāgo padumaṃva toyena rāgena na lippati. Evaṃ samathavipassanāhi sīlasamādhipaññākkhandhehi ca yathāsambhavaṃ avijjātaṇhānaṃ tiṇṇañca akusalamūlānaṃ pahānavasena asantasanto asajjamāno alippamāno ca veditabbo. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อสนฺตสนฺตคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Asantasantagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๗๒. สีโห ยถาติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร พาราณสิราชา ปจฺจนฺตํ กุปฺปิตํ วูปสเมตุํ คามานุคามิมคฺคํ ฉเฑฺฑตฺวา, อุชุํ อฎวิมคฺคํ คเหตฺวา, มหติยา เสนาย คจฺฉติฯ เตน จ สมเยน อญฺญตรสฺมิํ ปพฺพตปาเท สีโห พาลสูริยาตปํ ตปฺปมาโน นิปโนฺน โหติฯ ตํ ทิสฺวา ราชปุริโส รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘สีโห กิร สเทฺทน น สนฺตสตี’’ติ เภริสงฺขปณวาทีหิ สทฺทํ การาเปสิฯ สีโห ตเถว นิปชฺชิฯ ทุติยมฺปิ การาเปสิฯ สีโห ตเถว นิปชฺชิฯ ตติยมฺปิ การาเปสิฯ สีโห ‘‘มม ปฎิสตฺตุ อตฺถี’’ติ จตูหิ ปาเทหิ สุปฺปติฎฺฐิตํ ปติฎฺฐหิตฺวา สีหนาทํ นทิฯ ตํ สุตฺวาว หตฺถาโรหาทโย หตฺถิอาทีหิ โอโรหิตฺวา ติณคหนานิ ปวิฎฺฐา, หตฺถิอสฺสคณา ทิสาวิทิสา ปลาตาฯ รโญฺญ หตฺถีปิ ราชานํ คเหตฺวา วนคหนานิ โปถยมาโน ปลายิฯ โส ตํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต รุกฺขสาขาย โอลมฺพิตฺวา , ปถวิํ ปติตฺวา, เอกปทิกมเคฺคน คจฺฉโนฺต ปเจฺจกพุทฺธานํ วสนฎฺฐานํ ปาปุณิตฺวา ตตฺถ ปเจฺจกพุเทฺธ ปุจฺฉิ – ‘‘อปิ, ภเนฺต, สทฺทมสฺสุตฺถา’’ติ? ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘กสฺส สทฺทํ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘ปฐมํ เภริสงฺขาทีนํ, ปจฺฉา สีหสฺสา’’ติฯ ‘‘น ภายิตฺถ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘น มยํ, มหาราช, กสฺสจิ สทฺทสฺส ภายามา’’ติฯ ‘‘สกฺกา ปน, ภเนฺต, มยฺหมฺปิ เอทิสํ กาตุ’’นฺติ? ‘‘สกฺกา, มหาราช, สเจ ปพฺพชสี’’ติฯ ‘‘ปพฺพชามิ, ภเนฺต’’ติฯ ตโต นํ ปพฺพาเชตฺวา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว อาภิสมาจาริกํ สิกฺขาเปสุํฯ โสปิ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    72.Sīho yathāti kā uppatti? Aññataro kira bārāṇasirājā paccantaṃ kuppitaṃ vūpasametuṃ gāmānugāmimaggaṃ chaḍḍetvā, ujuṃ aṭavimaggaṃ gahetvā, mahatiyā senāya gacchati. Tena ca samayena aññatarasmiṃ pabbatapāde sīho bālasūriyātapaṃ tappamāno nipanno hoti. Taṃ disvā rājapuriso rañño ārocesi. Rājā ‘‘sīho kira saddena na santasatī’’ti bherisaṅkhapaṇavādīhi saddaṃ kārāpesi. Sīho tatheva nipajji. Dutiyampi kārāpesi. Sīho tatheva nipajji. Tatiyampi kārāpesi. Sīho ‘‘mama paṭisattu atthī’’ti catūhi pādehi suppatiṭṭhitaṃ patiṭṭhahitvā sīhanādaṃ nadi. Taṃ sutvāva hatthārohādayo hatthiādīhi orohitvā tiṇagahanāni paviṭṭhā, hatthiassagaṇā disāvidisā palātā. Rañño hatthīpi rājānaṃ gahetvā vanagahanāni pothayamāno palāyi. So taṃ sandhāretuṃ asakkonto rukkhasākhāya olambitvā , pathaviṃ patitvā, ekapadikamaggena gacchanto paccekabuddhānaṃ vasanaṭṭhānaṃ pāpuṇitvā tattha paccekabuddhe pucchi – ‘‘api, bhante, saddamassutthā’’ti? ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Kassa saddaṃ, bhante’’ti? ‘‘Paṭhamaṃ bherisaṅkhādīnaṃ, pacchā sīhassā’’ti. ‘‘Na bhāyittha, bhante’’ti? ‘‘Na mayaṃ, mahārāja, kassaci saddassa bhāyāmā’’ti. ‘‘Sakkā pana, bhante, mayhampi edisaṃ kātu’’nti? ‘‘Sakkā, mahārāja, sace pabbajasī’’ti. ‘‘Pabbajāmi, bhante’’ti. Tato naṃ pabbājetvā pubbe vuttanayeneva ābhisamācārikaṃ sikkhāpesuṃ. Sopi pubbe vuttanayeneva vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘สีโห ยถา ทาฐพลี ปสยฺห, ราชา มิคานํ อภิภุยฺย จารี;

    ‘‘Sīho yathā dāṭhabalī pasayha, rājā migānaṃ abhibhuyya cārī;

    เสเวถ ปนฺตานิ เสนาสนานิ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Sevetha pantāni senāsanāni, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ สหนา จ หนนา จ สีฆชวตฺตา จ สีโหฯ เกสรสีโหว อิธ อธิเปฺปโตฯ ทาฐา พลมสฺส อตฺถีติ ทาฐพลีฯ ปสยฺห อภิภุยฺยาติ, อุภยํ จารีสเทฺทน สห โยเชตพฺพํ ปสยฺหจารี อภิภุยฺยจารีติ ตตฺถ ปสยฺห นิคฺคเหตฺวา จรเณน ปสยฺหจารี, อภิภวิตฺวา, สนฺตาเสตฺวา, วสีกตฺวา, จรเณน อภิภุยฺยจารีฯ สฺวายํ กายพเลน ปสยฺหจารี, เตชสา อภิภุยฺยจารีฯ ตตฺถ สเจ โกจิ วเทยฺย – ‘‘กิํ ปสยฺห อภิภุยฺย จารี’’ติ, ตโต มิคานนฺติ สามิวจนํ อุปโยควจนํ กตฺวา ‘‘มิเค ปสยฺห อภิภุยฺย จารี’’ติ ปฎิวตฺตพฺพํฯ ปนฺตานีติ ทูรานิฯ เสนาสนานีติ วสนฎฺฐานานิฯ เสสํ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว สกฺกา ชานิตุนฺติ น วิตฺถาริตนฺติฯ

    Tattha sahanā ca hananā ca sīghajavattā ca sīho. Kesarasīhova idha adhippeto. Dāṭhā balamassa atthīti dāṭhabalī. Pasayha abhibhuyyāti, ubhayaṃ cārīsaddena saha yojetabbaṃ pasayhacārī abhibhuyyacārīti tattha pasayha niggahetvā caraṇena pasayhacārī, abhibhavitvā, santāsetvā, vasīkatvā, caraṇena abhibhuyyacārī. Svāyaṃ kāyabalena pasayhacārī, tejasā abhibhuyyacārī. Tattha sace koci vadeyya – ‘‘kiṃ pasayha abhibhuyya cārī’’ti, tato migānanti sāmivacanaṃ upayogavacanaṃ katvā ‘‘mige pasayha abhibhuyya cārī’’ti paṭivattabbaṃ. Pantānīti dūrāni. Senāsanānīti vasanaṭṭhānāni. Sesaṃ pubbe vuttanayeneva sakkā jānitunti na vitthāritanti.

    ทาฐพลีคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Dāṭhabalīgāthāvaṇṇanā samattā.

    ๗๓. เมตฺตํ อุเปกฺขนฺติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร ราชา เมตฺตาทิฌานลาภี อโหสิฯ โส ‘‘ฌานสุขนฺตรายกรํ รชฺช’’นฺติ ฌานานุรกฺขณตฺถํ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา, อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    73.Mettaṃ upekkhanti kā uppatti? Aññataro kira rājā mettādijhānalābhī ahosi. So ‘‘jhānasukhantarāyakaraṃ rajja’’nti jhānānurakkhaṇatthaṃ rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā, imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    เมตฺตํ อุเปกฺขํ กรุณํ วิมุตฺติํ, อาเสวมาโน มุทิตญฺจ กาเล;

    Mettaṃ upekkhaṃ karuṇaṃ vimuttiṃ, āsevamāno muditañca kāle;

    สเพฺพน โลเกน อวิรุชฺฌมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Sabbena lokena avirujjhamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ ‘‘สเพฺพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตู’’ติอาทินา นเยน หิตสุขุปนยนกามตา เมตฺตาฯ ‘‘อโห วต อิมมฺหา ทุกฺขา วิมุเจฺจยฺยุ’’นฺติอาทินา นเยน อหิตทุกฺขาปนยนกามตา กรุณาฯ ‘‘โมทนฺติ วต โภโนฺต สตฺตา โมทนฺติ สาธุ สุฎฺฐู’’ติอาทินา นเยน หิตสุขาวิปฺปโยคกามตา มุทิตาฯ ‘‘ปญฺญายิสฺสนฺติ สเกน กเมฺมนา’’ติ สุขทุเกฺขสุ อชฺฌุเปกฺขนตา อุเปกฺขาฯ คาถาพนฺธสุขตฺถํ ปน อุปฺปฎิปาฎิยา เมตฺตํ วตฺวา อุเปกฺขา วุตฺตา, มุทิตา ปจฺฉาฯ วิมุตฺตินฺติ จตโสฺสปิ หิ เอตา อตฺตโน ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุตฺตตฺตา วิมุตฺติโยฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เมตฺตํ อุเปกฺขํ กรุณํ, วิมุตฺติํ, อาเสวมาโน มุทิตญฺจ กาเล’’ติฯ

    Tattha ‘‘sabbe sattā sukhitā hontū’’tiādinā nayena hitasukhupanayanakāmatā mettā. ‘‘Aho vata imamhā dukkhā vimucceyyu’’ntiādinā nayena ahitadukkhāpanayanakāmatā karuṇā. ‘‘Modanti vata bhonto sattā modanti sādhu suṭṭhū’’tiādinā nayena hitasukhāvippayogakāmatā muditā. ‘‘Paññāyissanti sakena kammenā’’ti sukhadukkhesu ajjhupekkhanatā upekkhā. Gāthābandhasukhatthaṃ pana uppaṭipāṭiyā mettaṃ vatvā upekkhā vuttā, muditā pacchā. Vimuttinti catassopi hi etā attano paccanīkadhammehi vimuttattā vimuttiyo. Tena vuttaṃ ‘‘mettaṃ upekkhaṃ karuṇaṃ, vimuttiṃ, āsevamāno muditañca kāle’’ti.

    ตตฺถ อาเสวมาโนติ ติโสฺส ติกจตุกฺกชฺฌานวเสน, อุเปกฺขํ จตุตฺถชฺฌานวเสน ภาวยมาโนฯ กาเลติ เมตฺตํ อาเสวิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย กรุณํ, ตโต วุฎฺฐาย มุทิตํ, ตโต อิตรโต วา นิปฺปีติกฌานโต วุฎฺฐาย อุเปกฺขํ อาเสวมาโน ‘‘กาเล อาเสวมาโน’’ติ วุจฺจติ, อาเสวิตุํ ผาสุกาเล วาฯ สเพฺพน โลเกน อวิรุชฺฌมาโนติ ทสสุ ทิสาสุ สเพฺพน สตฺตโลเกน อวิรุชฺฌมาโนฯ เมตฺตาทีนญฺหิ ภาวิตตฺตา สตฺตา อปฺปฎิกูลา โหนฺติฯ สเตฺตสุ จ วิโรธภูโต ปฎิโฆ วูปสมฺมติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สเพฺพน โลเกน อวิรุชฺฌมาโน’’ติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาเรน ปน เมตฺตาทิกถา อฎฺฐสาลินิยา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๒๕๑) วุตฺตาฯ เสสํ ปุพฺพวุตฺตสทิสเมวาติฯ

    Tattha āsevamānoti tisso tikacatukkajjhānavasena, upekkhaṃ catutthajjhānavasena bhāvayamāno. Kāleti mettaṃ āsevitvā tato vuṭṭhāya karuṇaṃ, tato vuṭṭhāya muditaṃ, tato itarato vā nippītikajhānato vuṭṭhāya upekkhaṃ āsevamāno ‘‘kāle āsevamāno’’ti vuccati, āsevituṃ phāsukāle vā. Sabbena lokena avirujjhamānoti dasasu disāsu sabbena sattalokena avirujjhamāno. Mettādīnañhi bhāvitattā sattā appaṭikūlā honti. Sattesu ca virodhabhūto paṭigho vūpasammati. Tena vuttaṃ – ‘‘sabbena lokena avirujjhamāno’’ti. Ayamettha saṅkhepo, vitthārena pana mettādikathā aṭṭhasāliniyā dhammasaṅgahaṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 251) vuttā. Sesaṃ pubbavuttasadisamevāti.

    อปฺปมญฺญาคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Appamaññāgāthāvaṇṇanā samattā.

    ๗๔. ราคญฺจ โทสญฺจาติ กา อุปฺปตฺติ? ราชคหํ กิร อุปนิสฺสาย มาตโงฺค นาม ปเจฺจกพุโทฺธ วิหรติ สพฺพปจฺฉิโม ปเจฺจกพุทฺธานํฯ อถ อมฺหากํ โพธิสเตฺต อุปฺปเนฺน เทวตาโย โพธิสตฺตสฺส ปูชนตฺถาย อาคจฺฉนฺติโย ตํ ทิสฺวา ‘‘มาริสา, มาริสา, พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน’’ติ ภณิํสุ ฯ โส นิโรธา วุฎฺฐหโนฺต ตํ สทฺทํ สุตฺวา, อตฺตโน จ ชีวิตกฺขยํ ทิสฺวา, หิมวเนฺต มหาปปาโต นาม ปพฺพโต ปเจฺจกพุทฺธานํ ปรินิพฺพานฎฺฐานํ, ตตฺถ อากาเสน คนฺตฺวา ปุเพฺพ ปรินิพฺพุตปเจฺจกพุทฺธสฺส อฎฺฐิสงฺฆาตํ ปปาเต ปกฺขิปิตฺวา, สิลาตเล นิสีทิตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    74.Rāgañca dosañcāti kā uppatti? Rājagahaṃ kira upanissāya mātaṅgo nāma paccekabuddho viharati sabbapacchimo paccekabuddhānaṃ. Atha amhākaṃ bodhisatte uppanne devatāyo bodhisattassa pūjanatthāya āgacchantiyo taṃ disvā ‘‘mārisā, mārisā, buddho loke uppanno’’ti bhaṇiṃsu . So nirodhā vuṭṭhahanto taṃ saddaṃ sutvā, attano ca jīvitakkhayaṃ disvā, himavante mahāpapāto nāma pabbato paccekabuddhānaṃ parinibbānaṭṭhānaṃ, tattha ākāsena gantvā pubbe parinibbutapaccekabuddhassa aṭṭhisaṅghātaṃ papāte pakkhipitvā, silātale nisīditvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ, สนฺทาลยิตฺวาน สํโยชนานิ;

    ‘‘Rāgañca dosañca pahāya mohaṃ, sandālayitvāna saṃyojanāni;

    อสนฺตสํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Asantasaṃ jīvitasaṅkhayamhi, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ ราคโทสโมหา อุรคสุเตฺต วุตฺตาฯ สํโยชนานีติ ทส สํโยชนานิฯ ตานิ จ เตน เตน มเคฺคน สนฺทาลยิตฺวาฯ อสนฺตสํ ชีวิตสงฺขยมฺหีติ ชีวิตสงฺขโย วุจฺจติ จุติจิตฺตสฺส ปริเภโท, ตสฺมิญฺจ ชีวิตสงฺขเย ชีวิตนิกนฺติยา ปหีนตฺตา อสนฺตสนฺติฯ เอตฺตาวตา โสปาทิเสสํ นิพฺพานธาตุํ อตฺตโน ทเสฺสตฺวา คาถาปริโยสาเน อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายีติฯ

    Tattha rāgadosamohā uragasutte vuttā. Saṃyojanānīti dasa saṃyojanāni. Tāni ca tena tena maggena sandālayitvā. Asantasaṃ jīvitasaṅkhayamhīti jīvitasaṅkhayo vuccati cuticittassa paribhedo, tasmiñca jīvitasaṅkhaye jīvitanikantiyā pahīnattā asantasanti. Ettāvatā sopādisesaṃ nibbānadhātuṃ attano dassetvā gāthāpariyosāne anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyīti.

    ชีวิตสงฺขยคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Jīvitasaṅkhayagāthāvaṇṇanā samattā.

    ๗๕. ภชนฺตีติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา อาทิคาถาย วุตฺตปฺปการเมว ผีตํ รชฺชํ สมนุสาสติฯ ตสฺส ขโร อาพาโธ อุปฺปชฺชิ, ทุกฺขา เวทนา วตฺตนฺติฯ วีสติสหสฺสิตฺถิโย ปริวาเรตฺวา หตฺถปาทสมฺพาหนาทีนิ กโรนฺติฯ อมจฺจา ‘‘น ทานายํ ราชา ชีวิสฺสติ, หนฺท มยํ อตฺตโน สรณํ คเวสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา อญฺญสฺส รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา อุปฎฺฐานํ ยาจิํสุฯ เต ตตฺถ อุปฎฺฐหนฺติเยว, น กิญฺจิ ลภนฺติฯ ราชาปิ อาพาธา วุฎฺฐหิตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘อิตฺถนฺนาโม จ อิตฺถนฺนาโม จ กุหิ’’นฺติ? ตโต ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา สีสํ จาเลตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ เตปิ อมจฺจา ‘‘ราชา วุฎฺฐิโต’’ติ สุตฺวา ตตฺถ กิญฺจิ อลภมานา ปรเมน ปาริชุเญฺญน สมนฺนาคตา ปุนเทว อาคนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ เตน จ รญฺญา ‘‘กุหิํ, ตาตา, ตุเมฺห คตา’’ติ วุตฺตา อาหํสุ – ‘‘เทวํ ทุพฺพลํ ทิสฺวา อาชีวิกภเยนมฺหา อสุกํ นาม ชนปทํ คตา’’ติฯ ราชา สีสํ จาเลตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘ยํนูนาหํ อิเม วีมํเสยฺยํ, กิํ ปุนปิ เอวํ กเรยฺยุํ โน’’ติ? โส ปุเพฺพ อาพาธิกโรเคน ผุโฎฺฐ วิย พาฬฺหเวทนํ อตฺตานํ ทเสฺสโนฺต คิลานาลยํ อกาสิฯ อิตฺถิโย สมฺปริวาเรตฺวา ปุพฺพสทิสเมว สพฺพํ อกํสุฯ เตปิ อมจฺจา ตเถว ปุน พหุตรํ ชนํ คเหตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เอวํ ราชา ยาวตติยํ สพฺพํ ปุพฺพสทิสํ อกาสิฯ เตปิ ตเถว ปกฺกมิํสุฯ ตโต จตุตฺถมฺปิ เต อาคเต ทิสฺวา ‘‘อโห อิเม ทุกฺกรํ อกํสุ, เย มํ พฺยาธิตํ ปหาย อนเปกฺขา ปกฺกมิํสู’’ติ นิพฺพิโนฺน รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิ –

    75.Bhajantīti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā ādigāthāya vuttappakārameva phītaṃ rajjaṃ samanusāsati. Tassa kharo ābādho uppajji, dukkhā vedanā vattanti. Vīsatisahassitthiyo parivāretvā hatthapādasambāhanādīni karonti. Amaccā ‘‘na dānāyaṃ rājā jīvissati, handa mayaṃ attano saraṇaṃ gavesāmā’’ti cintetvā aññassa rañño santikaṃ gantvā upaṭṭhānaṃ yāciṃsu. Te tattha upaṭṭhahantiyeva, na kiñci labhanti. Rājāpi ābādhā vuṭṭhahitvā pucchi ‘‘itthannāmo ca itthannāmo ca kuhi’’nti? Tato taṃ pavattiṃ sutvā sīsaṃ cāletvā tuṇhī ahosi. Tepi amaccā ‘‘rājā vuṭṭhito’’ti sutvā tattha kiñci alabhamānā paramena pārijuññena samannāgatā punadeva āgantvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Tena ca raññā ‘‘kuhiṃ, tātā, tumhe gatā’’ti vuttā āhaṃsu – ‘‘devaṃ dubbalaṃ disvā ājīvikabhayenamhā asukaṃ nāma janapadaṃ gatā’’ti. Rājā sīsaṃ cāletvā cintesi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ ime vīmaṃseyyaṃ, kiṃ punapi evaṃ kareyyuṃ no’’ti? So pubbe ābādhikarogena phuṭṭho viya bāḷhavedanaṃ attānaṃ dassento gilānālayaṃ akāsi. Itthiyo samparivāretvā pubbasadisameva sabbaṃ akaṃsu. Tepi amaccā tatheva puna bahutaraṃ janaṃ gahetvā pakkamiṃsu. Evaṃ rājā yāvatatiyaṃ sabbaṃ pubbasadisaṃ akāsi. Tepi tatheva pakkamiṃsu. Tato catutthampi te āgate disvā ‘‘aho ime dukkaraṃ akaṃsu, ye maṃ byādhitaṃ pahāya anapekkhā pakkamiṃsū’’ti nibbinno rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘ภชนฺติ เสวนฺติ จ การณตฺถา, นิกฺการณา ทุลฺลภา อชฺช มิตฺตา;

    ‘‘Bhajanti sevanti ca kāraṇatthā, nikkāraṇā dullabhā ajja mittā;

    อตฺตฎฺฐปญฺญา อสุจี มนุสฺสา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Attaṭṭhapaññā asucī manussā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ ภชนฺตีติ สรีเรน อลฺลียิตฺวา ปยิรุปาสนฺติฯ เสวนฺตีติ อญฺชลิกมฺมาทีหิ กิํ การปฎิสฺสาวิตาย จ ปริจรนฺติฯ การณํ อโตฺถ เอเตสนฺติ การณตฺถา, ภชนาย เสวนาย จ นาญฺญํ การณมตฺถิ, อโตฺถ เอว เนสํ การณํ, อตฺถเหตุ เสวนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ นิกฺการณา ทุลฺลภา อชฺช มิตฺตาติ ‘‘อิโต กิญฺจิ ลจฺฉามา’’ติ เอวํ อตฺตปฎิลาภการเณน นิกฺการณา, เกวลํ –

    Tattha bhajantīti sarīrena allīyitvā payirupāsanti. Sevantīti añjalikammādīhi kiṃ kārapaṭissāvitāya ca paricaranti. Kāraṇaṃ attho etesanti kāraṇatthā, bhajanāya sevanāya ca nāññaṃ kāraṇamatthi, attho eva nesaṃ kāraṇaṃ, atthahetu sevantīti vuttaṃ hoti. Nikkāraṇādullabhā ajja mittāti ‘‘ito kiñci lacchāmā’’ti evaṃ attapaṭilābhakāraṇena nikkāraṇā, kevalaṃ –

    ‘‘อุปกาโร จ โย มิโตฺต,

    ‘‘Upakāro ca yo mitto,

    สุเข ทุเกฺข จ โย สขา;

    Sukhe dukkhe ca yo sakhā;

    อตฺถกฺขายี จ โย มิโตฺต,

    Atthakkhāyī ca yo mitto,

    โย จ มิตฺตานุกมฺปโก’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๖๕) –

    Yo ca mittānukampako’’ti. (dī. ni. 3.265) –

    เอวํ วุเตฺตน อริเยน มิตฺตภาเวน สมนฺนาคตา ทุลฺลภา อชฺช มิตฺตาฯ อตฺตนิ ฐิตา เอเตสํ ปญฺญา, อตฺตานํเยว โอโลเกนฺติ, น อญฺญนฺติ อตฺตฎฺฐปญฺญาฯ ทิฎฺฐตฺถปญฺญาติ อยมฺปิ กิร โปราณปาโฐ, สมฺปติ ทิฎฺฐิเยว อเตฺถ เอเตสํ ปญฺญา, อายติํ น เปกฺขนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อสุจีติ อสุจินา อนริเยน กายวจีมโนกเมฺมน สมนฺนาคตาฯ เสสํ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Evaṃ vuttena ariyena mittabhāvena samannāgatā dullabhā ajja mittā. Attani ṭhitā etesaṃ paññā, attānaṃyeva olokenti, na aññanti attaṭṭhapaññā. Diṭṭhatthapaññāti ayampi kira porāṇapāṭho, sampati diṭṭhiyeva atthe etesaṃ paññā, āyatiṃ na pekkhantīti vuttaṃ hoti. Asucīti asucinā anariyena kāyavacīmanokammena samannāgatā. Sesaṃ pubbe vuttanayeneva veditabbanti.

    การณตฺถคาถาวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Kāraṇatthagāthāvaṇṇanā samattā.

    จตุโตฺถ วโคฺค นิฎฺฐิโต เอกาทสหิ คาถาหิฯ

    Catuttho vaggo niṭṭhito ekādasahi gāthāhi.

    เอวเมตํ เอกจตฺตาลีสคาถาปริมาณํ ขคฺควิสาณสุตฺตํ กตฺถจิเทว วุเตฺตน โยชนานเยน สพฺพตฺถ ยถานุรูปํ โยเชตฺวา อนุสนฺธิโต อตฺถโต จ เวทิตพฺพํฯ อติวิตฺถารภเยน ปน อเมฺหหิ น สพฺพตฺถ โยชิตนฺติฯ

    Evametaṃ ekacattālīsagāthāparimāṇaṃ khaggavisāṇasuttaṃ katthacideva vuttena yojanānayena sabbattha yathānurūpaṃ yojetvā anusandhito atthato ca veditabbaṃ. Ativitthārabhayena pana amhehi na sabbattha yojitanti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ขคฺควิสาณสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya khaggavisāṇasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๓. ขคฺควิสาณสุตฺตํ • 3. Khaggavisāṇasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact