Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ๒. ขรปุตฺตวโคฺค

    2. Kharaputtavaggo

    [๓๘๖] ๑. ขรปุตฺตชาตกวณฺณนา

    [386] 1. Kharaputtajātakavaṇṇanā

    สจฺจํ กิเรวมาหํสูติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปุราณทุติยิกาปโลภนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ ภิกฺขุํ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘เกน อุกฺกณฺฐาปิโตสี’’ติ วตฺวา ‘‘ปุราณทุติยิกายา’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ อยํ เต อิตฺถี อนตฺถการิกา, ปุเพฺพปิ ตฺวํ อิมํ นิสฺสาย อคฺคิํ ปวิสิตฺวา มรโนฺต ปณฺฑิเต นิสฺสาย ชีวิตํ ลภี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Saccaṃkirevamāhaṃsūti idaṃ satthā jetavane viharanto purāṇadutiyikāpalobhanaṃ ārabbha kathesi. Tañhi bhikkhuṃ satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘āma, bhante’’ti vutte ‘‘kena ukkaṇṭhāpitosī’’ti vatvā ‘‘purāṇadutiyikāyā’’ti vutte ‘‘bhikkhu ayaṃ te itthī anatthakārikā, pubbepi tvaṃ imaṃ nissāya aggiṃ pavisitvā maranto paṇḍite nissāya jīvitaṃ labhī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ เสนเก นาม รเญฺญ รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สกฺกตฺตํ กาเรสิฯ ตทา เสนกสฺส รโญฺญ เอเกน นาคราเชน สทฺธิํ มิตฺตภาโว โหติฯ โส กิร นาคราชา นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา ถเล โคจรํ คณฺหโนฺต จรติฯ อถ นํ คามทารกา ทิสฺวา ‘‘สโปฺป อย’’นฺติ เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ ปหริํสุฯ อถ ราชา อุยฺยานํ กีฬิตุํ คจฺฉโนฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ เอเต ทารกา กโรนฺตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เอกํ สปฺปํ ปหรนฺตี’’ติ สุตฺวา ‘‘ปหริตุํ มา เทถ, ปลาเปถ เน’’ติ ปลาเปสิฯ นาคราชา ชีวิตํ ลภิตฺวา นาคภวนํ คนฺตฺวา พหูนิ รตนานิ อาทาย อฑฺฒรตฺตสมเย รโญฺญ สยนฆรํ ปวิสิตฺวา ตานิ รตนานิ ทตฺวา ‘‘มหาราช, มยา ตุเมฺห นิสฺสาย ชีวิตํ ลทฺธ’’นฺติ รญฺญา สทฺธิํ มิตฺตภาวํ กตฺวา ปุนปฺปุนํ คนฺตฺวา ราชานํ ปสฺสติฯ โส อตฺตโน นาคมาณวิกาสุ เอกํ กาเมสุ อติตฺตํ นาคมาณวิกํ รกฺขณตฺถาย รโญฺญ สนฺติเก ฐเปตฺวา ‘‘ยทา เอตํ น ปสฺสสิ, ตทา อิมํ มนฺตํ ปริวเตฺตยฺยาสี’’ติ ตสฺส เอกํ มนฺตํ อทาสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ senake nāma raññe rajjaṃ kārente bodhisatto sakkattaṃ kāresi. Tadā senakassa rañño ekena nāgarājena saddhiṃ mittabhāvo hoti. So kira nāgarājā nāgabhavanā nikkhamitvā thale gocaraṃ gaṇhanto carati. Atha naṃ gāmadārakā disvā ‘‘sappo aya’’nti leḍḍudaṇḍādīhi pahariṃsu. Atha rājā uyyānaṃ kīḷituṃ gacchanto disvā ‘‘kiṃ ete dārakā karontī’’ti pucchitvā ‘‘ekaṃ sappaṃ paharantī’’ti sutvā ‘‘paharituṃ mā detha, palāpetha ne’’ti palāpesi. Nāgarājā jīvitaṃ labhitvā nāgabhavanaṃ gantvā bahūni ratanāni ādāya aḍḍharattasamaye rañño sayanagharaṃ pavisitvā tāni ratanāni datvā ‘‘mahārāja, mayā tumhe nissāya jīvitaṃ laddha’’nti raññā saddhiṃ mittabhāvaṃ katvā punappunaṃ gantvā rājānaṃ passati. So attano nāgamāṇavikāsu ekaṃ kāmesu atittaṃ nāgamāṇavikaṃ rakkhaṇatthāya rañño santike ṭhapetvā ‘‘yadā etaṃ na passasi, tadā imaṃ mantaṃ parivatteyyāsī’’ti tassa ekaṃ mantaṃ adāsi.

    โส เอกทิวสํ อุยฺยานํ คนฺตฺวา นาคมาณวิกาย สทฺธิํ โปกฺขรณิยํ อุทกกีฬํ กีฬิฯ นาคมาณวิกา เอกํ อุทกสปฺปํ ทิสฺวา อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา เตน สทฺธิํ อสทฺธมฺมํ ปฎิเสวิฯ ราชา ตํ อปสฺสโนฺต ‘‘กหํ นุ โข คตา’’ติ มนฺตํ ปริวเตฺตตฺวา อนาจารํ กโรนฺติํ ทิสฺวา เวฬุเปสิกาย ปหริฯ สา กุชฺฌิตฺวา ตโต นาคภวนํ คนฺตฺวา ‘‘กสฺมา อาคตาสี’’ติ ปุฎฺฐา ‘‘ตุมฺหากํ สหาโย มํ อตฺตโน วจนํ อคณฺหนฺติํ ปิฎฺฐิยํ ปหรี’’ติ ปหารํ ทเสฺสสิฯ นาคราชา ตถโต อชานิตฺวาว จตฺตาโร นาคมาณวเก อามเนฺตตฺวา ‘‘คจฺฉถ, เสนกสฺส สยนฆรํ ปวิสิตฺวา นาสวาเตน ตํ ภุสํ วิย วิทฺธํเสถา’’ติ เปเสสิฯ เต คนฺตฺวา รโญฺญ สิริสยเน นิปนฺนกาเล คพฺภํ ปวิสิํสุฯ เตสํ ปวิสนเวลายเมว ราชา เทวิํ อาห – ‘‘ชานาสิ นุ โข ภเทฺท, นาคมาณวิกาย คตฎฺฐาน’’นฺติ? ‘‘น ชานามิ, เทวา’’ติฯ ‘‘อชฺช สา อมฺหากํ โปกฺขรณิยํ กีฬนกาเล อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา เอเกน อุทกสเปฺปน สทฺธิํ อนาจารํ อกาสิ, อถ นํ อหํ ‘เอวํ มา กรี’ติ สิกฺขาปนตฺถาย เวฬุเปสิกาย ปหริํ, สา ‘นาคภวนํ คนฺตฺวา สหายสฺส เม อญฺญํ กิญฺจิ กเถตฺวา เมตฺติํ ภิเนฺทยฺยา’ติ เม ภยํ อุปฺปชฺชตี’’ติฯ ตํ สุตฺวา นาคมาณวกา ตโตว นิวตฺติตฺวา นาคภวนํ คนฺตฺวา นาคราชสฺส ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ โส สํเวคปฺปโตฺต หุตฺวา ตงฺขณเญฺญว รโญฺญ สยนฆรํ อาคนฺตฺวา ตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา ขมาเปตฺวา ‘‘อิทํ เม ทณฺฑกมฺม’’นฺติ สพฺพรุตชานนํ นาม มนฺตํ ทตฺวา ‘‘อยํ, มหาราช, อนโคฺฆ มโนฺต, สเจ อิมํ มนฺตํ อญฺญสฺส ทเทยฺยาสิ, ทตฺวาว อคฺคิํ ปวิสิตฺวา มเรยฺยาสี’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย กิปิลฺลิกานมฺปิ สทฺทํ ชานาติฯ

    So ekadivasaṃ uyyānaṃ gantvā nāgamāṇavikāya saddhiṃ pokkharaṇiyaṃ udakakīḷaṃ kīḷi. Nāgamāṇavikā ekaṃ udakasappaṃ disvā attabhāvaṃ vijahitvā tena saddhiṃ asaddhammaṃ paṭisevi. Rājā taṃ apassanto ‘‘kahaṃ nu kho gatā’’ti mantaṃ parivattetvā anācāraṃ karontiṃ disvā veḷupesikāya pahari. Sā kujjhitvā tato nāgabhavanaṃ gantvā ‘‘kasmā āgatāsī’’ti puṭṭhā ‘‘tumhākaṃ sahāyo maṃ attano vacanaṃ agaṇhantiṃ piṭṭhiyaṃ paharī’’ti pahāraṃ dassesi. Nāgarājā tathato ajānitvāva cattāro nāgamāṇavake āmantetvā ‘‘gacchatha, senakassa sayanagharaṃ pavisitvā nāsavātena taṃ bhusaṃ viya viddhaṃsethā’’ti pesesi. Te gantvā rañño sirisayane nipannakāle gabbhaṃ pavisiṃsu. Tesaṃ pavisanavelāyameva rājā deviṃ āha – ‘‘jānāsi nu kho bhadde, nāgamāṇavikāya gataṭṭhāna’’nti? ‘‘Na jānāmi, devā’’ti. ‘‘Ajja sā amhākaṃ pokkharaṇiyaṃ kīḷanakāle attabhāvaṃ vijahitvā ekena udakasappena saddhiṃ anācāraṃ akāsi, atha naṃ ahaṃ ‘evaṃ mā karī’ti sikkhāpanatthāya veḷupesikāya pahariṃ, sā ‘nāgabhavanaṃ gantvā sahāyassa me aññaṃ kiñci kathetvā mettiṃ bhindeyyā’ti me bhayaṃ uppajjatī’’ti. Taṃ sutvā nāgamāṇavakā tatova nivattitvā nāgabhavanaṃ gantvā nāgarājassa tamatthaṃ ārocesuṃ. So saṃvegappatto hutvā taṅkhaṇaññeva rañño sayanagharaṃ āgantvā tamatthaṃ ācikkhitvā khamāpetvā ‘‘idaṃ me daṇḍakamma’’nti sabbarutajānanaṃ nāma mantaṃ datvā ‘‘ayaṃ, mahārāja, anaggho manto, sace imaṃ mantaṃ aññassa dadeyyāsi, datvāva aggiṃ pavisitvā mareyyāsī’’ti āha. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. So tato paṭṭhāya kipillikānampi saddaṃ jānāti.

    ตเสฺสกทิวสํ มหาตเล นิสีทิตฺวา มธุผาณิเตหิ ขาทนียํ ขาทนฺตสฺส เอกํ มธุพินฺทุ จ ผาณิตพินฺทุ จ ปูวขณฺฑญฺจ ภูมิยํ ปติฯ เอกา กิปิลฺลิกา ตํ ทิสฺวา ‘‘รโญฺญ มหาตเล มธุจาฎิ ภินฺนา, ผาณิตสกฎํ ปูวสกฎํ นิกฺกุชฺชิตํ, มธุผาณิตญฺจ ปูวญฺจ ขาทถา’’ติ วิรวนฺตี วิจรติฯ อถ ราชา ตสฺสา รวํ สุตฺวา หสิฯ รโญฺญ สมีเป ฐิตา เทวี ‘‘กิํ นุ โข ทิสฺวา ราชา หสี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตสฺมิํ ขาทนียํ ขาทิตฺวา นฺหตฺวา ปลฺลเงฺก นิสิเนฺน เอกํ มกฺขิกํ สามิโก ‘‘เอหิ ภเทฺท, กิเลสรติยา รมิสฺสามา’’ติ อาหฯ อถ นํ สา ‘‘อธิวาเสหิ ตาว สามิ, อิทานิ รโญฺญ คเนฺธ อาหริสฺสนฺติ, ตสฺส วิลิมฺปนฺตสฺส ปาทมูเล คนฺธจุณฺณํ ปติสฺสติ, อหํ ตตฺถ วเฎฺฎตฺวา สุคนฺธา ภวิสฺสามิ, ตโต รโญฺญ ปิฎฺฐิยํ นิปชฺชิตฺวา รมิสฺสามา’’ติ อาหฯ ราชา ตมฺปิ สทฺทํ สุตฺวา หสิฯ เทวีปิ ‘‘กิํ นุ โข ทิสฺวา หสี’’ติ ปุน จิเนฺตสิฯ ปุน รโญฺญ สายมาสํ ภุญฺชนฺตสฺส เอกํ ภตฺตสิตฺถํ ภูมิยํ ปติฯ กิปิลฺลิกา ‘‘ราชกุเล ภตฺตสกฎํ ภคฺคํ, ภตฺตํ ภุญฺชถา’’ติ วิรวิฯ ตํ สุตฺวา ราชา ปุนปิ หสิฯ เทวี สุวณฺณกฎจฺฉุํ คเหตฺวา ราชานํ ปริวิสนฺตี ‘‘มํ นุ โข ทิสฺวา ราชา หสตี’’ติ วิตเกฺกสิฯ

    Tassekadivasaṃ mahātale nisīditvā madhuphāṇitehi khādanīyaṃ khādantassa ekaṃ madhubindu ca phāṇitabindu ca pūvakhaṇḍañca bhūmiyaṃ pati. Ekā kipillikā taṃ disvā ‘‘rañño mahātale madhucāṭi bhinnā, phāṇitasakaṭaṃ pūvasakaṭaṃ nikkujjitaṃ, madhuphāṇitañca pūvañca khādathā’’ti viravantī vicarati. Atha rājā tassā ravaṃ sutvā hasi. Rañño samīpe ṭhitā devī ‘‘kiṃ nu kho disvā rājā hasī’’ti cintesi. Tasmiṃ khādanīyaṃ khāditvā nhatvā pallaṅke nisinne ekaṃ makkhikaṃ sāmiko ‘‘ehi bhadde, kilesaratiyā ramissāmā’’ti āha. Atha naṃ sā ‘‘adhivāsehi tāva sāmi, idāni rañño gandhe āharissanti, tassa vilimpantassa pādamūle gandhacuṇṇaṃ patissati, ahaṃ tattha vaṭṭetvā sugandhā bhavissāmi, tato rañño piṭṭhiyaṃ nipajjitvā ramissāmā’’ti āha. Rājā tampi saddaṃ sutvā hasi. Devīpi ‘‘kiṃ nu kho disvā hasī’’ti puna cintesi. Puna rañño sāyamāsaṃ bhuñjantassa ekaṃ bhattasitthaṃ bhūmiyaṃ pati. Kipillikā ‘‘rājakule bhattasakaṭaṃ bhaggaṃ, bhattaṃ bhuñjathā’’ti viravi. Taṃ sutvā rājā punapi hasi. Devī suvaṇṇakaṭacchuṃ gahetvā rājānaṃ parivisantī ‘‘maṃ nu kho disvā rājā hasatī’’ti vitakkesi.

    สา รญฺญา สทฺธิํ สยนํ อารุยฺห นิปชฺชนกาเล ‘‘กิํการณา เทว, หสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘กิํ เต มม หสิตการเณนา’’ติ วตฺวา ปุนปฺปุนํ นิพโทฺธ กเถสิฯ อถ นํ สา ‘‘ตุมฺหากํ ชานนมนฺตํ มยฺหํ เทถา’’ติ วตฺวา ‘‘น สกฺกา ทาตุ’’นฺติ ปฎิกฺขิตฺตาปิ ปุนปฺปุนํ นิพนฺธิ ฯ ราชา ‘‘สจาหํ อิมํ มนฺตํ ตุยฺหํ ทสฺสามิ, มริสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘มรโนฺตปิ มยฺหํ เทหิ, เทวา’’ติฯ ราชา มาตุคามวสิโก หุตฺวา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘อิมิสฺสา มนฺตํ ทตฺวา อคฺคิํ ปวิสิสฺสามี’’ติ รเถน อุยฺยานํ ปายาสิฯ

    Sā raññā saddhiṃ sayanaṃ āruyha nipajjanakāle ‘‘kiṃkāraṇā deva, hasī’’ti pucchi. So ‘‘kiṃ te mama hasitakāraṇenā’’ti vatvā punappunaṃ nibaddho kathesi. Atha naṃ sā ‘‘tumhākaṃ jānanamantaṃ mayhaṃ dethā’’ti vatvā ‘‘na sakkā dātu’’nti paṭikkhittāpi punappunaṃ nibandhi . Rājā ‘‘sacāhaṃ imaṃ mantaṃ tuyhaṃ dassāmi, marissāmī’’ti āha. ‘‘Marantopi mayhaṃ dehi, devā’’ti. Rājā mātugāmavasiko hutvā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ‘‘imissā mantaṃ datvā aggiṃ pavisissāmī’’ti rathena uyyānaṃ pāyāsi.

    ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก โลกํ โอโลเกโนฺต อิมํ การณํ ทิสฺวา ‘‘อยํ พาลราชา มาตุคามํ นิสฺสาย ‘อคฺคิํ ปวิสิสฺสามี’ติ คจฺฉติ, ชีวิตมสฺส ทสฺสามี’’ติ สุชํ อสุรกญฺญํ อาทาย พาราณสิํ อาคนฺตฺวา ตํ อชิกํ กตฺวา อตฺตนา อโช หุตฺวา ‘‘มหาชโน มา ปสฺสตู’’ติ อธิฎฺฐาย รโญฺญ รถสฺส ปุรโต อโหสิฯ ตํ ราชา เจว รเถ ยุตฺตสินฺธวา จ ปสฺสนฺติ, อโญฺญ โกจิ น ปสฺสติฯ อโช กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ รถปุรโต อชิกาย สทฺธิํ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวโนฺต วิย อโหสิฯ ตเมโก รเถ ยุตฺตสินฺธโว ทิสฺวา ‘‘สมฺม อชราช, มยํ ปุเพฺพ ‘อชา กิร พาลา อหิริกา’ติ อสฺสุมฺห, น จ ตํ ปสฺสิมฺห, ตฺวํ ปน รโห ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน กตฺตพฺพํ อนาจารํ อมฺหากํ เอตฺตกานํ ปสฺสนฺตานเญฺญว กโรสิ, น ลชฺชสิ, ตํ โน ปุเพฺพ สุตํ อิมินา ทิเฎฺฐน สเมตี’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Tasmiṃ khaṇe sakko lokaṃ olokento imaṃ kāraṇaṃ disvā ‘‘ayaṃ bālarājā mātugāmaṃ nissāya ‘aggiṃ pavisissāmī’ti gacchati, jīvitamassa dassāmī’’ti sujaṃ asurakaññaṃ ādāya bārāṇasiṃ āgantvā taṃ ajikaṃ katvā attanā ajo hutvā ‘‘mahājano mā passatū’’ti adhiṭṭhāya rañño rathassa purato ahosi. Taṃ rājā ceva rathe yuttasindhavā ca passanti, añño koci na passati. Ajo kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ rathapurato ajikāya saddhiṃ methunaṃ dhammaṃ paṭisevanto viya ahosi. Tameko rathe yuttasindhavo disvā ‘‘samma ajarāja, mayaṃ pubbe ‘ajā kira bālā ahirikā’ti assumha, na ca taṃ passimha, tvaṃ pana raho paṭicchannaṭṭhāne kattabbaṃ anācāraṃ amhākaṃ ettakānaṃ passantānaññeva karosi, na lajjasi, taṃ no pubbe sutaṃ iminā diṭṭhena sametī’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๗๗.

    77.

    ‘‘สจฺจํ กิเรวมาหํสุ, วสฺตํ พาโลติ ปณฺฑิตา;

    ‘‘Saccaṃ kirevamāhaṃsu, vastaṃ bāloti paṇḍitā;

    ปสฺส พาโล รโหกมฺมํ, อาวิกุพฺพํ น พุชฺฌตี’’ติฯ

    Passa bālo rahokammaṃ, āvikubbaṃ na bujjhatī’’ti.

    ตตฺถ วสฺตนฺติ อชํฯ ปณฺฑิตาติ ญาณสมฺปนฺนา ตํ พาโลติ วทนฺติ, สจฺจํ กิร วทนฺติฯ ปสฺสาติ อาลปนํ, ปสฺสถาหิ อโตฺถฯ น พุชฺฌตีติ เอวํ กาตุํ อยุตฺตนฺติ น ชานาติฯ

    Tattha vastanti ajaṃ. Paṇḍitāti ñāṇasampannā taṃ bāloti vadanti, saccaṃ kira vadanti. Passāti ālapanaṃ, passathāhi attho. Na bujjhatīti evaṃ kātuṃ ayuttanti na jānāti.

    ตํ สุตฺวา อโช เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā ajo dve gāthā abhāsi –

    ๗๘.

    78.

    ‘‘ตฺวํ โขปิ สมฺม พาโลสิ, ขรปุตฺต วิชานหิ;

    ‘‘Tvaṃ khopi samma bālosi, kharaputta vijānahi;

    รชฺชุยา หิ ปริกฺขิโตฺต, วโงฺกโฎฺฐ โอหิโตมุโขฯ

    Rajjuyā hi parikkhitto, vaṅkoṭṭho ohitomukho.

    ๗๙.

    79.

    ‘‘อปรมฺปิ สมฺม เต พาลฺยํ, โย มุโตฺต น ปลายสิ;

    ‘‘Aparampi samma te bālyaṃ, yo mutto na palāyasi;

    โส จ พาลตโร สมฺม, ยํ ตฺวํ วหติ เสนก’’นฺติฯ

    So ca bālataro samma, yaṃ tvaṃ vahati senaka’’nti.

    ตตฺถ ตฺวํ โขปิ สมฺมาติ สมฺม สินฺธว มยาปิ โข ตฺวํ พาลตโรฯ ขรปุตฺตาติ โส กิร คทฺรภสฺส ชาตโก, เตน ตํ เอวมาหฯ วิชานหีติ อหเมว พาโลติ เอวํ ชานาหิฯ ปริกฺขิโตฺตติ ยุเคน สทฺธิํ คีวาย ปริกฺขิโตฺตฯ วโงฺกโฎฺฐติ วงฺกโอโฎฺฐฯ โอหิโตมุโขติ มุขพนฺธเนน ปิหิตมุโขฯ โย มุโตฺต น ปลายสีติ โย ตฺวํ รถโต มุโตฺต สมาโน มุตฺตกาเล ปลายิตฺวา อรญฺญํ น ปวิสสิ, ตํ เต อปลายนํ อปรมฺปิ พาลฺยํ , โส จ พาลตโรติ ยํ ตฺวํ เสนกํ วหสิ, โส เสนโก ตยาปิ พาลตโรฯ

    Tattha tvaṃ khopi sammāti samma sindhava mayāpi kho tvaṃ bālataro. Kharaputtāti so kira gadrabhassa jātako, tena taṃ evamāha. Vijānahīti ahameva bāloti evaṃ jānāhi. Parikkhittoti yugena saddhiṃ gīvāya parikkhitto. Vaṅkoṭṭhoti vaṅkaoṭṭho. Ohitomukhoti mukhabandhanena pihitamukho. Yo mutto na palāyasīti yo tvaṃ rathato mutto samāno muttakāle palāyitvā araññaṃ na pavisasi, taṃ te apalāyanaṃ aparampi bālyaṃ , so ca bālataroti yaṃ tvaṃ senakaṃ vahasi, so senako tayāpi bālataro.

    ราชา เตสํ อุภินฺนมฺปิ กถํ ชานาติ, ตสฺมา ตํ สุณโนฺต สณิกํ รถํ เปเสสิฯ สินฺธโวปิ ตสฺส กถํ สุตฺวา ปุน จตุตฺถํ คาถมาห –

    Rājā tesaṃ ubhinnampi kathaṃ jānāti, tasmā taṃ suṇanto saṇikaṃ rathaṃ pesesi. Sindhavopi tassa kathaṃ sutvā puna catutthaṃ gāthamāha –

    ๘๐.

    80.

    ‘‘ยํ นุ สมฺม อหํ พาโล, อชราช วิชานหิ;

    ‘‘Yaṃ nu samma ahaṃ bālo, ajarāja vijānahi;

    อถ เกน เสนโก พาโล, ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต’’ติฯ

    Atha kena senako bālo, taṃ me akkhāhi pucchito’’ti.

    ตตฺถ นฺติ กรณเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํฯ นูติ อนุสฺสวเตฺถ นิปาโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สมฺม อชราช, เยน ตาว ติรจฺฉานคตเตฺตน การเณน อหํ พาโล, ตํ ตฺวํ การณํ ชานาหิ, สกฺกา เอตํ ตยา ญาตุํ, อหญฺหิ ติรจฺฉานคตตฺตาว พาโล, ตสฺมา มํ ขรปุตฺตาติอาทีนิ วทโนฺต สุฎฺฐุ วทสิ, อยํ ปน เสนโก ราชา เกน การเณน พาโล, ตํ เม การณํ ปุจฺฉิโต อกฺขาหีติฯ

    Tattha yanti karaṇatthe paccattavacanaṃ. ti anussavatthe nipāto. Idaṃ vuttaṃ hoti – samma ajarāja, yena tāva tiracchānagatattena kāraṇena ahaṃ bālo, taṃ tvaṃ kāraṇaṃ jānāhi, sakkā etaṃ tayā ñātuṃ, ahañhi tiracchānagatattāva bālo, tasmā maṃ kharaputtātiādīni vadanto suṭṭhu vadasi, ayaṃ pana senako rājā kena kāraṇena bālo, taṃ me kāraṇaṃ pucchito akkhāhīti.

    ตํ สุตฺวา อโช อาจิกฺขโนฺต ปญฺจมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā ajo ācikkhanto pañcamaṃ gāthamāha –

    ๘๑.

    81.

    ‘‘อุตฺตมตฺถํ ลภิตฺวาน, ภริยาย โย ปทสฺสติ;

    ‘‘Uttamatthaṃ labhitvāna, bhariyāya yo padassati;

    เตน ชหิสฺสตตฺตานํ, สา เจวสฺส น เหสฺสตี’’ติฯ

    Tena jahissatattānaṃ, sā cevassa na hessatī’’ti.

    ตตฺถ อุตฺตมตฺถนฺติ สพฺพรุตชานนมนฺตํฯ เตนาติ ตสฺสา มนฺตปฺปทานสงฺขาเตน การเณน ตํ ทตฺวา อคฺคิํ ปวิสโนฺต อตฺตานญฺจ ชหิสฺสติ, สา จสฺส ภริยา น ภวิสฺสติ, ตสฺมา เอส ตยาปิ พาลตโร, โย ลทฺธํ ยสํ รกฺขิตุํ น สโกฺกตีติฯ

    Tattha uttamatthanti sabbarutajānanamantaṃ. Tenāti tassā mantappadānasaṅkhātena kāraṇena taṃ datvā aggiṃ pavisanto attānañca jahissati, sā cassa bhariyā na bhavissati, tasmā esa tayāpi bālataro, yo laddhaṃ yasaṃ rakkhituṃ na sakkotīti.

    ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อชราช, อมฺหากํ โสตฺถิํ กโรโนฺตปิ ตฺวเญฺญว กริสฺสสิ, กเถหิ ตาว โน กตฺตพฺพยุตฺตก’’นฺติ อาหฯ อถ นํ อชราชา ‘‘มหาราช, อิเมสํ สตฺตานํ อตฺตนา อโญฺญ ปิยตโร นาม นตฺถิ, เอกํ ปิยภณฺฑํ นิสฺสาย อตฺตานํ นาเสตุํ ลทฺธยสํ ปหาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา ฉฎฺฐํ คาถมาห –

    Rājā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘ajarāja, amhākaṃ sotthiṃ karontopi tvaññeva karissasi, kathehi tāva no kattabbayuttaka’’nti āha. Atha naṃ ajarājā ‘‘mahārāja, imesaṃ sattānaṃ attanā añño piyataro nāma natthi, ekaṃ piyabhaṇḍaṃ nissāya attānaṃ nāsetuṃ laddhayasaṃ pahātuṃ na vaṭṭatī’’ti vatvā chaṭṭhaṃ gāthamāha –

    ๘๒.

    82.

    ‘‘น เว ปิยเมฺมติ ชนินฺท ตาทิโส, อตฺตํ นิรํกตฺวา ปิยานิ เสวติ;

    ‘‘Na ve piyammeti janinda tādiso, attaṃ niraṃkatvā piyāni sevati;

    อตฺตาว เสโยฺย ปรมา จ เสโยฺย, ลพฺภา ปิยา โอจิตเตฺถน ปจฺฉา’’ติฯ

    Attāva seyyo paramā ca seyyo, labbhā piyā ocitatthena pacchā’’ti.

    ตตฺถ ปิยเมฺมติ ปิยํ เม, อยเมว วา ปาโฐฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ชนินฺท, ตาทิโส ตุมฺหาทิโส ยสมหเตฺต ฐิโต ปุคฺคโล เอกํ ปิยภณฺฑํ นิสฺสาย ‘‘อิทํ ปิยํ เม’’ติ อตฺตํ นิรํกตฺวา อตฺตานํ ฉเฑฺฑตฺวา ตานิ ปิยานิ น เสวเตวฯ กิํการณา? อตฺตาว เสโยฺย ปรมา จ เสโยฺยติ, ยสฺมา สตคุเณน สหสฺสคุเณน อตฺตาว เสโยฺย วโร อุตฺตโม, ปรมา จ เสโยฺย, ปรมา อุตฺตมาปิ อญฺญสฺมา ปิยภณฺฑาติ อโตฺถฯ เอตฺถ หิ จ-กาโร ปิ-การเตฺถ นิปาโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ลพฺภา ปิยา โอจิตเตฺถน ปจฺฉาติ โอจิตเตฺถน วฑฺฒิตเตฺถน ยสสมฺปเนฺนน ปุริเสน ปจฺฉา ปิยา นาม สกฺกา ลทฺธุํ, น ตสฺสา การณา อตฺตา นาเสตโพฺพติฯ

    Tattha piyammeti piyaṃ me, ayameva vā pāṭho. Idaṃ vuttaṃ hoti – janinda, tādiso tumhādiso yasamahatte ṭhito puggalo ekaṃ piyabhaṇḍaṃ nissāya ‘‘idaṃ piyaṃ me’’ti attaṃ niraṃkatvā attānaṃ chaḍḍetvā tāni piyāni na sevateva. Kiṃkāraṇā? Attāva seyyo paramā ca seyyoti, yasmā sataguṇena sahassaguṇena attāva seyyo varo uttamo, paramā ca seyyo, paramā uttamāpi aññasmā piyabhaṇḍāti attho. Ettha hi ca-kāro pi-kāratthe nipātoti daṭṭhabbo. Labbhā piyā ocitatthena pacchāti ocitatthena vaḍḍhitatthena yasasampannena purisena pacchā piyā nāma sakkā laddhuṃ, na tassā kāraṇā attā nāsetabboti.

    เอวํ มหาสโตฺต รโญฺญ โอวาทํ อทาสิฯ ราชา ตุสฺสิตฺวา ‘‘อชราช, กุโต อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ สโกฺก อหํ, มหาราช, ตว อนุกมฺปาย ตํ มรณา โมเจตุํ อาคโตมฺหีติฯ เทวราช, อหํ เอติสฺสา ‘‘มนฺตํ ทสฺสามี’’ติ อวจํ, อิทานิ ‘‘กิํ กโรมี’’ติ? ‘‘มหาราช, ตุมฺหากํ อุภินฺนมฺปิ วินาเสน กิจฺจํ นตฺถิ, ‘สิปฺปสฺส อุปจาโร’ติ วตฺวา เอตํ กติปเย ปหาเร ปหราเปหิ, อิมินา อุปาเยน น คณฺหิสฺสตี’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ มหาสโตฺต รโญฺญ โอวาทํ ทตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ ราชา อุยฺยานํ คนฺตฺวา เทวิํ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห ‘‘คณฺหิสฺสสิ ภเทฺท, มนฺต’’นฺติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อุปจารํ กโรมี’’ติฯ ‘‘โก อุปจาโร’’ติ? ‘‘ปิฎฺฐิยํ ปหารสเต ปวตฺตมาเน สทฺทํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติฯ สา มนฺตโลเภน ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ราชา โจรฆาตเก ปโกฺกสาเปตฺวา กสา คาหาเปตฺวา อุโภสุ ปเสฺสสุ ปหราเปสิฯ สา เทฺว ตโย ปหาเร อธิวาเสตฺวา ตโต ปรํ ‘‘น เม มเนฺตน อโตฺถ’’ติ รวิฯ อถ นํ ราชา ‘‘ตฺวํ มํ มาเรตฺวา มนฺตํ คณฺหิตุกามาสี’’ติ ปิฎฺฐิยํ นิจฺจมฺมํ กาเรตฺวา วิสฺสชฺชาเปสิฯ สา ตโต ปฎฺฐาย ปุน กเถตุํ นาสกฺขิฯ

    Evaṃ mahāsatto rañño ovādaṃ adāsi. Rājā tussitvā ‘‘ajarāja, kuto āgatosī’’ti pucchi. Sakko ahaṃ, mahārāja, tava anukampāya taṃ maraṇā mocetuṃ āgatomhīti. Devarāja, ahaṃ etissā ‘‘mantaṃ dassāmī’’ti avacaṃ, idāni ‘‘kiṃ karomī’’ti? ‘‘Mahārāja, tumhākaṃ ubhinnampi vināsena kiccaṃ natthi, ‘sippassa upacāro’ti vatvā etaṃ katipaye pahāre paharāpehi, iminā upāyena na gaṇhissatī’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Mahāsatto rañño ovādaṃ datvā sakaṭṭhānameva gato. Rājā uyyānaṃ gantvā deviṃ pakkosāpetvā āha ‘‘gaṇhissasi bhadde, manta’’nti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Tena hi upacāraṃ karomī’’ti. ‘‘Ko upacāro’’ti? ‘‘Piṭṭhiyaṃ pahārasate pavattamāne saddaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti. Sā mantalobhena ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Rājā coraghātake pakkosāpetvā kasā gāhāpetvā ubhosu passesu paharāpesi. Sā dve tayo pahāre adhivāsetvā tato paraṃ ‘‘na me mantena attho’’ti ravi. Atha naṃ rājā ‘‘tvaṃ maṃ māretvā mantaṃ gaṇhitukāmāsī’’ti piṭṭhiyaṃ niccammaṃ kāretvā vissajjāpesi. Sā tato paṭṭhāya puna kathetuṃ nāsakkhi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา ราชา อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ อโหสิ, เทวี ปุราณทุติยิกา, อโสฺส สาริปุโตฺต, สโกฺก ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā rājā ukkaṇṭhitabhikkhu ahosi, devī purāṇadutiyikā, asso sāriputto, sakko pana ahameva ahosinti.

    ขรปุตฺตชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Kharaputtajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๘๖. ขรปุตฺตชาตกํ • 386. Kharaputtajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact