Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā |
๒. ขนฺธยมกํ
2. Khandhayamakaṃ
๑. ปณฺณตฺติวาโร
1. Paṇṇattivāro
อุเทฺทสวารวณฺณนา
Uddesavāravaṇṇanā
๒-๓. ขนฺธยมเก ฉสุ กาลเภเทสุ ปุคฺคลโอกาสปุคฺคโลกาสวเสน ขนฺธานํ อุปฺปาทนิโรธา เตสํ ปริญฺญา จ วตฺตพฺพาฯ เต ปน ขนฺธา ‘‘รูปกฺขโนฺธ’’ติอาทีหิ ปญฺจหิ ปเทหิ วุจฺจนฺติ, เตสํ ทส อวยวปทานิฯ ตตฺถ โย รูปาทิอวยวปทาภิหิโต ธโมฺม, กิํ โส เอว สมุทายปทสฺส อโตฺถฯ โย จ สมุทายปเทน วุโตฺต, โส เอว อวยวปทสฺสาติ เอตสฺมิํ สํสยฎฺฐาเน รูปาทิอวยวปเทหิ วุโตฺต เอกเทโส สกโล วา สมุทายปทานํ อโตฺถ, สมุทายปเทหิ ปน วุโตฺต เอกเนฺตน รูปาทิอวยวปทานํ อโตฺถติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘รูปํ รูปกฺขโนฺธ, รูปกฺขโนฺธ รูป’’นฺติอาทินา ปทโสธนวาโร วุโตฺตฯ
2-3. Khandhayamake chasu kālabhedesu puggalaokāsapuggalokāsavasena khandhānaṃ uppādanirodhā tesaṃ pariññā ca vattabbā. Te pana khandhā ‘‘rūpakkhandho’’tiādīhi pañcahi padehi vuccanti, tesaṃ dasa avayavapadāni. Tattha yo rūpādiavayavapadābhihito dhammo, kiṃ so eva samudāyapadassa attho. Yo ca samudāyapadena vutto, so eva avayavapadassāti etasmiṃ saṃsayaṭṭhāne rūpādiavayavapadehi vutto ekadeso sakalo vā samudāyapadānaṃ attho, samudāyapadehi pana vutto ekantena rūpādiavayavapadānaṃ atthoti imamatthaṃ dassetuṃ ‘‘rūpaṃ rūpakkhandho, rūpakkhandho rūpa’’ntiādinā padasodhanavāro vutto.
ปุน ‘‘รูปกฺขโนฺธ’’ติอาทีนํ สมาสปทานํ อุตฺตรปทตฺถปฺปธานตฺตา ปธานภูตสฺส ขนฺธปทสฺส เวทนาทิอุปปทตฺถสฺส จ สมฺภวโต ยถา ‘‘รูปกฺขโนฺธ’’ติ เอตสฺมิํ ปเท รูปาวยวปเทน วุตฺตสฺส รูปกฺขนฺธภาโว โหติ รูปสทฺทสฺส ขนฺธสทฺทสฺส จ สมานาธิกรณภาวโตติ, เอวํ ตตฺถ ปธานภูเตน ขนฺธาวยวปเทน วุตฺตสฺส เวทนากฺขนฺธาทิภาโว โหติ ขนฺธปเทน เวทนาทิปทานํ สมานาธิกรณตฺตาติ เอตสฺมิํ สํสยฎฺฐาเน ขนฺธาวยวปเทน วุโตฺต ธโมฺม โกจิ เกนจิ สมุทายปเทน วุจฺจติ, น สโพฺพ สเพฺพนาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘รูปํ รูปกฺขโนฺธ, ขนฺธา เวทนากฺขโนฺธ’’ติอาทินา ปทโสธนมูลจกฺกวาโร วุโตฺตฯ เอวญฺจ ทเสฺสเนฺตน รูปาทิสทฺทสฺส วิเสสนภาโว, ขนฺธสทฺทสฺส วิเสสิตพฺพภาโว, วิเสสนวิเสสิตพฺพานํ สมานาธิกรณภาโว จ ทสฺสิโต โหติฯ
Puna ‘‘rūpakkhandho’’tiādīnaṃ samāsapadānaṃ uttarapadatthappadhānattā padhānabhūtassa khandhapadassa vedanādiupapadatthassa ca sambhavato yathā ‘‘rūpakkhandho’’ti etasmiṃ pade rūpāvayavapadena vuttassa rūpakkhandhabhāvo hoti rūpasaddassa khandhasaddassa ca samānādhikaraṇabhāvatoti, evaṃ tattha padhānabhūtena khandhāvayavapadena vuttassa vedanākkhandhādibhāvo hoti khandhapadena vedanādipadānaṃ samānādhikaraṇattāti etasmiṃ saṃsayaṭṭhāne khandhāvayavapadena vutto dhammo koci kenaci samudāyapadena vuccati, na sabbo sabbenāti imamatthaṃ dassetuṃ ‘‘rūpaṃ rūpakkhandho, khandhā vedanākkhandho’’tiādinā padasodhanamūlacakkavāro vutto. Evañca dassentena rūpādisaddassa visesanabhāvo, khandhasaddassa visesitabbabhāvo, visesanavisesitabbānaṃ samānādhikaraṇabhāvo ca dassito hoti.
เตเนตฺถ สํสโย โหติ – กิํ ขนฺธโต อญฺญมฺปิ รูปํ อตฺถิ, ยโต วินิวตฺตํ รูปํ ขนฺธวิเสสนํ โหติ, สเพฺพว ขนฺธา กิํ ขนฺธวิเสสนภูเตน รูเปน วิเสสิตพฺพาติ, กิํ ปน ตํ ขนฺธวิเสสนภูตํ รูปนฺติ? ภูตุปาทายรูปํ ตเสฺสว คหิตตฺตาฯ นิเทฺทเส ‘‘ขนฺธา รูปกฺขโนฺธ’’ติ ปทํ อุทฺธริตฺวา วิสฺสชฺชนํ กตนฺติฯ เอวํ เอตสฺมิํ สํสยฎฺฐาเน น ขนฺธโต อญฺญํ รูปํ อตฺถิ, เตเนว เจเตน รูปสเทฺทน วุจฺจมานํ สุเทฺธน ขนฺธสเทฺทน วุจฺจเต, น จ สเพฺพ ขนฺธา ขนฺธวิเสสนภูเตน รูเปน วิเสสิตพฺพา, เตเนว เต วิภชิตพฺพา, เอส นโย เวทนากฺขนฺธาทีสุปีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘รูปํ ขโนฺธ, ขนฺธา รูป’’นฺติอาทินา สุทฺธขนฺธวาโร วุโตฺตฯ
Tenettha saṃsayo hoti – kiṃ khandhato aññampi rūpaṃ atthi, yato vinivattaṃ rūpaṃ khandhavisesanaṃ hoti, sabbeva khandhā kiṃ khandhavisesanabhūtena rūpena visesitabbāti, kiṃ pana taṃ khandhavisesanabhūtaṃ rūpanti? Bhūtupādāyarūpaṃ tasseva gahitattā. Niddese ‘‘khandhā rūpakkhandho’’ti padaṃ uddharitvā vissajjanaṃ katanti. Evaṃ etasmiṃ saṃsayaṭṭhāne na khandhato aññaṃ rūpaṃ atthi, teneva cetena rūpasaddena vuccamānaṃ suddhena khandhasaddena vuccate, na ca sabbe khandhā khandhavisesanabhūtena rūpena visesitabbā, teneva te vibhajitabbā, esa nayo vedanākkhandhādīsupīti imamatthaṃ dassetuṃ ‘‘rūpaṃ khandho, khandhā rūpa’’ntiādinā suddhakhandhavāro vutto.
ตโต ‘‘รูปํ ขโนฺธ’’ติ เอตสฺมิํ อนุญฺญายมาเน ‘‘น เกวลํ อยํ ขนฺธสโทฺท รูปวิเสสโนว, อถ โข เวทนาทิวิเสสโน จา’’ติ รูปสฺส ขนฺธภาวนิจฺฉยานนฺตรํ ขนฺธานํ รูปวิเสสนโยเค จ สํสโย โหติฯ ตตฺถ น สเพฺพ ขนฺธา เวทนาทิวิเสสนยุตฺตา, อถ โข เกจิ เกนจิ วิเสสเนน ยุญฺชนฺตีติ ทเสฺสตุํ สุทฺธขนฺธมูลจกฺกวาโร วุโตฺตติฯ เอวํ เยสํ อุปฺปาทาทโย วตฺตพฺพา, เตสํ ขนฺธานํ ปณฺณตฺติโสธนวเสน ตนฺนิจฺฉยตฺถํ ปณฺณตฺติวาโร วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
Tato ‘‘rūpaṃ khandho’’ti etasmiṃ anuññāyamāne ‘‘na kevalaṃ ayaṃ khandhasaddo rūpavisesanova, atha kho vedanādivisesano cā’’ti rūpassa khandhabhāvanicchayānantaraṃ khandhānaṃ rūpavisesanayoge ca saṃsayo hoti. Tattha na sabbe khandhā vedanādivisesanayuttā, atha kho keci kenaci visesanena yuñjantīti dassetuṃ suddhakhandhamūlacakkavāro vuttoti. Evaṃ yesaṃ uppādādayo vattabbā, tesaṃ khandhānaṃ paṇṇattisodhanavasena tannicchayatthaṃ paṇṇattivāro vuttoti veditabbo.
จตฺตาริ จตฺตาริ จกฺกานิ พนฺธิตฺวาติ เอตฺถ จกฺกาวยวภาวโต จกฺกานีติ ยมกานิ วุตฺตานิ เอเกกขนฺธมูลานิ จตฺตาริ จตฺตาริ ยมกานิ พนฺธิตฺวาติฯ อิมินา หิ เอตฺถ อเตฺถน ภวิตพฺพนฺติฯ จตฺตาริ จตฺตาริ ยมกานิ ยถา เอเกกขนฺธมูลกานิ โหนฺติ, เอวํ พนฺธิตฺวาติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺถ ‘‘รูปํ รูปกฺขโนฺธ’’ติ เอวมาทิกํ มูลปทํ นาภิํ กตฺวา ‘‘ขนฺธา’’ติ อิทํ เนมิํ, ‘‘เวทนากฺขโนฺธ’’ติอาทีนิ อเร กตฺวา จกฺกภาโว วุโตฺตติ เวทิตโพฺพ, น มณฺฑลภาเวน สมฺพชฺฌนโตฯ เวทนากฺขนฺธมูลกาทีสุปิ หิ เหฎฺฐิมํ โสเธตฺวาว ปาโฐ คโต, น มณฺฑลสมฺพเนฺธนาติฯ เตเนว จ การเณนาติ สุทฺธขนฺธลาภมตฺตเมว คเหตฺวา ขนฺธวิเสสเน รูปาทิมฺหิ สุทฺธรูปาทิมตฺตตาย อฎฺฐตฺวา ขนฺธวิเสสนภาวสงฺขาตํ รูปาทิอตฺถํ ทเสฺสตุํ ขนฺธสเทฺทน สห โยเชตฺวา ‘‘ขนฺธา รูปกฺขโนฺธ’’ติอาทินา นเยน ปทํ อุทฺธริตฺวา อตฺถสฺส วิภตฺตตฺตาติ อโตฺถฯ
Cattāri cattāri cakkāni bandhitvāti ettha cakkāvayavabhāvato cakkānīti yamakāni vuttāni ekekakhandhamūlāni cattāri cattāri yamakāni bandhitvāti. Iminā hi ettha atthena bhavitabbanti. Cattāri cattāri yamakāni yathā ekekakhandhamūlakāni honti, evaṃ bandhitvāti vā attho daṭṭhabbo. Tattha ‘‘rūpaṃ rūpakkhandho’’ti evamādikaṃ mūlapadaṃ nābhiṃ katvā ‘‘khandhā’’ti idaṃ nemiṃ, ‘‘vedanākkhandho’’tiādīni are katvā cakkabhāvo vuttoti veditabbo, na maṇḍalabhāvena sambajjhanato. Vedanākkhandhamūlakādīsupi hi heṭṭhimaṃ sodhetvāva pāṭho gato, na maṇḍalasambandhenāti. Teneva ca kāraṇenāti suddhakhandhalābhamattameva gahetvā khandhavisesane rūpādimhi suddharūpādimattatāya aṭṭhatvā khandhavisesanabhāvasaṅkhātaṃ rūpādiatthaṃ dassetuṃ khandhasaddena saha yojetvā ‘‘khandhā rūpakkhandho’’tiādinā nayena padaṃ uddharitvā atthassa vibhattattāti attho.
อุเทฺทสวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Uddesavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
นิเทฺทสวารวณฺณนา
Niddesavāravaṇṇanā
๒๖. ปิยรูปํ สาตรูปนฺติ ‘‘จกฺขุํ โลเก ปิยรูปํ…เป.… รูปา โลเก…เป.… จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… จกฺขุสมฺผโสฺส…เป.… จกฺขุสมฺผสฺสชา เวทนา…เป.… รูปสญฺญา…เป.… รูปสเญฺจตนา…เป.… รูปตณฺหา…เป.… รูปวิตโกฺก…เป.… รูปวิจาโร’’ติ (ที. นิ. ๒.๔๐๐; ม. นิ. ๑.๑๓๓; วิภ. ๒๐๓) เอวํ วุตฺตํ ตณฺหาวตฺถุภูตํ เตภูมกํ เวทิตพฺพํ, ตสฺมา ยํ ปญฺจกฺขนฺธสมุทายภูตํ ปิยรูปสาตรูปํ, ตํ เอกเทเสน รูปกฺขโนฺธ โหตีติ อาห ‘‘ปิยรูปํ สาตรูปํ รูปํ น รูปกฺขโนฺธ’’ติฯ ปิยสภาวตาย วา รูปกฺขโนฺธ ปิยรูเป ปวิสติ, น รุปฺปนสภาเวนาติ ‘‘ปิยรูปํ สาตรูปํ รูปํ น รูปกฺขโนฺธ’’ติ วุตฺตํฯ สญฺญายมเก ตาว ทิฎฺฐิสญฺญาติ ‘‘วิเสโส’’ติ วจนเสโสฯ ตตฺถ ทิฎฺฐิ เอว สญฺญา ทิฎฺฐิสญฺญาฯ ‘‘สยํ สมาทาย วตานิ ชนฺตุ, อุจฺจาวจํ คจฺฉติ สญฺญสโตฺต’’ติ (สุ. นิ. ๗๙๘), ‘‘สญฺญาวิรตฺตสฺส น สนฺติ คนฺถา’’ติ (สุ. นิ. ๘๕๓) จ เอวมาทีสุ หิ ทิฎฺฐิ จ ‘‘สญฺญา’’ติ วุตฺตาติฯ
26. Piyarūpaṃ sātarūpanti ‘‘cakkhuṃ loke piyarūpaṃ…pe… rūpā loke…pe… cakkhuviññāṇaṃ…pe… cakkhusamphasso…pe… cakkhusamphassajā vedanā…pe… rūpasaññā…pe… rūpasañcetanā…pe… rūpataṇhā…pe… rūpavitakko…pe… rūpavicāro’’ti (dī. ni. 2.400; ma. ni. 1.133; vibha. 203) evaṃ vuttaṃ taṇhāvatthubhūtaṃ tebhūmakaṃ veditabbaṃ, tasmā yaṃ pañcakkhandhasamudāyabhūtaṃ piyarūpasātarūpaṃ, taṃ ekadesena rūpakkhandho hotīti āha ‘‘piyarūpaṃ sātarūpaṃ rūpaṃ na rūpakkhandho’’ti. Piyasabhāvatāya vā rūpakkhandho piyarūpe pavisati, na ruppanasabhāvenāti ‘‘piyarūpaṃ sātarūpaṃ rūpaṃ na rūpakkhandho’’ti vuttaṃ. Saññāyamake tāva diṭṭhisaññāti ‘‘viseso’’ti vacanaseso. Tattha diṭṭhi eva saññā diṭṭhisaññā. ‘‘Sayaṃ samādāya vatāni jantu, uccāvacaṃ gacchati saññasatto’’ti (su. ni. 798), ‘‘saññāvirattassa na santi ganthā’’ti (su. ni. 853) ca evamādīsu hi diṭṭhi ca ‘‘saññā’’ti vuttāti.
๒๘. ‘‘น ขนฺธา น เวทนากฺขโนฺธติ? อามนฺตา’’ติ เอวํ ขนฺธสทฺทปฺปวตฺติยา อภาเว เวทนากฺขนฺธสทฺทปฺปวตฺติยา จ อภาโวติ ปณฺณตฺติโสธนมตฺตเมว กโรตีติ ทฎฺฐพฺพํ, น อญฺญธมฺมสพฺภาโว เอเวตฺถ ปมาณํฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘นายตนา น โสตายตนนฺติ? อามนฺตา’’ติอาทิํ วกฺขตีติฯ
28. ‘‘Na khandhā na vedanākkhandhoti? Āmantā’’ti evaṃ khandhasaddappavattiyā abhāve vedanākkhandhasaddappavattiyā ca abhāvoti paṇṇattisodhanamattameva karotīti daṭṭhabbaṃ, na aññadhammasabbhāvo evettha pamāṇaṃ. Evañca katvā ‘‘nāyatanā na sotāyatananti? Āmantā’’tiādiṃ vakkhatīti.
๓๙. รูปโต อเญฺญ เวทนาทโยติ เอตฺถ โลกุตฺตรา เวทนาทโย ทฎฺฐพฺพาฯ เต หิ ปิยรูปา จ สาตรูปา จ น โหนฺติ ตณฺหาย อนารมฺมณตฺตาติ รูปโต อเญฺญ โหนฺตีติฯ รูปญฺจ ขเนฺธ จ ฐเปตฺวา อวเสสาติ อิทมฺปิ เอเตหิ สทฺธิํ น-สทฺทานํ อปฺปวตฺติมตฺตเมว สนฺธาย วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘จกฺขุญฺจ อายตเน จ ฐเปตฺวา อวเสสา น เจว จกฺขุ น จ อายตนา’’ติอาทิํ (ยม. ๑.อายตนยมก.๑๕) วกฺขติฯ น หิ ตตฺถ อวเสสคฺคหเณน คยฺหมานํ กญฺจิ อตฺถิฯ ยทิ สิยา, ธมฺมายตนํ สิยาฯ วกฺขติ หิ ‘‘ธโมฺม อายตนนฺติ? อามนฺตา’’ติ (ยม. ๑.อายตนยมก.๑๖)ฯ ตณฺหาวตฺถุ จ น ตํ สิยาฯ ยทิ สิยา, ปิยรูปสาตรูปภาวโต รูปํ สิยา ‘‘รูปํ ขโนฺธติ? อามนฺตา’’ติ (ยม. ๑.ขนฺธยมก.๔๐) วจนโต ขโนฺธ จาติฯ อฎฺฐกถายํ ปน อวิชฺชมาเนปิ วิชฺชมานํ อุปาทาย อิตฺถิปุริสาทิคฺคหณสพฺภาวํ สนฺธาย อวเสสาติ เอตฺถ ปญฺญตฺติยา คหณํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
39. Rūpato aññe vedanādayoti ettha lokuttarā vedanādayo daṭṭhabbā. Te hi piyarūpā ca sātarūpā ca na honti taṇhāya anārammaṇattāti rūpato aññe hontīti. Rūpañca khandhe caṭhapetvā avasesāti idampi etehi saddhiṃ na-saddānaṃ appavattimattameva sandhāya vuttanti daṭṭhabbaṃ. Evañca katvā ‘‘cakkhuñca āyatane ca ṭhapetvā avasesā na ceva cakkhu na ca āyatanā’’tiādiṃ (yama. 1.āyatanayamaka.15) vakkhati. Na hi tattha avasesaggahaṇena gayhamānaṃ kañci atthi. Yadi siyā, dhammāyatanaṃ siyā. Vakkhati hi ‘‘dhammo āyatananti? Āmantā’’ti (yama. 1.āyatanayamaka.16). Taṇhāvatthu ca na taṃ siyā. Yadi siyā, piyarūpasātarūpabhāvato rūpaṃ siyā ‘‘rūpaṃ khandhoti? Āmantā’’ti (yama. 1.khandhayamaka.40) vacanato khandho cāti. Aṭṭhakathāyaṃ pana avijjamānepi vijjamānaṃ upādāya itthipurisādiggahaṇasabbhāvaṃ sandhāya avasesāti ettha paññattiyā gahaṇaṃ katanti veditabbaṃ.
นิเทฺทสวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Niddesavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
๒. ปวตฺติวารวณฺณนา
2. Pavattivāravaṇṇanā
๕๐-๒๐๕. ปวตฺติวาเร เวทนากฺขนฺธาทิมูลกานิ ปจฺฉิเมเนว สห โยเชตฺวา ตีณิ เทฺว เอกญฺจ ยมกานิ วุตฺตานิ, น ปุริเมนฯ กสฺมา? อมิสฺสกกาลเภเทสุ วาเรสุ อตฺถวิเสสาภาวโตฯ ปุริมสฺส หิ ปจฺฉิเมน โยชิตยมกเมว ปจฺฉิมสฺส ปุริเมน โยชนาย ปุจฺฉานํ อุปฺปฎิปาฎิยา วุเจฺจยฺย, อเตฺถ ปน น โกจิ วิเสโสติฯ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชเนสุปิ วิเสโส นตฺถิ, เตน ตถา โยชนา น กตาติฯ กาลเภทา ปเนตฺถ ฉ เอว วุตฺตาฯ อตีเตน ปจฺจุปฺปโนฺน, อนาคเตน ปจฺจุปฺปโนฺน, อนาคเตนาตีโตติ เอเต ปน ตโย ยถาทสฺสิตา มิสฺสกกาลเภทา เอว ตโย, น วิสุํ วิชฺชนฺตีติ น คหิตาฯ ตตฺถ ตตฺถ หิ ปฎิโลมปุจฺฉาหิ อตีเตน ปจฺจุปฺปนฺนาทโย กาลเภทา ทสฺสิตา, เตเนว จ นเยน ‘‘ยสฺส รูปกฺขโนฺธ อุปฺปชฺชิตฺถ, ตสฺส เวทนากฺขโนฺธ อุปฺปชฺชตี’’ติอาทิ สกฺกา โยเชตุํฯ เตเนว หิ มิสฺสกกาลเภเทสุ จ น ปจฺฉิมปจฺฉิมสฺส ขนฺธสฺส ปุริมปุริเมน โยชนํ กตฺวา ยมกานิ วุตฺตานิ, อมิสฺสกกาลเภเทสุ คหิตนิยาเมน สุขคฺคหณตฺถมฺปิ ปจฺฉิมปจฺฉิเมเนว โยเชตฺวา วุตฺตานีติฯ
50-205. Pavattivāre vedanākkhandhādimūlakāni pacchimeneva saha yojetvā tīṇi dve ekañca yamakāni vuttāni, na purimena. Kasmā? Amissakakālabhedesu vāresu atthavisesābhāvato. Purimassa hi pacchimena yojitayamakameva pacchimassa purimena yojanāya pucchānaṃ uppaṭipāṭiyā vucceyya, atthe pana na koci visesoti. Pucchāvissajjanesupi viseso natthi, tena tathā yojanā na katāti. Kālabhedā panettha cha eva vuttā. Atītena paccuppanno, anāgatena paccuppanno, anāgatenātītoti ete pana tayo yathādassitā missakakālabhedā eva tayo, na visuṃ vijjantīti na gahitā. Tattha tattha hi paṭilomapucchāhi atītena paccuppannādayo kālabhedā dassitā, teneva ca nayena ‘‘yassa rūpakkhandho uppajjittha, tassa vedanākkhandho uppajjatī’’tiādi sakkā yojetuṃ. Teneva hi missakakālabhedesu ca na pacchimapacchimassa khandhassa purimapurimena yojanaṃ katvā yamakāni vuttāni, amissakakālabhedesu gahitaniyāmena sukhaggahaṇatthampi pacchimapacchimeneva yojetvā vuttānīti.
อิมินาเยว จ ลกฺขเณนาติอาทินา เยน การเณน ‘‘ปุเรปโญฺห’’ติ จ ‘‘ปจฺฉาปโญฺห’’ติ จ นามํ วุตฺตํ, ตํ ทเสฺสติฯ ยสฺส หิ สรูปทสฺสเนน วิสฺสชฺชนํ โหติ, โส ปริปูเรตฺวา วิสฺสเชฺชตพฺพตฺถสงฺคณฺหนโต ปริปุณฺณปโญฺห นามฯ ตํวิสฺสชฺชนสฺส ปน ปุริมโกฎฺฐาเสน สทิสตฺถตาย ปุเรปโญฺห, ปจฺฉิมโกฎฺฐาสสทิสตฺถตาย ‘‘ปจฺฉาปโญฺห’’ติ จ นามํ วุตฺตํฯ สทิสตฺถตา จ สนฺนิฎฺฐานสํสยปทวิเสสํ อวิจาเรตฺวา เอเกน ปเทน สงฺคหิตสฺส ขนฺธสฺส อุปฺปาทนิโรธลาภสามญฺญมเตฺตน ปุเรปเญฺห ทฎฺฐพฺพาฯ สนฺนิฎฺฐานปทสงฺคหิตสฺส วา ขนฺธสฺส อนุญฺญาตวเสน ปุเรปโญฺห วุโตฺตติ ยุตฺตํฯ
Imināyevaca lakkhaṇenātiādinā yena kāraṇena ‘‘purepañho’’ti ca ‘‘pacchāpañho’’ti ca nāmaṃ vuttaṃ, taṃ dasseti. Yassa hi sarūpadassanena vissajjanaṃ hoti, so paripūretvā vissajjetabbatthasaṅgaṇhanato paripuṇṇapañho nāma. Taṃvissajjanassa pana purimakoṭṭhāsena sadisatthatāya purepañho, pacchimakoṭṭhāsasadisatthatāya ‘‘pacchāpañho’’ti ca nāmaṃ vuttaṃ. Sadisatthatā ca sanniṭṭhānasaṃsayapadavisesaṃ avicāretvā ekena padena saṅgahitassa khandhassa uppādanirodhalābhasāmaññamattena purepañhe daṭṭhabbā. Sanniṭṭhānapadasaṅgahitassa vā khandhassa anuññātavasena purepañho vuttoti yuttaṃ.
สนฺนิฎฺฐานตฺถเสฺสว ปฎิกฺขิปนํ ปฎิเกฺขโป, สํสยตฺถนิวารณํ ปฎิเสโธติ อยํ ปฎิเกฺขปปฎิเสธานํ วิเสโสฯ ปาฬิปทเมว หุตฺวาติ ปุจฺฉาปาฬิยา ‘‘นุปฺปชฺชตี’’ติ ยํ ปทํ วุตฺตํ, น-การวิรหิตํ ตเทว ปทํ หุตฺวาติ อโตฺถฯ ตตฺถ อุปฺปตฺตินิโรธปฎิเสธสฺส ปฎิเสธนตฺถํ ปาฬิคติยา วิสฺสชฺชนํ อุปฺปตฺตินิโรธานเมว ปฎิเสธนตฺถํ ปฎิเสเธน วิสฺสชฺชนํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Sanniṭṭhānatthasseva paṭikkhipanaṃ paṭikkhepo, saṃsayatthanivāraṇaṃ paṭisedhoti ayaṃ paṭikkhepapaṭisedhānaṃ viseso. Pāḷipadameva hutvāti pucchāpāḷiyā ‘‘nuppajjatī’’ti yaṃ padaṃ vuttaṃ, na-kāravirahitaṃ tadeva padaṃ hutvāti attho. Tattha uppattinirodhapaṭisedhassa paṭisedhanatthaṃ pāḷigatiyā vissajjanaṃ uppattinirodhānameva paṭisedhanatthaṃ paṭisedhena vissajjanaṃ katanti veditabbaṃ.
จตุนฺนํ ปญฺหานํ ปญฺจนฺนญฺจ วิสฺสชฺชนานํ สตฺตวีสติยา ฐาเนสุ ปเกฺขโป ตเทกเทสปเกฺขปวเสน วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ ปริปุณฺณปโญฺห เอว หิ สรูปทสฺสเนน จ วิสฺสชฺชนํ สตฺตวีสติยา ฐาเนสุ ปกฺขิปิตพฺพนฺติฯ
Catunnaṃ pañhānaṃ pañcannañca vissajjanānaṃ sattavīsatiyā ṭhānesu pakkhepo tadekadesapakkhepavasena vuttoti veditabbo. Paripuṇṇapañho eva hi sarūpadassanena ca vissajjanaṃ sattavīsatiyā ṭhānesu pakkhipitabbanti.
กิํ นุ สกฺกา อิโต ปรนฺติ อิโต ปาฬิววตฺถานทสฺสนาทิโต อโญฺญ กิํ นุ สกฺกา กาตุนฺติ อญฺญสฺส สกฺกุเณยฺยสฺส อภาวํ ทเสฺสติฯ
Kiṃ nu sakkā ito paranti ito pāḷivavatthānadassanādito añño kiṃ nu sakkā kātunti aññassa sakkuṇeyyassa abhāvaṃ dasseti.
‘‘สุทฺธาวาสานํ เตสํ ตตฺถ รูปกฺขโนฺธ จ นุปฺปชฺชิตฺถ เวทนากฺขโนฺธ จ นุปฺปชฺชิตฺถา’’ติ เอเตน สุทฺธาวาสภูมีสุ เอกภูมิยมฺปิ ทุติยา อุปปตฺติ นตฺถีติ ญาปิตํ โหติฯ ปฎิสนฺธิโต ปภุติ หิ ยาว จุติ, ตาว ปวตฺตกมฺมชสนฺตานํ เอกเตฺตน คเหตฺวา ตสฺส อุปฺปาทนิโรธวเสน อยํ เทสนา ปวตฺตาฯ ตสฺมิญฺหิ อโพฺพจฺฉิเนฺน กุสลาทีนญฺจ ปวตฺติ โหติ, โวจฺฉิเนฺน จ อปฺปวตฺตีติ เตเนว จ อุปฺปาทนิโรธา ทสฺสิตา, ตสฺมา ตสฺส เอกสตฺตสฺส ปฎิสนฺธิอุปฺปาทโต ยาว จุตินิโรโธ, ตาว อตีตตา นตฺถิ, น จ ตโต ปุเพฺพ ตตฺถ ปฎิสนฺธิวเสน กมฺมชสนฺตานํ อุปฺปนฺนปุพฺพนฺติ ขนฺธทฺวยมฺปิ ‘‘นุปฺปชฺชิตฺถา’’ติ วุตฺตํฯ กสฺมา ปน เอตาย ปาฬิยา สกเลปิ สุทฺธาวาเส ทุติยา ปฎิสนฺธิ นตฺถีติ น วิญฺญายตีติ? อุทฺธํโสตปาฬิสพฺภาวาฯ เทฺวปิ หิ ปาฬิโย สํสเนฺทตพฺพาติฯ
‘‘Suddhāvāsānaṃ tesaṃ tattha rūpakkhandho ca nuppajjittha vedanākkhandho ca nuppajjitthā’’ti etena suddhāvāsabhūmīsu ekabhūmiyampi dutiyā upapatti natthīti ñāpitaṃ hoti. Paṭisandhito pabhuti hi yāva cuti, tāva pavattakammajasantānaṃ ekattena gahetvā tassa uppādanirodhavasena ayaṃ desanā pavattā. Tasmiñhi abbocchinne kusalādīnañca pavatti hoti, vocchinne ca appavattīti teneva ca uppādanirodhā dassitā, tasmā tassa ekasattassa paṭisandhiuppādato yāva cutinirodho, tāva atītatā natthi, na ca tato pubbe tattha paṭisandhivasena kammajasantānaṃ uppannapubbanti khandhadvayampi ‘‘nuppajjitthā’’ti vuttaṃ. Kasmā pana etāya pāḷiyā sakalepi suddhāvāse dutiyā paṭisandhi natthīti na viññāyatīti? Uddhaṃsotapāḷisabbhāvā. Dvepi hi pāḷiyo saṃsandetabbāti.
‘‘อสญฺญสตฺตานํ เตสํ ตตฺถ รูปกฺขโนฺธ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ เอตฺถ ‘‘ยสฺส ยตฺถ รูปกฺขโนฺธ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ เอเตน สนฺนิฎฺฐาเนน วิเสสิตา อสญฺญสตฺตาปิ สนฺตีติ เต เอว คเหตฺวา ‘‘อสญฺญสตฺตาน’’นฺติ วุตฺตํฯ เตน เย สนฺนิฎฺฐาเนน วชฺชิตา, เต ตโต ปญฺจโวการํ คนฺตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสนฺติ, น เตสํ ปุน อสเญฺญ อุปปตฺติปฺปสโงฺค อตฺถีติ เต สนฺธายาห – ‘‘ปจฺฉิมภวิกานํ เตสํ ตตฺถ รูปกฺขโนฺธ จ นุปฺปชฺชิสฺสติ เวทนากฺขโนฺธ จ นุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ (ยม. ๑.ขนฺธยมก.๖๕)ฯ เอตฺถ กิํ ปญฺจโวการาทิภาโว วิย ปจฺฉิมภโวปิ โกจิ อตฺถิ, ยตฺถ เตสมนุปฺปตฺติ ภวิสฺสตีติ? นตฺถิ ปญฺจโวการาทิภเวเสฺวว ยตฺถ วา ตตฺถ วา ฐิตานํ ปจฺฉิมภวิกานํ ‘‘ยสฺส ยตฺถ รูปกฺขโนฺธ นุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ เอเตน สนฺนิฎฺฐาเนน สงฺคหิตตฺตาฯ เตสํ ตตฺถ อิตรานุปฺปตฺติภาวญฺจ อนุชานโนฺต ‘‘เวทนากฺขโนฺธ จ นุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ อาหาติฯ
‘‘Asaññasattānaṃ tesaṃ tattha rūpakkhandho uppajjissatī’’ti ettha ‘‘yassa yattha rūpakkhandho uppajjissatī’’ti etena sanniṭṭhānena visesitā asaññasattāpi santīti te eva gahetvā ‘‘asaññasattāna’’nti vuttaṃ. Tena ye sanniṭṭhānena vajjitā, te tato pañcavokāraṃ gantvā parinibbāyissanti, na tesaṃ puna asaññe upapattippasaṅgo atthīti te sandhāyāha – ‘‘pacchimabhavikānaṃ tesaṃ tattha rūpakkhandho ca nuppajjissati vedanākkhandho ca nuppajjissatī’’ti (yama. 1.khandhayamaka.65). Ettha kiṃ pañcavokārādibhāvo viya pacchimabhavopi koci atthi, yattha tesamanuppatti bhavissatīti? Natthi pañcavokārādibhavesveva yattha vā tattha vā ṭhitānaṃ pacchimabhavikānaṃ ‘‘yassa yattha rūpakkhandho nuppajjissatī’’ti etena sanniṭṭhānena saṅgahitattā. Tesaṃ tattha itarānuppattibhāvañca anujānanto ‘‘vedanākkhandho ca nuppajjissatī’’ti āhāti.
‘‘สุทฺธาวาเส ปรินิพฺพนฺตาน’’นฺติ อิทํ สปฺปฎิสนฺธิกานํ อปฺปฎิสนฺธิกานญฺจ สุทฺธาวาสานํ ตํตํภูมิยํ ขนฺธปรินิพฺพานวเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ สเพฺพสญฺหิ เตสํ ตตฺถ เวทนากฺขโนฺธ นุปฺปชฺชิตฺถาติฯ ยถา ปน ‘‘นิรุชฺฌิสฺสตี’’ติ วจนํ ปจฺจุปฺปเนฺนปิ อุปฺปาทกฺขณสมงฺคิมฺหิ ปวตฺตติ, น เอวํ ‘‘อุปฺปชฺชิตฺถา’’ติ วจนํ ปจฺจุปฺปเนฺน ปวตฺตติ, อถ โข อุปฺปชฺชิตฺวา วิคเต อตีเต เอว, ตสฺมา ‘‘ปรินิพฺพนฺตานํ นุปฺปชฺชิตฺถา’’ติ วุตฺตํ อุปฺปนฺนสนฺตานสฺส อวิคตตฺตาฯ อนนฺตา โลกธาตุโยติ โอกาสสฺส อปริจฺฉินฺนตฺตา โอกาสวเสน วุจฺจมานานํ อุปฺปาทนิโรธานมฺปิ ปริเจฺฉทาภาวโต สํกิณฺณตา โหตีติ ‘‘ยตฺถ เวทนากฺขโนฺธ อุปฺปชฺชติ, ตตฺถ สญฺญากฺขโนฺธ นิรุชฺฌตีติ? อามนฺตา’’ติ วุตฺตํฯ
‘‘Suddhāvāse parinibbantāna’’nti idaṃ sappaṭisandhikānaṃ appaṭisandhikānañca suddhāvāsānaṃ taṃtaṃbhūmiyaṃ khandhaparinibbānavasena vuttanti veditabbaṃ. Sabbesañhi tesaṃ tattha vedanākkhandho nuppajjitthāti. Yathā pana ‘‘nirujjhissatī’’ti vacanaṃ paccuppannepi uppādakkhaṇasamaṅgimhi pavattati, na evaṃ ‘‘uppajjitthā’’ti vacanaṃ paccuppanne pavattati, atha kho uppajjitvā vigate atīte eva, tasmā ‘‘parinibbantānaṃ nuppajjitthā’’ti vuttaṃ uppannasantānassa avigatattā. Anantā lokadhātuyoti okāsassa aparicchinnattā okāsavasena vuccamānānaṃ uppādanirodhānampi paricchedābhāvato saṃkiṇṇatā hotīti ‘‘yattha vedanākkhandho uppajjati, tattha saññākkhandho nirujjhatīti? Āmantā’’ti vuttaṃ.
ปวตฺติวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pavattivāravaṇṇanā niṭṭhitā.
๓. ปริญฺญาวารวณฺณนา
3. Pariññāvāravaṇṇanā
๒๐๖-๒๐๘. ปุคฺคโลกาสวาโร ลพฺภมาโนปีติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ โอกาสวารสฺส อลาเภ ตสฺสปิ อลาเภน ภวิตพฺพนฺติ? น, ตตฺถ ปุคฺคลเสฺสว ปริญฺญาวจนโตฯ ปุคฺคโลกาสวาเรปิ หิ โอกาเส ปุคฺคลเสฺสว ปริญฺญา วุจฺจติ, น โอกาสสฺสฯ โอกาสวาโรปิ จ ยทิ วุเจฺจยฺย, ‘‘ยตฺถ รูปกฺขนฺธํ ปริชานาตี’’ติ โอกาเส ปุคฺคลเสฺสว ปริชานนวเสน วุเจฺจยฺย, ตสฺมา ปุคฺคโลกาสวารเสฺสว ลพฺภมานตา วุตฺตา, น โอกาสวารสฺสาติฯ เตนาห – ‘‘อามนฺตา…เป.… สิยา’’ติฯ
206-208. Puggalokāsavārolabbhamānopīti kasmā vuttaṃ, nanu okāsavārassa alābhe tassapi alābhena bhavitabbanti? Na, tattha puggalasseva pariññāvacanato. Puggalokāsavārepi hi okāse puggalasseva pariññā vuccati, na okāsassa. Okāsavāropi ca yadi vucceyya, ‘‘yattha rūpakkhandhaṃ parijānātī’’ti okāse puggalasseva parijānanavasena vucceyya, tasmā puggalokāsavārasseva labbhamānatā vuttā, na okāsavārassāti. Tenāha – ‘‘āmantā…pe… siyā’’ti.
เตเนวาติ ปวเตฺต จิตฺตกฺขณวเสน ติณฺณํ อทฺธานํ ลาภโต เอว, อญฺญถา จุติปฎิสนฺธิกฺขเณ รูปกฺขนฺธปริชานนสฺส อภาวา ‘‘โย รูปกฺขนฺธํ ปริชานาติ, โส เวทนากฺขนฺธํ ปริชานาตี’’ติ เอตฺถ ‘‘นตฺถี’’ติ วิสฺสชฺชเนน ภวิตพฺพํ สิยา, ‘‘อามนฺตา’’ติ จ กตนฺติฯ สนฺนิฎฺฐานสํสยปทสงฺคหิตานํ ปริญฺญานํ ปวเตฺต จิตฺตกฺขเณ เอว ลาภํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โลกุตฺตรมคฺคกฺขณสฺมิญฺหี’’ติอาทิมาหฯ น ปริชานาตีติ ปเญฺห ปุถุชฺชนํ สนฺธาย อามนฺตาติ วุตฺตนฺติ อิทํ ปุถุชฺชนสฺส สพฺพถา ปริญฺญากิจฺจสฺส อภาวโต วุตฺตํฯ ‘‘อรหา รูปกฺขนฺธํ น ปริชานาติ โน จ เวทนากฺขนฺธํ น ปริชานิตฺถ, อคฺคมคฺคสมงฺคิญฺจ อรหนฺตญฺจ ฐเปตฺวา อวเสสา ปุคฺคลา รูปกฺขนฺธญฺจ น ปริชานนฺติ เวทนากฺขนฺธญฺจ น ปริชานิตฺถา’’ติ ปน วจเนน ‘‘อคฺคมคฺคสมงฺคิํ ฐเปตฺวา อโญฺญ โกจิ ปริชานาตี’’ติ วตฺตโพฺพ นตฺถีติ ทสฺสิตํ โหติ, เตน ตทวเสสปุคฺคเล สนฺธาย ‘‘อามนฺตา’’ติ วุตฺตนฺติ วิญฺญายตีติฯ
Tenevāti pavatte cittakkhaṇavasena tiṇṇaṃ addhānaṃ lābhato eva, aññathā cutipaṭisandhikkhaṇe rūpakkhandhaparijānanassa abhāvā ‘‘yo rūpakkhandhaṃ parijānāti, so vedanākkhandhaṃ parijānātī’’ti ettha ‘‘natthī’’ti vissajjanena bhavitabbaṃ siyā, ‘‘āmantā’’ti ca katanti. Sanniṭṭhānasaṃsayapadasaṅgahitānaṃ pariññānaṃ pavatte cittakkhaṇe eva lābhaṃ dassento ‘‘lokuttaramaggakkhaṇasmiñhī’’tiādimāha. Na parijānātīti pañhe puthujjanaṃ sandhāya āmantāti vuttanti idaṃ puthujjanassa sabbathā pariññākiccassa abhāvato vuttaṃ. ‘‘Arahā rūpakkhandhaṃ na parijānāti no ca vedanākkhandhaṃ na parijānittha, aggamaggasamaṅgiñca arahantañca ṭhapetvā avasesā puggalā rūpakkhandhañca na parijānanti vedanākkhandhañca na parijānitthā’’ti pana vacanena ‘‘aggamaggasamaṅgiṃ ṭhapetvā añño koci parijānātī’’ti vattabbo natthīti dassitaṃ hoti, tena tadavasesapuggale sandhāya ‘‘āmantā’’ti vuttanti viññāyatīti.
ปริญฺญาวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pariññāvāravaṇṇanā niṭṭhitā.
ขนฺธยมกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Khandhayamakavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ยมกปาฬิ • Yamakapāḷi / ๒. ขนฺธยมกํ • 2. Khandhayamakaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ปญฺจปกรณ-อฎฺฐกถา • Pañcapakaraṇa-aṭṭhakathā / ๒. ขนฺธยมกํ • 2. Khandhayamakaṃ
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā / ๒. ขนฺธยมกํ • 2. Khandhayamakaṃ