Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    อภิธมฺมปิฎเก

    Abhidhammapiṭake

    วิภงฺค-อนุฎีกา

    Vibhaṅga-anuṭīkā

    ๑. ขนฺธวิภโงฺค

    1. Khandhavibhaṅgo

    ๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา

    1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā

    จตุสจฺจโนฺตคธตฺตา จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ คาถายํ ‘‘จตุสจฺจทโส’’ติ นิปฺปเทสโต สจฺจานิ คหิตานีติ นิปฺปเทสโต เอว ตทตฺถํ วิภาเวโนฺต ‘‘จตฺตาริ สจฺจานี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สมาหฎานีติ สมานีตานิ, จิเตฺตน เอกโต คหิตานีติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘สมาหฎานี’’ติ จ เอเตน สมาหาเร อยํ สมาโสติ ทเสฺสติฯ เตเนวสฺส กเตกตฺตสฺส จตุสจฺจนฺติ นปุํสกนิเทฺทโส ‘‘ติวฎฺฎ’’นฺติอาทีสุ วิยฯ ปตฺตาทิปเกฺขเปน หิสฺส น อิตฺถิลิงฺคตา ยถา ปญฺจปตฺตํ, จตุยุคํ, ติภุวนนฺติ, ตํ จตุสจฺจํ ปสฺสิ อทกฺขิ, ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาภิสมยวเสน ปฎิวิชฺฌีติ อโตฺถฯ กสฺมา ปเนตฺถ อนนฺตาปริมาเณสุ อนญฺญสาธารเณสุ มหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทีสุ พุทฺธคุเณสุ สํวิชฺชมาเนสุ สาวเกหิ, ปเจฺจกพุเทฺธหิ จ สาธารเณน จตุสจฺจทสฺสเนน ภควนฺตํ โถเมตีติ โจทนํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘สติปิ สาวกาน’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ ‘‘อนญฺญปุพฺพกตฺตา’’ติ อิมินา สาวเกหิ, ‘‘ตตฺถ จา’’ติอาทินา ปเจฺจกพุเทฺธหิ จ ภควโต จตุสจฺจทสฺสนสฺส อสาธารณตํ, นิรติสยตญฺจ ทเสฺสติฯ ปรสนฺตาเนสุ ปสาริตภาเวน สุปากฎตฺตาติ เทสนานุภาเวน เวเนยฺยสนฺตาเนสุ จตุสจฺจทสฺสนสฺส วิตฺถาริตภาเวน ยาว เทวมนุเสฺสสุ สุปฺปกาสิตตฺตาฯ นาถสทฺทํ โลเก ยาจนุปตาปิสฺสริยาสีสาสุ ปฐนฺตีติ ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘นาถตีติ นาโถ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยสฺมา ภควา จตุสจฺจทสฺสนภาเวเนว อตฺตโน หิตสุขาสีสาย กิเลสพฺยสนุปตาปนสฺส, หิตปฎิปตฺติยาจนสฺส จ มตฺถกํ ปโตฺต, ตสฺมา ตํ เตเนว ปกาสิตนฺติ อตฺถุทฺธารํ อนามสิตฺวา ปทุทฺธารวเสน นาถสทฺทสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เวเนยฺยานํ หิตสุขํ อาสีสตี’’ติอาทิมาหฯ ‘‘จตุสจฺจทโส’’ติ วา อิมินา อนญฺญสาธารโณ ภควโต ญาณานุภาโว ปกาสิโตติ ‘‘นาโถ’’ติ อิมินา อนญฺญสาธารณํ กรุณานุภาวํ วิภาเวตุํ ‘‘เวเนยฺยาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ปรเมน จิตฺติสฺสริเยน สมนฺนาคโต ภควา นาโถติ วุจฺจตีติ โยชนาฯ ตถา ปรเมน จิตฺติสฺสริเยน สมนฺนาคโต สพฺพสเตฺต คุเณหิ อีสตีติ โยเชตพฺพํฯ จิตฺติสฺสริเยนาติ อริยิทฺธิอาทินา จิเตฺต วสีภาเวนฯ คุเณหิ อีสตีติ ปรมุกฺกํสคเตหิ อตฺตโน สีลาทิคุเณหิ ธเมฺมน อิสฺสริยํ วเตฺตตีติ อโตฺถฯ เอวํภูโต ยสฺมา สพฺพาภิภู นาม โหติ, เตน วุตฺตํ ‘‘อภิภวตี’’ติฯ ตถา จาห ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… อภิภู อนภิภูโต, ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓; ที. นิ. ๑.๑๘๘)ฯ ทุวิเธนาปิ อิสฺสริยตฺถํ นาถสทฺทํ ทเสฺสติฯ

    Catusaccantogadhattā catunnaṃ ariyasaccānaṃ gāthāyaṃ ‘‘catusaccadaso’’ti nippadesato saccāni gahitānīti nippadesato eva tadatthaṃ vibhāvento ‘‘cattāri saccānī’’tiādimāha. Tattha samāhaṭānīti samānītāni, cittena ekato gahitānīti adhippāyo. ‘‘Samāhaṭānī’’ti ca etena samāhāre ayaṃ samāsoti dasseti. Tenevassa katekattassa catusaccanti napuṃsakaniddeso ‘‘tivaṭṭa’’ntiādīsu viya. Pattādipakkhepena hissa na itthiliṅgatā yathā pañcapattaṃ, catuyugaṃ, tibhuvananti, taṃ catusaccaṃ passi adakkhi, pariññāpahānasacchikiriyābhāvanābhisamayavasena paṭivijjhīti attho. Kasmā panettha anantāparimāṇesu anaññasādhāraṇesu mahākaruṇāsabbaññutaññāṇādīsu buddhaguṇesu saṃvijjamānesu sāvakehi, paccekabuddhehi ca sādhāraṇena catusaccadassanena bhagavantaṃ thometīti codanaṃ manasi katvā āha ‘‘satipi sāvakāna’’ntiādi. Tattha ‘‘anaññapubbakattā’’ti iminā sāvakehi, ‘‘tattha cā’’tiādinā paccekabuddhehi ca bhagavato catusaccadassanassa asādhāraṇataṃ, niratisayatañca dasseti. Parasantānesu pasāritabhāvena supākaṭattāti desanānubhāvena veneyyasantānesu catusaccadassanassa vitthāritabhāvena yāva devamanussesu suppakāsitattā. Nāthasaddaṃ loke yācanupatāpissariyāsīsāsu paṭhantīti tamatthaṃ dassetuṃ ‘‘nāthatīti nātho’’tiādi vuttaṃ. Tattha yasmā bhagavā catusaccadassanabhāveneva attano hitasukhāsīsāya kilesabyasanupatāpanassa, hitapaṭipattiyācanassa ca matthakaṃ patto, tasmā taṃ teneva pakāsitanti atthuddhāraṃ anāmasitvā paduddhāravasena nāthasaddassa atthaṃ dassento ‘‘veneyyānaṃ hitasukhaṃ āsīsatī’’tiādimāha. ‘‘Catusaccadaso’’ti vā iminā anaññasādhāraṇo bhagavato ñāṇānubhāvo pakāsitoti ‘‘nātho’’ti iminā anaññasādhāraṇaṃ karuṇānubhāvaṃ vibhāvetuṃ ‘‘veneyyāna’’ntiādi vuttaṃ. Paramena cittissariyena samannāgato bhagavā nāthoti vuccatīti yojanā. Tathā paramena cittissariyena samannāgato sabbasatte guṇehi īsatīti yojetabbaṃ. Cittissariyenāti ariyiddhiādinā citte vasībhāvena. Guṇehi īsatīti paramukkaṃsagatehi attano sīlādiguṇehi dhammena issariyaṃ vattetīti attho. Evaṃbhūto yasmā sabbābhibhū nāma hoti, tena vuttaṃ ‘‘abhibhavatī’’ti. Tathā cāha ‘‘sadevake, bhikkhave, loke…pe… abhibhū anabhibhūto, tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23; dī. ni. 1.188). Duvidhenāpi issariyatthaṃ nāthasaddaṃ dasseti.

    อฎฺฐารสปฺปเภทาย เทสนาย โถมนเมวาติ โยชนาฯ สมานคณนคุเณหีติ สมานคณเนหิ คุเณหิ กรณภูเตหิฯ ยถาวุเตฺตน นิรติสเยน จตุสจฺจทสฺสเนนาติ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส, ทสพเลสุ วสีภาวสฺส จ ปทฎฺฐานภูเตนฯ สจฺจาภิสโมฺพเธน หิ อภินีหารานุรูปํ รูปารูปธเมฺมสุ ฉตฺติํสโกฎิสตสหสฺสมุขปฺปวเตฺตน สาติสยํ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณฆนปฺปเภเทน มหาวชิรญาณสงฺขาเตน พุทฺธาเวณิเกน สมฺมสเนน สมฺภูเตน ภควา สมฺมาสโมฺพธิยํ ปติฎฺฐิโตว กุสลาทิเภเทน, ผสฺสาทิเภเทน จ ธเมฺม วิภชโนฺต จิตฺตุปฺปาทกณฺฑาทิวเสน ธมฺมสงฺคหํ จตุธา เทเสตุํ สมโตฺถ อโหสิฯ ตถา อตีตํเส อปฺปฎิหตญาณตาทิพุทฺธธมฺมสมนฺนาคโต ภควา อตีตาทิเภทโต ขนฺธาทิเก วิภชิตฺวา เทเสตุํ สมโตฺถ อโหสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยถาวุเตฺตน…เป.… วิภงฺค’’นฺติฯ ‘‘สพฺพญฺญุภาสิตตฺตา’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘อสพฺพญฺญุนา เทเสตุํ อสกฺกุเณยฺยตํ ทเสฺสโนฺต’’ติ เอเตน ธมฺมสงฺคณีวิภงฺคานํ อนฺวยโต พฺยติเรกโต จ สมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิตตเญฺญว วิภาเวติฯ สมฺมาสมฺพุทฺธตาทิคุเณติ พุทฺธรตนสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธตา, ธมฺมสงฺฆรตนานํ สฺวากฺขาตตา, สุปฺปฎิปนฺนตาติ เอวมาทิคุเณ ปกาเสติฯ

    Aṭṭhārasappabhedāya desanāya thomanamevāti yojanā. Samānagaṇanaguṇehīti samānagaṇanehi guṇehi karaṇabhūtehi. Yathāvuttena niratisayena catusaccadassanenāti sabbaññutaññāṇassa, dasabalesu vasībhāvassa ca padaṭṭhānabhūtena. Saccābhisambodhena hi abhinīhārānurūpaṃ rūpārūpadhammesu chattiṃsakoṭisatasahassamukhappavattena sātisayaṃ santatisamūhakiccārammaṇaghanappabhedena mahāvajirañāṇasaṅkhātena buddhāveṇikena sammasanena sambhūtena bhagavā sammāsambodhiyaṃ patiṭṭhitova kusalādibhedena, phassādibhedena ca dhamme vibhajanto cittuppādakaṇḍādivasena dhammasaṅgahaṃ catudhā desetuṃ samattho ahosi. Tathā atītaṃse appaṭihatañāṇatādibuddhadhammasamannāgato bhagavā atītādibhedato khandhādike vibhajitvā desetuṃ samattho ahosi. Tena vuttaṃ ‘‘yathāvuttena…pe… vibhaṅga’’nti. ‘‘Sabbaññubhāsitattā’’ti vatvā puna ‘‘asabbaññunā desetuṃ asakkuṇeyyataṃ dassento’’ti etena dhammasaṅgaṇīvibhaṅgānaṃ anvayato byatirekato ca sammāsambuddhappaveditataññeva vibhāveti. Sammāsambuddhatādiguṇeti buddharatanassa sammāsambuddhatā, dhammasaṅgharatanānaṃ svākkhātatā, suppaṭipannatāti evamādiguṇe pakāseti.

    นนุ จ ‘‘จตุสจฺจทโส’’ติอาทินา ภควโตว คุณา วิภาวิตาติ? สจฺจํ, เตเนว ธมฺมสงฺฆานมฺปิ คุณา วิภาวิตา โหนฺติ ตปฺปภวสฺส อนญฺญถาภาวโต, ตทปเทเสน วา ธโมฺม, ตทาธาโร จ สโงฺฆ วุโตฺตว โหตีติ วุตฺตํ ‘‘พุทฺธาทีนํ…เป.… วิภาเวตี’’ติฯ

    Nanu ca ‘‘catusaccadaso’’tiādinā bhagavatova guṇā vibhāvitāti? Saccaṃ, teneva dhammasaṅghānampi guṇā vibhāvitā honti tappabhavassa anaññathābhāvato, tadapadesena vā dhammo, tadādhāro ca saṅgho vuttova hotīti vuttaṃ ‘‘buddhādīnaṃ…pe… vibhāvetī’’ti.

    อตีตํเสติ อตีตโกฎฺฐาเส, ปุพฺพเนฺตติ อโตฺถฯ อปฺปฎิหตนฺติ นปฺปฎิหตํ, ญาณสฺส ปฎิฆาโต นาม อญฺญาณํ, สพฺพมฺปิ วา กิเลสชาตํฯ ตํ ยสฺมา ภควโต สห วาสนาย ปหีนํ, ตสฺมาสฺส อตีตํเส สพฺพตฺถกเมว เญยฺยาวรณปฺปหาเนน ญาณํ อปฺปฎิหตนฺติ วุจฺจติฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ กิํ ปเนตานิ ปาฎิเยกฺกํ วิสุํ ญาณานิ, อุทาหุ อตีตาทีสุ ปวตฺตนกญาณานิ เอว? ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณานิ นาม ปาฎิเยกฺกํ ภควโต ตีณิ ญาณาเนวาติ วทนฺติฯ เอกํเยว หุตฺวา ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณํ นาม สพฺพญฺญุตญฺญาณเมวฯ สพฺพํ กายกมฺมนฺติ ยํ กิญฺจิ ภควตา กตฺตพฺพํ กายกมฺมํฯ ญาณปุพฺพงฺคมนฺติ ญาณปุเรจาริกํฯ ญาณานุปริวตฺตนฺติ ญาณสฺส อนุปริวตฺตนกํ, สพฺพํ กายปโยคํ ปวเตฺตโนฺต ภควา ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ญาณสหิตเมว ปวเตฺตตีติ อโตฺถฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ ฉนฺทสฺสาติ กตฺตุกมฺยตาย, มหากรุณาสมาโยคโต สตฺตานํ เอกนฺตหิเตสิตาย หิตกิริยาฉนฺทสฺสาติ อโตฺถฯ ธมฺมเทสนายาติ ธมฺมกถายฯ อปริกฺขยาปริเมยฺยปฎิภานตาย หิ ภควโต กรณสมฺปตฺติยา จ ธมฺมเทสนา นิรนฺตรํ ปวตฺติยมานาปิ น กทาจิปิ ปริกฺขยํ คจฺฉติ, อญฺญทตฺถุ อุปรูปริ วฑฺฒเตวฯ วีริยสฺสาติ ปรหิตปฎิปตฺติยํ อุสฺสาหสฺสฯ วิมุตฺติยาติ ผลวิมุตฺติยาฯ เอตฺถ จ สมาธิอาทีนํ อหานิ ตํตํปฎิปกฺขสฺส สวาสนปหีนตฺตา อนญฺญสาธารณตาย เวทิตพฺพาฯ ฉนฺทาทีนํ ปน มหากรุณาสมาโยคโตปิฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Atītaṃseti atītakoṭṭhāse, pubbanteti attho. Appaṭihatanti nappaṭihataṃ, ñāṇassa paṭighāto nāma aññāṇaṃ, sabbampi vā kilesajātaṃ. Taṃ yasmā bhagavato saha vāsanāya pahīnaṃ, tasmāssa atītaṃse sabbatthakameva ñeyyāvaraṇappahānena ñāṇaṃ appaṭihatanti vuccati. Esa nayo sesesupi. Kiṃ panetāni pāṭiyekkaṃ visuṃ ñāṇāni, udāhu atītādīsu pavattanakañāṇāni eva? Tīsu kālesu appaṭihatañāṇāni nāma pāṭiyekkaṃ bhagavato tīṇi ñāṇānevāti vadanti. Ekaṃyeva hutvā tīsu kālesu appaṭihatañāṇaṃ nāma sabbaññutaññāṇameva. Sabbaṃ kāyakammanti yaṃ kiñci bhagavatā kattabbaṃ kāyakammaṃ. Ñāṇapubbaṅgamanti ñāṇapurecārikaṃ. Ñāṇānuparivattanti ñāṇassa anuparivattanakaṃ, sabbaṃ kāyapayogaṃ pavattento bhagavā ñāṇena paricchinditvā ñāṇasahitameva pavattetīti attho. Sesapadadvayepi eseva nayo. Chandassāti kattukamyatāya, mahākaruṇāsamāyogato sattānaṃ ekantahitesitāya hitakiriyāchandassāti attho. Dhammadesanāyāti dhammakathāya. Aparikkhayāparimeyyapaṭibhānatāya hi bhagavato karaṇasampattiyā ca dhammadesanā nirantaraṃ pavattiyamānāpi na kadācipi parikkhayaṃ gacchati, aññadatthu uparūpari vaḍḍhateva. Vīriyassāti parahitapaṭipattiyaṃ ussāhassa. Vimuttiyāti phalavimuttiyā. Ettha ca samādhiādīnaṃ ahāni taṃtaṃpaṭipakkhassa savāsanapahīnattā anaññasādhāraṇatāya veditabbā. Chandādīnaṃ pana mahākaruṇāsamāyogatopi. Sesaṃ suviññeyyameva.

    . เต เอว ธเมฺมติ เต เอว กุสลาทิเก ติกทุเกหิ สงฺคหิเต ธเมฺมฯ สุตฺตเนฺต ขนฺธาทิวเสน วุเตฺต ขนฺธาทิวเสน วิภชิตุนฺติ โยชนาฯ นนุ สุตฺตเนฺต ปฎิสมฺภิทาวเสน เต น วุตฺตาติ? ยทิปิ สรูปโต น วุตฺตา, ‘‘ชรามรเณ ญาณํ, ชรามรณสมุทเย ญาณ’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๓๓) ปน เหตุเหตุผลาทีสุ ญาณวิภาคสฺส วุตฺตตฺตา อตฺถโต วุตฺตา เอว โหนฺติ, ปฎิสมฺภิทามเคฺค (ปฎิ. ม. ๒.๓๐) วา ปฎิสมฺภิทานํ อาคตตฺตา สุตฺตเนฺต ปฎิสมฺภิทาวเสนปิ เต ธมฺมา วุตฺตา เอวฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ สุตฺตเนฺตฯ สเงฺขเปนาติ สมาเสนฯ อุเทฺทสนิเทฺทสมเตฺตเนว หิ สุตฺตเนฺต ขนฺธาทโย เทสิตา, น ปฎินิเทฺทสาทินาติ สเงฺขเปน เต ตตฺถ วุตฺตาติ วุตฺตาฯ ตตฺถาติ วา ธมฺมสงฺคเหฯ ตตฺถาปิ หิ ‘‘ตสฺมิํ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺตี’’ติอาทินา (ธ. ส. ๕๘) ขนฺธาทโย สเงฺขเปน วุตฺตาติฯ วิภชียนฺติ เอตฺถ, เอเตน วา ขนฺธาทโยติ วิภโงฺค, เต เอว ปกิรียนฺติ ปฎฺฐปียนฺติ เอตฺถ, เอเตน วาติ ปกรณํ, วิภโงฺค จ โส ปกรณญฺจาติ วิภงฺคปฺปกรณํฯ อาทิสทฺทตฺถโชตเกนาติ ‘‘อิติ วา, อิติ เอวรูปา นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา ปฎิวิรโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๓) วิย อาทิสทฺทสฺส อตฺถทีปเกนฯ ปการตฺถโชตเกนาติ ‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, สปฺปฎิภโย พาโล, อปฺปฎิภโย ปณฺฑิโต’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๑) วิย ปการตฺถวิภาวเกนฯ ‘‘เอกเทเสน สมุทายํ นิทเสฺสตี’’ติ เอเตน ‘‘รูปกฺขโนฺธ…เป.… วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติ เอตฺถ อิติสทฺทสฺส นิทสฺสนตฺถตํ ทเสฺสติฯ นิทสฺสนโตฺถปิ หิ อิติ-สโทฺท ทิโฎฺฐ ยถา ‘‘อตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยเมโก อโนฺต’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๕; ๓.๙๐)ฯ ปริสมาปนโตฺถ วา ‘‘ตสฺมาติห เม, ภิกฺขเว, ธมฺมทายาทา ภวถ, โน อามิสทายาทาฯ อตฺถิ เม ตุเมฺหสุ อนุกมฺปา ‘กินฺติ เม สาวกา ธมฺมทายาทา ภเวยฺยุํ, โน อามิสทายาทา’ติ’’ (ม. นิ. ๑.๒๙) เอวมาทีสุ วิยฯ ปริสมาปนเญฺหตํ สุตฺตนฺตภาชนียสฺส เอกเทสทสฺสเนน ยทิทํ ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา รูปกฺขโนฺธ…เป.… วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติ ตาว ตทตฺถสฺส สงฺคหิตตฺตาฯ ตตฺถาติ วิภงฺคปฺปกรเณฯ ‘‘นิพฺพานวชฺชาน’’นฺติ เอตฺถ ยทิ นิพฺพานวชฺชานํ…เป.… อปฺปกตรปทตฺตา ขนฺธานํ ขนฺธวิภโงฺค อาทิมฺหิ วุโตฺต, นนุ สห นิพฺพาเนน สพฺพธมฺมสงฺคาหกตฺตา, สพฺพธมฺมสงฺคาหเกหิ จ อายตนาทีหิ ขเนฺธหิ จ อปฺปกตรปทตฺตา สจฺจวิภโงฺค อาทิมฺหิ วตฺตโพฺพติ ? น, ตตฺถาปิ ทุกฺขสจฺจวิภเงฺค เอกเทเสน ขนฺธานํ เอว วิภชิตพฺพโตฯ ยถาห ‘‘ตตฺถ กตมํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ? ชาติปิ ทุกฺขา…เป.… สํขิเตฺตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา’’ติ (วิภ. ๑๙๐; ที. นิ. ๒.๓๘๗; ม. นิ. ๑.๑๒๐; ๓.๓๗๓)ฯ อิธ ปน อนวเสสโตว ขนฺธา วิภชียนฺตีติ นิพฺพานวชฺชานํ…เป.… อปฺปกตรปทตฺตา ขนฺธานํ ขนฺธวิภโงฺค อาทิมฺหิ วุโตฺตฯ

    1. Teeva dhammeti te eva kusalādike tikadukehi saṅgahite dhamme. Suttante khandhādivasena vutte khandhādivasena vibhajitunti yojanā. Nanu suttante paṭisambhidāvasena te na vuttāti? Yadipi sarūpato na vuttā, ‘‘jarāmaraṇe ñāṇaṃ, jarāmaraṇasamudaye ñāṇa’’ntiādinā (saṃ. ni. 2.33) pana hetuhetuphalādīsu ñāṇavibhāgassa vuttattā atthato vuttā eva honti, paṭisambhidāmagge (paṭi. ma. 2.30) vā paṭisambhidānaṃ āgatattā suttante paṭisambhidāvasenapi te dhammā vuttā eva. Tatthāti tasmiṃ suttante. Saṅkhepenāti samāsena. Uddesaniddesamatteneva hi suttante khandhādayo desitā, na paṭiniddesādināti saṅkhepena te tattha vuttāti vuttā. Tatthāti vā dhammasaṅgahe. Tatthāpi hi ‘‘tasmiṃ kho pana samaye cattāro khandhā hontī’’tiādinā (dha. sa. 58) khandhādayo saṅkhepena vuttāti. Vibhajīyanti ettha, etena vā khandhādayoti vibhaṅgo, te eva pakirīyanti paṭṭhapīyanti ettha, etena vāti pakaraṇaṃ, vibhaṅgo ca so pakaraṇañcāti vibhaṅgappakaraṇaṃ. Ādisaddatthajotakenāti ‘‘iti vā, iti evarūpā naccagītavāditavisūkadassanā paṭivirato’’tiādīsu (dī. ni. 1.13) viya ādisaddassa atthadīpakena. Pakāratthajotakenāti ‘‘iti kho, bhikkhave, sappaṭibhayo bālo, appaṭibhayo paṇḍito’’tiādīsu (a. ni. 3.1) viya pakāratthavibhāvakena. ‘‘Ekadesena samudāyaṃ nidassetī’’ti etena ‘‘rūpakkhandho…pe… viññāṇakkhandho’’ti ettha itisaddassa nidassanatthataṃ dasseti. Nidassanatthopi hi iti-saddo diṭṭho yathā ‘‘atthīti kho, kaccāna, ayameko anto’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.15; 3.90). Parisamāpanattho vā ‘‘tasmātiha me, bhikkhave, dhammadāyādā bhavatha, no āmisadāyādā. Atthi me tumhesu anukampā ‘kinti me sāvakā dhammadāyādā bhaveyyuṃ, no āmisadāyādā’ti’’ (ma. ni. 1.29) evamādīsu viya. Parisamāpanañhetaṃ suttantabhājanīyassa ekadesadassanena yadidaṃ ‘‘pañcakkhandhā rūpakkhandho…pe… viññāṇakkhandho’’ti tāva tadatthassa saṅgahitattā. Tatthāti vibhaṅgappakaraṇe. ‘‘Nibbānavajjāna’’nti ettha yadi nibbānavajjānaṃ…pe… appakatarapadattā khandhānaṃ khandhavibhaṅgo ādimhi vutto, nanu saha nibbānena sabbadhammasaṅgāhakattā, sabbadhammasaṅgāhakehi ca āyatanādīhi khandhehi ca appakatarapadattā saccavibhaṅgo ādimhi vattabboti ? Na, tatthāpi dukkhasaccavibhaṅge ekadesena khandhānaṃ eva vibhajitabbato. Yathāha ‘‘tattha katamaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ? Jātipi dukkhā…pe… saṃkhittena pañcupādānakkhandhā dukkhā’’ti (vibha. 190; dī. ni. 2.387; ma. ni. 1.120; 3.373). Idha pana anavasesatova khandhā vibhajīyantīti nibbānavajjānaṃ…pe… appakatarapadattā khandhānaṃ khandhavibhaṅgo ādimhi vutto.

    อปิจ รูปสมฺมูฬฺหา อรูปสมฺมูฬฺหา อุภยสมฺมูฬฺหาติ ติวิธา โพธเนยฺยปุคฺคลา, ตถา สํขิตฺตรุจิโน วิตฺถารรุจิโน นาติสเงฺขปวิตฺถารรุจิโน, ติกฺขินฺทฺริยา มุทินฺทฺริยา มชฺฌิมินฺทฺริยาติ จฯ เตสุ อรูปสมฺมูฬฺหานํ อุปการาย ขนฺธเทสนา, รูปสมฺมูฬฺหานํ อายตนเทสนา, อุภยสมฺมูฬฺหานํ ธาตุเทสนาฯ ตถา สํขิตฺตรุจีนํ ขนฺธเทสนา, นาติสเงฺขปวิตฺถารรุจีนํ อายตนเทสนา, วิตฺถารรุจีนํ ธาตุเทสนาฯ ติกฺขินฺทฺริยานํ ขนฺธเทสนา, มชฺฌิมินฺทฺริยานํ อายตนเทสนา, มุทินฺทฺริยานํ ธาตุเทสนาติ อิมินา ปโยชเนน อนุกฺกเมน จ ขนฺธายตนธาตุวิภงฺคานํ เทสนากฺกโมว เวทิตโพฺพฯ ตํ ปเนตํ ขนฺธาทิตฺตยํ ปวตฺตินิวตฺติตทุภยเหตุมุเขเนว ญายมานํ ยถาภูตาวโพธาย โหติ, นาญฺญถาติ ทสฺสนตฺถํ สจฺจวิภงฺคเทสนา ปวตฺตาฯ โส จ ยถาภูตาวโพโธ วิเสสโต อินฺทฺริยสนฺนิสฺสเยนาติ อินฺทฺริยวิภงฺคเทสนาฯ อินฺทฺริยานญฺจ อินฺทโฎฺฐ ตํตํปจฺจยธมฺมภูตานํ ยถาสกํ ปจฺจยุปฺปเนฺนสุ ปจฺจยภาววิเสเสเนวาติ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนวิภาคสนฺทสฺสนี ปจฺจยาการวิภงฺคเทสนาฯ ปจฺจยาการสฺส ขนฺธาทีนญฺจ อวิปรีตสภาวาวโพโธ สติปฎฺฐานาทีสุ สมฺมามนสิกาเรนาติ สติปฎฺฐานสมฺมปฺปธานอิทฺธิปาทโพชฺฌงฺคมคฺคงฺควิภงฺคเทสนาฯ สฺวายํ สติปฎฺฐานาทีสุ สมฺมามนสิกาโร อิมาย ปฎิปตฺติยา โหตีติ ฌานอปฺปมญฺญาวิภงฺคเทสนา, สา สมฺมาปฎิปตฺติ เอตฺตเก สีเล ปติฎฺฐิตสฺส สมฺภวตีติ สิกฺขาปทวิภงฺคเทสนา, ยถาวุตฺตาย จ สมฺมาปฎิปตฺติยา อิเม อานิสํสาติ ปฎิสมฺภิทาญาณวิภงฺคเทสนา, เต จิเม ญาณวิเสสา อิเมสุ กิเลเสสุ ปหียเนฺตสุ จ สมฺภวนฺติ, นาญฺญถาติ กิเลสวิภงฺคเทสนา, เอวํ วิตฺถารโต เทสิเต ขนฺธาทิเก สเงฺขปโตปิ ชานนฺตสฺส อตฺถสิทฺธิ โหติ เอวาติ ทสฺสนตฺถํ ปริโยสาเน ธมฺมหทยวิภงฺคเทสนา ปวตฺตาติ เอวเมเตสํ อฎฺฐารสนฺนํ มหาวิภงฺคานํ เทสนากฺกมการณํ เวทิตพฺพํฯ

    Apica rūpasammūḷhā arūpasammūḷhā ubhayasammūḷhāti tividhā bodhaneyyapuggalā, tathā saṃkhittarucino vitthārarucino nātisaṅkhepavitthārarucino, tikkhindriyā mudindriyā majjhimindriyāti ca. Tesu arūpasammūḷhānaṃ upakārāya khandhadesanā, rūpasammūḷhānaṃ āyatanadesanā, ubhayasammūḷhānaṃ dhātudesanā. Tathā saṃkhittarucīnaṃ khandhadesanā, nātisaṅkhepavitthārarucīnaṃ āyatanadesanā, vitthārarucīnaṃ dhātudesanā. Tikkhindriyānaṃ khandhadesanā, majjhimindriyānaṃ āyatanadesanā, mudindriyānaṃ dhātudesanāti iminā payojanena anukkamena ca khandhāyatanadhātuvibhaṅgānaṃ desanākkamova veditabbo. Taṃ panetaṃ khandhādittayaṃ pavattinivattitadubhayahetumukheneva ñāyamānaṃ yathābhūtāvabodhāya hoti, nāññathāti dassanatthaṃ saccavibhaṅgadesanā pavattā. So ca yathābhūtāvabodho visesato indriyasannissayenāti indriyavibhaṅgadesanā. Indriyānañca indaṭṭho taṃtaṃpaccayadhammabhūtānaṃ yathāsakaṃ paccayuppannesu paccayabhāvavisesenevāti paccayapaccayuppannavibhāgasandassanī paccayākāravibhaṅgadesanā. Paccayākārassa khandhādīnañca aviparītasabhāvāvabodho satipaṭṭhānādīsu sammāmanasikārenāti satipaṭṭhānasammappadhānaiddhipādabojjhaṅgamaggaṅgavibhaṅgadesanā. Svāyaṃ satipaṭṭhānādīsu sammāmanasikāro imāya paṭipattiyā hotīti jhānaappamaññāvibhaṅgadesanā, sā sammāpaṭipatti ettake sīle patiṭṭhitassa sambhavatīti sikkhāpadavibhaṅgadesanā, yathāvuttāya ca sammāpaṭipattiyā ime ānisaṃsāti paṭisambhidāñāṇavibhaṅgadesanā, te cime ñāṇavisesā imesu kilesesu pahīyantesu ca sambhavanti, nāññathāti kilesavibhaṅgadesanā, evaṃ vitthārato desite khandhādike saṅkhepatopi jānantassa atthasiddhi hoti evāti dassanatthaṃ pariyosāne dhammahadayavibhaṅgadesanā pavattāti evametesaṃ aṭṭhārasannaṃ mahāvibhaṅgānaṃ desanākkamakāraṇaṃ veditabbaṃ.

    รูปาทีนนฺติ รูปเวทนาสญฺญาสงฺขารวิญฺญาณานํฯ เวทยิตาทิสภาวตฺตาภาวาติ ยถากฺกมํ อนุภวนสญฺชานนาภิสงฺขรณาทิสภาวตฺตาภาวาฯ น หิ รูปํ เวทยิตาทิสภาวํ, เวทนาทิ วา รุปฺปนาทิสภาวํฯ ยโต รูปาทีนํ เวทนาสมวโรธเนน ‘‘จตฺตาโร ขนฺธา’’ติอาทินา สงฺขิปิตฺวา ขนฺธา ๐๖ เทเสตพฺพา สิยุํฯ รุปฺปนาทิโต อญฺญสฺสาภาวาติ รุปฺปนานุภวนาทิสภาวโต อญฺญสฺส อตีตาทิเก คเหตฺวา ราสิวเสน วตฺตพฺพสฺส สํขิตฺตสฺส สภาวสฺส อภาวาฯ น หิ เจตสิกาทิภาโว เวทนาทีนํ สภาโวฯ เหฎฺฐา คณเนสูติ ปญฺจโต เหฎฺฐา คณเนสุฯ อนิฎฺฐานนฺติ อปริโยสานํฯ รูปาทีสุ หิ กติปเย, เอกมฺปิ วา อคฺคเหตฺวา วุจฺจมานา ขนฺธวเสน เทสนา อนวเสสสงฺขตธมฺมสงฺคาหินี น สมฺภวติฯ ขนฺธสฺสาติ ราสฎฺฐสฺส ขนฺธสฺสฯ เตเนวาห ‘‘น หี’’ติอาทิฯ สวิภาคธเมฺมหีติ สปฺปเภทธเมฺมหิฯ

    Rūpādīnanti rūpavedanāsaññāsaṅkhāraviññāṇānaṃ. Vedayitādisabhāvattābhāvāti yathākkamaṃ anubhavanasañjānanābhisaṅkharaṇādisabhāvattābhāvā. Na hi rūpaṃ vedayitādisabhāvaṃ, vedanādi vā ruppanādisabhāvaṃ. Yato rūpādīnaṃ vedanāsamavarodhanena ‘‘cattāro khandhā’’tiādinā saṅkhipitvā khandhā 06 desetabbā siyuṃ. Ruppanādito aññassābhāvāti ruppanānubhavanādisabhāvato aññassa atītādike gahetvā rāsivasena vattabbassa saṃkhittassa sabhāvassa abhāvā. Na hi cetasikādibhāvo vedanādīnaṃ sabhāvo. Heṭṭhā gaṇanesūti pañcato heṭṭhā gaṇanesu. Aniṭṭhānanti apariyosānaṃ. Rūpādīsu hi katipaye, ekampi vā aggahetvā vuccamānā khandhavasena desanā anavasesasaṅkhatadhammasaṅgāhinī na sambhavati. Khandhassāti rāsaṭṭhassa khandhassa. Tenevāha ‘‘na hī’’tiādi. Savibhāgadhammehīti sappabhedadhammehi.

    ‘‘สทฺทตฺถสหิตํ ขนฺธสทฺทสฺส วิสยํ ทเสฺสตี’’ติ เอเตน ราสิสทฺทสฺส วิย ราสเฎฺฐ ขนฺธสทฺทสฺส วาจกภาเวน ปวตฺติํ ทเสฺสติ ปริยายนฺตรภาวโตฯ คุณาทีสุ ปน เกวลํ ตพฺพิสยปโยคภาเวเนว ปวตฺติ, น วาจกภาเวนาติ อาห ‘‘คุเณ…เป.… น สทฺทตฺถ’’นฺติฯ ขนฺธสโทฺทติ สีลาทิสเทฺท สนฺนิธาปิโต ขนฺธสโทฺทฯ เตเนวาห ‘‘สีลาทิคุณวิสิฎฺฐํ ราสฎฺฐํ ทีเปตี’’ติฯ เกจีติ ธมฺมสิริเตฺถรํ สนฺธาย วทติฯ เอตฺถาติ ‘‘สีลกฺขโนฺธ สมาธิกฺขโนฺธ’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๕๕) เอตฺถฯ น เกวลญฺจ โส เอว, อฎฺฐกถาจริเยหิปิ เอตฺถ คุณตฺถตา อิจฺฉิตา เอวฯ ตถา หิ อฎฺฐสาลินิยํ ‘‘สีลกฺขโนฺธ สมาธิกฺขโนฺธติอาทีสุ คุณเฎฺฐนา’’ติ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๕) วุตฺตํฯ นนุ จ เกวโลปิ ขนฺธสโทฺท ‘‘ติณฺณํ โข, มาณว, ขนฺธานํ วณฺณวาที, น โข, อาวุโส วิสาข, ตีหิ ขเนฺธหิ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค สงฺคหิโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๒) จ อาทีสุ สีลาทิวาจโก ทิโฎฺฐติ? น, ตตฺถาปิ อธิการาทิวเจฺฉทกวเสเนวสฺส สีลาทีสุ ปวตฺติทสฺสนโตฯ น ขนฺธสโทฺท ปญฺญตฺติสทฺทสฺส อเตฺถ วตฺตตีติ นิรุตฺติโวหาราทิสทฺทา วิย ปญฺญตฺติปริยาโย น โหตีติ อโตฺถฯ ทารุกฺขโนฺธติ ปญฺญตฺติ โหตีติ ตสฺส ขนฺธสทฺทสฺส ปญฺญตฺติวิเสสปฺปวตฺติตํ ทเสฺสติฯ วิญฺญาณกฺขโนฺธติ ขนฺธสโทฺทติ ‘‘วิญฺญาณํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติ (ยม. ๑.ขนฺธยมก.๓๒) เอตฺถ วุโตฺต ขนฺธสโทฺทฯ สมุทาเย นิรุโฬฺหติ อตีตาทิเภทภินฺนสฺส ปญฺญาย อภิสํยูหเนน ราสิกเต วิญฺญาณสมูเห นิรุโฬฺหฯ ตาย เอว รุฬฺหิยา ปวตฺตตีติ ตาย สมุทาเย นิรุฬฺหตาย ตทวยเว เอกสฺมิมฺปิ วิญฺญาเณ ปวตฺตตีติฯ เอตฺถ จ ญาณสมฺปยุเตฺต นิรุโฬฺห โกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน กุสลภาโว วิย ญาณวิปฺปยุเตฺต วิญฺญาณสมุทาเย นิรุโฬฺห ตเทกเทเสปิ รุฬฺหิยา ปวตฺตตีติ เวทิตพฺพํฯ อถ วา กิญฺจิ นิมิตฺตํ คเหตฺวา สติปิ อญฺญสฺมิํ ตนฺนิมิตฺตยุเตฺต กิสฺมิญฺจิเทว วิสเย สมฺมุติยา จิรกาลตาวเสน นิมิตฺตวิรเหปิ ปวตฺติ รุฬฺหิ นาม, ยถา มหิยํ เสตีติ มหิํโส, คจฺฉนฺตีติ คาโวติ, เอวํ ขนฺธสทฺทสฺสาปิ รุฬฺหิภาโว เวทิตโพฺพฯ

    ‘‘Saddatthasahitaṃ khandhasaddassa visayaṃ dassetī’’ti etena rāsisaddassa viya rāsaṭṭhe khandhasaddassa vācakabhāvena pavattiṃ dasseti pariyāyantarabhāvato. Guṇādīsu pana kevalaṃ tabbisayapayogabhāveneva pavatti, na vācakabhāvenāti āha ‘‘guṇe…pe… na saddattha’’nti. Khandhasaddoti sīlādisadde sannidhāpito khandhasaddo. Tenevāha ‘‘sīlādiguṇavisiṭṭhaṃ rāsaṭṭhaṃ dīpetī’’ti. Kecīti dhammasirittheraṃ sandhāya vadati. Etthāti ‘‘sīlakkhandho samādhikkhandho’’ti (dī. ni. 3.355) ettha. Na kevalañca so eva, aṭṭhakathācariyehipi ettha guṇatthatā icchitā eva. Tathā hi aṭṭhasāliniyaṃ ‘‘sīlakkhandho samādhikkhandhotiādīsu guṇaṭṭhenā’’ti (dha. sa. aṭṭha. 5) vuttaṃ. Nanu ca kevalopi khandhasaddo ‘‘tiṇṇaṃ kho, māṇava, khandhānaṃ vaṇṇavādī, na kho, āvuso visākha, tīhi khandhehi ariyo aṭṭhaṅgiko maggo saṅgahito’’ti (ma. ni. 1.462) ca ādīsu sīlādivācako diṭṭhoti? Na, tatthāpi adhikārādivacchedakavasenevassa sīlādīsu pavattidassanato. Na khandhasaddo paññattisaddassa atthe vattatīti niruttivohārādisaddā viya paññattipariyāyo na hotīti attho. Dārukkhandhoti paññatti hotīti tassa khandhasaddassa paññattivisesappavattitaṃ dasseti. Viññāṇakkhandhoti khandhasaddoti ‘‘viññāṇaṃ viññāṇakkhandho’’ti (yama. 1.khandhayamaka.32) ettha vutto khandhasaddo. Samudāye niruḷhoti atītādibhedabhinnassa paññāya abhisaṃyūhanena rāsikate viññāṇasamūhe niruḷho. Tāya eva ruḷhiyā pavattatīti tāya samudāye niruḷhatāya tadavayave ekasmimpi viññāṇe pavattatīti. Ettha ca ñāṇasampayutte niruḷho kosallasambhūtaṭṭhena kusalabhāvo viya ñāṇavippayutte viññāṇasamudāye niruḷho tadekadesepi ruḷhiyā pavattatīti veditabbaṃ. Atha vā kiñci nimittaṃ gahetvā satipi aññasmiṃ tannimittayutte kismiñcideva visaye sammutiyā cirakālatāvasena nimittavirahepi pavatti ruḷhi nāma, yathā mahiyaṃ setīti mahiṃso, gacchantīti gāvoti, evaṃ khandhasaddassāpi ruḷhibhāvo veditabbo.

    ราสิโต คุณโตติ สพฺพตฺถ ภุมฺมเตฺถ วา นิสฺสกฺกวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ นิยเมตฺวาติ ววตฺถเปตฺวาฯ ปิณฺฑโฎฺฐติ สงฺฆาตโตฺถฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ปเญฺจว ขนฺธา วุตฺตา, โกฎฺฐาสเฎฺฐ จ ขนฺธเฎฺฐ นิพฺพานสฺส วเสน ฉเฎฺฐนาปิ ขเนฺธน ภวิตพฺพํ, ตสฺมา ขนฺธโฎฺฐ นาม ราสโฎฺฐติ ยุตฺตํฯ ‘‘เยสํ วา อตีตาทิวเสน เภโท อตฺถี’’ติอาทินา อตีตาทิวิภาคภิเนฺนสุ รุปฺปนาทิสภาวธเมฺมสุ วิสุํ วิสุํ โกฎฺฐาสภาเวน คยฺหมาเนสุ ตพฺพิภาครหิตสฺส เอกสฺส นิพฺพานสฺส ราสฎฺฐตา วิย โกฎฺฐาสฎฺฐตาปิ น สมฺภวตีติ ทเสฺสติฯ เอเตน ปญฺญตฺติยาปิ ขเนฺธสุ อคฺคหเณ การณํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Rāsito guṇatoti sabbattha bhummatthe vā nissakkavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Niyametvāti vavatthapetvā. Piṇḍaṭṭhoti saṅghātattho. Tasmāti yasmā pañceva khandhā vuttā, koṭṭhāsaṭṭhe ca khandhaṭṭhe nibbānassa vasena chaṭṭhenāpi khandhena bhavitabbaṃ, tasmā khandhaṭṭho nāma rāsaṭṭhoti yuttaṃ. ‘‘Yesaṃ vā atītādivasena bhedo atthī’’tiādinā atītādivibhāgabhinnesu ruppanādisabhāvadhammesu visuṃ visuṃ koṭṭhāsabhāvena gayhamānesu tabbibhāgarahitassa ekassa nibbānassa rāsaṭṭhatā viya koṭṭhāsaṭṭhatāpi na sambhavatīti dasseti. Etena paññattiyāpi khandhesu aggahaṇe kāraṇaṃ vuttanti veditabbaṃ.

    กสฺมา ปเนตฺถ ผสฺสาทิเก วิย สงฺขารกฺขเนฺธ อนวโรเธตฺวา เวทนาสญฺญา วิสุํ ขนฺธภาเวน คหิตาติ? วิวาทมูลตาทิวิเสสทสฺสนตฺถํฯ คหฎฺฐานญฺหิ วิวาทการณํ กามโชฺฌสานํฯ วุตฺตเญฺจตํ ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, กามเหตุ กามนิทานํ กามาธิกรณํ กามานเมว เหตุ มาตาปิ ปุเตฺตน วิวทติ, ปุโตฺตปิ มาตรา วิวทตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๑๖๘, ๑๗๘)ฯ ปพฺพชิตานํ ทิฎฺฐาภินิเวโสฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘เย ทิฎฺฐิมุคฺคยฺห วิวาทยนฺติ, ‘อิทเมว สจฺจ’นฺติ (สุ. นิ. ๘๓๘; มหานิ. ๖๗) จ วาทยนฺตี’’ติอาทิฯ เตสุ กามโชฺฌสานํ เวทนสฺสาเทน โหติ, ทิฎฺฐาภินิเวโส สญฺญาวิปลฺลาเสนฯ สญฺญาวิปลฺลาเสน หิ จิตฺตวิปลฺลาโส, จิตฺตวิปลฺลาเสน ทิฎฺฐิมานตณฺหาปปญฺจานํ วิปลฺลาโสติฯ ตถา เวทนานุคิโทฺธ วิปลฺลตฺถสโญฺญ จ สํสรติฯ เวทนานุคิทฺธสฺส หิ เวทนาปจฺจยา ตณฺหา สิทฺธา โหติ, ตโต จ ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนฺติ อาวฎฺฎติ ภวจกฺกํฯ วิปลฺลตฺถสญฺญิสฺส จ ‘‘สญฺญานิทานา หิ ปปญฺจสงฺขา’’ติ (สุ. นิ. ๘๘๐) วจนโต ทิฎฺฐิมานตณฺหาปปญฺจานํ อนุปเจฺฉทโต สํสารสฺส อนุปเจฺฉโทวฯ อิติ วิวาทการณานํ กามโชฺฌสานทิฎฺฐาภินิเวสานํ การณภาโว สํสารเหตุภาโวติ อิมสฺส วิวาทมูลตาทิวิเสสสฺส ทสฺสนตฺถํ สงฺขารกฺขเนฺธ อนวโรเธตฺวา เวทนาสญฺญา วิสุํ ขนฺธภาเวน คหิตาติ เวทิตพฺพํฯ

    Kasmā panettha phassādike viya saṅkhārakkhandhe anavarodhetvā vedanāsaññā visuṃ khandhabhāvena gahitāti? Vivādamūlatādivisesadassanatthaṃ. Gahaṭṭhānañhi vivādakāraṇaṃ kāmajjhosānaṃ. Vuttañcetaṃ ‘‘puna caparaṃ, bhikkhave, kāmahetu kāmanidānaṃ kāmādhikaraṇaṃ kāmānameva hetu mātāpi puttena vivadati, puttopi mātarā vivadatī’’tiādi (ma. ni. 1.168, 178). Pabbajitānaṃ diṭṭhābhiniveso. Vuttampi cetaṃ ‘‘ye diṭṭhimuggayha vivādayanti, ‘idameva sacca’nti (su. ni. 838; mahāni. 67) ca vādayantī’’tiādi. Tesu kāmajjhosānaṃ vedanassādena hoti, diṭṭhābhiniveso saññāvipallāsena. Saññāvipallāsena hi cittavipallāso, cittavipallāsena diṭṭhimānataṇhāpapañcānaṃ vipallāsoti. Tathā vedanānugiddho vipallatthasañño ca saṃsarati. Vedanānugiddhassa hi vedanāpaccayā taṇhā siddhā hoti, tato ca taṇhāpaccayā upādānanti āvaṭṭati bhavacakkaṃ. Vipallatthasaññissa ca ‘‘saññānidānā hi papañcasaṅkhā’’ti (su. ni. 880) vacanato diṭṭhimānataṇhāpapañcānaṃ anupacchedato saṃsārassa anupacchedova. Iti vivādakāraṇānaṃ kāmajjhosānadiṭṭhābhinivesānaṃ kāraṇabhāvo saṃsārahetubhāvoti imassa vivādamūlatādivisesassa dassanatthaṃ saṅkhārakkhandhe anavarodhetvā vedanāsaññā visuṃ khandhabhāvena gahitāti veditabbaṃ.

    โอกาเสสูติ วิภชนกิริยาย ปวตฺติฎฺฐานภาวโต อตีตาทโย โอกาสาติ วุตฺตาฯ อิติสเทฺทนาติ ‘‘อุปาทายรูป’’นฺติ เอวํ อฎฺฐกถายํ วุตฺตอิติสเทฺทนฯ นิทสฺสนเตฺถนาติ อุทาหรณเตฺถนฯ สโพฺพติ สกโล เอกาทสสุ โอกาเสสุ วิภโตฺต วิภชนนโยฯ อิทญฺจ วิภชนนฺติ ‘‘จตฺตาโร จ มหาภูตา…เป.… อุปาทายรูป’’นฺติ เอวํ วิภตฺตํ อิทญฺจ วิภชนํฯ โอฬาริกาทีสูติ โอฬาริกสุขุมหีนปณีตทูรสนฺติเกสุฯ จกฺขายตนนฺติอาทิวิภชนญฺจาติ ‘‘จกฺขายตนํ…เป.… โผฎฺฐพฺพายตนํ อิตฺถินฺทฺริยํ…เป.… กพฬีกาโร อาหาโร รูปา สทฺทา คนฺธา รสา โผฎฺฐพฺพาติ เอวํ ปวตฺตํ วิภชนญฺจฯ ยถาสมฺภวนฺติ ยถารหํฯ เอกาทสสุ โอกาเสสุ ยํ ยตฺถ วิภชนํ ยุตฺตํ, ตํ ตตฺถ โยเชตพฺพํฯ เอวํ เวทนากฺขนฺธาทีสุปีติ ยถา รูปกฺขเนฺธ ยถาสมฺภวํ เอกาทสสุ โอกาเสสุ วิภชนํ โยเชตพฺพนฺติ วุตฺตํ, เอวํ เวทนากฺขนฺธาทีสุปิ ยถาสมฺภวํ เอกาทสสุ โอกาเสสุ วิภชนํ โยเชตพฺพนฺติ อโตฺถฯ

    Okāsesūti vibhajanakiriyāya pavattiṭṭhānabhāvato atītādayo okāsāti vuttā. Itisaddenāti ‘‘upādāyarūpa’’nti evaṃ aṭṭhakathāyaṃ vuttaitisaddena. Nidassanatthenāti udāharaṇatthena. Sabboti sakalo ekādasasu okāsesu vibhatto vibhajananayo. Idañca vibhajananti ‘‘cattāro ca mahābhūtā…pe… upādāyarūpa’’nti evaṃ vibhattaṃ idañca vibhajanaṃ. Oḷārikādīsūti oḷārikasukhumahīnapaṇītadūrasantikesu. Cakkhāyatanantiādivibhajanañcāti ‘‘cakkhāyatanaṃ…pe… phoṭṭhabbāyatanaṃ itthindriyaṃ…pe… kabaḷīkāro āhāro rūpā saddā gandhā rasā phoṭṭhabbāti evaṃ pavattaṃ vibhajanañca. Yathāsambhavanti yathārahaṃ. Ekādasasu okāsesu yaṃ yattha vibhajanaṃ yuttaṃ, taṃ tattha yojetabbaṃ. Evaṃ vedanākkhandhādīsupīti yathā rūpakkhandhe yathāsambhavaṃ ekādasasu okāsesu vibhajanaṃ yojetabbanti vuttaṃ, evaṃ vedanākkhandhādīsupi yathāsambhavaṃ ekādasasu okāsesu vibhajanaṃ yojetabbanti attho.

    ตตฺถ เวทนากฺขโนฺธ ตาว ปุริเม โอกาสปญฺจเก สุขาทิเวทนาตฺติกวเสน วิภโตฺต, อิตรสฺมิํ กุสลตฺติกเวทนาตฺติกสมาปนฺนทุกสาสวทุกวเสนฯ สญฺญากฺขโนฺธ ปน ปุริเม โอกาสปญฺจเก ฉผสฺสทฺวารวเสน, อิตรสฺมิํ โอฬาริกทุเก ปฎิฆสมฺผสฺสทุกวเสน เจว ยถาวุตฺตกุสลตฺติกาทิวเสน จ วิภโตฺตฯ เสเสสุ กุสลตฺติกาทิวเสเนวฯ ตถา สงฺขารกฺขโนฺธฯ ปฎิฆสมฺผสฺสทุโก ปเนตฺถ นเตฺถวฯ เจตนาย เอว เจตฺถ นิเทฺทโส สงฺขารกฺขนฺธธมฺมานํ เจตนาปฺปธานภาวทสฺสนตฺถํฯ ตถา หิ สา ‘‘สงฺขารกฺขโนฺธ’’ติ วุตฺตาฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส วิภชเน ปฎินิเทฺทเสฯ ตํ ปน ทฺวยนฺติ มโนธาตุมโนวิญฺญาณธาตุทฺวยํฯ ยญฺหิ สตฺตวิญฺญาณธาตุเทสนายํ ‘‘มโนธาตุ, มโนวิญฺญาณธาตู’’ติ ทฺวยํ เทสิตํ, ตํ ฉวิญฺญาณกายเทสนายํ ‘‘มโนวิญฺญาณ’’เนฺตฺวว วุจฺจตีติฯ

    Tattha vedanākkhandho tāva purime okāsapañcake sukhādivedanāttikavasena vibhatto, itarasmiṃ kusalattikavedanāttikasamāpannadukasāsavadukavasena. Saññākkhandho pana purime okāsapañcake chaphassadvāravasena, itarasmiṃ oḷārikaduke paṭighasamphassadukavasena ceva yathāvuttakusalattikādivasena ca vibhatto. Sesesu kusalattikādivaseneva. Tathā saṅkhārakkhandho. Paṭighasamphassaduko panettha nattheva. Cetanāya eva cettha niddeso saṅkhārakkhandhadhammānaṃ cetanāppadhānabhāvadassanatthaṃ. Tathā hi sā ‘‘saṅkhārakkhandho’’ti vuttā. Tatthāti tasmiṃ viññāṇakkhandhassa vibhajane paṭiniddese. Taṃ pana dvayanti manodhātumanoviññāṇadhātudvayaṃ. Yañhi sattaviññāṇadhātudesanāyaṃ ‘‘manodhātu, manoviññāṇadhātū’’ti dvayaṃ desitaṃ, taṃ chaviññāṇakāyadesanāyaṃ ‘‘manoviññāṇa’’ntveva vuccatīti.

    ปาฬินเยนาติ ขนฺธวิภงฺคปาฬินเยนฯ อเญฺญน ปกาเรนาติ ธมฺมสงฺคเห, ตทฎฺฐกถายญฺจ อาคเตน ปการนฺตเรนฯ

    Pāḷinayenāti khandhavibhaṅgapāḷinayena. Aññena pakārenāti dhammasaṅgahe, tadaṭṭhakathāyañca āgatena pakārantarena.

    ๑. รูปกฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา

    1. Rūpakkhandhaniddesavaṇṇanā

    . ‘‘กิญฺจี’’ติ ปทํ ‘‘เอกจฺจ’’นฺติ อิมินา สมานตฺถนฺติ อาห ‘‘กิญฺจีติ ปการนฺตรเภทํ อามสิตฺวา อนิยมนิทสฺสน’’นฺติฯ อุภเยนาติ ปการเภทํ อนามสิตฺวา อามสิตฺวา จ อนิยมทสฺสนวเสน ปวเตฺตน ‘‘ยํ กิญฺจี’’ติ ปททฺวเยนฯ อธิเปฺปตตฺถนฺติ รูปํฯ อติจฺจาติ อติกฺกมิตฺวาฯ ปวตฺติโตติ ปวตฺตนโตฯ นิยมนตฺถนฺติ นิวตฺตนตฺถํฯ

    2. ‘‘Kiñcī’’ti padaṃ ‘‘ekacca’’nti iminā samānatthanti āha ‘‘kiñcīti pakārantarabhedaṃ āmasitvā aniyamanidassana’’nti. Ubhayenāti pakārabhedaṃ anāmasitvā āmasitvā ca aniyamadassanavasena pavattena ‘‘yaṃ kiñcī’’ti padadvayena. Adhippetatthanti rūpaṃ. Aticcāti atikkamitvā. Pavattitoti pavattanato. Niyamanatthanti nivattanatthaṃ.

    ‘‘กิญฺจา’’ติ เอตฺถ กิํ-สโทฺท ปุจฺฉายํ เหตุอตฺถทีปโก, กรเณ เจตํ ปจฺจตฺตวจนํ, จ-สโทฺท วจนาลงฺกาโรติ อาห ‘‘เกน การเณน วเทถา’’ติฯ ทุติยวิกเปฺป ปน วุตฺตนเยเนว การณเตฺถ ปวตฺตํ กิํ-สทฺทํ ‘‘วเทถา’’ติ กิริยาปทสมฺพนฺธเนน อุปโยควเสน ปริณาเมตฺวา วทติ ‘‘ตํ การณํ วเทถา’’ติฯ

    ‘‘Kiñcā’’ti ettha kiṃ-saddo pucchāyaṃ hetuatthadīpako, karaṇe cetaṃ paccattavacanaṃ, ca-saddo vacanālaṅkāroti āha ‘‘kena kāraṇena vadethā’’ti. Dutiyavikappe pana vuttanayeneva kāraṇatthe pavattaṃ kiṃ-saddaṃ ‘‘vadethā’’ti kiriyāpadasambandhanena upayogavasena pariṇāmetvā vadati ‘‘taṃ kāraṇaṃ vadethā’’ti.

    ปุริมสนฺตานสฺส เภทนฺติ ปุริมสนฺตานสฺส วินาสํ, วินาสาปเทเสน เจตฺถ สนฺตาเน วิสทิสุปฺปาทเมว ทเสฺสติฯ เตเนวาห ‘‘วิสทิสสนฺตานุปฺปตฺติทสฺสนโต’’ติฯ นนุ จ อรูปธมฺมานมฺปิ วิโรธิปจฺจยสมวาเย วิสทิสุปฺปตฺติ อตฺถีติ? สจฺจํ อตฺถิ, สา ปน น ปากฎตรา, ปากฎตรา จ อิธาธิเปฺปตาฯ เตเนวาห ‘‘สีตาทิสนฺนิปาเต’’ติฯ ตถา จาห ภควา ‘‘สีเตนปิ รุปฺปติ, อุเณฺหนปิ รุปฺปตี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๓.๗๙)ฯ อิทานิ เภท-สโทฺท อุชุกเมว วิการาปตฺติํ วทตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เภโท จา’’ติอาทิมาห ฯ วิสทิสรูปุปฺปตฺติเยว, น อุปฺปนฺนสฺส อญฺญถาภาโวติ อธิปฺปาโยฯ เตน กาปิลิยํ ปริณามวาทํ ปฎิกฺขิปติฯ ยทิ ปุริมสนฺตานโต เภโท วิสทิสุปฺปตฺติ รุปฺปนํ, เอวํ สเนฺต ลกฺขณสฺส อติปฺปสโงฺค สิยาติ โจทนํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘อรูปกฺขนฺธาน’’นฺติอาทิฯ เอตฺถ สีตาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน ยถา อุณฺหชิฆจฺฉาทโย สงฺคยฺหนฺติ, เอวํ อาหาราทีนมฺปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ เยนาติ เยน สีตาทีหิ สมาคเมนฯ ตตฺถาติ เตสุ รูปธเมฺมสุฯ อาหาราทิกสฺส วา ฐิติปฺปตฺตสฺสาติ สมฺพโนฺธฯ ยถา รูปธมฺมานํ ฐิติกฺขเณ สีตาทีหิ สมาคโม โหติ, เอวํ อรูปกฺขนฺธานํ อเญฺญหิ สมาคโม นตฺถิ อติลหุปริวตฺติโต, ตสฺมา อรูปธมฺมา รูปธมฺมานํ วิย ปากฎสฺส วิการสฺส อภาวโต ‘‘รุปฺปนฺตี’’ติ, ‘‘รุปฺปนลกฺขณา’’ติ จ น วุจฺจนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘รุปฺปตี’’ติ ปทสฺส กตฺตุกมฺมสาธนานํ วเสน อตฺถํ ทเสฺสตุํ อฎฺฐกถายํ ‘‘กุปฺปติ ฆฎฺฎียติ ปีฬียติ ภิชฺชตี’’ติ วุตฺตนฺติ ตทตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘กุปฺปตีติ เอเตนา’’ติอาทิมาหฯ โกปาทิกิริยาติ โกปสงฺฆฎฺฎนปีฬนกิริยาฯ โกป-สโทฺท เจตฺถ โขภปริยาโย เวทิตโพฺพฯ กตฺตุภูโต กมฺมภูโต จ อโตฺถติ กตฺตุกมฺมสาธนานํ วเสน วุจฺจมาโน ภูตุปาทายรูปสงฺขาโต อโตฺถฯ กมฺมกตฺตุเตฺถน ภิชฺชติ-สเทฺทนาติ ยทา กมฺมกตฺตุโตฺถ รุปฺปติ-สโทฺท, ตทา ภิชฺชติ-สโทฺทปิ ตทโตฺถ เอว เวทิตโพฺพติ อโตฺถฯ ตตฺถ ยทา กมฺมเตฺถ ‘‘รุปฺปตี’’ติ ปทํ, ตทา ‘‘สีเตนา’’ติอาทีสุ กตฺตุอเตฺถ กรณวจนํฯ ยทา ปน ‘‘รุปฺปตี’’ติ ปทํ กตฺตุอเตฺถ กมฺมกตฺตุอเตฺถ วา, ตทา เหตุมฺหิ กรณวจนํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ยํ ปน รุปฺปตี’’ติอาทินา ‘‘กุปฺปตี’’ติอาทีนํ กตฺตุกมฺมตฺถานมฺปิ อตฺถวจนานํ วจเน การณํ ทเสฺสติฯ ยทิปิ อตฺถ-สโทฺท ‘‘ปีฬนโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗; ๒.๘) สภาวปริยาโยปิ โหติ, ‘‘เกนเฎฺฐนา’’ติ ปเนตฺถ อภิเธยฺยปริยาโย อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘เกนเฎฺฐนาติ ปุจฺฉาสภาควเสน รุปฺปนเฎฺฐนา’’ติ, รุปฺปนสทฺทาภิเธยฺยภาเวนาติ อโตฺถฯ เตเนวาห ‘‘น เกวลํ สทฺทโตฺถเยว รุปฺปน’’นฺติฯ ตสฺส อตฺถสฺสาติ ตสฺส ภูตุปาทายปฺปเภทสฺส สภาวธมฺมสฺสฯ รุปฺปนลกฺขณญฺจ นาเมตํ อนิจฺจตาทิ วิย กกฺขฬตฺตาทิโต อญฺญนฺติ น คเหตพฺพํฯ ปญฺญตฺติวิเสโส หิ ตนฺติ, กกฺขฬตฺตาทีนํเยว ปน อรูปธมฺมวิธุโร สภาววิเสโสติ เวทิตพฺพํฯ

    Purimasantānassa bhedanti purimasantānassa vināsaṃ, vināsāpadesena cettha santāne visadisuppādameva dasseti. Tenevāha ‘‘visadisasantānuppattidassanato’’ti. Nanu ca arūpadhammānampi virodhipaccayasamavāye visadisuppatti atthīti? Saccaṃ atthi, sā pana na pākaṭatarā, pākaṭatarā ca idhādhippetā. Tenevāha ‘‘sītādisannipāte’’ti. Tathā cāha bhagavā ‘‘sītenapi ruppati, uṇhenapi ruppatī’’tiādi (saṃ. ni. 3.79). Idāni bheda-saddo ujukameva vikārāpattiṃ vadatīti dassento ‘‘bhedo cā’’tiādimāha . Visadisarūpuppattiyeva, na uppannassa aññathābhāvoti adhippāyo. Tena kāpiliyaṃ pariṇāmavādaṃ paṭikkhipati. Yadi purimasantānato bhedo visadisuppatti ruppanaṃ, evaṃ sante lakkhaṇassa atippasaṅgo siyāti codanaṃ manasi katvā āha ‘‘arūpakkhandhāna’’ntiādi. Ettha sītādīhīti ādi-saddena yathā uṇhajighacchādayo saṅgayhanti, evaṃ āhārādīnampi saṅgaho daṭṭhabbo. Yenāti yena sītādīhi samāgamena. Tatthāti tesu rūpadhammesu. Āhārādikassa vā ṭhitippattassāti sambandho. Yathā rūpadhammānaṃ ṭhitikkhaṇe sītādīhi samāgamo hoti, evaṃ arūpakkhandhānaṃ aññehi samāgamo natthi atilahuparivattito, tasmā arūpadhammā rūpadhammānaṃ viya pākaṭassa vikārassa abhāvato ‘‘ruppantī’’ti, ‘‘ruppanalakkhaṇā’’ti ca na vuccantīti sambandho. ‘‘Ruppatī’’ti padassa kattukammasādhanānaṃ vasena atthaṃ dassetuṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kuppati ghaṭṭīyati pīḷīyati bhijjatī’’ti vuttanti tadatthaṃ vivaranto ‘‘kuppatīti etenā’’tiādimāha. Kopādikiriyāti kopasaṅghaṭṭanapīḷanakiriyā. Kopa-saddo cettha khobhapariyāyo veditabbo. Kattubhūto kammabhūto ca atthoti kattukammasādhanānaṃ vasena vuccamāno bhūtupādāyarūpasaṅkhāto attho. Kammakattutthena bhijjati-saddenāti yadā kammakattuttho ruppati-saddo, tadā bhijjati-saddopi tadattho eva veditabboti attho. Tattha yadā kammatthe ‘‘ruppatī’’ti padaṃ, tadā ‘‘sītenā’’tiādīsu kattuatthe karaṇavacanaṃ. Yadā pana ‘‘ruppatī’’ti padaṃ kattuatthe kammakattuatthe vā, tadā hetumhi karaṇavacanaṃ veditabbaṃ. ‘‘Yaṃ pana ruppatī’’tiādinā ‘‘kuppatī’’tiādīnaṃ kattukammatthānampi atthavacanānaṃ vacane kāraṇaṃ dasseti. Yadipi attha-saddo ‘‘pīḷanaṭṭho’’tiādīsu (paṭi. ma. 1.17; 2.8) sabhāvapariyāyopi hoti, ‘‘kenaṭṭhenā’’ti panettha abhidheyyapariyāyo adhippetoti āha ‘‘kenaṭṭhenāti pucchāsabhāgavasena ruppanaṭṭhenā’’ti, ruppanasaddābhidheyyabhāvenāti attho. Tenevāha ‘‘na kevalaṃ saddatthoyeva ruppana’’nti. Tassa atthassāti tassa bhūtupādāyappabhedassa sabhāvadhammassa. Ruppanalakkhaṇañca nāmetaṃ aniccatādi viya kakkhaḷattādito aññanti na gahetabbaṃ. Paññattiviseso hi tanti, kakkhaḷattādīnaṃyeva pana arūpadhammavidhuro sabhāvavisesoti veditabbaṃ.

    มุจฺฉาปตฺติยาติ มุจฺฉาย โมหสฺส อาปชฺชเนนฯ กปฺปสณฺฐานํ อุทกนฺติ กปฺปสณฺฐาปกมหาเมฆวุฎฺฐํ อุทกํฯ ตถาติ ตปฺปการตาย ขารภาเว สติ อุทเกน กปฺปวุฎฺฐานกาเล วิย ปถวี วิลีเยยฺยฯ โลกนฺตริยสตฺตานํ ปน ปาปกมฺมพเลน อขาเรปิ ขาเร วิย สรีรสฺส วิลียนา เวทิตพฺพาฯ เตเนวาติ สอุสฺสทนิสฺสยนิรยสฺส วุตฺตตฺตา เอวฯ น หิ อวีจิมฺหิ ปญฺจวิธพนฺธนาทิกมฺมการณํ กโรนฺติฯ

    Mucchāpattiyāti mucchāya mohassa āpajjanena. Kappasaṇṭhānaṃ udakanti kappasaṇṭhāpakamahāmeghavuṭṭhaṃ udakaṃ. Tathāti tappakāratāya khārabhāve sati udakena kappavuṭṭhānakāle viya pathavī vilīyeyya. Lokantariyasattānaṃ pana pāpakammabalena akhārepi khāre viya sarīrassa vilīyanā veditabbā. Tenevāti saussadanissayanirayassa vuttattā eva. Na hi avīcimhi pañcavidhabandhanādikammakāraṇaṃ karonti.

    . ปกรณปฺปตฺตํ รูปํ ปกฺขิปิตฺวา มาติกา ฐปิตาติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ มหาภูตุ…เป.… อาปชฺชติ ตปฺปการภาเวน อตีตํเส คณนํ คตนฺติ วุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘น หี’’ติอาทินา ธมฺมนฺตรนิวตฺตนตฺถตา ปการนฺตรนิวตฺตนตฺถตา จ ภูตุปาทายคหณสฺส นตฺถีติ ทเสฺสติฯ ตํทสฺสเนติ คณนนฺตรทสฺสเนฯ ตํสภาวตฺตาติ ภูตุปาทายสภาวตฺตาฯ ‘‘น จา’’ติอาทินา ภูตุปาทายสภาโว อตีตํสคณิตตาย ตํสภาวสฺสปิ อญฺญถา คณิตตฺตา, อตํสภาวสฺส จ ตถา คณิตตฺตา อการณนฺติ ทเสฺสติฯ ‘‘อชฺฌตฺต…เป.… ลพฺภตี’’ติ เอเตน ทุติยนเย น เกวลํ ยถาวุโตฺตว โทโส, อถ โข อพฺยาปิโตปิ โทโสติ ทเสฺสติฯ ตเทตํ ปน อการณํ การณภาวเสฺสว อนธิเปฺปตตฺตาฯ น เหตฺถ ภูตุปาทายรูปภาโว อตีตํเส คณนสฺส การณนฺติ อธิเปฺปตํ, ยโต ยถาวุตฺตโทสาปตฺติ สิยาฯ

    3. Pakaraṇappattaṃ rūpaṃ pakkhipitvā mātikā ṭhapitāti ānetvā sambandho. Mahābhūtu…pe… āpajjati tappakārabhāvena atītaṃse gaṇanaṃ gatanti vuttattāti adhippāyo. ‘‘Na hī’’tiādinā dhammantaranivattanatthatā pakārantaranivattanatthatā ca bhūtupādāyagahaṇassa natthīti dasseti. Taṃdassaneti gaṇanantaradassane. Taṃsabhāvattāti bhūtupādāyasabhāvattā. ‘‘Na cā’’tiādinā bhūtupādāyasabhāvo atītaṃsagaṇitatāya taṃsabhāvassapi aññathā gaṇitattā, ataṃsabhāvassa ca tathā gaṇitattā akāraṇanti dasseti. ‘‘Ajjhatta…pe… labbhatī’’ti etena dutiyanaye na kevalaṃ yathāvuttova doso, atha kho abyāpitopi dosoti dasseti. Tadetaṃ pana akāraṇaṃ kāraṇabhāvasseva anadhippetattā. Na hettha bhūtupādāyarūpabhāvo atītaṃse gaṇanassa kāraṇanti adhippetaṃ, yato yathāvuttadosāpatti siyā.

    ‘‘กินฺตี’’ติ เอตฺถ ‘‘กิ’’นฺติ ปุเพฺพ ยํ ‘‘รูป’’นฺติ สามญฺญโต คหิตํ, ตสฺส สรูปปุจฺฉาฯ อิติ-สโทฺท นิทสฺสนโตฺถ, น การณโตฺถฯ เตนสฺส ยํ รูปํ อตีตํ นิรุทฺธํ…เป.… อตีตํเสน สงฺคหิตํ อตีตโกฎฺฐาเส คณนํ คตํ, ตํ กินฺติ เจ? ‘‘จตฺตาโร จ…เป.… รูป’’นฺติ ภูตุปาทายวิภาคทสฺสนมุเขน วิเสสํ นิทเสฺสติฯ ยตฺตกา หิ อิธ วิเสสา นิทฺทิฎฺฐา จกฺขายตนาทโย, เตสมิทํ นิทสฺสนนฺติฯ น เจตฺถ ปุริมนยโต อวิเสโสฯ ตตฺถ หิ รูปสฺส ภูตุปาทายตามตฺตสภาวทสฺสนตา วุตฺตาฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อตีตรูปมฺปิ ภูตานิ เจวา’’ติอาทิฯ อิธ ปน ภูตุปาทาเยน นิทสฺสนภูเตน รูปสฺส สพฺพวิเสสวิภาวนตา ทสฺสิตาฯ เอวญฺจ กตฺวา อพฺยาปิตโทโสปิ เจตฺถ อโนกาโสว, ยํ รูปํ อชฺฌตฺตํ…เป.… อุปาทินฺนํ, กินฺติ? จตฺตาโร จ…เป.… รูปนฺติ ตทญฺญวิเสสนิทสฺสนสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ ตถา จาห ‘‘เอวํ สพฺพตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพ’’ติฯ

    ‘‘Kintī’’ti ettha ‘‘ki’’nti pubbe yaṃ ‘‘rūpa’’nti sāmaññato gahitaṃ, tassa sarūpapucchā. Iti-saddo nidassanattho, na kāraṇattho. Tenassa yaṃ rūpaṃ atītaṃ niruddhaṃ…pe… atītaṃsena saṅgahitaṃ atītakoṭṭhāse gaṇanaṃ gataṃ, taṃ kinti ce? ‘‘Cattāro ca…pe… rūpa’’nti bhūtupādāyavibhāgadassanamukhena visesaṃ nidasseti. Yattakā hi idha visesā niddiṭṭhā cakkhāyatanādayo, tesamidaṃ nidassananti. Na cettha purimanayato aviseso. Tattha hi rūpassa bhūtupādāyatāmattasabhāvadassanatā vuttā. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘atītarūpampi bhūtāni cevā’’tiādi. Idha pana bhūtupādāyena nidassanabhūtena rūpassa sabbavisesavibhāvanatā dassitā. Evañca katvā abyāpitadosopi cettha anokāsova, yaṃ rūpaṃ ajjhattaṃ…pe… upādinnaṃ, kinti? Cattāro ca…pe… rūpanti tadaññavisesanidassanassa adhippetattā. Tathā cāha ‘‘evaṃ sabbattha attho veditabbo’’ti.

    ปริยายเทสนตฺตาติ สภาวโต ปริยายนํ ปริวตฺตนํ ปริยาโย, อุชุกํ อปฺปวตฺตีติ อโตฺถฯ ปริยาเยน, ปริยายภูตา วา เทสนา เอตฺถาติ ปริยายเทสนํ, สุตฺตนฺตํฯ สุตฺตนฺตญฺหิ เวเนยฺยชฺฌาสยวเสน เทเสตพฺพธเมฺม เลสโต ลพฺภมานภาวกถนํ, น อุชุนิปฺปเทสภาวกถนนฺติ ปริยายเทสนํ นามฯ เตเนว ตํ ‘‘ยถานุโลมสาสน’’นฺติ วุจฺจติฯ อภิธโมฺม ปน เทเสตพฺพธเมฺม อุชุนิปฺปเทสกถนนฺติ นิปฺปริยายเทสนํ นาม, ยโต ‘‘ยถาธมฺมสาสน’’นฺติ วุจฺจติฯ นิจฺฉเยน เทโสติ ววตฺถานโต กถนํฯ ตถา ภเทฺทกรตฺตสุตฺตาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๗๒ อาทโย) วิย อตีตาทิภาโว อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนภาโว อทฺธาวเสน อิธาปิ ขนฺธวิภเงฺค สุตฺตนฺตภาชนียตฺตา นิทฺทิสิตโพฺพ สิยาติ โยชนาฯ

    Pariyāyadesanattāti sabhāvato pariyāyanaṃ parivattanaṃ pariyāyo, ujukaṃ appavattīti attho. Pariyāyena, pariyāyabhūtā vā desanā etthāti pariyāyadesanaṃ, suttantaṃ. Suttantañhi veneyyajjhāsayavasena desetabbadhamme lesato labbhamānabhāvakathanaṃ, na ujunippadesabhāvakathananti pariyāyadesanaṃ nāma. Teneva taṃ ‘‘yathānulomasāsana’’nti vuccati. Abhidhammo pana desetabbadhamme ujunippadesakathananti nippariyāyadesanaṃ nāma, yato ‘‘yathādhammasāsana’’nti vuccati. Nicchayena desoti vavatthānato kathanaṃ. Tathā bhaddekarattasuttādīsu (ma. ni. 3.272 ādayo) viya atītādibhāvo atītānāgatapaccuppannabhāvo addhāvasena idhāpi khandhavibhaṅge suttantabhājanīyattā niddisitabbo siyāti yojanā.

    สนฺนิปติตนฺติ สมาคตํฯ สนฺตานวเสนาติ ปุพฺพาปรวเสนฯ ปุเพฺพนาปรสฺส สมปฺปมาณตาย อนูนํ อนธิกํ, ตโต เอว เอกาการํฯ ปวตฺติกาลวเสน วา อนูนํ อนธิกํ, สมานสภาวตาย เอกาการํฯ เตน วิสภาคอุตุนา อนนฺตริตตํ ทเสฺสติฯ เอวํ อาหาเรปีติ เอตฺถ วิสภาคาหาเรน อนนฺตริโต อเนกวารํ อเนกทิวสมฺปิ ภุโตฺต สภาเคกาหารํ นามฯ ‘‘ตโต ปุเพฺพ วิสภาคอุตุอาหารสมุฎฺฐานํ อตีตํ, ปจฺฉา อนาคต’’นฺติ หิ วุตฺตนฺติฯ ‘‘เอกาหารสมุฎฺฐาน’’นฺติ ปน วุตฺตตฺตา เอกเสฺสว อาหารสฺส โยชนา ยุตฺตรูปาติ อปเรฯ ปญฺจทฺวารวเสนาติ เอตฺถ ปญฺจทฺวาราวชฺชนโต ปฎฺฐาย ยาว ตทารมฺมณํ, ยาว ชวนํ, ยาว วา โวฎฺฐพฺพนํ, ตาว ปวตฺตา จิตฺตสนฺตติ เอกวีถิฯ เอกชวนสมุฎฺฐานนฺติ เอกชวนวารสมุฎฺฐานํฯ เอตฺถ จ สมยํ อนามสิตฺวาว สนฺตติวเสน, สนฺตติญฺจ อนามสิตฺวาว สมยวเสน อตีตาทิวิภาโค คเหตโพฺพฯ

    Sannipatitanti samāgataṃ. Santānavasenāti pubbāparavasena. Pubbenāparassa samappamāṇatāya anūnaṃ anadhikaṃ, tato eva ekākāraṃ. Pavattikālavasena vā anūnaṃ anadhikaṃ, samānasabhāvatāya ekākāraṃ. Tena visabhāgautunā anantaritataṃ dasseti. Evaṃ āhārepīti ettha visabhāgāhārena anantarito anekavāraṃ anekadivasampi bhutto sabhāgekāhāraṃ nāma. ‘‘Tato pubbe visabhāgautuāhārasamuṭṭhānaṃ atītaṃ, pacchā anāgata’’nti hi vuttanti. ‘‘Ekāhārasamuṭṭhāna’’nti pana vuttattā ekasseva āhārassa yojanā yuttarūpāti apare. Pañcadvāravasenāti ettha pañcadvārāvajjanato paṭṭhāya yāva tadārammaṇaṃ, yāva javanaṃ, yāva vā voṭṭhabbanaṃ, tāva pavattā cittasantati ekavīthi. Ekajavanasamuṭṭhānanti ekajavanavārasamuṭṭhānaṃ. Ettha ca samayaṃ anāmasitvāva santativasena, santatiñca anāmasitvāva samayavasena atītādivibhāgo gahetabbo.

    เตสนฺติ เหตุปจฺจยานํฯ กลาปสฺสาติ รูปกลาปสฺสฯ กมฺมานนฺตราทีติ กมฺมาทิ, อนนฺตราทีติ ปเจฺจกํ อาทิ-สโทฺท โยเชตโพฺพฯ ตตฺถ ปฐเมน อาทิสเทฺทน อุปนิสฺสยปจฺจยสฺส อาหาราทิโน จ ทุติเยน สมนนฺตรานนฺตรูปนิสฺสยาทิโน สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ จิตฺตุปฺปาทสฺส เจตฺถ กมฺมานนฺตราทิปจฺจยวเสน, อิตรสฺส กมฺมาทิวเสเนว ชนกภาเว โยชนา ทฎฺฐพฺพาฯ ตถา จิตฺตุปฺปาทสฺส ปุเรชาตวเสน, อิตรสฺส ปจฺฉาชาตวเสน, อุภเยสมฺปิ สหชาตวเสน อุปตฺถมฺภนํ เวทิตพฺพํ ฯ เตเนวาห ‘‘ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพ’’นฺติฯ อุปฺปาทกฺขเณติ เหตุกิจฺจกฺขเณฯ เหตุกิจฺจํ นาม ตสฺส ตสฺส อุปฺปาเทตพฺพสฺส อุปฺปตฺติกรณํ, ตญฺจ ตสฺมิํ ขเณ อุปฺปนฺนผลตฺตา ตโต ปรํ กตฺตพฺพาภาวโต นิฎฺฐิตญฺจาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อิตรํ ปน ตีสุปิ ขเณสุ ปจฺจยกิจฺจํ ทฎฺฐพฺพนฺติ โยชนาฯ

    Tesanti hetupaccayānaṃ. Kalāpassāti rūpakalāpassa. Kammānantarādīti kammādi, anantarādīti paccekaṃ ādi-saddo yojetabbo. Tattha paṭhamena ādisaddena upanissayapaccayassa āhārādino ca dutiyena samanantarānantarūpanissayādino saṅgaho veditabbo. Cittuppādassa cettha kammānantarādipaccayavasena, itarassa kammādivaseneva janakabhāve yojanā daṭṭhabbā. Tathā cittuppādassa purejātavasena, itarassa pacchājātavasena, ubhayesampi sahajātavasena upatthambhanaṃ veditabbaṃ . Tenevāha ‘‘yathāsambhavaṃ yojetabba’’nti. Uppādakkhaṇeti hetukiccakkhaṇe. Hetukiccaṃ nāma tassa tassa uppādetabbassa uppattikaraṇaṃ, tañca tasmiṃ khaṇe uppannaphalattā tato paraṃ kattabbābhāvato niṭṭhitañcāti daṭṭhabbaṃ. Itaraṃ pana tīsupi khaṇesu paccayakiccaṃ daṭṭhabbanti yojanā.

    . อนิฎฺฐนามนิวตฺตนสฺสาติ อนิฎฺฐนามนิวตฺติยา อการณภาวทสฺสเนน อิฎฺฐนามลาภาปนสฺส อการณภาวํ ทเสฺสติฯ

    6. Aniṭṭhanāmanivattanassāti aniṭṭhanāmanivattiyā akāraṇabhāvadassanena iṭṭhanāmalābhāpanassa akāraṇabhāvaṃ dasseti.

    เทวมนุสฺสสมฺปตฺติภเวติ สมฺปตฺติยุเตฺต สมฺปเนฺน เทวมนุสฺสภเวฯ สมิทฺธโสภนตาติ อภิวุทฺธโสภนตาฯ ตโต เอวาติ สมฺปตฺติวิรหโต เอว, อสมฺปนฺนตฺตา เอวาติ อโตฺถฯ เตสํเยว หตฺถิอาทีนํ สุขสฺส เหตุภาวํ น คจฺฉนฺติ สารณาทิวเสน ทุกฺขปจฺจยตฺตาฯ เตสนฺติ หตฺถิรูปาทีนํฯ ‘‘ตสฺส ตเสฺสวา’’ติอาทินา ยถาวุตฺตมตฺถํ วิวรติฯ อกุสเลน อตฺตนา กเตน นิพฺพตฺตํ ทุกฺขสฺส ปจฺจโย โหตีติ โยชนาฯ ตสฺมาติ ยสฺมา กมฺมํ ยสฺมิํ สนฺตาเน นิพฺพตฺตํ, ตเตฺถว สุขทุกฺขานํ ปจฺจโย โหติ, น อญฺญตฺถ, ตสฺมาฯ อฎฺฐกถายํ ปนาติ เอกจฺจมตทสฺสนํฯ ตตฺถ ‘‘อนิฎฺฐํ นาม นตฺถี’’ติ ยสฺมา ปฎิเสธทฺวเยน กุสลกมฺมชสฺส อิฎฺฐภาโว นิยโต, ตสฺมา ‘‘กุสลกมฺมชเมว อิฎฺฐ’’นฺติ เอวํ อนิยเมตฺวา ‘‘กุสลกมฺมชํ อิฎฺฐเมวา’’ติ เอวเมตฺถ นิยโม คเหตโพฺพติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อกุสลกมฺมชมฺปี’’ติอาทิมาหฯ กินฺติ อกุสลกมฺมชํ โสภนํ, ยํ ปเรสํ อิฎฺฐํ นาม สิยา? ยทิ ทุคฺคติยํ เกสญฺจิ ติรจฺฉานานํ สณฺฐานาทิสมฺปตฺติ สุคติยํ สตฺตานํ อกุสลนิสฺสเนฺทน วิรูปรูปตา วิย กุสลนิสฺสเนฺทน, กถํ ตสฺสา อกุสลกมฺมชตาฯ อถ ปน ยํ เกสญฺจิ อมนาปมฺปิ สมานํ รูปํ มนาปํ หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ, เอวมฺปิ ยถา เกสญฺจิ ติรจฺฉานาทีนํ กุสลกมฺมชํ มนุสฺสาทิรูปํ อมนาปโต อุปฎฺฐหนฺตมฺปิ กุสลวิปากเสฺสว อารมฺมณภาวโต อตฺถโต อิฎฺฐเมว นาม โหติ, เอวํ อกุสลกมฺมชํ เกสญฺจิ มนาปํ หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺตมฺปิ อกุสลวิปากเสฺสว อารมฺมณภาวโต อตฺถโต อนิฎฺฐเมว นาม โหติ, เอวเญฺจตํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ อญฺญถา ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ กายทุจฺจริตสฺส อิโฎฺฐ กโนฺต มนาโป วิปาโก อุปฺปเชฺชยฺยา’’ติอาทิอฎฺฐานปาฬิยา (ม. นิ. ๓.๑๓๑) วิโรโธ สิยาฯ เตเนวาห ‘‘กุสลกมฺมชสฺส ปนา’’ติอาทิฯ สเพฺพสนฺติ อตฺตโน, ปเรสญฺจ ฯ อิฎฺฐสฺส อภาโว วตฺตโพฺพติ ยถา ‘‘กุสลกมฺมชํ อนิฎฺฐํ นาม นตฺถี’’ติ วุตฺตํ, เอวํ กิญฺจาปิ ‘‘อกุสลกมฺมชํ อิฎฺฐํ นาม นตฺถี’’ติ อฎฺฐกถายํ น วุตฺตํ, เตน ปน นยทสฺสเนน อกุสลกมฺมชสฺส อภาโว วุโตฺต เอว โหตีติ โส สํวณฺณนาวเสน นิทฺธาเรตฺวา วตฺตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ เอเตน กุสลกมฺมชเมว อิฎฺฐนฺติ ปุริมปทาวธารณสฺส คเหตพฺพตํ ทเสฺสติฯ

    Devamanussasampattibhaveti sampattiyutte sampanne devamanussabhave. Samiddhasobhanatāti abhivuddhasobhanatā. Tato evāti sampattivirahato eva, asampannattā evāti attho. Tesaṃyeva hatthiādīnaṃ sukhassa hetubhāvaṃ na gacchanti sāraṇādivasena dukkhapaccayattā. Tesanti hatthirūpādīnaṃ. ‘‘Tassa tassevā’’tiādinā yathāvuttamatthaṃ vivarati. Akusalena attanā katena nibbattaṃ dukkhassa paccayo hotīti yojanā. Tasmāti yasmā kammaṃ yasmiṃ santāne nibbattaṃ, tattheva sukhadukkhānaṃ paccayo hoti, na aññattha, tasmā. Aṭṭhakathāyaṃ panāti ekaccamatadassanaṃ. Tattha ‘‘aniṭṭhaṃ nāma natthī’’ti yasmā paṭisedhadvayena kusalakammajassa iṭṭhabhāvo niyato, tasmā ‘‘kusalakammajameva iṭṭha’’nti evaṃ aniyametvā ‘‘kusalakammajaṃ iṭṭhamevā’’ti evamettha niyamo gahetabboti dassento ‘‘akusalakammajampī’’tiādimāha. Kinti akusalakammajaṃ sobhanaṃ, yaṃ paresaṃ iṭṭhaṃ nāma siyā? Yadi duggatiyaṃ kesañci tiracchānānaṃ saṇṭhānādisampatti sugatiyaṃ sattānaṃ akusalanissandena virūparūpatā viya kusalanissandena, kathaṃ tassā akusalakammajatā. Atha pana yaṃ kesañci amanāpampi samānaṃ rūpaṃ manāpaṃ hutvā upaṭṭhāti, taṃ sandhāya vuttaṃ, evampi yathā kesañci tiracchānādīnaṃ kusalakammajaṃ manussādirūpaṃ amanāpato upaṭṭhahantampi kusalavipākasseva ārammaṇabhāvato atthato iṭṭhameva nāma hoti, evaṃ akusalakammajaṃ kesañci manāpaṃ hutvā upaṭṭhahantampi akusalavipākasseva ārammaṇabhāvato atthato aniṭṭhameva nāma hoti, evañcetaṃ sampaṭicchitabbaṃ. Aññathā ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ kāyaduccaritassa iṭṭho kanto manāpo vipāko uppajjeyyā’’tiādiaṭṭhānapāḷiyā (ma. ni. 3.131) virodho siyā. Tenevāha ‘‘kusalakammajassa panā’’tiādi. Sabbesanti attano, paresañca . Iṭṭhassa abhāvo vattabboti yathā ‘‘kusalakammajaṃ aniṭṭhaṃ nāma natthī’’ti vuttaṃ, evaṃ kiñcāpi ‘‘akusalakammajaṃ iṭṭhaṃ nāma natthī’’ti aṭṭhakathāyaṃ na vuttaṃ, tena pana nayadassanena akusalakammajassa abhāvo vutto eva hotīti so saṃvaṇṇanāvasena niddhāretvā vattabboti adhippāyo. Etena kusalakammajameva iṭṭhanti purimapadāvadhāraṇassa gahetabbataṃ dasseti.

    อิทานิ ‘‘หตฺถิอาทีนมฺปี’’ติอาทินา ตเมวตฺถํ วิวรติฯ กุสลวิปากสฺสาติ เอตฺถาปิ กุสลวิปากเสฺสว อารมฺมณนฺติ อโตฺถฯ มนุสฺสานนฺติ จ นิทสฺสนมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ อิตเรสมฺปิ จ อกุสลกมฺมชํ อกุสลวิปากเสฺสว, กุสลกมฺมชญฺจ กุสลวิปากเสฺสว อารมฺมณนฺติ ทสฺสิโตวายํ นโยติฯ กสฺมา ปน อิฎฺฐานิฎฺฐมิสฺสิเต วตฺถุมฺหิ มนาปตาว สณฺฐาตีติ อาห ‘‘อิฎฺฐารมฺมเณน…เป.… สกฺกา วตฺตุ’’นฺติฯ สุฎฺฐุ วุตฺตนฺติ ‘‘อิฎฺฐานิฎฺฐํ เอกนฺตโต วิปาเกเนว ปริจฺฉิชฺชตี’’ติ วทเนฺตหิ อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมณววตฺถานํ สมฺมเทว วุตฺตํฯ ตํ อนุคนฺตฺวาติ วิปากวเสน อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมณววตฺถานํ อนุคนฺตฺวาฯ สพฺพตฺถาติ สุคติทุคฺคตีสุ, สเพฺพสุ วา อารมฺมเณสุฯ

    Idāni ‘‘hatthiādīnampī’’tiādinā tamevatthaṃ vivarati. Kusalavipākassāti etthāpi kusalavipākasseva ārammaṇanti attho. Manussānanti ca nidassanamattaṃ daṭṭhabbaṃ. Itaresampi ca akusalakammajaṃ akusalavipākasseva, kusalakammajañca kusalavipākasseva ārammaṇanti dassitovāyaṃ nayoti. Kasmā pana iṭṭhāniṭṭhamissite vatthumhi manāpatāva saṇṭhātīti āha ‘‘iṭṭhārammaṇena…pe… sakkā vattu’’nti. Suṭṭhu vuttanti ‘‘iṭṭhāniṭṭhaṃ ekantato vipākeneva paricchijjatī’’ti vadantehi iṭṭhāniṭṭhārammaṇavavatthānaṃ sammadeva vuttaṃ. Taṃ anugantvāti vipākavasena iṭṭhāniṭṭhārammaṇavavatthānaṃ anugantvā. Sabbatthāti sugatiduggatīsu, sabbesu vā ārammaṇesu.

    ‘‘อนิฎฺฐา’’ติ วจเนเนว เตสํ อิฎฺฐตา นิวตฺติตาติ อาห ‘‘สทิสตา จ รูปาทิภาโวเยวา’’ติฯ อิฎฺฐาเนว รูปาทีนิ กามคุณาติ สุเตฺต วุตฺตานีติ มิตฺตปฎิปโกฺข อมิโตฺต วิย อิฎฺฐปฎิปกฺขา อนิฎฺฐาติ อธิเปฺปตาติ วุตฺตํ ‘‘อนิฎฺฐาติ…เป.… โวหาโร วิยา’’ติฯ สพฺพานิ วาติ เอตฺถ ‘‘ปิยรูปํ สาตรูป’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๔๐๐; ม. นิ. ๑.๑๓๓; วิภ. ๒๐๓) วจนโต กถํ อนิฎฺฐานํ รูปาทีนํ กามคุณภาวาปตฺตีติ เจ? เตสมฺปิ วิปลฺลาสวเสน ตณฺหาวตฺถุภาวโต ปิยรูปภาวสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ ยทิ เอวํ กถํ ‘‘จกฺขุวิเญฺญยฺยานิ รูปานิ อิฎฺฐานี’’ติอาทิสุตฺตปทํ (ม. นิ. ๑.๑๖๖; ๒.๑๕๕; ๓.๕๗; สํ. นิ. ๕.๓๐) นียตีติ อาห ‘‘อติสเยนา’’ติอาทิฯ

    ‘‘Aniṭṭhā’’ti vacaneneva tesaṃ iṭṭhatā nivattitāti āha ‘‘sadisatā ca rūpādibhāvoyevā’’ti. Iṭṭhāneva rūpādīni kāmaguṇāti sutte vuttānīti mittapaṭipakkho amitto viya iṭṭhapaṭipakkhā aniṭṭhāti adhippetāti vuttaṃ ‘‘aniṭṭhāti…pe… vohāro viyā’’ti. Sabbāni vāti ettha ‘‘piyarūpaṃ sātarūpa’’nti (dī. ni. 2.400; ma. ni. 1.133; vibha. 203) vacanato kathaṃ aniṭṭhānaṃ rūpādīnaṃ kāmaguṇabhāvāpattīti ce? Tesampi vipallāsavasena taṇhāvatthubhāvato piyarūpabhāvassa adhippetattā. Yadi evaṃ kathaṃ ‘‘cakkhuviññeyyāni rūpāni iṭṭhānī’’tiādisuttapadaṃ (ma. ni. 1.166; 2.155; 3.57; saṃ. ni. 5.30) nīyatīti āha ‘‘atisayenā’’tiādi.

    อินฺทฺริยพทฺธรูปวเสน ปาฬิยํ หีนทุกนิเทฺทโส ปวโตฺตติ ทเสฺสตุํ ‘‘ทฺวีสุปิ หีนปณีตปเทสู’’ติอาทิมาหฯ อวยวโยเค สามิวจนํ, น กตฺตรีติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘เตสํ เตสํ สตฺตาน’’นฺติ อินฺทฺริยพทฺธรูเป นิทฺทิเฎฺฐ กสฺมา กมฺมชวเสน อโตฺถ วุโตฺต, น จตุสนฺตติวเสนาติ อาห ‘‘สตฺตสนฺตาน…เป.… วุตฺต’’นฺติฯ ปธานตฺตา หิ กมฺมชวเสน อตฺถํ วตฺวา เสเสสุ ‘‘เอวํ อุตุสมุฎฺฐานาทีสุปี’’ติ อฎฺฐกถายํ อติเทโส กโต ฯ ‘‘เตหิ เตหีติ เอตสฺมิํ อเตฺถ’’ติ อิมินา ‘‘เตสํ เตส’’นฺติ กตฺตริ สามิวจนํ อาสงฺกติฯ ตถา สติ วิสเย วา สามิวจเน ลทฺธคุณํ ทเสฺสติ ‘‘น กมฺมชวเสเนวา’’ติอาทินา, กมฺมชคฺคหณเญฺจตฺถ อุปลกฺขณํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Indriyabaddharūpavasena pāḷiyaṃ hīnadukaniddeso pavattoti dassetuṃ ‘‘dvīsupi hīnapaṇītapadesū’’tiādimāha. Avayavayoge sāmivacanaṃ, na kattarīti adhippāyo. ‘‘Tesaṃ tesaṃ sattāna’’nti indriyabaddharūpe niddiṭṭhe kasmā kammajavasena attho vutto, na catusantativasenāti āha ‘‘sattasantāna…pe… vutta’’nti. Padhānattā hi kammajavasena atthaṃ vatvā sesesu ‘‘evaṃ utusamuṭṭhānādīsupī’’ti aṭṭhakathāyaṃ atideso kato . ‘‘Tehi tehīti etasmiṃ atthe’’ti iminā ‘‘tesaṃ tesa’’nti kattari sāmivacanaṃ āsaṅkati. Tathā sati visaye vā sāmivacane laddhaguṇaṃ dasseti ‘‘na kammajavasenevā’’tiādinā, kammajaggahaṇañcettha upalakkhaṇaṃ daṭṭhabbaṃ.

    มริยาทาภูตนฺติ อุตฺตมมริยาทาภูตํฯ เตเนวาห ‘‘ยสฺส เยว มนาปา, ตสฺส เตว ปรมา’’ติฯ เตสนฺติ กามคุณานํฯ สภาวโตติ ลกฺขณโตฯ

    Mariyādābhūtanti uttamamariyādābhūtaṃ. Tenevāha ‘‘yassa yeva manāpā, tassa teva paramā’’ti. Tesanti kāmaguṇānaṃ. Sabhāvatoti lakkhaṇato.

    ‘‘เอกสฺมิํเยว อสฺสาทนกุชฺฌนโต’’ติอาทินา ‘‘ยสฺมา เตเยว รูปาทโย เอโก อสฺสาเทตี’’ติอาทิกํ สุตฺตนฺตวิวรณํ อิฎฺฐานิฎฺฐภาเว เหตุภาเวน วุตฺตนฺติ ทเสฺสติฯ อิฎฺฐานิฎฺฐคฺคหณํ โหตีติ นิพฺพาเน วิย อนิฎฺฐคฺคหณํ สญฺญาวิปลฺลาเสน อเญฺญสุปิ อารมฺมเณสุ อิฎฺฐานิฎฺฐาภินิเวโส โหตีติ อธิปฺปาโยฯ

    ‘‘Ekasmiṃyeva assādanakujjhanato’’tiādinā ‘‘yasmā teyeva rūpādayo eko assādetī’’tiādikaṃ suttantavivaraṇaṃ iṭṭhāniṭṭhabhāve hetubhāvena vuttanti dasseti. Iṭṭhāniṭṭhaggahaṇaṃ hotīti nibbāne viya aniṭṭhaggahaṇaṃ saññāvipallāsena aññesupi ārammaṇesu iṭṭhāniṭṭhābhiniveso hotīti adhippāyo.

    วิภาโค นาม อสงฺกโร, วิตฺถาโร จาติ ‘‘วิภตฺต’’นฺติ ปทสฺส ‘‘ววตฺถิตํ, ปกาสิต’’นฺติ จ อตฺถมาหฯ อเญฺญสนฺติ อติอฑฺฒทลิทฺทานํฯ อิทํ อิฎฺฐํ, อนิฎฺฐญฺจ โหตีติ เอตฺถ -สเทฺทน อนิฎฺฐํ, อิฎฺฐญฺจ โหตีติ อยมฺปิ อโตฺถ วุโตฺตติ เวทิตพฺพํฯ อนิฎฺฐํ อิฎฺฐนฺติ อิฎฺฐสฺส ‘‘อนิฎฺฐ’’นฺติ, อนิฎฺฐสฺส ‘‘อิฎฺฐ’’นฺติ คหเณ ยถาสงฺขฺยํ โยชนาฯ อินฺทฺริยวิการาปตฺติอาทินาติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ปุพฺพาภิสงฺขาราทิํ สงฺคณฺหาติฯ ปุเรตรํ ปวตฺตจิตฺตาภิสงฺขารวเสนาปิ หิ วินาว สญฺญาวิปลฺลาสํ อิฎฺฐํ ‘‘อนิฎฺฐ’’นฺติ, อนิฎฺฐญฺจ ‘‘อิฎฺฐ’’นฺติ คยฺหตีติฯ

    Vibhāgo nāma asaṅkaro, vitthāro cāti ‘‘vibhatta’’nti padassa ‘‘vavatthitaṃ, pakāsita’’nti ca atthamāha. Aññesanti atiaḍḍhadaliddānaṃ. Idaṃ iṭṭhaṃ, aniṭṭhañca hotīti ettha ca-saddena aniṭṭhaṃ, iṭṭhañca hotīti ayampi attho vuttoti veditabbaṃ. Aniṭṭhaṃ iṭṭhanti iṭṭhassa ‘‘aniṭṭha’’nti, aniṭṭhassa ‘‘iṭṭha’’nti gahaṇe yathāsaṅkhyaṃ yojanā. Indriyavikārāpattiādināti ettha ādi-saddena pubbābhisaṅkhārādiṃ saṅgaṇhāti. Puretaraṃ pavattacittābhisaṅkhāravasenāpi hi vināva saññāvipallāsaṃ iṭṭhaṃ ‘‘aniṭṭha’’nti, aniṭṭhañca ‘‘iṭṭha’’nti gayhatīti.

    เตน วิปาเกนาติ เตน กุสลากุสลวิปาเกนฯ อารมฺมณสฺส อิฎฺฐานิฎฺฐตนฺติ ยตฺถ ตํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส พุทฺธรูปาทิกสฺส คูถาทิกสฺส จ อารมฺมณสฺส ยถากฺกมํ อิฎฺฐตํ อนิฎฺฐตญฺจ นิทเสฺสติฯ วิชฺชมาเนปิ สญฺญาวิปลฺลาเส อารมฺมเณน วิปากนิยมทสฺสนนฺติ อิฎฺฐารมฺมเณ กุสลวิปาโกว อุปฺปชฺชติ, อนิฎฺฐารมฺมเณ อกุสลวิปาโกวาติ เอวํ อารมฺมเณน วิปากนิยมทสฺสนํฯ อารมฺมณนิยมทสฺสนตฺถนฺติ ยํ กุสลวิปากสฺส อารมฺมณํ, ตํ อิฎฺฐํ นามฯ ยํ อกุสลวิปากสฺส อารมฺมณํ, ตํ อนิฎฺฐํ นามาติ ทสฺสนตฺถํฯ อารมฺมเณน นิยามิโต หิ วิปาโก อตฺตโน อุปการกสฺส อารมฺมณสฺส นิยามโก โหตีติฯ

    Tena vipākenāti tena kusalākusalavipākena. Ārammaṇassa iṭṭhāniṭṭhatanti yattha taṃ uppajjati, tassa buddharūpādikassa gūthādikassa ca ārammaṇassa yathākkamaṃ iṭṭhataṃ aniṭṭhatañca nidasseti. Vijjamānepi saññāvipallāse ārammaṇena vipākaniyamadassananti iṭṭhārammaṇe kusalavipākova uppajjati, aniṭṭhārammaṇe akusalavipākovāti evaṃ ārammaṇena vipākaniyamadassanaṃ. Ārammaṇaniyamadassanatthanti yaṃ kusalavipākassa ārammaṇaṃ, taṃ iṭṭhaṃ nāma. Yaṃ akusalavipākassa ārammaṇaṃ, taṃ aniṭṭhaṃ nāmāti dassanatthaṃ. Ārammaṇena niyāmito hi vipāko attano upakārakassa ārammaṇassa niyāmako hotīti.

    ทฺวารนฺตเร ทุกฺขสฺส ปจฺจยภูตสฺส อารมฺมณสฺส ทฺวารนฺตเร สุขวิปากุปฺปาทนโต, ทฺวารนฺตเร สุขสฺส ปจฺจยภูตสฺส อารมฺมณสฺส ทฺวารนฺตเร ทุกฺขวิปากุปฺปาทนโต วิปาเกน อารมฺมณนิยมทสฺสเนน วิปากวเสน อิฎฺฐานิฎฺฐตา ทสฺสิตาติ โยชนาฯ

    Dvārantare dukkhassa paccayabhūtassa ārammaṇassa dvārantare sukhavipākuppādanato, dvārantare sukhassa paccayabhūtassa ārammaṇassa dvārantare dukkhavipākuppādanato vipākena ārammaṇaniyamadassanena vipākavasena iṭṭhāniṭṭhatā dassitāti yojanā.

    . ทุปฺปริคฺคหเฎฺฐน การณภูเตน ลกฺขณสฺส อินฺทฺริยาทิสภาวสฺส ทุปฺปฎิวิชฺฌตา, เอวํ สุปริคฺคหเฎฺฐน ลกฺขณสุปฺปฎิวิชฺฌตา เวทิตพฺพาฯ ‘‘ทูเร’’ติ อวุตฺตสฺสาติ ลกฺขณโต ‘‘ทูเร’’ติ อกถิตสฺสฯ วุตฺตมฺปีติ ลกฺขณโต ‘‘ทูเร’’ติ วุตฺตมฺปิ สุขุมรูปํฯ

    7. Duppariggahaṭṭhena kāraṇabhūtena lakkhaṇassa indriyādisabhāvassa duppaṭivijjhatā, evaṃ supariggahaṭṭhena lakkhaṇasuppaṭivijjhatā veditabbā. ‘‘Dūre’’ti avuttassāti lakkhaṇato ‘‘dūre’’ti akathitassa. Vuttampīti lakkhaṇato ‘‘dūre’’ti vuttampi sukhumarūpaṃ.

    ‘‘ภินฺทมาโน’’ติ สมฺภินฺทมาโนติ วุตฺตํ โหตีติ อาห ‘‘มิสฺสกํ กโรโนฺต’’ติฯ ยสฺมา ปน เภทนํ วิภาคกรณมฺปิ โหติ, ตสฺมา ทุติยวิกเปฺป ‘‘ภินฺทมาโน’’ติ ปทสฺส ‘‘วิสุํ กโรโนฺต’’ติ อตฺถมาหฯ ตติยวิกเปฺป ปน ภินฺทมาโนติ วินาเสโนฺตติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘สนฺติกภาวํ ภินฺทิตฺวา ทูรภาวํ, ทูรภาวญฺจ ภินฺทิตฺวา สนฺติกภาวํ กโรโนฺต’’ติฯ น หิ สกฺกา สนฺติกสฺส ตพฺภาวํ อวินาเสตฺวา ทูรภาวํ กาตุํ, ตถา อิตรสฺสาปิฯ สนฺติกภาวกรเณน น ภินฺทติ น วินาเสติ, น จ โอกาสทูรโต ลกฺขณโต ทูรํ วิสุํ กรเณน ภินฺทติ วิภาคํ กโรติ, นาปิ โอกาสทูเรน ลกฺขณโต ทูรํ โวมิสฺสกกรเณน ภินฺทติ สมฺภินฺทตีติ โยชนาฯ ‘‘ติธา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ สเงฺขเปน วุตฺตมตฺถํ ‘‘น หี’’ติอาทินา วิวรติฯ วิสุํ กโรติ, โวมิสฺสกํ กโรตีติ กโรติ-สทฺทํ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ ‘‘เอตฺถาปี’’ติอาทินา ยถา ‘‘โอกาสโต ทูรเมว ภินฺทตี’’ติ เอตฺถ โอกาสโต ทูรสฺส โอกาสโต สนฺติกภาวกรณํ อธิเปฺปตนฺติ วินาสนํ เภทนํ, เอวํ ‘‘น ลกฺขณโต ทูรํ ภินฺทตี’’ติ เอตฺถาปิ ลกฺขณโต ทูรสฺส ลกฺขณโต สนฺติกภาวากรณํ อเภทนํ อวินาสนนฺติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติฯ โวมิสฺสกกรณวิภาคกรณตฺถตํ สนฺธายาห ‘‘ภินฺทมาโนติ เอตฺถ จ อญฺญถา เภทนํ วุตฺต’’นฺติฯ ปจฺฉิมนเย วินาสนตฺถเมว สนฺธาย ‘‘เภทนํ อิธ จ อญฺญถา วุตฺต’’นฺติ อโวจฯ

    ‘‘Bhindamāno’’ti sambhindamānoti vuttaṃ hotīti āha ‘‘missakaṃ karonto’’ti. Yasmā pana bhedanaṃ vibhāgakaraṇampi hoti, tasmā dutiyavikappe ‘‘bhindamāno’’ti padassa ‘‘visuṃ karonto’’ti atthamāha. Tatiyavikappe pana bhindamānoti vināsentoti attho. Tenāha ‘‘santikabhāvaṃ bhinditvā dūrabhāvaṃ, dūrabhāvañca bhinditvā santikabhāvaṃ karonto’’ti. Na hi sakkā santikassa tabbhāvaṃ avināsetvā dūrabhāvaṃ kātuṃ, tathā itarassāpi. Santikabhāvakaraṇena na bhindati na vināseti, na ca okāsadūrato lakkhaṇato dūraṃ visuṃ karaṇena bhindati vibhāgaṃ karoti, nāpi okāsadūrena lakkhaṇato dūraṃ vomissakakaraṇena bhindati sambhindatīti yojanā. ‘‘Tidhā attho daṭṭhabbo’’ti saṅkhepena vuttamatthaṃ ‘‘na hī’’tiādinā vivarati. Visuṃ karoti, vomissakaṃ karotīti karoti-saddaṃ ānetvā sambandho. ‘‘Etthāpī’’tiādinā yathā ‘‘okāsato dūrameva bhindatī’’ti ettha okāsato dūrassa okāsato santikabhāvakaraṇaṃ adhippetanti vināsanaṃ bhedanaṃ, evaṃ ‘‘na lakkhaṇato dūraṃ bhindatī’’ti etthāpi lakkhaṇato dūrassa lakkhaṇato santikabhāvākaraṇaṃ abhedanaṃ avināsananti imamatthaṃ dasseti. Vomissakakaraṇavibhāgakaraṇatthataṃ sandhāyāha ‘‘bhindamānoti ettha ca aññathā bhedanaṃ vutta’’nti. Pacchimanaye vināsanatthameva sandhāya ‘‘bhedanaṃ idha ca aññathā vutta’’nti avoca.

    รูปกฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Rūpakkhandhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒. เวทนากฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา

    2. Vedanākkhandhaniddesavaṇṇanā

    . จกฺขาทโย ปสาทาติ โอฬาริกตฺตภาวปริยาปนฺนา จกฺขุโสตฆานชิวฺหาปสาทา, มโนมยตฺตภาวปริยาปนฺนา จกฺขุโสตปฺปสาทา จฯ กายโวหารํ อรหนฺตีติ กายโนฺตคธตฺตา กาเยกเทสตฺตา จ กาโยติ วตฺตพฺพตํ อรหนฺติฯ กาโยติ หิ อตฺตภาโวปิ วุจฺจติ ‘‘สกฺกายทิฎฺฐี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๑; ๓.๑๕๕), กรชกาโยปิ ‘‘โส อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินาตี’’ติอาทีสุ (ปฎิ. ม. ๓.๑๔)ฯ ตพฺพตฺถุกาติ จกฺขาทินิสฺสิตา กายิกาติ ปริยาเยน วุตฺตา, นิปฺปริยาเยน ปน เจตสิกาวฯ ยถาห ‘‘ยํ ตสฺมิํ สมเย ตชฺชาจกฺขุวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชํ เจตสิกํ เนว สาตํ นาสาตํ เจโตสมฺผสฺสชํ อทุกฺขมสุขํ เวทยิต’’นฺติอาทิ (ธ. ส. ๑๕๒)ฯ ‘‘น หิ จกฺขาทโย กายปฺปสาทา โหนฺตี’’ติ อิมินา กายปสาทนิสฺสิตา เวทนา นิปฺปริยาเยน กายิกาติ ทเสฺสติฯ กายิกเจตสิกาทิภาเวนาติ อาทิ-สเทฺทน กุสลากุสลาพฺยากตาทิภาวา สงฺคยฺหนฺติฯ เตนาติ สุขาทิเวทเนกเทสสฺส อทฺธาสมยวเสน อตีตาทิภาวาภาเวนฯ เกจิ ปเนตฺถ ‘‘เหฎฺฐา ทสฺสิตนยตฺตา ปากฎตฺตา อทฺธาวเสน, เอกมุหุตฺตาทิปุพฺพณฺหาทีสุ อุตุอาทินา รูปสฺส วิย เวทนาย วิภาโค น คยฺหตีติ สมยวเสน จ อตีตาทิเภโท น ทสฺสิโต’’ติ วทนฺติฯ สนฺตานวเสน ปวตฺตานมฺปิ เวทนานํ จิเตฺตน สมูหโต คเหตพฺพตํ สนฺธายาห ‘‘เวทนาสมุทาโย’’ติฯ เตหีติ อทฺธาสมยวเสน อตีตาทิภาเวหิฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ วิภเงฺคฯ เตติ ‘‘เวทเนกเทสา’’ติ วุตฺตา กายิกเจตสิกาทิภาเวน ภินฺนา สุขาทิเวทนาวิเสสาฯ ยทิ เวทเนกเทสา เอตฺถ คหิตา, ขณปริจฺฉินฺนาว เต คเหตพฺพา, น สนฺตติปริจฺฉินฺนาติ อาห ‘‘เอกสนฺตติยํ ปนา’’ติอาทิฯ เตสูติ สุขาทิเภเทสุฯ เภโทติ วิเสโสฯ ตสฺสาติ สุขาทิวิเสสสฺสฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ ‘‘ตํสหิตตทุปฺปาทกา’’ติ เอตฺถาปิ ตํ-สเทฺทน สุขาทิวิเสโส ปจฺจามโฎฺฐติ เวทิตโพฺพฯ สนฺตติ ปริเจฺฉทิกา ภวิตุํ อรหตีติ สมฺพโนฺธฯ สนฺตติขณวเสเนว ปริเจฺฉโท วุโตฺต, น อทฺธาสมยวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ

    8. Cakkhādayopasādāti oḷārikattabhāvapariyāpannā cakkhusotaghānajivhāpasādā, manomayattabhāvapariyāpannā cakkhusotappasādā ca. Kāyavohāraṃ arahantīti kāyantogadhattā kāyekadesattā ca kāyoti vattabbataṃ arahanti. Kāyoti hi attabhāvopi vuccati ‘‘sakkāyadiṭṭhī’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.21; 3.155), karajakāyopi ‘‘so imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimminātī’’tiādīsu (paṭi. ma. 3.14). Tabbatthukāti cakkhādinissitā kāyikāti pariyāyena vuttā, nippariyāyena pana cetasikāva. Yathāha ‘‘yaṃ tasmiṃ samaye tajjācakkhuviññāṇadhātusamphassajaṃ cetasikaṃ neva sātaṃ nāsātaṃ cetosamphassajaṃ adukkhamasukhaṃ vedayita’’ntiādi (dha. sa. 152). ‘‘Na hi cakkhādayo kāyappasādā hontī’’ti iminā kāyapasādanissitā vedanā nippariyāyena kāyikāti dasseti. Kāyikacetasikādibhāvenāti ādi-saddena kusalākusalābyākatādibhāvā saṅgayhanti. Tenāti sukhādivedanekadesassa addhāsamayavasena atītādibhāvābhāvena. Keci panettha ‘‘heṭṭhā dassitanayattā pākaṭattā addhāvasena, ekamuhuttādipubbaṇhādīsu utuādinā rūpassa viya vedanāya vibhāgo na gayhatīti samayavasena ca atītādibhedo na dassito’’ti vadanti. Santānavasena pavattānampi vedanānaṃ cittena samūhato gahetabbataṃ sandhāyāha ‘‘vedanāsamudāyo’’ti. Tehīti addhāsamayavasena atītādibhāvehi. Etthāti etasmiṃ vibhaṅge. Teti ‘‘vedanekadesā’’ti vuttā kāyikacetasikādibhāvena bhinnā sukhādivedanāvisesā. Yadi vedanekadesā ettha gahitā, khaṇaparicchinnāva te gahetabbā, na santatiparicchinnāti āha ‘‘ekasantatiyaṃ panā’’tiādi. Tesūti sukhādibhedesu. Bhedoti viseso. Tassāti sukhādivisesassa. Yathā cettha, evaṃ ‘‘taṃsahitataduppādakā’’ti etthāpi taṃ-saddena sukhādiviseso paccāmaṭṭhoti veditabbo. Santati paricchedikā bhavituṃ arahatīti sambandho. Santatikhaṇavaseneva paricchedo vutto, na addhāsamayavasenāti adhippāyo.

    ‘‘ปุพฺพนฺตาปรนฺตมชฺฌคตา’’ติ นิฎฺฐิตเหตุกิจฺจา อนิฎฺฐิตปจฺจยกิจฺจาติ วุตฺตา, ตํ ปน อติกฺกนฺตเหตุปจฺจยกิจฺจนฺติ เอวํ วุตฺตสฺส นยสฺส อุปลกฺขณนฺติ อาห ‘‘ปุพฺพนฺตาปรนฺตมชฺฌคตาติ เอเตน เหตุปจฺจยกิจฺจวเสน วุตฺตนยํ ทเสฺสตี’’ติฯ เอตฺถ กุสลากุสลกิริยเวทนานํ รูปสฺส วิย, วิปากานํ วิย จ อยํ นาม ชนกเหตูติ นิปฺปริยาเยน น สกฺกา วตฺตุํ, ปริยาเยน ปน อนนฺตรปจฺจยภูโต เหตูติ วตฺตโพฺพฯ

    ‘‘Pubbantāparantamajjhagatā’’ti niṭṭhitahetukiccā aniṭṭhitapaccayakiccāti vuttā, taṃ pana atikkantahetupaccayakiccanti evaṃ vuttassa nayassa upalakkhaṇanti āha ‘‘pubbantāparantamajjhagatāti etena hetupaccayakiccavasena vuttanayaṃ dassetī’’ti. Ettha kusalākusalakiriyavedanānaṃ rūpassa viya, vipākānaṃ viya ca ayaṃ nāma janakahetūti nippariyāyena na sakkā vattuṃ, pariyāyena pana anantarapaccayabhūto hetūti vattabbo.

    ๑๑. สนฺตาปนกิจฺจนฺติ ปริฑหนกิจฺจํฯ ชาติอาทิสงฺกรนฺติ ชาติสภาวปุคฺคลโลกิยโลกุตฺตรโต สงฺกรํ สเมฺภทํ อกตฺวาฯ สมานชาติยนฺติ เอกชาติยํฯ สุขโต ตชฺชาติยา อทุกฺขมสุขา ปณีตาติ โยเชตพฺพาติ สมฺพโนฺธฯ สมานเภเทติ ภูมนฺตราทิสมานวิภาเคฯ อุปพฺรูหิตานํ ธาตูนนฺติ อุฬารรูปสมุฎฺฐาปเนน ปณีตานํ รูปธมฺมานํฯ วิพาธิตานนฺติ นิปฺปีฬิตานํ มิลาปิตานํฯ อุภยนฺติ สุขาทิทฺวยํฯ เอตฺถ จ โขภนา, อาลุฬนา จ กายิกสุขสฺส วเสน เวทิตพฺพาฯ อภิสนฺทนา ฌานสุขสฺสฯ มทยนา กามสุขสฺสฯ ตถา ฉาทนาฯ อาสิญฺจนา สพฺพสฺสฯ ฉาทนา อาสิญฺจนา วา สพฺพสฺส วเสน เวทิตพฺพาฯ

    11. Santāpanakiccanti pariḍahanakiccaṃ. Jātiādisaṅkaranti jātisabhāvapuggalalokiyalokuttarato saṅkaraṃ sambhedaṃ akatvā. Samānajātiyanti ekajātiyaṃ. Sukhato tajjātiyā adukkhamasukhā paṇītāti yojetabbāti sambandho. Samānabhedeti bhūmantarādisamānavibhāge. Upabrūhitānaṃ dhātūnanti uḷārarūpasamuṭṭhāpanena paṇītānaṃ rūpadhammānaṃ. Vibādhitānanti nippīḷitānaṃ milāpitānaṃ. Ubhayanti sukhādidvayaṃ. Ettha ca khobhanā, āluḷanā ca kāyikasukhassa vasena veditabbā. Abhisandanā jhānasukhassa. Madayanā kāmasukhassa. Tathā chādanā. Āsiñcanā sabbassa. Chādanā āsiñcanā vā sabbassa vasena veditabbā.

    สภาวาทิเภเทน จาติ สภาวปุคฺคลโลกิยาทิเภเทน จฯ เอกนฺตปณีเต โลกุตฺตเร หีนปณีตานํ ปฎิปทานํ วเสน หีนปณีตตาฯ เอกนฺตหีเน อกุสเล ฉนฺทาทิวเสน หีนปณีตตา, โอฬาริกสุขุมตา จฯ ตถา หิ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘ยา โอฬาริกา, สา หีนาฯ ยา สุขุมา, สา ปณีตา’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๑๑)ฯ อกุสลาทีสุ โทสสหคตาทิอนฺตรเภทวเสน อุปาทายุปาทาย โอฬาริกสุขุมตา ตํตํวาปนวเสน วุจฺจติ, น กุสลากุสลาทิวเสนาติ อาห ‘‘ตํตํวาปนวเสน กถเนปิ ปริวตฺตนํ นตฺถี’’ติฯ โทสุสฺสนฺนตายาติ กิเลสาธิกตายฯ ตถาติ โทสุสฺสนฺนตายฯ กถํ ปน กุสเลสุ โทสุสฺสนฺนตา? อุปนิสฺสยวเสน, กิเลสาธิเกหิ สนฺตาเน ปวตฺตมานา กุสลา ธมฺมา กิเลเสหิ สมฺพาธปฺปตฺติยา ติณาทีหิ สมฺพาธปฺปตฺตานิ วิย สสฺสานิ วิปุลผลอุฬารผลา น โหนฺตีติฯ ตถาติ มนฺทโทสตายฯ กุสลานํ มนฺทโทสตาปิ วุตฺตนยานุสาเรน เวทิตพฺพาฯ โอฬาริกสุขุมนิกนฺตีติ เอตฺถ อโนฺตคธวิเสสํ นิกนฺติยา โอฬาริกสุขุมตาสามญฺญํ วุตฺตํฯ ยถา เหตฺถ โอฬาริกสามเญฺญน โอฬาริโกฬาริกตโรฬาริกตมา นิกนฺติโย คยฺหนฺติ, ตถา สุขุมสุขุมตรสุขุมตมา สุขุมตาสามเญฺญน คยฺหนฺตีติฯ สุขุมตมนิกนฺติวตฺถุนฺติ เจตฺถ ยาว ภวคฺคํ วิปสฺสนาญาณญฺจ เวทิตพฺพํฯ

    Sabhāvādibhedena cāti sabhāvapuggalalokiyādibhedena ca. Ekantapaṇīte lokuttare hīnapaṇītānaṃ paṭipadānaṃ vasena hīnapaṇītatā. Ekantahīne akusale chandādivasena hīnapaṇītatā, oḷārikasukhumatā ca. Tathā hi vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yā oḷārikā, sā hīnā. Yā sukhumā, sā paṇītā’’ti (vibha. aṭṭha. 11). Akusalādīsu dosasahagatādiantarabhedavasena upādāyupādāya oḷārikasukhumatā taṃtaṃvāpanavasena vuccati, na kusalākusalādivasenāti āha ‘‘taṃtaṃvāpanavasena kathanepi parivattanaṃ natthī’’ti. Dosussannatāyāti kilesādhikatāya. Tathāti dosussannatāya. Kathaṃ pana kusalesu dosussannatā? Upanissayavasena, kilesādhikehi santāne pavattamānā kusalā dhammā kilesehi sambādhappattiyā tiṇādīhi sambādhappattāni viya sassāni vipulaphalauḷāraphalā na hontīti. Tathāti mandadosatāya. Kusalānaṃ mandadosatāpi vuttanayānusārena veditabbā. Oḷārikasukhumanikantīti ettha antogadhavisesaṃ nikantiyā oḷārikasukhumatāsāmaññaṃ vuttaṃ. Yathā hettha oḷārikasāmaññena oḷārikoḷārikataroḷārikatamā nikantiyo gayhanti, tathā sukhumasukhumatarasukhumatamā sukhumatāsāmaññena gayhantīti. Sukhumatamanikantivatthunti cettha yāva bhavaggaṃ vipassanāñāṇañca veditabbaṃ.

    ๑๓. ยทิ สิยาติ ยทิ อสมฺปโยโค วิสํสโฎฺฐ สิยาฯ

    13. Yadi siyāti yadi asampayogo visaṃsaṭṭho siyā.

    สนฺติกโต อกุสลโตติ อกุสลภาเวน สนฺติกโต โลภสหคตาทิอกุสลเวทยิตโตฯ อกุสลาติ โทสสหคตาทิอกุสลเวทนา ทูเรติ ยถา อุทฺธรียติฯ ตโต ทูรโต กุสลโตติ ตโต อกุสลโต ทูรโต กามาวจราทิกุสลเวทยิตโต กุสลา กามาวจราทิกุสลเวทนาฯ ‘‘น สกฺกา’’ติ วุตฺตํ อุทฺธริตุํ อสกฺกุเณยฺยตํ ‘‘ตถา หิ สตี’’ติอาทินา วิวรติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ทูรโต สนฺติกุทฺธรณํ วุตฺตนเยน สนฺติกโต สนฺติกุทฺธรณเมว โหติ, ตถา สติ อตฺถวิเสโส น โหติ, อุปาทายุปาทาย ทูรสนฺติกตา อิธ วุจฺจติฯ ตสฺมา สนฺติกโต สนฺติกุทฺธรณญฺจ น สกฺกา กาตุํ อตฺถวิเสสาภาวโต, อนธิเปฺปตตฺตา จาติ อธิปฺปาโยฯ

    Santikatoakusalatoti akusalabhāvena santikato lobhasahagatādiakusalavedayitato. Akusalāti dosasahagatādiakusalavedanā dūreti yathā uddharīyati. Tato dūrato kusalatoti tato akusalato dūrato kāmāvacarādikusalavedayitato kusalā kāmāvacarādikusalavedanā. ‘‘Na sakkā’’ti vuttaṃ uddharituṃ asakkuṇeyyataṃ ‘‘tathā hi satī’’tiādinā vivarati. Tasmāti yasmā dūrato santikuddharaṇaṃ vuttanayena santikato santikuddharaṇameva hoti, tathā sati atthaviseso na hoti, upādāyupādāya dūrasantikatā idha vuccati. Tasmā santikato santikuddharaṇañca na sakkā kātuṃ atthavisesābhāvato, anadhippetattā cāti adhippāyo.

    นนุ จ อติสยวจนิจฺฉาวเสน อเตฺถว อตฺถวิเสโสติ โจทนํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘ทูรทูรตรตาย วิย สนฺติกสนฺติกตรตาย จ อนธิเปฺปตตฺตา’’ติฯ ยาติ อกุสลเวทนาฯ ตโตติ กุสลเวทยิตโตฯ อิธ วุตฺตสฺส ทูรสฺสาติ อิมสฺมิํ เวทนากฺขนฺธวิภเงฺค ‘‘อกุสลา เวทนา กุสลาพฺยากตาหิ เวทนาหิ ทูเร’’ติอาทินา (วิภ. ๑๓) วุตฺตสฺส ทูรสฺสฯ ทูรโต อจฺจนฺตวิสภาคตฺตาติ ยโต ยํ ‘‘ทูเร’’ติ วุตฺตํ, ตโต อจฺจนฺตวิสทิสตฺตา ตสฺส วเสน ทูเร สนฺติกํ นตฺถีติ น สกฺกา ทูรโต สนฺติกํ อุทฺธริตุํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – เหฎฺฐา ยา เวทนา ยาย เวทนาย ทูเรติ วุตฺตา, สา เอว ตสฺสา เกนจิปิ ปริยาเยน สนฺติเกติ น อุทฺธริตพฺพาติฯ สนฺติเกติ วุตฺตเวทนํเยว สนฺธาย วทติฯ ภิเนฺนติ โลภสหคตาทิวเสน วิภเตฺตฯ ตเตฺถวาติ ‘‘สนฺติเก’’ติ วุตฺตอเตฺถ เอวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อกุสลา เวทนา อกุสลาย เวทนาย สนฺติเก’’ติ เอวํ วุตฺตอกุสลาย เวทนายเมว โลภสหคตาทิวเสน วิภตฺตาย ทูรภาโวปิ ลพฺภติฯ เอวํ เสเสสุปีติฯ

    Nanu ca atisayavacanicchāvasena attheva atthavisesoti codanaṃ manasi katvā āha ‘‘dūradūrataratāya viya santikasantikataratāya ca anadhippetattā’’ti. ti akusalavedanā. Tatoti kusalavedayitato. Idha vuttassa dūrassāti imasmiṃ vedanākkhandhavibhaṅge ‘‘akusalā vedanā kusalābyākatāhi vedanāhi dūre’’tiādinā (vibha. 13) vuttassa dūrassa. Dūrato accantavisabhāgattāti yato yaṃ ‘‘dūre’’ti vuttaṃ, tato accantavisadisattā tassa vasena dūre santikaṃ natthīti na sakkā dūrato santikaṃ uddharituṃ. Ayañhettha adhippāyo – heṭṭhā yā vedanā yāya vedanāya dūreti vuttā, sā eva tassā kenacipi pariyāyena santiketi na uddharitabbāti. Santiketi vuttavedanaṃyeva sandhāya vadati. Bhinneti lobhasahagatādivasena vibhatte. Tatthevāti ‘‘santike’’ti vuttaatthe eva. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘akusalā vedanā akusalāya vedanāya santike’’ti evaṃ vuttaakusalāya vedanāyameva lobhasahagatādivasena vibhattāya dūrabhāvopi labbhati. Evaṃ sesesupīti.

    ยทิ สนฺติกโต ทูรํ ลพฺภติ, ยทเคฺคน ทูรํ ลพฺภติ, ตทเคฺคน ทูรโต สนฺติกํ อุทฺธริเยยฺยาติ โจทนํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘อุปาทายุปาทาย ทูรโต จ สนฺติกํ น สกฺกา อุทฺธริตุ’’นฺติอาทิฯ ตสฺสโตฺถ – ยํ สนฺติกโต ทูรํ ลพฺภติ, ยทิปิ ตํ วิสภาคเฎฺฐน ลพฺภติ, ตถาปิ ยํ ตตฺถ สนฺติกํ ลพฺภติ, ตํ สภาคเฎฺฐเนว ลพฺภตีติ สนฺติกโตว สนฺติกํ อุทฺธฎํ สิยาติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา วิสภาคเฎฺฐน ทูรตา, สภาคเฎฺฐน จ สนฺติกตา อิจฺฉิตา, ตสฺมาฯ โลภสหคตาย โทสสหคตา วิสภาคตาย ทูเร สมานา กถํ สนฺติเก ภเวยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ นนุ ตาสํ อกุสลสภาคตา ลพฺภเตวาติ ตตฺถ อุตฺตรมาห ‘‘วิสภาคตา’’ติอาทิฯ ตตฺถ เภทํ อคฺคเหตฺวา น ปวตฺตตีติ เภทํ วิเสสํ อสทิสตํ คเหตฺวา เอว ปวตฺตติ วิสภาคตาฯ ทูรตายาติ อิธาธิเปฺปตาย ทูรตาย สภาคสฺส อพฺยาปกตฺตา ทูรโต สนฺติกุทฺธรณํ น สกฺกา กาตุํฯ สติ หิ สภาคพฺยาปกเตฺต สิยา สนฺติกตาติ ทูรโต สนฺติกุทฺธรณํ สกฺกา กาตุนฺติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘น หี’’ติอาทินา ตเมวตฺถํ ปากฎํ กโรติฯ สภาคตาติ สามญฺญํฯ เภทนฺติ วิเสสํฯ อโนฺตคธํ กตฺวาวาติ อภิพฺยาเปตฺวาวฯ วิสภาคพฺยาปกตฺตา สนฺติกตายาติ อิธาธิเปฺปตวิสภาคํ พฺยาเปตฺวา ปวตฺตนโต เหฎฺฐา วุตฺตสนฺติกตาย สนฺติกโต ทูรุทฺธรณํ สกฺกา กาตุํฯ ตเมวตฺถํ ‘‘อกุสลตา หี’’ติอาทินา ปากฎํ กโรติฯ

    Yadi santikato dūraṃ labbhati, yadaggena dūraṃ labbhati, tadaggena dūrato santikaṃ uddhariyeyyāti codanaṃ manasi katvā āha ‘‘upādāyupādāya dūrato ca santikaṃ na sakkā uddharitu’’ntiādi. Tassattho – yaṃ santikato dūraṃ labbhati, yadipi taṃ visabhāgaṭṭhena labbhati, tathāpi yaṃ tattha santikaṃ labbhati, taṃ sabhāgaṭṭheneva labbhatīti santikatova santikaṃ uddhaṭaṃ siyāti. Tasmāti yasmā visabhāgaṭṭhena dūratā, sabhāgaṭṭhena ca santikatā icchitā, tasmā. Lobhasahagatāya dosasahagatā visabhāgatāya dūre samānā kathaṃ santike bhaveyyāti adhippāyo. Nanu tāsaṃ akusalasabhāgatā labbhatevāti tattha uttaramāha ‘‘visabhāgatā’’tiādi. Tattha bhedaṃ aggahetvā na pavattatīti bhedaṃ visesaṃ asadisataṃ gahetvā eva pavattati visabhāgatā. Dūratāyāti idhādhippetāya dūratāya sabhāgassa abyāpakattā dūrato santikuddharaṇaṃ na sakkā kātuṃ. Sati hi sabhāgabyāpakatte siyā santikatāti dūrato santikuddharaṇaṃ sakkā kātunti adhippāyo. ‘‘Na hī’’tiādinā tamevatthaṃ pākaṭaṃ karoti. Sabhāgatāti sāmaññaṃ. Bhedanti visesaṃ. Antogadhaṃ katvāvāti abhibyāpetvāva. Visabhāgabyāpakattā santikatāyāti idhādhippetavisabhāgaṃ byāpetvā pavattanato heṭṭhā vuttasantikatāya santikato dūruddharaṇaṃ sakkā kātuṃ. Tamevatthaṃ ‘‘akusalatā hī’’tiādinā pākaṭaṃ karoti.

    เวทนากฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vedanākkhandhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๓. สญฺญากฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา

    3. Saññākkhandhaniddesavaṇṇanā

    ๑๗. ตสฺสาปีติ สญฺญายปิฯ ตพฺพตฺถุกตฺตาติ จกฺขุวตฺถุกตฺตาฯ ปฎิฆวิเญฺญโยฺยติ ยถาวุตฺตปฎิฆโต วิชานิตโพฺพ ปฎิฆวเสน คเหตโพฺพฯ อุตฺตรปทโลปํ กตฺวาติ ปุริมปเท อุตฺตรปทโลปํ กตฺวาฯ

    17. Tassāpīti saññāyapi. Tabbatthukattāti cakkhuvatthukattā. Paṭighaviññeyyoti yathāvuttapaṭighato vijānitabbo paṭighavasena gahetabbo. Uttarapadalopaṃ katvāti purimapade uttarapadalopaṃ katvā.

    วิเญฺญยฺยภาเว, น อุปฺปตฺติยนฺติ อธิปฺปาโยฯ วจนนฺติ สโทฺท, นามนฺติ อโตฺถฯ วจนาธีนาติ คเหตพฺพตํ ปติ สทฺทาธีนา, นามายตฺตคหณาติ อโตฺถฯ ยเทตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ นามรูปทุเก (ธ. ส. มูลฎี. ๑๐๑-๑๐๘) วุตฺตเมวฯ อธิวจนํ ปญฺญตฺติปกาสกํ ญาปกํ เอเตสํ อตฺถีติ อธิวจนา ยถา อริสโสติฯ ตโตโชติ อธิวจนสงฺขาตโต อรูปกฺขนฺธโต ชาโตฯ อรูปกฺขนฺธปริยาปนฺนตฺตา ผเสฺสปิ ยถาวุโตฺต อโตฺถ สมฺภวตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘สมฺผโสฺสเยว วา’’ติอาทิมาหฯ น เกวลํ มโนทฺวาริกผเสฺส เอว, อถ โข ปญฺจทฺวาริกผเสฺสปิ ‘‘วิเญฺญยฺยภาเว วจนํ อธิกิจฺจ ปวตฺตา อธิวจนา’’ติอาทิวุตฺตปฺปกาโร อโตฺถ สมฺภวติฯ อิตีติ ตสฺมาฯ เตน ปริยาเยนาติ มโนสมฺผสฺสชปริยาเยนฯ ตโตชาปีติ ปญฺจทฺวาริกผสฺสชาตาปิฯ อญฺญปฺปการาสมฺภวโตติ ปฎิฆสมฺผสฺสชปริยายสฺส อสมฺภวโตฯ อาเวณิกํ ปฎิฆสมฺผสฺสชตาฯ ปการนฺตรํ อธิวจนสมฺผสฺสชตาฯ

    Viññeyyabhāve, na uppattiyanti adhippāyo. Vacananti saddo, nāmanti attho. Vacanādhīnāti gahetabbataṃ pati saddādhīnā, nāmāyattagahaṇāti attho. Yadettha vattabbaṃ, taṃ nāmarūpaduke (dha. sa. mūlaṭī. 101-108) vuttameva. Adhivacanaṃ paññattipakāsakaṃ ñāpakaṃ etesaṃ atthīti adhivacanā yathā arisasoti. Tatojoti adhivacanasaṅkhātato arūpakkhandhato jāto. Arūpakkhandhapariyāpannattā phassepi yathāvutto attho sambhavatīti dassetuṃ ‘‘samphassoyeva vā’’tiādimāha. Na kevalaṃ manodvārikaphasse eva, atha kho pañcadvārikaphassepi ‘‘viññeyyabhāve vacanaṃ adhikicca pavattā adhivacanā’’tiādivuttappakāro attho sambhavati. Itīti tasmā. Tena pariyāyenāti manosamphassajapariyāyena. Tatojāpīti pañcadvārikaphassajātāpi. Aññappakārāsambhavatoti paṭighasamphassajapariyāyassa asambhavato. Āveṇikaṃ paṭighasamphassajatā. Pakārantaraṃ adhivacanasamphassajatā.

    ยทิ เอวนฺติ ยทิ ปญฺจทฺวาริกผเสฺสหิ อุปฺปนฺนสญฺญา ปริยายโต นิปฺปริยายโต จ ‘‘อธิวจนสมฺผสฺสชา’’ติ วุจฺจนฺติ, เอวํ จตฺตาโรปิ อรูปิโน ขนฺธา เอวํ วตฺตุํ ยุตฺตาฯ เอวํ สเนฺต สญฺญาว กสฺมา ‘‘อธิวจนสมฺผสฺสชา’’ติ วุตฺตาติ อาห ‘‘ติณฺณํ ขนฺธาน’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ ติณฺณํ ขนฺธานนฺติ เวทนาสงฺขารวิญฺญาณกฺขนฺธานํฯ อตฺถวเสนาติ ‘‘วจนํ อธิกิจฺจ ปวตฺตา อธิวจนา’’ติอาทินา วุตฺตอตฺถวเสน อนฺวตฺถตาวเสนฯ อตฺตโน ปตฺตมฺปิ นามนฺติ ‘‘อธิวจนสมฺผสฺสชา’’ติ เอวํ อตฺตโน อนุปฺปตฺตมฺปิ นามํฯ ธมฺมาภิลาโปติ สภาวนิรุตฺติฯ ปุเพฺพ จตุนฺนํ อรูปกฺขนฺธานํ สาธารโณปิ อธิวจนสมฺผสฺสชโวหาโร รุฬฺหิวเสน สญฺญาย เอว ปวโตฺตติ วตฺวา อิทานิ โส ตทญฺญารูปกฺขนฺธสาธารโณ สญฺญาย นิเวสิโตติ ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาหฯ รชฺชิตฺวา โอโลกนาทีสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน กุชฺฌิตฺวา โอโลกนาทิ วิย รชฺชิตฺวา สวนาทิปิ สงฺคยฺหตีติ เวทิตพฺพํ, ตถาโสตาวธานาทิโนปิ รตฺตตาทิวิชานนนิมิตฺตตาสมฺภวโตฯ จกฺขุสมฺผสฺสชาสญฺญาย ปน ปากฎภาวํ นิทสฺสนวเสน ทเสฺสตุํ ‘‘โอโลกนํ จกฺขุวิญฺญาณวิสยสมาคเม’’ติอาทิมาหฯ

    Yadievanti yadi pañcadvārikaphassehi uppannasaññā pariyāyato nippariyāyato ca ‘‘adhivacanasamphassajā’’ti vuccanti, evaṃ cattāropi arūpino khandhā evaṃ vattuṃ yuttā. Evaṃ sante saññāva kasmā ‘‘adhivacanasamphassajā’’ti vuttāti āha ‘‘tiṇṇaṃ khandhāna’’ntiādi. Tattha tiṇṇaṃ khandhānanti vedanāsaṅkhāraviññāṇakkhandhānaṃ. Atthavasenāti ‘‘vacanaṃ adhikicca pavattā adhivacanā’’tiādinā vuttaatthavasena anvatthatāvasena. Attano pattampi nāmanti ‘‘adhivacanasamphassajā’’ti evaṃ attano anuppattampi nāmaṃ. Dhammābhilāpoti sabhāvanirutti. Pubbe catunnaṃ arūpakkhandhānaṃ sādhāraṇopi adhivacanasamphassajavohāro ruḷhivasena saññāya eva pavattoti vatvā idāni so tadaññārūpakkhandhasādhāraṇo saññāya nivesitoti dassetuṃ ‘‘atha vā’’tiādimāha. Rajjitvā olokanādīsūti ettha ādi-saddena kujjhitvā olokanādi viya rajjitvā savanādipi saṅgayhatīti veditabbaṃ, tathāsotāvadhānādinopi rattatādivijānananimittatāsambhavato. Cakkhusamphassajāsaññāya pana pākaṭabhāvaṃ nidassanavasena dassetuṃ ‘‘olokanaṃ cakkhuviññāṇavisayasamāgame’’tiādimāha.

    โอโลกนสฺส อปากฎภาเว รตฺตตาทิวิชานนํ น โหติ, ปากฎภาเว จ โหตีติ อาห ‘‘ปสาทวตฺถุกา เอวา’’ติฯ ‘‘อญฺญํ จิเนฺตนฺต’’นฺติ ยํ ปุเพฺพ เตน กถิตํ, กาเยน วา ปกาสิตํ, ตโต อญฺญํ กิญฺจิ อตฺถํ จิเนฺตนฺตํฯ เตเนวาห ‘‘ญาต’’นฺติฯ

    Olokanassa apākaṭabhāve rattatādivijānanaṃ na hoti, pākaṭabhāve ca hotīti āha ‘‘pasādavatthukā evā’’ti. ‘‘Aññaṃ cintenta’’nti yaṃ pubbe tena kathitaṃ, kāyena vā pakāsitaṃ, tato aññaṃ kiñci atthaṃ cintentaṃ. Tenevāha ‘‘ñāta’’nti.

    สญฺญากฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saññākkhandhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๔. สงฺขารกฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา

    4. Saṅkhārakkhandhaniddesavaṇṇanā

    ๒๐. ‘‘เหฎฺฐิมโกฎิยาติ เอตฺถา’’ติ อิทํ ปฐมํ ‘‘เหฎฺฐิมโกฎิยา’’ติ วจนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตสฺส หิ ภุมฺมวเสน อโตฺถ คเหตโพฺพฯ เตนาห ‘‘ตตฺถ หิ ปธานํ ทสฺสิต’’นฺติฯ เหฎฺฐิมโกฎิยาว ปธานํ ทสฺสิตนฺติ อิมมตฺถํ คเหตฺวา ‘‘ยทิ เอว’’นฺติอาทินา โจเทติฯ อิตโร ‘‘เหฎฺฐิมโกฎิยา ปธานเมว ทสฺสิต’’นฺติ เอวเมตฺถ นิยโม คเหตโพฺพติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อุปริมโกฎิคตภาเวนา’’ติอาทินา ตํ ปริหรติฯ ปธานเสฺสว ทสฺสนํฯ ปธาเน หิ ทสฺสิเต อปฺปธานมฺปิ อตฺถโต ทสฺสิตเมว โหตีติฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตํสมฺปยุตฺตสงฺขารา ปน ตาย คหิตาย คหิตาว โหนฺตี’’ติฯ ยํ เหฎฺฐิมโกฎิยํ ลพฺภติ, ตํ อุปริมโกฎิยมฺปิ ลพฺภติ เอวาติ อาห ‘‘เหฎฺฐิมโกฎิ หิ สพฺพพฺยาปิกา’’ติฯ ทุติเย กรณนิเทฺทสตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อาคตาติ สมฺพโนฺธ’’ติ อาหฯ อาคมนกิริยา หิ เหฎฺฐิมโกฎิยา กรณภาเวน ตตฺถ วุตฺตาติฯ ยถา จ อาคมนกิริยาย, เอวํ วจนกิริยายปิ เหฎฺฐิมโกฎิยา กรณภาโว สมฺภวตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ปุริเมปิ วา’’ติอาทิมาหฯ ‘‘เอกูนปญฺญาสปฺปเภเท’’ติ อิทํ โลกิยจิตฺตุปฺปาเท ปาฬิอาคตานํ สงฺขารกฺขนฺธธมฺมานํ อุปริมโกฎิํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เยวาปนกธเมฺมหิ สทฺธิํ อุปริมโกฎิยา คยฺหมานาย ‘‘เตปญฺญาสา’’ติ วตฺตพฺพํ สิยา, โลกุตฺตรจิตฺตุปฺปาทวเสน ปน ‘‘สตฺตปญฺญาสา’’ติฯ

    20. ‘‘Heṭṭhimakoṭiyātietthā’’ti idaṃ paṭhamaṃ ‘‘heṭṭhimakoṭiyā’’ti vacanaṃ sandhāya vuttaṃ. Tassa hi bhummavasena attho gahetabbo. Tenāha ‘‘tattha hi padhānaṃ dassita’’nti. Heṭṭhimakoṭiyāva padhānaṃ dassitanti imamatthaṃ gahetvā ‘‘yadi eva’’ntiādinā codeti. Itaro ‘‘heṭṭhimakoṭiyā padhānameva dassita’’nti evamettha niyamo gahetabboti dassento ‘‘uparimakoṭigatabhāvenā’’tiādinā taṃ pariharati. Padhānasseva dassanaṃ. Padhāne hi dassite appadhānampi atthato dassitameva hotīti. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘taṃsampayuttasaṅkhārā pana tāya gahitāya gahitāva hontī’’ti. Yaṃ heṭṭhimakoṭiyaṃ labbhati, taṃ uparimakoṭiyampi labbhati evāti āha ‘‘heṭṭhimakoṭi hi sabbabyāpikā’’ti. Dutiye karaṇaniddesataṃ dassetuṃ ‘‘āgatāti sambandho’’ti āha. Āgamanakiriyā hi heṭṭhimakoṭiyā karaṇabhāvena tattha vuttāti. Yathā ca āgamanakiriyāya, evaṃ vacanakiriyāyapi heṭṭhimakoṭiyā karaṇabhāvo sambhavatīti dassetuṃ ‘‘purimepi vā’’tiādimāha. ‘‘Ekūnapaññāsappabhede’’ti idaṃ lokiyacittuppāde pāḷiāgatānaṃ saṅkhārakkhandhadhammānaṃ uparimakoṭiṃ sandhāya vuttaṃ. Yevāpanakadhammehi saddhiṃ uparimakoṭiyā gayhamānāya ‘‘tepaññāsā’’ti vattabbaṃ siyā, lokuttaracittuppādavasena pana ‘‘sattapaññāsā’’ti.

    สงฺขารกฺขนฺธนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṅkhārakkhandhaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปกิณฺณกกถาวณฺณนา

    Pakiṇṇakakathāvaṇṇanā

    สมุคฺคม-ปทสฺส ตตฺวโต ปริยายโต จ อตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘สญฺชาติยํ อาทิอุปฺปตฺติย’’นฺติฯ เภทโต ปน สมาโยเค อุคฺคมนนฺติฯ ตตฺถ เกน สมาโยเค, กุโต, กถญฺจ อุคฺคมนนฺติ วิจารณายํ อาห ‘‘ตํตํปจฺจยสมาโยเค’’ติอาทิฯ ตเตฺถวาติ ปญฺจโวการภเว เอวฯ ตตฺถ หิ ปญฺจกฺขนฺธา ปริปุณฺณา สมุคฺคจฺฉนฺติฯ ยถาธิคตานํ อธิคตปฺปการานํ, ปฎิสนฺธิกานนฺติ อโตฺถฯ โอปปาติกสมุคฺคเมเนว เจตฺถ สํเสทชสมุคฺคโมปิ คหิโตติ ทฎฺฐโพฺพ ปญฺจกฺขนฺธปริยาปนฺนานํ ตทา อุปฺปชฺชนารหานํ อุปฺปชฺชนโตฯ ตตฺถ สํเสทชา อุปฺปชฺชิตฺวา วฑฺฒนฺติ, อิตเร น วฑฺฒนฺตีติ อิทเมเตสํ นานากรณํฯ สุขุมชาติยโลมา เอว กิร เกจิ เอฬกา หิมวเนฺต วิชฺชนฺติ, เตสํ โลมํ สนฺธาย ‘‘ชาติมนฺตเอฬกโลม’’นฺติ วุตฺตํ อติสุขุมตฺตา เตสํ โลมานํฯ เกจิ ปน ‘‘อชปากติเกฬกาทีหิ สงฺกรรหิตานํ เตสํ เอฬกวิเสสานํ นิพฺพเตฺตฬกสฺส โลมํ ชาติอุณฺณา, ตมฺปิ ตงฺขณนิพฺพตฺตสฺสา’’ติ วทนฺติฯ คพฺภํ ผาเลตฺวา คหิตสฺสาติ อปเรฯ เอวํสณฺฐานนฺติ ชาติอุณฺณํสุโน ปคฺฆริตฺวา อเคฺค ฐิตเตลพินฺทุสณฺฐานํฯ วณฺณปฺปฎิภาโคติ รูปปฎิจฺฉโนฺน สณฺฐานปฎิจฺฉโนฺน จฯ

    Samuggama-padassa tatvato pariyāyato ca atthaṃ dasseti ‘‘sañjātiyaṃ ādiuppattiya’’nti. Bhedato pana samāyoge uggamananti. Tattha kena samāyoge, kuto, kathañca uggamananti vicāraṇāyaṃ āha ‘‘taṃtaṃpaccayasamāyoge’’tiādi. Tatthevāti pañcavokārabhave eva. Tattha hi pañcakkhandhā paripuṇṇā samuggacchanti. Yathādhigatānaṃ adhigatappakārānaṃ, paṭisandhikānanti attho. Opapātikasamuggameneva cettha saṃsedajasamuggamopi gahitoti daṭṭhabbo pañcakkhandhapariyāpannānaṃ tadā uppajjanārahānaṃ uppajjanato. Tattha saṃsedajā uppajjitvā vaḍḍhanti, itare na vaḍḍhantīti idametesaṃ nānākaraṇaṃ. Sukhumajātiyalomā eva kira keci eḷakā himavante vijjanti, tesaṃ lomaṃ sandhāya ‘‘jātimantaeḷakaloma’’nti vuttaṃ atisukhumattā tesaṃ lomānaṃ. Keci pana ‘‘ajapākatikeḷakādīhi saṅkararahitānaṃ tesaṃ eḷakavisesānaṃ nibbatteḷakassa lomaṃ jātiuṇṇā, tampi taṅkhaṇanibbattassā’’ti vadanti. Gabbhaṃ phāletvā gahitassāti apare. Evaṃsaṇṭhānanti jātiuṇṇaṃsuno paggharitvā agge ṭhitatelabindusaṇṭhānaṃ. Vaṇṇappaṭibhāgoti rūpapaṭicchanno saṇṭhānapaṭicchanno ca.

    สนฺตติมูลานีติ ตสฺมิํ ภเว รูปสนฺตติยา มูลภูตานิฯ อเนกินฺทฺริยสมาหารภาวโตติ ยถารหํ จกฺขาทิอเนกินฺทฺริยสงฺฆาตภาวโตฯ ปธานงฺคนฺติ อุตฺตมงฺคํ สิโรฯ

    Santatimūlānīti tasmiṃ bhave rūpasantatiyā mūlabhūtāni. Anekindriyasamāhārabhāvatoti yathārahaṃ cakkhādianekindriyasaṅghātabhāvato. Padhānaṅganti uttamaṅgaṃ siro.

    น ตสฺส ตสฺส ขนฺธสฺส ปริปุณฺณตํ, ตํตํขเนฺธกเทสเสฺสว วุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ กามาวจรานนฺติ กามาวจรสตฺตานํฯ ปริหีนายตนสฺสาติ ปริหีนสฺส จกฺขาทิอายตนสฺส วเสนฯ ตตฺถ ทุคฺคติยํ อนฺธสฺส จกฺขุทสกวเสน, พธิรสฺส โสตทสกวเสน, อนฺธพธิรสฺส อุภยวเสน สนฺตติสีสหานิ เวทิตพฺพาฯ นปุํสกสฺส ปน ภาวหานิ วุตฺตา เอวฯ ตถา อนฺธพธิราฆานกสฺส จกฺขุโสตฆานวเสนฯ ตํ ปน ธมฺมหทยวิภงฺคปาฬิยา วิรุชฺฌติฯ ตํ ปรโต อาวิ ภวิสฺสติฯ รูปาวจรานํ ปน จกฺขุโสตวตฺถุชีวิตวเสน จตฺตาริ สนฺตติสีสานีติ อิตเรสํ วเสน สนฺตติสีสหานิ เวทิตพฺพาฯ

    Na tassa tassa khandhassa paripuṇṇataṃ, taṃtaṃkhandhekadesasseva vuttattāti adhippāyo. Kāmāvacarānanti kāmāvacarasattānaṃ. Parihīnāyatanassāti parihīnassa cakkhādiāyatanassa vasena. Tattha duggatiyaṃ andhassa cakkhudasakavasena, badhirassa sotadasakavasena, andhabadhirassa ubhayavasena santatisīsahāni veditabbā. Napuṃsakassa pana bhāvahāni vuttā eva. Tathā andhabadhirāghānakassa cakkhusotaghānavasena. Taṃ pana dhammahadayavibhaṅgapāḷiyā virujjhati. Taṃ parato āvi bhavissati. Rūpāvacarānaṃ pana cakkhusotavatthujīvitavasena cattāri santatisīsānīti itaresaṃ vasena santatisīsahāni veditabbā.

    เตสนฺติ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํฯ วตฺถุภาเวนาติ วิจารณาย อธิฎฺฐานภาเวนฯ ปฎิสนฺธิยํ อุปฺปนฺนา ปวตฺตา ปญฺจกฺขนฺธาติ ปฎิสนฺธิกฺขเณ ปวตฺติกฺขเณ จ ปญฺจกฺขเนฺธ ทเสฺสติฯ ภุมฺมนิเทฺทโสติ ‘‘ปญฺจสุ ขเนฺธสู’’ติ อยํ ภุมฺมนิเทฺทโสฯ อญฺญถาติ นิทฺธารเณ อนธิเปฺปเตฯ ‘‘ภาเวนภาวลกฺขณเตฺถ’’ติ อิทํ วิสยาทิอตฺถานํ อิธาสมฺภวโต วุตฺตํฯ อุภยนฺติ รูปารูปํฯ รูปารูปสนฺตตินฺติ รูปสมุฎฺฐาปกํ รูปสนฺตติํ อรูปสนฺตติญฺจฯ ‘‘วตฺถุ อุปฺปาทกฺขเณ ทุพฺพลํ โหตี’’ติ อิทํ น ปฎิสนฺธิกฺขณํ เอว, นาปิ วตฺถุรูปํ เอว สนฺธาย วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘สพฺพรูปานํ อุปฺปาทกฺขเณ ทุพฺพลตํ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติฯ ‘‘ตทา หี’’ติอาทิ ยถาวุตฺตสฺส อตฺถสฺส การณวจนํฯ ตตฺถ นฺติ รูปํฯ ‘‘กมฺมกฺขิตฺตตฺตา’’ติ อิทํ น กมฺมชตามตฺตํ สนฺธาย วุตฺตํ, อถ โข กมฺมชสฺส ปฐมุปฺปตฺติยํ อปติฎฺฐิตตํ สนฺธายาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สติปี’’ติอาทิมาหฯ ตโต ปรนฺติ ตโต ปฎิสนฺธิโต ปรํฯ สทิสสนฺตาเน ยถา ปติฎฺฐิตํ, น ตถา วิสทิสสนฺตาเนติ อาห ‘‘สมานสนฺตติย’’นฺติฯ

    Tesanti pañcannaṃ khandhānaṃ. Vatthubhāvenāti vicāraṇāya adhiṭṭhānabhāvena. Paṭisandhiyaṃ uppannā pavattā pañcakkhandhāti paṭisandhikkhaṇe pavattikkhaṇe ca pañcakkhandhe dasseti. Bhummaniddesoti ‘‘pañcasu khandhesū’’ti ayaṃ bhummaniddeso. Aññathāti niddhāraṇe anadhippete. ‘‘Bhāvenabhāvalakkhaṇatthe’’ti idaṃ visayādiatthānaṃ idhāsambhavato vuttaṃ. Ubhayanti rūpārūpaṃ. Rūpārūpasantatinti rūpasamuṭṭhāpakaṃ rūpasantatiṃ arūpasantatiñca. ‘‘Vatthu uppādakkhaṇe dubbalaṃ hotī’’ti idaṃ na paṭisandhikkhaṇaṃ eva, nāpi vatthurūpaṃ eva sandhāya vuttanti dassento āha ‘‘sabbarūpānaṃ uppādakkhaṇe dubbalataṃ sandhāya vutta’’nti. ‘‘Tadā hī’’tiādi yathāvuttassa atthassa kāraṇavacanaṃ. Tattha tanti rūpaṃ. ‘‘Kammakkhittattā’’ti idaṃ na kammajatāmattaṃ sandhāya vuttaṃ, atha kho kammajassa paṭhamuppattiyaṃ apatiṭṭhitataṃ sandhāyāti dassento ‘‘satipī’’tiādimāha. Tato paranti tato paṭisandhito paraṃ. Sadisasantāne yathā patiṭṭhitaṃ, na tathā visadisasantāneti āha ‘‘samānasantatiya’’nti.

    องฺคภาวนฺติ การณภาวํฯ เตเนวาห ‘‘สหายภาว’’นฺติฯ เตสํ ธมฺมานนฺติ เยหิ สทฺธิํ อุปฺปนฺนํ, เตสํ ปฎิสนฺธิยํ จิตฺตเจตสิกธมฺมานํฯ ตทาติ ฐิติกฺขเณ ภงฺคกฺขเณ จ รูปุปฺปาทนเมว นตฺถิฯ อนนฺตราทิปจฺจยลาเภน อุปฺปาทกฺขเณ เอว จิตฺตสฺส พลวภาโว, น อิตรตฺรฯ เตนาห ‘‘ยทา จ รูปุปฺปาทนํ, ตทา อุปฺปาทกฺขเณ’’ติฯ

    Aṅgabhāvanti kāraṇabhāvaṃ. Tenevāha ‘‘sahāyabhāva’’nti. Tesaṃ dhammānanti yehi saddhiṃ uppannaṃ, tesaṃ paṭisandhiyaṃ cittacetasikadhammānaṃ. Tadāti ṭhitikkhaṇe bhaṅgakkhaṇe ca rūpuppādanameva natthi. Anantarādipaccayalābhena uppādakkhaṇe eva cittassa balavabhāvo, na itaratra. Tenāha ‘‘yadā ca rūpuppādanaṃ, tadā uppādakkhaṇe’’ti.

    เยหากาเรหีติ อาหารินฺทฺริยปจฺจยาทิอากาเรหิฯ ยถาสมฺภวํ ปจฺจยา โหนฺตีติ ผสฺสาทโย อาหาราทิวเสน ยถารหํ ปจฺจยา โหนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ ปฎฺฐาเน ‘‘ปฎิสนฺธิกฺขเณ วิปากาพฺยากตา อาหารา สมฺปยุตฺตกานํ ขนฺธานํ, กฎตฺตา จ รูปานํ อาหารปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติอาทิ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๒๙)ฯ

    Yehākārehīti āhārindriyapaccayādiākārehi. Yathāsambhavaṃ paccayā hontīti phassādayo āhārādivasena yathārahaṃ paccayā honti. Vuttañhetaṃ paṭṭhāne ‘‘paṭisandhikkhaṇe vipākābyākatā āhārā sampayuttakānaṃ khandhānaṃ, kaṭattā ca rūpānaṃ āhārapaccayena paccayo’’tiādi (paṭṭhā. 1.1.429).

    จุติจิเตฺตน สทฺธิํ อุปฺปชฺชมานํ, จุติจิเตฺตน วา การณภูเตน อุปฺปชฺชมานํฯ ตโต ปุริมตเรหิ อุปฺปชฺชมานํ วิยาติ ยถา จุติจิตฺตโต อาสเนฺนหิ ปุริมตเรหิ อุปฺปชฺชมานํ รูปํ ภวนฺตเร น อุปฺปชฺชติ, เอวํ จุติจิเตฺตน อุปฺปชฺชมานมฺปิ อนุปจฺฉิเนฺนปิ วฎฺฎมูเลติ อการณํ วฎฺฎมูลาวูปสโม จุติจิตฺตสฺส รูปุปฺปาทเนติ ทเสฺสติฯ

    Cuticittena saddhiṃ uppajjamānaṃ, cuticittena vā kāraṇabhūtena uppajjamānaṃ. Tato purimatarehi uppajjamānaṃ viyāti yathā cuticittato āsannehi purimatarehi uppajjamānaṃ rūpaṃ bhavantare na uppajjati, evaṃ cuticittena uppajjamānampi anupacchinnepi vaṭṭamūleti akāraṇaṃ vaṭṭamūlāvūpasamo cuticittassa rūpuppādaneti dasseti.

    อรูปสฺสาติ อารุปฺปสฺสฯ

    Arūpassāti āruppassa.

    อุตุนาติ ปฎิสนฺธิจิตฺตสฺส ฐิติกฺขเณ อุปฺปเนฺนน อุตุนาฯ สมุฎฺฐิเต รูเปติ ปฎิสนฺธิจิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ รูเป สมุฎฺฐิเต ปฎิสนฺธิอนนฺตรํ ปฐมภวงฺคจิตฺตํ รูปํ สมุฎฺฐาเปติฯ อุปฺปาทนิโรธกฺขณาติ ยถาวุเตฺตสุ โสฬสสุ จิเตฺตสุ อาทิจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขโณ, โสฬสมจิตฺตสฺส นิโรธกฺขโณ จาติ วทนฺติ, รูปเสฺสว ปน อุปฺปาทนิโรธกฺขณา เวทิตพฺพาฯ

    Utunāti paṭisandhicittassa ṭhitikkhaṇe uppannena utunā. Samuṭṭhite rūpeti paṭisandhicittassa bhaṅgakkhaṇe rūpe samuṭṭhite paṭisandhianantaraṃ paṭhamabhavaṅgacittaṃ rūpaṃ samuṭṭhāpeti. Uppādanirodhakkhaṇāti yathāvuttesu soḷasasu cittesu ādicittassa uppādakkhaṇo, soḷasamacittassa nirodhakkhaṇo cāti vadanti, rūpasseva pana uppādanirodhakkhaṇā veditabbā.

    ธรมานกฺขเณ เอวาติ ตสฺส อุตุโน วิชฺชมานกฺขเณ เอว ยทิ คหิตา, ‘‘โสฬสจิตฺตกฺขณายุกํ รูป’’นฺติ วุตฺตํ โหติ โสฬสเหว จิเตฺตหิ ตสฺส ธรมานตาย ปริจฺฉินฺนตฺตาฯ อุปฺปาทกฺขณํ อคฺคเหตฺวาติ อุตุโน ธรมานกฺขเณ อุปฺปาทกฺขณํ อคฺคเหตฺวา นิโรธกฺขโณ อถ คหิโต, ‘‘สตฺตรสจิตฺตกฺขณายุกํ รูป’’นฺติ วุตฺตํ โหติ อุปฺปาทกฺขณสหิเตน จ เอกสฺส จิตฺตกฺขณสฺส คหิตตฺตาฯ ‘‘อธิกโสฬสจิตฺตกฺขณายุก’’นฺติ วุตฺตํ โหติ นิโรธกฺขณสฺส พหิกตตฺตาฯ

    Dharamānakkhaṇe evāti tassa utuno vijjamānakkhaṇe eva yadi gahitā, ‘‘soḷasacittakkhaṇāyukaṃ rūpa’’nti vuttaṃ hoti soḷasaheva cittehi tassa dharamānatāya paricchinnattā. Uppādakkhaṇaṃ aggahetvāti utuno dharamānakkhaṇe uppādakkhaṇaṃ aggahetvā nirodhakkhaṇo atha gahito, ‘‘sattarasacittakkhaṇāyukaṃrūpa’’nti vuttaṃ hoti uppādakkhaṇasahitena ca ekassa cittakkhaṇassa gahitattā. ‘‘Adhikasoḷasacittakkhaṇāyuka’’nti vuttaṃ hoti nirodhakkhaṇassa bahikatattā.

    เอวํ อุปฺปาทนิโรธกฺขเณสุ คหิเตสุ อคฺคหิเตสุ จ โสฬสสตฺตรสจิตฺตกฺขณายุกตา, ตโต อธิกจิตฺตกฺขณายุกตา จ สิยาติ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตตฺถ ฐิตปกฺขํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยสฺมา ปนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตสฺส ธรมานกฺขเณ อุปฺปเนฺนสูติ ตสฺส อุตุโน ธรมานกฺขเณ อุปฺปเนฺนสุ โสฬสสุ จิเตฺตสุ ปฎิสนฺธิปิ ยสฺมา คหิตา, ตสฺมา อุตุโน อุปฺปาทกฺขโณ ธรมานกฺขเณ คหิโตติ นิโรธกฺขเณ อคฺคหิเต ‘‘รูเป ธรเนฺตเยว โสฬส จิตฺตานิ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ, ตํ ปน สตฺตรสเมน จิเตฺตน สทฺธิํ นิรุชฺฌตี’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๖ ปกิณฺณกกถา) เอวํ อฎฺฐกถายํ วกฺขมานา อธิกโสฬสจิตฺตกฺขณายุกตา อธิเปฺปตาฯ คหิเต วา นิโรธกฺขเณ โสฬสจิตฺตกฺขณายุกตา อธิเปฺปตาติ สมฺพโนฺธฯ เอตฺถ จ ‘‘อธิกโสฬสจิตฺตกฺขณายุกตา’’ติ อิทํ ปฎิสนฺธิจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขโณ คหิโตติ กตฺวา วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภงฺควณฺณนายํ ‘‘เทฺว ภวงฺคานิ, อาวชฺชนํ, ทสฺสนํ, สมฺปฎิจฺฉนํ, สนฺตีรณํ, โวฎฺฐพฺพนํ, ปญฺจ ชวนานิ, เทฺว ตทารมฺมณานิ, เอกํ จุติจิตฺตนฺติ ปญฺจทส จิตฺตกฺขณา อตีตา โหนฺติ, อถาวเสสเอกจิตฺตกฺขณายุเก’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๗), ตถา ตทารมฺมณปริโยสานานิ, ‘‘เอกํ จุติจิตฺตํ, ตทวสาเน ตสฺมิเญฺญว เอกจิตฺตกฺขณฎฺฐิติเก อารมฺมเณ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปชฺชตี’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๗) จ วกฺขติฯ ตสฺมา รูปสฺส โสฬสจิตฺตกฺขณายุกตายปิ อตฺถสิทฺธิ โหติเยวฯ เตนาห ‘‘โสฬสจิตฺตกฺขณายุกตา อธิเปฺปตา’’ติฯ ตถาปิ อุปฺปชฺชิตฺวา ภวงฺคจลนสฺส ปจฺจโย โหติ, น อุปฺปชฺชมานเมวาติ สตฺตรสจิตฺตกฺขณายุกตา เวทิตพฺพาฯ

    Evaṃ uppādanirodhakkhaṇesu gahitesu aggahitesu ca soḷasasattarasacittakkhaṇāyukatā, tato adhikacittakkhaṇāyukatā ca siyāti dassetvā idāni tattha ṭhitapakkhaṃ dassento ‘‘yasmā panā’’tiādimāha. Tattha tassa dharamānakkhaṇe uppannesūti tassa utuno dharamānakkhaṇe uppannesu soḷasasu cittesu paṭisandhipi yasmā gahitā, tasmā utuno uppādakkhaṇo dharamānakkhaṇe gahitotinirodhakkhaṇe aggahite ‘‘rūpe dharanteyeva soḷasa cittāni uppajjitvā nirujjhanti, taṃ pana sattarasamena cittena saddhiṃ nirujjhatī’’ti (vibha. aṭṭha. 26 pakiṇṇakakathā) evaṃ aṭṭhakathāyaṃ vakkhamānā adhikasoḷasacittakkhaṇāyukatā adhippetā. Gahite vā nirodhakkhaṇe soḷasacittakkhaṇāyukatā adhippetāti sambandho. Ettha ca ‘‘adhikasoḷasacittakkhaṇāyukatā’’ti idaṃ paṭisandhicittassa uppādakkhaṇo gahitoti katvā vuttaṃ. Yasmā pana paṭiccasamuppādavibhaṅgavaṇṇanāyaṃ ‘‘dve bhavaṅgāni, āvajjanaṃ, dassanaṃ, sampaṭicchanaṃ, santīraṇaṃ, voṭṭhabbanaṃ, pañca javanāni, dve tadārammaṇāni, ekaṃ cuticittanti pañcadasa cittakkhaṇā atītā honti, athāvasesaekacittakkhaṇāyuke’’ti (vibha. aṭṭha. 227), tathā tadārammaṇapariyosānāni, ‘‘ekaṃ cuticittaṃ, tadavasāne tasmiññeva ekacittakkhaṇaṭṭhitike ārammaṇe paṭisandhicittaṃ uppajjatī’’ti (vibha. aṭṭha. 227) ca vakkhati. Tasmā rūpassa soḷasacittakkhaṇāyukatāyapi atthasiddhi hotiyeva. Tenāha ‘‘soḷasacittakkhaṇāyukatā adhippetā’’ti. Tathāpi uppajjitvā bhavaṅgacalanassa paccayo hoti, na uppajjamānamevāti sattarasacittakkhaṇāyukatā veditabbā.

    โอชาย สภาวสุขุมตา อุปาทารูปภาวโตฯ เอตฺถ จ มาตรา อโชฺฌหฎา โอชา พาหิรพฺภญฺชนํ วิย คพฺภมลฺลินา ตสฺมิํ สนฺตาเน โอชฎฺฐมกรูปุปฺปตฺติยา ปจฺจโย โหติฯ อาหารสมุฎฺฐานรูปปเวณิยา โอชาย วิย เสสติสนฺตติโอชาย รูปุปฺปาทนนฺติ อุทริเย โอชา รูปํ น สมุฎฺฐาเปติ อุตุสมุฎฺฐานภาวโต, อุปาทินฺนกฎฺฐาเน เอว ปน สมุฎฺฐาเปติ, รสหรณีหิ คนฺตฺวา กายานุสฎนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Ojāya sabhāvasukhumatā upādārūpabhāvato. Ettha ca mātarā ajjhohaṭā ojā bāhirabbhañjanaṃ viya gabbhamallinā tasmiṃ santāne ojaṭṭhamakarūpuppattiyā paccayo hoti. Āhārasamuṭṭhānarūpapaveṇiyā ojāya viya sesatisantatiojāya rūpuppādananti udariye ojā rūpaṃ na samuṭṭhāpeti utusamuṭṭhānabhāvato, upādinnakaṭṭhāne eva pana samuṭṭhāpeti, rasaharaṇīhi gantvā kāyānusaṭanti veditabbaṃ.

    จิตฺตเญฺจวาติ เอตฺถ จ-สเทฺทน ปฎิโยคีนํ กมฺมเมว สมุจฺจิโนติ, น จิเตฺตน สมฺปยุตฺตธเมฺมติ กตฺวา อาห ‘‘จิตฺตสฺส ปุพฺพงฺคมตาย วุตฺต’’นฺติฯ ‘‘จิตฺตุปฺปาทํ คณฺหาติ ‘จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑) วิย, น กมฺมเจตนํ วิย เอกธมฺมเมวา’’ติ วุเตฺต ‘‘ยถา จิตฺตสมุฎฺฐานรูปสฺส เหตุอาทโย จิตฺตสมฺปยุตฺตธมฺมาปิ สมุฎฺฐาปกาว, เอวํ กมฺมสมุฎฺฐานรูปสฺส กมฺมสมฺปยุตฺตาปี’’ติ โจทนํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ตสฺส ปริหารํ วตฺตุํ ‘‘กมฺมสมุฎฺฐานญฺจา’’ติอาทิมาหฯ

    Cittañcevāti ettha ca-saddena paṭiyogīnaṃ kammameva samuccinoti, na cittena sampayuttadhammeti katvā āha ‘‘cittassa pubbaṅgamatāya vutta’’nti. ‘‘Cittuppādaṃ gaṇhāti ‘cittaṃ uppannaṃ hotī’tiādīsu (dha. sa. 1) viya, na kammacetanaṃ viya ekadhammamevā’’ti vutte ‘‘yathā cittasamuṭṭhānarūpassa hetuādayo cittasampayuttadhammāpi samuṭṭhāpakāva, evaṃ kammasamuṭṭhānarūpassa kammasampayuttāpī’’ti codanaṃ samuṭṭhāpetvā tassa parihāraṃ vattuṃ ‘‘kammasamuṭṭhānañcā’’tiādimāha.

    รูปสฺสาติ รูปกฺขณสฺส, รูปสฺส วา อทฺธุโนฯ นยทสฺสนมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ เอว รูปารูปธมฺมานํ เอกกฺขเณ ปาตุภาโวติ อิมสฺส อตฺถสฺส อนธิเปฺปตตฺตาฯ เตเนวาห ‘‘ตโต ปรมฺปิ รูปารูปานํ สหุปฺปตฺติสพฺภาวโต’’ติฯ ยถา จ ‘‘ปฎิสนฺธิกฺขเณ เอวา’’ติ นิยโม น คเหตโพฺพ, เอวํ ‘‘เอกกฺขเณ เอว ปาตุภาโว’’ติปิ นิยโม น คเหตโพฺพติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น ปเนต’’นฺติอาทิมาหฯ ตํทีปนตฺถเมวาติ อสมานกาลตาทีปนตฺถเมว, น สหุปฺปาททีปนตฺถํฯ อทฺธานปริเจฺฉทกถา หิ อยนฺติฯ

    Rūpassāti rūpakkhaṇassa, rūpassa vā addhuno. Nayadassanamattaṃ daṭṭhabbaṃ paṭisandhikkhaṇe eva rūpārūpadhammānaṃ ekakkhaṇe pātubhāvoti imassa atthassa anadhippetattā. Tenevāha ‘‘tato parampi rūpārūpānaṃ sahuppattisabbhāvato’’ti. Yathā ca ‘‘paṭisandhikkhaṇe evā’’ti niyamo na gahetabbo, evaṃ ‘‘ekakkhaṇe eva pātubhāvo’’tipi niyamo na gahetabboti dassento ‘‘na paneta’’ntiādimāha. Taṃdīpanatthamevāti asamānakālatādīpanatthameva, na sahuppādadīpanatthaṃ. Addhānaparicchedakathā hi ayanti.

    ยทิ เอวนฺติ ยถา ผลปตฺตานิ, เอวํ รูปารูปธมฺมา ยทิ ทนฺธลหุปริวตฺติโนฯ อสมานทฺธตฺตาติ อตุลฺยกาลตฺตาฯ นิจฺฉิเทฺทสูติ นิพฺพิวเรสุฯ เตน นิรนฺตรปฺปวตฺติํ เอว วิภาเวติฯ อยนฺติ อทฺธานปริเจฺฉทกถาฯ จิตฺตชรูปาทีนํ น ตถา นิรนฺตรภาเวน ปวตฺติ, ยถา กมฺมชรูปานนฺติ อาห ‘‘กมฺมชรูปปฺปวตฺติํ สนฺธายา’’ติฯ กมฺมชรูปานํ วา อิตเรสํ มูลภาวโต ปธานนฺติ ‘‘กมฺมชรูปปฺปวตฺติํ สนฺธายา’’ติ วุตฺตํฯ อจิตฺตุปฺปาทกตฺตา อพฺยาพชฺฌตาย นิโรธสมาปตฺติยา นิพฺพานปฎิภาคตา เวทิตพฺพาฯ ปเท ปทํ อกฺกมิตฺวาติ ลกุณฺฑกปาทตาย อตฺตโน อกฺกนฺตปทสมีเป ปทํ นิกฺขิปิตฺวาฯ โย หิ สีฆปทวิกฺกโม ลกุณฺฑกปาโท, โส อิธาธิเปฺปโตติ อาห ‘‘ลหุํ ลหุํ อกฺกมิตฺวาติ อโตฺถ’’ติฯ สเหว นิรุชฺฌนฺตีติ รูปํ กมฺมชมิธาธิเปฺปตนฺติ กตฺวา วุตฺตํฯ อุตุชํ ปน จุติโต อุทฺธมฺปิ ปวตฺตติ เอวฯ ปุเพฺพ วุตฺตนฺติ ‘‘รูปสฺส สตฺตรสจิตฺตกฺขณา, อรูปสฺส ตโต เอกภาโค’’ติ (วิภ. มูลฎี. ๒๐ ปกิณฺณกกถาวณฺณนา) เอวํ วุตฺตํ อทฺธานปฺปการํฯ

    Yadi evanti yathā phalapattāni, evaṃ rūpārūpadhammā yadi dandhalahuparivattino. Asamānaddhattāti atulyakālattā. Nicchiddesūti nibbivaresu. Tena nirantarappavattiṃ eva vibhāveti. Ayanti addhānaparicchedakathā. Cittajarūpādīnaṃ na tathā nirantarabhāvena pavatti, yathā kammajarūpānanti āha ‘‘kammajarūpappavattiṃ sandhāyā’’ti. Kammajarūpānaṃ vā itaresaṃ mūlabhāvato padhānanti ‘‘kammajarūpappavattiṃ sandhāyā’’ti vuttaṃ. Acittuppādakattā abyābajjhatāya nirodhasamāpattiyā nibbānapaṭibhāgatā veditabbā. Pade padaṃ akkamitvāti lakuṇḍakapādatāya attano akkantapadasamīpe padaṃ nikkhipitvā. Yo hi sīghapadavikkamo lakuṇḍakapādo, so idhādhippetoti āha ‘‘lahuṃ lahuṃ akkamitvāti attho’’ti. Saheva nirujjhantīti rūpaṃ kammajamidhādhippetanti katvā vuttaṃ. Utujaṃ pana cutito uddhampi pavattati eva. Pubbe vuttanti ‘‘rūpassa sattarasacittakkhaṇā, arūpassa tato ekabhāgo’’ti (vibha. mūlaṭī. 20 pakiṇṇakakathāvaṇṇanā) evaṃ vuttaṃ addhānappakāraṃ.

    เอกุปฺปาทโตติ สมานุปฺปาทโตฯ สมานโตฺถ หิ อยํ เอก-สโทฺทฯ เอโก ทฎฺฐพฺพากาโรติ เอโก ญาตปริญฺญาย ปสฺสิตพฺพากาโรฯ เอวญฺหิ โสฬสาการา สิยุํ, อิตรถา วีสติ, ตโต อธิกา วา เอเต อาการา ภเวยฺยุํฯ ตสฺสาติ ปจฺฉิมกมฺมชสฺสฯ เหฎฺฐา โสฬสเกติ ปริโยสานโสฬสกสฺส อนนฺตราตีตโสฬสเกฯ ปจฺฉิมสฺสาติ ตตฺถ ปจฺฉิมจิตฺตสฺสฯ นานานิโรธภาวํ วิย เอกุปฺปาทภาวมฺปิ ปจฺฉิมกมฺมชสฺส ฐปเน การณํ อนิจฺฉโนฺต ‘‘ยทิ ปนา’’ติ สาสงฺกํ วทติฯ ‘‘สพฺพมฺปี’’ติอาทินา ตตฺถ อติปฺปสงฺคํ ทเสฺสติฯ วเชฺชตพฺพํ นานุปฺปาทํ เอกนิโรธํฯ คเหตพฺพํ เอกุปฺปาทนานานิโรธํฯ อุภยมฺปิ ตทา นตฺถิ อนุปฺปชฺชนโตฯ เตเนวาห ‘‘กมฺมชรูปสฺส อนุปฺปตฺติโต’’ติฯ ตโต ปุเพฺพติ ปจฺฉิมกมฺมชรูปุปฺปชฺชนโต โอรํฯ อญฺญสฺสาติ ยสฺส จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ อุปฺปนฺนํ, ตโต อญฺญสฺส จิตฺตสฺสฯ ฐิติกฺขเณ อุปฺปนฺนสฺส เอกุปฺปาทตา, ภงฺคกฺขเณ อุปฺปนฺนสฺส นานานิโรธตา จ นตฺถีติ อาห ‘‘ฐิติภงฺคกฺขเณสุ อุปฺปนฺนรูปานิ วเชฺชตฺวา’’ติฯ เตนาติ รูเปนฯ ‘‘สงฺขลิกสฺส วิย สมฺพโนฺธ’’ติ เอเตน อวิจฺฉินฺนสมฺพโนฺธ อิธ ‘‘ปเวณี’’ติ อธิเปฺปโตติ ทเสฺสติฯ อญฺญถาติ วิจฺฉิชฺชมานมฺปิ คเหตฺวา ‘‘ปเวณี’’ติ วุจฺจมาเนฯ น หิ รูปธมฺมานํ อรูปธมฺมานํ วิย อนนฺตรปจฺจยภาโว อตฺถีติ รูปธมฺมานํ ภงฺคกฺขเณ อุปฺปนฺนรูปธเมฺม อคฺคเหตฺวา ‘‘อฎฺฐจตฺตาลีสา’’ติ วุตฺตํฯ เตสํ ปน คหเณ เอกูนปญฺญาสาว สิยาติ อาห ‘‘เอกูนปญฺญาสกมฺมชิยวจนํ กตฺตพฺพํ สิยา’’ติฯ

    Ekuppādatoti samānuppādato. Samānattho hi ayaṃ eka-saddo. Eko daṭṭhabbākāroti eko ñātapariññāya passitabbākāro. Evañhi soḷasākārā siyuṃ, itarathā vīsati, tato adhikā vā ete ākārā bhaveyyuṃ. Tassāti pacchimakammajassa. Heṭṭhā soḷasaketi pariyosānasoḷasakassa anantarātītasoḷasake. Pacchimassāti tattha pacchimacittassa. Nānānirodhabhāvaṃ viya ekuppādabhāvampi pacchimakammajassa ṭhapane kāraṇaṃ anicchanto ‘‘yadi panā’’ti sāsaṅkaṃ vadati. ‘‘Sabbampī’’tiādinā tattha atippasaṅgaṃ dasseti. Vajjetabbaṃ nānuppādaṃ ekanirodhaṃ. Gahetabbaṃ ekuppādanānānirodhaṃ. Ubhayampi tadā natthi anuppajjanato. Tenevāha ‘‘kammajarūpassa anuppattito’’ti. Tato pubbeti pacchimakammajarūpuppajjanato oraṃ. Aññassāti yassa cittassa uppādakkhaṇe uppannaṃ, tato aññassa cittassa. Ṭhitikkhaṇe uppannassa ekuppādatā, bhaṅgakkhaṇe uppannassa nānānirodhatā ca natthīti āha ‘‘ṭhitibhaṅgakkhaṇesuuppannarūpāni vajjetvā’’ti. Tenāti rūpena. ‘‘Saṅkhalikassa viya sambandho’’ti etena avicchinnasambandho idha ‘‘paveṇī’’ti adhippetoti dasseti. Aññathāti vicchijjamānampi gahetvā ‘‘paveṇī’’ti vuccamāne. Na hi rūpadhammānaṃ arūpadhammānaṃ viya anantarapaccayabhāvo atthīti rūpadhammānaṃ bhaṅgakkhaṇe uppannarūpadhamme aggahetvā ‘‘aṭṭhacattālīsā’’ti vuttaṃ. Tesaṃ pana gahaṇe ekūnapaññāsāva siyāti āha ‘‘ekūnapaññāsakammajiyavacanaṃ kattabbaṃ siyā’’ti.

    สุทีปนตฺตาติ สุขทีปนตฺตา, นยทสฺสนภาเวน วา สุฎฺฐุ ทีปนตฺตาฯ เตเนวาห ‘‘เอเตน หิ นเยนา’’ติอาทิฯ ตตฺถ นฺติ รูปํฯ เตนาติ รูเปนฯ อุภยตฺถาติ ปจฺฉิมกมฺมชรูปปฺปวตฺติยํ, ตโต ปุเพฺพ จฯ อญฺญสฺสาติ เอกสฺส จิตฺตสฺส ฐิติกฺขเณ อุปฺปชฺชิตฺวา ตโต อญฺญสฺส จิตฺตสฺสฯ ตสฺสาติ รูปสฺสฯ เอตฺถ จ ปจฺฉิมกมฺมชรูปปฺปวตฺติยํ นิรุชฺฌนกนฺติ วุตฺตํ ตโต ปุเรตรปฺปวตฺตํ รูปํ เวทิตพฺพํฯ จตุสนฺตติกรูเปนาติอาทิ ยถาวุตฺตสงฺคหคมนทสฺสนํฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ นานุปฺปาเทกนิโรธตาทีปเนฯ ฐิติกฺขเณติ อรูปสฺส รูปสฺส จ ฐิติกฺขเณ อุปฺปนฺนสฺส รูปสฺส จ อรูปสฺส จ ทสฺสิตตฺตาฯ อทสฺสิตสฺสาติ ยถา เอว เอตฺถ, เอวํ ตตฺถ วิภชิตฺวา อทสฺสิตสฺสฯ กสฺมา ปเนตฺถ ปจฺฉิมกมฺมเชน ทีปนายํ สมติํสกมฺมชรูปคฺคหณํ กตนฺติ อาห ‘‘สมติํส…เป.… โยชิต’’นฺติฯ ตโต กมฺมโต ชาตา ตํกมฺมชา, เตสุฯ สงฺขโรตีติ สงฺขาโร, ชีวิตญฺจ ตํ สงฺขาโร จาติ ชีวิตสงฺขาโร, อายุฯ ชีวิเตน สงฺขรียนฺตีติ ชีวิตสงฺขารา, อุสฺมาทโยฯ

    Sudīpanattāti sukhadīpanattā, nayadassanabhāvena vā suṭṭhu dīpanattā. Tenevāha ‘‘etena hi nayenā’’tiādi. Tattha tanti rūpaṃ. Tenāti rūpena. Ubhayatthāti pacchimakammajarūpappavattiyaṃ, tato pubbe ca. Aññassāti ekassa cittassa ṭhitikkhaṇe uppajjitvā tato aññassa cittassa. Tassāti rūpassa. Ettha ca pacchimakammajarūpappavattiyaṃ nirujjhanakanti vuttaṃ tato puretarappavattaṃ rūpaṃ veditabbaṃ. Catusantatikarūpenātiādi yathāvuttasaṅgahagamanadassanaṃ. Etthāti etasmiṃ nānuppādekanirodhatādīpane. Ṭhitikkhaṇeti arūpassa rūpassa ca ṭhitikkhaṇe uppannassa rūpassa ca arūpassa ca dassitattā. Adassitassāti yathā eva ettha, evaṃ tattha vibhajitvā adassitassa. Kasmā panettha pacchimakammajena dīpanāyaṃ samatiṃsakammajarūpaggahaṇaṃ katanti āha ‘‘samatiṃsa…pe… yojita’’nti. Tato kammato jātā taṃkammajā, tesu. Saṅkharotīti saṅkhāro, jīvitañca taṃ saṅkhāro cāti jīvitasaṅkhāro, āyu. Jīvitena saṅkharīyantīti jīvitasaṅkhārā, usmādayo.

    อญฺญสฺส อุปฺปาทกฺขเณติ ยสฺส จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ อุปฺปนฺนํ รูปํ อญฺญสฺส ตโต สตฺตรสมสฺส อุปฺปาทกฺขเณ, ฐิติกฺขเณ อุปฺปนฺนํ อญฺญสฺส ฐิติกฺขเณติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโย’’ติ อิทํ ปาฬิยา วิรุชฺฌนฺตมฺปิ อฎฺฐกถายํ อาคตภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตนฺติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยติ อโตฺถฯ กสฺมาติ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปํ สนฺธาย ปาฬิ ปวตฺตา, อฎฺฐกถายํ ปน กมฺมชรูปนฺติ สา ตาย เกน การเณน วิรุชฺฌตีติ อาห ‘‘จตุ…เป.… ภวิตพฺพตฺตา’’ติ, นิปฺผนฺนสฺสาติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘โย จายํ จิตฺตสมุฎฺฐานสฺส…เป.… กมฺมาทิสมุฎฺฐานสฺสาปิ อยเมว ขณนิยโม’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๖ ปกิณฺณกกถา)ฯ เอเตหีติ ยถานีโต ยมกปาโฐ, ‘‘กายสงฺขาโร จิตฺตสมุฎฺฐาโน’’ติอาทิโก อฎฺฐกถาปเทโสติ เอเตหิ ฯ นตฺถิเยว เอกุปฺปาทเอกนิโรธทีปนโตติ อธิปฺปาโยฯ เตน หิ วุตฺตํ ‘‘เยน จิเตฺตน สทฺธิํ อุปฺปชฺชติ, ตโต ปฎฺฐาย สตฺตรสเมน สทฺธิํ นิรุชฺฌตี’’ติอาทิฯ

    Aññassauppādakkhaṇeti yassa cittassa uppādakkhaṇe uppannaṃ rūpaṃ aññassa tato sattarasamassa uppādakkhaṇe, ṭhitikkhaṇe uppannaṃ aññassa ṭhitikkhaṇeti sambandho. ‘‘Vuttanti adhippāyo’’ti idaṃ pāḷiyā virujjhantampi aṭṭhakathāyaṃ āgatabhāvadassanatthaṃ vuttanti ayamettha adhippāyoti attho. Kasmāti cittasamuṭṭhānarūpaṃ sandhāya pāḷi pavattā, aṭṭhakathāyaṃ pana kammajarūpanti sā tāya kena kāraṇena virujjhatīti āha ‘‘catu…pe… bhavitabbattā’’ti, nipphannassāti adhippāyo. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yo cāyaṃ cittasamuṭṭhānassa…pe… kammādisamuṭṭhānassāpi ayameva khaṇaniyamo’’ti (vibha. aṭṭha. 26 pakiṇṇakakathā). Etehīti yathānīto yamakapāṭho, ‘‘kāyasaṅkhāro cittasamuṭṭhāno’’tiādiko aṭṭhakathāpadesoti etehi . Natthiyeva ekuppādaekanirodhadīpanatoti adhippāyo. Tena hi vuttaṃ ‘‘yena cittena saddhiṃ uppajjati, tato paṭṭhāya sattarasamena saddhiṃ nirujjhatī’’tiādi.

    ปุน ‘‘เอเตหี’’ติ อิมินา เอกุปฺปาทนานานิโรธนานุปฺปาทเอกนิโรธทีปนวเสน ปวตฺตา อฎฺฐกถาปเทสา คหิตาติ เวทิตพฺพํ, อุภยตฺถาปิ วา เอเตหิ อาจริเยหีติ อโตฺถฯ ตติโย ภาโค, เตน อธิกา โสฬสจิตฺตกฺขณายุกตา ตติย…เป.… ยุกตา วุตฺตาติ สมฺพโนฺธฯ ตติย ภาโคติ จ อุปฺปาทฎฺฐิติกฺขเณ อุปาทาย ภงฺคกฺขโณ อธิเปฺปโตฯ ยสฺมิํ เอกาทส จิตฺตกฺขณา อตีตา, อวเสสปญฺจจิตฺตกฺขณายุเก, ยสฺมิํ ปญฺจทส จิตฺตกฺขณา อตีตา, อวเสสเอกจิตฺตกฺขณายุเก ตสฺมิํเยว อารมฺมเณติ โยเชตพฺพํฯ อุภยเญฺจตํ ยถากฺกมํ มโนทฺวาเร ปญฺจทฺวาเร จ อาปาถคตํ เวทิตพฺพํฯ น โข ปเนวํ สกฺกา วิญฺญาตุํ เอกจิตฺตกฺขณาตีตํ อารมฺมณํ สนฺธาย ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภงฺคฎฺฐกถายํ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๗) ตถา วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น หิ สกฺกา’’ติอาทิมาหฯ ปญฺจทสาติ อติเรกปญฺจทส จิตฺตกฺขณา อตีตาติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘ตสฺมา’’ติอาทินา ยตฺถ ขเณกเทสํ อคฺคหิตนฺติ น สกฺกา วตฺตุํ, ตเมว ทเสฺสติฯ เอวํ ตาว น รูปํ สตฺตรสจิตฺตกฺขณายุกํ, นาปิ ตติยภาคาธิกโสฬสจิตฺตกฺขณายุกํ, อถ โข โสฬสจิตฺตกฺขณายุกเมวาติ ทสฺสิตํ โหติฯ

    Puna ‘‘etehī’’ti iminā ekuppādanānānirodhanānuppādaekanirodhadīpanavasena pavattā aṭṭhakathāpadesā gahitāti veditabbaṃ, ubhayatthāpi vā etehi ācariyehīti attho. Tatiyo bhāgo, tena adhikā soḷasacittakkhaṇāyukatā tatiya…pe… yukatā vuttāti sambandho. Tatiya bhāgoti ca uppādaṭṭhitikkhaṇe upādāya bhaṅgakkhaṇo adhippeto. Yasmiṃ ekādasa cittakkhaṇā atītā, avasesapañcacittakkhaṇāyuke, yasmiṃ pañcadasa cittakkhaṇā atītā, avasesaekacittakkhaṇāyuke tasmiṃyeva ārammaṇeti yojetabbaṃ. Ubhayañcetaṃ yathākkamaṃ manodvāre pañcadvāre ca āpāthagataṃ veditabbaṃ. Na kho panevaṃ sakkā viññātuṃ ekacittakkhaṇātītaṃ ārammaṇaṃ sandhāya paṭiccasamuppādavibhaṅgaṭṭhakathāyaṃ (vibha. aṭṭha. 227) tathā vuttanti dassento ‘‘na hi sakkā’’tiādimāha. Pañcadasāti atirekapañcadasa cittakkhaṇā atītāti sambandho. ‘‘Tasmā’’tiādinā yattha khaṇekadesaṃ aggahitanti na sakkā vattuṃ, tameva dasseti. Evaṃ tāva na rūpaṃ sattarasacittakkhaṇāyukaṃ, nāpi tatiyabhāgādhikasoḷasacittakkhaṇāyukaṃ, atha kho soḷasacittakkhaṇāyukamevāti dassitaṃ hoti.

    กสฺมา ปเนตฺถ รูปเมว สมาเนปิ อนิจฺจสงฺขตาทิภาเว จิรายุกํ ชาตนฺติ? ทนฺธปริวตฺติภาวโตฯ อรูปธมฺมา หิ สารมฺมณา จิตฺตปุพฺพงฺคมา, เต ยถาพลํ อตฺตโน อารมฺมณวิภาวนวเสน ปวตฺตนฺตีติ ตทตฺถนิปฺผตฺติสมนนฺตรเมว นิรุชฺฌนโต ลหุปริวตฺติโนฯ เตนาห ภควา, ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกธมฺมมฺปิ สมนุปสฺสามิ เอวํ ลหุปริวตฺตํ, ยทิทํ, ภิกฺขเว, จิตฺต’’นฺติ (อ. นิ. ๑.๔๘)ฯ รูปธมฺมา ปน อนารมฺมณา, เต อารมฺมณวเสน อรูปธเมฺมหิ วิภาเวตพฺพาฯ สา จ เนสํ โวหารานุคุณา วิภาเวตพฺพตา อตฺตโน ทนฺธปริวตฺติตาย, เตสญฺจ ลหุปริวตฺติตาย โสฬสหิ สตฺตรสหิ วา จิตฺตกฺขเณหิ นิปฺปชฺชตีติ รูปเมเวตฺถ จิรายุกํ ชาตํฯ กิญฺจ – ลหุวิญฺญาณวิสยสนฺตติมตฺตาธีนวุตฺติตาย ติณฺณํ ขนฺธานํ, อารมฺมณูปลทฺธิมตฺตภาวโต วิญฺญาณสฺส จ ลหุปริวตฺติตา, ทนฺธมหาภูตปฺปจฺจยตาย ปน รูปสฺส ทนฺธปริวตฺติตาฯ นานาธาตูสุ ตถาคตเสฺสว ยถาภูตญาณํ, เตน จ รูปเมว ปุเรชาตปจฺจโย วุโตฺต, ปจฺฉาชาตปจฺจโย จ ตเสฺสวาติ น เอตฺถ อนิจฺจสงฺขตาทิภาวสามเญฺญน รูปารูปํ สมานายุกํ ปริกเปฺปตพฺพํฯ วุตฺตนเยน รูปเมว จิรายุกนฺติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ

    Kasmā panettha rūpameva samānepi aniccasaṅkhatādibhāve cirāyukaṃ jātanti? Dandhaparivattibhāvato. Arūpadhammā hi sārammaṇā cittapubbaṅgamā, te yathābalaṃ attano ārammaṇavibhāvanavasena pavattantīti tadatthanipphattisamanantarameva nirujjhanato lahuparivattino. Tenāha bhagavā, ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekadhammampi samanupassāmi evaṃ lahuparivattaṃ, yadidaṃ, bhikkhave, citta’’nti (a. ni. 1.48). Rūpadhammā pana anārammaṇā, te ārammaṇavasena arūpadhammehi vibhāvetabbā. Sā ca nesaṃ vohārānuguṇā vibhāvetabbatā attano dandhaparivattitāya, tesañca lahuparivattitāya soḷasahi sattarasahi vā cittakkhaṇehi nippajjatīti rūpamevettha cirāyukaṃ jātaṃ. Kiñca – lahuviññāṇavisayasantatimattādhīnavuttitāya tiṇṇaṃ khandhānaṃ, ārammaṇūpaladdhimattabhāvato viññāṇassa ca lahuparivattitā, dandhamahābhūtappaccayatāya pana rūpassa dandhaparivattitā. Nānādhātūsu tathāgatasseva yathābhūtañāṇaṃ, tena ca rūpameva purejātapaccayo vutto, pacchājātapaccayo ca tassevāti na ettha aniccasaṅkhatādibhāvasāmaññena rūpārūpaṃ samānāyukaṃ parikappetabbaṃ. Vuttanayena rūpameva cirāyukanti niṭṭhamettha gantabbaṃ.

    ยถา จ รูปสฺส สตฺตรสจิตฺตกฺขณายุกตา, ตติยภาคาธิกโสฬสจิตฺตกฺขณายุกตา วา น โหติ, ตํ ทเสฺสตฺวา ยฺวายํ อฎฺฐกถายํ จิตฺตสฺส ฐิติกฺขเณ รูปุปฺปาโท วุโตฺต, ตตฺถ ฐิติกฺขณเมว ตาว จิตฺตสฺส อนนุชานโนฺต ‘‘โย เจตฺถ…เป.… วิจาเรตโพฺพ’’ติ วตฺวา ยมเก อุปฺปนฺนอุปฺปชฺชมานวาราทิปาฬิํ อาหรโนฺต ‘‘จิตฺตยมเก’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปริปุณฺณวิสฺสชฺชเนติ อุภยมฺปิ ยมกปทํ อหาเปตฺวา กตวิสฺสชฺชเนฯ อุปฺปาทกฺขเณ อนาคตญฺจาติ อุปฺปาทกฺขเณ จ จิตฺตํ, อนาคตญฺจ จิตฺตํ น นิรุทฺธํ, นิรุชฺฌมานนฺติ อโตฺถฯ ฐิติกฺขณาภาวํ จิตฺตสฺส ทีเปตีติ อุปฺปนฺนอุปฺปชฺชมานวาราทีสุ ‘‘ฐิติกฺขเณ’’ติ อวจนํ จิตฺตสฺส ฐิติกฺขณํ นาม นตฺถีติ อิมมตฺถํ ทีเปติ โพเธติฯ น หิ ยถาธมฺมสาสเน อภิธเมฺม ลพฺภมานสฺส อวจเน การณํ ทิสฺสตีติ อธิปฺปาโยฯ น เกวลมภิธเมฺม อวจนเมว จิตฺตสฺส ฐิติกฺขณาภาวโชตกํ, อปิจ โข สุตฺตนฺตปาฬิปีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สุเตฺตสุปี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อญฺญถตฺตํ นาม ปุพฺพาปรวิเสโสฯ ขณทฺวยสมงฺคิํ ฐิตนฺติ ปจฺจุปฺปนฺนสฺส ฐิตภาวมาหฯ อญฺญถตฺตํ ปน สนฺตาเนเยว เวทิตพฺพํฯ

    Yathā ca rūpassa sattarasacittakkhaṇāyukatā, tatiyabhāgādhikasoḷasacittakkhaṇāyukatā vā na hoti, taṃ dassetvā yvāyaṃ aṭṭhakathāyaṃ cittassa ṭhitikkhaṇe rūpuppādo vutto, tattha ṭhitikkhaṇameva tāva cittassa ananujānanto ‘‘yo cettha…pe… vicāretabbo’’ti vatvā yamake uppannauppajjamānavārādipāḷiṃ āharanto ‘‘cittayamake’’tiādimāha. Tattha paripuṇṇavissajjaneti ubhayampi yamakapadaṃ ahāpetvā katavissajjane. Uppādakkhaṇe anāgatañcāti uppādakkhaṇe ca cittaṃ, anāgatañca cittaṃ na niruddhaṃ, nirujjhamānanti attho. Ṭhitikkhaṇābhāvaṃ cittassa dīpetīti uppannauppajjamānavārādīsu ‘‘ṭhitikkhaṇe’’ti avacanaṃ cittassa ṭhitikkhaṇaṃ nāma natthīti imamatthaṃ dīpeti bodheti. Na hi yathādhammasāsane abhidhamme labbhamānassa avacane kāraṇaṃ dissatīti adhippāyo. Na kevalamabhidhamme avacanameva cittassa ṭhitikkhaṇābhāvajotakaṃ, apica kho suttantapāḷipīti dassento ‘‘suttesupī’’tiādimāha. Tattha aññathattaṃ nāma pubbāparaviseso. Khaṇadvayasamaṅgiṃ ṭhitanti paccuppannassa ṭhitabhāvamāha. Aññathattaṃ pana santāneyeva veditabbaṃ.

    เอตฺถ จ เกจิ ‘‘ยถาภูโต ธโมฺม อุปฺปชฺชติ, กิํ ตถาภูโตว ภิชฺชติ, อุทาหุ อญฺญถาภูโต? ยทิ ตถาภูโตว ภิชฺชติ, น ชรตาย สมฺภโวฯ อถ อญฺญถาภูโต, อโญฺญ เอว โสติ สพฺพถาปิ ฐิติกฺขณสฺส อภาโวเยวา’’ติ วทนฺติฯ ตตฺถ เอกธมฺมาธารภาเวปิ อุปฺปาทนิโรธานํ อโญฺญว อุปฺปาทกฺขโณ, อโญฺญ นิโรธกฺขโณฯ อุปฺปาทาวตฺถญฺหิ อุปาทาย อุปฺปาทกฺขโณ, นิโรธาวตฺถํ อุปาทาย นิโรธกฺขโณฯ อุปฺปาทาวตฺถาย จ ภินฺนา นิโรธาวตฺถาติ เอกสฺมิํเยว สภาวธเมฺม ยถา อิจฺฉิตพฺพา, อญฺญถา อโญฺญว ธโมฺม อุปฺปชฺชติ, อโญฺญ ธโมฺม นิรุชฺฌตีติ อาปเชฺชยฺย, เอวํ นิโรธาวตฺถาย วิย นิโรธาภิมุขาวตฺถายปิ ภวิตพฺพํฯ สา ฐิติ, ชรตา จาติ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพเมตํฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ปาฬิยํ ฐิติกฺขโณ น วุโตฺตติ? วิเนยฺยชฺฌาสยานุโรเธน นยทสฺสนวเสน ปาฬิ คตาติ เวทิตพฺพาฯ อภิธมฺมเทสนาปิ หิ กทาจิ วิเนยฺยชฺฌาสยานุโรเธน ปวตฺตติฯ ตถา หิ รูปสฺส อุปฺปาโท ‘‘อุปจโย, สนฺตตี’’ติ ภินฺทิตฺวา เทสิโตฯ เหตุสมฺปยุตฺตทุกาทิเทสนา เจตฺถ นิทสฺสิตพฺพาฯ

    Ettha ca keci ‘‘yathābhūto dhammo uppajjati, kiṃ tathābhūtova bhijjati, udāhu aññathābhūto? Yadi tathābhūtova bhijjati, na jaratāya sambhavo. Atha aññathābhūto, añño eva soti sabbathāpi ṭhitikkhaṇassa abhāvoyevā’’ti vadanti. Tattha ekadhammādhārabhāvepi uppādanirodhānaṃ aññova uppādakkhaṇo, añño nirodhakkhaṇo. Uppādāvatthañhi upādāya uppādakkhaṇo, nirodhāvatthaṃ upādāya nirodhakkhaṇo. Uppādāvatthāya ca bhinnā nirodhāvatthāti ekasmiṃyeva sabhāvadhamme yathā icchitabbā, aññathā aññova dhammo uppajjati, añño dhammo nirujjhatīti āpajjeyya, evaṃ nirodhāvatthāya viya nirodhābhimukhāvatthāyapi bhavitabbaṃ. Sā ṭhiti, jaratā cāti sampaṭicchitabbametaṃ. Yadi evaṃ kasmā pāḷiyaṃ ṭhitikkhaṇo na vuttoti? Vineyyajjhāsayānurodhena nayadassanavasena pāḷi gatāti veditabbā. Abhidhammadesanāpi hi kadāci vineyyajjhāsayānurodhena pavattati. Tathā hi rūpassa uppādo ‘‘upacayo, santatī’’ti bhinditvā desito. Hetusampayuttadukādidesanā cettha nidassitabbā.

    ‘‘ยสฺส วา ปนา’’ติอาทิ ปุจฺฉาวจนํฯ ตสฺส ‘‘โน’’ติ วิสฺสชฺชนํฯ สมุทยสจฺจํ นิรุชฺฌตีติ จิตฺตุปฺปาทสฺส นิโรธกฺขโณ วุโตฺตฯ อยเมตฺถ อธิปฺปาโย – ยทิ จิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ รูปํ อุปฺปเชฺชยฺย, ตํ ทุกฺขสจฺจนฺติ กตฺวา ‘‘โน’’ติ วตฺตุํ น สกฺกา, วุตฺตเญฺจตํฯ ตสฺมา วิญฺญายติ ‘‘จิตฺตสฺส นิโรธกฺขเณ รูปุปฺปาโท นตฺถี’’ติฯ ตยิทมการณํฯ อรูปโลกญฺหิ สนฺธาย, จิตฺตสมุฎฺฐานรูปํ วา ‘‘โน’’ติ สกฺกา วตฺตุนฺติฯ อยญฺหิ ยมกเทสนาย ปกติ, ยทิทํ ยถาสมฺภวโยชนาฯ เอเตน ‘‘น จ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปเมวา’’ติอาทิวจนํ ปฎิกฺขิตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ปจฺจาสตฺติญาเยน ยํ สมุทยสจฺจํ นิรุชฺฌติ, เตน ยํ ทุกฺขสจฺจํ อุปฺปาเทตพฺพํ จิตฺตเจตสิกตปฺปฎิพทฺธรูปสงฺขาตํ, ตสฺส ตทา อุปฺปตฺติ นตฺถีติ ‘‘โน’’ติ วิสฺสชฺชนํ, น สพฺพสฺสฯ

    ‘‘Yassavā panā’’tiādi pucchāvacanaṃ. Tassa ‘‘no’’ti vissajjanaṃ. Samudayasaccaṃ nirujjhatīti cittuppādassa nirodhakkhaṇo vutto. Ayamettha adhippāyo – yadi cittassa bhaṅgakkhaṇe rūpaṃ uppajjeyya, taṃ dukkhasaccanti katvā ‘‘no’’ti vattuṃ na sakkā, vuttañcetaṃ. Tasmā viññāyati ‘‘cittassa nirodhakkhaṇe rūpuppādo natthī’’ti. Tayidamakāraṇaṃ. Arūpalokañhi sandhāya, cittasamuṭṭhānarūpaṃ vā ‘‘no’’ti sakkā vattunti. Ayañhi yamakadesanāya pakati, yadidaṃ yathāsambhavayojanā. Etena ‘‘na ca cittasamuṭṭhānarūpamevā’’tiādivacanaṃ paṭikkhittaṃ daṭṭhabbaṃ. Atha vā paccāsattiñāyena yaṃ samudayasaccaṃ nirujjhati, tena yaṃ dukkhasaccaṃ uppādetabbaṃ cittacetasikatappaṭibaddharūpasaṅkhātaṃ, tassa tadā uppatti natthīti ‘‘no’’ti vissajjanaṃ, na sabbassa.

    สหุปฺปาเทกนิโรธวจนโตติ ‘‘ยสฺส กายสงฺขาโร นิรุชฺฌติ, ตสฺส จิตฺตสงฺขาโร นิรุชฺฌตีติ? อามนฺตา’’ติ (ยม. ๒.สงฺขารยมก.๗๙) เอวํ สหุปฺปาทสหนิโรธวจนโตฯ เตน วจเนนาติ ‘‘ยสฺส กายสงฺขาโร’’ติอาทิวจเนนฯ อญฺญรูปานนฺติ กมฺมอุตุอาหารชรูปานํฯ สหุปฺปาทสหนิโรธาทิกานนฺติ เอตฺถายํ โยชนา – อปฺปฎิกฺขิตฺตสหุปฺปาทสหนิโรธอนนุญฺญาตนานุปฺปาทนานานิโรธอนิวาริตอพฺยากตภาวานํ กมฺมชาทีนนฺติฯ เอเตนาติ ‘‘ยสฺส กุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติอาทิเกน (ยม. ๓.ธมฺมยมก.๑๖๓) ปาเฐน, ‘‘น จิตฺตสมุฎฺฐานรูปเมวา’’ติ ยุตฺติวจเนน จฯ ยมกปาฬิอนุสฺสรเณติ ยถาทสฺสิตจิตฺตยมกปาฬิยา ยถารุตวเสเนว อนุสฺสรเณ วิชฺชมาเนฯ ภิชฺชมานตาติ จิตฺตสฺส ภิชฺชมานตา นาม นิรุชฺฌมานตา ฐิติยา อภาวโตฯ สหายภาวํ นาปิ คจฺฉติ นิสฺสยตฺถิภาวาทินา ปจฺจยภาวาภาวโตฯ อุปฺปาทกฺขเณ เอว หิ อนนฺตราทิปจฺจยลาเภน จิตฺตสฺส พลวตาฯ เอวญฺจ สตีติ เอวญฺจ อุตุนาปิ ภวงฺคจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณเยว รูปสมุฎฺฐาปเน สติฯ ตํจิตฺตกฺขเณติ ตสฺส จิตฺตสฺส ขเณ, ขณทฺวเยปีติ อโตฺถฯ เตเนวาติ อติลหุปริวตฺติภาเวเนวฯ อถ วา เตเนวาติ ทนฺธปริวตฺติกตาย รูปสฺส สกลํ เอกจิตฺตกฺขณํ อุปฺปชฺชมานภาเวเนวฯ นฺติ จิตฺตํฯ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วิย สหชาตรูปธมฺมานมฺปิ สหชาตาทิปจฺจเยน ปจฺจโย โหตีติ อาห ‘‘ปฎิสนฺธิโต อุทฺธ’’นฺติฯ จิตฺตสมุฎฺฐานานํ จิตฺตํ สหชาตาทิปจฺจโย โหติเยวาติ วุตฺตํ ‘‘อจิตฺตสมุฎฺฐานาน’’นฺติฯ ตทนนฺตรนฺติ เยน จิเตฺตน สหุปฺปนฺนํ, ตสฺส จิตฺตสฺส อนนฺตรํฯ นฺติ รูปํฯ ตทนนฺตรํ จิตฺตนฺติ สหุปฺปนฺนจิตฺตานนฺตรํ จิตฺตํฯ ยทิ เอวนฺติ ยทิ สกลํ จิตฺตกฺขณํ รูปํ อุปฺปชฺชมานเมว โหติ, จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ เอว รูปสฺส อุปฺปาทารโมฺภติ อาห ‘‘น, จิตฺตนิโรธกฺขเณ รูปุปฺปาทารมฺภาภาวโต’’ติฯ จิตฺตกฺขเณติ อตฺตนา สหุปฺปนฺนจิตฺตสฺส ขเณฯ นฺติ รูปํฯ รูปสมุฎฺฐาปนปุเรชาตปจฺจยกิจฺจนฺติ รูปสมุฎฺฐาปนกิจฺจญฺจ ปุเรชาตปจฺจยกิจฺจญฺจฯ ฐิติปฺปตฺติวิเสสาลาภนฺติ ฐิติปฺปตฺติยา ลทฺธโพฺพ โย วิเสโส, ตสฺส อลาภํฯ อิทํ วุตฺตนฺติ ‘‘เยน สหุปฺปชฺชติ, ตํจิตฺตกฺขเณ รูปํ อุปฺปชฺชมานเมวา’’ติ อิทํ ปริยาเยน วุตฺตํฯ

    Sahuppādekanirodhavacanatoti ‘‘yassa kāyasaṅkhāro nirujjhati, tassa cittasaṅkhāro nirujjhatīti? Āmantā’’ti (yama. 2.saṅkhārayamaka.79) evaṃ sahuppādasahanirodhavacanato. Tena vacanenāti ‘‘yassa kāyasaṅkhāro’’tiādivacanena. Aññarūpānanti kammautuāhārajarūpānaṃ. Sahuppādasahanirodhādikānanti etthāyaṃ yojanā – appaṭikkhittasahuppādasahanirodhaananuññātanānuppādanānānirodhaanivāritaabyākatabhāvānaṃ kammajādīnanti. Etenāti ‘‘yassa kusalā dhammā uppajjantī’’tiādikena (yama. 3.dhammayamaka.163) pāṭhena, ‘‘na cittasamuṭṭhānarūpamevā’’ti yuttivacanena ca. Yamakapāḷianussaraṇeti yathādassitacittayamakapāḷiyā yathārutavaseneva anussaraṇe vijjamāne. Bhijjamānatāti cittassa bhijjamānatā nāma nirujjhamānatā ṭhitiyā abhāvato. Sahāyabhāvaṃ nāpi gacchati nissayatthibhāvādinā paccayabhāvābhāvato. Uppādakkhaṇe eva hi anantarādipaccayalābhena cittassa balavatā. Evañca satīti evañca utunāpi bhavaṅgacittassa uppādakkhaṇeyeva rūpasamuṭṭhāpane sati. Taṃcittakkhaṇeti tassa cittassa khaṇe, khaṇadvayepīti attho. Tenevāti atilahuparivattibhāveneva. Atha vā tenevāti dandhaparivattikatāya rūpassa sakalaṃ ekacittakkhaṇaṃ uppajjamānabhāveneva. Tanti cittaṃ. Paṭisandhicittaṃ sampayuttadhammānaṃ viya sahajātarūpadhammānampi sahajātādipaccayena paccayo hotīti āha ‘‘paṭisandhito uddha’’nti. Cittasamuṭṭhānānaṃ cittaṃ sahajātādipaccayo hotiyevāti vuttaṃ ‘‘acittasamuṭṭhānāna’’nti. Tadanantaranti yena cittena sahuppannaṃ, tassa cittassa anantaraṃ. Tanti rūpaṃ. Tadanantaraṃ cittanti sahuppannacittānantaraṃ cittaṃ. Yadi evanti yadi sakalaṃ cittakkhaṇaṃ rūpaṃ uppajjamānameva hoti, cittassa uppādakkhaṇe eva rūpassa uppādārambhoti āha ‘‘na, cittanirodhakkhaṇe rūpuppādārambhābhāvato’’ti. Cittakkhaṇeti attanā sahuppannacittassa khaṇe. Tanti rūpaṃ. Rūpasamuṭṭhāpanapurejātapaccayakiccanti rūpasamuṭṭhāpanakiccañca purejātapaccayakiccañca. Ṭhitippattivisesālābhanti ṭhitippattiyā laddhabbo yo viseso, tassa alābhaṃ. Idaṃ vuttanti ‘‘yena sahuppajjati, taṃcittakkhaṇe rūpaṃ uppajjamānamevā’’ti idaṃ pariyāyena vuttaṃ.

    ยํ ยสฺส สมฺพนฺธิภาเวน วุตฺตํ, ตํ ทูเร ฐิตมฺปิ เตน สมฺพนฺธนียนฺติ อาห ‘‘ตโต ปรํ…เป.… เอเตน สห สมฺพโนฺธ’’ติฯ ตสฺมา ‘‘ตโต’’ติ เอตฺถ ตํสเทฺทน จุติํ ปจฺจามสตีติ วุตฺตํ ‘‘จุติโต ปรนฺติ อโตฺถ’’ติฯ

    Yaṃ yassa sambandhibhāvena vuttaṃ, taṃ dūre ṭhitampi tena sambandhanīyanti āha ‘‘tato paraṃ…pe… etena saha sambandho’’ti. Tasmā ‘‘tato’’ti ettha taṃsaddena cutiṃ paccāmasatīti vuttaṃ ‘‘cutito paranti attho’’ti.

    นตฺถีติ กตฺวาติ ยทิปิ ยถา อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ, ตถา เอกุปฺปาเทกนิโรธตา รูปานํ อรูเปหิ, อรูปานญฺจ รูเปหิ นตฺถิฯ ยถา จ อเมฺหหิ วุตฺตํ, ตถา อเตฺถวาติ อธิปฺปาโยฯ

    Natthītikatvāti yadipi yathā aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ, tathā ekuppādekanirodhatā rūpānaṃ arūpehi, arūpānañca rūpehi natthi. Yathā ca amhehi vuttaṃ, tathā atthevāti adhippāyo.

    จตุตฺถสฺส ปการสฺส วุจฺจมานตฺตา ‘‘ตโย ปกาเร อาหา’’ติ วุตฺตํฯ

    Catutthassa pakārassa vuccamānattā ‘‘tayo pakāre āhā’’ti vuttaṃ.

    ‘‘เตสํเยว รูปานํ กายวิกาโร’’ติอาทินา ปรินิปฺผนฺนานํ วิการาทิภาวํ ทเสฺสตฺวา ‘‘สพฺพํ ปรินิปฺผนฺนํ สงฺขตเมวา’’ติ วทเนฺตน ปรินิปฺผนฺนตาปริยาโย ทสฺสิโตฯ ปุพฺพนฺตาปรนฺตปริจฺฉิโนฺนติ ปาตุภาววิทฺธํสภาวปริจฺฉิโนฺน, อุทยพฺพยปริจฺฉิโนฺน วาฯ ‘‘อยํ ทโตฺต นาม โหตู’’ติอาทินา นามกรณํ นามคฺคหณํฯ สมาปชฺชนํ นิโรธสมาปตฺติยา สมถวิปสฺสนานุกฺกเมน นามกายสฺส นิโรธเมวฯ อาทิ-สเทฺทน สตฺตกสิณาทิปญฺญตฺติยา ปญฺญาปนํ สงฺคณฺหาติฯ นิปฺผาทิยมาโนติ สาธิยมาโนฯ

    ‘‘Tesaṃyeva rūpānaṃ kāyavikāro’’tiādinā parinipphannānaṃ vikārādibhāvaṃ dassetvā ‘‘sabbaṃ parinipphannaṃ saṅkhatamevā’’ti vadantena parinipphannatāpariyāyo dassito. Pubbantāparantaparicchinnoti pātubhāvaviddhaṃsabhāvaparicchinno, udayabbayaparicchinno vā. ‘‘Ayaṃ datto nāma hotū’’tiādinā nāmakaraṇaṃ nāmaggahaṇaṃ. Samāpajjanaṃ nirodhasamāpattiyā samathavipassanānukkamena nāmakāyassa nirodhameva. Ādi-saddena sattakasiṇādipaññattiyā paññāpanaṃ saṅgaṇhāti. Nipphādiyamānoti sādhiyamāno.

    ปกิณฺณกกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pakiṇṇakakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    กมาทิวินิจฺฉยกถาวณฺณนา

    Kamādivinicchayakathāvaṇṇanā

    อุปฺปตฺติกฺกมาทีสุ เทสนากฺกโมปิ ลพฺภเตวาติ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานาติอาทิโก เทสนากฺกโมวา’’ติ วุตฺตํฯ อนุปุพฺพุกฺกํสโตติ ทานสีลกามาทีนวาทิทสฺสนเนกฺขมฺมกถานํ อนุกฺกเมน อุกฺกฎฺฐภาวโต กถานํ อนุปุพฺพุกฺกํสตา วุตฺตาฯ เตน อุกฺกํสกฺกโม นามายํ วิสุํ กโมติ ทเสฺสติฯ ตถาปิ ทานาทีนํ เทสนากฺกมาวโรธเน การณมาห ‘‘อุปฺปตฺติอาทิววตฺถานาภาวโต’’ติฯ ตตฺถ อาทิ-สเทฺทน ปหานปฎิปตฺติภูมิกฺกเม สงฺคณฺหาติฯ ‘‘จกฺขุอาทีนมฺปิ วิสยภูต’’นฺติ อิมินา ปญฺจรูปินฺทฺริยโคจรตา อธิเปฺปตาติ อาห ‘‘เอกเทเสนา’’ติอาทิฯ เอกเทเสนาติ พาหิโรฬาริกายตเนหิฯ เอตฺถาติ ‘‘ยํ เวทยติ, ตํ สญฺชานาตี’’ติ เอตสฺมิํ ปเท วุตฺตนเยนฯ

    Uppattikkamādīsu desanākkamopi labbhatevāti ‘‘cattāro satipaṭṭhānātiādiko desanākkamovā’’ti vuttaṃ. Anupubbukkaṃsatoti dānasīlakāmādīnavādidassananekkhammakathānaṃ anukkamena ukkaṭṭhabhāvato kathānaṃ anupubbukkaṃsatā vuttā. Tena ukkaṃsakkamo nāmāyaṃ visuṃ kamoti dasseti. Tathāpi dānādīnaṃ desanākkamāvarodhane kāraṇamāha ‘‘uppattiādivavatthānābhāvato’’ti. Tattha ādi-saddena pahānapaṭipattibhūmikkame saṅgaṇhāti. ‘‘Cakkhuādīnampi visayabhūta’’nti iminā pañcarūpindriyagocaratā adhippetāti āha ‘‘ekadesenā’’tiādi. Ekadesenāti bāhiroḷārikāyatanehi. Etthāti ‘‘yaṃ vedayati, taṃ sañjānātī’’ti etasmiṃ pade vuttanayena.

    ตํสภาวตานิวตฺตนตฺถนฺติ อนาสวธมฺมสภาวตานิวตฺตนตฺถํฯ อนาสวา ขเนฺธเสฺวว วุตฺตาติ อโตฺถ สาสวานมฺปิ ขเนฺธสุ วุตฺตตฺตาฯ นนุ จ อนาสวธโมฺม ขเนฺธสุ อวุโตฺตปิ อตฺถีติ? สจฺจํ อตฺถิ, ขนฺธาธิกาเร ขนฺธปริยาปนฺนา เอว อนาสวา คยฺหนฺตีติ นายํ โทโสฯ

    Taṃsabhāvatānivattanatthanti anāsavadhammasabhāvatānivattanatthaṃ. Anāsavā khandhesveva vuttāti attho sāsavānampi khandhesu vuttattā. Nanu ca anāsavadhammo khandhesu avuttopi atthīti? Saccaṃ atthi, khandhādhikāre khandhapariyāpannā eva anāsavā gayhantīti nāyaṃ doso.

    ยถา ผสฺสาทโย วิเสสโต ตทนุคุณวุตฺติตาย สงฺขตาภิสงฺขรณสภาวาติ สงฺขารกฺขเนฺธ สมวรุทฺธา, น เอวํ เวทนาสญฺญาวิญฺญาณานีติ รูปธมฺมา วิย ตานิ วิสุํ ขนฺธภาเวน วุตฺตานิฯ เอเตน ผสฺสาทีนํ วิสุํ ขนฺธสทฺทวจนียตาภาโว วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ผุสนาทโย ปนา’’ติอาทิฯ อิติอาทีนญฺจ สุตฺตานนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ‘‘รูเป โข, ภิกฺขเว, สติ รูปํ อุปาทาย รูปํ อภินิวิสฺส อุปฺปชฺชนฺติ สํโยชนาภินิเวสวินิพนฺธาฯ เวทนาย…เป.… สญฺญาย… สงฺขาเรสุ… วิญฺญาเณ สติ วิญฺญาณํ อุปาทาย วิญฺญาณํ อภินิวิสฺส อุปฺปชฺชนฺติ สํโยชนาภินิเวสวินิพนฺธา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๕๘), ตถา ‘‘อหํ รูปํ, มม รูปนฺติ ปริยุฎฺฐฎฺฐายี โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑) จ เอวมาทีนํ สุตฺตปทานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ เอเตนาติ อตฺตนา ทสฺสิตสุเตฺตนฯ วกฺขมานสุตฺตวเสน จาติ ‘‘รูเป โข, ภิกฺขเว, สตี’’ติอาทิกสฺส อฎฺฐกถายํ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๖ ปกิณฺณกกถา) วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส วเสนฯ ‘‘ปริตฺตารมฺมณาทิวเสน น วตฺตพฺพา’’ติ เอเตน นวตฺตพฺพารมฺมณาปิ ทิฎฺฐิ ขเนฺธ เอว นิสฺสาย อุปฺปชฺชติ, ปเคว ขนฺธารมฺมณาติ ทเสฺสติฯ

    Yathā phassādayo visesato tadanuguṇavuttitāya saṅkhatābhisaṅkharaṇasabhāvāti saṅkhārakkhandhe samavaruddhā, na evaṃ vedanāsaññāviññāṇānīti rūpadhammā viya tāni visuṃ khandhabhāvena vuttāni. Etena phassādīnaṃ visuṃ khandhasaddavacanīyatābhāvo vuttoti veditabbo. Tena vuttaṃ ‘‘phusanādayo panā’’tiādi. Itiādīnañca suttānanti ettha ādi-saddena ‘‘rūpe kho, bhikkhave, sati rūpaṃ upādāya rūpaṃ abhinivissa uppajjanti saṃyojanābhinivesavinibandhā. Vedanāya…pe… saññāya… saṅkhāresu… viññāṇe sati viññāṇaṃ upādāya viññāṇaṃ abhinivissa uppajjanti saṃyojanābhinivesavinibandhā’’ti (saṃ. ni. 3.158), tathā ‘‘ahaṃ rūpaṃ, mama rūpanti pariyuṭṭhaṭṭhāyī hotī’’ti (saṃ. ni. 3.1) ca evamādīnaṃ suttapadānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Etenāti attanā dassitasuttena. Vakkhamānasuttavasena cāti ‘‘rūpe kho, bhikkhave, satī’’tiādikassa aṭṭhakathāyaṃ (vibha. aṭṭha. 26 pakiṇṇakakathā) vakkhamānassa suttassa vasena. ‘‘Parittārammaṇādivasena na vattabbā’’ti etena navattabbārammaṇāpi diṭṭhi khandhe eva nissāya uppajjati, pageva khandhārammaṇāti dasseti.

    เวทนาการณายาติ เวทนายาตนายฯ ฉาทาปนโตติ โรจาปนโตฯ พาหุเลฺลนาติ พหุลภาเวนฯ อุปาทานกฺขนฺธา หิ พาหุลฺลปฺปวตฺติกา, น อิตเรฯ

    Vedanākāraṇāyāti vedanāyātanāya. Chādāpanatoti rocāpanato. Bāhullenāti bahulabhāvena. Upādānakkhandhā hi bāhullappavattikā, na itare.

    ปุฎํ กตฺวาติ จ ฉตฺตสทิสํ ปุฎํ พนฺธํ กตฺวาฯ วตฺถุมฺหีติ จกฺขาทิวตฺถุมฺหิฯ วฎฺฎคตเวทนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สา หิ อิธ ทฎฺฐพฺพภาเว ฐิตาฯ อูเนหีติ วตฺถุนา, กิเลเสหิ จ อูเนหิฯ

    Puṭaṃ katvāti ca chattasadisaṃ puṭaṃ bandhaṃ katvā. Vatthumhīti cakkhādivatthumhi. Vaṭṭagatavedanaṃ sandhāya vuttaṃ. Sā hi idha daṭṭhabbabhāve ṭhitā. Ūnehīti vatthunā, kilesehi ca ūnehi.

    มายายาติ อินฺทชาลาทิมายาย ปโยโค มายาติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘มายาย ทสฺสิตํ รูปํ ‘มายา’ติ อาหา’’ติฯ วตฺถุภาวาทิโตติ อาทิ-สเทฺทน อารมฺมณสมฺปยุตฺตาทิเก สงฺคณฺหาติฯ กตฺถจีติ รูปกฺขนฺธาทิเกฯ โกจิ วิเสโสติ อสุภาทิโกวฯ

    Māyāyāti indajālādimāyāya payogo māyāti adhippāyenāha ‘‘māyāya dassitaṃ rūpaṃ ‘māyā’ti āhā’’ti. Vatthubhāvāditoti ādi-saddena ārammaṇasampayuttādike saṅgaṇhāti. Katthacīti rūpakkhandhādike. Koci visesoti asubhādikova.

    ตสฺสาติ อชฺฌตฺติกรูปสฺสฯ ยสฺส กามราคปฺปหานมุเขน สพฺพราคปฺปหานํ สมฺภวติ, ตํ สนฺธายาห ‘‘กามราคมุเขน วา สพฺพโลภปฺปหานํ วทตี’’ติฯ โยเชตพฺพนฺติ เวทนาย ฉนฺทราคํ ปชหโนฺต ตสฺสา สมุทยภูเต ผเสฺสปิ ฉนฺทราคํ ปชหตีติ โยเชตพฺพนฺติฯ ปริญฺญตฺตยสฺส โยชนา ปากฎา เอวฯ

    Tassāti ajjhattikarūpassa. Yassa kāmarāgappahānamukhena sabbarāgappahānaṃ sambhavati, taṃ sandhāyāha ‘‘kāmarāgamukhena vā sabbalobhappahānaṃ vadatī’’ti. Yojetabbanti vedanāya chandarāgaṃ pajahanto tassā samudayabhūte phassepi chandarāgaṃ pajahatīti yojetabbanti. Pariññattayassa yojanā pākaṭā eva.

    ตโตติ ทุกฺขุปฺปาทนสุขวินาสนานํ อทสฺสนโตฯ ภินฺทตีติ วินาเสติฯ นฺติ มโนสเญฺจตนาหารํ ญาตตีรณปริญฺญาหิ ปริคฺคณฺหาติ ตีเรติฯ

    Tatoti dukkhuppādanasukhavināsanānaṃ adassanato. Bhindatīti vināseti. Tanti manosañcetanāhāraṃ ñātatīraṇapariññāhi pariggaṇhāti tīreti.

    ตํ ปชหโนฺตติ อวิชฺชํ ปชหโนฺตฯ ปรามฎฺฐนฺติ ปรามาสสงฺขาตาย ทิฎฺฐิยา นิจฺจาทิวเสน คหิตํฯ วิญฺญาณํ นิจฺจโต ปสฺสโนฺต ทิฎฺฐุปาทานํ อุปาทิยตีติ อยมโตฺถ ‘‘ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’’นฺติอาทิสุตฺตปเทหิ (ม. นิ. ๑.๓๙๖) ทีเปตโพฺพฯ

    Taṃ pajahantoti avijjaṃ pajahanto. Parāmaṭṭhanti parāmāsasaṅkhātāya diṭṭhiyā niccādivasena gahitaṃ. Viññāṇaṃ niccato passanto diṭṭhupādānaṃ upādiyatīti ayamattho ‘‘tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’’ntiādisuttapadehi (ma. ni. 1.396) dīpetabbo.

    กมาทิวินิจฺฉยกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kamādivinicchayakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttantabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา

    2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā

    ๓๔. ตํ วตฺวาติ ตํ ภูมิวเสน ชานิตพฺพตํ ‘‘สพฺพาปิ จตุภูมิกเวทนา’’ติอาทินา วตฺวาฯ สมฺปยุตฺตโต ทสฺสิตตาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน เหตุชาติภูมิอินฺทฺริยวตฺถุสมฺผสฺสชเภทโต ทสฺสิตตํ อนวเสสโต สงฺคณฺหาติฯ

    34. Taṃvatvāti taṃ bhūmivasena jānitabbataṃ ‘‘sabbāpi catubhūmikavedanā’’tiādinā vatvā. Sampayuttato dassitatādīti ettha ādi-saddena hetujātibhūmiindriyavatthusamphassajabhedato dassitataṃ anavasesato saṅgaṇhāti.

    ยทิปิ ตํ-สโทฺท ปุเพฺพ วุตฺตสฺส สามญฺญโต ปฎินิเทฺทโส, ตถาปิ อนนฺตรเมว ปจฺจามสิตุํ ยุโตฺต อิตรตฺถ อสมฺภวโตติ อาห ‘‘อฎฺฐ…เป.… โยชนา’’ติฯ ‘‘อฎฺฐวิธตฺตาภาวโต’’ติ อิมินา ตํ อสมฺภวํ ทเสฺสติฯ

    Yadipi taṃ-saddo pubbe vuttassa sāmaññato paṭiniddeso, tathāpi anantarameva paccāmasituṃ yutto itarattha asambhavatoti āha ‘‘aṭṭha…pe… yojanā’’ti. ‘‘Aṭṭhavidhattābhāvato’’ti iminā taṃ asambhavaṃ dasseti.

    ปูรณตฺถเมว วุโตฺต, อปุพฺพตาภาวโตติ อโตฺถฯ

    Pūraṇatthameva vutto, apubbatābhāvatoti attho.

    คหณวฑฺฒนวเสนาติ คหณสฺส วฑฺฒนวเสนฯ คหณนฺติ เจตฺถ กถนํ ทฎฺฐพฺพํ, ตสฺส วฑฺฒนํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน อวุตฺตสฺส กถนํฯ เตนาห ‘‘ปุเพฺพ คหิตโต อญฺญสฺส คหณํ วฑฺฒน’’นฺติ, ตโต เอว จ ‘‘ปุริมคหิเต อญฺญุปจยวเสนา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘วฑฺฒนสโทฺท เฉทนโตฺถ’’ติ อิทํ ยถา อสิวา ‘‘สิวา’’ติ, ทิฎฺฐญฺจ ‘‘อทิฎฺฐ’’นฺติ วุจฺจติ, เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ นยนีหรณนฺติ นียตีติ นโย, เทสนา, ตสฺส นีหรณํ ปวตฺตนํฯ วฑฺฒนกนโยติ ยถาวุตฺตวฑฺฒนกวเสน ปวโตฺต เทสนานโยฯ อเญฺญ เภทาติ เอกวิธจตุพฺพิธาทโย เภทาฯ ยทิ อวิสิฎฺฐา, กสฺมา วุตฺตาติ อาห ‘‘ตถาปี’’ติอาทิฯ ตตฺถ ปญฺญาปฺปเภทชนนตฺถนฺติ ธมฺมวิสยาย ปเภทคตาย ปญฺญาย วิเนยฺยานํ นิพฺพตฺตนตฺถํ, วิชฺชาฎฺฐานาทิวเสน วิเนยฺยานํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาย อุปฺปาทนตฺถนฺติ อโตฺถฯ อภิเญฺญยฺยธมฺมวิภาคตาย สมฺมสนวารสฺส วิสยภาวโต วุตฺตํ ‘‘เอเกกสฺส วารสฺส คหิตสฺส นิยฺยานมุขภาวโต’’ติฯ อิตเรปิ เภทา วุตฺตาติ ทุวิธติวิธเภทานํ ยํ นานตฺตํ, ตสฺส วเสน อิตเร เภทา อนานตฺตาปิ ยถาวุตฺตการณโต วุตฺตาฯ ‘‘น เกวล’’นฺติอาทินา เภทานํ อญฺญมญฺญเปกฺขตํ ทเสฺสตฺวา ‘‘ตสฺมา’’ติอาทินา เตสํ วิสิฎฺฐตํ ทเสฺสติฯ

    Gahaṇavaḍḍhanavasenāti gahaṇassa vaḍḍhanavasena. Gahaṇanti cettha kathanaṃ daṭṭhabbaṃ, tassa vaḍḍhanaṃ tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne avuttassa kathanaṃ. Tenāha ‘‘pubbe gahitato aññassa gahaṇaṃ vaḍḍhana’’nti, tato eva ca ‘‘purimagahite aññupacayavasenā’’ti vuttaṃ. ‘‘Vaḍḍhanasaddo chedanattho’’ti idaṃ yathā asivā ‘‘sivā’’ti, diṭṭhañca ‘‘adiṭṭha’’nti vuccati, evaṃ daṭṭhabbaṃ. Nayanīharaṇanti nīyatīti nayo, desanā, tassa nīharaṇaṃ pavattanaṃ. Vaḍḍhanakanayoti yathāvuttavaḍḍhanakavasena pavatto desanānayo. Aññe bhedāti ekavidhacatubbidhādayo bhedā. Yadi avisiṭṭhā, kasmā vuttāti āha ‘‘tathāpī’’tiādi. Tattha paññāppabhedajananatthanti dhammavisayāya pabhedagatāya paññāya vineyyānaṃ nibbattanatthaṃ, vijjāṭṭhānādivasena vineyyānaṃ dhammapaṭisambhidāya uppādanatthanti attho. Abhiññeyyadhammavibhāgatāya sammasanavārassa visayabhāvato vuttaṃ ‘‘ekekassa vārassa gahitassa niyyānamukhabhāvato’’ti. Itarepi bhedā vuttāti duvidhatividhabhedānaṃ yaṃ nānattaṃ, tassa vasena itare bhedā anānattāpi yathāvuttakāraṇato vuttā. ‘‘Na kevala’’ntiādinā bhedānaṃ aññamaññapekkhataṃ dassetvā ‘‘tasmā’’tiādinā tesaṃ visiṭṭhataṃ dasseti.

    ยถา ทุกมูลกาทีสุ เภทา คณนานุปุพฺพิยา ปวตฺตา ปเภทนฺตราเปกฺขา, น เอวเมเตฯ เอเต ปน สตฺตวิธาทิเภทา ปเภทนฺตรนิรเปกฺขา เกวลํ พหุวิธภาวสามเญฺญเนว วุตฺตาติ ทเสฺสติ ‘‘อญฺญปฺปเภทนิรเปกฺขา’’ติอาทินาฯ ทุกติกปทตฺถานํ ยถารหํ อเปกฺขิตพฺพาเปกฺขกภาเวน วุตฺตตฺตา ยถา ทุเก ฐเปตฺวา วุตฺตา ติกา ตตฺถ ปกฺขิตฺตา นาม ชาตา, เอวํ ติกทุกปทตฺถานํ อเปกฺขิตพฺพาเปกฺขกภาเวน วุตฺตตฺตา ทุเก วตฺวา วุเตฺตสุปิ ติเกสุ เต ปกฺขิตฺตา นาม โหนฺตีติ อาห ‘‘ปรโต…เป.… โยชิตตฺตา’’ติฯ

    Yathā dukamūlakādīsu bhedā gaṇanānupubbiyā pavattā pabhedantarāpekkhā, na evamete. Ete pana sattavidhādibhedā pabhedantaranirapekkhā kevalaṃ bahuvidhabhāvasāmaññeneva vuttāti dasseti ‘‘aññappabhedanirapekkhā’’tiādinā. Dukatikapadatthānaṃ yathārahaṃ apekkhitabbāpekkhakabhāvena vuttattā yathā duke ṭhapetvā vuttā tikā tattha pakkhittā nāma jātā, evaṃ tikadukapadatthānaṃ apekkhitabbāpekkhakabhāvena vuttattā duke vatvā vuttesupi tikesu te pakkhittā nāma hontīti āha ‘‘parato…pe… yojitattā’’ti.

    สมานวีถิยนฺติ เอกวีถิยํฯ จกฺขุสงฺฆฎฺฎนายาติ จกฺขุรูปปฎิฆาเตนฯ โสติ จกฺขุรูปปฎิฆาโตฯ ตทุปฺปาทิกาติ ตสฺส จกฺขุสมฺผสฺสสฺส อุปฺปาทิกาฯ สาติ อาวชฺชนเวทนาฯ นนุ จ เวทนาปจฺจโย ผโสฺส วุโตฺต, น ผสฺสปจฺจยา เวทนาติ? น, เวทนาสีเสน จิตฺตุปฺปาทสฺส คหิตตฺตาติฯ ตปฺปโยชนตฺตาติ จกฺขุสมฺผสฺสปโยชนตฺตาฯ ปโยชยตีติ ปโยชนํ, ผลํฯ

    Samānavīthiyanti ekavīthiyaṃ. Cakkhusaṅghaṭṭanāyāti cakkhurūpapaṭighātena. Soti cakkhurūpapaṭighāto. Taduppādikāti tassa cakkhusamphassassa uppādikā. ti āvajjanavedanā. Nanu ca vedanāpaccayo phasso vutto, na phassapaccayā vedanāti? Na, vedanāsīsena cittuppādassa gahitattāti. Tappayojanattāti cakkhusamphassapayojanattā. Payojayatīti payojanaṃ, phalaṃ.

    รูปาวจรารูปาวจรานํ วิปากานนฺติ อธิปฺปาโยฯ เต หิ อิธ อคฺคหิตาฯ เตเนวาห ‘‘เตสํ สยเมว มโนทฺวารภูตตฺตา’’ติอาทิฯ ตโตติ ภวงฺคโตฯ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยาทิกุสลาทีนนฺติ เอตฺถ ปุริเมน อาทิ-สเทฺทน ‘‘โสตสมฺผสฺสปจฺจยา’’ติ เอวมาทโย สงฺคหิตา, ทุติเยน อกุสลาทโยฯ ‘‘กามาวจรอฎฺฐกุสลจิตฺตวเสนา’’ติอาทินา กุสลาพฺยากตานมฺปิ กามาวจรานํเยว โยชิตตฺตา วุตฺตํ ‘‘สมานวีถิยํ ลพฺภมานตา อฎฺฐกถายํ วุตฺตา’’ติฯ เวทนาปีติสนิทสฺสนตฺติกวชฺชานํ เอกูนวีสติยา ติกานํ วเสน เอกูนวีสติจตุวีสติกาฯ ยทิ อสมานวีถิยมฺปิ กุสลาทีนํ ลพฺภมานตา โยเชตพฺพา, อถ กสฺมา สมานวีถิยํเยว โยชิตาติ อาห ‘‘อฎฺฐกถายํ ปนา’’ติอาทิฯ เตเนวาติ อสมานวีถิยํ อปฺปฎิกฺขิตฺตตฺตาเยวฯ

    Rūpāvacarārūpāvacarānaṃ vipākānanti adhippāyo. Te hi idha aggahitā. Tenevāha ‘‘tesaṃ sayameva manodvārabhūtattā’’tiādi. Tatoti bhavaṅgato. Cakkhusamphassapaccayādikusalādīnanti ettha purimena ādi-saddena ‘‘sotasamphassapaccayā’’ti evamādayo saṅgahitā, dutiyena akusalādayo. ‘‘Kāmāvacaraaṭṭhakusalacittavasenā’’tiādinā kusalābyākatānampi kāmāvacarānaṃyeva yojitattā vuttaṃ ‘‘samānavīthiyaṃ labbhamānatāaṭṭhakathāyaṃ vuttā’’ti. Vedanāpītisanidassanattikavajjānaṃ ekūnavīsatiyā tikānaṃ vasena ekūnavīsaticatuvīsatikā. Yadi asamānavīthiyampi kusalādīnaṃ labbhamānatā yojetabbā, atha kasmā samānavīthiyaṃyeva yojitāti āha ‘‘aṭṭhakathāyaṃ panā’’tiādi. Tenevāti asamānavīthiyaṃ appaṭikkhittattāyeva.

    จิตฺตสมฺพโนฺธติ จิเตฺตน สมฺพโนฺธ จิตฺตสมฺพนฺธํ กตฺวา จิตฺตสีเสน เวทนาย กถนํฯ ติกภูมิวเสนาติ กุสลตฺติกาทิติกวเสน, กามาวจราทิภูมิวเสน จฯ ทฺวารติกวเสนาติ จกฺขาทิอุปฺปตฺติทฺวารวเสน, กุสลตฺติกาทิติกวเสน จฯ ยตฺถ กตฺถจีติ ทีเปตพฺพสฺส อตฺถสฺส วิเสสาภาวโต สตฺตวิธเภทาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิฯ น จ ทฺวารํ อนามฎฺฐนฺติ โยชนาฯ เตน สตฺตวิธเภทโต ติํสวิธเภเท วิเสสํ ทเสฺสติฯ ยทิปิ อุภยตฺถ ภูมิโย อาคตา, รูปาวจราทิภูมิอามสเนน ปน อสมานวีถิยํ ลพฺภมานตา ทสฺสิตาติ อาห ‘‘อติพฺยตฺตา จ เอตฺถ สมานาสมานวีถีสุ ลพฺภมานตา’’ติฯ สุขทีปนานิ โหนฺติ ทฺวารภูมิอามสนมุเขน เวทนากฺขนฺธสฺส วิภตฺตตฺตาฯ น ภูมิโย อเปกฺขิตฺวา ฐปิตาติ กเถตพฺพภาเวน ภูมิโย อเปกฺขิตฺวา น ฐปิตา, ภูมิวิภาเคน น กถิตาติ อโตฺถฯ อเปกฺขิตพฺพรหิตาติ ทฺวารภูมีนํ อคฺคหิตตฺตา อากงฺขิตพฺพทฺวาราทิวิเสสรหิตาฯ

    Cittasambandhoti cittena sambandho cittasambandhaṃ katvā cittasīsena vedanāya kathanaṃ. Tikabhūmivasenāti kusalattikāditikavasena, kāmāvacarādibhūmivasena ca. Dvāratikavasenāti cakkhādiuppattidvāravasena, kusalattikāditikavasena ca. Yattha katthacīti dīpetabbassa atthassa visesābhāvato sattavidhabhedādīsu yattha katthaci. Na ca dvāraṃ anāmaṭṭhanti yojanā. Tena sattavidhabhedato tiṃsavidhabhede visesaṃ dasseti. Yadipi ubhayattha bhūmiyo āgatā, rūpāvacarādibhūmiāmasanena pana asamānavīthiyaṃ labbhamānatā dassitāti āha ‘‘atibyattā ca ettha samānāsamānavīthīsu labbhamānatā’’ti. Sukhadīpanāni honti dvārabhūmiāmasanamukhena vedanākkhandhassa vibhattattā. Na bhūmiyo apekkhitvā ṭhapitāti kathetabbabhāvena bhūmiyo apekkhitvā na ṭhapitā, bhūmivibhāgena na kathitāti attho. Apekkhitabbarahitāti dvārabhūmīnaṃ aggahitattā ākaṅkhitabbadvārādivisesarahitā.

    ‘‘อุปนิสฺสยโกฎิยา’’ติ เอตฺถ นิปฺปริยายโต ปริยายโต จ อุปนิสฺสยโกฎิทสฺสนมุเขน อิธาธิเปฺปตอุปนิสฺสยโกฎิํ ทเสฺสตุํ ‘‘สทฺธํ อุปนิสฺสายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุปนิสฺสยานนฺติ เวทนาย อุปนิสฺสยภูตานํฯ ทสฺสนนฺติ จกฺขุวิญฺญาณํ, ทิสฺวา วา คหณํฯ อุปนิสฺสยนฺตภาเวนาติ ลามกูปนิสฺสยภาเวนฯ ยทิ ฆายนาทีนิ อุปนิสฺสโย ภเวยฺยุํ, ปกตูปนิสฺสยาเนว สิยุํฯ ปกตูปนิสฺสโย จ นานาวีถิยํเยวาติ ตทลาภวจนํ อิธ นานาวีถิโชตกนฺติ ทเสฺสติ ‘‘ฆานาทิทฺวาเรสู’’ติอาทินาฯ กสิณปริกมฺมาทีนนฺติ กสิณปริกมฺมสมาปตฺตินิพฺพตฺตนวิปสฺสนาวฑฺฒนาทีนํฯ ตทลาโภติ อุปนิสฺสยาลาโภ, โส จ ฆายนาทีหิ ปเรสํ ปฎิปตฺติยา ชานิตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตาฯ อนฺติมภวิกโพธิสตฺตาทีนํ สวเนน วินา ตํผุสนํ สิยา มูลูปนิสฺสโยติ ‘‘เยภุเยฺยนา’’ติ วุตฺตํฯ

    ‘‘Upanissayakoṭiyā’’ti ettha nippariyāyato pariyāyato ca upanissayakoṭidassanamukhena idhādhippetaupanissayakoṭiṃ dassetuṃ ‘‘saddhaṃ upanissāyā’’tiādi vuttaṃ. Tattha upanissayānanti vedanāya upanissayabhūtānaṃ. Dassananti cakkhuviññāṇaṃ, disvā vā gahaṇaṃ. Upanissayantabhāvenāti lāmakūpanissayabhāvena. Yadi ghāyanādīni upanissayo bhaveyyuṃ, pakatūpanissayāneva siyuṃ. Pakatūpanissayo ca nānāvīthiyaṃyevāti tadalābhavacanaṃ idha nānāvīthijotakanti dasseti ‘‘ghānādidvāresū’’tiādinā. Kasiṇaparikammādīnanti kasiṇaparikammasamāpattinibbattanavipassanāvaḍḍhanādīnaṃ. Tadalābhoti upanissayālābho, so ca ghāyanādīhi paresaṃ paṭipattiyā jānituṃ asakkuṇeyyattā. Antimabhavikabodhisattādīnaṃ savanena vinā taṃphusanaṃ siyā mūlūpanissayoti ‘‘yebhuyyenā’’ti vuttaṃ.

    สมฺปนฺนชฺฌาสโยติ วิวฎฺฎูปนิสฺสยสมฺปตฺติยา สมฺปนฺนชฺฌาสโยฯ เตนาติ ‘‘เอวํ จกฺขุวิญฺญาณ’’นฺติ วจเนนฯ ตทุปนิสฺสยนฺติ ตโต ปรํ อุปฺปนฺนกสิณรูปทสฺสนาทีนํ อุปนิสฺสยภูตํฯ

    Sampannajjhāsayoti vivaṭṭūpanissayasampattiyā sampannajjhāsayo. Tenāti ‘‘evaṃ cakkhuviññāṇa’’nti vacanena. Tadupanissayanti tato paraṃ uppannakasiṇarūpadassanādīnaṃ upanissayabhūtaṃ.

    ถามคมนํ นาม กามราคาทีนํเยว อาเวณิโก สภาโวติ อาห ‘‘อปฺปหีนกามราคาทิกสฺส วา’’ติฯ ‘‘ราโค อุปฺปโนฺน’’ติอาทินา อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมเณ ราคปฎิฆานํ อุปฺปตฺติวิจารณาว วุตฺตา, น เนสํ กิจฺจวิเสโสติ กิจฺจวิเสเสน วุเตฺต ทเสฺสโนฺต ‘‘อสมเปกฺขนายา’’ติอาทิมาหฯ ปวตฺตา เวทนาติ อโตฺถฯ ปการนฺตเรนาติ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปนฺนกิเลสานํ สมติกฺกมนสงฺขาเตน ปการนฺตเรนฯ ตถา ภาวนาวเสนาติ เอตฺถ ตถา-สเทฺทน จกฺขุสมฺผสฺสสฺส จตุภูมิกเวทนาย อุปนิสฺสยภาโว เอว ปการนฺตเรน กถิโตติ อิมเมวตฺถํ อากฑฺฒติฯ ภาวนาเยเวตฺถ ปการนฺตรํ

    Thāmagamanaṃ nāma kāmarāgādīnaṃyeva āveṇiko sabhāvoti āha ‘‘appahīnakāmarāgādikassa vā’’ti. ‘‘Rāgo uppanno’’tiādinā iṭṭhāniṭṭhārammaṇe rāgapaṭighānaṃ uppattivicāraṇāva vuttā, na nesaṃ kiccavisesoti kiccavisesena vutte dassento ‘‘asamapekkhanāyā’’tiādimāha. Pavattā vedanāti attho. Pakārantarenāti cakkhusamphassapaccayā uppannakilesānaṃ samatikkamanasaṅkhātena pakārantarena. Tathā bhāvanāvasenāti ettha tathā-saddena cakkhusamphassassa catubhūmikavedanāya upanissayabhāvo eva pakārantarena kathitoti imamevatthaṃ ākaḍḍhati. Bhāvanāyevettha pakārantaraṃ.

    สพฺพํ สมฺมสนํ ภาวนาติ เวทิตพฺพา, น นีวรณปฺปหานปริญฺญาวฯ

    Sabbaṃ sammasanaṃ bhāvanāti veditabbā, na nīvaraṇappahānapariññāva.

    อญฺญมญฺญสฺส จาติ โผฎฺฐพฺพมหาภูเตสุ อิตรีตรสฺส, อาโปธาตุยา จ วเสนฯ

    Aññamaññassa cāti phoṭṭhabbamahābhūtesu itarītarassa, āpodhātuyā ca vasena.

    เตสนฺติ ชาติอาทีนํ, กมฺมเตฺถ เจตํ สามิวจนํฯ สหชาตสฺส มโนสมฺผสฺสสฺส พลวปจฺจยภาวํ ทเสฺสตีติ สมฺพโนฺธฯ ตสฺส วา ทสฺสนสฺสาติ ตสฺส วา ชาติอาทิเก ภยโต ทสฺสนวเสน ปวตฺตสฺส กามาวจรญาณสฺสฯ

    Tesanti jātiādīnaṃ, kammatthe cetaṃ sāmivacanaṃ. Sahajātassa manosamphassassa balavapaccayabhāvaṃ dassetīti sambandho. Tassa vā dassanassāti tassa vā jātiādike bhayato dassanavasena pavattassa kāmāvacarañāṇassa.

    ตเทว อตฺตโน ผลเสฺสว ผลภาเวนาติ ‘‘มโนสมฺผโสฺส’’ติ ผสฺสสฺส การณภาเวน ยํ วุตฺตํ, ตเทว วิญฺญาณํ อตฺตโน ผลสฺส ผลภาเวน วุตฺตสฺส ผสฺสสฺส ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสช’’นฺติอาทินา ผลภาเวน วตฺตุํ น ยุตฺตํฯ ‘‘มโนสมฺผโสฺส’’ติอาทินา ลพฺภมาโนปิ วิญฺญาณํ ปฎิจฺจ ผสฺสสฺส ปจฺจยภาโว เหตุผลสงฺกรปริหรณตฺถํ น วุโตฺตติ วตฺวา ยทิปิ ผโสฺส วิญฺญาณสฺส ปจฺจโย โหติ, น ปน ผสฺสสฺส วิย วิญฺญาณํ โส ตสฺส วิเสสปจฺจโย โหตีติ วิญฺญาณสฺส จกฺขุสมฺผสฺสชาทิตา น วุตฺตาติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยสฺมา วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Tadeva attano phalasseva phalabhāvenāti ‘‘manosamphasso’’ti phassassa kāraṇabhāvena yaṃ vuttaṃ, tadeva viññāṇaṃ attano phalassa phalabhāvena vuttassa phassassa ‘‘cakkhusamphassaja’’ntiādinā phalabhāvena vattuṃ na yuttaṃ. ‘‘Manosamphasso’’tiādinā labbhamānopi viññāṇaṃ paṭicca phassassa paccayabhāvo hetuphalasaṅkarapariharaṇatthaṃ na vuttoti vatvā yadipi phasso viññāṇassa paccayo hoti, na pana phassassa viya viññāṇaṃ so tassa visesapaccayo hotīti viññāṇassa cakkhusamphassajāditā na vuttāti dassetuṃ ‘‘yasmā vā’’tiādi vuttaṃ.

    อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๓. ปญฺหปุจฺฉกวณฺณนา

    3. Pañhapucchakavaṇṇanā

    ๑๕๐. ตํ ตํ สมุทายนฺติ ตํ ตํ จิตฺตุปฺปาทสงฺขาตธมฺมสมุทายํ, อนวเสสรูปธมฺมสมุทายญฺจฯ ยถาสมฺภวนฺติ โจปนํ ปโตฺต สํวโร ฉฎฺฐทฺวาเร, อิตโร ฉสุปีติ เอวํ ยถาสมฺภวํฯ ตโตติ อภิชฺฌาโทมนสฺสาทิโตฯ ยถาโยคนฺติ โย สํวริตโพฺพ, ตทนุรูปํฯ

    150. Taṃtaṃ samudāyanti taṃ taṃ cittuppādasaṅkhātadhammasamudāyaṃ, anavasesarūpadhammasamudāyañca. Yathāsambhavanti copanaṃ patto saṃvaro chaṭṭhadvāre, itaro chasupīti evaṃ yathāsambhavaṃ. Tatoti abhijjhādomanassādito. Yathāyoganti yo saṃvaritabbo, tadanurūpaṃ.

    กตฺถจีติ เต เอว ปริวเฎฺฎ สามเญฺญน วทติฯ กตฺถจีติ วา เตสุ ปริวเฎฺฎสุ กิสฺมิญฺจิปิ ปเทเสฯ กิญฺจิปิ อปฺปกมฺปิฯ เอโกว ปริเจฺฉโท, น อายตนวิภงฺคาทีสุ วิย นานาติ อธิปฺปาโยฯ

    Katthacīti te eva parivaṭṭe sāmaññena vadati. Katthacīti vā tesu parivaṭṭesu kismiñcipi padese. Kiñcipi appakampi. Ekova paricchedo, na āyatanavibhaṅgādīsu viya nānāti adhippāyo.

    ปญฺหปุจฺฉกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pañhapucchakavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ขนฺธวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Khandhavibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑. ขนฺธวิภโงฺค • 1. Khandhavibhaṅgo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā
    ๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา • 1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā
    ๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา • 2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā
    ๓. ปญฺหาปุจฺฉกวณฺณนา • 3. Pañhāpucchakavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๑. ขนฺธวิภโงฺค • 1. Khandhavibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact