Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    อภิธมฺมปิฎเก

    Abhidhammapiṭake

    วิภงฺค-มูลฎีกา

    Vibhaṅga-mūlaṭīkā

    ๑. ขนฺธวิภโงฺค

    1. Khandhavibhaṅgo

    ๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา

    1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā

    จตุสจฺจทโสติ จตฺตาริ สจฺจานิ สมาหฎานิ จตุสจฺจํ, จตุสจฺจํ ปสฺสีติ จตุสจฺจทโสฯ สติปิ สาวกานํ ปเจฺจกพุทฺธานญฺจ จตุสจฺจทสฺสนภาเว อนญฺญปุพฺพกตฺตา ภควโต จตุสจฺจทสฺสนสฺส ตตฺถ จ สพฺพญฺญุตาย ทสพเลสุ จ วสีภาวสฺส ปตฺติโต ปรสนฺตาเนสุ จ ปสาริตภาเวน สุปากฎตฺตา ภควาว วิเสเสน ‘‘จตุสจฺจทโส’’ติ โถมนํ อรหตีติ ฯ นาถตีติ นาโถ, เวเนยฺยานํ หิตสุขํ อาสีสติ ปเตฺถติ, ปรสนฺตานคตํ วา กิเลสพฺยสนํ อุปตาเปติ, ‘‘สาธุ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กาเลน กาลํ อตฺตสมฺปตฺติํ ปจฺจเวกฺขิตา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๘.๗) วา ตํ ตํ หิตปฎิปตฺติํ ยาจตีติ อโตฺถฯ ปรเมน จิตฺติสฺสริเยน สมนฺนาคโต, สพฺพสเตฺต วา คุเณหิ อีสติ อภิภวตีติ ปรมิสฺสโร ภควา ‘‘นาโถ’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘สทฺธเมฺม คารวํ กตฺวา กริสฺสามี’’ติ โสตพฺพภาเว การณํ วตฺวา ปุน สวเน นิโยเชโนฺต อาห ‘‘ตํ สุณาถ สมาหิตา’’ติฯ ‘‘โปราณฎฺฐกถานยํ วิคาหิตฺวา กริสฺสามี’’ติ วา เอเตน สกฺกจฺจสวเน จ การณํ วตฺวา ตตฺถ นิโยเชโนฺต อาห ‘‘สทฺธเมฺม คารวํ กตฺวา ตํ สุณาถา’’ติฯ

    Catusaccadasoti cattāri saccāni samāhaṭāni catusaccaṃ, catusaccaṃ passīti catusaccadaso. Satipi sāvakānaṃ paccekabuddhānañca catusaccadassanabhāve anaññapubbakattā bhagavato catusaccadassanassa tattha ca sabbaññutāya dasabalesu ca vasībhāvassa pattito parasantānesu ca pasāritabhāvena supākaṭattā bhagavāva visesena ‘‘catusaccadaso’’ti thomanaṃ arahatīti . Nāthatīti nātho, veneyyānaṃ hitasukhaṃ āsīsati pattheti, parasantānagataṃ vā kilesabyasanaṃ upatāpeti, ‘‘sādhu, bhikkhave, bhikkhu kālena kālaṃ attasampattiṃ paccavekkhitā’’tiādinā (a. ni. 8.7) vā taṃ taṃ hitapaṭipattiṃ yācatīti attho. Paramena cittissariyena samannāgato, sabbasatte vā guṇehi īsati abhibhavatīti paramissaro bhagavā ‘‘nātho’’ti vuccati. ‘‘Saddhamme gāravaṃ katvā karissāmī’’ti sotabbabhāve kāraṇaṃ vatvā puna savane niyojento āha ‘‘taṃ suṇātha samāhitā’’ti. ‘‘Porāṇaṭṭhakathānayaṃ vigāhitvā karissāmī’’ti vā etena sakkaccasavane ca kāraṇaṃ vatvā tattha niyojento āha ‘‘saddhamme gāravaṃ katvā taṃ suṇāthā’’ti.

    เอตฺถ จ ‘‘จตุสจฺจทโส’’ติ วจนํ โถมนเมว จตุปฺปเภทาย เทสนาย สมานคณนทสฺสนคุเณน, ‘‘อฎฺฐารสหิ พุทฺธธเมฺมหิ อุเปโต’’ติ จ อฎฺฐารสปฺปเภทาย เทสนาย สมานคณนคุเณหีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยถาวุเตฺตน วา นิรติสเยน จตุสจฺจทสฺสเนน ภควา จตุธา ธมฺมสงฺคณิํ เทเสตุํ สมโตฺถ อโหสิ, อฎฺฐารสพุทฺธธมฺมสมนฺนาคเมน อฎฺฐารสธา วิภงฺคนฺติ ยถาวุตฺตเทสนาสมตฺถตาสมฺปาทกคุณนิทสฺสนเมตํ ‘‘จตุสจฺจทโส อุเปโต พุทฺธธเมฺมหิ อฎฺฐารสหี’’ติฯ เตน ยถาวุตฺตาย เทสนาย สพฺพญฺญุภาสิตตฺตา อวิปรีตตํ ทเสฺสโนฺต ตตฺถ สเตฺต อุคฺคหาทีสุ นิโยเชติ, นิฎฺฐานคมนญฺจ อตฺตโน วายามํ ทเสฺสโนฺต อฎฺฐกถาสวเน จ อาทรํ อุปฺปาทยติ, ยถาวุตฺตคุณรหิเตน อสพฺพญฺญุนา เทเสตุํ อสกฺกุเณยฺยตํ ธมฺมสงฺคณีวิภงฺคปฺปกรณานํ ทเสฺสโนฺต ตตฺถ ตทฎฺฐกถาย จ สาติสยํ คารวํ ชนยติ, พุทฺธาทีนญฺจ รตนานํ สมฺมาสมฺพุทฺธตาทิคุเณ วิภาเวติฯ

    Ettha ca ‘‘catusaccadaso’’ti vacanaṃ thomanameva catuppabhedāya desanāya samānagaṇanadassanaguṇena, ‘‘aṭṭhārasahi buddhadhammehi upeto’’ti ca aṭṭhārasappabhedāya desanāya samānagaṇanaguṇehīti daṭṭhabbaṃ. Yathāvuttena vā niratisayena catusaccadassanena bhagavā catudhā dhammasaṅgaṇiṃ desetuṃ samattho ahosi, aṭṭhārasabuddhadhammasamannāgamena aṭṭhārasadhā vibhaṅganti yathāvuttadesanāsamatthatāsampādakaguṇanidassanametaṃ ‘‘catusaccadaso upeto buddhadhammehi aṭṭhārasahī’’ti. Tena yathāvuttāya desanāya sabbaññubhāsitattā aviparītataṃ dassento tattha satte uggahādīsu niyojeti, niṭṭhānagamanañca attano vāyāmaṃ dassento aṭṭhakathāsavane ca ādaraṃ uppādayati, yathāvuttaguṇarahitena asabbaññunā desetuṃ asakkuṇeyyataṃ dhammasaṅgaṇīvibhaṅgappakaraṇānaṃ dassento tattha tadaṭṭhakathāya ca sātisayaṃ gāravaṃ janayati, buddhādīnañca ratanānaṃ sammāsambuddhatādiguṇe vibhāveti.

    ตตฺถ จตฺตาริ สจฺจานิ ปากฎาเนว, อฎฺฐารส ปน พุทฺธธมฺมา เอวํ เวทิตพฺพา – ‘‘อตีตํเส พุทฺธสฺส ภควโต อปฺปฎิหตํ ญาณํ, อนาคตํเส…เป.… ปจฺจุปฺปนฺนํเส…เป.… อิเมหิ ตีหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตสฺส พุทฺธสฺส ภควโต สพฺพํ กายกมฺมํ ญาณปุพฺพงฺคมํ ญาณานุปริวตฺตํ, สพฺพํ วจีกมฺมํ…เป. … สพฺพํ มโนกมฺมํ…เป.… อิเมหิ ฉหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตสฺส พุทฺธสฺส ภควโต นตฺถิ ฉนฺทสฺส หานิ, นตฺถิ ธมฺมเทสนาย, นตฺถิ วีริยสฺส, นตฺถิ สมาธิสฺส, นตฺถิ ปญฺญาย, นตฺถิ วิมุตฺติยา หานิฯ อิเมหิ ทฺวาทสหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตสฺส พุทฺธสฺส ภควโต นตฺถิ ทวา, นตฺถิ รวา, นตฺถิ อผุฎํ, นตฺถิ เวคายิตตฺตํ, นตฺถิ อพฺยาวฎมโน, นตฺถิ อปฺปฎิสงฺขานุเปกฺขา’’ติฯ

    Tattha cattāri saccāni pākaṭāneva, aṭṭhārasa pana buddhadhammā evaṃ veditabbā – ‘‘atītaṃse buddhassa bhagavato appaṭihataṃ ñāṇaṃ, anāgataṃse…pe… paccuppannaṃse…pe… imehi tīhi dhammehi samannāgatassa buddhassa bhagavato sabbaṃ kāyakammaṃ ñāṇapubbaṅgamaṃ ñāṇānuparivattaṃ, sabbaṃ vacīkammaṃ…pe. … sabbaṃ manokammaṃ…pe… imehi chahi dhammehi samannāgatassa buddhassa bhagavato natthi chandassa hāni, natthi dhammadesanāya, natthi vīriyassa, natthi samādhissa, natthi paññāya, natthi vimuttiyā hāni. Imehi dvādasahi dhammehi samannāgatassa buddhassa bhagavato natthi davā, natthi ravā, natthi aphuṭaṃ, natthi vegāyitattaṃ, natthi abyāvaṭamano, natthi appaṭisaṅkhānupekkhā’’ti.

    ตตฺถ นตฺถิ ทวาติ ขิฑฺฑาธิปฺปาเยน กิริยา นตฺถิฯ นตฺถิ รวาติ สหสา กิริยา นตฺถิฯ นตฺถิ อผุฎนฺติ ญาเณน อผุสิตํ นตฺถิฯ นตฺถิ เวคายิตตฺตนฺติ ตุริตกิริยา นตฺถิฯ นตฺถิ อพฺยาวฎมโนติ นิรตฺถโก จิตฺตสมุทาจาโร นตฺถิฯ นตฺถิ อปฺปฎิสงฺขานุเปกฺขาติ อญฺญาณุเปกฺขา นตฺถิฯ กตฺถจิ ปน ‘‘นตฺถิ ธมฺมเทสนาย หานี’’ติ อลิขิตฺวา ‘‘นตฺถิ ฉนฺทสฺส หานิ, นตฺถิ วีริยสฺส, นตฺถิ สตฺติยา’’ติ ลิขนฺติฯ

    Tattha natthi davāti khiḍḍādhippāyena kiriyā natthi. Natthi ravāti sahasā kiriyā natthi. Natthi aphuṭanti ñāṇena aphusitaṃ natthi. Natthi vegāyitattanti turitakiriyā natthi. Natthi abyāvaṭamanoti niratthako cittasamudācāro natthi. Natthi appaṭisaṅkhānupekkhāti aññāṇupekkhā natthi. Katthaci pana ‘‘natthi dhammadesanāya hānī’’ti alikhitvā ‘‘natthi chandassa hāni, natthi vīriyassa, natthi sattiyā’’ti likhanti.

    . ธมฺมสงฺคเห ธเมฺม กุสลาทิเก ติกทุเกหิ สงฺคเหตฺวา เต เอว ธเมฺม สุตฺตเนฺต ขนฺธาทิวเสน วุเตฺต วิภชิตุํ วิภงฺคปฺปกรณํ วุตฺตํฯ ตตฺถ สเงฺขเปน วุตฺตานํ ขนฺธาทีนํ วิภชนํ วิภโงฺคฯ โส โส วิภโงฺค ปกโต อธิกโต ยสฺสา ปาฬิยา, สา ‘‘วิภงฺคปฺปกรณ’’นฺติ วุจฺจติฯ อธิกโตติ จ วตฺตพฺพภาเวน ปริคฺคหิโตติ อโตฺถฯ ตตฺถ วิภงฺคปฺปกรณสฺส อาทิภูเต ขนฺธวิภเงฺค ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา รูปกฺขโนฺธ…เป.… วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติ อิทํ สุตฺตนฺตภาชนียํ นามฯ นนุ น เอตฺตกเมว สุตฺตนฺตภาชนียนฺติ? สจฺจํ, อิติ-สเทฺทน ปน อาทิ-สทฺทตฺถโชตเกน ปการตฺถโชตเกน วา สพฺพํ สุตฺตนฺตภาชนียํ สงฺคเหตฺวา วิญฺญาณกฺขโนฺธติ เอวมาทิ เอวํปการํ วา อิทํ สุตฺตนฺตภาชนียนฺติ เวทิตพฺพํฯ อถ วา เอกเทเสน สมุทายํ นิทเสฺสติ ปพฺพตสมุทฺทาทินิทสฺสโก วิยฯ ตตฺถ นิพฺพานวชฺชานํ สพฺพธมฺมานํ สงฺคาหกตฺตา สพฺพสงฺคาหเกหิ จ อายตนาทีหิ อปฺปกตรปทตฺตา ขนฺธานํ ขนฺธวิภโงฺค อาทิมฺหิ วุโตฺตฯ

    1. Dhammasaṅgahe dhamme kusalādike tikadukehi saṅgahetvā te eva dhamme suttante khandhādivasena vutte vibhajituṃ vibhaṅgappakaraṇaṃ vuttaṃ. Tattha saṅkhepena vuttānaṃ khandhādīnaṃ vibhajanaṃ vibhaṅgo. So so vibhaṅgo pakato adhikato yassā pāḷiyā, sā ‘‘vibhaṅgappakaraṇa’’nti vuccati. Adhikatoti ca vattabbabhāvena pariggahitoti attho. Tattha vibhaṅgappakaraṇassa ādibhūte khandhavibhaṅge ‘‘pañcakkhandhā rūpakkhandho…pe… viññāṇakkhandho’’ti idaṃ suttantabhājanīyaṃ nāma. Nanu na ettakameva suttantabhājanīyanti? Saccaṃ, iti-saddena pana ādi-saddatthajotakena pakāratthajotakena vā sabbaṃ suttantabhājanīyaṃ saṅgahetvā viññāṇakkhandhoti evamādi evaṃpakāraṃ vā idaṃ suttantabhājanīyanti veditabbaṃ. Atha vā ekadesena samudāyaṃ nidasseti pabbatasamuddādinidassako viya. Tattha nibbānavajjānaṃ sabbadhammānaṃ saṅgāhakattā sabbasaṅgāhakehi ca āyatanādīhi appakatarapadattā khandhānaṃ khandhavibhaṅgo ādimhi vutto.

    น ตโต เหฎฺฐาติ รูปาทีนํ เวทยิตาทิสภาวตฺตาภาวา ยสฺมิํ สภาเว อตีตาทโย ราสี กตฺวา วตฺตพฺพา, ตสฺส รุปฺปนาทิโต อญฺญสฺสาภาวา จ เหฎฺฐา คณเนสุ สงฺขตธมฺมานํ อนิฎฺฐานํ สาวเสสภาวํ, น เหฎฺฐา คณนมตฺตาภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ฉฎฺฐสฺส ปน ขนฺธสฺส อภาวา ‘‘น อุทฺธ’’นฺติ อาหฯ น หิ สวิภาคธเมฺมหิ นิสฺสฎสฺส อตีตาทิภาวรหิตสฺส เอกสฺส นิพฺพานสฺส ราสโฎฺฐ อตฺถีติฯ ‘‘ราสิมฺหี’’ติ สทฺทตฺถสหิตํ ขนฺธ-สทฺทสฺส วิสยํ ทเสฺสติฯ ‘‘คุเณ ปณฺณตฺติยํ รุฬฺหิย’’นฺติ วิสยเมว ขนฺธ-สทฺทสฺส ทเสฺสติ, น สทฺทตฺถํฯ โลกิยโลกุตฺตรเภทญฺหิ สีลาทิคุณํ นิปฺปเทเสน คเหตฺวา ปวตฺตมาโน ขนฺธ-สโทฺท สีลาทิคุณวิสิฎฺฐํ ราสฎฺฐํ ทีเปตีติฯ เกจิ ปน ‘‘คุณโฎฺฐ เอตฺถ ขนฺธโฎฺฐ’’ติ วทนฺติฯ ทารุกฺขโนฺธติ เอตฺถ ปน น ขนฺธ-สโทฺท ปญฺญตฺติ-สทฺทสฺส อเตฺถ วตฺตติ, ตาทิเส ปน ปุถุลายเต ทารุมฺหิ ทารุกฺขโนฺธติ ปญฺญตฺติ โหตีติ ปญฺญตฺติยํ นิปตตีติ วุตฺตํฯ ตถา เอกสฺมิมฺปิ วิญฺญาเณ ปวโตฺต วิญฺญาณกฺขโนฺธติ ขนฺธ-สโทฺท น รุฬฺหี-สทฺทสฺส อตฺถํ วทติ, สมุทาเย ปน นิรุโฬฺห ขนฺธ-สโทฺท ตเทกเทเส ปวตฺตมาโน ตาย เอว รุฬฺหิยา ปวตฺตตีติ ขนฺธ-สโทฺท รุฬฺหิยํ นิปตตีติ วุตฺตํฯ

    Na tato heṭṭhāti rūpādīnaṃ vedayitādisabhāvattābhāvā yasmiṃ sabhāve atītādayo rāsī katvā vattabbā, tassa ruppanādito aññassābhāvā ca heṭṭhā gaṇanesu saṅkhatadhammānaṃ aniṭṭhānaṃ sāvasesabhāvaṃ, na heṭṭhā gaṇanamattābhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Chaṭṭhassa pana khandhassa abhāvā ‘‘na uddha’’nti āha. Na hi savibhāgadhammehi nissaṭassa atītādibhāvarahitassa ekassa nibbānassa rāsaṭṭho atthīti. ‘‘Rāsimhī’’ti saddatthasahitaṃ khandha-saddassa visayaṃ dasseti. ‘‘Guṇe paṇṇattiyaṃ ruḷhiya’’nti visayameva khandha-saddassa dasseti, na saddatthaṃ. Lokiyalokuttarabhedañhi sīlādiguṇaṃ nippadesena gahetvā pavattamāno khandha-saddo sīlādiguṇavisiṭṭhaṃ rāsaṭṭhaṃ dīpetīti. Keci pana ‘‘guṇaṭṭho ettha khandhaṭṭho’’ti vadanti. Dārukkhandhoti ettha pana na khandha-saddo paññatti-saddassa atthe vattati, tādise pana puthulāyate dārumhi dārukkhandhoti paññatti hotīti paññattiyaṃ nipatatīti vuttaṃ. Tathā ekasmimpi viññāṇe pavatto viññāṇakkhandhoti khandha-saddo na ruḷhī-saddassa atthaṃ vadati, samudāye pana niruḷho khandha-saddo tadekadese pavattamāno tāya eva ruḷhiyā pavattatīti khandha-saddo ruḷhiyaṃ nipatatīti vuttaṃ.

    ราสิโต คุณโตติ สพฺพตฺถ นิสฺสกฺกวจนํ วิสยเสฺสว ขนฺธ-สทฺทปฺปวตฺติยา การณภาวํ สนฺธาย กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ราสิโต’’ติ อิมมตฺถํ สทฺทตฺถวเสนปิ นิยเมตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อยญฺหิ ขนฺธโฎฺฐ นาม ปิณฺฑโฎฺฐ’’ติอาทิมาหฯ โกฎฺฐาสเฎฺฐ ขนฺธเฎฺฐ ฉเฎฺฐนปิ ขเนฺธน ภวิตพฺพํฯ นิพฺพานมฺปิ หิ ฉโฎฺฐ โกฎฺฐาโสติฯ ตสฺมา ‘‘ขนฺธโฎฺฐ นาม ราสโฎฺฐ’’ติ ยุตฺตํฯ เยสํ วา อตีตาทิวเสน เภโท อตฺถิ, เตสํ รุปฺปนาทิลกฺขณวเสน ตํตํโกฎฺฐาสตา วุจฺจตีติ เภทรหิตสฺส นิพฺพานสฺส โกฎฺฐาสเฎฺฐน จ ขนฺธภาโว น วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ

    Rāsito guṇatoti sabbattha nissakkavacanaṃ visayasseva khandha-saddappavattiyā kāraṇabhāvaṃ sandhāya katanti veditabbaṃ. ‘‘Rāsito’’ti imamatthaṃ saddatthavasenapi niyametvā dassetuṃ ‘‘ayañhi khandhaṭṭho nāma piṇḍaṭṭho’’tiādimāha. Koṭṭhāsaṭṭhe khandhaṭṭhe chaṭṭhenapi khandhena bhavitabbaṃ. Nibbānampi hi chaṭṭho koṭṭhāsoti. Tasmā ‘‘khandhaṭṭho nāma rāsaṭṭho’’ti yuttaṃ. Yesaṃ vā atītādivasena bhedo atthi, tesaṃ ruppanādilakkhaṇavasena taṃtaṃkoṭṭhāsatā vuccatīti bhedarahitassa nibbānassa koṭṭhāsaṭṭhena ca khandhabhāvo na vuttoti veditabbo.

    เอตฺตาวตาติ อุเทฺทสมเตฺตนาติ อโตฺถฯ จตฺตาโร จ มหาภูตา…เป.… รูปนฺติ เอวํ วิภโตฺตฯ กตฺถาติ เจ? เอกาทสสุ โอกาเสสุฯ อิติ-สเทฺทน นิทสฺสนเตฺถน สโพฺพ วิภชนนโย ทสฺสิโตฯ อิทญฺจ วิภชนํ โอฬาริกาทีสุ จกฺขายตนนฺติอาทิวิภชนญฺจ ยถาสมฺภวํ เอกาทสสุ โอกาเสสุ โยเชตพฺพํ, เอวํ เวทนากฺขนฺธาทีสุปิฯ วิญฺญาณกฺขโนฺธ ปน เอกาทโสกาเสสุ ปุริเม โอกาสปญฺจเก ‘‘จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… มโนวิญฺญาณ’’นฺติ ฉวิญฺญาณกายวิเสเสน วิภโตฺต, น ตตฺถ มโนธาตุ มโนวิญฺญาณธาตูติ วิภชนํ อตฺถิฯ ตํ ปน ทฺวยํ มโนวิญฺญาณนฺติ วุตฺตนฺติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ อฎฺฐกถายํ ‘‘มโนธาตุ มโนวิญฺญาณธาตู’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Ettāvatāti uddesamattenāti attho. Cattāro ca mahābhūtā…pe… rūpanti evaṃ vibhatto. Katthāti ce? Ekādasasu okāsesu. Iti-saddena nidassanatthena sabbo vibhajananayo dassito. Idañca vibhajanaṃ oḷārikādīsu cakkhāyatanantiādivibhajanañca yathāsambhavaṃ ekādasasu okāsesu yojetabbaṃ, evaṃ vedanākkhandhādīsupi. Viññāṇakkhandho pana ekādasokāsesu purime okāsapañcake ‘‘cakkhuviññāṇaṃ…pe… manoviññāṇa’’nti chaviññāṇakāyavisesena vibhatto, na tattha manodhātu manoviññāṇadhātūti vibhajanaṃ atthi. Taṃ pana dvayaṃ manoviññāṇanti vuttanti imamatthaṃ dassetuṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘manodhātu manoviññāṇadhātū’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    เอวํ ปาฬินเยน ปญฺจสุ ขเนฺธสุ ธมฺมปริเจฺฉทํ ทเสฺสตฺวา ปุน อเญฺญน ปกาเรน ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ ขนฺธนิเทฺทเสฯ

    Evaṃ pāḷinayena pañcasu khandhesu dhammaparicchedaṃ dassetvā puna aññena pakārena dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādimāha. Etthāti etasmiṃ khandhaniddese.

    ๑. รูปกฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา

    1. Rūpakkhandhaniddesavaṇṇanā

    . ยํ กิญฺจีติ เอตฺถ นฺติ สามเญฺญน อนิยมนิทสฺสนํ, กิญฺจีติ ปการนฺตรเภทํ อามสิตฺวา อนิยมนิทสฺสนํฯ อุภเยนปิ อตีตํ วา…เป.… สนฺติเก วา อปฺปํ วา พหุํ วา ยาทิสํ วา ตาทิสํ วา ยํ กิญฺจีติ นปุํสกนิเทฺทสารหํ สพฺพํ พฺยาเปตฺวา สงฺคณฺหาตีติ อเญฺญสุปิ นปุํสกนิเทฺทสารเหสุ ปสงฺคํ ทิสฺวา ตสฺส อธิเปฺปตตฺถํ อติจฺจ ปวตฺติโต อติปฺปสงฺคสฺส นิยมนตฺถํ ‘‘รูป’’นฺติ อาหฯ ยํกิญฺจีติ สนิปาตํ ยํ-สทฺทํ กิํ-สทฺทญฺจ อนิยเมกตฺถทีปนวเสน เอกํ ปทนฺติ คเหตฺวา ‘‘ปททฺวเยนปี’’ติ วุตฺตํฯ

    2. Yaṃ kiñcīti ettha yanti sāmaññena aniyamanidassanaṃ, kiñcīti pakārantarabhedaṃ āmasitvā aniyamanidassanaṃ. Ubhayenapi atītaṃ vā…pe… santike vā appaṃ vā bahuṃ vā yādisaṃ vā tādisaṃ vā yaṃ kiñcīti napuṃsakaniddesārahaṃ sabbaṃ byāpetvā saṅgaṇhātīti aññesupi napuṃsakaniddesārahesu pasaṅgaṃ disvā tassa adhippetatthaṃ aticca pavattito atippasaṅgassa niyamanatthaṃ ‘‘rūpa’’nti āha. Yaṃkiñcīti sanipātaṃ yaṃ-saddaṃ kiṃ-saddañca aniyamekatthadīpanavasena ekaṃ padanti gahetvā ‘‘padadvayenapī’’ti vuttaṃ.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, รูปํ วเทถาติ ตุเมฺหปิ รูปํ รูปนฺติ วเทถ, ตํ เกน การเณน วเทถาติ อโตฺถ, อถ วา เกน การเณน รูปํ, ตํ การณํ วเทถาติ อโตฺถฯ อเถเตสุ ภิกฺขูสุ ตุณฺหีภูเตสุ ภควา อาห ‘‘รุปฺปตีติ โข’’ติอาทิฯ

    Kiñca, bhikkhave, rūpaṃ vadethāti tumhepi rūpaṃ rūpanti vadetha, taṃ kena kāraṇena vadethāti attho, atha vā kena kāraṇena rūpaṃ, taṃ kāraṇaṃ vadethāti attho. Athetesu bhikkhūsu tuṇhībhūtesu bhagavā āha ‘‘ruppatīti kho’’tiādi.

    ภิชฺชตีติ สีตาทิสนฺนิปาเต วิสทิสสนฺตานุปฺปตฺติทสฺสนโต ปุริมสนฺตานสฺส เภทํ สนฺธายาหฯ เภโท จ วิสทิสตาวิการาปตฺตีติ ภิชฺชตีติ วิการํ อาปชฺชตีติ อโตฺถฯ วิการาปตฺติ จ สีตาทิสนฺนิปาเต วิสทิสรูปุปฺปตฺติเยวฯ อรูปกฺขนฺธานํ ปน อติลหุปริวตฺติโต ยถา รูปธมฺมานํ ฐิติกฺขเณ สีตาทีหิ สมาคโม โหติ, เยน ตตฺถ อุตุโน ฐิติปฺปตฺตสฺส ปุริมสทิสสนฺตานุปฺปาทนสมตฺถตา น โหติ อาหาราทิกสฺส วา, เอวํ อเญฺญหิ สมาคโม นตฺถิฯ สงฺฆฎฺฎเนน จ วิการาปตฺติยํ รุปฺปน-สโทฺท นิรุโฬฺห, ตสฺมา อรูปธมฺมานํ สงฺฆฎฺฎนวิรหิตตฺตา รูปธมฺมานํ วิย ปากฎสฺส วิการสฺส อภาวโต จ ‘‘รุปฺปนฺตี’’ติ ‘‘รุปฺปนลกฺขณา’’ติ จ น วุจฺจนฺติฯ ชิฆจฺฉาปิปาสาหิ รุปฺปนญฺจ อุทรคฺคิสนฺนิปาเตน โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอตฺถ จ กุปฺปตีติ เอเตน กตฺตุอเตฺถ รูปปทสิทฺธิํ ทเสฺสติ, ฆฎฺฎียติ ปีฬียตีติ เอเตหิ กมฺมเตฺถฯ โกปาทิกิริยาเยว หิ รุปฺปนกิริยาติฯ โส ปน กตฺตุภูโต กมฺมภูโต จ อโตฺถ ภิชฺชมาโน โหตีติ อิมสฺสตฺถสฺส ทสฺสนตฺถํ ‘‘ภิชฺชตีติ อโตฺถ’’ติ วุตฺตํฯ อถ วา รุปฺปตีติ รูปนฺติ กมฺมกตฺตุเตฺถ รูปปทสิทฺธิ วุตฺตาฯ วิกาโร หิ รุปฺปนนฺติฯ เตเนว ‘‘ภิชฺชตีติ อโตฺถ’’ติ กมฺมกตฺตุเตฺถน ภิชฺชติ-สเทฺทน อตฺถํ ทเสฺสติฯ ยํ ปน รุปฺปติ ภิชฺชติ, ตํ ยสฺมา กุปฺปติ ฆฎฺฎียติ ปีฬียติ, ตสฺมา เอเตหิ จ ปเทหิ ปทโตฺถ ปากโฎ กโตติฯ ‘‘เกนเฎฺฐนา’’ติ ปุจฺฉาสภาควเสน ‘‘รุปฺปนเฎฺฐนา’’ติ วุตฺตํฯ น เกวลํ สทฺทโตฺถเยว รุปฺปนํ, ตสฺส ปนตฺถสฺส ลกฺขณญฺจ โหตีติ อตฺถลกฺขณวเสน ‘‘รุปฺปนลกฺขเณน รูปนฺติปิ วตฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ

    Bhijjatīti sītādisannipāte visadisasantānuppattidassanato purimasantānassa bhedaṃ sandhāyāha. Bhedo ca visadisatāvikārāpattīti bhijjatīti vikāraṃ āpajjatīti attho. Vikārāpatti ca sītādisannipāte visadisarūpuppattiyeva. Arūpakkhandhānaṃ pana atilahuparivattito yathā rūpadhammānaṃ ṭhitikkhaṇe sītādīhi samāgamo hoti, yena tattha utuno ṭhitippattassa purimasadisasantānuppādanasamatthatā na hoti āhārādikassa vā, evaṃ aññehi samāgamo natthi. Saṅghaṭṭanena ca vikārāpattiyaṃ ruppana-saddo niruḷho, tasmā arūpadhammānaṃ saṅghaṭṭanavirahitattā rūpadhammānaṃ viya pākaṭassa vikārassa abhāvato ca ‘‘ruppantī’’ti ‘‘ruppanalakkhaṇā’’ti ca na vuccanti. Jighacchāpipāsāhi ruppanañca udaraggisannipātena hotīti daṭṭhabbaṃ. Ettha ca kuppatīti etena kattuatthe rūpapadasiddhiṃ dasseti, ghaṭṭīyati pīḷīyatīti etehi kammatthe. Kopādikiriyāyeva hi ruppanakiriyāti. So pana kattubhūto kammabhūto ca attho bhijjamāno hotīti imassatthassa dassanatthaṃ ‘‘bhijjatīti attho’’ti vuttaṃ. Atha vā ruppatīti rūpanti kammakattutthe rūpapadasiddhi vuttā. Vikāro hi ruppananti. Teneva ‘‘bhijjatīti attho’’ti kammakattutthena bhijjati-saddena atthaṃ dasseti. Yaṃ pana ruppati bhijjati, taṃ yasmā kuppati ghaṭṭīyati pīḷīyati, tasmā etehi ca padehi padattho pākaṭo katoti. ‘‘Kenaṭṭhenā’’ti pucchāsabhāgavasena ‘‘ruppanaṭṭhenā’’ti vuttaṃ. Na kevalaṃ saddatthoyeva ruppanaṃ, tassa panatthassa lakkhaṇañca hotīti atthalakkhaṇavasena ‘‘ruppanalakkhaṇena rūpantipi vattuṃ vaṭṭatī’’ti āha.

    ฉิชฺชิตฺวาติ มุจฺฉาปตฺติยา มุจฺจิตฺวา องฺคปจฺจงฺคานํ เฉทนวเสน วา ฉิชฺชิตฺวาฯ อจฺจนฺตขาเรน สีโตทเกนาติ อติสีตภาวเมว สนฺธาย อจฺจนฺตขารตา วุตฺตา สิยาฯ น หิ ตํ กปฺปสณฺฐานํ อุทกํ สมฺปตฺติกรํ ปถวีสนฺธารกํ กปฺปวินาสอุทกํ วิย ขารํ ภวิตุํ อรหติฯ ตถา หิ สติ ปถวี วิลีเยยฺยาติฯ อวีจิมหานิรเยติ สอุสฺสทํ อวีจินิรยํ วุตฺตํฯ เตเนว ‘‘ตตฺถ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เปตฺติ…เป.… น โหนฺตีติ เอวํวิธาปิ สตฺตา อตฺถีติ อธิปฺปาโย เอวํวิธาเยว โหนฺตีติ นิยมาภาวโตฯ เอวํ กาลกญฺชิกาทีสุปีติฯ สรนฺตา คจฺฉนฺตีติ สรีสป-สทฺทสฺส อตฺถํ วทติฯ

    Chijjitvāti mucchāpattiyā muccitvā aṅgapaccaṅgānaṃ chedanavasena vā chijjitvā. Accantakhārena sītodakenāti atisītabhāvameva sandhāya accantakhāratā vuttā siyā. Na hi taṃ kappasaṇṭhānaṃ udakaṃ sampattikaraṃ pathavīsandhārakaṃ kappavināsaudakaṃ viya khāraṃ bhavituṃ arahati. Tathā hi sati pathavī vilīyeyyāti. Avīcimahānirayeti saussadaṃ avīcinirayaṃ vuttaṃ. Teneva ‘‘tattha hī’’tiādi vuttaṃ. Petti…pe… na hontīti evaṃvidhāpi sattā atthīti adhippāyo evaṃvidhāyeva hontīti niyamābhāvato. Evaṃ kālakañjikādīsupīti. Sarantā gacchantīti sarīsapa-saddassa atthaṃ vadati.

    อภิสญฺญูหิตฺวาติ เอตฺถ สมูหํ กตฺวาติปิ อโตฺถฯ เอเตน สพฺพํ รูปํ…เป.… ทสฺสิตํ โหตีติ เอเตน รูปกฺขนฺธ-สทฺทสฺส สมานาธิกรณสมาสภาวํ ทเสฺสติฯ เตเนวาห ‘‘น หิ รูปโต…เป.… อตฺถี’’ติฯ

    Abhisaññūhitvāti ettha samūhaṃ katvātipi attho. Etena sabbaṃ rūpaṃ…pe… dassitaṃ hotīti etena rūpakkhandha-saddassa samānādhikaraṇasamāsabhāvaṃ dasseti. Tenevāha ‘‘na hi rūpato…pe… atthī’’ti.

    . ปกฺขิปิตฺวาติ เอตฺถ เอกาทโสกาเสสุ รูปํ ปกฺขิปิตฺวาติ อโตฺถฯ น หิ ตตฺถ มาติกํเยว ปกฺขิปิตฺวา มาติกา ฐปิตา, อถ โข ปกรณปฺปตฺตํ รูปนฺติฯ

    3. Pakkhipitvāti ettha ekādasokāsesu rūpaṃ pakkhipitvāti attho. Na hi tattha mātikaṃyeva pakkhipitvā mātikā ṭhapitā, atha kho pakaraṇappattaṃ rūpanti.

    อปโร นโย…เป.… เอเตฺถว คณนํ คตนฺติ เอเตน อตีตํเสนาติ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนนฺติ ทเสฺสติฯ เยน ปกาเรน คณนํ คตํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘จตฺตาโร จ มหาภูตา’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ อิมสฺมิํ อเตฺถ สติ มหาภูตุปาทายรูปภาโว อตีตโกฎฺฐาเส คณนสฺส การณนฺติ อาปชฺชติฯ น หิ อตีตํสานํ เวทนาทีนํ นิวตฺตนตฺถํ อิทํ วจนํ ‘‘ยํ รูป’’นฺติ เอเตเนว เตสํ นิวตฺติตตฺตา, นาปิ รูปสฺส อญฺญปฺปการนิวตฺตนตฺถํ สพฺพปฺปการสฺส ตตฺถ คณิตตฺตา, น จ อนาคตปจฺจุปฺปนฺนาการนิวตฺตนตฺถํ อตีตํสวจเนน ตํนิวตฺตนโตติฯ อถ ปน ยํ อตีตํเสน คณิตํ, ตํ จตฺตาโร จ…เป.… รูปนฺติ เอวํ คณิตนฺติ อยมโตฺถ อธิเปฺปโต, เอวํ สติ คณนนฺตรทสฺสนํ อิทํ สิยา, น อตีตํเสน คณิตปฺปการทสฺสนํ, ตํทสฺสเน ปน สติ ภูตุปาทายรูปปฺปกาเรน อตีตํเส คณิตํ ตํสภาวตฺตาติ อาปนฺนเมว โหติ, น จ เอวํสภาวตา อตีตํเส คณิตตาย การณํ ภวิตุํ อรหติ เอวํสภาวเสฺสว ปจฺจุปฺปนฺนานาคเตสุ คณิตตฺตา สุขาทิสภาวสฺส จ อตีตํเส คณิตตฺตา, ตสฺมา ปุริมนโย เอว ยุโตฺตฯ อชฺฌตฺตพหิทฺธานิเทฺทเสสุปิ ตาทิโส เอวโตฺถ ลพฺภตีติฯ

    Aparo nayo…pe… ettheva gaṇanaṃ gatanti etena atītaṃsenāti bhummatthe karaṇavacananti dasseti. Yena pakārena gaṇanaṃ gataṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘cattāro ca mahābhūtā’’tiādi vuttanti imasmiṃ atthe sati mahābhūtupādāyarūpabhāvo atītakoṭṭhāse gaṇanassa kāraṇanti āpajjati. Na hi atītaṃsānaṃ vedanādīnaṃ nivattanatthaṃ idaṃ vacanaṃ ‘‘yaṃ rūpa’’nti eteneva tesaṃ nivattitattā, nāpi rūpassa aññappakāranivattanatthaṃ sabbappakārassa tattha gaṇitattā, na ca anāgatapaccuppannākāranivattanatthaṃ atītaṃsavacanena taṃnivattanatoti. Atha pana yaṃ atītaṃsena gaṇitaṃ, taṃ cattāro ca…pe… rūpanti evaṃ gaṇitanti ayamattho adhippeto, evaṃ sati gaṇanantaradassanaṃ idaṃ siyā, na atītaṃsena gaṇitappakāradassanaṃ, taṃdassane pana sati bhūtupādāyarūpappakārena atītaṃse gaṇitaṃ taṃsabhāvattāti āpannameva hoti, na ca evaṃsabhāvatā atītaṃse gaṇitatāya kāraṇaṃ bhavituṃ arahati evaṃsabhāvasseva paccuppannānāgatesu gaṇitattā sukhādisabhāvassa ca atītaṃse gaṇitattā, tasmā purimanayo eva yutto. Ajjhattabahiddhāniddesesupi tādiso evattho labbhatīti.

    สุตฺตนฺตปริยายโตติ ปริยายเทสนตฺตา สุตฺตสฺส วุตฺตํฯ อภิธมฺมนิเทฺทสโตติ นิปฺปริยายเทสนตฺตา อภิธมฺมสฺส นิจฺฉเยน เทโส นิเทฺทโสติ กตฺวา วุตฺตํฯ กิญฺจาปีติอาทีสุ อยมธิปฺปาโย – สุตฺตนฺตภาชนียตฺตา ยถา ‘‘อตีตํ นนฺวาคเมยฺยา’’ติอาทีสุ อทฺธานวเสน อตีตาทิภาโวว วุโตฺต, ตถา อิธาปิ นิทฺทิสิตโพฺพ (ม. นิ. ๓.๒๗๒, ๒๗๕; อป. เถร ๒.๕๕.๒๔๔) สิยาฯ เอวํ สเนฺตปิ สุตฺตนฺตภาชนียมฺปิ อภิธมฺมเทสนาเยว สุตฺตเนฺต วุตฺตธเมฺม วิจินิตฺวา วิภชนวเสน ปวตฺตาติ อภิธมฺมนิเทฺทเสเนว อตีตาทิภาโว นิทฺทิโฎฺฐติฯ

    Suttantapariyāyatoti pariyāyadesanattā suttassa vuttaṃ. Abhidhammaniddesatoti nippariyāyadesanattā abhidhammassa nicchayena deso niddesoti katvā vuttaṃ. Kiñcāpītiādīsu ayamadhippāyo – suttantabhājanīyattā yathā ‘‘atītaṃ nanvāgameyyā’’tiādīsu addhānavasena atītādibhāvova vutto, tathā idhāpi niddisitabbo (ma. ni. 3.272, 275; apa. thera 2.55.244) siyā. Evaṃ santepi suttantabhājanīyampi abhidhammadesanāyeva suttante vuttadhamme vicinitvā vibhajanavasena pavattāti abhidhammaniddeseneva atītādibhāvo niddiṭṭhoti.

    อทฺธาสนฺตติสมยขณวเสนาติ เอตฺถ จุติปฎิสนฺธิปริจฺฉิเนฺน กาเล อทฺธา-สโทฺท วตฺตตีติ ‘‘อโหสิํ นุ โข อหมตีตมทฺธาน’’นฺติอาทิสุตฺตวเสน (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) วิญฺญายติฯ ‘‘ตโยเม, ภิกฺขเว, อทฺธาฯ กตเม ตโย? อตีโต อทฺธา, อนาคโต อทฺธา, ปจฺจุปฺปโนฺน อทฺธา’’ติ (อิติวุ. ๖๓; ที. นิ. ๓.๓๐๕) เอตฺถ ปน ปรมตฺถโต ปริจฺฉิชฺชมาโน อทฺธา นิรุตฺติปถสุตฺตวเสน (สํ. นิ. ๓.๖๒) ขณปริจฺฉิโนฺน ยุโตฺตฯ ตตฺถ หิ ‘‘ยํ, ภิกฺขเว, รูปํ ชาตํ ปาตุภูตํ, ‘อตฺถี’ติ ตสฺส สงฺขา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๖๒) วิชฺชมานสฺส ปจฺจุปฺปนฺนตา ตโต ปุเพฺพ ปจฺฉา จ อตีตานาคตตา วุตฺตาติฯ เยภุเยฺยน ปน จุติปฎิสนฺธิปริจฺฉิโนฺน (ที. นิ. ๓.๓๐๕; อิติวุ. ๖๓) สุเตฺตสุ อตีตาทิโก อทฺธา วุโตฺตติ โส เอว อิธาปิ ‘‘อทฺธาวเสนา’’ติ วุโตฺตฯ สีตํ สีตสฺส สภาโค, ตถา อุณฺหํ อุณฺหสฺสฯ ยํ ปน สีตํ อุณฺหํ วา สรีเร สนฺนิปติตํ สนฺตานวเสน ปวตฺตมานํ อนูนํ อนธิกํ เอกาการํ, ตํ เอโก อุตูติ วุจฺจติฯ สภาคอุตุโน อเนกนฺตสภาวโต เอกคหณํ กตํ, เอวํ อาหาเรปิฯ เอกวีถิเอกชวนสมุฎฺฐานนฺติ ปญฺจฉฎฺฐทฺวารวเสน วุตฺตํฯ สนฺตติสมยกถา วิปสฺสกานํ อุปการตฺถาย อฎฺฐกถาสุ กถิตาฯ

    Addhāsantatisamayakhaṇavasenāti ettha cutipaṭisandhiparicchinne kāle addhā-saddo vattatīti ‘‘ahosiṃ nu kho ahamatītamaddhāna’’ntiādisuttavasena (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) viññāyati. ‘‘Tayome, bhikkhave, addhā. Katame tayo? Atīto addhā, anāgato addhā, paccuppanno addhā’’ti (itivu. 63; dī. ni. 3.305) ettha pana paramatthato paricchijjamāno addhā niruttipathasuttavasena (saṃ. ni. 3.62) khaṇaparicchinno yutto. Tattha hi ‘‘yaṃ, bhikkhave, rūpaṃ jātaṃ pātubhūtaṃ, ‘atthī’ti tassa saṅkhā’’ti (saṃ. ni. 3.62) vijjamānassa paccuppannatā tato pubbe pacchā ca atītānāgatatā vuttāti. Yebhuyyena pana cutipaṭisandhiparicchinno (dī. ni. 3.305; itivu. 63) suttesu atītādiko addhā vuttoti so eva idhāpi ‘‘addhāvasenā’’ti vutto. Sītaṃ sītassa sabhāgo, tathā uṇhaṃ uṇhassa. Yaṃ pana sītaṃ uṇhaṃ vā sarīre sannipatitaṃ santānavasena pavattamānaṃ anūnaṃ anadhikaṃ ekākāraṃ, taṃ eko utūti vuccati. Sabhāgautuno anekantasabhāvato ekagahaṇaṃ kataṃ, evaṃ āhārepi. Ekavīthiekajavanasamuṭṭhānanti pañcachaṭṭhadvāravasena vuttaṃ. Santatisamayakathā vipassakānaṃ upakāratthāya aṭṭhakathāsu kathitā.

    นิฎฺฐิตเหตุปจฺจยกิจฺจํ, นิฎฺฐิตเหตุกิจฺจมนิฎฺฐิตปจฺจยกิจฺจํ, อุภยกิจฺจมสมฺปตฺตํ, สกิจฺจกฺขเณ ปจฺจุปฺปนฺนํฯ ชนโก เหตุ, อุปตฺถมฺภโก ปจฺจโย, เตสํ อุปฺปาทนํ อุปตฺถมฺภนญฺจ กิจฺจํฯ ยถา พีชสฺส องฺกุรุปฺปาทนํ ปถวีอาทีนญฺจ ตทุปตฺถมฺภนํ กมฺมสฺส กฎตฺตารูปวิปากุปฺปาทนํ อาหาราทีนํ ตทุปตฺถมฺภนํ, เอวํ เอเกกสฺส กลาปสฺส จิตฺตุปฺปาทสฺส จ ชนกานํ กมฺมานนฺตราทิปจฺจยภูตานํ อุปตฺถมฺภกานญฺจ สหชาตปุเรชาตปจฺฉาชาตานํ กิจฺจํ ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ อุปฺปาทกฺขเณ เหตุกิจฺจํ ทฎฺฐพฺพํ, ตีสุปิ ขเณสุ ปจฺจยกิจฺจํฯ ปถวีอาทีนํ สนฺธารณาทิกํ ผสฺสาทีนํ ผุสนาทิกญฺจ อตฺตโน อตฺตโน กิจฺจํ สกิจฺจํ, ตสฺส กรณกฺขโณ สกิจฺจกฺขโณฯ สห วา กิเจฺจน สกิจฺจํ, ยสฺมิํ ขเณ สกิจฺจํ รูปํ วา อรูปํ วา โหติ, โส สกิจฺจกฺขโณ, ตสฺมิํ ขเณ ปจฺจุปฺปนฺนํ

    Niṭṭhitahetupaccayakiccaṃ, niṭṭhitahetukiccamaniṭṭhitapaccayakiccaṃ, ubhayakiccamasampattaṃ, sakiccakkhaṇe paccuppannaṃ. Janako hetu, upatthambhako paccayo, tesaṃ uppādanaṃ upatthambhanañca kiccaṃ. Yathā bījassa aṅkuruppādanaṃ pathavīādīnañca tadupatthambhanaṃ kammassa kaṭattārūpavipākuppādanaṃ āhārādīnaṃ tadupatthambhanaṃ, evaṃ ekekassa kalāpassa cittuppādassa ca janakānaṃ kammānantarādipaccayabhūtānaṃ upatthambhakānañca sahajātapurejātapacchājātānaṃ kiccaṃ yathāsambhavaṃ yojetabbaṃ. Tattha uppādakkhaṇe hetukiccaṃ daṭṭhabbaṃ, tīsupi khaṇesu paccayakiccaṃ. Pathavīādīnaṃ sandhāraṇādikaṃ phassādīnaṃ phusanādikañca attano attano kiccaṃ sakiccaṃ, tassa karaṇakkhaṇo sakiccakkhaṇo. Saha vā kiccena sakiccaṃ, yasmiṃ khaṇe sakiccaṃ rūpaṃ vā arūpaṃ vā hoti, so sakiccakkhaṇo, tasmiṃ khaṇe paccuppannaṃ.

    . เอตฺตกเมวาติ ‘‘เตสํ เตส’’นฺติ อิมินา อาเมฑิตวจเนน อภิพฺยาปนเตฺถน วุตฺตตฺถเมวฯ ‘‘อปรสฺส อปรสฺสา’’ติ ทีปนํ อปรทีปนํปริเยสตูติ เอเตน ปริเยสนาย อนิฎฺฐนามนิวตฺตนสฺส อการณภาวํ ทเสฺสติฯ กมฺมโทเสน หิ จิตฺตวิปลฺลาสโทเสน จ คูถภกฺขปาณาทโย อุมฺมตฺตกาทโย จ ปริเยเสยฺยุํ ทิฎฺฐิวิปลฺลาเสน จ โยนกาทโย น อารมฺมณสฺส ปริเยสิตพฺพสภาวตฺตา, อปริเยสิตพฺพสภาวตฺตา ปน เอตสฺส อนิฎฺฐมิเจฺจว นามนฺติ อโตฺถฯ

    6. Ettakamevāti ‘‘tesaṃ tesa’’nti iminā āmeḍitavacanena abhibyāpanatthena vuttatthameva. ‘‘Aparassa aparassā’’ti dīpanaṃ aparadīpanaṃ. Pariyesatūti etena pariyesanāya aniṭṭhanāmanivattanassa akāraṇabhāvaṃ dasseti. Kammadosena hi cittavipallāsadosena ca gūthabhakkhapāṇādayo ummattakādayo ca pariyeseyyuṃ diṭṭhivipallāsena ca yonakādayo na ārammaṇassa pariyesitabbasabhāvattā, apariyesitabbasabhāvattā pana etassa aniṭṭhamicceva nāmanti attho.

    สมฺปตฺติวิรหโตติ รูปาทีนํ เทวมนุสฺสสมฺปตฺติภเว กุสลกมฺมผลตา สมิทฺธโสภนตา จ สมฺปตฺติ, ตพฺพิรหโตติ อโตฺถฯ ตโต เอว ตํ น ปริเยสิตพฺพนฺติฯ โสภนานิ จ กานิจิ หตฺถิรูปาทีนิ อกุสลกมฺมนิพฺพตฺตานิ น เตสํเยว หตฺถิอาทีนํ สุขสฺส เหตุภาวํ คจฺฉนฺตีติ เตสํ สงฺคณฺหนตฺถํ ‘‘อกนฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ตสฺส ตเสฺสว หิ สตฺตสฺส อตฺตนา กเตน กุสเลน นิพฺพตฺตํ สุขสฺส ปจฺจโย โหติ, อกุสเลน นิพฺพตฺตํ ทุกฺขสฺสฯ ตสฺมา กมฺมชานํ อิฎฺฐานิฎฺฐตา กมฺมการกสตฺตสฺส วเสน โยชนารหา สิยาฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘กุสลกมฺมชํ อนิฎฺฐํ นาม นตฺถี’’ติ อิทเมว วุตฺตํ, น วุตฺตํ ‘‘อกุสลกมฺมชํ อิฎฺฐํ นาม นตฺถี’’ติฯ เตน อกุสลกมฺมชมฺปิ โสภนํ ปรสตฺตานํ อิฎฺฐนฺติ อนุญฺญาตํ ภวิสฺสติฯ กุสลกมฺมชํ ปน สเพฺพสํ อิฎฺฐเมวาติ วทนฺติฯ ติรจฺฉานคตานํ ปน เกสญฺจิ มนุสฺสรูปํ อมนาปํ, ยโต เต ทิสฺวาว ปลายนฺติฯ มนุสฺสา จ เทวตารูปํ ทิสฺวา ภายนฺติ, เตสมฺปิ วิปากวิญฺญาณํ ตํ รูปํ อารพฺภ กุสลวิปากํ อุปฺปชฺชติ, ตาทิสสฺส ปน ปุญฺญสฺส อภาวา น เตสํ ตตฺถ อภิรติ โหตีติ อธิปฺปาโยฯ กุสลกมฺมชสฺส ปน อนิฎฺฐสฺสาภาโว วิย อกุสลกมฺมชสฺส โสภนสฺส อิฎฺฐสฺส อภาโว วตฺตโพฺพฯ หตฺถิอาทีนมฺปิ หิ อกุสลกมฺมชํ มนุสฺสานํ อกุสลวิปากเสฺสว อารมฺมณํ, กุสลกมฺมชํ ปน ปวเตฺต สมุฎฺฐิตํ กุสลวิปากสฺสฯ อิฎฺฐารมฺมเณน ปน โวมิสฺสกตฺตา อปฺปกํ อกุสลกมฺมชํ พหุลํ อกุสลวิปากุปฺปตฺติยา การณํ น ภวิสฺสตีติ สกฺกา วตฺตุนฺติฯ วิปากํ ปน กตฺถจิ น สกฺกา วเญฺจตุนฺติ วิปากวเสน อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมณววตฺถานํ สุฎฺฐุ วุตฺตํฯ ตสฺมา ตํ อนุคนฺตฺวา สพฺพตฺถ อิฎฺฐานิฎฺฐตา โยเชตพฺพาฯ

    Sampattivirahatoti rūpādīnaṃ devamanussasampattibhave kusalakammaphalatā samiddhasobhanatā ca sampatti, tabbirahatoti attho. Tato eva taṃ na pariyesitabbanti. Sobhanāni ca kānici hatthirūpādīni akusalakammanibbattāni na tesaṃyeva hatthiādīnaṃ sukhassa hetubhāvaṃ gacchantīti tesaṃ saṅgaṇhanatthaṃ ‘‘akanta’’nti vuttaṃ. Tassa tasseva hi sattassa attanā katena kusalena nibbattaṃ sukhassa paccayo hoti, akusalena nibbattaṃ dukkhassa. Tasmā kammajānaṃ iṭṭhāniṭṭhatā kammakārakasattassa vasena yojanārahā siyā. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘kusalakammajaṃ aniṭṭhaṃ nāma natthī’’ti idameva vuttaṃ, na vuttaṃ ‘‘akusalakammajaṃ iṭṭhaṃ nāma natthī’’ti. Tena akusalakammajampi sobhanaṃ parasattānaṃ iṭṭhanti anuññātaṃ bhavissati. Kusalakammajaṃ pana sabbesaṃ iṭṭhamevāti vadanti. Tiracchānagatānaṃ pana kesañci manussarūpaṃ amanāpaṃ, yato te disvāva palāyanti. Manussā ca devatārūpaṃ disvā bhāyanti, tesampi vipākaviññāṇaṃ taṃ rūpaṃ ārabbha kusalavipākaṃ uppajjati, tādisassa pana puññassa abhāvā na tesaṃ tattha abhirati hotīti adhippāyo. Kusalakammajassa pana aniṭṭhassābhāvo viya akusalakammajassa sobhanassa iṭṭhassa abhāvo vattabbo. Hatthiādīnampi hi akusalakammajaṃ manussānaṃ akusalavipākasseva ārammaṇaṃ, kusalakammajaṃ pana pavatte samuṭṭhitaṃ kusalavipākassa. Iṭṭhārammaṇena pana vomissakattā appakaṃ akusalakammajaṃ bahulaṃ akusalavipākuppattiyā kāraṇaṃ na bhavissatīti sakkā vattunti. Vipākaṃ pana katthaci na sakkā vañcetunti vipākavasena iṭṭhāniṭṭhārammaṇavavatthānaṃ suṭṭhu vuttaṃ. Tasmā taṃ anugantvā sabbattha iṭṭhāniṭṭhatā yojetabbā.

    อนิฎฺฐา ปญฺจ กามคุณาติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ ‘‘จกฺขุวิเญฺญยฺยานิ รูปานิ อิฎฺฐานี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๖๖; ๒.๑๕๕; ๓.๑๙๐; สํ. นิ. ๕.๓๐) เอวมาทินา อิฎฺฐาเนว รูปาทีนิ ‘‘กามคุณา’’ติ วุตฺตานีติ? กามคุณสทิเสสุ กามคุณโวหารโต, สทิสตา จ รูปาทิภาโวเยว , น อิฎฺฐตาฯ ‘‘อนิฎฺฐา’’ติ วา วจเนน อกามคุณตา ทสฺสิตาติ กามคุณวิสภาคา รูปาทโย ‘‘กามคุณา’’ติ วุตฺตา อสิเว ‘‘สิวา’’ติ โวหาโร วิยฯ สพฺพานิ วา อิฎฺฐานิฎฺฐานิ รูปาทีนิ ตณฺหาวตฺถุภาวโต กามคุณาเยวฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘รูปา โลเก ปิยรูปํ สาตรูป’’นฺติอาทิ (ที. นิ. ๒.๔๐๐; ม. นิ. ๑.๑๓๓; วิภ. ๒๐๓)ฯ อติสเยน ปน กามนียตฺตา สุเตฺตสุ ‘‘กามคุณา’’ติ อิฎฺฐานิ รูปาทีนิ วุตฺตานีติฯ

    Aniṭṭhā pañca kāmaguṇāti kasmā vuttaṃ, nanu ‘‘cakkhuviññeyyāni rūpāni iṭṭhānī’’ti (ma. ni. 1.166; 2.155; 3.190; saṃ. ni. 5.30) evamādinā iṭṭhāneva rūpādīni ‘‘kāmaguṇā’’ti vuttānīti? Kāmaguṇasadisesu kāmaguṇavohārato, sadisatā ca rūpādibhāvoyeva , na iṭṭhatā. ‘‘Aniṭṭhā’’ti vā vacanena akāmaguṇatā dassitāti kāmaguṇavisabhāgā rūpādayo ‘‘kāmaguṇā’’ti vuttā asive ‘‘sivā’’ti vohāro viya. Sabbāni vā iṭṭhāniṭṭhāni rūpādīni taṇhāvatthubhāvato kāmaguṇāyeva. Vuttañhi ‘‘rūpā loke piyarūpaṃ sātarūpa’’ntiādi (dī. ni. 2.400; ma. ni. 1.133; vibha. 203). Atisayena pana kāmanīyattā suttesu ‘‘kāmaguṇā’’ti iṭṭhāni rūpādīni vuttānīti.

    ทฺวีสุปิ หีนปณีตปเทสุ ‘‘อกุสลกมฺมชวเสน กุสลกมฺมชวเสนา’’ติ วจนํ ‘‘เตสํ เตสํ สตฺตาน’’นฺติ สตฺตวเสน นิยเมตฺวา วิภชิตตฺตา, อยญฺจโตฺถ ‘‘เตสํ เตส’’นฺติ อวยวโยเค สามิวจนํ กตฺวา วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ สตฺตสนฺตานปริยาปเนฺนสุ กมฺมชํ วิสิฎฺฐนฺติ ‘‘กมฺมชวเสนา’’ติ วุตฺตํฯ ยทิ ปน เตหิ เตหีติ เอตสฺมิํ อเตฺถ เตสํ เตสนฺติ สามิวจนํ, วิสยวิสยีสมฺพเนฺธ วา, น กมฺมชวเสเนว รูปาทีนิ วิภตฺตานิ, สเพฺพสํ ปน อินฺทฺริยพทฺธานํ วเสน วิภตฺตานีติ วิญฺญายนฺติฯ เอตฺถ จ ปากเฎหิ รูปาทีหิ นโย ทสฺสิโตติ จกฺขาทีสุปิ หีนปณีตตา โยเชตพฺพาฯ

    Dvīsupi hīnapaṇītapadesu ‘‘akusalakammajavasena kusalakammajavasenā’’ti vacanaṃ ‘‘tesaṃ tesaṃ sattāna’’nti sattavasena niyametvā vibhajitattā, ayañcattho ‘‘tesaṃ tesa’’nti avayavayoge sāmivacanaṃ katvā vuttoti veditabbo. Sattasantānapariyāpannesu kammajaṃ visiṭṭhanti ‘‘kammajavasenā’’ti vuttaṃ. Yadi pana tehi tehīti etasmiṃ atthe tesaṃ tesanti sāmivacanaṃ, visayavisayīsambandhe vā, na kammajavaseneva rūpādīni vibhattāni, sabbesaṃ pana indriyabaddhānaṃ vasena vibhattānīti viññāyanti. Ettha ca pākaṭehi rūpādīhi nayo dassitoti cakkhādīsupi hīnapaṇītatā yojetabbā.

    มนาปปริยนฺตนฺติ มนาปํ ปริยนฺตํ มริยาทาภูตํ ปญฺจสุ กามคุเณสุ วทามีติ อโตฺถฯ กิํ การณนฺติ? ยสฺมา เต เอกจฺจสฺส มนาปา โหนฺติ, เอกจฺจสฺส อมนาปา, ยสฺส เยว มนาปา, ตสฺส เตว ปรมา, ตสฺมา ตสฺส ตสฺส อชฺฌาสยวเสน กามคุณานํ ปรมตา โหติ, น เตสํเยว สภาวโตฯ

    Manāpapariyantanti manāpaṃ pariyantaṃ mariyādābhūtaṃ pañcasu kāmaguṇesu vadāmīti attho. Kiṃ kāraṇanti? Yasmā te ekaccassa manāpā honti, ekaccassa amanāpā, yassa yeva manāpā, tassa teva paramā, tasmā tassa tassa ajjhāsayavasena kāmaguṇānaṃ paramatā hoti, na tesaṃyeva sabhāvato.

    เอวนฺติ อิมสฺมิํ สุเตฺต วุตฺตนเยนฯ เอกสฺมิํเยว อสฺสาทนกุชฺฌนโต อารมฺมณสภาวเสฺสว อิฎฺฐานิฎฺฐาภาวโต อนิฎฺฐํ ‘‘อิฎฺฐ’’นฺติ คหณโต จ, อิฎฺฐํ ‘‘อนิฎฺฐ’’นฺติ คหณโต จ อิฎฺฐานิฎฺฐํ นาม ปาฎิเยกฺกํ ปฎิวิภตฺตํ นตฺถีติ อโตฺถฯ สญฺญาวิปลฺลาเสน จาติอาทินา นิพฺพาเน วิย อเญฺญสุ อารมฺมเณสุ สญฺญาวิปลฺลาเสน อิฎฺฐานิฎฺฐคฺคหณํ โหติฯ ปิตฺตุมฺมตฺตาทีนํ ขีรสกฺกราทีสุ โทสุสฺสทสมุฎฺฐิตสญฺญาวิปลฺลาสวเสน ติตฺตคฺคหณํ วิยาติ อิมมตฺถํ สนฺธาย มนาปปริยนฺตตา วุตฺตาติ ทเสฺสติฯ

    Evanti imasmiṃ sutte vuttanayena. Ekasmiṃyeva assādanakujjhanato ārammaṇasabhāvasseva iṭṭhāniṭṭhābhāvato aniṭṭhaṃ ‘‘iṭṭha’’nti gahaṇato ca, iṭṭhaṃ ‘‘aniṭṭha’’nti gahaṇato ca iṭṭhāniṭṭhaṃ nāma pāṭiyekkaṃ paṭivibhattaṃ natthīti attho. Saññāvipallāsena cātiādinā nibbāne viya aññesu ārammaṇesu saññāvipallāsena iṭṭhāniṭṭhaggahaṇaṃ hoti. Pittummattādīnaṃ khīrasakkarādīsu dosussadasamuṭṭhitasaññāvipallāsavasena tittaggahaṇaṃ viyāti imamatthaṃ sandhāya manāpapariyantatā vuttāti dasseti.

    วิภตฺตํ อตฺถีติ จ ววตฺถิตํ อตฺถีติ อโตฺถ, อฎฺฐกถาจริเยหิ วิภตฺตํ ปกาสิตนฺติ วาฯ ตญฺจ มชฺฌิมกสตฺตสฺส วเสน ววตฺถิตํ ปกาสิตญฺจ, อเญฺญสญฺจ วิปลฺลาสวเสน อิทํ อิฎฺฐํ อนิฎฺฐญฺจ โหตีติ อธิปฺปาโยฯ เอวํ ววตฺถิตสฺส ปนิฎฺฐานิฎฺฐสฺส อนิฎฺฐํ อิฎฺฐนฺติ จ คหเณ น เกวลํ สญฺญาวิปลฺลาโสว การณํ, ธาตุโกฺขภวเสน อินฺทฺริยวิการาปตฺติอาทินา กุสลากุสลวิปากุปฺปตฺติเหตุภาโวปีติ สกฺกา วตฺตุํฯ ตถา หิ สีตุทกํ ฆมฺมาภิตตฺตานํ กุสลวิปากสฺส กายวิญฺญาณสฺส เหตุ โหติ, สีตาภิภูตานํ อกุสลวิปากสฺสฯ ตูลปิจุสมฺผโสฺส วเณ ทุโกฺข นิวเณ สุโข, มุทุตรุณหตฺถสมฺพาหนญฺจ สุขํ อุปฺปาเทติ, เตเนว หเตฺถน ปหรณํ ทุกฺขํ, ตสฺมา วิปากวเสน อารมฺมณววตฺถานํ ยุตฺตํฯ

    Vibhattaṃatthīti ca vavatthitaṃ atthīti attho, aṭṭhakathācariyehi vibhattaṃ pakāsitanti vā. Tañca majjhimakasattassa vasena vavatthitaṃ pakāsitañca, aññesañca vipallāsavasena idaṃ iṭṭhaṃ aniṭṭhañca hotīti adhippāyo. Evaṃ vavatthitassa paniṭṭhāniṭṭhassa aniṭṭhaṃ iṭṭhanti ca gahaṇe na kevalaṃ saññāvipallāsova kāraṇaṃ, dhātukkhobhavasena indriyavikārāpattiādinā kusalākusalavipākuppattihetubhāvopīti sakkā vattuṃ. Tathā hi sītudakaṃ ghammābhitattānaṃ kusalavipākassa kāyaviññāṇassa hetu hoti, sītābhibhūtānaṃ akusalavipākassa. Tūlapicusamphasso vaṇe dukkho nivaṇe sukho, mudutaruṇahatthasambāhanañca sukhaṃ uppādeti, teneva hatthena paharaṇaṃ dukkhaṃ, tasmā vipākavasena ārammaṇavavatthānaṃ yuttaṃ.

    กิญฺจาปีติอาทินา สติปิ สญฺญาวิปลฺลาเส พุทฺธรูปทสฺสนาทีสุ กุสลวิปากเสฺสว คูถทสฺสนาทีสุ จ อกุสลวิปากสฺส อุปฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต เตน วิปาเกน อารมฺมณสฺส อิฎฺฐานิฎฺฐตํ ทเสฺสติฯ วิชฺชมาเนปิ สญฺญาวิปลฺลาเส อารมฺมเณน วิปากนิยมทสฺสนํ อารมฺมณนิยมทสฺสนตฺถเมว กตนฺติฯ

    Kiñcāpītiādinā satipi saññāvipallāse buddharūpadassanādīsu kusalavipākasseva gūthadassanādīsu ca akusalavipākassa uppattiṃ dassento tena vipākena ārammaṇassa iṭṭhāniṭṭhataṃ dasseti. Vijjamānepi saññāvipallāse ārammaṇena vipākaniyamadassanaṃ ārammaṇaniyamadassanatthameva katanti.

    อปิจ ทฺวารวเสนปีติอาทินา ทฺวารนฺตเร ทุกฺขสฺส สุขสฺส จ ปจฺจยภูตสฺส ทฺวารนฺตเร สุขทุกฺขวิปากุปฺปาทนโต วิปาเกน อารมฺมณนิยมทสฺสเนน เอกสฺมิํเยว จ ทฺวาเร สมานเสฺสว มณิรตนาทิโผฎฺฐพฺพสฺส สณิกํ ผุสเน โปถเน จ สุขทุกฺขุปฺปาทนโต วิปากวเสน อิฎฺฐานิฎฺฐตา ทสฺสิตาติ วิญฺญายติฯ

    Apica dvāravasenapītiādinā dvārantare dukkhassa sukhassa ca paccayabhūtassa dvārantare sukhadukkhavipākuppādanato vipākena ārammaṇaniyamadassanena ekasmiṃyeva ca dvāre samānasseva maṇiratanādiphoṭṭhabbassa saṇikaṃ phusane pothane ca sukhadukkhuppādanato vipākavasena iṭṭhāniṭṭhatā dassitāti viññāyati.

    เหฎฺฐิมนโยติ มชฺฌิมกสตฺตสฺส วิปากสฺส จ วเสน ววตฺถิตํ อารมฺมณํ คเหตฺวา ‘‘เตสํ เตสํ สตฺตานํ อุญฺญาต’’นฺติ (วิภ. ๖) จ อาทินา วุตฺตนโยฯ สมฺมุติมนาปนฺติ มชฺฌิมกสตฺตสฺส วิปากสฺส จ วเสน สมฺมตํ ววตฺถิตํ มนาปํ, ตํ ปน สภาเวเนว ววตฺถิตนฺติ อภินฺทิตพฺพโตว น ภินฺทตีติ อธิปฺปาโยฯ สญฺญาวิปลฺลาเสน เนรยิกาทีหิปิ ปุคฺคเลหิ มนาปนฺติ คหิตํ ปุคฺคลมนาปํ ‘‘ตํ ตํ วา ปนา’’ติอาทินา ภินฺทติฯ เวมานิกเปตรูปมฺปิ อกุสลกมฺมชตฺตา กมฺมการณาทิทุกฺขวตฺถุภาวโต จ ‘‘มนุสฺสรูปโต หีน’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Heṭṭhimanayoti majjhimakasattassa vipākassa ca vasena vavatthitaṃ ārammaṇaṃ gahetvā ‘‘tesaṃ tesaṃ sattānaṃ uññāta’’nti (vibha. 6) ca ādinā vuttanayo. Sammutimanāpanti majjhimakasattassa vipākassa ca vasena sammataṃ vavatthitaṃ manāpaṃ, taṃ pana sabhāveneva vavatthitanti abhinditabbatova na bhindatīti adhippāyo. Saññāvipallāsena nerayikādīhipi puggalehi manāpanti gahitaṃ puggalamanāpaṃ ‘‘taṃ taṃ vā panā’’tiādinā bhindati. Vemānikapetarūpampi akusalakammajattā kammakāraṇādidukkhavatthubhāvato ca ‘‘manussarūpato hīna’’nti vuttaṃ.

    . โอฬาริกรูปานํ วตฺถารมฺมณปฎิฆาตวเสน สุปริคฺคหิตตา, สุขุมานํ ตถา อภาวโต ทุปฺปริคฺคหิตตา จ โยเชตพฺพาฯ ทุปฺปริคฺคหเฎฺฐเนว ลกฺขณทุปฺปฎิวิชฺฌนตา ทฎฺฐพฺพาฯ ทสวิธนฺติ ‘‘ทูเร’’ติ อวุตฺตสฺส ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ วุตฺตมฺปิ ปน โอกาสโต ทูเร โหติเยวฯ

    7. Oḷārikarūpānaṃ vatthārammaṇapaṭighātavasena supariggahitatā, sukhumānaṃ tathā abhāvato duppariggahitatā ca yojetabbā. Duppariggahaṭṭheneva lakkhaṇaduppaṭivijjhanatā daṭṭhabbā. Dasavidhanti ‘‘dūre’’ti avuttassa dassanatthaṃ vuttaṃ. Vuttampi pana okāsato dūre hotiyeva.

    เหฎฺฐิมนโยติ ‘‘อิตฺถินฺทฺริยํ…เป.… อิทํ วุจฺจติ รูปํ สนฺติเก’’ติ (วิภ. ๗) เอวํ ลกฺขณโต ทฺวาทสหตฺถวเสน ววตฺถิตโอกาสโต จ ทเสฺสตฺวา นิยฺยาติตนโยฯ โส ลกฺขโณกาสวเสน ทูรสนฺติเกน สห คเหตฺวา นิยฺยาติตตฺตา ภินฺทมาโน มิสฺสกํ กโรโนฺต คโตฯ อถ วา ภินฺทมาโนติ สรูปทสฺสเนน ลกฺขณโต เยวาปนเกน โอกาสโตติ เอวํ ลกฺขณโต โอกาสโต จ วิสุํ กโรโนฺต คโตติ อโตฺถฯ อถ วา ลกฺขณโต สนฺติกทูรานํ โอกาสโต ทูรสนฺติกภาวกรเณน สนฺติกภาวํ ภินฺทิตฺวา ทูรภาวํ, ทูรภาวญฺจ ภินฺทิตฺวา สนฺติกภาวํ กโรโนฺต ปวโตฺตติ ‘‘ภินฺทมาโน คโต’’ติ วุตฺตํฯ อิธ ปนาติ ‘‘ตํ ตํ วา ปน รูปํ อุปาทาย อุปาทายา’’ติ อิธ ปุริมนเยน ลกฺขณโต ทูรํ โอกาสโต สนฺติกภาวกรเณน น ภินฺทติ ภควา, น จ โอกาสทูรโต วิสุํ กรเณน, นาปิ โอกาสทูเรน โวมิสฺสกกรเณนาติ อโตฺถฯ กิํ ปน กโรตีติ? โอกาสโต ทูรเมว ภินฺทติฯ เอตฺถ ปน น ปุเพฺพ วุตฺตนเยน ติธา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ น หิ โอกาสโต ทูรํ ลกฺขณโต สนฺติกํ กโรติ, ลกฺขณโต วา วิสุํ เตน วา โวมิสฺสกนฺติฯ โอกาสโต ทูรสฺส ปน โอกาสโตว สนฺติกภาวกรณํ อิธ ‘‘เภทน’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ อิธ ปน น ลกฺขณโต ทูรํ ภินฺทตีติ เอตฺถาปิ วา น ปุเพฺพ วุตฺตนเยน ติธา เภทสฺส อกรณํ วุตฺตํ, ลกฺขณโต สนฺติกทูรานํ ปน ลกฺขณโต อุปาทายุปาทาย ทูรสนฺติกภาโว นตฺถีติ ลกฺขณโต ทูรสฺส ลกฺขณโตว สนฺติกภาวากรณํ ลกฺขณโต ทูรสฺส อเภทนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปุริมนโย วิย อยํ นโย น โหตีติ เอตฺตกเมว หิ เอตฺถ ทเสฺสตีติ ภินฺทมาโนติ เอตฺถ จ อญฺญถา เภทนํ วุตฺตํ, เภทนํ อิธ จ อญฺญถา วุตฺตนฺติฯ

    Heṭṭhimanayoti ‘‘itthindriyaṃ…pe… idaṃ vuccati rūpaṃ santike’’ti (vibha. 7) evaṃ lakkhaṇato dvādasahatthavasena vavatthitaokāsato ca dassetvā niyyātitanayo. So lakkhaṇokāsavasena dūrasantikena saha gahetvā niyyātitattā bhindamāno missakaṃ karonto gato. Atha vā bhindamānoti sarūpadassanena lakkhaṇato yevāpanakena okāsatoti evaṃ lakkhaṇato okāsato ca visuṃ karonto gatoti attho. Atha vā lakkhaṇato santikadūrānaṃ okāsato dūrasantikabhāvakaraṇena santikabhāvaṃ bhinditvā dūrabhāvaṃ, dūrabhāvañca bhinditvā santikabhāvaṃ karonto pavattoti ‘‘bhindamāno gato’’ti vuttaṃ. Idha panāti ‘‘taṃ taṃ vā pana rūpaṃ upādāya upādāyā’’ti idha purimanayena lakkhaṇato dūraṃ okāsato santikabhāvakaraṇena na bhindati bhagavā, na ca okāsadūrato visuṃ karaṇena, nāpi okāsadūrena vomissakakaraṇenāti attho. Kiṃ pana karotīti? Okāsato dūrameva bhindati. Ettha pana na pubbe vuttanayena tidhā attho daṭṭhabbo. Na hi okāsato dūraṃ lakkhaṇato santikaṃ karoti, lakkhaṇato vā visuṃ tena vā vomissakanti. Okāsato dūrassa pana okāsatova santikabhāvakaraṇaṃ idha ‘‘bhedana’’nti veditabbaṃ. Idha pana na lakkhaṇato dūraṃ bhindatīti etthāpi vā na pubbe vuttanayena tidhā bhedassa akaraṇaṃ vuttaṃ, lakkhaṇato santikadūrānaṃ pana lakkhaṇato upādāyupādāya dūrasantikabhāvo natthīti lakkhaṇato dūrassa lakkhaṇatova santikabhāvākaraṇaṃ lakkhaṇato dūrassa abhedananti daṭṭhabbaṃ. Purimanayo viya ayaṃ nayo na hotīti ettakameva hi ettha dassetīti bhindamānoti ettha ca aññathā bhedanaṃ vuttaṃ, bhedanaṃ idha ca aññathā vuttanti.

    รูปกฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Rūpakkhandhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒. เวทนากฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา

    2. Vedanākkhandhaniddesavaṇṇanā

    . จกฺขาทโย ปสาทา โอฬาริกมโนมยตฺตภาวปริยาปนฺนา กายโวหารํ อรหนฺตีติ ตพฺพตฺถุกา อทุกฺขมสุขา ‘‘กายิกา’’ติ ปริยาเยน วุตฺตา, น กายปสาทวตฺถุกตฺตาฯ น หิ จกฺขาทโย กายปสาทา โหนฺตีติฯ สนฺตติวเสน ขณาทิวเสน จาติ เอตฺถ อทฺธาสมยวเสน อตีตาทิภาวสฺส อวจนํ สุขาทิวเสน ภินฺนาย อตีตาทิภาววจนโตฯ น หิ สุขาเยว อทฺธาวเสน สมยวเสน จ อตีตาทิกา โหติ, ตถา ทุกฺขา อทุกฺขมสุขา จ กายิกเจตสิกาทิภาเวน ภินฺนาฯ เตน เวทนาสมุทโย อทฺธาสมยวเสน อตีตาทิภาเวน วตฺตพฺพตํ อรหติ สมุทายสฺส เตหิ ปริจฺฉินฺทิตพฺพตฺตา, เวทเนกเทสา ปน เอตฺถ คหิตาติ เต สนฺตติขเณหิ ปริเจฺฉทํ อรหนฺติ ตตฺถ ตถาปริจฺฉินฺทิตพฺพานํ คหิตตฺตาติฯ เอกสนฺตติยํ ปน สุขาทิอเนกเภทสพฺภาเวน เตสุ โย เภโท ปริจฺฉินฺทิตพฺพภาเวน คหิโต, ตสฺส เอกปฺปการสฺส ปากฎสฺส ปริเจฺฉทิกา ตํสหิตทฺวาราลมฺพนปฺปวตฺตา, อวิเจฺฉเทน ตทุปฺปาทเกกวิธวิสยสมาโยคปฺปวตฺตา จ สนฺตติ ภวิตุํ อรหตีติ ตสฺส เภทนฺตรํ อนามสิตฺวา ปริเจฺฉทกภาเวน คหณํ กตํฯ ลหุปริวตฺติโน วา ธมฺมา ปริวตฺตเนเนว ปริเจฺฉทํ อรหนฺตีติ สนฺตติขณวเสน ปริเจฺฉโท วุโตฺตฯ ปุพฺพนฺตาปรนฺตมชฺฌคตาติ เอเตน เหตุปจฺจยกิจฺจวเสน วุตฺตนยํ ทเสฺสติฯ

    8. Cakkhādayo pasādā oḷārikamanomayattabhāvapariyāpannā kāyavohāraṃ arahantīti tabbatthukā adukkhamasukhā ‘‘kāyikā’’ti pariyāyena vuttā, na kāyapasādavatthukattā. Na hi cakkhādayo kāyapasādā hontīti. Santativasena khaṇādivasena cāti ettha addhāsamayavasena atītādibhāvassa avacanaṃ sukhādivasena bhinnāya atītādibhāvavacanato. Na hi sukhāyeva addhāvasena samayavasena ca atītādikā hoti, tathā dukkhā adukkhamasukhā ca kāyikacetasikādibhāvena bhinnā. Tena vedanāsamudayo addhāsamayavasena atītādibhāvena vattabbataṃ arahati samudāyassa tehi paricchinditabbattā, vedanekadesā pana ettha gahitāti te santatikhaṇehi paricchedaṃ arahanti tattha tathāparicchinditabbānaṃ gahitattāti. Ekasantatiyaṃ pana sukhādianekabhedasabbhāvena tesu yo bhedo paricchinditabbabhāvena gahito, tassa ekappakārassa pākaṭassa paricchedikā taṃsahitadvārālambanappavattā, avicchedena taduppādakekavidhavisayasamāyogappavattā ca santati bhavituṃ arahatīti tassa bhedantaraṃ anāmasitvā paricchedakabhāvena gahaṇaṃ kataṃ. Lahuparivattino vā dhammā parivattaneneva paricchedaṃ arahantīti santatikhaṇavasena paricchedo vutto. Pubbantāparantamajjhagatāti etena hetupaccayakiccavasena vuttanayaṃ dasseti.

    ๑๑. กิเลสคฺคิสมฺปโยคโต สทรถาฯ เอเตน สภาวโต โอฬาริกตํ ทเสฺสติ, ทุกฺขวิปากเฎฺฐนาติ เอเตน โอฬาริกวิปากนิปฺผาทเนน กิจฺจโตฯ กมฺมเวคกฺขิตฺตา กมฺมปฎิพทฺธภูตา จ กายกมฺมาทิพฺยาปารวิรหโต นิรุสฺสาหา วิปากา, สอุสฺสาหา จ กิริยา อวิปากาฯ สวิปากา จ สคพฺภา วิย โอฬาริกาติ ตพฺพิปกฺขโต อวิปากา สุขุมาติ วุตฺตาฯ

    11. Kilesaggisampayogato sadarathā. Etena sabhāvato oḷārikataṃ dasseti, dukkhavipākaṭṭhenāti etena oḷārikavipākanipphādanena kiccato. Kammavegakkhittā kammapaṭibaddhabhūtā ca kāyakammādibyāpāravirahato nirussāhā vipākā, saussāhā ca kiriyā avipākā. Savipākā ca sagabbhā viya oḷārikāti tabbipakkhato avipākā sukhumāti vuttā.

    อสาตเฎฺฐนาติ อมธุรเฎฺฐนฯ เตน สาตปฎิปกฺขํ อนิฎฺฐสภาวํ ทเสฺสติฯ ทุกฺขเฎฺฐนาติ ทุกฺขมเฎฺฐนฯ เตน ทุกฺขานํ สนฺตาปนกิจฺจํ ทเสฺสติฯ ‘‘ยายํ, ภเนฺต, อทุกฺขมสุขา เวทนา, สนฺตสฺมิํ เอสา ปณีเต สุเข วุตฺตา ภควตา’’ติ (ม. นิ. ๒.๘๘; สํ. นิ. ๔.๒๖๗) วจนโต อทุกฺขมสุขา ผรณสภาววิรหโต อสนฺตานํ กามราคปฎิฆานุสยานํ อนุสยนสฺส อฎฺฐานตฺตา สนฺตา, สุเข นิกนฺติํ ปริยาทาย อธิคนฺตพฺพตฺตา ปธานภาวํ นีตาติ ปณีตาติฯ ตถา อนธิคนฺตพฺพา จ กามาวจรชาติอาทิสงฺกรํ อกตฺวา สมานชาติยํ ญาณสมฺปยุตฺตวิปฺปยุตฺตาทิเก สมานเภเท สุขโต ปณีตาติ โยเชตพฺพาฯ อุปพฺรูหิตานํ ธาตูนํ ปจฺจยภาเวน สุขา โขเภติ วิพาธิตานํ ปจฺจยภาเวน ทุกฺขา จฯ อุภยมฺปิ กายํ พฺยาเปนฺตํ วิย อุปฺปชฺชตีติ ผรติฯ มทยมานนฺติ มทํ กโรนฺตํฯ ฉาทยมานนฺติ อิจฺฉํ อุปฺปาเทนฺตํ, อวตฺถรมานํ วาฯ ฆมฺมาภิตตฺตสฺส สีโตทกฆเฎน อาสิตฺตสฺส ยถา กาโย อุปพฺรูหิโต โหติ, เอวํ สุขสมงฺคิโนปีติ กตฺวา ‘‘อาสิญฺจมานํ วิยา’’ติ วุตฺตํฯ เอกตฺตนิมิเตฺตเยวาติ ปถวีกสิณาทิเก เอกสภาเว เอว นิมิเตฺตฯ จรตีติ นานาวชฺชเน ชวเน เวทนา วิย วิปฺผนฺทนรหิตตฺตา สุขุมา

    Asātaṭṭhenāti amadhuraṭṭhena. Tena sātapaṭipakkhaṃ aniṭṭhasabhāvaṃ dasseti. Dukkhaṭṭhenāti dukkhamaṭṭhena. Tena dukkhānaṃ santāpanakiccaṃ dasseti. ‘‘Yāyaṃ, bhante, adukkhamasukhā vedanā, santasmiṃ esā paṇīte sukhe vuttā bhagavatā’’ti (ma. ni. 2.88; saṃ. ni. 4.267) vacanato adukkhamasukhā pharaṇasabhāvavirahato asantānaṃ kāmarāgapaṭighānusayānaṃ anusayanassa aṭṭhānattā santā, sukhe nikantiṃ pariyādāya adhigantabbattā padhānabhāvaṃ nītāti paṇītāti. Tathā anadhigantabbā ca kāmāvacarajātiādisaṅkaraṃ akatvā samānajātiyaṃ ñāṇasampayuttavippayuttādike samānabhede sukhato paṇītāti yojetabbā. Upabrūhitānaṃ dhātūnaṃ paccayabhāvena sukhā khobheti vibādhitānaṃ paccayabhāvena dukkhā ca. Ubhayampi kāyaṃ byāpentaṃ viya uppajjatīti pharati. Madayamānanti madaṃ karontaṃ. Chādayamānanti icchaṃ uppādentaṃ, avattharamānaṃ vā. Ghammābhitattassa sītodakaghaṭena āsittassa yathā kāyo upabrūhito hoti, evaṃ sukhasamaṅginopīti katvā ‘‘āsiñcamānaṃ viyā’’ti vuttaṃ. Ekattanimitteyevāti pathavīkasiṇādike ekasabhāve eva nimitte. Caratīti nānāvajjane javane vedanā viya vipphandanarahitattā sukhumā.

    อธิปฺปาเย อกุสลตาย อโกวิโทฯ กุสลตฺติเก…เป.… อาคตตฺตาติ ‘‘กุสลากุสลา เวทนา โอฬาริกา, อพฺยากตา เวทนา สุขุมา’’ติ เอวํ อาคตตฺตาฯ ภูมนฺตรเภเท ทเสฺสตุํ ‘‘ยมฺปี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ อิมินา นีหาเรนาติ เอเตน ‘‘กามาวจรสุขโต กามาวจรุเปกฺขา สุขุมา’’ติอาทินา สภาวาทิเภเทน จ โอฬาริกสุขุมภาวํ ตตฺร ตเตฺรว กเถโนฺต น ภินฺทตีติ นยํ ทเสฺสติฯ

    Adhippāye akusalatāya akovido. Kusalattike…pe… āgatattāti ‘‘kusalākusalā vedanā oḷārikā, abyākatā vedanā sukhumā’’ti evaṃ āgatattā. Bhūmantarabhede dassetuṃ ‘‘yampī’’tiādi āraddhaṃ. Iminā nīhārenāti etena ‘‘kāmāvacarasukhato kāmāvacarupekkhā sukhumā’’tiādinā sabhāvādibhedena ca oḷārikasukhumabhāvaṃ tatra tatreva kathento na bhindatīti nayaṃ dasseti.

    โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกา กถิตา, ตสฺมา เอกนฺตปณีเต หีนปณีตานํ อุทฺธฎตฺตา เอวเมว เอกนฺตหีเน จ ยถาสมฺภวํ หีนปณีตตา อุทฺธริตพฺพาติ อนุญฺญาตํ โหตีติ อุภยตฺถ ตทุทฺธรเณ น กุกฺกุจฺจายิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ

    Lokiyalokuttaramissakā kathitā, tasmā ekantapaṇīte hīnapaṇītānaṃ uddhaṭattā evameva ekantahīne ca yathāsambhavaṃ hīnapaṇītatā uddharitabbāti anuññātaṃ hotīti ubhayattha taduddharaṇe na kukkuccāyitabbanti attho.

    อกุสลานํ กุสลาทีหิ สุขุมตฺตาภาวโต ปาฬิยา อาคตสฺส อปริวตฺตนียภาเวน ‘‘เหฎฺฐิมนโย น โอโลเกตโพฺพ’’ติ วุตฺตนฺติ วทนฺติ, ตํตํวาปนวเสน กถเนปิ ปริวตฺตนํ นตฺถีติ น ปริวตฺตนํ สนฺธาย ‘‘เหฎฺฐิมนโย น โอโลเกตโพฺพ’’ติ วุตฺตํ, เหฎฺฐิมนยสฺส ปน วุตฺตตฺตา อวุตฺตนยํ คเหตฺวา ‘‘ตํ ตํ วา ปนา’’ติ วตฺตุํ ยุตฺตนฺติ ‘‘เหฎฺฐิมนโย น โอโลเกตโพฺพ’’ติ วุตฺตนฺติ เวทิตโพฺพฯ พหุวิปากา อกุสลา โทสุสฺสนฺนตาย โอฬาริกา, ตถา อปฺปวิปากา กุสลาฯ มนฺทโทสตฺตา อปฺปวิปากา อกุสลา สุขุมา, ตถา พหุวิปากา กุสลา จฯ โอฬาริกสุขุมนิกนฺติวตฺถุภาวโต กามาวจราทีนํ โอฬาริกสุขุมตาสาปีติ ภาวนามยาย เภทเนน ทานมยสีลมยานญฺจ ปเจฺจกํ เภทนํ นยโต ทสฺสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ สาปีติ วา ติวิธาปีติ โยเชตพฺพํฯ

    Akusalānaṃ kusalādīhi sukhumattābhāvato pāḷiyā āgatassa aparivattanīyabhāvena ‘‘heṭṭhimanayo na oloketabbo’’ti vuttanti vadanti, taṃtaṃvāpanavasena kathanepi parivattanaṃ natthīti na parivattanaṃ sandhāya ‘‘heṭṭhimanayo na oloketabbo’’ti vuttaṃ, heṭṭhimanayassa pana vuttattā avuttanayaṃ gahetvā ‘‘taṃ taṃ vā panā’’ti vattuṃ yuttanti ‘‘heṭṭhimanayo na oloketabbo’’ti vuttanti veditabbo. Bahuvipākā akusalā dosussannatāya oḷārikā, tathā appavipākā kusalā. Mandadosattā appavipākā akusalā sukhumā, tathā bahuvipākā kusalā ca. Oḷārikasukhumanikantivatthubhāvato kāmāvacarādīnaṃ oḷārikasukhumatā. Sāpīti bhāvanāmayāya bhedanena dānamayasīlamayānañca paccekaṃ bhedanaṃ nayato dassitanti veditabbaṃ. Sāpīti vā tividhāpīti yojetabbaṃ.

    ๑๓. ชาติอาทิวเสน อสมานโกฎฺฐาสตา วิสภาคโฎฺฐฯ ทุกฺขวิปากตาทิวเสน อสทิสกิจฺจตา, อสทิสสภาวตา วา วิสํสโฎฺฐ, น อสมฺปโยโคฯ ยทิ สิยา, ทูรวิปริยาเยน สนฺติกํ โหตีติ สํสฎฺฐเฎฺฐน สนฺติกตา อาปชฺชติ, น จ เวทนาย เวทนาสมฺปโยโค อตฺถิฯ สนฺติกปทวณฺณนาย จ ‘‘สภาคเฎฺฐน สริกฺขเฎฺฐน จา’’ติ วกฺขตีติ วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    13. Jātiādivasena asamānakoṭṭhāsatā visabhāgaṭṭho. Dukkhavipākatādivasena asadisakiccatā, asadisasabhāvatā vā visaṃsaṭṭho, na asampayogo. Yadi siyā, dūravipariyāyena santikaṃ hotīti saṃsaṭṭhaṭṭhena santikatā āpajjati, na ca vedanāya vedanāsampayogo atthi. Santikapadavaṇṇanāya ca ‘‘sabhāgaṭṭhena sarikkhaṭṭhena cā’’ti vakkhatīti vuttanayeneva attho veditabbo.

    ทูรโต สนฺติกํ อุทฺธริตพฺพนฺติ กสฺมา วุตฺตํ, กิํ ยถา สนฺติกโต อกุสลโต อกุสลา ทูเรติ อุทฺธรียติ, ตถา ตโต ทูรโต กุสลโต กุสลา สนฺติเกติ อุทฺธริตุํ น สกฺกาติ? น สกฺกาฯ ตถา หิ สติ กุสลา กุสลาย สนฺติเกติ กตฺวา สนฺติกโต สนฺติกตา เอว อุทฺธริตา สิยา, ตถา จ สติ สนฺติกสนฺติกตรตาวจนเมว อาปชฺชติ, อุปาทายุปาทาย ทูรสนฺติกตาว อิธ วุจฺจติ, ตสฺมา ทูรโต ทูรุทฺธรณํ วิย สนฺติกโต สนฺติกุทฺธรณญฺจ น สกฺกา กาตุํ ทูรทูรตรตาย วิย สนฺติกสนฺติกตรตาย จ อนธิเปฺปตตฺตาฯ อถ ปน วเทยฺย ‘‘น กุสลา กุสลาย เอว สนฺติเกติ อุทฺธริตพฺพา, อถ โข ยโต สา ทูเร, ตสฺสา อกุสลายา’’ติ, ตญฺจ นตฺถิฯ น หิ อกุสลาย กุสลา กทาจิ สนฺติเก อตฺถีติฯ อถาปิ วเทยฺย ‘‘ยา อกุสลา กุสลาย สนฺติเก, สา ตโต ทูรโต กุสลโต อุทฺธริตพฺพา’’ติ, ตทปิ นตฺถิฯ น หิ กุสเล อกุสลา อตฺถิ, ยา ตโต สนฺติเกติ อุทฺธริเยยฺย, ตสฺมา อิธ วุตฺตสฺส ทูรสฺส ทูรโต อจฺจนฺตวิสภาคตฺตา ทูเร สนฺติกํ นตฺถีติ น สกฺกา ทูรโต สนฺติกํ อุทฺธริตุํ, สนฺติเก ปนิธ วุเตฺต ภิเนฺน ตเตฺถว ทูรํ ลพฺภตีติ อาห ‘‘สนฺติกโต ปน ทูรํ อุทฺธริตพฺพ’’นฺติฯ

    Nadūrato santikaṃ uddharitabbanti kasmā vuttaṃ, kiṃ yathā santikato akusalato akusalā dūreti uddharīyati, tathā tato dūrato kusalato kusalā santiketi uddharituṃ na sakkāti? Na sakkā. Tathā hi sati kusalā kusalāya santiketi katvā santikato santikatā eva uddharitā siyā, tathā ca sati santikasantikataratāvacanameva āpajjati, upādāyupādāya dūrasantikatāva idha vuccati, tasmā dūrato dūruddharaṇaṃ viya santikato santikuddharaṇañca na sakkā kātuṃ dūradūrataratāya viya santikasantikataratāya ca anadhippetattā. Atha pana vadeyya ‘‘na kusalā kusalāya eva santiketi uddharitabbā, atha kho yato sā dūre, tassā akusalāyā’’ti, tañca natthi. Na hi akusalāya kusalā kadāci santike atthīti. Athāpi vadeyya ‘‘yā akusalā kusalāya santike, sā tato dūrato kusalato uddharitabbā’’ti, tadapi natthi. Na hi kusale akusalā atthi, yā tato santiketi uddhariyeyya, tasmā idha vuttassa dūrassa dūrato accantavisabhāgattā dūre santikaṃ natthīti na sakkā dūrato santikaṃ uddharituṃ, santike panidha vutte bhinne tattheva dūraṃ labbhatīti āha ‘‘santikato pana dūraṃ uddharitabba’’nti.

    อุปาทายุปาทาย ทูรโต จ สนฺติกํ น สกฺกา อุทฺธริตุํฯ โลภสหคตาย โทสสหคตา ทูเร โลภสหคตา สนฺติเกติ หิ วุจฺจมาเน สนฺติกโตว สนฺติกํ อุทฺธริตํ โหติฯ ตถา โทสสหคตาย โลภสหคตา ทูเร โทสสหคตา สนฺติเกติ เอตฺถาปิ สภาคโต สภาคนฺตรสฺส อุทฺธฎตฺตา, น จ สกฺกา ‘‘โลภสหคตาย โทสสหคตา ทูเร สา เอว จ สนฺติเก’’ติ วตฺตุํ โทสสหคตาย สนฺติกภาวสฺส อการณตฺตา, ตสฺมา วิสภาคตา เภทํ อคฺคเหตฺวา น ปวตฺตตีติ สภาคาพฺยาปกตฺตา ทูรตาย ทูรโต สนฺติกุทฺธรณํ น สกฺกา กาตุํฯ น หิ โทสสหคตา อกุสลสภาคํ สพฺพํ พฺยาเปตฺวา ปวตฺตตีติฯ สภาคตา ปน เภทํ อโนฺตคธํ กตฺวา ปวตฺตตีติ วิสภาคพฺยาปกตฺตา สนฺติกตาย สนฺติกโต ทูรุทฺธรณํ สกฺกา กาตุํฯ อกุสลตา หิ โลภสหคตาทิสพฺพวิสภาคพฺยาปิกาติฯ เตนาห ‘‘น ทูรโต สนฺติกํ อุทฺธริตพฺพ’’นฺติอาทิฯ

    Upādāyupādāya dūrato ca santikaṃ na sakkā uddharituṃ. Lobhasahagatāya dosasahagatā dūre lobhasahagatā santiketi hi vuccamāne santikatova santikaṃ uddharitaṃ hoti. Tathā dosasahagatāya lobhasahagatā dūre dosasahagatā santiketi etthāpi sabhāgato sabhāgantarassa uddhaṭattā, na ca sakkā ‘‘lobhasahagatāya dosasahagatā dūre sā eva ca santike’’ti vattuṃ dosasahagatāya santikabhāvassa akāraṇattā, tasmā visabhāgatā bhedaṃ aggahetvā na pavattatīti sabhāgābyāpakattā dūratāya dūrato santikuddharaṇaṃ na sakkā kātuṃ. Na hi dosasahagatā akusalasabhāgaṃ sabbaṃ byāpetvā pavattatīti. Sabhāgatā pana bhedaṃ antogadhaṃ katvā pavattatīti visabhāgabyāpakattā santikatāya santikato dūruddharaṇaṃ sakkā kātuṃ. Akusalatā hi lobhasahagatādisabbavisabhāgabyāpikāti. Tenāha ‘‘na dūrato santikaṃ uddharitabba’’ntiādi.

    เวทนากฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vedanākkhandhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๓. สญฺญากฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา

    3. Saññākkhandhaniddesavaṇṇanā

    ๑๗. จกฺขุสมฺผสฺสชา สญฺญาติ เอตฺถ ยทิปิ วตฺถุโต ผสฺสสฺส นามํ ผสฺสโต จ สญฺญาย, วตฺถุวิสิฎฺฐผเสฺสน ปน วิสิฎฺฐสญฺญา วตฺถุนา จ วิสิฎฺฐา โหติ ผสฺสสฺส วิย ตสฺสาปิ ตพฺพตฺถุกตฺตาติ ‘‘วตฺถุโต นาม’’นฺติ วุตฺตํฯ ปฎิฆสมฺผสฺสชา สญฺญาติ เอตฺถาปิ ยถา ผโสฺส วตฺถารมฺมณปฎิฆฎฺฎเนน อุปฺปโนฺน, ตถา ตโต ชาตสญฺญาปีติ ‘‘วตฺถารมฺมณโต นาม’’นฺติ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ ปฎิฆโช สมฺผโสฺส, ปฎิฆวิเญฺญโยฺย วา สมฺผโสฺส ปฎิฆสมฺผโสฺสติ อุตฺตรปทโลปํ กตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    17. Cakkhusamphassajāsaññāti ettha yadipi vatthuto phassassa nāmaṃ phassato ca saññāya, vatthuvisiṭṭhaphassena pana visiṭṭhasaññā vatthunā ca visiṭṭhā hoti phassassa viya tassāpi tabbatthukattāti ‘‘vatthuto nāma’’nti vuttaṃ. Paṭighasamphassajā saññāti etthāpi yathā phasso vatthārammaṇapaṭighaṭṭanena uppanno, tathā tato jātasaññāpīti ‘‘vatthārammaṇato nāma’’nti vuttaṃ. Ettha ca paṭighajo samphasso, paṭighaviññeyyo vā samphasso paṭighasamphassoti uttarapadalopaṃ katvā vuttanti veditabbaṃ.

    วิเญฺญยฺยภาเว วจนํ อธิกิจฺจ ปวตฺตา, วจนาธีนา วา อรูปกฺขนฺธา, อธิวจนํ วา เอเตสํ ปกาสนํ อตฺถีติ ‘‘อธิวจนา’’ติ วุจฺจนฺติ, ตโตโช สมฺผโสฺส อธิวจนสมฺผโสฺส, สมฺผโสฺสเยว วา ยถาวุเตฺตหิ อเตฺถหิ อธิวจโน จ สมฺผโสฺส จาติ อธิวจนสมฺผโสฺส, อธิวจนวิเญฺญโยฺย วา สมฺผโสฺส อธิวจนสมฺผโสฺส, ตโต ตสฺมิํ วา ชาตา อธิวจนสมฺผสฺสชาฯ ปญฺจทฺวาริกสมฺผเสฺสปิ ยถาวุโตฺต อโตฺถ สมฺภวตีติ เตน ปริยาเยน ตโตชาปิ สญฺญา ‘‘อธิวจนสมฺผสฺสชา’’ติ วุตฺตาฯ ยถา ปน อญฺญปฺปการาสมฺภวโต มโนสมฺผสฺสชา นิปฺปริยาเยน ‘‘อธิวจนสมฺผสฺสชา’’ติ วุจฺจติ, น เอวํ อยํ ปฎิฆสมฺผสฺสชา อาเวณิกปฺปการนฺตรสมฺภวโตติ อธิปฺปาโยฯ

    Viññeyyabhāve vacanaṃ adhikicca pavattā, vacanādhīnā vā arūpakkhandhā, adhivacanaṃ vā etesaṃ pakāsanaṃ atthīti ‘‘adhivacanā’’ti vuccanti, tatojo samphasso adhivacanasamphasso, samphassoyeva vā yathāvuttehi atthehi adhivacano ca samphasso cāti adhivacanasamphasso, adhivacanaviññeyyo vā samphasso adhivacanasamphasso, tato tasmiṃ vā jātā adhivacanasamphassajā. Pañcadvārikasamphassepi yathāvutto attho sambhavatīti tena pariyāyena tatojāpi saññā ‘‘adhivacanasamphassajā’’ti vuttā. Yathā pana aññappakārāsambhavato manosamphassajā nippariyāyena ‘‘adhivacanasamphassajā’’ti vuccati, na evaṃ ayaṃ paṭighasamphassajā āveṇikappakārantarasambhavatoti adhippāyo.

    ยทิ เอวํ จตฺตาโร ขนฺธาปิ ยถาวุตฺตสมฺผสฺสโต ชาตตฺตา ‘‘อธิวจนสมฺผสฺสชา’’ติ วตฺตุํ ยุตฺตา, สญฺญาว กสฺมา เอวํ วุตฺตาติ? ติณฺณํ ขนฺธานํ อตฺถวเสน อตฺตโน ปตฺตมฺปิ นามํ ยตฺถ ปวตฺตมาโน อธิวจนสมฺผสฺสช-สโทฺท นิรุฬฺหตาย ธมฺมาภิลาโป โหติ, ตสฺสา สญฺญาย เอว อาโรเปตฺวา สยํ นิวตฺตนํ โหติฯ เตนาห ‘‘ตโย หิ อรูปิโน ขนฺธา’’ติอาทิฯ อถ วา สญฺญาย ปฎิฆสมฺผสฺสชาติ อญฺญมฺปิ วิสิฎฺฐํ นามํ อตฺถีติ อธิวจนสมฺผสฺสชานามํ ติณฺณํเยว ขนฺธานํ ภวิตุํ อรหติฯ เต ปน อตฺตโน นามํ สญฺญาย ทตฺวา นิวตฺตาติ อิมมตฺถํ สนฺธายาห ‘‘ตโย หิ อรูปิโน ขนฺธา’’ติอาทิฯ ปญฺจทฺวาริกสญฺญา โอโลเกตฺวาปิ ชานิตุํ สกฺกาติ อิทํ เตน เตนาธิปฺปาเยน หตฺถวิการาทิกรเณ ตทธิปฺปายวิชานนนิมิตฺตภูตา วิญฺญตฺติ วิย รชฺชิตฺวา โอโลกนาทีสุ รตฺตตาทิวิชานนนิมิตฺตํ โอโลกนํ จกฺขุวิญฺญาณวิสยสมาคเม ปากฎํ โหตีติ ตํสมฺปยุตฺตาย สญฺญายปิ ตถาปากฎภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    Yadi evaṃ cattāro khandhāpi yathāvuttasamphassato jātattā ‘‘adhivacanasamphassajā’’ti vattuṃ yuttā, saññāva kasmā evaṃ vuttāti? Tiṇṇaṃ khandhānaṃ atthavasena attano pattampi nāmaṃ yattha pavattamāno adhivacanasamphassaja-saddo niruḷhatāya dhammābhilāpo hoti, tassā saññāya eva āropetvā sayaṃ nivattanaṃ hoti. Tenāha ‘‘tayo hi arūpino khandhā’’tiādi. Atha vā saññāya paṭighasamphassajāti aññampi visiṭṭhaṃ nāmaṃ atthīti adhivacanasamphassajānāmaṃ tiṇṇaṃyeva khandhānaṃ bhavituṃ arahati. Te pana attano nāmaṃ saññāya datvā nivattāti imamatthaṃ sandhāyāha ‘‘tayo hi arūpino khandhā’’tiādi. Pañcadvārikasaññā oloketvāpi jānituṃ sakkāti idaṃ tena tenādhippāyena hatthavikārādikaraṇe tadadhippāyavijānananimittabhūtā viññatti viya rajjitvā olokanādīsu rattatādivijānananimittaṃ olokanaṃ cakkhuviññāṇavisayasamāgame pākaṭaṃ hotīti taṃsampayuttāya saññāyapi tathāpākaṭabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ.

    รชฺชิตฺวา โอโลกนาทิวเสน ปากฎา ชวนปฺปวตฺตา ภวิตุํ อรหตีติ เอติสฺสา อาสงฺกาย นิวตฺตนตฺถํ ‘‘ปสาทวตฺถุกา เอวา’’ติ อาหฯ อญฺญํ จิเนฺตนฺตนฺติ ยํ ปุเพฺพ เตน จินฺติตํ ญาตํ, ตโต อญฺญํ จิเนฺตนฺตนฺติ อโตฺถฯ

    Rajjitvā olokanādivasena pākaṭā javanappavattā bhavituṃ arahatīti etissā āsaṅkāya nivattanatthaṃ ‘‘pasādavatthukā evā’’ti āha. Aññaṃ cintentanti yaṃ pubbe tena cintitaṃ ñātaṃ, tato aññaṃ cintentanti attho.

    สญฺญากฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saññākkhandhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๔. สงฺขารกฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา

    4. Saṅkhārakkhandhaniddesavaṇṇanā

    ๒๐. เหฎฺฐิมโกฎิยาติ เอตฺถ ภุมฺมนิเทฺทโสวฯ ตตฺถ หิ ปธานํ ทสฺสิตนฺติฯ ยทิ เอวํ อุปริมโกฎิยา ตํ น ทสฺสิตนฺติ อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ, อุปริมโกฎิคตภาเวน วินา เหฎฺฐิมโกฎิคตภาวาภาวโตฯ เหฎฺฐิมโกฎิ หิ สพฺพพฺยาปิกาติฯ ทุติเย กรณนิเทฺทโส, เหฎฺฐิมโกฎิยา อาคตาติ สมฺพโนฺธฯ ปุริเมปิ วา ‘‘เหฎฺฐิมโกฎิยา’’ติ ยํ วุตฺตํ, ตญฺจ ปธานสงฺขารทสฺสนวเสนาติ สมฺพนฺธกรเณน กรณนิเทฺทโสวฯ ตํสมฺปยุตฺตา สงฺขาราติ เอกูนปญฺญาสปฺปเภเท สงฺขาเร อาหฯ คหิตาว โหนฺติ ตปฺปฎิพทฺธตฺตาฯ

    20. Heṭṭhimakoṭiyāti ettha bhummaniddesova. Tattha hi padhānaṃ dassitanti. Yadi evaṃ uparimakoṭiyā taṃ na dassitanti āpajjatīti? Nāpajjati, uparimakoṭigatabhāvena vinā heṭṭhimakoṭigatabhāvābhāvato. Heṭṭhimakoṭi hi sabbabyāpikāti. Dutiye karaṇaniddeso, heṭṭhimakoṭiyā āgatāti sambandho. Purimepi vā ‘‘heṭṭhimakoṭiyā’’ti yaṃ vuttaṃ, tañca padhānasaṅkhāradassanavasenāti sambandhakaraṇena karaṇaniddesova. Taṃsampayuttā saṅkhārāti ekūnapaññāsappabhede saṅkhāre āha. Gahitāva honti tappaṭibaddhattā.

    สงฺขารกฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṅkhārakkhandhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปกิณฺณกกถาวณฺณนา

    Pakiṇṇakakathāvaṇṇanā

    สมุคฺคม-สโทฺท สญฺชาติยํ อาทิอุปฺปตฺติยํ นิรุโฬฺหฯ ตํตํปจฺจยสมาโยเค หิ ปุริมภวสงฺขาตา ปุริมนฺตโต อุทฺธงฺคมนํ สมุคฺคโม, สนฺธิยํ วา ปฎิสนฺธิยํ อุคฺคโม สมุคฺคโมฯ โส ปน ยตฺถ ปญฺจกฺขนฺธา ปริปุณฺณา สมุคฺคจฺฉนฺติ, ตเตฺถว ทสฺสิโตฯ เอเตน นเยน อปริปุณฺณขนฺธสมุคฺคโม เอกโวการจตุโวกาเรสุ สกฺกา วิญฺญาตุนฺติฯ อถ วา ยถาธิคตานํ ปญฺจนฺนมฺปิ ขนฺธานํ สห อุคฺคโม อุปฺปตฺติ สมุคฺคโมฯ เอตสฺมิํ อเตฺถ วิกลุปฺปตฺติ อสงฺคหิตา โหติฯ หิมวนฺตปฺปเทเส ชาติมนฺตเอฬกโลมํ ชาติอุณฺณาฯ สปฺปิมณฺฑพินฺทูติ เอวํ เอตฺถาปิ พินฺทุ-สโทฺท โยเชตโพฺพฯ เอวํวณฺณปฺปฎิภาคนฺติ เอวํวณฺณํ เอวํสณฺฐานญฺจฯ ปฎิภชนํ วา ปฎิภาโค, สทิสตาภชนํ สทิสตาปตฺตีติ อโตฺถฯ เอวํวิโธ วณฺณปฺปฎิภาโค เอตสฺสาติ เอวํวณฺณปฺปฎิภาคํ

    Samuggama-saddo sañjātiyaṃ ādiuppattiyaṃ niruḷho. Taṃtaṃpaccayasamāyoge hi purimabhavasaṅkhātā purimantato uddhaṅgamanaṃ samuggamo, sandhiyaṃ vā paṭisandhiyaṃ uggamo samuggamo. So pana yattha pañcakkhandhā paripuṇṇā samuggacchanti, tattheva dassito. Etena nayena aparipuṇṇakhandhasamuggamo ekavokāracatuvokāresu sakkā viññātunti. Atha vā yathādhigatānaṃ pañcannampi khandhānaṃ saha uggamo uppatti samuggamo. Etasmiṃ atthe vikaluppatti asaṅgahitā hoti. Himavantappadese jātimantaeḷakalomaṃ jātiuṇṇā. Sappimaṇḍabindūti evaṃ etthāpi bindu-saddo yojetabbo. Evaṃvaṇṇappaṭibhāganti evaṃvaṇṇaṃ evaṃsaṇṭhānañca. Paṭibhajanaṃ vā paṭibhāgo, sadisatābhajanaṃ sadisatāpattīti attho. Evaṃvidho vaṇṇappaṭibhāgo etassāti evaṃvaṇṇappaṭibhāgaṃ.

    สนฺตติสีสานีติ สนฺตติมูลานิ, สนฺตติโกฎฺฐาสา วาฯ อเนกินฺทฺริยสมาหารภาวโต หิ ปธานงฺคํ ‘‘สีส’’นฺติ วุจฺจติ, เอวํ วตฺถุทสกาทิโกฎฺฐาสา อเนกรูปสมุทายภูตา ‘‘สีสานี’’ติ วุตฺตานีติฯ

    Santatisīsānīti santatimūlāni, santatikoṭṭhāsā vā. Anekindriyasamāhārabhāvato hi padhānaṅgaṃ ‘‘sīsa’’nti vuccati, evaṃ vatthudasakādikoṭṭhāsā anekarūpasamudāyabhūtā ‘‘sīsānī’’ti vuttānīti.

    ปญฺจกฺขนฺธา ปริปุณฺณา โหนฺตีติ คณนาปาริปูริํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ตสฺส ตสฺส ขนฺธสฺส ปริปุณฺณตํฯ กมฺมสมุฎฺฐานปเวณิยา วุตฺตตฺตา ‘‘อุตุจิตฺตาหารชปเวณี จ เอตฺตกํ กาลํ อติกฺกมิตฺวา โหตี’’ติอาทินา วตฺตพฺพา สิยา, ตํ ปน ‘‘ปุพฺพาปรโต’’ติ เอตฺถ วกฺขตีติ อกเถตฺวา กมฺมชปเวณี จ น สพฺพา วุตฺตาติ อวุตฺตํ ทเสฺสตุํ โอปปาติกสมุคฺคโม นาม ทสฺสิโตฯ เอวํ…เป.… ปญฺจกฺขนฺธา ปริปุณฺณา โหนฺตีติ ปริปุณฺณายตนานํ วเสน นโย ทสฺสิโต, อปริปุณฺณายตนานํ ปน กามาวจรานํ รูปาวจรานํ ปริหีนายตนสฺส วเสน สนฺตติสีสหานิ เวทิตพฺพาฯ

    Pañcakkhandhā paripuṇṇā hontīti gaṇanāpāripūriṃ sandhāya vuttaṃ, na tassa tassa khandhassa paripuṇṇataṃ. Kammasamuṭṭhānapaveṇiyā vuttattā ‘‘utucittāhārajapaveṇī ca ettakaṃ kālaṃ atikkamitvā hotī’’tiādinā vattabbā siyā, taṃ pana ‘‘pubbāparato’’ti ettha vakkhatīti akathetvā kammajapaveṇī ca na sabbā vuttāti avuttaṃ dassetuṃ opapātikasamuggamo nāma dassito. Evaṃ…pe… pañcakkhandhā paripuṇṇā hontīti paripuṇṇāyatanānaṃ vasena nayo dassito, aparipuṇṇāyatanānaṃ pana kāmāvacarānaṃ rūpāvacarānaṃ parihīnāyatanassa vasena santatisīsahāni veditabbā.

    ปุพฺพาปรโตติ อยํ วิจารณา น ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุปฺปตฺติยํ, อถ โข เตสํ รูปสมุฎฺฐาปเนติ ทฎฺฐพฺพาฯ ตํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอวํ ปนา’’ติอาทิฯ อปจฺฉาอปุเร อุปฺปเนฺนสูติ เอเตน สํสยการณํ ทเสฺสติฯ สหุปฺปเนฺนสุ หิ อิทเมว ปฐมํ รูปํ สมุฎฺฐาเปติ, อิทํ ปจฺฉาติ อทสฺสิตํ น สกฺกา วิญฺญาตุํฯ เอตฺถ จ ‘‘ปุพฺพาปรโต’’ติ เอติสฺสา วิจารณาย วตฺถุภาเวน ปฎิสนฺธิยํ อุปฺปนฺนา ปวตฺตา ปญฺจกฺขนฺธา คหิตาฯ ตตฺถ จ นิทฺธารเณ ภุมฺมนิเทฺทโสติ ‘‘รูปํ ปฐมํ รูปํ สมุฎฺฐาเปตี’’ติ อาหฯ อญฺญถา ภาเวนภาวลกฺขณเตฺถ ภุมฺมนิเทฺทเส สติ รูปสฺส รูปสมุฎฺฐาปนกฺขเณ กมฺมสฺสปิ รูปสมุฎฺฐานํ วทนฺตีติ อุภยนฺติ วตฺตพฺพํ สิยาติฯ รูปารูปสนฺตติญฺจ คเหตฺวา อยํ วิจารณา ปวตฺตาติ ‘‘รูปํ ปฐมํ รูปํ สมุฎฺฐาเปตี’’ติ วุตฺตํฯ อญฺญถา ปฎิสนฺธิกฺขเณ เอว วิชฺชมาเน คเหตฺวา วิจารณาย กริยมานาย อรูปสฺส รูปสมุฎฺฐาปนเมว นตฺถีติ ปุพฺพาปรสมุฎฺฐาปนวิจารณาว อิธ น อุปปชฺชตีติ วตฺตพฺพํ สิยาติฯ วตฺถุ อุปฺปาทกฺขเณ ทุพฺพลํ โหตีติ สพฺพรูปานํ อุปฺปาทกฺขเณ ทุพฺพลตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตทา หิ ตํ ปจฺฉาชาตปจฺจยรหิตํ อาหาราทีหิ จ อนุปตฺถทฺธนฺติ ‘‘ทุพฺพล’’นฺติ วุตฺตํฯ กมฺมเวคกฺขิตฺตตฺตาติ อิทํ สติปิ ภวงฺคสฺส กมฺมชภาเว สายํ วิปากสนฺตติ ปฎิสนฺธิกฺขเณ ปุริมภวงฺคสมุฎฺฐาปกโต อเญฺญน กมฺมุนา ขิตฺตา วิย อปฺปติฎฺฐิตา, ตโต ปรญฺจ สมานสนฺตติยํ อนนฺตรปจฺจยํ ปุเรชาตปจฺจยญฺจ ลภิตฺวา ปติฎฺฐิตาติ อิมมตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    Pubbāparatoti ayaṃ vicāraṇā na pañcannaṃ khandhānaṃ uppattiyaṃ, atha kho tesaṃ rūpasamuṭṭhāpaneti daṭṭhabbā. Taṃ dassento āha ‘‘evaṃ panā’’tiādi. Apacchāapure uppannesūti etena saṃsayakāraṇaṃ dasseti. Sahuppannesu hi idameva paṭhamaṃ rūpaṃ samuṭṭhāpeti, idaṃ pacchāti adassitaṃ na sakkā viññātuṃ. Ettha ca ‘‘pubbāparato’’ti etissā vicāraṇāya vatthubhāvena paṭisandhiyaṃ uppannā pavattā pañcakkhandhā gahitā. Tattha ca niddhāraṇe bhummaniddesoti ‘‘rūpaṃ paṭhamaṃ rūpaṃ samuṭṭhāpetī’’ti āha. Aññathā bhāvenabhāvalakkhaṇatthe bhummaniddese sati rūpassa rūpasamuṭṭhāpanakkhaṇe kammassapi rūpasamuṭṭhānaṃ vadantīti ubhayanti vattabbaṃ siyāti. Rūpārūpasantatiñca gahetvā ayaṃ vicāraṇā pavattāti ‘‘rūpaṃ paṭhamaṃ rūpaṃ samuṭṭhāpetī’’ti vuttaṃ. Aññathā paṭisandhikkhaṇe eva vijjamāne gahetvā vicāraṇāya kariyamānāya arūpassa rūpasamuṭṭhāpanameva natthīti pubbāparasamuṭṭhāpanavicāraṇāva idha na upapajjatīti vattabbaṃ siyāti. Vatthu uppādakkhaṇe dubbalaṃ hotīti sabbarūpānaṃ uppādakkhaṇe dubbalataṃ sandhāya vuttaṃ. Tadā hi taṃ pacchājātapaccayarahitaṃ āhārādīhi ca anupatthaddhanti ‘‘dubbala’’nti vuttaṃ. Kammavegakkhittattāti idaṃ satipi bhavaṅgassa kammajabhāve sāyaṃ vipākasantati paṭisandhikkhaṇe purimabhavaṅgasamuṭṭhāpakato aññena kammunā khittā viya appatiṭṭhitā, tato parañca samānasantatiyaṃ anantarapaccayaṃ purejātapaccayañca labhitvā patiṭṭhitāti imamatthaṃ sandhāya vuttaṃ.

    ปเวณี ฆฎิยตีติ จกฺขาทิวตฺถุสนฺตติ เอกสฺมิํ วิชฺชมาเน เอว อญฺญสฺส นิโรธุปฺปตฺติวเสน ฆฎิยติ, น จุติปฎิสนฺธินิสฺสยวตฺถูนํ วิย วิเจฺฉทปฺปวตฺตีติ อโตฺถฯ องฺคโตติ ฌานงฺคโตฯ ฌานงฺคานิ หิ จิเตฺตน สห รูปสมุฎฺฐาปกานิ, เตสํ อนุพลทายกานิ มคฺคงฺคาทีนิ เตสุ วิชฺชมาเนสุ วิเสสรูปปฺปวตฺติทสฺสนโตฯ อถ วา ยานิ จิตฺตงฺคานิ เจตนาทีนิ จิตฺตสฺส รูปสมุฎฺฐาปเน องฺคภาวํ สหายภาวํ คจฺฉนฺติ, เตสํ พลทายเกหิ ฌานงฺคาทีหิ อปริหีนนฺติ อโตฺถฯ ตโต ปริหีนตฺตา หิ จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ รูปํ น สมุฎฺฐาเปนฺตีติฯ โย ปน วเทยฺย ‘‘ปฎิสนฺธิจิเตฺตน สหชาตวตฺถุ ตสฺส ฐิติกฺขเณ จ ภงฺคกฺขเณ จ ปุเรชาตนฺติ กตฺวา ปจฺจยเวกลฺลาภาวโต ตสฺมิํ ขณทฺวเย รูปํ สมุฎฺฐาเปตู’’ติ, ตํ นิวาเรโนฺต อาห ‘‘ยทิ หิ จิตฺต’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ ฐิติภงฺคกฺขเณสุปิ เตสํ ธมฺมานํ วตฺถุ ปุเรชาตํ น โหตีติ น วตฺตพฺพเมเวตนฺติ อนุชานิ, ตตฺถาปิ โทสํ ทเสฺสติฯ ยทิ ตทา รูปํ สมุฎฺฐาเปยฺย, ตว มเตน ปฎิสนฺธิจิตฺตมฺปิ สมุฎฺฐาเปยฺย, ตทา ปน รูปุปฺปาทนเมว นตฺถิฯ ยทา จ รูปุปฺปาทนํ, ตทา อุปฺปาทกฺขเณ ตว มเตนปิ ปจฺจยเวกลฺลเมว ปฎิสนฺธิกฺขเณ ปุเรชาตนิสฺสยาภาวโต, ตสฺมา ปฎิสนฺธิจิตฺตํ รูปํ น สมุฎฺฐาเปตีติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ อุปฺปาทกฺขเณ อฎฺฐ รูปานิ คเหตฺวา อุฎฺฐหติฯ กสฺมา? อรูปธมฺมานํ อนนฺตราทิปจฺจยวเสน สเวคานํ ปริปุณฺณพลานเมว อุปฺปตฺติโตฯ

    Paveṇī ghaṭiyatīti cakkhādivatthusantati ekasmiṃ vijjamāne eva aññassa nirodhuppattivasena ghaṭiyati, na cutipaṭisandhinissayavatthūnaṃ viya vicchedappavattīti attho. Aṅgatoti jhānaṅgato. Jhānaṅgāni hi cittena saha rūpasamuṭṭhāpakāni, tesaṃ anubaladāyakāni maggaṅgādīni tesu vijjamānesu visesarūpappavattidassanato. Atha vā yāni cittaṅgāni cetanādīni cittassa rūpasamuṭṭhāpane aṅgabhāvaṃ sahāyabhāvaṃ gacchanti, tesaṃ baladāyakehi jhānaṅgādīhi aparihīnanti attho. Tato parihīnattā hi cakkhuviññāṇādīni rūpaṃ na samuṭṭhāpentīti. Yo pana vadeyya ‘‘paṭisandhicittena sahajātavatthu tassa ṭhitikkhaṇe ca bhaṅgakkhaṇe ca purejātanti katvā paccayavekallābhāvato tasmiṃ khaṇadvaye rūpaṃ samuṭṭhāpetū’’ti, taṃ nivārento āha ‘‘yadi hi citta’’ntiādi. Tattha ṭhitibhaṅgakkhaṇesupi tesaṃ dhammānaṃ vatthu purejātaṃ na hotīti na vattabbamevetanti anujāni, tatthāpi dosaṃ dasseti. Yadi tadā rūpaṃ samuṭṭhāpeyya, tava matena paṭisandhicittampi samuṭṭhāpeyya, tadā pana rūpuppādanameva natthi. Yadā ca rūpuppādanaṃ, tadā uppādakkhaṇe tava matenapi paccayavekallameva paṭisandhikkhaṇe purejātanissayābhāvato, tasmā paṭisandhicittaṃ rūpaṃ na samuṭṭhāpetīti ayamettha adhippāyo. Uppādakkhaṇe aṭṭha rūpāni gahetvā uṭṭhahati. Kasmā? Arūpadhammānaṃ anantarādipaccayavasena savegānaṃ paripuṇṇabalānameva uppattito.

    อวิสยตายาติ อคตปุพฺพสฺส คามสฺส อาคนฺตุกสฺส อวิสยภาวโตฯ อปฺปหุตตายาติ ตตฺถ ตสฺส อนิสฺสรภาวโตฯ จิตฺตสมุฎฺฐาน…เป.… ฐิตานีติ อิทํ เยหากาเรหิ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปานํ จิตฺตเจตสิกา ปจฺจยา โหนฺติ, เตหิ สเพฺพหิ ปฎิสนฺธิยํ จิตฺตเจตสิกา สมติํสกมฺมชรูปานํ ยถาสมฺภวํ ปจฺจยา โหนฺตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ

    Avisayatāyāti agatapubbassa gāmassa āgantukassa avisayabhāvato. Appahutatāyāti tattha tassa anissarabhāvato. Cittasamuṭṭhāna…pe… ṭhitānīti idaṃ yehākārehi cittasamuṭṭhānarūpānaṃ cittacetasikā paccayā honti, tehi sabbehi paṭisandhiyaṃ cittacetasikā samatiṃsakammajarūpānaṃ yathāsambhavaṃ paccayā hontīti katvā vuttaṃ.

    วฎฺฎมูลนฺติ ตณฺหา อวิชฺชา วุจฺจติฯ จุติจิเตฺตน อุปฺปชฺชมานํ รูปํ ตโต ปุริมตเรหิ อุปฺปชฺชมานํ วิย น ภวนฺตเร อุปฺปชฺชตีติ วฎฺฎมูลสฺส วูปสนฺตตฺตา อนุปฺปตฺติ วิจาเรตพฺพาฯ

    Vaṭṭamūlanti taṇhā avijjā vuccati. Cuticittena uppajjamānaṃ rūpaṃ tato purimatarehi uppajjamānaṃ viya na bhavantare uppajjatīti vaṭṭamūlassa vūpasantattā anuppatti vicāretabbā.

    รูปสฺส นตฺถิตายาติ รูปานํ นิสฺสรณตฺตา อรูปสฺส, วิราควเสน ปหีนตฺตา อุปฺปาเทตพฺพสฺส อภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ รูโปกาเส วา รูปํ อตฺถีติ กตฺวา รูปปจฺจยานํ รูปุปฺปาทนํ โหติ, อรูปํ ปน รูปสฺส โอกาโส น โหตีติ ยสฺมิํ รูเป สติ จิตฺตํ อญฺญํ รูปํ อุปฺปาเทยฺย, ตเทว ตตฺถ นตฺถีติ อโตฺถฯ ปุริมรูปสฺสปิ หิ ปจฺจยภาโว อตฺถิ ปุตฺตสฺส ปิติสทิสตาทสฺสนโตติฯ

    Rūpassanatthitāyāti rūpānaṃ nissaraṇattā arūpassa, virāgavasena pahīnattā uppādetabbassa abhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Rūpokāse vā rūpaṃ atthīti katvā rūpapaccayānaṃ rūpuppādanaṃ hoti, arūpaṃ pana rūpassa okāso na hotīti yasmiṃ rūpe sati cittaṃ aññaṃ rūpaṃ uppādeyya, tadeva tattha natthīti attho. Purimarūpassapi hi paccayabhāvo atthi puttassa pitisadisatādassanatoti.

    อุตุ ปน ปฐมํ รูปํ สมุฎฺฐาเปติ ปฎิสนฺธิจิตฺตสฺส ฐิติกฺขเณ สมุฎฺฐาปนโตติ อธิปฺปาโยฯ อุตุ นาม เจส ทนฺธนิโรโธติอาทิ อุตุสฺส ฐานกฺขเณ อุปฺปาทเน การณทสฺสนตฺถํ อรูปานํ อุปฺปาทกาลทสฺสนตฺถญฺจ วุตฺตํฯ ทนฺธนิโรธตฺตา หิ โส ฐิติกฺขเณ พลวาติ ตทา รูปํ สมุฎฺฐาเปติ, ตสฺมิํ ธรเนฺต เอว ขิปฺปนิโรธตฺตา โสฬสสุ จิเตฺตสุ อุปฺปเนฺนสุ ปฎิสนฺธิอนนฺตรํ จิตฺตํ อุตุนา สมุฎฺฐิเต รูเป ปุน สมุฎฺฐาเปตีติ อธิปฺปาโยฯ ตสฺมิํ ธรเนฺต เอว โสฬส จิตฺตานิ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺตีติ เอเตน ปน วจเนน ยทิ อุปฺปาทนิโรธกฺขณา ธรมานกฺขเณ เอว คหิตา, ‘‘โสฬสจิตฺตกฺขณายุกํ รูป’’นฺติ วุตฺตํ โหติ, อถุปฺปาทกฺขณํ อคฺคเหตฺวา นิโรธกฺขโณว คหิโต, ‘‘สตฺตรสจิตฺตกฺขณายุก’’นฺติ, สเจ นิโรธกฺขณํ อคฺคเหตฺวา อุปฺปาทกฺขโณ คหิโต, ‘‘อธิกโสฬสจิตฺตกฺขณายุก’’นฺติ, ยทิ ปน อุปฺปาทนิโรธกฺขณา ธรมานกฺขเณ น คหิตา, ‘‘อธิกสตฺตรสจิตฺตกฺขณายุก’’นฺติฯ ยสฺมา ปน ‘‘เตสุ ปฎิสนฺธิอนนฺตร’’นฺติ ปฎิสนฺธิปิ ตสฺส ธรมานกฺขเณ อุปฺปเนฺนสุ คหิตา, ตสฺมา อุปฺปาทกฺขโณ ธรมานกฺขเณ คหิโตติ นิโรธกฺขเณ อคฺคหิเต อธิกโสฬสจิตฺตกฺขณายุกตา วกฺขมานา, คหิเต วา โสฬสจิตฺตกฺขณายุกตา อธิเปฺปตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Utu pana paṭhamaṃ rūpaṃ samuṭṭhāpeti paṭisandhicittassa ṭhitikkhaṇe samuṭṭhāpanatoti adhippāyo. Utu nāma cesa dandhanirodhotiādi utussa ṭhānakkhaṇe uppādane kāraṇadassanatthaṃ arūpānaṃ uppādakāladassanatthañca vuttaṃ. Dandhanirodhattā hi so ṭhitikkhaṇe balavāti tadā rūpaṃ samuṭṭhāpeti, tasmiṃ dharante eva khippanirodhattā soḷasasu cittesu uppannesu paṭisandhianantaraṃ cittaṃ utunā samuṭṭhite rūpe puna samuṭṭhāpetīti adhippāyo. Tasmiṃ dharante eva soḷasa cittāni uppajjitvā nirujjhantīti etena pana vacanena yadi uppādanirodhakkhaṇā dharamānakkhaṇe eva gahitā, ‘‘soḷasacittakkhaṇāyukaṃ rūpa’’nti vuttaṃ hoti, athuppādakkhaṇaṃ aggahetvā nirodhakkhaṇova gahito, ‘‘sattarasacittakkhaṇāyuka’’nti, sace nirodhakkhaṇaṃ aggahetvā uppādakkhaṇo gahito, ‘‘adhikasoḷasacittakkhaṇāyuka’’nti, yadi pana uppādanirodhakkhaṇā dharamānakkhaṇe na gahitā, ‘‘adhikasattarasacittakkhaṇāyuka’’nti. Yasmā pana ‘‘tesu paṭisandhianantara’’nti paṭisandhipi tassa dharamānakkhaṇe uppannesu gahitā, tasmā uppādakkhaṇo dharamānakkhaṇe gahitoti nirodhakkhaṇe aggahite adhikasoḷasacittakkhaṇāyukatā vakkhamānā, gahite vā soḷasacittakkhaṇāyukatā adhippetāti veditabbā.

    โอชา ขราติ สวตฺถุกํ โอชํ สนฺธายาหฯ สภาวโต สุขุมาย หิ โอชาย วตฺถุวเสน อตฺถิ โอฬาริกสุขุมตาติฯ

    Ojā kharāti savatthukaṃ ojaṃ sandhāyāha. Sabhāvato sukhumāya hi ojāya vatthuvasena atthi oḷārikasukhumatāti.

    จิตฺตเญฺจวาติ จิตฺตสฺส ปุพฺพงฺคมตาย วุตฺตํ, ตํสมฺปยุตฺตกาปิ ปน รูปสมุฎฺฐาปกา โหนฺตีติฯ ยถาห ‘‘เหตู เหตุสมฺปยุตฺตกานํ ธมฺมานํ ตํสมุฎฺฐานานญฺจ รูปานํ เหตุปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติอาทิ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๑)ฯ จิตฺตนฺติ วา จิตฺตุปฺปาทํ คณฺหาติ, น กมฺมเจตนํ วิย เอกธมฺมเมว อวิชฺชมานํฯ กมฺมสมุฎฺฐานญฺจ ตํสมฺปยุเตฺตหิปิ สมุฎฺฐิตํ โหตูติ เจ? น, เตหิ สมุฎฺฐิตภาวสฺส อวุตฺตตฺตา, อวจนญฺจ เตสํ เกนจิ ปจฺจเยน ปจฺจยภาวาภาวโตฯ

    Cittañcevāti cittassa pubbaṅgamatāya vuttaṃ, taṃsampayuttakāpi pana rūpasamuṭṭhāpakā hontīti. Yathāha ‘‘hetū hetusampayuttakānaṃ dhammānaṃ taṃsamuṭṭhānānañca rūpānaṃ hetupaccayena paccayo’’tiādi (paṭṭhā. 1.1.1). Cittanti vā cittuppādaṃ gaṇhāti, na kammacetanaṃ viya ekadhammameva avijjamānaṃ. Kammasamuṭṭhānañca taṃsampayuttehipi samuṭṭhitaṃ hotūti ce? Na, tehi samuṭṭhitabhāvassa avuttattā, avacanañca tesaṃ kenaci paccayena paccayabhāvābhāvato.

    อทฺธานปริเจฺฉทโตติ กาลปริเจฺฉทโตฯ ตตฺถ ‘‘สตฺตรส จิตฺตกฺขณา รูปสฺส อทฺธา, รูปสฺส สตฺตรสโม ภาโค อรูปสฺสา’’ติ เอโส อทฺธานปริเจฺฉโท อธิเปฺปโตฯ ปฎิสนฺธิกฺขเณติ อิทํ นยทสฺสนมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํ ตโต ปรมฺปิ รูปารูปานํ สหุปฺปตฺติสพฺภาวโต, น ปเนตํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ อสหุปฺปตฺติอภาวํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํ, ปฎิสนฺธิจิตฺตสฺส ฐิติภงฺคกฺขเณสุปิ รูปุปฺปตฺติํ สยเมว วกฺขตีติฯ ผลปฺปตฺตนิทสฺสเนน จ รูปารูปานํ อสมานกาลตํ นิทเสฺสติ, น สหุปฺปาทํ ตทตฺถํ อนารทฺธตฺตาฯ สหุปฺปาเทน ปน อสมานกาลตา สุขทีปนา โหตีติ ตํทีปนตฺถเมว สหุปฺปาทคฺคหณํฯ

    Addhānaparicchedatoti kālaparicchedato. Tattha ‘‘sattarasa cittakkhaṇā rūpassa addhā, rūpassa sattarasamo bhāgo arūpassā’’ti eso addhānaparicchedo adhippeto. Paṭisandhikkhaṇeti idaṃ nayadassanamattaṃ daṭṭhabbaṃ tato parampi rūpārūpānaṃ sahuppattisabbhāvato, na panetaṃ paṭisandhikkhaṇe asahuppattiabhāvaṃ sandhāya vuttanti daṭṭhabbaṃ, paṭisandhicittassa ṭhitibhaṅgakkhaṇesupi rūpuppattiṃ sayameva vakkhatīti. Phalappattanidassanena ca rūpārūpānaṃ asamānakālataṃ nidasseti, na sahuppādaṃ tadatthaṃ anāraddhattā. Sahuppādena pana asamānakālatā sukhadīpanā hotīti taṃdīpanatthameva sahuppādaggahaṇaṃ.

    ยทิ เอวํ รูปารูปานํ อสมานทฺธตฺตา อรูปํ โอหาย รูปสฺส ปวตฺติ อาปชฺชตีติ เอตสฺสา นิวารณตฺถมาห ‘‘ตตฺถ กิญฺจาปี’’ติอาทิฯ เอกปฺปมาณาวาติ นิรนฺตรํ ปวตฺตมาเนสุ รูปารูปธเมฺมสุ นิจฺฉิเทฺทสุ อรูปรหิตํ รูปํ, รูปรหิตํ วา อรูปํ นตฺถีติ กตฺวา วุตฺตํฯ อยญฺจ กถา ปญฺจโวกาเร กมฺมชรูปปฺปวตฺติํ นิพฺพานปฎิภาคนิโรธสมาปตฺติรหิตํ สนฺธาย กตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ปเท ปทนฺติ อตฺตโน ปเท เอว ปทํ นิกฺขิปโนฺต วิย ลหุํ ลหุํ อกฺกมิตฺวาติ อโตฺถฯ อโนหายาติ ยาว จุติ, ตาว อวิชหิตฺวา, จุติกฺขเณ ปน สเหว นิรุชฺฌนฺตีติฯ ยสฺมิญฺจทฺธาเน อญฺญมญฺญํ อโนหาย ปวตฺติ, โส จ ปฎิสนฺธิจุติปริจฺฉิโนฺน อุกฺกํสโต เอเตสํ อทฺธาติฯ เอวนฺติ เอเตน ปุเพฺพ วุตฺตํ อวกํสโต อทฺธาปการํ อิมญฺจ สงฺคณฺหาตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Yadi evaṃ rūpārūpānaṃ asamānaddhattā arūpaṃ ohāya rūpassa pavatti āpajjatīti etassā nivāraṇatthamāha ‘‘tattha kiñcāpī’’tiādi. Ekappamāṇāvāti nirantaraṃ pavattamānesu rūpārūpadhammesu nicchiddesu arūparahitaṃ rūpaṃ, rūparahitaṃ vā arūpaṃ natthīti katvā vuttaṃ. Ayañca kathā pañcavokāre kammajarūpappavattiṃ nibbānapaṭibhāganirodhasamāpattirahitaṃ sandhāya katāti daṭṭhabbā. Pade padanti attano pade eva padaṃ nikkhipanto viya lahuṃ lahuṃ akkamitvāti attho. Anohāyāti yāva cuti, tāva avijahitvā, cutikkhaṇe pana saheva nirujjhantīti. Yasmiñcaddhāne aññamaññaṃ anohāya pavatti, so ca paṭisandhicutiparicchinno ukkaṃsato etesaṃ addhāti. Evanti etena pubbe vuttaṃ avakaṃsato addhāpakāraṃ imañca saṅgaṇhātīti daṭṭhabbaṃ.

    เอกุปฺปาทนานานิโรธโตติ เอตํ ทฺวยมปิ สห คเหตฺวา รูปารูปานํ ‘‘เอกุปฺปาทนานานิโรธโต’’ติ เอโก ทฎฺฐพฺพากาโร วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ เอวํ อิโต ปเรสุปิฯ ปจฺฉิมกมฺมชํ ฐเปตฺวาติ ตสฺส จุติจิเตฺตน สห นิรุชฺฌนโต นานานิโรโธ นตฺถีติ กตฺวา วุตฺตนฺติ วทนฺติฯ ตสฺส ปน เอกุปฺปาโทปิ นตฺถิ เหฎฺฐา โสฬสเก ปจฺฉิมสฺส ภงฺคกฺขเณ อุปฺปตฺติวจนโตฯ ยทิ ปน ยสฺส เอกุปฺปาทนานานิโรธา เทฺวปิ น สนฺติ, ตํ ฐเปตพฺพํฯ สพฺพมฺปิ จิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ อุปฺปนฺนํ ฐเปตพฺพํ สิยา, ปจฺฉิมกมฺมชสฺส ปน อุปฺปตฺติโต ปรโต จิเตฺตสุ ปวตฺตมาเนสุ กมฺมชรูปสฺส อนุปฺปตฺติโต วเชฺชตพฺพํ คเหตพฺพญฺจ ตทา นตฺถีติ ‘‘ปจฺฉิมกมฺมชํ ฐเปตฺวา’’ติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตโต ปุเพฺพ ปน อฎฺฐจตฺตาลีสกมฺมชรูปปเวณี อตฺถีติ ตตฺถ ยํ จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ อุปฺปนฺนํ, ตํ อญฺญสฺส อุปฺปาทกฺขเณ นิรุชฺฌตีติ ‘‘เอกุปฺปาทนานานิโรธ’’นฺติ คเหตฺวา ฐิติภงฺคกฺขเณสุ อุปฺปนฺนรูปานิ วเชฺชตฺวา เอวํ เอกุปฺปาทนานานิโรธโต เวทิตพฺพาติ โยชนา กตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ตญฺหิ รูปํ อรูเปน, อรูปญฺจ เตน เอกุปฺปาทนานานิโรธนฺติฯ ตตฺถ สงฺขลิกสฺส วิย สมฺพโนฺธ ปเวณีติ กตฺวา อฎฺฐจตฺตาลีสกมฺมชิยวจนํ กตํ, อญฺญถา เอกูนปญฺญาสกมฺมชิยวจนํ กตฺตพฺพํ สิยาฯ

    Ekuppādanānānirodhatoti etaṃ dvayamapi saha gahetvā rūpārūpānaṃ ‘‘ekuppādanānānirodhato’’ti eko daṭṭhabbākāro vuttoti daṭṭhabbo. Evaṃ ito paresupi. Pacchimakammajaṃ ṭhapetvāti tassa cuticittena saha nirujjhanato nānānirodho natthīti katvā vuttanti vadanti. Tassa pana ekuppādopi natthi heṭṭhā soḷasake pacchimassa bhaṅgakkhaṇe uppattivacanato. Yadi pana yassa ekuppādanānānirodhā dvepi na santi, taṃ ṭhapetabbaṃ. Sabbampi cittassa bhaṅgakkhaṇe uppannaṃ ṭhapetabbaṃ siyā, pacchimakammajassa pana uppattito parato cittesu pavattamānesu kammajarūpassa anuppattito vajjetabbaṃ gahetabbañca tadā natthīti ‘‘pacchimakammajaṃ ṭhapetvā’’ti vuttanti veditabbaṃ. Tato pubbe pana aṭṭhacattālīsakammajarūpapaveṇī atthīti tattha yaṃ cittassa uppādakkhaṇe uppannaṃ, taṃ aññassa uppādakkhaṇe nirujjhatīti ‘‘ekuppādanānānirodha’’nti gahetvā ṭhitibhaṅgakkhaṇesu uppannarūpāni vajjetvā evaṃ ekuppādanānānirodhato veditabbāti yojanā katāti daṭṭhabbā. Tañhi rūpaṃ arūpena, arūpañca tena ekuppādanānānirodhanti. Tattha saṅkhalikassa viya sambandho paveṇīti katvā aṭṭhacattālīsakammajiyavacanaṃ kataṃ, aññathā ekūnapaññāsakammajiyavacanaṃ kattabbaṃ siyā.

    นานุปฺปาท…เป.… ปจฺฉิมกมฺมเชน ทีเปตพฺพาติ เตน สุทีปนตฺตา วุตฺตํฯ เอเตน หิ นเยน สกฺกา ตโต ปุเพฺพปิ เอกสฺส จิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ อุปฺปนฺนรูปํ อญฺญสฺสปิ ภงฺคกฺขเณ เอว นิรุชฺฌตีติ ตํ อรูเปน, อรูปญฺจ เตน นานุปฺปาทํ เอกนิโรธนฺติ วิญฺญาตุนฺติฯ อุภยตฺถาปิ ปน อญฺญสฺส จิตฺตสฺส ฐิติกฺขเณ อุปฺปนฺนํ รูปํ อญฺญสฺส ฐิติกฺขเณ, ตสฺส ฐิติกฺขเณ อุปฺปชฺชิตฺวา ฐิติกฺขเณ เอว นิรุชฺฌนกํ อรูปญฺจ น สงฺคหิตํ, ตํ ‘‘นานุปฺปาทโต นานานิโรธโต’’ติ เอเตฺถว สงฺคหํ คจฺฉตีติ เวทิตพฺพํฯ จตุสนฺตติกรูเปน หิ นานุปฺปาทนานานิโรธตาทีปนา เอตฺถ ฐิติกฺขเณ อุปฺปนฺนสฺส ทสฺสิตตฺตา อทสฺสิตสฺส วเสน นยทสฺสนํ โหตีติฯ สมติํสกมฺมชรูเปสุ เอว ฐิตสฺสปิ คเพฺภ คตสฺส มรณํ อตฺถีติ เตสํ เอว วเสน ปจฺฉิมกมฺปิ โยชิตํฯ อมรา นาม ภเวยฺยุํ, กสฺมา? ยถา ฉนฺนํ วตฺถูนํ ปวตฺติ , เอวํ ตทุปฺปาทกกเมฺมเนว ภวงฺคาทีนญฺจ ตพฺพตฺถุกานํ ปวตฺติยา ภวิตพฺพนฺติฯ น หิ ตํ การณํ อตฺถิ, เยน ตํ กมฺมเชสุ เอกจฺจํ ปวเตฺตยฺย, เอกจฺจํ น ปวเตฺตยฺยาติฯ ตสฺมา อายุอุสฺมาวิญฺญาณาทีนํ ชีวิตสงฺขารานํ อนูนตฺตา วุตฺตํ ‘‘อมรา นาม ภเวยฺยุ’’นฺติฯ

    Nānuppāda…pe… pacchimakammajena dīpetabbāti tena sudīpanattā vuttaṃ. Etena hi nayena sakkā tato pubbepi ekassa cittassa bhaṅgakkhaṇe uppannarūpaṃ aññassapi bhaṅgakkhaṇe eva nirujjhatīti taṃ arūpena, arūpañca tena nānuppādaṃ ekanirodhanti viññātunti. Ubhayatthāpi pana aññassa cittassa ṭhitikkhaṇe uppannaṃ rūpaṃ aññassa ṭhitikkhaṇe, tassa ṭhitikkhaṇe uppajjitvā ṭhitikkhaṇe eva nirujjhanakaṃ arūpañca na saṅgahitaṃ, taṃ ‘‘nānuppādato nānānirodhato’’ti ettheva saṅgahaṃ gacchatīti veditabbaṃ. Catusantatikarūpena hi nānuppādanānānirodhatādīpanā ettha ṭhitikkhaṇe uppannassa dassitattā adassitassa vasena nayadassanaṃ hotīti. Samatiṃsakammajarūpesu eva ṭhitassapi gabbhe gatassa maraṇaṃ atthīti tesaṃ eva vasena pacchimakampi yojitaṃ. Amarā nāma bhaveyyuṃ, kasmā? Yathā channaṃ vatthūnaṃ pavatti , evaṃ taduppādakakammeneva bhavaṅgādīnañca tabbatthukānaṃ pavattiyā bhavitabbanti. Na hi taṃ kāraṇaṃ atthi, yena taṃ kammajesu ekaccaṃ pavatteyya, ekaccaṃ na pavatteyyāti. Tasmā āyuusmāviññāṇādīnaṃ jīvitasaṅkhārānaṃ anūnattā vuttaṃ ‘‘amarā nāma bhaveyyu’’nti.

    ‘‘อุปฺปาทกฺขเณ อุปฺปนฺนํ อญฺญสฺส อุปฺปาทกฺขเณ นิรุชฺฌติ, ฐิติกฺขเณ อุปฺปนฺนํ อญฺญสฺส ฐิติกฺขเณ, ภงฺคกฺขเณ อุปฺปนฺนํ อญฺญสฺส ภงฺคกฺขเณ นิรุชฺฌตี’’ติ อิทํ อฎฺฐกถายํ อาคตตฺตา วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโยฯ อตฺตโน ปนาธิปฺปายํ อุปฺปาทกฺขเณ อุปฺปนฺนํ นิโรธกฺขเณ, ฐิติกฺขเณ อุปฺปนฺนญฺจ อุปฺปาทกฺขเณ, ภงฺคกฺขเณ อุปฺปนฺนํ ฐิติกฺขเณ นิรุชฺฌตีติ ทีเปติเยวฯ เอวญฺจ กตฺวา อทฺธานปริเจฺฉเท ‘‘ตํ ปน สตฺตรสเมน จิเตฺตน สทฺธิํ นิรุชฺฌตี’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๖ ปกิณฺณกกถา) วุตฺตํฯ อิมาย ปาฬิยา วิรุชฺฌติ, กสฺมา? จตุสมุฎฺฐานิกรูปสฺสปิ สมานายุกตาย ภวิตพฺพตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ ยถา ปน เอเตหิ โยชิตํ, ตถา รูปสฺส เอกุปฺปาทนานานิโรธตา นานุปฺปาเทกนิโรธตา จ นตฺถิเยวฯ

    ‘‘Uppādakkhaṇe uppannaṃ aññassa uppādakkhaṇe nirujjhati, ṭhitikkhaṇe uppannaṃ aññassa ṭhitikkhaṇe, bhaṅgakkhaṇe uppannaṃ aññassa bhaṅgakkhaṇe nirujjhatī’’ti idaṃ aṭṭhakathāyaṃ āgatattā vuttanti adhippāyo. Attano panādhippāyaṃ uppādakkhaṇe uppannaṃ nirodhakkhaṇe, ṭhitikkhaṇe uppannañca uppādakkhaṇe, bhaṅgakkhaṇe uppannaṃ ṭhitikkhaṇe nirujjhatīti dīpetiyeva. Evañca katvā addhānaparicchede ‘‘taṃ pana sattarasamena cittena saddhiṃ nirujjhatī’’ti (vibha. aṭṭha. 26 pakiṇṇakakathā) vuttaṃ. Imāya pāḷiyā virujjhati, kasmā? Catusamuṭṭhānikarūpassapi samānāyukatāya bhavitabbattāti adhippāyo. Yathā pana etehi yojitaṃ, tathā rūpassa ekuppādanānānirodhatā nānuppādekanirodhatā ca natthiyeva.

    ยา ปน เอเตหิ รูปสฺส สตฺตรสจิตฺตกฺขณายุกตา วุตฺตา, ยา จ อฎฺฐกถายํ ตติยภาคาธิกโสฬสจิตฺตกฺขณายุกตา, สา ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภงฺคฎฺฐกถายํ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๗) อตีตารมฺมณาย จุติยา อนนฺตรา ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณํ ปฎิสนฺธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘เอตฺตาวตา เอกาทส จิตฺตกฺขณา อตีตา โหนฺติ, ตถา ปญฺจทส จิตฺตกฺขณา อตีตา โหนฺติ, อถาวเสสปญฺจจิตฺตเอกจิตฺตกฺขณายุเก ตสฺมิํ เยวารมฺมเณ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปชฺชตี’’ติ ทสฺสิเตน โสฬสจิตฺตกฺขณายุกภาเวน วิรุชฺฌติฯ น หิ สกฺกา ‘‘ฐิติกฺขเณ เอว รูปํ อาปาถมาคจฺฉตี’’ติ วตฺตุํฯ ตถา หิ สติ น รูปสฺส เอกาทส วา ปญฺจทเสว วา จิตฺตกฺขณา อตีตา, อถ โข อติเรกเอกาทสปญฺจทสจิตฺตกฺขณาฯ ตสฺมา ยทิปิ ปญฺจทฺวาเร ฐิติปฺปตฺตเมว รูปํ ปสาทํ ฆเฎฺฎตีติ ยุเชฺชยฺย, มโนทฺวาเร ปน อุปฺปาทกฺขเณปิ อาปาถมาคจฺฉตีติ อิจฺฉิตพฺพเมตํฯ น หิ มโนทฺวาเร อตีตาทีสุ กิญฺจิ อาปาถํ นาคจฺฉตีติฯ มโนทฺวาเร จ เอวํ วุตฺตํ ‘‘เอกาทส จิตฺตกฺขณา อตีตา, อถาวเสสปญฺจจิตฺตกฺขณายุเก’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๗)ฯ

    Yā pana etehi rūpassa sattarasacittakkhaṇāyukatā vuttā, yā ca aṭṭhakathāyaṃ tatiyabhāgādhikasoḷasacittakkhaṇāyukatā, sā paṭiccasamuppādavibhaṅgaṭṭhakathāyaṃ (vibha. aṭṭha. 227) atītārammaṇāya cutiyā anantarā paccuppannārammaṇaṃ paṭisandhiṃ dassetuṃ ‘‘ettāvatā ekādasa cittakkhaṇā atītā honti, tathā pañcadasa cittakkhaṇā atītā honti, athāvasesapañcacittaekacittakkhaṇāyuke tasmiṃ yevārammaṇe paṭisandhicittaṃ uppajjatī’’ti dassitena soḷasacittakkhaṇāyukabhāvena virujjhati. Na hi sakkā ‘‘ṭhitikkhaṇe eva rūpaṃ āpāthamāgacchatī’’ti vattuṃ. Tathā hi sati na rūpassa ekādasa vā pañcadaseva vā cittakkhaṇā atītā, atha kho atirekaekādasapañcadasacittakkhaṇā. Tasmā yadipi pañcadvāre ṭhitippattameva rūpaṃ pasādaṃ ghaṭṭetīti yujjeyya, manodvāre pana uppādakkhaṇepi āpāthamāgacchatīti icchitabbametaṃ. Na hi manodvāre atītādīsu kiñci āpāthaṃ nāgacchatīti. Manodvāre ca evaṃ vuttaṃ ‘‘ekādasa cittakkhaṇā atītā, athāvasesapañcacittakkhaṇāyuke’’ti (vibha. aṭṭha. 227).

    โย เจตฺถ จิตฺตสฺส ฐิติกฺขโณ วุโตฺต, โส จ อตฺถิ นตฺถีติ วิจาเรตโพฺพฯ จิตฺตยมเก (ยม. ๒.จิตฺตยมก.๑๐๒) หิ ‘‘อุปฺปนฺนํ อุปฺปชฺชมานนฺติ? ภงฺคกฺขเณ อุปฺปนฺนํ, โน จ อุปฺปชฺชมาน’’นฺติ เอตฺตกเมว วุตฺตํ, น วุตฺตํ ‘‘ฐิติกฺขเณ ภงฺคกฺขเณ จา’’ติฯ ตถา ‘‘นุปฺปชฺชมานํ นุปฺปนฺนนฺติ? ภงฺคกฺขเณ นุปฺปชฺชมานํ, โน จ นุปฺปนฺน’’นฺติ เอตฺตกเมว วุตฺตํ, น วุตฺตํ ‘‘ฐิติกฺขเณ ภงฺคกฺขเณ จา’’ติฯ เอวํ ‘‘น นิรุทฺธํ น นิรุชฺฌมานํ, น นิรุชฺฌมานํ น นิรุทฺธ’’นฺติ เอเตสํ ปริปุณฺณวิสฺสชฺชเน ‘‘อุปฺปาทกฺขเณ อนาคตญฺจา’’ติ วตฺวา ‘‘ฐิติกฺขเณ’’ติ อวจนํ, อติกฺกนฺตกาลวาเร จ ‘‘ภงฺคกฺขเณ จิตฺตํ อุปฺปาทกฺขณํ วีติกฺกนฺต’’นฺติ วตฺวา ‘‘ฐิติกฺขเณ’’ติ อวจนํ ฐิติกฺขณาภาวํ จิตฺตสฺส ทีเปติฯ สุเตฺตสุปิ หิ ‘‘ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายตี’’ติ ตเสฺสว (สํ. นิ. ๓.๓๘; อ. นิ. ๓.๔๗) เอกสฺส อญฺญถตฺตาภาวโต ‘‘ยสฺสา อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ, สา สนฺตติฐิตี’’ติ น น สกฺกา วตฺตุนฺติ, วิชฺชมานํ วา ขณทฺวยสมงฺคิํ ฐิตนฺติฯ

    Yo cettha cittassa ṭhitikkhaṇo vutto, so ca atthi natthīti vicāretabbo. Cittayamake (yama. 2.cittayamaka.102) hi ‘‘uppannaṃ uppajjamānanti? Bhaṅgakkhaṇe uppannaṃ, no ca uppajjamāna’’nti ettakameva vuttaṃ, na vuttaṃ ‘‘ṭhitikkhaṇe bhaṅgakkhaṇe cā’’ti. Tathā ‘‘nuppajjamānaṃ nuppannanti? Bhaṅgakkhaṇe nuppajjamānaṃ, no ca nuppanna’’nti ettakameva vuttaṃ, na vuttaṃ ‘‘ṭhitikkhaṇe bhaṅgakkhaṇe cā’’ti. Evaṃ ‘‘na niruddhaṃ na nirujjhamānaṃ, na nirujjhamānaṃ na niruddha’’nti etesaṃ paripuṇṇavissajjane ‘‘uppādakkhaṇe anāgatañcā’’ti vatvā ‘‘ṭhitikkhaṇe’’ti avacanaṃ, atikkantakālavāre ca ‘‘bhaṅgakkhaṇe cittaṃ uppādakkhaṇaṃ vītikkanta’’nti vatvā ‘‘ṭhitikkhaṇe’’ti avacanaṃ ṭhitikkhaṇābhāvaṃ cittassa dīpeti. Suttesupi hi ‘‘ṭhitassa aññathattaṃ paññāyatī’’ti tasseva (saṃ. ni. 3.38; a. ni. 3.47) ekassa aññathattābhāvato ‘‘yassā aññathattaṃ paññāyati, sā santatiṭhitī’’ti na na sakkā vattunti, vijjamānaṃ vā khaṇadvayasamaṅgiṃ ṭhitanti.

    โย เจตฺถ จิตฺตนิโรธกฺขเณ รูปุปฺปาโท วุโตฺต, โส จ วิจาเรตโพฺพ ‘‘ยสฺส วา ปน สมุทยสจฺจํ นิรุชฺฌติ, ตสฺส ทุกฺขสจฺจํ อุปฺปชฺชตีติ? โนติ วุตฺต’’นฺติ (ยม. ๑.สจฺจยมก.๑๓๖)ฯ โย จ จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ รูปนิโรโธ วุโตฺต, โส จ วิจาเรตโพฺพ ‘‘ยสฺส กุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติ, ตสฺส อพฺยากตา ธมฺมา นิรุชฺฌนฺตีติ? โนติอาทิ (ยม. ๓.ธมฺมยมก.๑๖๓) วุตฺต’’นฺติฯ น จ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปเมว สนฺธาย ปฎิเกฺขโป กโตติ สกฺกา วตฺตุํ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปาธิการสฺส อภาวา, อพฺยากตสทฺทสฺส จ จิตฺตสมุฎฺฐานรูเปเสฺวว อปฺปวตฺติโตฯ ยทิ สงฺขารยมเก กายสงฺขารสฺส จิตฺตสงฺขาเรน สหุปฺปาเทกนิโรธวจนโต อพฺยากต-สเทฺทน จิตฺตสมุฎฺฐานเมเวตฺถ คหิตนฺติ การณํ วเทยฺย, ตมฺปิ อการณํฯ น หิ เตน วจเนน อญฺญรูปานํ จิเตฺตน สหุปฺปาทสหนิโรธปฎิเกฺขโป กโต, นาปิ นานุปฺปาทนานานิโรธานุชานนํ, เนว จิตฺตสมุฎฺฐานโต อญฺญสฺส อพฺยากตภาวนิวารณญฺจ กตํ, ตสฺมา ตถา อปฺปฎิกฺขิตฺตานานุญฺญาตานิวาริตาพฺยากตภาวานํ สหุปฺปาทสหนิโรธาทิกานํ กมฺมชาทีนํ เอเตน จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ นิโรโธ ปฎิกฺขิโตฺตติ น สกฺกา กมฺมชาทีนํ จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ นิโรธํ วตฺตุํฯ ยมกปาฬิอนุสฺสรเณ จ สติ อุปฺปาทานนฺตรํ จิตฺตสฺส ภิชฺชมานตาติ ตสฺมิํ ขเณ จิตฺตํ น จ รูปํ สมุฎฺฐาเปติ วินสฺสมานตฺตา, นาปิ จ อญฺญสฺส รูปสมุฎฺฐาปกสฺส สหายภาวํ คจฺฉตีติ ปฎิสนฺธิจิเตฺตน สหุปฺปโนฺน อุตุ ตทนนฺตรสฺส จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ รูปํ สมุฎฺฐาเปยฺยฯ เอวญฺจ สติ รูปารูปานํ อาทิมฺหิ สห รูปสมุฎฺฐาปนโต ปุพฺพาปรโตติ อิทมฺปิ นตฺถิ, อติลหุปริวตฺตญฺจ จิตฺตนฺติ เยน สหุปฺปชฺชติ, ตํ จิตฺตกฺขเณ รูปํ อุปฺปชฺชมานเมวาติ สกฺกา วตฺตุํฯ เตเนว หิ ตํ ปฎิสนฺธิโต อุทฺธํ อจิตฺตสมุฎฺฐานานํ อตฺตนา สห อุปฺปชฺชมานานํ น เกนจิ ปจฺจเยน ปจฺจโย โหติ, ตทนนฺตรญฺจ ตํ ฐิติปฺปตฺตนฺติ ตทนนฺตรํ จิตฺตํ ตสฺส ปจฺฉาชาตปจฺจโย โหติ, น สหชาตปจฺจโยติฯ ยทิ เอวํ ‘‘ยสฺส กายสงฺขาโร อุปฺปชฺชติ, ตสฺส วจีสงฺขาโร นิรุชฺฌตีติ? โน’’ติ (ยม. ๒.สงฺขารยมก.๑๒๘), วตฺตพฺพนฺติ เจ? น, จิตฺตนิโรธกฺขเณ รูปุปฺปาทารมฺภาภาวโตติฯ นิปฺปริยาเยน หิ จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ เอว รูปํ อุปฺปชฺชมานํ โหติ, จิตฺตกฺขเณ ปน อวีติวเตฺต ตํ อตฺตโน รูปสมุฎฺฐาปนปุเรชาตปจฺจยกิจฺจํ น กโรติ, อรูปญฺจ ตสฺส ปจฺฉาชาตปจฺจโย น โหตีติ ฐิติปฺปตฺติวิเสสาลาภํ สนฺธาย ปริยาเยน อิทํ วุตฺตนฺติฯ

    Yo cettha cittanirodhakkhaṇe rūpuppādo vutto, so ca vicāretabbo ‘‘yassa vā pana samudayasaccaṃ nirujjhati, tassa dukkhasaccaṃ uppajjatīti? Noti vutta’’nti (yama. 1.saccayamaka.136). Yo ca cittassa uppādakkhaṇe rūpanirodho vutto, so ca vicāretabbo ‘‘yassa kusalā dhammā uppajjanti, tassa abyākatā dhammā nirujjhantīti? Notiādi (yama. 3.dhammayamaka.163) vutta’’nti. Na ca cittasamuṭṭhānarūpameva sandhāya paṭikkhepo katoti sakkā vattuṃ cittasamuṭṭhānarūpādhikārassa abhāvā, abyākatasaddassa ca cittasamuṭṭhānarūpesveva appavattito. Yadi saṅkhārayamake kāyasaṅkhārassa cittasaṅkhārena sahuppādekanirodhavacanato abyākata-saddena cittasamuṭṭhānamevettha gahitanti kāraṇaṃ vadeyya, tampi akāraṇaṃ. Na hi tena vacanena aññarūpānaṃ cittena sahuppādasahanirodhapaṭikkhepo kato, nāpi nānuppādanānānirodhānujānanaṃ, neva cittasamuṭṭhānato aññassa abyākatabhāvanivāraṇañca kataṃ, tasmā tathā appaṭikkhittānānuññātānivāritābyākatabhāvānaṃ sahuppādasahanirodhādikānaṃ kammajādīnaṃ etena cittassa uppādakkhaṇe nirodho paṭikkhittoti na sakkā kammajādīnaṃ cittassa uppādakkhaṇe nirodhaṃ vattuṃ. Yamakapāḷianussaraṇe ca sati uppādānantaraṃ cittassa bhijjamānatāti tasmiṃ khaṇe cittaṃ na ca rūpaṃ samuṭṭhāpeti vinassamānattā, nāpi ca aññassa rūpasamuṭṭhāpakassa sahāyabhāvaṃ gacchatīti paṭisandhicittena sahuppanno utu tadanantarassa cittassa uppādakkhaṇe rūpaṃ samuṭṭhāpeyya. Evañca sati rūpārūpānaṃ ādimhi saha rūpasamuṭṭhāpanato pubbāparatoti idampi natthi, atilahuparivattañca cittanti yena sahuppajjati, taṃ cittakkhaṇe rūpaṃ uppajjamānamevāti sakkā vattuṃ. Teneva hi taṃ paṭisandhito uddhaṃ acittasamuṭṭhānānaṃ attanā saha uppajjamānānaṃ na kenaci paccayena paccayo hoti, tadanantarañca taṃ ṭhitippattanti tadanantaraṃ cittaṃ tassa pacchājātapaccayo hoti, na sahajātapaccayoti. Yadi evaṃ ‘‘yassa kāyasaṅkhāro uppajjati, tassa vacīsaṅkhāro nirujjhatīti? No’’ti (yama. 2.saṅkhārayamaka.128), vattabbanti ce? Na, cittanirodhakkhaṇe rūpuppādārambhābhāvatoti. Nippariyāyena hi cittassa uppādakkhaṇe eva rūpaṃ uppajjamānaṃ hoti, cittakkhaṇe pana avītivatte taṃ attano rūpasamuṭṭhāpanapurejātapaccayakiccaṃ na karoti, arūpañca tassa pacchājātapaccayo na hotīti ṭhitippattivisesālābhaṃ sandhāya pariyāyena idaṃ vuttanti.

    ตโต ปรํ ปนาติ เอตสฺส ‘‘เอตฺถ ปน ยเทต’’นฺติอาทิกายปิ สงฺคหกถาย นิฎฺฐิตาย ปุริมกถาย สนฺนิฎฺฐานโต ‘‘ตโต ปฎฺฐาย กมฺมชรูปปเวณี น ปวตฺตตี’’ติ เอเตน สห สมฺพโนฺธติ จุติโต ปรนฺติ อโตฺถฯ

    Tato paraṃ panāti etassa ‘‘ettha pana yadeta’’ntiādikāyapi saṅgahakathāya niṭṭhitāya purimakathāya sanniṭṭhānato ‘‘tato paṭṭhāya kammajarūpapaveṇī na pavattatī’’ti etena saha sambandhoti cutito paranti attho.

    รูปํ ปน รูเปน สหาติอาทินา ยถา อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ, ตถา เอกุปฺปาเทกนิโรธตา รูปานํ อรูเปหิ, อรูปานํ รูเปหิ จ นตฺถีติ กตฺวา รูปานํ รูเปเหว, อรูปานญฺจ อรูเปหิ โยชิตาฯ

    Rūpaṃ pana rūpena sahātiādinā yathā aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ, tathā ekuppādekanirodhatā rūpānaṃ arūpehi, arūpānaṃ rūpehi ca natthīti katvā rūpānaṃ rūpeheva, arūpānañca arūpehi yojitā.

    สรีรสฺส รูปํ อวยวภูตนฺติ อโตฺถ, ฆนภูโต ปุญฺชภาโว ฆนปุญฺชภาโว, น ติลมุคฺคาทิปุญฺชา วิย สิถิลสมฺพนฺธนานํ ปุโญฺชติ อโตฺถฯ เอกุปฺปาทาทิตาติ ยถาวุเตฺต ตโย ปกาเร อาหฯ

    Sarīrassarūpaṃ avayavabhūtanti attho, ghanabhūto puñjabhāvo ghanapuñjabhāvo, na tilamuggādipuñjā viya sithilasambandhanānaṃ puñjoti attho. Ekuppādāditāti yathāvutte tayo pakāre āha.

    เหฎฺฐาติ รูปกณฺฑวณฺณนายํฯ ปรินิปฺผนฺนาว โหนฺตีติ วิการรูปาทีนญฺจ รูปกณฺฑวณฺณนายํ ปรินิปฺผนฺนตาปริยาโย วุโตฺตติ กตฺวา วุตฺตํฯ ปรินิปฺผนฺนนิปฺผนฺนานํ โก วิเสโสติ? ปุพฺพนฺตาปรนฺตปริจฺฉิโนฺน ปจฺจเยหิ นิปฺผาทิโต ติลกฺขณาหโต สภาวธโมฺม ปรินิปฺผโนฺน, นิปฺผโนฺน ปน อสภาวธโมฺมปิ โหติ นามคฺคหณสมาปชฺชนาทิวเสน นิปฺผาทิยมาโนติฯ นิโรธสมาปตฺติ ปนาติ เอเตน สพฺพมฺปิ อุปาทาปญฺญตฺติํ ตเทกเทเสน ทเสฺสตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Heṭṭhāti rūpakaṇḍavaṇṇanāyaṃ. Parinipphannāva hontīti vikārarūpādīnañca rūpakaṇḍavaṇṇanāyaṃ parinipphannatāpariyāyo vuttoti katvā vuttaṃ. Parinipphannanipphannānaṃ ko visesoti? Pubbantāparantaparicchinno paccayehi nipphādito tilakkhaṇāhato sabhāvadhammo parinipphanno, nipphanno pana asabhāvadhammopi hoti nāmaggahaṇasamāpajjanādivasena nipphādiyamānoti. Nirodhasamāpatti panāti etena sabbampi upādāpaññattiṃ tadekadesena dassetīti veditabbaṃ.

    ปกิณฺณกกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pakiṇṇakakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    กมาทิวินิจฺฉยกถาวณฺณนา

    Kamādivinicchayakathāvaṇṇanā

    ทสฺสเนน ปหาตพฺพาติอาทินา ปฐมํ ปหาตพฺพา ปฐมํ วุตฺตา, ทุติยํ ปหาตพฺพา ทุติยนฺติ อยํ ปหานกฺกโมฯ อนุปุพฺพปณีตา ภูมิโย อนุปุเพฺพน ววตฺถิตาติ ตาสํ วเสน เทสนาย ภูมิกฺกโมฯ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติอาทิโก (สํ. นิ. ๕.๓๗๒, ๓๘๒, ๓๘๓; วิภ. ๓๕๕) เอกกฺขเณปิ สติปฎฺฐานาทิสมฺภวโต เทสนากฺกโมวฯ ทานกถาทโย อนุปุพฺพุกฺกํสโต กถิตา, อุปฺปตฺติอาทิววตฺถานาภาวโต ปน ทานาทีนํ อิธ เทสนากฺกมวจนํฯ เทสนากฺกโมติ จ ยถาวุตฺตววตฺถานาภาวโต อเนเกสํ วจนานํ สห ปวตฺติยา อสมฺภวโต เยน เกนจิ ปุพฺพาปริเยน เทเสตพฺพตฺตา เตน เตนาธิปฺปาเยน เทสนามตฺตเสฺสว กโม วุจฺจติฯ อเภเทน หีติ รูปาทีนํ เภทํ อกตฺวา ปิณฺฑคฺคหเณนาติ อโตฺถฯ จกฺขุอาทีนมฺปิ วิสยภูตนฺติ เอกเทเสน รูปกฺขนฺธํ สมุทายภูตํ วทติฯ เอวนฺติ เอตฺถ วุตฺตนเยนาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘ฉทฺวาราธิปติ ราชา’’ติ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.เอรกปตฺตนาคราชวตฺถุ) ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา’’ติ (ธ. ป. ๑-๒) จ วจนโต วิญฺญาณํ อธิปติ

    Dassanenapahātabbātiādinā paṭhamaṃ pahātabbā paṭhamaṃ vuttā, dutiyaṃ pahātabbā dutiyanti ayaṃ pahānakkamo. Anupubbapaṇītā bhūmiyo anupubbena vavatthitāti tāsaṃ vasena desanāya bhūmikkamo. ‘‘Cattāro satipaṭṭhānā’’tiādiko (saṃ. ni. 5.372, 382, 383; vibha. 355) ekakkhaṇepi satipaṭṭhānādisambhavato desanākkamova. Dānakathādayo anupubbukkaṃsato kathitā, uppattiādivavatthānābhāvato pana dānādīnaṃ idha desanākkamavacanaṃ. Desanākkamoti ca yathāvuttavavatthānābhāvato anekesaṃ vacanānaṃ saha pavattiyā asambhavato yena kenaci pubbāpariyena desetabbattā tena tenādhippāyena desanāmattasseva kamo vuccati. Abhedena hīti rūpādīnaṃ bhedaṃ akatvā piṇḍaggahaṇenāti attho. Cakkhuādīnampi visayabhūtanti ekadesena rūpakkhandhaṃ samudāyabhūtaṃ vadati. Evanti ettha vuttanayenāti adhippāyo. ‘‘Chadvārādhipati rājā’’ti (dha. pa. aṭṭha. 2.erakapattanāgarājavatthu) ‘‘manopubbaṅgamā dhammā’’ti (dha. pa. 1-2) ca vacanato viññāṇaṃ adhipati.

    รูปกฺขเนฺธ ‘‘สาสวํ อุปาทานิย’’นฺติ วจนํ อนาสวานํ ธมฺมานํ สพฺภาวโต รูปกฺขนฺธสฺส ตํสภาวตานิวตฺตนตฺถํ, น อนาสวรูปนิวตฺตนตฺถนฺติฯ อนาสวาว ขเนฺธสุ วุตฺตาติ เอตฺถ อฎฺฐานปฺปยุโตฺต เอว-สโทฺท ทฎฺฐโพฺพ, อนาสวา ขเนฺธเสฺวว วุตฺตาติ อโตฺถฯ

    Rūpakkhandhe ‘‘sāsavaṃ upādāniya’’nti vacanaṃ anāsavānaṃ dhammānaṃ sabbhāvato rūpakkhandhassa taṃsabhāvatānivattanatthaṃ, na anāsavarūpanivattanatthanti. Anāsavāva khandhesu vuttāti ettha aṭṭhānappayutto eva-saddo daṭṭhabbo, anāsavā khandhesveva vuttāti attho.

    สพฺพสงฺขตานํ สภาเคน เอกชฺฌํ สงฺคโห สพฺพสงฺขตสภาเคกสงฺคโหฯ สภาคสภาเคน หิ สงฺคยฺหมานา สพฺพสงฺขตา ผสฺสาทโย ปญฺจกฺขนฺธา โหนฺติฯ ตตฺถ รุปฺปนาทิสามเญฺญน สมานโกฎฺฐาสา ‘‘สภาคา’’ติ เวทิตพฺพาฯ เตสุ สงฺขตาภิสงฺขรณกิจฺจํ อายูหนรสาย เจตนาย พลวนฺติ สา ‘‘สงฺขารกฺขโนฺธ’’ติ วุตฺตา, อเญฺญ จ รุปฺปนาทิวิเสสลกฺขณรหิตา ผสฺสาทโย สงฺขตาภิสงฺขรณสามเญฺญนาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ผุสนาทโย ปน สภาวา วิสุํ ขนฺธ-สทฺทวจนียา น โหนฺตีติ ธมฺมสภาววิญฺญุนา ตถาคเตน ผสฺสขนฺธาทโย น วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพาติฯ ‘‘เย เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา สสฺสตวาทา สสฺสตํ โลกญฺจ ปญฺญเปนฺติ อตฺตานญฺจ, สเพฺพ เต อิเมเยว ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธ นิสฺสาย ปฎิจฺจ, เอเตสํ วา อญฺญตร’’นฺติอาทีนญฺจ สุตฺตานํ วเสน อตฺตตฺตนิยคาหวตฺถุสฺส เอตปรมตา ทฎฺฐพฺพา, เอเตน จ วกฺขมานสุตฺตวเสน จ ขเนฺธ เอว นิสฺสาย ปริตฺตารมฺมณาทิวเสน น วตฺตพฺพา จ ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชติ, ขนฺธนิพฺพานวชฺชสฺส สภาวธมฺมสฺส อภาวโตติ วุตฺตํ โหติฯ อเญฺญสญฺจ ขนฺธ-สทฺทวจนียานํ สีลกฺขนฺธาทีนํ สพฺภาวโต น ปเญฺจวาติ เอตํ โจทนํ นิวเตฺตตุมาห ‘‘อเญฺญสญฺจ ตทวโรธโต’’ติฯ

    Sabbasaṅkhatānaṃ sabhāgena ekajjhaṃ saṅgaho sabbasaṅkhatasabhāgekasaṅgaho. Sabhāgasabhāgena hi saṅgayhamānā sabbasaṅkhatā phassādayo pañcakkhandhā honti. Tattha ruppanādisāmaññena samānakoṭṭhāsā ‘‘sabhāgā’’ti veditabbā. Tesu saṅkhatābhisaṅkharaṇakiccaṃ āyūhanarasāya cetanāya balavanti sā ‘‘saṅkhārakkhandho’’ti vuttā, aññe ca ruppanādivisesalakkhaṇarahitā phassādayo saṅkhatābhisaṅkharaṇasāmaññenāti daṭṭhabbā. Phusanādayo pana sabhāvā visuṃ khandha-saddavacanīyā na hontīti dhammasabhāvaviññunā tathāgatena phassakhandhādayo na vuttāti daṭṭhabbāti. ‘‘Ye keci, bhikkhave, samaṇā vā brāhmaṇā vā sassatavādā sassataṃ lokañca paññapenti attānañca, sabbe te imeyeva pañcupādānakkhandhe nissāya paṭicca, etesaṃ vā aññatara’’ntiādīnañca suttānaṃ vasena attattaniyagāhavatthussa etaparamatā daṭṭhabbā, etena ca vakkhamānasuttavasena ca khandhe eva nissāya parittārammaṇādivasena na vattabbā ca diṭṭhi uppajjati, khandhanibbānavajjassa sabhāvadhammassa abhāvatoti vuttaṃ hoti. Aññesañca khandha-saddavacanīyānaṃ sīlakkhandhādīnaṃ sabbhāvato na pañcevāti etaṃ codanaṃ nivattetumāha ‘‘aññesañca tadavarodhato’’ti.

    ทุกฺขทุกฺขวิปริณามทุกฺขสงฺขารทุกฺขตาวเสน เวทนาย อาพาธกตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ ราคาทิสมฺปยุตฺตสฺส วิปริณามาทิทุกฺขสฺส อิตฺถิปุริสาทิอาการคฺคาหิกา ตํตํสงฺกปฺปมูลภูตา สญฺญา สมุฎฺฐานํฯ โรคสฺส ปิตฺตาทีนิ วิย อาสนฺนการณํ สมุฎฺฐานํ, อุตุโภชนเวสมาทีนิ วิย มูลการณํ นิทานํฯ ‘‘จิตฺตสฺสงฺคภูตา เจตสิกา’’ติ จิตฺตํ คิลานูปมํ วุตฺตํ, สุขสญฺญาทิวเสน เวทนาการณาย เหตุภาวโต เวทนาโภชนสฺส ฉาทาปนโต จ สญฺญา อปราธูปมา พฺยญฺชนูปมา จ, ‘‘ปญฺจ วธกา ปจฺจตฺถิกาติ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจเนฺนตํ อุปาทานกฺขนฺธานํ อธิวจน’’นฺติ อาสิวิสูปเม (สํ. นิ. ๔.๒๓๘) วธกาติ วุตฺตา, ‘‘ภาโรติ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจเนฺนตํ อุปาทานกฺขนฺธานํ อธิวจน’’นฺติ ภารสุเตฺต (สํ. นิ. ๓.๒๒) ภาราติ, ‘‘อตีตํปาหํ อทฺธานํ รูเปน ขชฺชิํ, เสยฺยถาปาหํ เอตรหิ ปจฺจุปฺปเนฺนน รูเปน ขชฺชามิ, อหเญฺจว โข ปน อนาคตํ รูปํ อภินเนฺทยฺยํ, อนาคเตนปาหํ รูเปน ขเชฺชยฺยํฯ เสยฺยถาเปตรหิ ขชฺชามี’’ติอาทินา ขชฺชนียปริยาเยน (สํ. นิ. ๓.๗๙) ขาทกาติ , ‘‘โส อนิจฺจํ รูปํ ‘อนิจฺจํ รูป’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาตี’’ติอาทินา ยมกสุเตฺต (สํ. นิ. ๓.๘๕) อนิจฺจาทิกาติฯ ยทิปิ อิมสฺมิํ วิภเงฺค อวิเสเสน ขนฺธา วุตฺตา, พาหุเลฺลน ปน อุปาทานกฺขนฺธานํ ตทโนฺตคธานํ ทฎฺฐพฺพตา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาติฯ

    Dukkhadukkhavipariṇāmadukkhasaṅkhāradukkhatāvasena vedanāya ābādhakattaṃ daṭṭhabbaṃ. Rāgādisampayuttassa vipariṇāmādidukkhassa itthipurisādiākāraggāhikā taṃtaṃsaṅkappamūlabhūtā saññā samuṭṭhānaṃ. Rogassa pittādīni viya āsannakāraṇaṃ samuṭṭhānaṃ, utubhojanavesamādīni viya mūlakāraṇaṃ nidānaṃ. ‘‘Cittassaṅgabhūtā cetasikā’’ti cittaṃ gilānūpamaṃ vuttaṃ, sukhasaññādivasena vedanākāraṇāya hetubhāvato vedanābhojanassa chādāpanato ca saññā aparādhūpamā byañjanūpamā ca, ‘‘pañca vadhakā paccatthikāti kho, bhikkhave, pañcannetaṃ upādānakkhandhānaṃ adhivacana’’nti āsivisūpame (saṃ. ni. 4.238) vadhakāti vuttā, ‘‘bhāroti kho, bhikkhave, pañcannetaṃ upādānakkhandhānaṃ adhivacana’’nti bhārasutte (saṃ. ni. 3.22) bhārāti, ‘‘atītaṃpāhaṃ addhānaṃ rūpena khajjiṃ, seyyathāpāhaṃ etarahi paccuppannena rūpena khajjāmi, ahañceva kho pana anāgataṃ rūpaṃ abhinandeyyaṃ, anāgatenapāhaṃ rūpena khajjeyyaṃ. Seyyathāpetarahi khajjāmī’’tiādinā khajjanīyapariyāyena (saṃ. ni. 3.79) khādakāti , ‘‘so aniccaṃ rūpaṃ ‘aniccaṃ rūpa’nti yathābhūtaṃ nappajānātī’’tiādinā yamakasutte (saṃ. ni. 3.85) aniccādikāti. Yadipi imasmiṃ vibhaṅge avisesena khandhā vuttā, bāhullena pana upādānakkhandhānaṃ tadantogadhānaṃ daṭṭhabbatā vuttāti veditabbāti.

    เทสิตาทิจฺจพนฺธุนาติ เทสิตํ อาทิจฺจพนฺธุนา, เทสิตานิ วาฯ คาถาสุขตฺถํ อนุนาสิกโลโป, นิการโลโป วา กโตฯ

    Desitādiccabandhunāti desitaṃ ādiccabandhunā, desitāni vā. Gāthāsukhatthaṃ anunāsikalopo, nikāralopo vā kato.

    คเหตุํ น สกฺกาติ นิจฺจาทิวเสน คเหตุํ น ยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ

    Gahetuṃ na sakkāti niccādivasena gahetuṃ na yuttanti attho.

    รูเปน สณฺฐาเนน ผลกสทิโส ทิสฺสมาโน ขรภาวาภาวา ผลกกิจฺจํ น กโรตีติ ‘‘น สกฺกา ตํ คเหตฺวา ผลกํ วา อาสนํ วา กาตุ’’นฺติ อาหฯ น ตถา ติฎฺฐตีติ นิจฺจาทิกา น โหตีติ อโตฺถ, ตณฺหาทิฎฺฐีหิ วา นิจฺจาทิคฺคหณวเสน อุปฺปาทาทิอนนฺตรํ ภิชฺชนโต คหิตาการา หุตฺวา น ติฎฺฐตีติ อโตฺถฯ โกฎิสตสหสฺสสงฺขฺยาติ อิทํ น คณนปริเจฺฉททสฺสนํ, พหุภาวทสฺสนเมว ปเนตํ ทฎฺฐพฺพํฯ อุทกชลฺลกนฺติ อุทกลสิกํฯ ยถา อุทกตเล พินฺทุนิปาตชนิโต วาโต อุทกชลฺลกํ สงฺกฑฺฒิตฺวา ปุฎํ กตฺวา ปุปฺผุฬํ นาม กโรติ, เอวํ วตฺถุมฺหิ อารมฺมณาปาถคมนชนิโต ผโสฺส อนุปจฺฉินฺนํ กิเลสชลฺลํ สหการีปจฺจยนฺตรภาเวน สงฺกฑฺฒิตฺวา เวทนํ นาม กโรติฯ อิทญฺจ กิเลเสหิ มูลการณภูเตหิ อารมฺมณสฺสาทนภูเตหิ จ นิพฺพตฺตํ วฎฺฎคตเวทนํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน วา จตฺตาโร ปจฺจยา วุตฺตา, อูเนหิปิ ปน อุปฺปชฺชเตวฯ

    Rūpena saṇṭhānena phalakasadiso dissamāno kharabhāvābhāvā phalakakiccaṃ na karotīti ‘‘na sakkā taṃ gahetvā phalakaṃ vā āsanaṃ vā kātu’’nti āha. Na tathā tiṭṭhatīti niccādikā na hotīti attho, taṇhādiṭṭhīhi vā niccādiggahaṇavasena uppādādianantaraṃ bhijjanato gahitākārā hutvā na tiṭṭhatīti attho. Koṭisatasahassasaṅkhyāti idaṃ na gaṇanaparicchedadassanaṃ, bahubhāvadassanameva panetaṃ daṭṭhabbaṃ. Udakajallakanti udakalasikaṃ. Yathā udakatale bindunipātajanito vāto udakajallakaṃ saṅkaḍḍhitvā puṭaṃ katvā pupphuḷaṃ nāma karoti, evaṃ vatthumhi ārammaṇāpāthagamanajanito phasso anupacchinnaṃ kilesajallaṃ sahakārīpaccayantarabhāvena saṅkaḍḍhitvā vedanaṃ nāma karoti. Idañca kilesehi mūlakāraṇabhūtehi ārammaṇassādanabhūtehi ca nibbattaṃ vaṭṭagatavedanaṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Ukkaṭṭhaparicchedena vā cattāro paccayā vuttā, ūnehipi pana uppajjateva.

    นานาลกฺขโณติ วณฺณคนฺธรสผสฺสาทีหิ นานาสภาโวฯ มายาย ทสฺสิตํ รูปํ ‘‘มายา’’ติ อาหฯ ปญฺจปิ อุปาทานกฺขนฺธา อสุภาทิสภาวา เอว กิเลสาสุจิวตฺถุภาวาทิโตติ อสุภาทิโต ทฎฺฐพฺพา เอวฯ ตถาปิ กตฺถจิ โกจิ วิเสโส สุขคฺคหณีโย โหตีติ อาห ‘‘วิเสสโต จา’’ติอาทิฯ ตตฺถ จตฺตาโร สติปฎฺฐานา จตุวิปลฺลาสปฺปหานกราติ เตสํ โคจรภาเวน รูปกฺขนฺธาทีสุ อสุภาทิวเสน ทฎฺฐพฺพตา วุตฺตาฯ

    Nānālakkhaṇoti vaṇṇagandharasaphassādīhi nānāsabhāvo. Māyāya dassitaṃ rūpaṃ ‘‘māyā’’ti āha. Pañcapi upādānakkhandhā asubhādisabhāvā eva kilesāsucivatthubhāvāditoti asubhādito daṭṭhabbā eva. Tathāpi katthaci koci viseso sukhaggahaṇīyo hotīti āha ‘‘visesato cā’’tiādi. Tattha cattāro satipaṭṭhānā catuvipallāsappahānakarāti tesaṃ gocarabhāvena rūpakkhandhādīsu asubhādivasena daṭṭhabbatā vuttā.

    ขเนฺธหิ น วิหญฺญติ ปริวิทิตสภาวตฺตาฯ วิปสฺสโกปิ หิ เตสํ วิปตฺติยํ น ทุกฺขมาปชฺชติ, ขีณาสเวสุ ปน วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ เต หิ อายติมฺปิ ขเนฺธหิ น พาธียนฺตีติ ฯ กพฬีการาหารํ ปริชานาตีติ ‘‘อาหารสมุทยา รูปสมุทโย’’ติ (สํ. นิ. ๓.๕๖-๕๗) วุตฺตตฺตา อชฺฌตฺติกรูเป ฉนฺทราคํ ปชหโนฺต ตสฺส สมุทยภูเต กพฬีการาหาเรปิ ฉนฺทราคํ ปชหตีติ อโตฺถ, อยํ ปหานปริญฺญาฯ อชฺฌตฺติกรูปํ ปน ปริคฺคณฺหโนฺต ตสฺส ปจฺจยภูตํ กพฬีการาหารมฺปิ ปริคฺคณฺหาตีติ ญาตปริญฺญาฯ ตสฺส จ อุทยวยานุปสฺสี โหตีติ ตีรณปริญฺญา จ โยเชตพฺพาฯ กามราคภูตํ อภิชฺฌํ สนฺธาย ‘‘อภิชฺฌากายคนฺถ’’นฺติ อาหฯ อสุภานุปสฺสนาย หิ กามราคปฺปหานํ โหตีติฯ กามราคมุเขน วา สพฺพโลภปฺปหานํ วทติฯ ‘‘ผสฺสปจฺจยา เวทนา’’ติ วุตฺตตฺตา อาหารปริชานเน วุตฺตนเยน ผสฺสปริชานนญฺจ โยเชตพฺพํฯ

    Khandhehi na vihaññati parividitasabhāvattā. Vipassakopi hi tesaṃ vipattiyaṃ na dukkhamāpajjati, khīṇāsavesu pana vattabbameva natthi. Te hi āyatimpi khandhehi na bādhīyantīti . Kabaḷīkārāhāraṃ parijānātīti ‘‘āhārasamudayā rūpasamudayo’’ti (saṃ. ni. 3.56-57) vuttattā ajjhattikarūpe chandarāgaṃ pajahanto tassa samudayabhūte kabaḷīkārāhārepi chandarāgaṃ pajahatīti attho, ayaṃ pahānapariññā. Ajjhattikarūpaṃ pana pariggaṇhanto tassa paccayabhūtaṃ kabaḷīkārāhārampi pariggaṇhātīti ñātapariññā. Tassa ca udayavayānupassī hotīti tīraṇapariññā ca yojetabbā. Kāmarāgabhūtaṃ abhijjhaṃ sandhāya ‘‘abhijjhākāyagantha’’nti āha. Asubhānupassanāya hi kāmarāgappahānaṃ hotīti. Kāmarāgamukhena vā sabbalobhappahānaṃ vadati. ‘‘Phassapaccayā vedanā’’ti vuttattā āhāraparijānane vuttanayena phassaparijānanañca yojetabbaṃ.

    สุขตฺถเมว ภวปตฺถนา โหตีติ เวทนาย ตณฺหํ ปชหโนฺต ภโวฆํ อุตฺตรติฯ สพฺพํ เวทนํ ทุกฺขโต ปสฺสโนฺต อตฺตโน ปเรน อปุพฺพํ ทุกฺขํ อุปฺปาทิตํ, สุขํ วา วินาสิตํ น ปสฺสติ, ตโต ‘‘อนตฺถํ เม อจรี’’ติอาทิอาฆาตวตฺถุปฺปหานโต พฺยาปาทกายคนฺถํ ภินฺทติฯ ‘‘สุขพหุเล สุคติภเว สุทฺธี’’ติ คเหตฺวา โคสีลโควตาทีหิ สุทฺธิํ ปรามสโนฺต สุขปตฺถนาวเสเนว ปรามสตีติ เวทนาย ตณฺหํ ปชหโนฺต สีลพฺพตุปาทานํ น อุปาทิยติฯ มโนสเญฺจตนา สงฺขารกฺขโนฺธว, สญฺญา ปน ตํสมฺปยุตฺตาติ สญฺญาสงฺขาเร อนตฺตโต ปสฺสโนฺต มโนสเญฺจตนาย ฉนฺทราคํ ปชหติ เอว, ตญฺจ ปริคฺคณฺหาติ ตีเรติ จาติ ‘‘สญฺญํ สงฺขาเร…เป.… ปริชานาตี’’ติ วุตฺตํฯ

    Sukhatthameva bhavapatthanā hotīti vedanāya taṇhaṃ pajahanto bhavoghaṃ uttarati. Sabbaṃ vedanaṃ dukkhato passanto attano parena apubbaṃ dukkhaṃ uppāditaṃ, sukhaṃ vā vināsitaṃ na passati, tato ‘‘anatthaṃ me acarī’’tiādiāghātavatthuppahānato byāpādakāyaganthaṃ bhindati. ‘‘Sukhabahule sugatibhave suddhī’’ti gahetvā gosīlagovatādīhi suddhiṃ parāmasanto sukhapatthanāvaseneva parāmasatīti vedanāya taṇhaṃ pajahanto sīlabbatupādānaṃ na upādiyati. Manosañcetanā saṅkhārakkhandhova, saññā pana taṃsampayuttāti saññāsaṅkhāre anattato passanto manosañcetanāya chandarāgaṃ pajahati eva, tañca pariggaṇhāti tīreti cāti ‘‘saññaṃ saṅkhāre…pe… parijānātī’’ti vuttaṃ.

    อวิชฺชาย วิญฺญาเณ ฆนคฺคหณํ โหตีติ ฆนวินิโพฺภคํ กตฺวา ตํ อนิจฺจโต ปสฺสโนฺต อวิโชฺชฆํ อุตฺตรติฯ โมหพเลเนว สีลพฺพตปรามาสํ โหตีติ ตํ ปชหโนฺต สีลพฺพตปรามาสกายคนฺถํ ภินฺทติ

    Avijjāya viññāṇe ghanaggahaṇaṃ hotīti ghanavinibbhogaṃ katvā taṃ aniccato passanto avijjoghaṃ uttarati. Mohabaleneva sīlabbataparāmāsaṃ hotīti taṃ pajahanto sīlabbataparāmāsakāyaganthaṃ bhindati.

    ‘‘ยญฺจ โข เอตํ, ภิกฺขเว, วุจฺจติ จิตฺตํ อิติปิ มโน อิติปิ วิญฺญาณํ อิติปิ, ตตฺราสฺสุตวา ปุถุชฺชโน นาลํ นิพฺพินฺทิตุํ, นาลํ วิรชฺชิตุํ, นาลํ วิมุจฺจิตุํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ทีฆรตฺตํเหตํ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส อโชฺฌสิตํ มมายิตํ ปรามฎฺฐํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๖๑) –

    ‘‘Yañca kho etaṃ, bhikkhave, vuccati cittaṃ itipi mano itipi viññāṇaṃ itipi, tatrāssutavā puthujjano nālaṃ nibbindituṃ, nālaṃ virajjituṃ, nālaṃ vimuccituṃ. Taṃ kissa hetu? Dīgharattaṃhetaṃ, bhikkhave, assutavato puthujjanassa ajjhositaṃ mamāyitaṃ parāmaṭṭhaṃ ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti (saṃ. ni. 2.61) –

    วจนโต วิญฺญาณํ นิจฺจโต ปสฺสโนฺต ทิฎฺฐุปาทานํ อุปาทิยตีติ อนิจฺจโต ปสฺสโนฺต ตํ น อุปาทิยตีติฯ

    Vacanato viññāṇaṃ niccato passanto diṭṭhupādānaṃ upādiyatīti aniccato passanto taṃ na upādiyatīti.

    กมาทิวินิจฺฉยกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kamādivinicchayakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttantabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา

    2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā

    ๓๔. เอวํ ยา เอกวิธาทินา วุตฺตเวทนานํ ภูมิวเสน ชานิตพฺพตา, ตํ วตฺวา ปุน สมฺปยุตฺตโต ทสฺสิตตาทิชานิตพฺพปฺปการํ วตฺตุมาห ‘‘อปิจา’’ติอาทิฯ อฎฺฐวิเธน ตตฺถาติ ตตฺถ-สทฺทสฺส สตฺตวิธเภเทเนว โยชนา ฉพฺพิธเภเทน โยชนาย สติ อฎฺฐวิธตฺตาภาวโตฯ

    34. Evaṃ yā ekavidhādinā vuttavedanānaṃ bhūmivasena jānitabbatā, taṃ vatvā puna sampayuttato dassitatādijānitabbappakāraṃ vattumāha ‘‘apicā’’tiādi. Aṭṭhavidhena tatthāti tattha-saddassa sattavidhabhedeneva yojanā chabbidhabhedena yojanāya sati aṭṭhavidhattābhāvato.

    ปูรณตฺถเมว วุโตฺตติ ทสวิธตาปูรณตฺถเมว วุโตฺต, น นววิธเภเท วิย นยทานตฺถํฯ กสฺมา? ตตฺถ นยสฺส ทินฺนตฺตาฯ ภินฺทิตพฺพสฺส หิ เภทนํ นยทานํ, ตญฺจ ตตฺถ กตนฺติฯ ยถา จ กุสลตฺติโก, เอวํ ‘‘กายสมฺผสฺสชา เวทนา อตฺถิ สุขา, อตฺถิ ทุกฺขา’’ติ อิทมฺปิ ปูรณตฺถเมวาติ ทีปิตํ โหติ อฎฺฐวิธเภเท นยสฺส ทินฺนตฺตาฯ

    Pūraṇatthameva vuttoti dasavidhatāpūraṇatthameva vutto, na navavidhabhede viya nayadānatthaṃ. Kasmā? Tattha nayassa dinnattā. Bhinditabbassa hi bhedanaṃ nayadānaṃ, tañca tattha katanti. Yathā ca kusalattiko, evaṃ ‘‘kāyasamphassajā vedanā atthi sukhā, atthi dukkhā’’ti idampi pūraṇatthamevāti dīpitaṃ hoti aṭṭhavidhabhede nayassa dinnattā.

    ปุเพฺพ คหิตโต อญฺญสฺส คหณํ วฑฺฒนํ คหณวฑฺฒนวเสน, น ปุริมคหิเต ฐิเต อญฺญุปจยวเสนฯ วฑฺฒน-สโทฺท วา เฉทนโตฺถ เกสวฑฺฒนาทีสุ วิยาติ ปุเพฺพ คหิตสฺส อคฺคหณํ ฉินฺทนํ วฑฺฒนํ, ทุกติกานํ อุภเยสํ วฑฺฒนํ อุภยวฑฺฒนํ, อุภยโต วา ปวตฺตํ วฑฺฒนํ อุภยวฑฺฒนํ, ตเทว อุภโตวฑฺฒนกํ, เตน นยนีหรณํ อุภโตวฑฺฒนกนีหาโรฯ วฑฺฒนกนโย วา วฑฺฒนกนีหาโร, อุภยโต ปวโตฺต วฑฺฒนกนีหาโร อุภโตวฑฺฒนกนีหาโรฯ ตตฺถ ทุกมูลกติกมูลกอุภโตวฑฺฒนเกสุ ทุวิธติวิธเภทานํเยว หิ วิเสโสฯ อเญฺญ เภทา อวิสิฎฺฐา, ตถาปิ ปญฺญาปฺปเภทชนนตฺถํ ธมฺมวิตเกฺกน ญาติวิตกฺกาทินิรตฺถกวิตกฺกนิวารณตฺถํ อิมญฺจ ปาฬิํ วิตเกฺกนฺตสฺส ธมฺมุปสํหิตปาโมชฺชชนนตฺถํ เอเกกสฺส วารสฺส คหิตสฺส นิยฺยานมุขภาวโต จ ทุวิธติวิธเภทนานตฺตวเสน อิตเรปิ เภทา วุตฺตาติ เวทิตพฺพา อญฺญมญฺญาเปเกฺขสุ เอกสฺส วิเสเสน อิตเรสมฺปิ วิสิฎฺฐภาวโตฯ น เกวลํ เอกวิโธว, อถ โข ทุวิโธ จฯ น จ เอกทุวิโธว, อถ โข ติวิโธปิฯ นาปิ เอก…เป.… นววิโธว, อถ โข ทสวิโธปีติ หิ เอวญฺจ เต เภทา อญฺญมญฺญาเปกฺขา, ตสฺมา เอโก เภโท วิสิโฎฺฐ อตฺตนา อเปกฺขิยมาเน, อตฺตานญฺจ อเปกฺขมาเน อญฺญเภเท วิเสเสตีติ ตสฺส วเสน เตปิ วตฺตพฺพตํ อรหนฺตีติ วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    Pubbe gahitato aññassa gahaṇaṃ vaḍḍhanaṃ gahaṇavaḍḍhanavasena, na purimagahite ṭhite aññupacayavasena. Vaḍḍhana-saddo vā chedanattho kesavaḍḍhanādīsu viyāti pubbe gahitassa aggahaṇaṃ chindanaṃ vaḍḍhanaṃ, dukatikānaṃ ubhayesaṃ vaḍḍhanaṃ ubhayavaḍḍhanaṃ, ubhayato vā pavattaṃ vaḍḍhanaṃ ubhayavaḍḍhanaṃ, tadeva ubhatovaḍḍhanakaṃ, tena nayanīharaṇaṃ ubhatovaḍḍhanakanīhāro. Vaḍḍhanakanayo vā vaḍḍhanakanīhāro, ubhayato pavatto vaḍḍhanakanīhāro ubhatovaḍḍhanakanīhāro. Tattha dukamūlakatikamūlakaubhatovaḍḍhanakesu duvidhatividhabhedānaṃyeva hi viseso. Aññe bhedā avisiṭṭhā, tathāpi paññāppabhedajananatthaṃ dhammavitakkena ñātivitakkādiniratthakavitakkanivāraṇatthaṃ imañca pāḷiṃ vitakkentassa dhammupasaṃhitapāmojjajananatthaṃ ekekassa vārassa gahitassa niyyānamukhabhāvato ca duvidhatividhabhedanānattavasena itarepi bhedā vuttāti veditabbā aññamaññāpekkhesu ekassa visesena itaresampi visiṭṭhabhāvato. Na kevalaṃ ekavidhova, atha kho duvidho ca. Na ca ekaduvidhova, atha kho tividhopi. Nāpi eka…pe… navavidhova, atha kho dasavidhopīti hi evañca te bhedā aññamaññāpekkhā, tasmā eko bhedo visiṭṭho attanā apekkhiyamāne, attānañca apekkhamāne aññabhede visesetīti tassa vasena tepi vattabbataṃ arahantīti vuttāti daṭṭhabbā.

    สตฺตวิเธนาติอาทโย อญฺญปฺปเภทนิรเปกฺขา เกวลํ พหุปฺปการตาทสฺสนตฺถํ วุตฺตาติ สเพฺพหิ เตหิ ปกาเรหิ ‘‘พหุวิเธน เวทนากฺขนฺธํ ทเสฺสสี’’ติ วุตฺตํฯ มหาวิสโย ราชา วิย สวิสเย ภควาปิ มหาวิสยตาย อปฺปฎิหโต ยถา ยถา อิจฺฉติ, ตถา ตถา เทเสตุํ สโกฺกติ สพฺพญฺญุตานาวรณญาณโยคโตติ อโตฺถฯ ทุเก วตฺวา ติกา วุตฺตาติ ติกา ทุเกสุ ปกฺขิตฺตาติ ยุตฺตํ, ทุกา ปน กถํ ติเกสุ ปกฺขิตฺตาติ? ปรโต วุเตฺตปิ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ติเก อเปกฺขกาเปกฺขิตพฺพวเสน ทุกานํ โยชิตตฺตาฯ

    Sattavidhenātiādayo aññappabhedanirapekkhā kevalaṃ bahuppakāratādassanatthaṃ vuttāti sabbehi tehi pakārehi ‘‘bahuvidhena vedanākkhandhaṃ dassesī’’ti vuttaṃ. Mahāvisayo rājā viya savisaye bhagavāpi mahāvisayatāya appaṭihato yathā yathā icchati, tathā tathā desetuṃ sakkoti sabbaññutānāvaraṇañāṇayogatoti attho. Duke vatvā tikā vuttāti tikā dukesu pakkhittāti yuttaṃ, dukā pana kathaṃ tikesu pakkhittāti? Parato vuttepi tasmiṃ tasmiṃ tike apekkhakāpekkhitabbavasena dukānaṃ yojitattā.

    กิริยมโนธาตุ อาวชฺชนวเสน ลพฺภตีติ วุตฺตํ, อาวชฺชนา ปน จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา น โหติฯ น หิ สมานวีถิยํ ปจฺฉิโม ธโมฺม ปุริมสฺส โกจิ ปจฺจโย โหติฯ เย จ วทนฺติ ‘‘อาวชฺชนเวทนาว จกฺขุสงฺฆฎฺฎนาย อุปฺปนฺนตฺตา เอวํ วุตฺตา’’ติ, ตญฺจ น ยุตฺตํฯ น หิ ‘‘จกฺขุรูปปฎิฆาโต จกฺขุสมฺผโสฺส’’ติ กตฺถจิ สุเตฺต วา อฎฺฐกถายํ วา วุตฺตํฯ ยทิ โส จ จกฺขุสมฺผโสฺส สิยา, จกฺขุวิญฺญาณสหชาตาปิ เวทนา จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยาติ สา อิธ อฎฺฐกถายํ น วเชฺชตพฺพา สิยาฯ ปาฬิยญฺจ ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา เวทนา อตฺถิ อพฺยากตา’’ติ เอตฺถ สงฺคหิตตฺตา ปุน ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสชา เวทนา’’ติ น วตฺตพฺพํ สิยาติฯ อยํ ปเนตฺถาธิปฺปาโย – อาวชฺชนเวทนํ วินา จกฺขุสมฺผสฺสสฺส อุปฺปตฺติ นตฺถีติ ตทุปฺปาทิกา สา ตปฺปโยชนตฺตา ปริยาเยน จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยาติ วตฺตุํ ยุตฺตาติ, นิปฺปริยาเยน ปน จกฺขุสมฺผสฺสสฺส ปรโตว เวทนา ลพฺภนฺติฯ

    Kiriyamanodhātu āvajjanavasena labbhatīti vuttaṃ, āvajjanā pana cakkhusamphassapaccayā na hoti. Na hi samānavīthiyaṃ pacchimo dhammo purimassa koci paccayo hoti. Ye ca vadanti ‘‘āvajjanavedanāva cakkhusaṅghaṭṭanāya uppannattā evaṃ vuttā’’ti, tañca na yuttaṃ. Na hi ‘‘cakkhurūpapaṭighāto cakkhusamphasso’’ti katthaci sutte vā aṭṭhakathāyaṃ vā vuttaṃ. Yadi so ca cakkhusamphasso siyā, cakkhuviññāṇasahajātāpi vedanā cakkhusamphassapaccayāti sā idha aṭṭhakathāyaṃ na vajjetabbā siyā. Pāḷiyañca ‘‘cakkhusamphassapaccayā vedanā atthi abyākatā’’ti ettha saṅgahitattā puna ‘‘cakkhusamphassajā vedanā’’ti na vattabbaṃ siyāti. Ayaṃ panetthādhippāyo – āvajjanavedanaṃ vinā cakkhusamphassassa uppatti natthīti taduppādikā sā tappayojanattā pariyāyena cakkhusamphassapaccayāti vattuṃ yuttāti, nippariyāyena pana cakkhusamphassassa paratova vedanā labbhanti.

    จตุตฺติํสจิตฺตุปฺปาทวเสนาติ เอตฺถ รูปารูปาวจรานํ อคฺคหณํ เตสํ สยเมว มโนทฺวารภูตตฺตาฯ สพฺพภวงฺคมโน หิ มโนทฺวารํ, จุติปฎิสนฺธิโย จ ตโต อนญฺญาติฯ อิมสฺมิํ ปน จตุวีสติวิธเภเท จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยาทิกุสลาทีนํ สมานวีถิยํ ลพฺภมานตา อฎฺฐกถายํ วุตฺตา, ปาฬิยํ ปน เอกูนวีสติจตุวีสติกา สงฺขิปิตฺวา อาคตาติ ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา เวทนากฺขโนฺธ อตฺถิ อนุปาทินฺนอนุปาทานิโย อสํกิลิฎฺฐอสํกิเลสิโก อวิตกฺกอวิจาโร’’ติอาทินา นานาวีถิคตานํ ลพฺภมานตาย วุตฺตตฺตา กุสลตฺติกสฺสปิ นานาวีถิยํ ลพฺภมานตา โยเชตพฺพาฯ อฎฺฐกถายํ ปน สมานวีถิยํ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยาทิกตา เอกนฺติกาติ กตฺวา เอตฺถ ลพฺภมานตา ทสฺสิตา, น ปน อสมานวีถิยํ ลพฺภมานตา ปฎิกฺขิตฺตาฯ เตเนว ‘‘ตานิ สตฺตวิธาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ ฐตฺวา กเถตุํ วฎฺฎนฺตี’’ติ อาหฯ น หิ สมานวีถิยํเยว อุปนิสฺสยโกฎิสมติกฺกมภาวนาหิ ลพฺภมานตา โหติฯ ติธาปิ จ ลพฺภมานตํ สนฺธาย ‘‘ยตฺถ กตฺถจิ ฐตฺวา กเถตุํ วฎฺฎนฺตี’’ติ วุจฺจติฯ

    Catuttiṃsacittuppādavasenāti ettha rūpārūpāvacarānaṃ aggahaṇaṃ tesaṃ sayameva manodvārabhūtattā. Sabbabhavaṅgamano hi manodvāraṃ, cutipaṭisandhiyo ca tato anaññāti. Imasmiṃ pana catuvīsatividhabhede cakkhusamphassapaccayādikusalādīnaṃ samānavīthiyaṃ labbhamānatā aṭṭhakathāyaṃ vuttā, pāḷiyaṃ pana ekūnavīsaticatuvīsatikā saṅkhipitvā āgatāti ‘‘cakkhusamphassapaccayā vedanākkhandho atthi anupādinnaanupādāniyo asaṃkiliṭṭhaasaṃkilesiko avitakkaavicāro’’tiādinā nānāvīthigatānaṃ labbhamānatāya vuttattā kusalattikassapi nānāvīthiyaṃ labbhamānatā yojetabbā. Aṭṭhakathāyaṃ pana samānavīthiyaṃ cakkhusamphassapaccayādikatā ekantikāti katvā ettha labbhamānatā dassitā, na pana asamānavīthiyaṃ labbhamānatā paṭikkhittā. Teneva ‘‘tāni sattavidhādīsu yattha katthaci ṭhatvā kathetuṃ vaṭṭantī’’ti āha. Na hi samānavīthiyaṃyeva upanissayakoṭisamatikkamabhāvanāhi labbhamānatā hoti. Tidhāpi ca labbhamānataṃ sandhāya ‘‘yattha katthaci ṭhatvā kathetuṃ vaṭṭantī’’ti vuccati.

    เอตานีติ ยถาทสฺสิตานิ กุสลาทีนิ จิตฺตานิ วทติ, เวทนานิเทฺทเสปิ จ เอตสฺมิํ ปุพฺพงฺคมสฺส จิตฺตสฺส วเสน กเถตุํ สุขนฺติ จิตฺตสมฺพโนฺธ กโตฯ เตเนว ปน จิตฺตานิ สตฺตวิธเภเท ติกภูมิวเสน, จตุวีสติวิธเภเท ทฺวารติกวเสน, ติํสวิธเภเท ทฺวารภูมิวเสน, พหุวิธเภเท ทฺวารติกภูมิวเสน ทีปิตานีติ ‘‘เตสุ ยตฺถ กตฺถจิ ฐตฺวา กเถตุํ วฎฺฎนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ กุสลาทีนํ ทีปนา กามาวจราทิภูมิวเสน กาตพฺพา, ตา จ ภูมิโย ติํสวิธเภเท สยเมวาคตา, น จ สตฺตวิธเภเท วิย ทฺวารํ อนามฎฺฐํ, อติพฺยตฺตา จ เอตฺถ สมานาสมานวีถีสุ ลพฺภมานตาติ ติํสวิเธ…เป.… สุขทีปนานิ โหนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ กสฺมา ปน ติํสวิธสฺมิํเยว ฐตฺวา ทีปยิํสุ, นนุ ทฺวารติกภูมีนํ อามฎฺฐตฺตา พหุวิธเภเท ฐตฺวา ทีเปตพฺพานีติ? น, ทีเปตพฺพฎฺฐานาติกฺกมโตฯ สตฺตวิธเภโท หิ ทฺวารสฺส อนามฎฺฐตฺตา ทีปนาย อฎฺฐานํ, จตุวีสติวิธเภเท อามฎฺฐทฺวารติกา น ภูมิโย อเปกฺขิตฺวา ฐปิตา, ติํสวิธเภเท อามฎฺฐทฺวารภูมิโย วุตฺตาฯ เย จ ฐปิตา, เต เจตฺถ ติกา อเปกฺขิตพฺพรหิตา เกวลํ ภูมีหิ สห ทีเปตพฺพาวฯ เตเนทํ ทีปนาย ฐานํ, ตทติกฺกเม ปน ฐานาติกฺกโม โหตีติฯ

    Etānīti yathādassitāni kusalādīni cittāni vadati, vedanāniddesepi ca etasmiṃ pubbaṅgamassa cittassa vasena kathetuṃ sukhanti cittasambandho kato. Teneva pana cittāni sattavidhabhede tikabhūmivasena, catuvīsatividhabhede dvāratikavasena, tiṃsavidhabhede dvārabhūmivasena, bahuvidhabhede dvāratikabhūmivasena dīpitānīti ‘‘tesu yatthakatthaci ṭhatvā kathetuṃ vaṭṭantī’’ti vuttaṃ. Kusalādīnaṃ dīpanā kāmāvacarādibhūmivasena kātabbā, tā ca bhūmiyo tiṃsavidhabhede sayamevāgatā, na ca sattavidhabhede viya dvāraṃ anāmaṭṭhaṃ, atibyattā ca ettha samānāsamānavīthīsu labbhamānatāti tiṃsavidhe…pe… sukhadīpanāni hontī’’ti vuttaṃ. Kasmā pana tiṃsavidhasmiṃyeva ṭhatvā dīpayiṃsu, nanu dvāratikabhūmīnaṃ āmaṭṭhattā bahuvidhabhede ṭhatvā dīpetabbānīti? Na, dīpetabbaṭṭhānātikkamato. Sattavidhabhedo hi dvārassa anāmaṭṭhattā dīpanāya aṭṭhānaṃ, catuvīsatividhabhede āmaṭṭhadvāratikā na bhūmiyo apekkhitvā ṭhapitā, tiṃsavidhabhede āmaṭṭhadvārabhūmiyo vuttā. Ye ca ṭhapitā, te cettha tikā apekkhitabbarahitā kevalaṃ bhūmīhi saha dīpetabbāva. Tenedaṃ dīpanāya ṭhānaṃ, tadatikkame pana ṭhānātikkamo hotīti.

    อุปนิสฺสยโกฎิยาติ เอตฺถ ‘‘สทฺธํ อุปนิสฺสาย ทานํ เทตี’’ติอาทินา (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๒๓) นานาวีถิยํ ปกตูปนิสฺสโย วุโตฺตติ เอกวีถิยํ กุสลาทีนํ จกฺขุสมฺผสฺสาทโย ตทภาเว อภาวโต ชาติ วิย ชรามรณสฺส อุปนิสฺสยเลเสน ปจฺจโยติ วตฺตุํ ยุเชฺชยฺย, อิธ ปน ‘‘กสิณรูปทสฺสนเหตุอุปฺปนฺนา ปริกมฺมาทิเวทนา จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา’’ติ วกฺขติ, ตสฺมา นานาวีถิยํ คตานิ เอตานิ จิตฺตานิ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา ลพฺภมานานีติ น อุปนิสฺสยเลโส อุปนิสฺสยโกฎิ, พลวพลวานํ ปน ปริกมฺมาทีนํ อุปนิสฺสยานํ สเพฺพสํ อาทิภูโต อุปนิสฺสโย อุปนิสฺสยโกฎิฯ ‘‘วาลโกฎิ น ปญฺญายตี’’ติอาทีสุ วิย หิ อาทิ, อวยโว วา โกฎิฯ กสิณรูปทสฺสนโต ปภุติ จ กามาวจรกุสลาทีนํ เวทนานํ อุปนิสฺสโย ปวโตฺตติ ตํ ทสฺสนํ อุปนิสฺสยโกฎิฯ ปริกมฺมาทีนิ วิย วา น พลวอุปนิสฺสโย ทสฺสนนฺติ ตสฺส อุปนิสฺสยนฺตภาเวน อุปนิสฺสยโกฎิตา วุตฺตาฯ ฆานาทิทฺวาเรสุ ตีสุ อุปนิสฺสยโกฎิยา ลพฺภมานตฺตาภาวํ วทโนฺต อิธ สมานวีถิ น คหิตาติ ทีเปติฯ ทสฺสนสวนานิ วิย หิ กสิณปริกมฺมาทีนํ ฆายนาทีนิ อุปนิสฺสยา น โหนฺตีติ ตทลาโภ ทีปิโตติฯ ยทิปิ วาโยกสิณํ ผุสิตฺวาปิ คเหตพฺพํ, ปุริเมน ปน สวเนน วินา ตํ ผุสนํ สยเมว มูลุปนิสฺสโย เยภุเยฺยน น โหตีติ ตสฺส อุปนิสฺสยโกฎิตา น วุตฺตาฯ

    Upanissayakoṭiyāti ettha ‘‘saddhaṃ upanissāya dānaṃ detī’’tiādinā (paṭṭhā. 1.1.423) nānāvīthiyaṃ pakatūpanissayo vuttoti ekavīthiyaṃ kusalādīnaṃ cakkhusamphassādayo tadabhāve abhāvato jāti viya jarāmaraṇassa upanissayalesena paccayoti vattuṃ yujjeyya, idha pana ‘‘kasiṇarūpadassanahetuuppannā parikammādivedanā cakkhusamphassapaccayā’’ti vakkhati, tasmā nānāvīthiyaṃ gatāni etāni cittāni cakkhusamphassapaccayā labbhamānānīti na upanissayaleso upanissayakoṭi, balavabalavānaṃ pana parikammādīnaṃ upanissayānaṃ sabbesaṃ ādibhūto upanissayo upanissayakoṭi. ‘‘Vālakoṭi na paññāyatī’’tiādīsu viya hi ādi, avayavo vā koṭi. Kasiṇarūpadassanato pabhuti ca kāmāvacarakusalādīnaṃ vedanānaṃ upanissayo pavattoti taṃ dassanaṃ upanissayakoṭi. Parikammādīni viya vā na balavaupanissayo dassananti tassa upanissayantabhāvena upanissayakoṭitā vuttā. Ghānādidvāresu tīsu upanissayakoṭiyā labbhamānattābhāvaṃ vadanto idha samānavīthi na gahitāti dīpeti. Dassanasavanāni viya hi kasiṇaparikammādīnaṃ ghāyanādīni upanissayā na hontīti tadalābho dīpitoti. Yadipi vāyokasiṇaṃ phusitvāpi gahetabbaṃ, purimena pana savanena vinā taṃ phusanaṃ sayameva mūlupanissayo yebhuyyena na hotīti tassa upanissayakoṭitā na vuttā.

    อชฺฌาสเยน สมฺปตฺติคโต อชฺฌาสยสมฺปโนฺน, สมฺปนฺนชฺฌาสโยติ วุตฺตํ โหติฯ วตฺตปฺปฎิวตฺตนฺติ ขุทฺทกเญฺจว มหนฺตญฺจ วตฺตํ, ปุเพฺพ วา กตํ วตฺตํ, ปจฺฉา กตํ ปฎิวตฺตํฯ เอวํ จกฺขุวิญฺญาณนฺติ อาทิมฺหิ อุปฺปนฺนํ อาห, ตโต ปรํ อุปฺปนฺนานิปิ ปน กสิณรูปทสฺสนกลฺยาณมิตฺตทสฺสนสํเวควตฺถุทสฺสนาทีนิ อุปนิสฺสยปจฺจยา โหนฺติเยวาติฯ เตน ตทุปนิสฺสยํ จกฺขุวิญฺญาณํ ทเสฺสตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Ajjhāsayena sampattigato ajjhāsayasampanno, sampannajjhāsayoti vuttaṃ hoti. Vattappaṭivattanti khuddakañceva mahantañca vattaṃ, pubbe vā kataṃ vattaṃ, pacchā kataṃ paṭivattaṃ. Evaṃ cakkhuviññāṇanti ādimhi uppannaṃ āha, tato paraṃ uppannānipi pana kasiṇarūpadassanakalyāṇamittadassanasaṃvegavatthudassanādīni upanissayapaccayā hontiyevāti. Tena tadupanissayaṃ cakkhuviññāṇaṃ dassetīti veditabbaṃ.

    ยถาภูตสภาวาทสฺสนํ อสมเปกฺขนาฯ ‘‘อสฺมี’’ติ รูปาทีสุ วินิพนฺธสฺสฯ สภาวนฺตรามสนวเสน ปรามฎฺฐสฺส, ปรามฎฺฐวโตติ อโตฺถฯ อารมฺมณาธิคหณวเสน อนุ อนุ อุปฺปชฺชนธมฺมตาย ถิรภาวกิเลสสฺส ถามคตสฺส, อปฺปหีนกามราคาทิกสฺส วาฯ ปริคฺคเห ฐิโตติ วีมํสาย ฐิโตฯ เอตฺถ จ อสมเปกฺขนายาติอาทินา โมหาทีนํ กิเจฺจน ปากเฎน เตสํ อุปฺปตฺติวเสน วิจารณา ทฎฺฐพฺพาฯ รูปทสฺสเนน อุปฺปนฺนกิเลสสมติกฺกมวเสน ปวตฺตา รูปทสฺสนเหตุกา โหตีติ ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตา’’ติ อาหฯ เอตฺถ จ จกฺขุสมฺผสฺสสฺส จตุภูมิกเวทนาย อุปนิสฺสยภาโว เอว ปการนฺตเรน กถิโต, ตถา ‘‘ภาวนาวเสนา’’ติ เอตฺถ จฯ

    Yathābhūtasabhāvādassanaṃ asamapekkhanā. ‘‘Asmī’’ti rūpādīsu vinibandhassa. Sabhāvantarāmasanavasena parāmaṭṭhassa, parāmaṭṭhavatoti attho. Ārammaṇādhigahaṇavasena anu anu uppajjanadhammatāya thirabhāvakilesassa thāmagatassa, appahīnakāmarāgādikassa vā. Pariggahe ṭhitoti vīmaṃsāya ṭhito. Ettha ca asamapekkhanāyātiādinā mohādīnaṃ kiccena pākaṭena tesaṃ uppattivasena vicāraṇā daṭṭhabbā. Rūpadassanena uppannakilesasamatikkamavasena pavattā rūpadassanahetukā hotīti ‘‘cakkhusamphassapaccayā nāma jātā’’ti āha. Ettha ca cakkhusamphassassa catubhūmikavedanāya upanissayabhāvo eva pakārantarena kathito, tathā ‘‘bhāvanāvasenā’’ti ettha ca.

    กลาปสมฺมสเนน ตีณิ ลกฺขณานิ อาโรเปตฺวา อุทยพฺพยานุปสฺสนาทิกาย วิปสฺสนาปฎิปาฎิยา อาทิมฺหิ รูปารมฺมณปริคฺคเหน รูปารมฺมณํ สมฺมสิตฺวา, ตํมูลกํ วา สพฺพํ สมฺมสนํ อาทิภูเต รูปารมฺมเณ ปวตฺตตีติ กตฺวา อาห ‘‘รูปารมฺมณํ สมฺมสิตฺวา’’ติฯ เอตฺถ จ นามรูปปริคฺคหาทิ สพฺพํ สมฺมสนํ ภาวนาติ เวทิตพฺพาฯ รูปารมฺมณํ สมฺมสิตฺวาติ จ ยถาวุตฺตจกฺขุวิญฺญาณสฺส อารมฺมณภูตํ รูปารมฺมณํ วุตฺตํ, น ยํ กิญฺจิฯ อารมฺมเณน หิ จกฺขุสมฺผสฺสํ ทเสฺสตีติฯ เอวํ ‘‘รูปารมฺมเณ อุปฺปนฺนํ กิเลส’’นฺติ เอตฺถาปิ เวทิตพฺพํฯ

    Kalāpasammasanena tīṇi lakkhaṇāni āropetvā udayabbayānupassanādikāya vipassanāpaṭipāṭiyā ādimhi rūpārammaṇapariggahena rūpārammaṇaṃ sammasitvā, taṃmūlakaṃ vā sabbaṃ sammasanaṃ ādibhūte rūpārammaṇe pavattatīti katvā āha ‘‘rūpārammaṇaṃ sammasitvā’’ti. Ettha ca nāmarūpapariggahādi sabbaṃ sammasanaṃ bhāvanāti veditabbā. Rūpārammaṇaṃ sammasitvāti ca yathāvuttacakkhuviññāṇassa ārammaṇabhūtaṃ rūpārammaṇaṃ vuttaṃ, na yaṃ kiñci. Ārammaṇena hi cakkhusamphassaṃ dassetīti. Evaṃ ‘‘rūpārammaṇe uppannaṃ kilesa’’nti etthāpi veditabbaṃ.

    อิทํ โผฎฺฐพฺพํ กิํนิสฺสิตนฺติ จกฺขุทฺวาเร วิย โยชนาย ยถาสมฺภวํ อาโปธาตุยา อญฺญมญฺญสฺส จ วเสน มหาภูตนิสฺสิตตา โยเชตพฺพาฯ

    Idaṃ phoṭṭhabbaṃ kiṃnissitanti cakkhudvāre viya yojanāya yathāsambhavaṃ āpodhātuyā aññamaññassa ca vasena mahābhūtanissitatā yojetabbā.

    ชาติ…เป.… พลวปจฺจโย โหตีติ ยถาวุตฺตานํ ภยโต ทิสฺสมานานํ ชาติอาทีนํ พลวปจฺจยภาเวน เตสํ ภยโต ทสฺสเนน สหชาตสฺส มโนสมฺผสฺสสฺส, ตสฺส วา ทสฺสนสฺส ทฺวารภูตสฺส ภวงฺคมโนสมฺผสฺสสฺส พลวปจฺจยภาวํ ทเสฺสติฯ

    Jāti…pe… balavapaccayo hotīti yathāvuttānaṃ bhayato dissamānānaṃ jātiādīnaṃ balavapaccayabhāvena tesaṃ bhayato dassanena sahajātassa manosamphassassa, tassa vā dassanassa dvārabhūtassa bhavaṅgamanosamphassassa balavapaccayabhāvaṃ dasseti.

    ธมฺมารมฺมเณติ น ปุเพฺพ วุเตฺต ชาติอาทิอารมฺมเณว, อถ โข สพฺพสฺมิํ ราคาทิวตฺถุภูเต ธมฺมารมฺมเณฯ วตฺถุนิสฺสิตนฺติ เอตฺถ เวทนาทิสงฺขาตสฺส ธมฺมารมฺมเณกเทสสฺส ปริคฺคหมุเขน ธมฺมารมฺมณปริคฺคหํ ทเสฺสติฯ

    Dhammārammaṇeti na pubbe vutte jātiādiārammaṇeva, atha kho sabbasmiṃ rāgādivatthubhūte dhammārammaṇe. Vatthunissitanti ettha vedanādisaṅkhātassa dhammārammaṇekadesassa pariggahamukhena dhammārammaṇapariggahaṃ dasseti.

    มโนสมฺผโสฺสติ วิญฺญาณํ สมฺผสฺสสฺส การณภาเวน คหิตํ, ตเทว อตฺตโน ผลเสฺสว ผลภาเวน วตฺตุํ น ยุตฺตํ การณผลสงฺกรภาเวน โสตูนํ สโมฺมหชนกตฺตาติ อาห ‘‘น หิ สกฺกา วิญฺญาณํ มโนสมฺผสฺสชนฺติ นิทฺทิสิตุ’’นฺติ, น ปน วิญฺญาณสฺส มโนสมฺผเสฺสน สหชาตภาวสฺส อภาวาฯ ยสฺมา วา ยถา ‘‘ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๐๔; ๓.๔๒๐, ๔๒๕-๔๒๖; สํ. นิ. ๔.๖๐) วจนโต อินฺทฺริยวิสยา วิย วิญฺญาณมฺปิ ผสฺสสฺส วิเสสปจฺจโย, น ตถา ผโสฺส วิญฺญาณสฺส, ตสฺมา อินฺทฺริยวิสยา วิย วิญฺญาณมฺปิ จกฺขุสมฺผสฺสชาทิวจนํ น อรหตีติ จกฺขุสมฺผสฺสชาทิภาโว น กโตติ เวทิตโพฺพฯ

    Manosamphassoti viññāṇaṃ samphassassa kāraṇabhāvena gahitaṃ, tadeva attano phalasseva phalabhāvena vattuṃ na yuttaṃ kāraṇaphalasaṅkarabhāvena sotūnaṃ sammohajanakattāti āha ‘‘na hi sakkā viññāṇaṃ manosamphassajanti niddisitu’’nti, na pana viññāṇassa manosamphassena sahajātabhāvassa abhāvā. Yasmā vā yathā ‘‘tiṇṇaṃ saṅgati phasso’’ti (ma. ni. 1.204; 3.420, 425-426; saṃ. ni. 4.60) vacanato indriyavisayā viya viññāṇampi phassassa visesapaccayo, na tathā phasso viññāṇassa, tasmā indriyavisayā viya viññāṇampi cakkhusamphassajādivacanaṃ na arahatīti cakkhusamphassajādibhāvo na katoti veditabbo.

    อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๓. ปญฺหปุจฺฉกวณฺณนา

    3. Pañhapucchakavaṇṇanā

    ๑๕๐. จิตฺตุปฺปาทรูปวเสน ตํ ตํ สมุทายํ เอเกกํ ธมฺมํ กตฺวา ‘‘ปญฺจปณฺณาส กามาวจรธเมฺม’’ติ อาหฯ รชฺชนฺตสฺสาติอาทีสุ ราคาทโย ฉสุ ทฺวาเรสุ สีลาทโย จ ปญฺจ สํวรา ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพา, สมฺมสนํ ปน มโนทฺวาเร เอวฯ รูปารูปาวจรธเมฺมสุ อภิชฺฌาโทมนสฺสาทิอุปฺปตฺติ อตฺถีติ ตโต สติสํวโร ญาณวีริยสํวรา จ ยถาโยคํ โยเชตพฺพาฯ ปริคฺคหวจเนน สมฺมสนปจฺจเวกฺขณานิ สงฺคณฺหาติฯ เตเยวาติ จตฺตาโร ขนฺธา วุตฺตาฯ

    150. Cittuppādarūpavasena taṃ taṃ samudāyaṃ ekekaṃ dhammaṃ katvā ‘‘pañcapaṇṇāsa kāmāvacaradhamme’’ti āha. Rajjantassātiādīsu rāgādayo chasu dvāresu sīlādayo ca pañca saṃvarā yathāsambhavaṃ yojetabbā, sammasanaṃ pana manodvāre eva. Rūpārūpāvacaradhammesu abhijjhādomanassādiuppatti atthīti tato satisaṃvaro ñāṇavīriyasaṃvarā ca yathāyogaṃ yojetabbā. Pariggahavacanena sammasanapaccavekkhaṇāni saṅgaṇhāti. Teyevāti cattāro khandhā vuttā.

    สมาเน เทสิตเพฺพ เทสนามตฺตสฺส ปริวฎฺฎนํ ปริวโฎฺฎฯ ตีสุปิ ปริวเฎฺฎสุ กตฺถจิ กิญฺจิ อูนํ อธิกํ วา นตฺถีติ กตฺวา อาห ‘‘เอโกว ปริเจฺฉโท’’ติฯ

    Samāne desitabbe desanāmattassa parivaṭṭanaṃ parivaṭṭo. Tīsupi parivaṭṭesu katthaci kiñci ūnaṃ adhikaṃ vā natthīti katvā āha ‘‘ekova paricchedo’’ti.

    ปญฺหปุจฺฉกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pañhapucchakavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ขนฺธวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Khandhavibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑. ขนฺธวิภโงฺค • 1. Khandhavibhaṅgo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā
    ๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา • 1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā
    ๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา • 2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā
    ๓. ปญฺหาปุจฺฉกวณฺณนา • 3. Pañhāpucchakavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๑. ขนฺธวิภโงฺค • 1. Khandhavibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact