Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๐๓] ๓. ขนฺธชาตกวณฺณนา

    [203] 3. Khandhajātakavaṇṇanā

    วิรูปเกฺขหิ เม เมตฺตนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตํ กิร ชนฺตาฆรทฺวาเร กฎฺฐานิ ผาเลนฺตํ ปูติรุกฺขนฺตรา นิกฺขมิตฺวา เอโก สโปฺป ปาทงฺคุลิยํ ฑํสิ, โส ตเตฺถว มโตฯ ตสฺส มตภาโว สกลวิหาเร ปากโฎ อโหสิฯ ธมฺมสภายํ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อสุโก กิร ภิกฺขุ ชนฺตาฆรทฺวาเร กฎฺฐานิ ผาเลโนฺต สเปฺปน ทโฎฺฐ ตเตฺถว มโต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘สเจ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ จตฺตาริ อหิราชกุลานิ อารพฺภ เมตฺตํ อภาวยิสฺส, น นํ สโปฺป ฑํเสยฺยฯ โปราณกตาปสาปิ อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ จตูสุ อหิราชกุเลสุ เมตฺตํ ภาเวตฺวา ตานิ อหิราชกุลานิ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนกภยโต มุจฺจิํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Virūpakkhehi me mettanti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Taṃ kira jantāgharadvāre kaṭṭhāni phālentaṃ pūtirukkhantarā nikkhamitvā eko sappo pādaṅguliyaṃ ḍaṃsi, so tattheva mato. Tassa matabhāvo sakalavihāre pākaṭo ahosi. Dhammasabhāyaṃ bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, asuko kira bhikkhu jantāgharadvāre kaṭṭhāni phālento sappena daṭṭho tattheva mato’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘sace so, bhikkhave, bhikkhu cattāri ahirājakulāni ārabbha mettaṃ abhāvayissa, na naṃ sappo ḍaṃseyya. Porāṇakatāpasāpi anuppanne buddhe catūsu ahirājakulesu mettaṃ bhāvetvā tāni ahirājakulāni nissāya uppajjanakabhayato mucciṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กาสิรเฎฺฐ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต กาเม ปหาย อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา หิมวนฺตปเทเส เอกสฺมิํ คงฺคานิวตฺตเน อสฺสมปทํ มาเปตฺวา ฌานกีฬํ กีฬโนฺต อิสิคณปริวุโต วิหาสิฯ ตทา คงฺคาตีเร นานปฺปการา ทีฆชาติกา อิสีนํ ปริปนฺถํ กโรนฺติ, เยภุเยฺยน อิสโย ชีวิตกฺขยํ ปาปุณนฺติฯ ตาปสา ตมตฺถํ โพธิสตฺตสฺส อาโรเจสุํฯ โพธิสโตฺต สเพฺพ ตาปเส สนฺนิปาตาเปตฺวา ‘‘สเจ ตุเมฺห จตูสุ อหิราชกุเลสุ เมตฺตํ ภาเวยฺยาถ, น โว สปฺปา ฑํเสยฺยุํ, ตสฺมา อิโต ปฎฺฐาย จตูสุ อหิราชกุเลสุ เอวํ เมตฺตํ ภาเวถา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kāsiraṭṭhe brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto kāme pahāya isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā himavantapadese ekasmiṃ gaṅgānivattane assamapadaṃ māpetvā jhānakīḷaṃ kīḷanto isigaṇaparivuto vihāsi. Tadā gaṅgātīre nānappakārā dīghajātikā isīnaṃ paripanthaṃ karonti, yebhuyyena isayo jīvitakkhayaṃ pāpuṇanti. Tāpasā tamatthaṃ bodhisattassa ārocesuṃ. Bodhisatto sabbe tāpase sannipātāpetvā ‘‘sace tumhe catūsu ahirājakulesu mettaṃ bhāveyyātha, na vo sappā ḍaṃseyyuṃ, tasmā ito paṭṭhāya catūsu ahirājakulesu evaṃ mettaṃ bhāvethā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๑๐๕.

    105.

    ‘‘วิรูปเกฺขหิ เม เมตฺตํ, เมตฺตํ เอราปเถหิ เม;

    ‘‘Virūpakkhehi me mettaṃ, mettaṃ erāpathehi me;

    ฉพฺยาปุเตฺตหิ เม เมตฺตํ, เมตฺตํ กณฺหาโคตมเกหิ จา’’ติฯ

    Chabyāputtehi me mettaṃ, mettaṃ kaṇhāgotamakehi cā’’ti.

    ตตฺถ วิรูปเกฺขหิ เม เมตฺตนฺติ วิรูปกฺขนาคราชกุเลหิ สทฺธิํ มยฺหํ เมตฺตํฯ เอราปถาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอตานิปิ หิ เอราปถนาคราชกุลํ ฉพฺยาปุตฺตนาคราชกุลํ กณฺหาโคตมกนาคราชกุลนฺติ นาคราชกุลาเนวฯ

    Tattha virūpakkhehi me mettanti virūpakkhanāgarājakulehi saddhiṃ mayhaṃ mettaṃ. Erāpathādīsupi eseva nayo. Etānipi hi erāpathanāgarājakulaṃ chabyāputtanāgarājakulaṃ kaṇhāgotamakanāgarājakulanti nāgarājakulāneva.

    เอวํ จตฺตาริ นาคราชกุลานิ ทเสฺสตฺวา ‘‘สเจ ตุเมฺห เอเตสุ เมตฺตํ ภาเวตุํ สกฺขิสฺสถ, ทีฆชาติกา โว น ฑํสิสฺสนฺติ น วิเหเฐสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Evaṃ cattāri nāgarājakulāni dassetvā ‘‘sace tumhe etesu mettaṃ bhāvetuṃ sakkhissatha, dīghajātikā vo na ḍaṃsissanti na viheṭhessantī’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ‘‘อปาทเกหิ เม เมตฺตํ, เมตฺตํ ทฺวิปาทเกหิ เม;

    ‘‘Apādakehi me mettaṃ, mettaṃ dvipādakehi me;

    จตุปฺปเทหิ เม เมตฺตํ, เมตฺตํ พหุปฺปเทหิ เม’’ติฯ

    Catuppadehi me mettaṃ, mettaṃ bahuppadehi me’’ti.

    ตตฺถ ปฐมปเทน โอทิสฺสกํ กตฺวา สเพฺพสุ อปาทเกสุ ทีฆชาติเกสุ เจว มเจฺฉสุ จ เมตฺตาภาวนา ทสฺสิตา, ทุติยปเทน มนุเสฺสสุ เจว ปกฺขิชาเตสุ จ, ตติยปเทน หตฺถิอสฺสาทีสุ สพฺพจตุปฺปเทสุ, จตุตฺถปเทน วิจฺฉิกสตปทิอุจฺจาลิงฺคปาณกมกฺกฎกาทีสุฯ

    Tattha paṭhamapadena odissakaṃ katvā sabbesu apādakesu dīghajātikesu ceva macchesu ca mettābhāvanā dassitā, dutiyapadena manussesu ceva pakkhijātesu ca, tatiyapadena hatthiassādīsu sabbacatuppadesu, catutthapadena vicchikasatapadiuccāliṅgapāṇakamakkaṭakādīsu.

    เอวํ สรูเปน เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อายาจนวเสน ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Evaṃ sarūpena mettābhāvanaṃ dassetvā idāni āyācanavasena dassento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘มา มํ อปาทโก หิํสิ, มา มํ หิํสิ ทฺวิปาทโก;

    ‘‘Mā maṃ apādako hiṃsi, mā maṃ hiṃsi dvipādako;

    มา มํ จตุปฺปโท หิํสิ, มา มํ หิํสิ พหุปฺปโท’’ติฯ

    Mā maṃ catuppado hiṃsi, mā maṃ hiṃsi bahuppado’’ti.

    ตตฺถ มา มนฺติ เอเตสุ อปาทกาทีสุ โกจิ เอโกปิ มา มํ หิํสตุ, มา วิเหเฐตูติ เอวํ อายาจนฺตา เมตฺตํ ภาเวถาติ อโตฺถฯ

    Tattha mā manti etesu apādakādīsu koci ekopi mā maṃ hiṃsatu, mā viheṭhetūti evaṃ āyācantā mettaṃ bhāvethāti attho.

    อิทานิ อโนทิสฺสกวเสน เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Idāni anodissakavasena mettābhāvanaṃ dassento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘สเพฺพ สตฺตา สเพฺพ ปาณา, สเพฺพ ภูตา จ เกวลา;

    ‘‘Sabbe sattā sabbe pāṇā, sabbe bhūtā ca kevalā;

    สเพฺพ ภทฺรานิ ปสฺสนฺตุ, มา กญฺจิ ปาปมาคมา’’ติฯ

    Sabbe bhadrāni passantu, mā kañci pāpamāgamā’’ti.

    ตตฺถ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน วเฎฺฎ ปญฺจสุ ขเนฺธสุ อาสตฺตา วิสตฺตา ลคฺคา ลคฺคิตาติ สตฺตา, อสฺสาสปสฺสาสปวตฺตนสงฺขาเตน ปาณนวเสน ปาณา, ภูตภาวิตนิพฺพตฺตนวเสน ภูตาติ เอวํ วจนมตฺตวิเสโส เวทิตโพฺพฯ อวิเสเสน ปน สพฺพานิเปตานิ ปทานิ สพฺพสตฺตสงฺคาหกาเนวฯ เกวลาติ สกลาฯ อิทํ สพฺพสทฺทเสฺสว หิ ปริยายวจนํฯ ภทฺรานิ ปสฺสนฺตูติ สเพฺพเปเต สตฺตา ภทฺรานิ สาธูนิ กลฺยาณาเนว ปสฺสนฺตุฯ มา กญฺจิ ปาปมาคมาติ เอเตสุ กญฺจิ เอกํ สตฺตมฺปิ ปาปํ ลามกํ ทุกฺขํ มา อาคมา, มา อาคจฺฉตุ มา ปาปุณาตุ, สเพฺพ อเวรา อพฺยาปชฺชา สุขี นิทฺทุกฺขา โหนฺตูติฯ

    Tattha taṇhādiṭṭhivasena vaṭṭe pañcasu khandhesu āsattā visattā laggā laggitāti sattā, assāsapassāsapavattanasaṅkhātena pāṇanavasena pāṇā, bhūtabhāvitanibbattanavasena bhūtāti evaṃ vacanamattaviseso veditabbo. Avisesena pana sabbānipetāni padāni sabbasattasaṅgāhakāneva. Kevalāti sakalā. Idaṃ sabbasaddasseva hi pariyāyavacanaṃ. Bhadrāni passantūti sabbepete sattā bhadrāni sādhūni kalyāṇāneva passantu. Mā kañci pāpamāgamāti etesu kañci ekaṃ sattampi pāpaṃ lāmakaṃ dukkhaṃ mā āgamā, mā āgacchatu mā pāpuṇātu, sabbe averā abyāpajjā sukhī niddukkhā hontūti.

    เอวํ ‘‘สพฺพสเตฺตสุ อโนทิสฺสกวเสน เมตฺตํ ภาเวถา’’ติ วตฺวา ปุน ติณฺณํ รตนานํ คุเณ อนุสฺสราเปตุํ –

    Evaṃ ‘‘sabbasattesu anodissakavasena mettaṃ bhāvethā’’ti vatvā puna tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇe anussarāpetuṃ –

    ๑๐๖.

    106.

    ‘‘อปฺปมาโณ พุโทฺธ, อปฺปมาโณ ธโมฺม;

    ‘‘Appamāṇo buddho, appamāṇo dhammo;

    อปฺปมาโณ สโงฺฆ’’ติ อาหฯ

    Appamāṇo saṅgho’’ti āha.

    ตตฺถ ปมาณกรานํ กิเลสานํ อภาเวน คุณานญฺจ ปมาณาภาเวน พุทฺธรตนํ อปฺปมาณํฯ ธโมฺมติ นววิโธ โลกุตฺตรธโมฺมฯ ตสฺสปิ ปมาณํ กาตุํ น สกฺกาติ อปฺปมาโณฯ เตน อปฺปมาเณน ธเมฺมน สมนฺนาคตตฺตา สโงฺฆปิ อปฺปมาโณ

    Tattha pamāṇakarānaṃ kilesānaṃ abhāvena guṇānañca pamāṇābhāvena buddharatanaṃ appamāṇaṃ. Dhammoti navavidho lokuttaradhammo. Tassapi pamāṇaṃ kātuṃ na sakkāti appamāṇo. Tena appamāṇena dhammena samannāgatattā saṅghopi appamāṇo.

    อิติ โพธิสโตฺต ‘‘อิเมสํ ติณฺณํ รตนานํ คุเณ อนุสฺสรถา’’ติ วตฺวา ติณฺณํ รตนานํ อปฺปมาณคุณตํ ทเสฺสตฺวา สปฺปมาเณ สเตฺต ทเสฺสตุํ –

    Iti bodhisatto ‘‘imesaṃ tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇe anussarathā’’ti vatvā tiṇṇaṃ ratanānaṃ appamāṇaguṇataṃ dassetvā sappamāṇe satte dassetuṃ –

    ‘‘ปมาณวนฺตานิ สรีสปานิ, อหิ วิจฺฉิก สตปที;

    ‘‘Pamāṇavantāni sarīsapāni, ahi vicchika satapadī;

    อุณฺณนาภิ สรพู มูสิกา’’ติ อาหฯ

    Uṇṇanābhi sarabū mūsikā’’ti āha.

    ตตฺถ สรีสปานีติ สปฺปทีฆชาติกานํ นามํฯ เต หิ สรนฺตา คจฺฉนฺติ, สิเรน วา สปนฺตีติ สรีสปาฯ ‘‘อหี’’ติอาทิ เตสํ สรูปโต นิทสฺสนํฯ ตตฺถ อุณฺณนาภีติ มกฺกฎโกฯ ตสฺส หิ นาภิโต อุณฺณาสทิสํ สุตฺตํ นิกฺขมติ, ตสฺมา ‘‘อุณฺณนาภี’’ติ วุจฺจติฯ สรพูติ ฆรโคฬิกาฯ

    Tattha sarīsapānīti sappadīghajātikānaṃ nāmaṃ. Te hi sarantā gacchanti, sirena vā sapantīti sarīsapā. ‘‘Ahī’’tiādi tesaṃ sarūpato nidassanaṃ. Tattha uṇṇanābhīti makkaṭako. Tassa hi nābhito uṇṇāsadisaṃ suttaṃ nikkhamati, tasmā ‘‘uṇṇanābhī’’ti vuccati. Sarabūti gharagoḷikā.

    อิติ โพธิสโตฺต ‘‘ยสฺมา เอเตสํ อโนฺตราคาทโย ปมาณกรา ธมฺมา อตฺถิ, ตสฺมา ตานิ สรีสปาทีนิ ปมาณวนฺตานี’’ติ ทเสฺสตฺวา ‘‘อปฺปมาณานํ ติณฺณํ รตนานํ อานุภาเวน อิเม ปมาณวนฺตา สตฺตา รตฺตินฺทิวํ ปริตฺตกมฺมํ กโรนฺตูติ เอวํ ติณฺณํ รตนานํ คุเณ อนุสฺสรถา’’ติ วตฺวา ตโต อุตฺตริ กตฺตพฺพํ ทเสฺสตุํ อิมํ คาถมาห –

    Iti bodhisatto ‘‘yasmā etesaṃ antorāgādayo pamāṇakarā dhammā atthi, tasmā tāni sarīsapādīni pamāṇavantānī’’ti dassetvā ‘‘appamāṇānaṃ tiṇṇaṃ ratanānaṃ ānubhāvena ime pamāṇavantā sattā rattindivaṃ parittakammaṃ karontūti evaṃ tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇe anussarathā’’ti vatvā tato uttari kattabbaṃ dassetuṃ imaṃ gāthamāha –

    ‘‘กตา เม รกฺขา กตา เม ปริตฺตา, ปฎิกฺกมนฺตุ ภูตานิ;

    ‘‘Katā me rakkhā katā me parittā, paṭikkamantu bhūtāni;

    โสหํ นโม ภควโต, นโม สตฺตนฺนํ สมฺมาสมฺพุทฺธาน’’นฺติฯ

    Sohaṃ namo bhagavato, namo sattannaṃ sammāsambuddhāna’’nti.

    ตตฺถ กตา เม รกฺขาติ มยา รตนตฺตยคุเณ อนุสฺสรเนฺตน อตฺตโน รกฺขา คุตฺติ กตาฯ กตา เม ปริตฺตาติ ปริตฺตาณมฺปิ เม อตฺตโน กตํฯ ปฎิกฺกมนฺตุ ภูตานีติ มยิ อหิตชฺฌาสยานิ ภูตานิ ปฎิกฺกมนฺตุ อปคจฺฉนฺตุฯ โสหํ นโม ภควโตติ โส อหํ เอวํ กตปริโตฺต อตีตสฺส ปรินิพฺพุตสฺส สพฺพสฺสปิ พุทฺธสฺส ภควโต นโม กโรมิฯ นโม สตฺตนฺนํ สมฺมาสมฺพุทฺธานนฺติ วิเสเสน ปน อตีเต ปฎิปาฎิยา ปรินิพฺพุตานํ สตฺตนฺนํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ นโม กโรมีติฯ

    Tattha katā me rakkhāti mayā ratanattayaguṇe anussarantena attano rakkhā gutti katā. Katā me parittāti parittāṇampi me attano kataṃ. Paṭikkamantu bhūtānīti mayi ahitajjhāsayāni bhūtāni paṭikkamantu apagacchantu. Sohaṃ namo bhagavatoti so ahaṃ evaṃ kataparitto atītassa parinibbutassa sabbassapi buddhassa bhagavato namo karomi. Namo sattannaṃ sammāsambuddhānanti visesena pana atīte paṭipāṭiyā parinibbutānaṃ sattannaṃ sammāsambuddhānaṃ namo karomīti.

    เอวํ ‘‘นมกฺการํ กโรนฺตาปิ สตฺต พุเทฺธ อนุสฺสรถา’’ติ โพธิสโตฺต อิสิคณสฺส อิมํ ปริตฺตํ พนฺธิตฺวา อทาสิฯ อาทิโต ปน ปฎฺฐาย ทฺวีหิ คาถาหิ จตูสุ อหิราชกุเลสุ เมตฺตาย ทีปิตตฺตา โอทิสฺสกาโนทิสฺสกวเสน วา ทฺวินฺนํ เมตฺตาภาวนานํ ทีปิตตฺตา อิทํ ปริตฺตํ อิธ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํ, อญฺญํ วา การณํ ปริเยสิตพฺพํฯ ตโต ปฎฺฐาย อิสิคโณ โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา เมตฺตํ ภาเวสิ, พุทฺธคุเณ อนุสฺสริฯ เอวเมเตสุ พุทฺธคุเณ อนุสฺสรเนฺตสุเยว สเพฺพ ทีฆชาติกา ปฎิกฺกมิํสุฯ โพธิสโตฺตปิ พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ

    Evaṃ ‘‘namakkāraṃ karontāpi satta buddhe anussarathā’’ti bodhisatto isigaṇassa imaṃ parittaṃ bandhitvā adāsi. Ādito pana paṭṭhāya dvīhi gāthāhi catūsu ahirājakulesu mettāya dīpitattā odissakānodissakavasena vā dvinnaṃ mettābhāvanānaṃ dīpitattā idaṃ parittaṃ idha vuttanti veditabbaṃ, aññaṃ vā kāraṇaṃ pariyesitabbaṃ. Tato paṭṭhāya isigaṇo bodhisattassa ovāde ṭhatvā mettaṃ bhāvesi, buddhaguṇe anussari. Evametesu buddhaguṇe anussarantesuyeva sabbe dīghajātikā paṭikkamiṃsu. Bodhisattopi brahmavihāre bhāvetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อิสิคโณ พุทฺธปริสา อโหสิ, คณสตฺถา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā isigaṇo buddhaparisā ahosi, gaṇasatthā pana ahameva ahosi’’nti.

    ขนฺธชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Khandhajātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๐๓. ขณฺฑชาตกํ • 203. Khaṇḍajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact