Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๑๐. อพฺยากตสํยุตฺตํ
10. Abyākatasaṃyuttaṃ
๑. เขมาสุตฺตํ
1. Khemāsuttaṃ
๔๑๐. เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน เขมา ภิกฺขุนี โกสเลสุ จาริกํ จรมานา อนฺตรา จ สาวตฺถิํ อนฺตรา จ สาเกตํ โตรณวตฺถุสฺมิํ วาสํ อุปคตา โหติฯ อถ โข ราชา ปเสนทิ โกสโล สาเกตา สาวตฺถิํ คจฺฉโนฺต, อนฺตรา จ สาเกตํ อนฺตรา จ สาวตฺถิํ โตรณวตฺถุสฺมิํ เอกรตฺติวาสํ อุปคจฺฉิฯ อถ โข ราชา ปเสนทิ โกสโล อญฺญตรํ ปุริสํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส, โตรณวตฺถุสฺมิํ ตถารูปํ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา ชาน ยมหํ อชฺช ปยิรุปาเสยฺย’’นฺติฯ
410. Ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tena kho pana samayena khemā bhikkhunī kosalesu cārikaṃ caramānā antarā ca sāvatthiṃ antarā ca sāketaṃ toraṇavatthusmiṃ vāsaṃ upagatā hoti. Atha kho rājā pasenadi kosalo sāketā sāvatthiṃ gacchanto, antarā ca sāketaṃ antarā ca sāvatthiṃ toraṇavatthusmiṃ ekarattivāsaṃ upagacchi. Atha kho rājā pasenadi kosalo aññataraṃ purisaṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ, ambho purisa, toraṇavatthusmiṃ tathārūpaṃ samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā jāna yamahaṃ ajja payirupāseyya’’nti.
‘‘เอวํ, เทวา’’ติ โข โส ปุริโส รโญฺญ ปเสนทิสฺส โกสลสฺส ปฎิสฺสุตฺวา เกวลกปฺปํ โตรณวตฺถุํ อาหิณฺฑโนฺต 1 นาทฺทส ตถารูปํ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา ยํ ราชา ปเสนทิ โกสโล ปยิรุปาเสยฺยฯ อทฺทสา โข โส ปุริโส เขมํ ภิกฺขุนิํ โตรณวตฺถุสฺมิํ วาสํ อุปคตํฯ ทิสฺวาน เยน ราชา ปเสนทิ โกสโล เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ราชานํ ปเสนทิํ โกสลํ เอตทโวจ –
‘‘Evaṃ, devā’’ti kho so puriso rañño pasenadissa kosalassa paṭissutvā kevalakappaṃ toraṇavatthuṃ āhiṇḍanto 2 nāddasa tathārūpaṃ samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā yaṃ rājā pasenadi kosalo payirupāseyya. Addasā kho so puriso khemaṃ bhikkhuniṃ toraṇavatthusmiṃ vāsaṃ upagataṃ. Disvāna yena rājā pasenadi kosalo tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā rājānaṃ pasenadiṃ kosalaṃ etadavoca –
‘‘นตฺถิ โข, เทว, โตรณวตฺถุสฺมิํ ตถารูโป สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ยํ เทโว ปยิรุปาเสยฺยฯ อตฺถิ จ โข, เทว, เขมา นาม ภิกฺขุนี, ตสฺส ภควโต สาวิกา อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ ตสฺสา โข ปน อยฺยาย เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต – ‘ปณฺฑิตา, วิยตฺตา เมธาวินี พหุสฺสุตา จิตฺตกถา กลฺยาณปฎิภานา’ติฯ ตํ เทโว ปยิรุปาสตู’’ติฯ
‘‘Natthi kho, deva, toraṇavatthusmiṃ tathārūpo samaṇo vā brāhmaṇo vā yaṃ devo payirupāseyya. Atthi ca kho, deva, khemā nāma bhikkhunī, tassa bhagavato sāvikā arahato sammāsambuddhassa. Tassā kho pana ayyāya evaṃ kalyāṇo kittisaddo abbhuggato – ‘paṇḍitā, viyattā medhāvinī bahussutā cittakathā kalyāṇapaṭibhānā’ti. Taṃ devo payirupāsatū’’ti.
อถ โข ราชา ปเสนทิ โกสโล เยน เขมา ภิกฺขุนี เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เขมํ ภิกฺขุนิํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ราชา ปเสนทิ โกสโล เขมํ ภิกฺขุนิํ เอตทโวจ – ‘‘กิํ นุ โข, อเยฺย, โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ? ‘‘อพฺยากตํ โข เอตํ, มหาราช, ภควตา – ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’’ติฯ ‘‘กิํ ปนเยฺย, น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ? ‘‘เอตมฺปิ โข, มหาราช, อพฺยากตํ ภควตา – ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’’ติฯ ‘‘กิํ นุ โข, อเยฺย, โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ? ‘‘อพฺยากตํ โข เอตํ, มหาราช, ภควตา – ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’’ติฯ ‘‘กิํ ปนเยฺย, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติฯ ‘‘เอตมฺปิ โข, มหาราช, อพฺยากตํ ภควตา – ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’’ติฯ
Atha kho rājā pasenadi kosalo yena khemā bhikkhunī tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā khemaṃ bhikkhuniṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho rājā pasenadi kosalo khemaṃ bhikkhuniṃ etadavoca – ‘‘kiṃ nu kho, ayye, hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti? ‘‘Abyākataṃ kho etaṃ, mahārāja, bhagavatā – ‘hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’’ti. ‘‘Kiṃ panayye, na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti? ‘‘Etampi kho, mahārāja, abyākataṃ bhagavatā – ‘na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’’ti. ‘‘Kiṃ nu kho, ayye, hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti? ‘‘Abyākataṃ kho etaṃ, mahārāja, bhagavatā – ‘hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’’ti. ‘‘Kiṃ panayye, neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti. ‘‘Etampi kho, mahārāja, abyākataṃ bhagavatā – ‘neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’’ti.
‘‘‘กิํ นุ โข, อเยฺย, โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ, อิติ ปุฎฺฐา สมานา – ‘อพฺยากตํ โข เอตํ, มหาราช, ภควตา – โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วเทสิฯ ‘กิํ ปนเยฺย, น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ อิติ ปุฎฺฐา สมานา – ‘เอตมฺปิ โข, มหาราช, อพฺยากตํ ภควตา – น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วเทสิฯ ‘กิํ นุ โข, อเยฺย, โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ อิติ ปุฎฺฐา สมานา – ‘อพฺยากตํ โข เอตํ, มหาราช, ภควตา – โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วเทสิฯ ‘กิํ ปนเยฺย, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ อิติ ปุฎฺฐา สมานา – ‘เอตมฺปิ โข, มหาราช, อพฺยากตํ ภควตา – เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วเทสิฯ ‘โก นุ โข , อเยฺย, เหตุ, โก ปจฺจโย เยเนตํ อพฺยากตํ ภควตา’’’ติ?
‘‘‘Kiṃ nu kho, ayye, hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti, iti puṭṭhā samānā – ‘abyākataṃ kho etaṃ, mahārāja, bhagavatā – hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti vadesi. ‘Kiṃ panayye, na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti iti puṭṭhā samānā – ‘etampi kho, mahārāja, abyākataṃ bhagavatā – na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti vadesi. ‘Kiṃ nu kho, ayye, hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti iti puṭṭhā samānā – ‘abyākataṃ kho etaṃ, mahārāja, bhagavatā – hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti vadesi. ‘Kiṃ panayye, neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti iti puṭṭhā samānā – ‘etampi kho, mahārāja, abyākataṃ bhagavatā – neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti vadesi. ‘Ko nu kho , ayye, hetu, ko paccayo yenetaṃ abyākataṃ bhagavatā’’’ti?
‘‘เตน หิ, มหาราช, ตเญฺญเวตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามิฯ ยถา เต ขเมยฺย ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, มหาราช, อตฺถิ เต โกจิ คณโก วา มุทฺทิโก วา สงฺขายโก วา โย ปโหติ คงฺคาย วาลุกํ 3 คเณตุํ – เอตฺตกา 4 วาลุกา อิติ วา, เอตฺตกานิ วาลุกสตานิ อิติ วา, เอตฺตกานิ วาลุกสหสฺสานิ อิติ วา, เอตฺตกานิ วาลุกสตสหสฺสานิ อิติ วา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อเยฺย’’ฯ ‘‘อตฺถิ ปน เต โกจิ คณโก วา มุทฺทิโก วา สงฺขายโก วา โย ปโหติ มหาสมุเทฺท อุทกํ คเณตุํ – เอตฺตกานิ อุทกาฬฺหกานิ อิติ วา, เอตฺตกานิ อุทกาฬฺหกสตานิ อิติ วา, เอตฺตกานิ อุทกาฬฺหกสหสฺสานิ อิติ วา, เอตฺตกานิ อุทกาฬฺหกสตสหสฺสานิ อิติ วา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อเยฺย’’ฯ ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ’’? ‘‘มหาเยฺย, สมุโทฺท คมฺภีโร อปฺปเมโยฺย ทุปฺปริโยคาโห’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, เยน รูเป ตถาคตํ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปยฺย ตํ รูปํ ตถาคตสฺส ปหีนํ อุจฺฉินฺนมูลํ ตาลาวตฺถุกตํ อนภาวงฺกตํ อายติํ อนุปฺปาทธมฺมํฯ รูปสงฺขายวิมุโตฺต โข, มหาราช, ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมโยฺย ทุปฺปริโยคาโห – เสยฺยถาปิ มหาสมุโทฺทฯ ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติฯ
‘‘Tena hi, mahārāja, taññevettha paṭipucchissāmi. Yathā te khameyya tathā naṃ byākareyyāsi. Taṃ kiṃ maññasi, mahārāja, atthi te koci gaṇako vā muddiko vā saṅkhāyako vā yo pahoti gaṅgāya vālukaṃ 5 gaṇetuṃ – ettakā 6 vālukā iti vā, ettakāni vālukasatāni iti vā, ettakāni vālukasahassāni iti vā, ettakāni vālukasatasahassāni iti vā’’ti? ‘‘No hetaṃ, ayye’’. ‘‘Atthi pana te koci gaṇako vā muddiko vā saṅkhāyako vā yo pahoti mahāsamudde udakaṃ gaṇetuṃ – ettakāni udakāḷhakāni iti vā, ettakāni udakāḷhakasatāni iti vā, ettakāni udakāḷhakasahassāni iti vā, ettakāni udakāḷhakasatasahassāni iti vā’’ti? ‘‘No hetaṃ, ayye’’. ‘‘Taṃ kissa hetu’’? ‘‘Mahāyye, samuddo gambhīro appameyyo duppariyogāho’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, yena rūpe tathāgataṃ paññāpayamāno paññāpeyya taṃ rūpaṃ tathāgatassa pahīnaṃ ucchinnamūlaṃ tālāvatthukataṃ anabhāvaṅkataṃ āyatiṃ anuppādadhammaṃ. Rūpasaṅkhāyavimutto kho, mahārāja, tathāgato gambhīro appameyyo duppariyogāho – seyyathāpi mahāsamuddo. ‘Hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti.
‘‘ยาย เวทนาย ตถาคตํ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปยฺย, สา เวทนา ตถาคตสฺส ปหีนา อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวงฺกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาฯ เวทนาสงฺขายวิมุโตฺต, มหาราช, ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมโยฺย ทุปฺปริโยคาโห – เสยฺยถาปิ มหาสมุโทฺทฯ ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติฯ
‘‘Yāya vedanāya tathāgataṃ paññāpayamāno paññāpeyya, sā vedanā tathāgatassa pahīnā ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṅkatā āyatiṃ anuppādadhammā. Vedanāsaṅkhāyavimutto, mahārāja, tathāgato gambhīro appameyyo duppariyogāho – seyyathāpi mahāsamuddo. ‘Hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti.
‘‘ยาย สญฺญา ตถาคตํ…เป.… เยหิ สงฺขาเรหิ ตถาคตํ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปยฺย, เต สงฺขารา ตถาคตสฺส ปหีนา อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวงฺกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาฯ สงฺขารสงฺขายวิมุโตฺต โข, มหาราช, ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมโยฺย ทุปฺปริโยคาโห – เสยฺยถาปิ มหาสมุโทฺทฯ ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ , ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติฯ
‘‘Yāya saññā tathāgataṃ…pe… yehi saṅkhārehi tathāgataṃ paññāpayamāno paññāpeyya, te saṅkhārā tathāgatassa pahīnā ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṅkatā āyatiṃ anuppādadhammā. Saṅkhārasaṅkhāyavimutto kho, mahārāja, tathāgato gambhīro appameyyo duppariyogāho – seyyathāpi mahāsamuddo. ‘Hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti , ‘hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti.
‘‘เยน วิญฺญาเณ ตถาคตํ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปยฺย ตํ วิญฺญาณํ ตถาคตสฺส ปหีนํ อุจฺฉินฺนมูลํ ตาลาวตฺถุกตํ อนภาวงฺกตํ อายติํ อนุปฺปาทธมฺมํฯ วิญฺญาณสงฺขายวิมุโตฺต โข, มหาราช, ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมโยฺย ทุปฺปริโยคาโห – เสยฺยถาปิ มหาสมุโทฺทฯ ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปตี’’ติฯ อถ โข ราชา ปเสนทิ โกสโล เขมาย ภิกฺขุนิยา ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา เขมํ ภิกฺขุนิํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ
‘‘Yena viññāṇe tathāgataṃ paññāpayamāno paññāpeyya taṃ viññāṇaṃ tathāgatassa pahīnaṃ ucchinnamūlaṃ tālāvatthukataṃ anabhāvaṅkataṃ āyatiṃ anuppādadhammaṃ. Viññāṇasaṅkhāyavimutto kho, mahārāja, tathāgato gambhīro appameyyo duppariyogāho – seyyathāpi mahāsamuddo. ‘Hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upetī’’ti. Atha kho rājā pasenadi kosalo khemāya bhikkhuniyā bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā uṭṭhāyāsanā khemaṃ bhikkhuniṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi.
อถ โข ราชา ปเสนทิ โกสโล อปเรน สมเยน เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ราชา ปเสนทิ โกสโล ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต, โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ? ‘‘อพฺยากตํ โข เอตํ, มหาราช, มยา – ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’’ติฯ ‘‘กิํ ปน, ภเนฺต, น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ? ‘‘เอตมฺปิ โข, มหาราช, อพฺยากตํ มยา – ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’’ติฯ ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต, โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ ? ‘‘อพฺยากตํ โข เอตํ, มหาราช, มยา – ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’’ติฯ ‘‘กิํ ปน, ภเนฺต, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ? ‘‘เอตมฺปิ โข, มหาราช, อพฺยากตํ มยา – ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’’ติฯ ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต, โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน – ‘อพฺยากตํ โข เอตํ, มหาราช, มยา – โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วเทสิ…เป.…ฯ ‘‘‘กิํ ปน, ภเนฺต, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน – ‘‘‘เอตมฺปิ โข, มหาราช, อพฺยากตํ มยา – เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วเทสิฯ โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย, เยเนตํ อพฺยากตํ ภควตา’’ติ?
Atha kho rājā pasenadi kosalo aparena samayena yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho rājā pasenadi kosalo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘kiṃ nu kho, bhante, hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti? ‘‘Abyākataṃ kho etaṃ, mahārāja, mayā – ‘hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’’ti. ‘‘Kiṃ pana, bhante, na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti? ‘‘Etampi kho, mahārāja, abyākataṃ mayā – ‘na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’’ti. ‘‘Kiṃ nu kho, bhante, hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti ? ‘‘Abyākataṃ kho etaṃ, mahārāja, mayā – ‘hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’’ti. ‘‘Kiṃ pana, bhante, neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti? ‘‘Etampi kho, mahārāja, abyākataṃ mayā – ‘neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’’ti. ‘‘Kiṃ nu kho, bhante, hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti iti puṭṭho samāno – ‘abyākataṃ kho etaṃ, mahārāja, mayā – hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti vadesi…pe…. ‘‘‘Kiṃ pana, bhante, neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti iti puṭṭho samāno – ‘‘‘etampi kho, mahārāja, abyākataṃ mayā – neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti vadesi. Ko nu kho, bhante, hetu, ko paccayo, yenetaṃ abyākataṃ bhagavatā’’ti?
‘‘เตน หิ, มหาราช, ตเญฺญเวตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามิฯ ยถา เต ขเมยฺย ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, มหาราช, อตฺถิ เต โกจิ คณโก วา มุทฺทิโก วา สงฺขายโก วา โย ปโหติ คงฺคาย วาลุกํ คเณตุํ – เอตฺตกา วาลุกา อิติ วา…เป.… เอตฺตกานิ วาลุกสตสหสฺสานิ อิติ วา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘อตฺถิ ปน เต โกจิ คณโก วา มุทฺทิโก วา สงฺขายโก วา โย ปโหติ มหาสมุเทฺท อุทกํ คเณตุํ – เอตฺตกานิ อุทกาฬฺหกานิ อิติ วา…เป.… เอตฺตกานิ อุทกาฬฺหกสตสหสฺสานิ อิติ วา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ’’? ‘‘มหา, ภเนฺต, สมุโทฺท คมฺภีโร อปฺปเมโยฺย ทุปฺปริโยคาโหฯ เอวเมว โข, มหาราช, เยน รูเปน ตถาคตํ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปยฺย, ตํ รูปํ ตถาคตสฺส ปหีนํ อุจฺฉินฺนมูลํ ตาลาวตฺถุกตํ อนภาวงฺกตํ อายติํ อนุปฺปาทธมฺมํฯ รูปสงฺขายวิมุโตฺต โข, มหาราช, ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมโยฺย ทุปฺปริโยคาโห – เสยฺยถาปิ มหาสมุโทฺทฯ ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ…เป.… ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติฯ ยาย เวทนาย…เป.… ยาย สญฺญาย…เป.… เยหิ สงฺขาเรหิ…เป.…’’ฯ
‘‘Tena hi, mahārāja, taññevettha paṭipucchissāmi. Yathā te khameyya tathā naṃ byākareyyāsi. Taṃ kiṃ maññasi, mahārāja, atthi te koci gaṇako vā muddiko vā saṅkhāyako vā yo pahoti gaṅgāya vālukaṃ gaṇetuṃ – ettakā vālukā iti vā…pe… ettakāni vālukasatasahassāni iti vā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Atthi pana te koci gaṇako vā muddiko vā saṅkhāyako vā yo pahoti mahāsamudde udakaṃ gaṇetuṃ – ettakāni udakāḷhakāni iti vā…pe… ettakāni udakāḷhakasatasahassāni iti vā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Taṃ kissa hetu’’? ‘‘Mahā, bhante, samuddo gambhīro appameyyo duppariyogāho. Evameva kho, mahārāja, yena rūpena tathāgataṃ paññāpayamāno paññāpeyya, taṃ rūpaṃ tathāgatassa pahīnaṃ ucchinnamūlaṃ tālāvatthukataṃ anabhāvaṅkataṃ āyatiṃ anuppādadhammaṃ. Rūpasaṅkhāyavimutto kho, mahārāja, tathāgato gambhīro appameyyo duppariyogāho – seyyathāpi mahāsamuddo. ‘Hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti…pe… ‘neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti. Yāya vedanāya…pe… yāya saññāya…pe… yehi saṅkhārehi…pe…’’.
‘‘เยน วิญฺญาเณน ตถาคตํ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปยฺย, ตํ วิญฺญาณํ ตถาคตสฺส ปหีนํ อุจฺฉินฺนมูลํ ตาลาวตฺถุกตํ อนภาวงฺกตํ อายติํ อนุปฺปาทธมฺมํฯ วิญฺญาณสงฺขายวิมุโตฺต โข, มหาราช, ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมโยฺย ทุปฺปริโยคาโห – เสยฺยถาปิ มหาสมุโทฺทฯ ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปติ, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติปิ น อุเปตี’’ติฯ
‘‘Yena viññāṇena tathāgataṃ paññāpayamāno paññāpeyya, taṃ viññāṇaṃ tathāgatassa pahīnaṃ ucchinnamūlaṃ tālāvatthukataṃ anabhāvaṅkataṃ āyatiṃ anuppādadhammaṃ. Viññāṇasaṅkhāyavimutto kho, mahārāja, tathāgato gambhīro appameyyo duppariyogāho – seyyathāpi mahāsamuddo. ‘Hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘hoti ca na ca hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upeti, ‘neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’tipi na upetī’’ti.
‘‘อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ, ภเนฺต! ยตฺร หิ นาม สตฺถุ เจว 7 สาวิกาย จ อเตฺถน อโตฺถ พฺยญฺชเนน พฺยญฺชนํ สํสนฺทิสฺสติ , สเมสฺสติ, น วิโรธยิสฺสติ 8 ยทิทํ อคฺคปทสฺมิํฯ เอกมิทาหํ, ภเนฺต, สมยํ เขมํ ภิกฺขุนิํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตมตฺถํ อปุจฺฉิํฯ สาปิ เม อยฺยา เอเตหิ ปเทหิ เอเตหิ พฺยญฺชเนหิ เอตมตฺถํ พฺยากาสิ, เสยฺยถาปิ ภควาฯ อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ, ภเนฺต! ยตฺร หิ นาม สตฺถุ เจว สาวิกาย จ อเตฺถน อโตฺถ พฺยญฺชเนน พฺยญฺชนํ สํสนฺทิสฺสติ, สเมสฺสติ, น วิโรธยิสฺสติ ยทิทํ อคฺคปทสฺมิํฯ หนฺท ทานิ มยํ, ภเนฺต, คจฺฉามฯ พหุกิจฺจา มยํ พหุกรณียา’’ติฯ ‘‘ยสฺส ทานิ ตฺวํ, มหาราช, กาลํ มญฺญสี’’ติฯ อถ โข ราชา ปเสนทิ โกสโล ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามีติฯ ปฐมํฯ
‘‘Acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ, bhante! Yatra hi nāma satthu ceva 9 sāvikāya ca atthena attho byañjanena byañjanaṃ saṃsandissati , samessati, na virodhayissati 10 yadidaṃ aggapadasmiṃ. Ekamidāhaṃ, bhante, samayaṃ khemaṃ bhikkhuniṃ upasaṅkamitvā etamatthaṃ apucchiṃ. Sāpi me ayyā etehi padehi etehi byañjanehi etamatthaṃ byākāsi, seyyathāpi bhagavā. Acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ, bhante! Yatra hi nāma satthu ceva sāvikāya ca atthena attho byañjanena byañjanaṃ saṃsandissati, samessati, na virodhayissati yadidaṃ aggapadasmiṃ. Handa dāni mayaṃ, bhante, gacchāma. Bahukiccā mayaṃ bahukaraṇīyā’’ti. ‘‘Yassa dāni tvaṃ, mahārāja, kālaṃ maññasī’’ti. Atha kho rājā pasenadi kosalo bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmīti. Paṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. เขมาสุตฺตวณฺณนา • 1. Khemāsuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑. เขมาสุตฺตวณฺณนา • 1. Khemāsuttavaṇṇanā