Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๗. ขชฺชนียสุตฺตวณฺณนา

    7. Khajjanīyasuttavaṇṇanā

    ๗๙. สตฺตเม ปุเพฺพนิวาสนฺติ น อิทํ อภิญฺญาวเสน อนุสฺสรณํ สนฺธาย วุตฺตํ, วิปสฺสนาวเสน ปน ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรเนฺต สมณพฺราหฺมเณ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ เตเนวาห – ‘‘สเพฺพเต ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธ อนุสฺสรนฺติ, เอเตสํ วา อญฺญตร’’นฺติฯ อภิญฺญาวเสน หิ สมนุสฺสรนฺตสฺส ขนฺธาปิ อุปาทานกฺขนฺธาปิ ขนฺธปฎิพทฺธาปิ ปณฺณตฺติปิ อารมฺมณํ โหติเยวฯ รูปํเยว อนุสฺสรตีติ เอวญฺหิ อนุสฺสรโนฺต น อญฺญํ กิญฺจิ สตฺตํ วา ปุคฺคลํ วา อนุสฺสรติ, อตีเต ปน นิรุทฺธํ รูปกฺขนฺธเมว อนุสฺสรติฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยติฯ สุญฺญตาปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    79. Sattame pubbenivāsanti na idaṃ abhiññāvasena anussaraṇaṃ sandhāya vuttaṃ, vipassanāvasena pana pubbenivāsaṃ anussarante samaṇabrāhmaṇe sandhāyetaṃ vuttaṃ. Tenevāha – ‘‘sabbete pañcupādānakkhandhe anussaranti, etesaṃ vā aññatara’’nti. Abhiññāvasena hi samanussarantassa khandhāpi upādānakkhandhāpi khandhapaṭibaddhāpi paṇṇattipi ārammaṇaṃ hotiyeva. Rūpaṃyeva anussaratīti evañhi anussaranto na aññaṃ kiñci sattaṃ vā puggalaṃ vā anussarati, atīte pana niruddhaṃ rūpakkhandhameva anussarati. Vedanādīsupi eseva nayoti. Suññatāpabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    อิทานิ สุญฺญตาย ลกฺขณํ ทเสฺสตุํ กิญฺจ, ภิกฺขเว, รูปํ วเทถาติอาทิมาหฯ ยถา หิ นฎฺฐํ โคณํ ปริเยสมาโน ปุริโส โคคเณ จรมาเน รตฺตํ วา กาฬํ วา พลีพทฺทํ ทิสฺวาปิ น เอตฺตเกเนว ‘‘อยํ มยฺหํ โคโณ’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กาตุํ สโกฺกติฯ กสฺมา? อเญฺญสมฺปิ ตาทิสานํ อตฺถิตายฯ สรีรปเทเส ปนสฺส สตฺติสูลาทิลกฺขณํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มยฺหํ สนฺตโก’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ โหติ, เอวเมว สุญฺญตาย กถิตายปิ ยาว สุญฺญตาลกฺขณํ น กถียติ, ตาว สา อกถิตาว โหติ, ลกฺขเณ ปน กถิเต กถิตา นาม โหติฯ โคโณ วิย หิ สุญฺญตา, โคณลกฺขณํ วิย สุญฺญตาลกฺขณํฯ ยถา โคณลกฺขเณ อสลฺลกฺขิเต โคโณ น สุฎฺฐุ สลฺลกฺขิโต โหติ, ตสฺมิํ ปน สลฺลกฺขิเต โส สลฺลกฺขิโต นาม โหติ, เอวเมว สุญฺญตาลกฺขเณ อกถิเต สุญฺญตา อกถิตาว โหติ, ตสฺมิํ ปน กถิเต สา กถิตา นาม โหตีติ สุญฺญตาลกฺขณํ ทเสฺสตุํ กิญฺจ, ภิกฺขเว, รูปํ วเทถาติอาทิมาหฯ

    Idāni suññatāya lakkhaṇaṃ dassetuṃ kiñca, bhikkhave, rūpaṃ vadethātiādimāha. Yathā hi naṭṭhaṃ goṇaṃ pariyesamāno puriso gogaṇe caramāne rattaṃ vā kāḷaṃ vā balībaddaṃ disvāpi na ettakeneva ‘‘ayaṃ mayhaṃ goṇo’’ti sanniṭṭhānaṃ kātuṃ sakkoti. Kasmā? Aññesampi tādisānaṃ atthitāya. Sarīrapadese panassa sattisūlādilakkhaṇaṃ disvā ‘‘ayaṃ mayhaṃ santako’’ti sanniṭṭhānaṃ hoti, evameva suññatāya kathitāyapi yāva suññatālakkhaṇaṃ na kathīyati, tāva sā akathitāva hoti, lakkhaṇe pana kathite kathitā nāma hoti. Goṇo viya hi suññatā, goṇalakkhaṇaṃ viya suññatālakkhaṇaṃ. Yathā goṇalakkhaṇe asallakkhite goṇo na suṭṭhu sallakkhito hoti, tasmiṃ pana sallakkhite so sallakkhito nāma hoti, evameva suññatālakkhaṇe akathite suññatā akathitāva hoti, tasmiṃ pana kathite sā kathitā nāma hotīti suññatālakkhaṇaṃ dassetuṃ kiñca, bhikkhave, rūpaṃ vadethātiādimāha.

    ตตฺถ กิญฺจาติ การณปุจฺฉา, เกน การเณน รูปํ วเทถ, เกน การเณเนตํ รูปํ นามาติ อโตฺถฯ รุปฺปตีติ โขติ เอตฺถ อิตีติ การณุเทฺทโส, ยสฺมา รุปฺปติ, ตสฺมา รูปนฺติ วุจฺจตีติ อโตฺถฯ รุปฺปตีติ กุปฺปติ ฆฎฺฎียติ ปีฬียติ, ภิชฺชตีติ อโตฺถฯ สีเตนปิ รุปฺปตีติอาทีสุ สีเตน ตาว รุปฺปนํ โลกนฺตริกนิรเย ปากฎํฯ ติณฺณํ ติณฺณญฺหิ จกฺกวาฬานํ อนฺตเร เอเกโก โลกนฺตริกนิรโย นาม โหติ อฎฺฐโยชนสหสฺสปฺปมาโณฯ ยสฺส เนว เหฎฺฐา ปถวี อตฺถิ, น อุปริ จนฺทิมสูริยทีปมณิอาโลโก, นิจฺจนฺธกาโรฯ ตตฺถ นิพฺพตฺตสตฺตานํ ติคาวุโต อตฺตภาโว โหติ, เต วคฺคุลิโย วิย ปพฺพตปาเท ทีฆปุถุเลหิ นเขหิ ลคฺคิตฺวา อวํสิรา โอลมฺพนฺติฯ ยทา สํสปฺปนฺตา อญฺญมญฺญสฺส หตฺถปาสาคตา โหนฺติ, อถ ‘‘ภโกฺข โน ลโทฺธ’’ติ? มญฺญมานา ตตฺถ พฺยาวฎา วิปริวตฺติตฺวา โลกสนฺธารเก อุทเก ปตนฺติ, วาเต ปหรเนฺตปิ มธุกผลานิ วิย ฉิชฺชิตฺวา อุทเก ปตนฺติ, ปติตมตฺตาว อจฺจนฺตขาเร อุทเก ตตฺตเตเล ปติตปิฎฺฐปิณฺฑิ วิย ปฎปฎายมานา วิลียนฺติฯ เอวํ สีเตน รุปฺปนํ โลกนฺตริกนิรเย ปากฎํฯ มหิํสกรฎฺฐาทีสุปิ หิมปาตสีตเลสุ ปเทเสสุ เอตํ ปากฎเมวฯ ตตฺถ หิ สตฺตา สีเตน ภินฺนสรีรา ชีวิตกฺขยมฺปิ ปาปุณนฺติฯ

    Tattha kiñcāti kāraṇapucchā, kena kāraṇena rūpaṃ vadetha, kena kāraṇenetaṃ rūpaṃ nāmāti attho. Ruppatīti khoti ettha itīti kāraṇuddeso, yasmā ruppati, tasmā rūpanti vuccatīti attho. Ruppatīti kuppati ghaṭṭīyati pīḷīyati, bhijjatīti attho. Sītenapi ruppatītiādīsu sītena tāva ruppanaṃ lokantarikaniraye pākaṭaṃ. Tiṇṇaṃ tiṇṇañhi cakkavāḷānaṃ antare ekeko lokantarikanirayo nāma hoti aṭṭhayojanasahassappamāṇo. Yassa neva heṭṭhā pathavī atthi, na upari candimasūriyadīpamaṇiāloko, niccandhakāro. Tattha nibbattasattānaṃ tigāvuto attabhāvo hoti, te vagguliyo viya pabbatapāde dīghaputhulehi nakhehi laggitvā avaṃsirā olambanti. Yadā saṃsappantā aññamaññassa hatthapāsāgatā honti, atha ‘‘bhakkho no laddho’’ti? Maññamānā tattha byāvaṭā viparivattitvā lokasandhārake udake patanti, vāte paharantepi madhukaphalāni viya chijjitvā udake patanti, patitamattāva accantakhāre udake tattatele patitapiṭṭhapiṇḍi viya paṭapaṭāyamānā vilīyanti. Evaṃ sītena ruppanaṃ lokantarikaniraye pākaṭaṃ. Mahiṃsakaraṭṭhādīsupi himapātasītalesu padesesu etaṃ pākaṭameva. Tattha hi sattā sītena bhinnasarīrā jīvitakkhayampi pāpuṇanti.

    อุเณฺหน รุปฺปนํ อวีจิมหานิรเย ปากฎํ โหติฯ ชิฆจฺฉาย รุปฺปนํ เปตฺติวิสเย เจว ทุพฺภิกฺขกาเล จ ปากฎํฯ ปิปาสาย รุปฺปนํ กาลกญฺชิกาทีสุ ปากฎํฯ เอโก กิร กาลกญฺชิกอสุโร ปิปาสํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต โยชนคมฺภีรวิตฺถารํ มหาคงฺคํ โอตริ, ตสฺส คตคตฎฺฐาเน อุทกํ ฉิชฺชติ, ธูโม อุคฺคจฺฉติ, ตเตฺต ปิฎฺฐิปาสาเณ จงฺกมนกาโล วิย โหติฯ ตสฺส อุทกสทฺทํ สุตฺวา อิโต จิโต จ วิจรนฺตเสฺสว รตฺติ วิภายิฯ อถ นํ ปาโตว ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตา ติํสมตฺตา ปิณฺฑจาริกภิกฺขู ทิสฺวา ‘‘โก นาม ตฺวํ สปฺปุริสา’’ติ? ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘เปโตหมสฺมิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิํ ปริเยสสี’’ติ? ‘‘ปานียํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อยํ คงฺคา ปริปุณฺณา, กิํ ตฺวํ น ปสฺสสี’’ติ? ‘‘น อุปกปฺปติ, ภเนฺต’’ติฯ เตน หิ คงฺคาปิเฎฺฐ นิปชฺช, มุเข เต ปานียํ อาสิญฺจิสฺสามา’’ติฯ โส วาลิกาปุฬิเน อุตฺตาโน นิปชฺชิฯ ภิกฺขู ติํสมเตฺต ปเตฺต นีหริตฺวา อุทกํ อาหริตฺวา ตสฺส มุเข อาสิญฺจิํสุฯ เตสํ ตถา กโรนฺตานํเยว เวลา อุปกฎฺฐา ชาตาฯ ตโต ‘‘ภิกฺขาจารกาโล อมฺหากํ สปฺปุริส, กจฺจิ เต อสฺสาทมตฺตา ลทฺธา’’ติ อาหํสุฯ เปโต ‘‘สเจ เม, ภเนฺต, ติํสมตฺตานํ อยฺยานํ ติํสปเตฺตหิ อาสิตฺตอุทกโต อฑฺฒปสตมตฺตมฺปิ ปรคลํ คตํ, เปตตฺตภาวโต โมโกฺข มา โหตู’’ติ อาหฯ เอวํ ปิปาสาย รุปฺปนํ เปตฺติวิสเย ปากฎํฯ

    Uṇhena ruppanaṃ avīcimahāniraye pākaṭaṃ hoti. Jighacchāya ruppanaṃ pettivisaye ceva dubbhikkhakāle ca pākaṭaṃ. Pipāsāya ruppanaṃ kālakañjikādīsu pākaṭaṃ. Eko kira kālakañjikaasuro pipāsaṃ adhivāsetuṃ asakkonto yojanagambhīravitthāraṃ mahāgaṅgaṃ otari, tassa gatagataṭṭhāne udakaṃ chijjati, dhūmo uggacchati, tatte piṭṭhipāsāṇe caṅkamanakālo viya hoti. Tassa udakasaddaṃ sutvā ito cito ca vicarantasseva ratti vibhāyi. Atha naṃ pātova bhikkhācāraṃ gacchantā tiṃsamattā piṇḍacārikabhikkhū disvā ‘‘ko nāma tvaṃ sappurisā’’ti? Pucchiṃsu. ‘‘Petohamasmi, bhante’’ti. ‘‘Kiṃ pariyesasī’’ti? ‘‘Pānīyaṃ, bhante’’ti. ‘‘Ayaṃ gaṅgā paripuṇṇā, kiṃ tvaṃ na passasī’’ti? ‘‘Na upakappati, bhante’’ti. Tena hi gaṅgāpiṭṭhe nipajja, mukhe te pānīyaṃ āsiñcissāmā’’ti. So vālikāpuḷine uttāno nipajji. Bhikkhū tiṃsamatte patte nīharitvā udakaṃ āharitvā tassa mukhe āsiñciṃsu. Tesaṃ tathā karontānaṃyeva velā upakaṭṭhā jātā. Tato ‘‘bhikkhācārakālo amhākaṃ sappurisa, kacci te assādamattā laddhā’’ti āhaṃsu. Peto ‘‘sace me, bhante, tiṃsamattānaṃ ayyānaṃ tiṃsapattehi āsittaudakato aḍḍhapasatamattampi paragalaṃ gataṃ, petattabhāvato mokkho mā hotū’’ti āha. Evaṃ pipāsāya ruppanaṃ pettivisaye pākaṭaṃ.

    ฑํสาทีหิ รุปฺปนํ ฑํสมกฺขิกาทิพหุเลสุ ปเทเสสุ ปากฎํฯ เอตฺถ จ ฑํสาติ ปิงฺคลมกฺขิกาฯ มกสาติ มกสาวฯ วาตาติ กุจฺฉิวาตปิฎฺฐิวาตาทิวเสน เวทิตพฺพาฯ สรีรสฺมิญฺหิ วาตโรโค อุปฺปชฺชิตฺวา หตฺถปาทปิฎฺฐิอาทีนิ ภินฺทติ, กาณํ กโรติ, ขุชฺชํ กโรติ, ปีฐสปฺปิํ กโรติฯ อาตโปติ สูริยาตโปฯ เตน รุปฺปนํ มรุกนฺตาราทีสุ ปากฎํฯ เอกา กิร อิตฺถี มรุกนฺตาเร รตฺติํ สตฺถโต โอหีนา ทิวา สูริเย อุคฺคจฺฉเนฺต วาลิกาย ตปฺปมานาย ปาเท ฐเปตุํ อสโกฺกนฺตี สีสโต ปจฺฉิํ โอตาเรตฺวา อกฺกมิฯ กเมน ปจฺฉิยา อุณฺหาภิตตฺตาย ฐาตุํ อสโกฺกนฺตี ตสฺสา อุปริ สาฎกํ ฐเปตฺวา อกฺกมิฯ ตสฺมิมฺปิ สนฺตเตฺต อตฺตโน อเงฺกน คหิตปุตฺตกํ อโธมุขํ นิปชฺชาเปตฺวา กนฺทนฺตํเยว อกฺกมิตฺวา สทฺธิํ เตน ตสฺมิํเยว ฐาเน อุณฺหาภิตตฺตา กาลมกาสิฯ

    Ḍaṃsādīhi ruppanaṃ ḍaṃsamakkhikādibahulesu padesesu pākaṭaṃ. Ettha ca ḍaṃsāti piṅgalamakkhikā. Makasāti makasāva. Vātāti kucchivātapiṭṭhivātādivasena veditabbā. Sarīrasmiñhi vātarogo uppajjitvā hatthapādapiṭṭhiādīni bhindati, kāṇaṃ karoti, khujjaṃ karoti, pīṭhasappiṃ karoti. Ātapoti sūriyātapo. Tena ruppanaṃ marukantārādīsu pākaṭaṃ. Ekā kira itthī marukantāre rattiṃ satthato ohīnā divā sūriye uggacchante vālikāya tappamānāya pāde ṭhapetuṃ asakkontī sīsato pacchiṃ otāretvā akkami. Kamena pacchiyā uṇhābhitattāya ṭhātuṃ asakkontī tassā upari sāṭakaṃ ṭhapetvā akkami. Tasmimpi santatte attano aṅkena gahitaputtakaṃ adhomukhaṃ nipajjāpetvā kandantaṃyeva akkamitvā saddhiṃ tena tasmiṃyeva ṭhāne uṇhābhitattā kālamakāsi.

    สรีสปาติ เย เกจิ ทีฆชาติกา สรนฺตา คจฺฉนฺติฯ เตสํ สมฺผเสฺสน รุปฺปนํ อาสีวิสทฎฺฐกาทีนํ วเสน เวทิตพฺพํฯ อิติ ภควตา ยานิ อิมานิ สามญฺญปจฺจตฺตวเสน ธมฺมานํ เทฺว ลกฺขณานิ, เตสุ รูปกฺขนฺธสฺส ตาว ปจฺจตฺตลกฺขณํ ทสฺสิตํฯ รูปกฺขนฺธเสฺสว หิ เอตํ, น เวทนาทีนํ , ตสฺมา ปจฺจตฺตลกฺขณนฺติ วุจฺจติฯ อนิจฺจทุกฺขานตฺตลกฺขณํ ปน เวทนาทีนมฺปิ โหติ, ตสฺมา ตํ สามญฺญลกฺขณนฺติ วุจฺจติฯ

    Sarīsapāti ye keci dīghajātikā sarantā gacchanti. Tesaṃ samphassena ruppanaṃ āsīvisadaṭṭhakādīnaṃ vasena veditabbaṃ. Iti bhagavatā yāni imāni sāmaññapaccattavasena dhammānaṃ dve lakkhaṇāni, tesu rūpakkhandhassa tāva paccattalakkhaṇaṃ dassitaṃ. Rūpakkhandhasseva hi etaṃ, na vedanādīnaṃ , tasmā paccattalakkhaṇanti vuccati. Aniccadukkhānattalakkhaṇaṃ pana vedanādīnampi hoti, tasmā taṃ sāmaññalakkhaṇanti vuccati.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, เวทนํ วเทถาติอาทีสุ ปุริมสทิสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ยํ ปน ปุริเมน อสทิสํ, ตสฺสายํ วิภาวนา – สุขมฺปิ เวทยตีติ สุขํ อารมฺมณํ เวเทติ อนุภวติฯ ปรโต ปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ กถํ ปเนตํ อารมฺมณํ สุขํ ทุกฺขํ อทุกฺขมสุขํ นาม ชาตนฺติ? สุขาทีนํ ปจฺจยโตฯ สฺวายมโตฺถ ‘‘ยสฺมา จ โข, มหาลิ, รูปํ สุขํ สุขานุปติตํ สุขาวกฺกนฺต’’นฺติ อิมสฺมิํ มหาลิสุเตฺต (สํ. นิ. ๓.๖๐) อาคโตเยวฯ เวทยตีติ เอตฺถ จ เวทนาว เวทยติ, น อโญฺญ สโตฺต วา ปุคฺคโล วาฯ เวทนา หิ เวทยิตลกฺขณา, ตสฺมา วตฺถารมฺมณํ ปฎิจฺจ เวทนาว เวทยตีติฯ เอวมิธ ภควา เวทนายปิ ปจฺจตฺตลกฺขณเมว ภาเชตฺวา ทเสฺสสิฯ

    Kiñca, bhikkhave, vedanaṃ vadethātiādīsu purimasadisaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Yaṃ pana purimena asadisaṃ, tassāyaṃ vibhāvanā – sukhampi vedayatīti sukhaṃ ārammaṇaṃ vedeti anubhavati. Parato padadvayepi eseva nayo. Kathaṃ panetaṃ ārammaṇaṃ sukhaṃ dukkhaṃ adukkhamasukhaṃ nāma jātanti? Sukhādīnaṃ paccayato. Svāyamattho ‘‘yasmā ca kho, mahāli, rūpaṃ sukhaṃ sukhānupatitaṃ sukhāvakkanta’’nti imasmiṃ mahālisutte (saṃ. ni. 3.60) āgatoyeva. Vedayatīti ettha ca vedanāva vedayati, na añño satto vā puggalo vā. Vedanā hi vedayitalakkhaṇā, tasmā vatthārammaṇaṃ paṭicca vedanāva vedayatīti. Evamidha bhagavā vedanāyapi paccattalakkhaṇameva bhājetvā dassesi.

    นีลมฺปิ สญฺชานาตีติ นีลปุเปฺผ วา วเตฺถ วา ปริกมฺมํ กตฺวา อุปจารํ วา อปฺปนํ วา ปาเปโนฺต สญฺชานาติฯ อยญฺหิ สญฺญา นาม ปริกมฺมสญฺญาปิ อุปจารสญฺญาปิ อปฺปนาสญฺญาปิ วฎฺฎติ, นีลํ นีลนฺติ อุปฺปชฺชนสญฺญาปิ วฎฺฎติเยวฯ ปีตกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อิธาปิ ภควา สญฺชานนลกฺขณาย สญฺญาย ปจฺจตฺตลกฺขณเมว ภาเชตฺวา ทเสฺสสิฯ

    Nīlampi sañjānātīti nīlapupphe vā vatthe vā parikammaṃ katvā upacāraṃ vā appanaṃ vā pāpento sañjānāti. Ayañhi saññā nāma parikammasaññāpi upacārasaññāpi appanāsaññāpi vaṭṭati, nīlaṃ nīlanti uppajjanasaññāpi vaṭṭatiyeva. Pītakādīsupi eseva nayo. Idhāpi bhagavā sañjānanalakkhaṇāya saññāya paccattalakkhaṇameva bhājetvā dassesi.

    รูปํ รูปตฺตาย สงฺขตมภิสงฺขโรนฺตีติ ยถา ยาคุเมว ยาคุตฺตาย, ปูวเมว ปูวตฺตาย ปจติ นาม, เอวํ ปจฺจเยหิ สมาคนฺตฺวา กตภาเวน สงฺขตนฺติ ลทฺธนามํ รูปเมว รูปตฺตาย ยถา อภิสงฺขตํ รูปํ นาม โหติ, ตถตฺตาย รูปภาวาย อภิสงฺขโรติ อายูหติ สมฺปิเณฺฑติ, นิปฺผาเทตีติ อโตฺถฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – อตฺตนา สห ชายมานํ รูปํ สมฺปยุเตฺต จ เวทนาทโย ธเมฺม อภิสงฺขโรติ นิพฺพเตฺตตีติฯ อิธาปิ ภควา เจตยิตลกฺขณสฺส สงฺขารสฺส ปจฺจตฺตลกฺขณเมว ภาเชตฺวา ทเสฺสสิฯ

    Rūpaṃ rūpattāya saṅkhatamabhisaṅkharontīti yathā yāgumeva yāguttāya, pūvameva pūvattāya pacati nāma, evaṃ paccayehi samāgantvā katabhāvena saṅkhatanti laddhanāmaṃ rūpameva rūpattāya yathā abhisaṅkhataṃ rūpaṃ nāma hoti, tathattāya rūpabhāvāya abhisaṅkharoti āyūhati sampiṇḍeti, nipphādetīti attho. Vedanādīsupi eseva nayo. Ayaṃ panettha saṅkhepo – attanā saha jāyamānaṃ rūpaṃ sampayutte ca vedanādayo dhamme abhisaṅkharoti nibbattetīti. Idhāpi bhagavā cetayitalakkhaṇassa saṅkhārassa paccattalakkhaṇameva bhājetvā dassesi.

    อมฺพิลมฺปิ วิชานาตีติ อมฺพอมฺพาฎกมาตุลุงฺคาทิอมฺพิลํ ‘‘อมฺพิล’’นฺติ วิชานาติฯ เอเสว นโย สพฺพปเทสุฯ อปิ เจตฺถ ติตฺตกนฺติ นิมฺพปโฎลาทินานปฺปการํ กฎุกนฺติ ปิปฺปลิมริจาทินานปฺปการํฯ มธุรนฺติ สปฺปิผาณิตาทินานปฺปการํ ฯ ขาริกนฺติ วาติงฺคณนาฬิเกร จตุรสฺสวลฺลิเวตฺตงฺกุราทินานปฺปการํฯ อขาริกนฺติ ยํ วา ตํ วา ผลชาตํ การปณฺณาทิมิสฺสกปณฺณํฯ โลณิกนฺติ โลณยาคุโลณมจฺฉโลณภตฺตาทินานปฺปการํฯ อโลณิกนฺติอโลณยาคุอโลณมจฺฉอโลณภตฺตาทินานปฺปการํฯ ตสฺมา วิญฺญาณนฺติ วุจฺจตีติ ยสฺมา อิมํ อมฺพิลาทิเภทํ อญฺญมญฺญวิสิเฎฺฐน อมฺพิลาทิภาเวน ชานาติ, ตสฺมา วิญฺญาณนฺติ วุจฺจตีติฯ เอวมิธาปิ ภควา วิชานนลกฺขณสฺส วิญฺญาณสฺส ปจฺจตฺตลกฺขณเมว ภาเชตฺวา ทเสฺสสิฯ

    Ambilampivijānātīti ambaambāṭakamātuluṅgādiambilaṃ ‘‘ambila’’nti vijānāti. Eseva nayo sabbapadesu. Api cettha tittakanti nimbapaṭolādinānappakāraṃ kaṭukanti pippalimaricādinānappakāraṃ. Madhuranti sappiphāṇitādinānappakāraṃ . Khārikanti vātiṅgaṇanāḷikera caturassavallivettaṅkurādinānappakāraṃ. Akhārikanti yaṃ vā taṃ vā phalajātaṃ kārapaṇṇādimissakapaṇṇaṃ. Loṇikanti loṇayāguloṇamacchaloṇabhattādinānappakāraṃ. Aloṇikantialoṇayāgualoṇamacchaaloṇabhattādinānappakāraṃ. Tasmā viññāṇanti vuccatīti yasmā imaṃ ambilādibhedaṃ aññamaññavisiṭṭhena ambilādibhāvena jānāti, tasmā viññāṇanti vuccatīti. Evamidhāpi bhagavā vijānanalakkhaṇassa viññāṇassa paccattalakkhaṇameva bhājetvā dassesi.

    ยสฺมา ปน อารมฺมณสฺส อาการสณฺฐานคหณวเสน สญฺญา ปากฎา โหติ, ตสฺมา สา จกฺขุทฺวาเร วิภตฺตาฯ ยสฺมา วินาปิ อาการสณฺฐานา อารมฺมณสฺส ปจฺจตฺตเภทคหณวเสน วิญฺญาณํ ปากฎํ โหติ, ตสฺมา ตํ ชิวฺหาทฺวาเร วิภตฺตํฯ อิเมสํ ปน สญฺญาวิญฺญาณปญฺญานํ อสโมฺมหโต สภาวสลฺลกฺขณตฺถํ สญฺชานาติ, วิชานาติ, ปชานาตีติ เอตฺถ วิเสสา เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ อุปสคฺคมตฺตเมว วิเสโส, ชานาตีติ ปทํ ปน อวิเสโสฯ ตสฺสปิ ชานนเฎฺฐน วิเสโส เวทิตโพฺพฯ สญฺญา หิ นีลาทิวเสน อารมฺมณสญฺชานนมตฺตเมว, อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตาติ ลกฺขณปฎิเวธํ ปาเปตุํ น สโกฺกติฯ วิญฺญาณํ นีลาทิวเสน อารมฺมณเญฺจว ชานาติ, อนิจฺจาทิวเสน ลกฺขณปฎิเวธญฺจ ปาเปติ, อุสฺสกฺกิตฺวา ปน มคฺคปาตุภาวํ ปาเปตุํ น สโกฺกติฯ ปญฺญา นีลาทิวเสน อารมฺมณมฺปิ ชานาติ, อนิจฺจาทิวเสน ลกฺขณปฎิเวธมฺปิ ปาเปติ, อุสฺสกฺกิตฺวา มคฺคปาตุภาวมฺปิ ปาเปติฯ

    Yasmā pana ārammaṇassa ākārasaṇṭhānagahaṇavasena saññā pākaṭā hoti, tasmā sā cakkhudvāre vibhattā. Yasmā vināpi ākārasaṇṭhānā ārammaṇassa paccattabhedagahaṇavasena viññāṇaṃ pākaṭaṃ hoti, tasmā taṃ jivhādvāre vibhattaṃ. Imesaṃ pana saññāviññāṇapaññānaṃ asammohato sabhāvasallakkhaṇatthaṃ sañjānāti, vijānāti, pajānātīti ettha visesā veditabbā. Tattha upasaggamattameva viseso, jānātīti padaṃ pana aviseso. Tassapi jānanaṭṭhena viseso veditabbo. Saññā hi nīlādivasena ārammaṇasañjānanamattameva, aniccaṃ dukkhamanattāti lakkhaṇapaṭivedhaṃ pāpetuṃ na sakkoti. Viññāṇaṃ nīlādivasena ārammaṇañceva jānāti, aniccādivasena lakkhaṇapaṭivedhañca pāpeti, ussakkitvā pana maggapātubhāvaṃ pāpetuṃ na sakkoti. Paññā nīlādivasena ārammaṇampi jānāti, aniccādivasena lakkhaṇapaṭivedhampi pāpeti, ussakkitvā maggapātubhāvampi pāpeti.

    ยถา หิ เหรญฺญิกผลเก กหาปณราสิมฺหิ กเต อชาตพุทฺธิทารโก คามิกปุริโส มหาเหรญฺญิโกติ ตีสุ ชเนสุ โอโลเกตฺวา ฐิเตสุ อชาตพุทฺธิทารโก กหาปณานํ จิตฺตวิจิตฺตจตุรสฺสมณฺฑลาทิภาวเมว ชานาติ, ‘‘อิทํ มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ รตนสมฺมต’’นฺติ น ชานาติฯ คามิกปุริโส จิตฺตาทิภาวญฺจ ชานาติ, มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภครตนสมฺมตภาวญฺจ, ‘‘อยํ กูโฎ, อยํ เฉโก, อยํ กรโฎ, อยํ สโณฺห’’ติ น ชานาติฯ มหาเหรญฺญิโก จิตฺตาทิภาวมฺปิ รตนสมฺมตภาวมฺปิ กูฎาทิภาวมฺปิ ชานาติฯ ชานโนฺต จ ปน รูปํ ทิสฺวาปิ สทฺทํ สุตฺวาปิ คนฺธํ ฆายิตฺวาปิ รสํ สายิตฺวาปิ หเตฺถน ครุลหุภาวํ อุปธาเรตฺวาปิ ‘‘อสุกคาเม กโต’’ติปิ ชานาติ, ‘‘อสุกนิคเม อสุกนคเร อสุกปพฺพตจฺฉายาย อสุกนทีตีเร กโต’’ติปิ, ‘‘อสุกาจริเยน กโต’’ติปิ ชานาติฯ เอวเมว สญฺญา อชาตพุทฺธิทารกสฺส กหาปณทสฺสนํ วิย นีลาทิวเสน อารมฺมณมตฺตเมว ชานาติฯ วิญฺญาณํ คามิกปุริสสฺส กหาปณทสฺสนํ วิย นีลาทิวเสน อารมฺมณมฺปิ ชานาติ, อนิจฺจาทิวเสน ลกฺขณปฎิเวธมฺปิ ปาเปติฯ ปญฺญา มหาเหรญฺญิกสฺส กหาปณทสฺสนํ วิย นีลาทิวเสน อารมฺมณมฺปิ ชานาติ, อนิจฺจาทิวเสน ลกฺขณปฎิเวธมฺปิ ปาเปติ, อุสฺสกฺกิตฺวา มคฺคปาตุภาวมฺปิ ปาเปติฯ

    Yathā hi heraññikaphalake kahāpaṇarāsimhi kate ajātabuddhidārako gāmikapuriso mahāheraññikoti tīsu janesu oloketvā ṭhitesu ajātabuddhidārako kahāpaṇānaṃ cittavicittacaturassamaṇḍalādibhāvameva jānāti, ‘‘idaṃ manussānaṃ upabhogaparibhogaṃ ratanasammata’’nti na jānāti. Gāmikapuriso cittādibhāvañca jānāti, manussānaṃ upabhogaparibhogaratanasammatabhāvañca, ‘‘ayaṃ kūṭo, ayaṃ cheko, ayaṃ karaṭo, ayaṃ saṇho’’ti na jānāti. Mahāheraññiko cittādibhāvampi ratanasammatabhāvampi kūṭādibhāvampi jānāti. Jānanto ca pana rūpaṃ disvāpi saddaṃ sutvāpi gandhaṃ ghāyitvāpi rasaṃ sāyitvāpi hatthena garulahubhāvaṃ upadhāretvāpi ‘‘asukagāme kato’’tipi jānāti, ‘‘asukanigame asukanagare asukapabbatacchāyāya asukanadītīre kato’’tipi, ‘‘asukācariyena kato’’tipi jānāti. Evameva saññā ajātabuddhidārakassa kahāpaṇadassanaṃ viya nīlādivasena ārammaṇamattameva jānāti. Viññāṇaṃ gāmikapurisassa kahāpaṇadassanaṃ viya nīlādivasena ārammaṇampi jānāti, aniccādivasena lakkhaṇapaṭivedhampi pāpeti. Paññā mahāheraññikassa kahāpaṇadassanaṃ viya nīlādivasena ārammaṇampi jānāti, aniccādivasena lakkhaṇapaṭivedhampi pāpeti, ussakkitvā maggapātubhāvampi pāpeti.

    โส ปน เนสํ วิเสโส ทุปฺปฎิวิโชฺฌฯ เตนาห อายสฺมา นาคเสโน –

    So pana nesaṃ viseso duppaṭivijjho. Tenāha āyasmā nāgaseno –

    ‘‘ทุกฺกรํ, มหาราช, ภควตา กตนฺติฯ กิํ, ภเนฺต นาคเสน, ภควตา ทุกฺกรํ กตนฺติ? ทุกฺกรํ, มหาราช, ภควตา กตํ, อิเมสํ อรูปีนํ จิตฺตเจตสิกานํ ธมฺมานํ เอการมฺมเณ วตฺตมานานํ ววตฺถานํ อกฺขาตํ ‘อยํ ผโสฺส, อยํ เวทนา, อยํ สญฺญา, อยํ เจตนา, อิทํ จิตฺต’’’นฺติ (มิ. ป. ๒.๗.๑๖)ฯ

    ‘‘Dukkaraṃ, mahārāja, bhagavatā katanti. Kiṃ, bhante nāgasena, bhagavatā dukkaraṃ katanti? Dukkaraṃ, mahārāja, bhagavatā kataṃ, imesaṃ arūpīnaṃ cittacetasikānaṃ dhammānaṃ ekārammaṇe vattamānānaṃ vavatthānaṃ akkhātaṃ ‘ayaṃ phasso, ayaṃ vedanā, ayaṃ saññā, ayaṃ cetanā, idaṃ citta’’’nti (mi. pa. 2.7.16).

    ยถา หิ ติลเตลํ สาสปเตลํ มธุกเตลํ เอรณฺฑกเตลํ วสาเตลนฺติ อิมานิ ปญฺจ เตลานิ เอกจาฎิยํ ปกฺขิปิตฺวา ทิวสํ ยมกมเนฺถ หิ มเนฺถตฺวา ตโต ‘‘อิทํ ติลเตลํ, อิทํ สาสปเตล’’นฺติ เอเกกสฺส ปาฎิเยกฺกํ อุทฺธรณํ นาม ทุกฺกรํ, อิทํ ตโต ทุกฺกรตรํฯ ภควา ปน สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา ธมฺมิสฺสโร ธมฺมราชา อิเมสํ อรูปีนํ ธมฺมานํ เอการมฺมเณ วตฺตมานานํ ววตฺถานํ อกาสิฯ ปญฺจนฺนํ มหานทีนํ สมุทฺทํ ปวิฎฺฐฎฺฐาเน ‘‘อิทํ คงฺคาย อุทกํ, อิทํ ยมุนายา’’ติ เอวํ ปาฎิเยกฺกํ อุทกุทฺธรเณนาปิ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Yathā hi tilatelaṃ sāsapatelaṃ madhukatelaṃ eraṇḍakatelaṃ vasātelanti imāni pañca telāni ekacāṭiyaṃ pakkhipitvā divasaṃ yamakamanthe hi manthetvā tato ‘‘idaṃ tilatelaṃ, idaṃ sāsapatela’’nti ekekassa pāṭiyekkaṃ uddharaṇaṃ nāma dukkaraṃ, idaṃ tato dukkarataraṃ. Bhagavā pana sabbaññutaññāṇassa suppaṭividdhattā dhammissaro dhammarājā imesaṃ arūpīnaṃ dhammānaṃ ekārammaṇe vattamānānaṃ vavatthānaṃ akāsi. Pañcannaṃ mahānadīnaṃ samuddaṃ paviṭṭhaṭṭhāne ‘‘idaṃ gaṅgāya udakaṃ, idaṃ yamunāyā’’ti evaṃ pāṭiyekkaṃ udakuddharaṇenāpi ayamattho veditabbo.

    อิติ ปฐมปเพฺพน สุญฺญตํ, ทุติเยน สุญฺญตาลกฺขณนฺติ ทฺวีหิ ปเพฺพหิ อนตฺตลกฺขณํ กเถตฺวา อิทานิ ทุกฺขลกฺขณํ ทเสฺสตุํ ตตฺร, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ ขชฺชามีติ น รูปํ สุนโข วิย มํสํ ลุญฺจิตฺวา ลุญฺจิตฺวา ขาทติ, ยถา ปน กิลิฎฺฐวตฺถนิวโตฺถ ตโตนิทานํ ปีฬํ สนฺธาย ‘‘ขาทติ มํ วตฺถ’’นฺติ ภณติ, เอวมิทมฺปิ ปีฬํ อุปฺปาเทนฺตํ ขาทติ นามาติ เวทิตพฺพํฯ ปฎิปโนฺน โหตีติ สีลํ อาทิํ กตฺวา ยาว อรหตฺตมคฺคา ปฎิปโนฺน โหติฯ โย ปเนตฺถ พลวญาโณ ติกฺขพุทฺธิ ญาณุตฺตโร โยคาวจโร ปธานภูมิยํ วายมโนฺต ขาณุนา วา กณฺฎเกน วา วิโทฺธ อาวุเธน วา ปหโฎ พฺยคฺฆาทีหิ วา คเหตฺวา ขชฺชมาโน ตํ เวทนํ อโพฺพหาริกํ กตฺวา มูลกมฺมฎฺฐานํ สมฺมสโนฺต อรหตฺตเมว คณฺหาติ, อยํ เวทนาย นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย ปฎิปโนฺน นาม วุจฺจติ ปีตมลฺลเตฺถโร วิย กุฎุมฺพิยปุตฺตมหาติสฺสเตฺถโร วิย วตฺตนิอฎวิยํ ติํสมตฺตานํ ภิกฺขูนํ อญฺญตโร พฺยคฺฆมุเข นิปนฺนภิกฺขุ วิย กณฺฎเกน วิทฺธเตฺถโร วิย จฯ

    Iti paṭhamapabbena suññataṃ, dutiyena suññatālakkhaṇanti dvīhi pabbehi anattalakkhaṇaṃ kathetvā idāni dukkhalakkhaṇaṃ dassetuṃ tatra, bhikkhavetiādimāha. Tattha khajjāmīti na rūpaṃ sunakho viya maṃsaṃ luñcitvā luñcitvā khādati, yathā pana kiliṭṭhavatthanivattho tatonidānaṃ pīḷaṃ sandhāya ‘‘khādati maṃ vattha’’nti bhaṇati, evamidampi pīḷaṃ uppādentaṃ khādati nāmāti veditabbaṃ. Paṭipanno hotīti sīlaṃ ādiṃ katvā yāva arahattamaggā paṭipanno hoti. Yo panettha balavañāṇo tikkhabuddhi ñāṇuttaro yogāvacaro padhānabhūmiyaṃ vāyamanto khāṇunā vā kaṇṭakena vā viddho āvudhena vā pahaṭo byagghādīhi vā gahetvā khajjamāno taṃ vedanaṃ abbohārikaṃ katvā mūlakammaṭṭhānaṃ sammasanto arahattameva gaṇhāti, ayaṃ vedanāya nibbidāya virāgāya nirodhāya paṭipanno nāma vuccati pītamallatthero viya kuṭumbiyaputtamahātissatthero viya vattaniaṭaviyaṃ tiṃsamattānaṃ bhikkhūnaṃ aññataro byagghamukhe nipannabhikkhu viya kaṇṭakena viddhatthero viya ca.

    ทฺวาทสสุ กิร ภิกฺขูสุ ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา อรเญฺญ ปธานมนุยุญฺชเนฺตสุ เอโก สูริเย อตฺถงฺคตมเตฺตเยว ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา จงฺกมํ โอรุยฺห จงฺกมโนฺต ติริยํ นิมฺมเถโนฺต ติณปฎิจฺฉนฺนํ กณฺฎกํ อกฺกมิฯ กณฺฎโก ปิฎฺฐิปาเทน นิกฺขโนฺตฯ ตตฺตผาเลน วินิวิทฺธกาโล วิย เวทนา วตฺตติฯ เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ อิมํ กณฺฎกํ อุทฺธรามิ, อุทาหุ ปกติยา วิชฺฌิตฺวา ฐิตกณฺฎก’’นฺติ? ตสฺส เอวมโหสิ – ‘‘อิมินา กณฺฎเกน วิทฺธตฺตา นิรยาทีสุ ภยํ นาม นตฺถิ, ปกติยา วิชฺฌิตฺวา ฐิตกณฺฎกํเยวา’’ติฯ โส ตํ เวทนํ อโพฺพหาริกํ กตฺวา สพฺพรตฺติํ จงฺกมิตฺวา วิภาตาย รตฺติยา อญฺญสฺส สญฺญํ อทาสิฯ โส อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต’’ติ ปุจฺฉิ? ‘‘กณฺฎเกนมฺหิ, อาวุโส, วิโทฺธ’’ติฯ ‘‘กาย เวลาย, ภเนฺต’’ติ? ‘‘สายเมว, อาวุโส’’ติฯ ‘‘กสฺมา น อเมฺห ปโกฺกสิตฺถ, กณฺฎกํ อุทฺธริตฺวา ตตฺถ เตลมฺปิ สิเญฺจยฺยามา’’ติ? ‘‘ปกติยา วิชฺฌิตฺวา ฐิตกณฺฎกเมว อุทฺธริตุํ วายมิมฺหา, อาวุโส’’ติฯ ‘‘สกฺกุณิตฺถ, ภเนฺต, อุทฺธริตุ’’นฺติฯ ‘‘เอกเทสมเตฺตน เม, อาวุโส, อุทฺธโฎ’’ติฯ เสสวตฺถูนิ ทีฆมชฺฌิมฎฺฐกถาสุ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๗๓; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๐๖) สติปฎฺฐานสุตฺตนิเทฺทเส วิตฺถาริตาเนวฯ

    Dvādasasu kira bhikkhūsu ghaṇṭiṃ paharitvā araññe padhānamanuyuñjantesu eko sūriye atthaṅgatamatteyeva ghaṇṭiṃ paharitvā caṅkamaṃ oruyha caṅkamanto tiriyaṃ nimmathento tiṇapaṭicchannaṃ kaṇṭakaṃ akkami. Kaṇṭako piṭṭhipādena nikkhanto. Tattaphālena vinividdhakālo viya vedanā vattati. Thero cintesi – ‘‘kiṃ imaṃ kaṇṭakaṃ uddharāmi, udāhu pakatiyā vijjhitvā ṭhitakaṇṭaka’’nti? Tassa evamahosi – ‘‘iminā kaṇṭakena viddhattā nirayādīsu bhayaṃ nāma natthi, pakatiyā vijjhitvā ṭhitakaṇṭakaṃyevā’’ti. So taṃ vedanaṃ abbohārikaṃ katvā sabbarattiṃ caṅkamitvā vibhātāya rattiyā aññassa saññaṃ adāsi. So āgantvā ‘‘kiṃ, bhante’’ti pucchi? ‘‘Kaṇṭakenamhi, āvuso, viddho’’ti. ‘‘Kāya velāya, bhante’’ti? ‘‘Sāyameva, āvuso’’ti. ‘‘Kasmā na amhe pakkosittha, kaṇṭakaṃ uddharitvā tattha telampi siñceyyāmā’’ti? ‘‘Pakatiyā vijjhitvā ṭhitakaṇṭakameva uddharituṃ vāyamimhā, āvuso’’ti. ‘‘Sakkuṇittha, bhante, uddharitu’’nti. ‘‘Ekadesamattena me, āvuso, uddhaṭo’’ti. Sesavatthūni dīghamajjhimaṭṭhakathāsu (dī. ni. aṭṭha. 2.373; ma. ni. aṭṭha. 1.106) satipaṭṭhānasuttaniddese vitthāritāneva.

    ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเวติ กสฺมา อารทฺธํ? อิมสฺมิํ ปเพฺพ ทุกฺขลกฺขณเมว กถิตํ, น อนิจฺจลกฺขณํฯ ตํ ทเสฺสตุํ อิทมารทฺธํฯ ตีณิ ลกฺขณานิ สโมธาเนตฺวา ทเสฺสตุมฺปิ อารทฺธเมวฯ อปจินาติ โน อาจินาตีติ วฎฺฎํ วินาเสติ, เนว จินาติฯ ปชหติ น อุปาทิยตีติ ตเทว วิสฺสเชฺชติ, น คณฺหาติฯ วิสิเนติ น อุสฺสิเนตีติ วิกิรติ น สมฺปิเณฺฑติฯ วิธูเปติ น สนฺธูเปตีติ นิพฺพาเปติ น ชาลาเปติฯ

    Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhaveti kasmā āraddhaṃ? Imasmiṃ pabbe dukkhalakkhaṇameva kathitaṃ, na aniccalakkhaṇaṃ. Taṃ dassetuṃ idamāraddhaṃ. Tīṇi lakkhaṇāni samodhānetvā dassetumpi āraddhameva. Apacināti no ācinātīti vaṭṭaṃ vināseti, neva cināti. Pajahati na upādiyatīti tadeva vissajjeti, na gaṇhāti. Visineti na ussinetīti vikirati na sampiṇḍeti. Vidhūpeti na sandhūpetīti nibbāpeti na jālāpeti.

    เอวํ ปสฺสํ, ภิกฺขเวติ อิทํ กสฺมา อารทฺธํ? วฎฺฎํ วินาเสตฺวา ฐิตํ มหาขีณาสวํ ทเสฺสสฺสามีติ อารทฺธํฯ เอตฺตเกน วา ฐาเนน วิปสฺสนา กถิตา, อิทานิ สห วิปสฺสนาย จตฺตาโร มเคฺค ทเสฺสตุํ อิทํ อารทฺธํฯ อถ วา เอตฺตเกน ฐาเนน ปฐมมโคฺค กถิโต, อิทานิ สห วิปสฺสนาย ตโย มเคฺค ทเสฺสตุํ อิทมารทฺธํฯ เอตฺตเกน วา ฐาเนน ตีณิ มคฺคานิ กถิตานิ, อิทานิ สห วิปสฺสนาย อรหตฺตมคฺคํ ทเสฺสตุมฺปิ อิทํ อารทฺธเมวฯ

    Evaṃ passaṃ, bhikkhaveti idaṃ kasmā āraddhaṃ? Vaṭṭaṃ vināsetvā ṭhitaṃ mahākhīṇāsavaṃ dassessāmīti āraddhaṃ. Ettakena vā ṭhānena vipassanā kathitā, idāni saha vipassanāya cattāro magge dassetuṃ idaṃ āraddhaṃ. Atha vā ettakena ṭhānena paṭhamamaggo kathito, idāni saha vipassanāya tayo magge dassetuṃ idamāraddhaṃ. Ettakena vā ṭhānena tīṇi maggāni kathitāni, idāni saha vipassanāya arahattamaggaṃ dassetumpi idaṃ āraddhameva.

    สปชาปติกาติ สทฺธิํ ปชาปตินา เทวราเชนฯ อารกาว นมสฺสนฺตีติ ทูรโตว นมสฺสนฺติ, ทูเรปิ ฐิตํ นมสฺสนฺติเยว อายสฺมนฺตํ นีตเตฺถรํ วิยฯ

    Sapajāpatikāti saddhiṃ pajāpatinā devarājena. Ārakāva namassantīti dūratova namassanti, dūrepi ṭhitaṃ namassantiyeva āyasmantaṃ nītattheraṃ viya.

    เถโร กิร ปุปฺผจฺฉฑฺฑกกุลโต นิกฺขมฺม ปพฺพชิโต, ขุรเคฺคเยว อรหตฺตํ ปตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อเชฺชว ปพฺพชิโต อเชฺชว เม ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺตํ, จตุปจฺจยสโนฺตสภาวนารามมณฺฑิตํ มหาอริยวํสปฎิปทํ ปูเรสฺสามี’’ติฯ โส ปํสุกูลตฺถาย สาวตฺถิํ ปวิสิตฺวา โจฬกํ ปริเยสโนฺต วิจริฯ อเถโก มหาพฺรหฺมา สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย มนุสฺสปถํ โอโลเกโนฺต เถรํ ทิสฺวา – ‘‘อเชฺชว ปพฺพชิตฺวา อเชฺชว ขุรเคฺค อรหตฺตํ ปตฺวา มหาอริยวํสปฎิปทํ ปูเรตุํ โจฬกํ ปริเยสตี’’ติ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห นมสฺสมาโน อฎฺฐาสิฯ ตมโญฺญ มหาพฺรหฺมา ทิสฺวา ‘‘กํ นมสฺสสี’’ติ? ปุจฺฉิฯ นีตเตฺถรํ นมสฺสามีติฯ กิํ การณาติ? อเชฺชว ปพฺพชิตฺวา อเชฺชว ขุรเคฺค อรหตฺตํ ปตฺวา มหาอริยวํสปฎิปทํ ปูเรตุํ โจฬกํ ปริเยสตีติฯ โสปิ นํ นมสฺสมาโน อฎฺฐาสิฯ อถโญฺญ, อถโญฺญติ สตฺตสตา มหาพฺรหฺมาโน นมสฺสมานา อฎฺฐํสุฯ เตน วุตฺตํ –

    Thero kira pupphacchaḍḍakakulato nikkhamma pabbajito, khuraggeyeva arahattaṃ patvā cintesi – ‘‘ahaṃ ajjeva pabbajito ajjeva me pabbajitakiccaṃ matthakaṃ pattaṃ, catupaccayasantosabhāvanārāmamaṇḍitaṃ mahāariyavaṃsapaṭipadaṃ pūressāmī’’ti. So paṃsukūlatthāya sāvatthiṃ pavisitvā coḷakaṃ pariyesanto vicari. Atheko mahābrahmā samāpattito vuṭṭhāya manussapathaṃ olokento theraṃ disvā – ‘‘ajjeva pabbajitvā ajjeva khuragge arahattaṃ patvā mahāariyavaṃsapaṭipadaṃ pūretuṃ coḷakaṃ pariyesatī’’ti añjaliṃ paggayha namassamāno aṭṭhāsi. Tamañño mahābrahmā disvā ‘‘kaṃ namassasī’’ti? Pucchi. Nītattheraṃ namassāmīti. Kiṃ kāraṇāti? Ajjeva pabbajitvā ajjeva khuragge arahattaṃ patvā mahāariyavaṃsapaṭipadaṃ pūretuṃ coḷakaṃ pariyesatīti. Sopi naṃ namassamāno aṭṭhāsi. Athañño, athaññoti sattasatā mahābrahmāno namassamānā aṭṭhaṃsu. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ตา เทวตา สตฺตสตา อุฬารา,

    ‘‘Tā devatā sattasatā uḷārā,

    พฺรหฺมา วิมานา อภินิกฺขมิตฺวา;

    Brahmā vimānā abhinikkhamitvā;

    นีตํ นมสฺสนฺติ ปสนฺนจิตฺตา,

    Nītaṃ namassanti pasannacittā,

    ‘ขีณาสโว คณฺหติ ปํสุกูลํ’’’ฯ

    ‘Khīṇāsavo gaṇhati paṃsukūlaṃ’’’.

    ‘‘ตา เทวตา สตฺตสตา อุฬารา,

    ‘‘Tā devatā sattasatā uḷārā,

    พฺรหฺมา วิมานา อภินิกฺขมิตฺวา;

    Brahmā vimānā abhinikkhamitvā;

    นีตํ นมสฺสนฺติ ปสนฺนจิตฺตา,

    Nītaṃ namassanti pasannacittā,

    ‘ขีณาสโว กยิรติ ปํสุกูลํ’’’ฯ

    ‘Khīṇāsavo kayirati paṃsukūlaṃ’’’.

    ‘‘‘ขีณาสโว โธวติ ปํสุกูลํ’;

    ‘‘‘Khīṇāsavo dhovati paṃsukūlaṃ’;

    ‘ขีณาสโว รชติ ปํสุกูลํ’;

    ‘Khīṇāsavo rajati paṃsukūlaṃ’;

    ‘ขีณาสโว ปารุปติ ปํสกูล’’’นฺติฯ

    ‘Khīṇāsavo pārupati paṃsakūla’’’nti.

    อิติ ภควา อิมสฺมิํ สุเตฺต เทสนํ ตีหิ ภเวหิ วินิวเตฺตตฺวา อรหตฺตสฺส กูฎํ คณฺหิฯ เทสนาปริโยสาเน ปญฺจสตา ภิกฺขู อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุฯ สตฺตมํฯ

    Iti bhagavā imasmiṃ sutte desanaṃ tīhi bhavehi vinivattetvā arahattassa kūṭaṃ gaṇhi. Desanāpariyosāne pañcasatā bhikkhū arahatte patiṭṭhahiṃsu. Sattamaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๗. ขชฺชนียสุตฺตํ • 7. Khajjanīyasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๗. ขชฺชนียสุตฺตวณฺณนา • 7. Khajjanīyasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact