Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā |
๑. อุรควโคฺค
1. Uragavaggo
๑. เขตฺตูปมเปตวตฺถุวณฺณนา
1. Khettūpamapetavatthuvaṇṇanā
ตํ ปเนตํ วตฺถุํ ภควา ราชคเห วิหรโนฺต เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป อญฺญตรํ เสฎฺฐิปุตฺตเปตํ อารพฺภ กเถสิฯ ราชคเห กิร อญฺญตโร อโฑฺฒ มหทฺธโน มหาโภโค ปหูตวิตฺตูปกรโณ อเนกโกฎิธนสนฺนิจโย เสฎฺฐิ อโหสิฯ ตสฺส มหาธนสมฺปนฺนตาย ‘‘มหาธนเสฎฺฐิ’’เตฺวว สมญฺญา อโหสิฯ เอโกว ปุโตฺต อโหสิ, ปิโย มนาโปฯ ตสฺมิํ วิญฺญุตํ ปเตฺต มาตาปิตโร เอวํ จิเนฺตสุํ – ‘‘อมฺหากํ ปุตฺตสฺส ทิวเส ทิวเส สหสฺสํ สหสฺสํ ปริพฺพยํ กโรนฺตสฺส วสฺสสเตนาปิ อยํ ธนสนฺนิจโย ปริกฺขยํ น คมิสฺสติ, กิํ อิมสฺส สิปฺปุคฺคหณปริสฺสเมน, อกิลนฺตกายจิโตฺต ยถาสุขํ โภเค ปริภุญฺชตู’’ติ สิปฺปํ น สิกฺขาเปสุํฯ วยปฺปเตฺต ปน กุลรูปโยพฺพนวิลาสสมฺปนฺนํ กามาภิมุขํ ธมฺมสญฺญาวิมุขํ กญฺญํ อาเนสุํฯ โส ตาย สทฺธิํ อภิรมโนฺต ธเมฺม จิตฺตมตฺตมฺปิ อนุปฺปาเทตฺวา, สมณพฺราหฺมณคุรุชเนสุ อนาทโร หุตฺวา, ธุตฺตชนปริวุโต รชฺชมาโน ปญฺจกามคุเณ รโต คิโทฺธ โมเหน อโนฺธ หุตฺวา กาลํ วีตินาเมตฺวา, มาตาปิตูสุ กาลกเตสุ นฎนาฎกคายกาทีนํ ยถิจฺฉิตํ เทโนฺต ธนํ วินาเสตฺวา นจิรเสฺสว ปาริชุญฺญปฺปโตฺต หุตฺวา, อิณํ คเหตฺวา ชีวิกํ กเปฺปโนฺต ปุน อิณมฺปิ อลภิตฺวา อิณายิเกหิ โจทิยมาโน เตสํ อตฺตโน เขตฺตวตฺถุฆราทีนิ ทตฺวา, กปาลหโตฺถ ภิกฺขํ จริตฺวา ภุญฺชโนฺต ตสฺมิํเยว นคเร อนาถสาลายํ วสติฯ
Taṃ panetaṃ vatthuṃ bhagavā rājagahe viharanto veḷuvane kalandakanivāpe aññataraṃ seṭṭhiputtapetaṃ ārabbha kathesi. Rājagahe kira aññataro aḍḍho mahaddhano mahābhogo pahūtavittūpakaraṇo anekakoṭidhanasannicayo seṭṭhi ahosi. Tassa mahādhanasampannatāya ‘‘mahādhanaseṭṭhi’’tveva samaññā ahosi. Ekova putto ahosi, piyo manāpo. Tasmiṃ viññutaṃ patte mātāpitaro evaṃ cintesuṃ – ‘‘amhākaṃ puttassa divase divase sahassaṃ sahassaṃ paribbayaṃ karontassa vassasatenāpi ayaṃ dhanasannicayo parikkhayaṃ na gamissati, kiṃ imassa sippuggahaṇaparissamena, akilantakāyacitto yathāsukhaṃ bhoge paribhuñjatū’’ti sippaṃ na sikkhāpesuṃ. Vayappatte pana kularūpayobbanavilāsasampannaṃ kāmābhimukhaṃ dhammasaññāvimukhaṃ kaññaṃ ānesuṃ. So tāya saddhiṃ abhiramanto dhamme cittamattampi anuppādetvā, samaṇabrāhmaṇagurujanesu anādaro hutvā, dhuttajanaparivuto rajjamāno pañcakāmaguṇe rato giddho mohena andho hutvā kālaṃ vītināmetvā, mātāpitūsu kālakatesu naṭanāṭakagāyakādīnaṃ yathicchitaṃ dento dhanaṃ vināsetvā nacirasseva pārijuññappatto hutvā, iṇaṃ gahetvā jīvikaṃ kappento puna iṇampi alabhitvā iṇāyikehi codiyamāno tesaṃ attano khettavatthugharādīni datvā, kapālahattho bhikkhaṃ caritvā bhuñjanto tasmiṃyeva nagare anāthasālāyaṃ vasati.
อถ นํ เอกทิวสํ โจรา สมาคตา เอวมาหํสุ – ‘‘อโมฺภ ปุริส, กิํ ตุยฺหํ อิมินา ทุชฺชีวิเตน, ตรุโณ ตฺวมสิ ถามชวพลสมฺปโนฺน, กสฺมา หตฺถปาทวิกโล วิย อจฺฉสิ? เอหิ อเมฺหหิ สห โจริกาย ปเรสํ สนฺตกํ คเหตฺวา สุเขน ชีวิกํ กเปฺปหี’’ติฯ โส ‘‘นาหํ โจริกํ กาตุํ ชานามี’’ติ อาหฯ โจรา ‘‘มยํ ตํ สิกฺขาเปม, เกวลํ ตฺวํ อมฺหากํ วจนํ กโรหี’’ติ อาหํสุฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เตหิ สทฺธิํ อคมาสิฯ อถ เต โจรา ตสฺส หเตฺถ มหนฺตํ มุคฺครํ ทตฺวา สนฺธิํ ฉินฺทิตฺวา ฆรํ ปวิสโนฺต ตํ สนฺธิมุเข ฐเปตฺวา อาหํสุ – ‘‘สเจ อิธ อโญฺญ โกจิ อาคจฺฉติ, ตํ อิมินา มุคฺคเรน ปหริตฺวา เอกปฺปหาเรเนว มาเรหี’’ติฯ โส อนฺธพาโล หิตาหิตํ อชานโนฺต ปเรสํ อาคมนเมว โอโลเกโนฺต ตตฺถ อฎฺฐาสิ ฯ โจรา ปน ฆรํ ปวิสิตฺวา คยฺหูปคํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ฆรมนุเสฺสหิ ญาตมตฺตาว อิโต จิโต จ ปลายิํสุฯ ฆรมนุสฺสา อุฎฺฐหิตฺวา สีฆํ สีฆํ ธาวนฺตา อิโต จิโต จ โอโลเกนฺตา ตํ ปุริสํ สนฺธิทฺวาเร ฐิตํ ทิสฺวา ‘‘หเร ทุฎฺฐโจรา’’ติ คเหตฺวา หตฺถปาเท มุคฺคราทีหิ โปเถตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสุํ – ‘‘อยํ, เทว, โจโร สนฺธิสุเข คหิโต’’ติฯ ราชา ‘‘อิมสฺส สีสํ ฉินฺทาเปหี’’ติ นครคุตฺติกํ อาณาเปสิฯ ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ นครคุตฺติโก ตํ คาหาเปตฺวา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธาเปตฺวา รตฺตวณฺณวิรฬมาลาพนฺธกณฺฐํ อิฎฺฐกจุณฺณมกฺขิตสีสํ วชฺฌปหฎเภริเทสิตมคฺคํ รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ วิจราเปตฺวา กสาหิ ตาเฬโนฺต อาฆาตนาภิมุขํ เนติฯ ‘‘อยํ อิมสฺมิํ นคเร วิลุมฺปมานกโจโร คหิโต’’ติ โกลาหลํ อโหสิฯ
Atha naṃ ekadivasaṃ corā samāgatā evamāhaṃsu – ‘‘ambho purisa, kiṃ tuyhaṃ iminā dujjīvitena, taruṇo tvamasi thāmajavabalasampanno, kasmā hatthapādavikalo viya acchasi? Ehi amhehi saha corikāya paresaṃ santakaṃ gahetvā sukhena jīvikaṃ kappehī’’ti. So ‘‘nāhaṃ corikaṃ kātuṃ jānāmī’’ti āha. Corā ‘‘mayaṃ taṃ sikkhāpema, kevalaṃ tvaṃ amhākaṃ vacanaṃ karohī’’ti āhaṃsu. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tehi saddhiṃ agamāsi. Atha te corā tassa hatthe mahantaṃ muggaraṃ datvā sandhiṃ chinditvā gharaṃ pavisanto taṃ sandhimukhe ṭhapetvā āhaṃsu – ‘‘sace idha añño koci āgacchati, taṃ iminā muggarena paharitvā ekappahāreneva mārehī’’ti. So andhabālo hitāhitaṃ ajānanto paresaṃ āgamanameva olokento tattha aṭṭhāsi . Corā pana gharaṃ pavisitvā gayhūpagaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā gharamanussehi ñātamattāva ito cito ca palāyiṃsu. Gharamanussā uṭṭhahitvā sīghaṃ sīghaṃ dhāvantā ito cito ca olokentā taṃ purisaṃ sandhidvāre ṭhitaṃ disvā ‘‘hare duṭṭhacorā’’ti gahetvā hatthapāde muggarādīhi pothetvā rañño dassesuṃ – ‘‘ayaṃ, deva, coro sandhisukhe gahito’’ti. Rājā ‘‘imassa sīsaṃ chindāpehī’’ti nagaraguttikaṃ āṇāpesi. ‘‘Sādhu, devā’’ti nagaraguttiko taṃ gāhāpetvā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhāpetvā rattavaṇṇaviraḷamālābandhakaṇṭhaṃ iṭṭhakacuṇṇamakkhitasīsaṃ vajjhapahaṭabheridesitamaggaṃ rathikāya rathikaṃ siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ vicarāpetvā kasāhi tāḷento āghātanābhimukhaṃ neti. ‘‘Ayaṃ imasmiṃ nagare vilumpamānakacoro gahito’’ti kolāhalaṃ ahosi.
เตน จ สมเยน ตสฺมิํ นคเร สุลสา นาม นครโสภินี ปาสาเท ฐิตา วาตปานนฺตเรน โอโลเกนฺตี ตํ ตถา นียมานํ ทิสฺวา ปุเพฺพ เตน กตปริจยา ‘‘อยํ ปุริโส อิมสฺมิํเยว นคเร มหติํ สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อิทานิ เอวรูปํ อนตฺถํ อนยพฺยสนํ ปโตฺต’’ติ ตสฺส การุญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา จตฺตาโร โมทเก ปานียญฺจ เปเสสิฯ นครคุตฺติกสฺส จ อาโรจาเปสิ – ‘‘ตาว อโยฺย อาคเมตุ, ยาวายํ ปุริโส อิเม โมทเก ขาทิตฺวา ปานียํ ปิวิสฺสตี’’ติฯ
Tena ca samayena tasmiṃ nagare sulasā nāma nagarasobhinī pāsāde ṭhitā vātapānantarena olokentī taṃ tathā nīyamānaṃ disvā pubbe tena kataparicayā ‘‘ayaṃ puriso imasmiṃyeva nagare mahatiṃ sampattiṃ anubhavitvā idāni evarūpaṃ anatthaṃ anayabyasanaṃ patto’’ti tassa kāruññaṃ uppādetvā cattāro modake pānīyañca pesesi. Nagaraguttikassa ca ārocāpesi – ‘‘tāva ayyo āgametu, yāvāyaṃ puriso ime modake khāditvā pānīyaṃ pivissatī’’ti.
อเถตสฺมิํ อนฺตเร อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ทิเพฺพน จกฺขุนา โอโลเกโนฺต ตสฺส พฺยสนปฺปตฺติํ ทิสฺวา กรุณาย สโญฺจทิตมานโส – ‘‘อยํ ปุริโส อกตปุโญฺญ กตปาโป, เตนายํ นิรเย นิพฺพตฺติสฺสติ, มยิ ปน คเต โมทเก จ ปานียญฺจ ทตฺวา ภุมฺมเทเวสุ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ยํนูนาหํ อิมสฺส อวสฺสโย ภเวยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ปานียโมทเกสุ อุปนียมาเนสุ ตสฺส ปุริสสฺส ปุรโต ปาตุรโหสิฯ โส เถรํ ทิสฺวา ปสนฺนมานโส ‘‘กิํ เม อิทาเนว อิเมหิ มาริยมานสฺส โมทเกหิ ขาทิเตหิ, อิทํ ปน ปรโลกํ คจฺฉนฺตสฺส ปาเถยฺยํ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา โมทเก จ ปานียญฺจ เถรสฺส ทาเปสิฯ เถโร ตสฺส ปสาทสํวฑฺฒนตฺถํ ตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว ตถารูเป ฐาเน นิสีทิตฺวา โมทเก ปริภุญฺชิตฺวา ปานียญฺจ ปิวิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ โส ปน ปุริโส โจรฆาตเกหิ อาฆาตนํ เนตฺวา สีสเจฺฉทํ ปาปิโต อนุตฺตเร ปุญฺญเกฺขเตฺต มหาโมคฺคลฺลานเตฺถเร กเตน ปุเญฺญน อุฬาเร เทวโลเก นิพฺพตฺตนารโหปิ ยสฺมา ‘‘สุลสํ อาคมฺม มยา อยํ เทยฺยธโมฺม ลโทฺธ’’ติ สุลสาย คเตน สิเนเหน มรณกาเล จิตฺตํ อุปกฺกิลิฎฺฐํ อโหสิฯ ตสฺมา หีนกายํ อุปปชฺชโนฺต ปพฺพตคหนสมฺภูเต สนฺทจฺฉาเย มหานิโคฺรธรุเกฺข รุกฺขเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ
Athetasmiṃ antare āyasmā mahāmoggallāno dibbena cakkhunā olokento tassa byasanappattiṃ disvā karuṇāya sañcoditamānaso – ‘‘ayaṃ puriso akatapuñño katapāpo, tenāyaṃ niraye nibbattissati, mayi pana gate modake ca pānīyañca datvā bhummadevesu uppajjissati, yaṃnūnāhaṃ imassa avassayo bhaveyya’’nti cintetvā pānīyamodakesu upanīyamānesu tassa purisassa purato pāturahosi. So theraṃ disvā pasannamānaso ‘‘kiṃ me idāneva imehi māriyamānassa modakehi khāditehi, idaṃ pana paralokaṃ gacchantassa pātheyyaṃ bhavissatī’’ti cintetvā modake ca pānīyañca therassa dāpesi. Thero tassa pasādasaṃvaḍḍhanatthaṃ tassa passantasseva tathārūpe ṭhāne nisīditvā modake paribhuñjitvā pānīyañca pivitvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. So pana puriso coraghātakehi āghātanaṃ netvā sīsacchedaṃ pāpito anuttare puññakkhette mahāmoggallānatthere katena puññena uḷāre devaloke nibbattanārahopi yasmā ‘‘sulasaṃ āgamma mayā ayaṃ deyyadhammo laddho’’ti sulasāya gatena sinehena maraṇakāle cittaṃ upakkiliṭṭhaṃ ahosi. Tasmā hīnakāyaṃ upapajjanto pabbatagahanasambhūte sandacchāye mahānigrodharukkhe rukkhadevatā hutvā nibbatti.
โส กิร สเจ ปฐมวเย กุลวํสฎฺฐปเน อุสฺสุกฺกํ อกริสฺส, ตสฺมิํเยว นคเร เสฎฺฐีนํ อโคฺค อภวิสฺส, มชฺฌิมวเย มชฺฌิโม, ปจฺฉิมวเย ปจฺฉิโมฯ สเจ ปน ปฐมวเย ปพฺพชิโต อภวิสฺส, อรหา อภวิสฺส, มชฺฌิมวเย สกทาคามี อนาคามี วา อภวิสฺส, ปจฺฉิมวเย โสตาปโนฺน อภวิสฺสฯ ปาปมิตฺตสํสเคฺคน ปน อิตฺถิธุโตฺต สุราธุโตฺต ทุจฺจริตนิรโต อนาทริโก หุตฺวา อนุกฺกเมน สพฺพสมฺปตฺติโต ปริหายิตฺวา มหาพฺยสนํ ปโตฺตติ วทนฺติฯ
So kira sace paṭhamavaye kulavaṃsaṭṭhapane ussukkaṃ akarissa, tasmiṃyeva nagare seṭṭhīnaṃ aggo abhavissa, majjhimavaye majjhimo, pacchimavaye pacchimo. Sace pana paṭhamavaye pabbajito abhavissa, arahā abhavissa, majjhimavaye sakadāgāmī anāgāmī vā abhavissa, pacchimavaye sotāpanno abhavissa. Pāpamittasaṃsaggena pana itthidhutto surādhutto duccaritanirato anādariko hutvā anukkamena sabbasampattito parihāyitvā mahābyasanaṃ pattoti vadanti.
อถ โส อปเรน สมเยน สุลสํ อุยฺยานคตํ ทิสฺวา สญฺชาตกามราโค อนฺธการํ มาเปตฺวา ตํ อตฺตโน ภวนํ เนตฺวา สตฺตาหํ ตาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิ, อตฺตานญฺจสฺสา อาโรเจสิฯ ตสฺสา มาตา ตํ อปสฺสนฺตี โรทมานา อิโต จิโต จ ปริพฺภมติฯ ตํ ทิสฺวา มหาชโน ‘‘อโยฺย มหาโมคฺคลฺลาโน มหิทฺธิโก มหานุภาโว ตสฺสา คติํ ชาเนยฺย, ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุเจฺฉยฺยาสี’’ติ อาหฯ สา ‘‘สาธุ อโยฺย’’ติ เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ เถโร ‘‘อิโต สตฺตเม ทิวเส เวฬุวนมหาวิหาเร ภควติ ธมฺมํ เทเสเนฺต ปริสปริยเนฺต ปสฺสิสฺสสี’’ติ อาหฯ อถ สุลสา ตํ เทวปุตฺตํ อโวจ – ‘‘อยุตฺตํ มยฺหํ ตว ภวเน วสนฺติยา, อชฺช สตฺตโม ทิวโส, มม มาตา มํ อปสฺสนฺตี ปริเทวโสกสมาปนฺนา ภวิสฺสติ, สาธุ มํ, เทว, ตเตฺถว เนหี’’ติฯ โส ตํ เนตฺวา เวฬุวเน ภควติ ธมฺมํ เทเสเนฺต ปริสปริยเนฺต ฐเปนฺตฺวา อทิสฺสมานรูโป อฎฺฐาสิฯ
Atha so aparena samayena sulasaṃ uyyānagataṃ disvā sañjātakāmarāgo andhakāraṃ māpetvā taṃ attano bhavanaṃ netvā sattāhaṃ tāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi, attānañcassā ārocesi. Tassā mātā taṃ apassantī rodamānā ito cito ca paribbhamati. Taṃ disvā mahājano ‘‘ayyo mahāmoggallāno mahiddhiko mahānubhāvo tassā gatiṃ jāneyya, taṃ upasaṅkamitvā puccheyyāsī’’ti āha. Sā ‘‘sādhu ayyo’’ti theraṃ upasaṅkamitvā tamatthaṃ pucchi. Thero ‘‘ito sattame divase veḷuvanamahāvihāre bhagavati dhammaṃ desente parisapariyante passissasī’’ti āha. Atha sulasā taṃ devaputtaṃ avoca – ‘‘ayuttaṃ mayhaṃ tava bhavane vasantiyā, ajja sattamo divaso, mama mātā maṃ apassantī paridevasokasamāpannā bhavissati, sādhu maṃ, deva, tattheva nehī’’ti. So taṃ netvā veḷuvane bhagavati dhammaṃ desente parisapariyante ṭhapentvā adissamānarūpo aṭṭhāsi.
ตโต มหาชโน สุลสํ ทิสฺวา เอวมาห – ‘‘อมฺม สุลเส, ตฺวํ เอตฺตกํ ทิวสํ กุหิํ คตา? ตว มาตา ตฺวํ อปสฺสนฺตี ปริเทวโสกสมาปนฺนา อุมฺมาทปฺปตฺตา วิย ชาตา’’ติฯ สา ตํ ปวตฺติํ มหาชนสฺส อาจิกฺขิฯ มหาชเนน จ ‘‘กถํ โส ปุริโส ตถาปาปปสุโต อกตกุสโล เทวูปปตฺติํ ปฎิลภตี’’ติ วุเตฺต สุลสา ‘‘มยา ทาปิเต โมทเก ปานียญฺจ อยฺยสฺส มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรสฺส ทตฺวา เตน ปุเญฺญน เทวูปปตฺติํ ปฎิลภตี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา มหาชโน อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาโต อโหสิ – ‘‘อรหโนฺต นาม อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺส, เยสุ อปฺปโกปิ กโต กาโร สตฺตานํ เทวูปปตฺติํ อาวหตี’’ติ อุฬารํ ปีติโสมนสฺสํ ปฎิสํเวเทสิฯ ภิกฺขู ตมตฺถํ ภควโต อาโรเจสุํฯ ตโต ภควา อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา –
Tato mahājano sulasaṃ disvā evamāha – ‘‘amma sulase, tvaṃ ettakaṃ divasaṃ kuhiṃ gatā? Tava mātā tvaṃ apassantī paridevasokasamāpannā ummādappattā viya jātā’’ti. Sā taṃ pavattiṃ mahājanassa ācikkhi. Mahājanena ca ‘‘kathaṃ so puriso tathāpāpapasuto akatakusalo devūpapattiṃ paṭilabhatī’’ti vutte sulasā ‘‘mayā dāpite modake pānīyañca ayyassa mahāmoggallānattherassa datvā tena puññena devūpapattiṃ paṭilabhatī’’ti āha. Taṃ sutvā mahājano acchariyabbhutacittajāto ahosi – ‘‘arahanto nāma anuttaraṃ puññakkhettaṃ lokassa, yesu appakopi kato kāro sattānaṃ devūpapattiṃ āvahatī’’ti uḷāraṃ pītisomanassaṃ paṭisaṃvedesi. Bhikkhū tamatthaṃ bhagavato ārocesuṃ. Tato bhagavā imissā aṭṭhuppattiyā –
๑.
1.
‘‘เขตฺตูปมา อรหโนฺต, ทายกา กสฺสกูปมา;
‘‘Khettūpamā arahanto, dāyakā kassakūpamā;
พีชูปมํ เทยฺยธมฺมํ, เอโตฺต นิพฺพตฺตเต ผลํฯ
Bījūpamaṃ deyyadhammaṃ, etto nibbattate phalaṃ.
๒.
2.
‘‘เอตํ พีชํ กสี เขตฺตํ, เปตานํ ทายกสฺส จ;
‘‘Etaṃ bījaṃ kasī khettaṃ, petānaṃ dāyakassa ca;
ตํ เปตา ปริภุญฺชนฺติ, ทาตา ปุเญฺญน วฑฺฒติฯ
Taṃ petā paribhuñjanti, dātā puññena vaḍḍhati.
๓.
3.
‘‘อิเธว กุสลํ กตฺวา, เปเต จ ปฎิปูชิย;
‘‘Idheva kusalaṃ katvā, pete ca paṭipūjiya;
สคฺคญฺจ กมติฎฺฐานํ, กมฺมํ กตฺวาน ภทฺทก’’นฺติฯ – อิมา คาถา อภาสิ;
Saggañca kamatiṭṭhānaṃ, kammaṃ katvāna bhaddaka’’nti. – imā gāthā abhāsi;
๑. ตตฺถ เขตฺตูปมาติ ขิตฺตํ วุตฺตํ พีชํ ตายติ มหปฺผลภาวกรเณน รกฺขตีติ เขตฺตํ, สาลิพีชาทีนํ วิรุหนฎฺฐานํฯ ตํ อุปมา เอเตสนฺติ เขตฺตูปมา, เกทารสทิสาติ อโตฺถฯ อรหโนฺตติ ขีณาสวาฯ เต หิ กิเลสารีนํ สํสารจกฺกสฺส อรานญฺจ หตตฺตา, ตโต เอว อารกตฺตา, ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา, ปาปกรเณ รหาภาวา จ ‘‘อรหโนฺต’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตตฺถ ยถา เขตญฺหิ ติณาทิโทสรหิตํ สฺวาภิสงฺขตพีชมฺหิ วุเตฺต อุตุสลิลาทิปจฺจยนฺตรูเปตํ กสฺสกสฺส มหปฺผลํ โหติ, เอวํ ขีณาสวสนฺตาโน โลภาทิโทสรหิโต สฺวาภิสงฺขเต เทยฺยธมฺมพีเช วุเตฺต กาลาทิปจฺจยนฺตรสหิโต ทายกสฺส มหปฺผโล โหติฯ เตนาห ภควา ‘‘เขตฺตูปมา อรหโนฺต’’ติฯ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทโส อยํ ตสฺส เสขาทีนมฺปิ เขตฺตภาวาปฎิเกฺขปโตฯ
1. Tattha khettūpamāti khittaṃ vuttaṃ bījaṃ tāyati mahapphalabhāvakaraṇena rakkhatīti khettaṃ, sālibījādīnaṃ viruhanaṭṭhānaṃ. Taṃ upamā etesanti khettūpamā, kedārasadisāti attho. Arahantoti khīṇāsavā. Te hi kilesārīnaṃ saṃsāracakkassa arānañca hatattā, tato eva ārakattā, paccayādīnaṃ arahattā, pāpakaraṇe rahābhāvā ca ‘‘arahanto’’ti vuccanti. Tattha yathā khetañhi tiṇādidosarahitaṃ svābhisaṅkhatabījamhi vutte utusalilādipaccayantarūpetaṃ kassakassa mahapphalaṃ hoti, evaṃ khīṇāsavasantāno lobhādidosarahito svābhisaṅkhate deyyadhammabīje vutte kālādipaccayantarasahito dāyakassa mahapphalo hoti. Tenāha bhagavā ‘‘khettūpamā arahanto’’ti. Ukkaṭṭhaniddeso ayaṃ tassa sekhādīnampi khettabhāvāpaṭikkhepato.
ทายกาติ จีวราทีนํ ปจฺจยานํ ทาตาโร ปริจฺจชนกา, เตสํ ปริจฺจาเคน อตฺตโน สนฺตาเน โลภาทีนํ ปริจฺจชนกา เฉทนกา, ตโต วา อตฺตโน สนฺตานสฺส โสธกา, รกฺขกา จาติ อโตฺถฯ กสฺสกูปมาติ กสฺสกสทิสาฯ ยถา กสฺสโก สาลิเขตฺตาทีนิ กสิตฺวา ยถากาลญฺจ วุตฺตุทกทานนีหรณนิธานรกฺขณาทีหิ อปฺปมชฺชโนฺต อุฬารํ วิปุลญฺจ สสฺสผลํ ปฎิลภติ, เอวํ ทายโกปิ อรหเนฺตสุ เทยฺยธมฺมปริจฺจาเคน ปาริจริยาย จ อปฺปมชฺชโนฺต อุฬารํ วิปุลญฺจ ทานผลํ ปฎิลภติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ทายกา กสฺสกูปมา’’ติฯ
Dāyakāti cīvarādīnaṃ paccayānaṃ dātāro pariccajanakā, tesaṃ pariccāgena attano santāne lobhādīnaṃ pariccajanakā chedanakā, tato vā attano santānassa sodhakā, rakkhakā cāti attho. Kassakūpamāti kassakasadisā. Yathā kassako sālikhettādīni kasitvā yathākālañca vuttudakadānanīharaṇanidhānarakkhaṇādīhi appamajjanto uḷāraṃ vipulañca sassaphalaṃ paṭilabhati, evaṃ dāyakopi arahantesu deyyadhammapariccāgena pāricariyāya ca appamajjanto uḷāraṃ vipulañca dānaphalaṃ paṭilabhati. Tena vuttaṃ ‘‘dāyakā kassakūpamā’’ti.
พีชูปมํ เทยฺยธมฺมนฺติ ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํ, พีชสทิโส เทยฺยธโมฺมติ อโตฺถฯ อนฺนปานาทิกสฺส หิ ทสวิธสฺส ทาตพฺพวตฺถุโน เอตํ นามํฯ เอโตฺต นิพฺพตฺตเต ผลนฺติ เอตสฺมา ทายกปฎิคฺคาหกเทยฺยธมฺมปริจฺจาคโต ทานผลํ นิพฺพตฺตติ เจว อุปฺปชฺชติ จ, จิรตรปพนฺธวเสน ปวตฺตติ จาติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ยสฺมา ปริจฺจาคเจตนาภิสงฺขตสฺส อนฺนปานาทิวตฺถุโน ภาโว, น อิตรสฺส, ตสฺมา ‘‘พีชูปมํ เทยฺยธมฺม’’นฺติ เทยฺยธมฺมคฺคหณํ กตํฯ เตน เทยฺยธมฺมาปเทเสน เทยฺยธมฺมวตฺถุวิสยาย ปริจฺจาคเจตนายเยว พีชภาโว ทฎฺฐโพฺพฯ สา หิ ปฎิสนฺธิอาทิปฺปเภทสฺส ตสฺส นิสฺสยารมฺมณปฺปเภทสฺส จ ผลสฺส นิปฺผาทิกา, น เทยฺยธโมฺมติฯ
Bījūpamaṃ deyyadhammanti liṅgavipallāsena vuttaṃ, bījasadiso deyyadhammoti attho. Annapānādikassa hi dasavidhassa dātabbavatthuno etaṃ nāmaṃ. Etto nibbattate phalanti etasmā dāyakapaṭiggāhakadeyyadhammapariccāgato dānaphalaṃ nibbattati ceva uppajjati ca, ciratarapabandhavasena pavattati cāti attho. Ettha ca yasmā pariccāgacetanābhisaṅkhatassa annapānādivatthuno bhāvo, na itarassa, tasmā ‘‘bījūpamaṃ deyyadhamma’’nti deyyadhammaggahaṇaṃ kataṃ. Tena deyyadhammāpadesena deyyadhammavatthuvisayāya pariccāgacetanāyayeva bījabhāvo daṭṭhabbo. Sā hi paṭisandhiādippabhedassa tassa nissayārammaṇappabhedassa ca phalassa nipphādikā, na deyyadhammoti.
๒. เอตํ พีชํ กสี เขตฺตนฺติ ยถาวุตฺตํ พีชํ, ยถาวุตฺตญฺจ เขตฺตํ, ตสฺส พีชสฺส ตสฺมิํ เขเตฺต วปนปโยคสงฺขาตา กสิ จาติ อโตฺถฯ เอตํ ตยํ เกสํ อิจฺฉิตพฺพนฺติ อาห ‘‘เปตานํ ทายกสฺส จา’’ติฯ ยทิ ทายโก เปเต อุทฺทิสฺส ทานํ เทติ, เปตานญฺจ ทายกสฺส จ, ยทิ น เปเต อุทฺทิสฺส ทานํ เทติ, ทายกเสฺสว เอตํ พีชํ เอสา กสิ เอตํ เขตฺตํ อุปการาย โหตีติ อธิปฺปาโยฯ อิทานิ ตํ อุปการํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตํ เปตา ปริภุญฺชนฺติ, ทาตา ปุเญฺญน วฑฺฒตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตํ เปตา ปริภุญฺชนฺตีติ ทายเกน เปเต อุทฺทิสฺส ทาเน ทิเนฺน ยถาวุตฺตเขตฺตกสิพีชสมฺปตฺติยา อนุโมทนาย จ ยํ เปตานํ อุปกปฺปติ, ตํ ทานผลํ เปตา ปริภุญฺชนฺติฯ ทาตา ปุเญฺญน วฑฺฒตีติ ทาตา ปน อตฺตโน ทานมยปุญฺญนิมิตฺตํ เทวมนุเสฺสสุ โภคสมฺปตฺติอาทินา ปุญฺญผเลน อภิวฑฺฒติฯ ปุญฺญผลมฺปิ หิ ‘‘กุสลานํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๘๐) ปุญฺญนฺติ วุจฺจติฯ
2.Etaṃ bījaṃ kasī khettanti yathāvuttaṃ bījaṃ, yathāvuttañca khettaṃ, tassa bījassa tasmiṃ khette vapanapayogasaṅkhātā kasi cāti attho. Etaṃ tayaṃ kesaṃ icchitabbanti āha ‘‘petānaṃ dāyakassa cā’’ti. Yadi dāyako pete uddissa dānaṃ deti, petānañca dāyakassa ca, yadi na pete uddissa dānaṃ deti, dāyakasseva etaṃ bījaṃ esā kasi etaṃ khettaṃ upakārāya hotīti adhippāyo. Idāni taṃ upakāraṃ dassetuṃ ‘‘taṃ petā paribhuñjanti, dātā puññena vaḍḍhatī’’ti vuttaṃ. Tattha taṃ petā paribhuñjantīti dāyakena pete uddissa dāne dinne yathāvuttakhettakasibījasampattiyā anumodanāya ca yaṃ petānaṃ upakappati, taṃ dānaphalaṃ petā paribhuñjanti. Dātā puññena vaḍḍhatīti dātā pana attano dānamayapuññanimittaṃ devamanussesu bhogasampattiādinā puññaphalena abhivaḍḍhati. Puññaphalampi hi ‘‘kusalānaṃ, bhikkhave, dhammānaṃ samādānahetu evamidaṃ puññaṃ pavaḍḍhatī’’tiādīsu (dī. ni. 3.80) puññanti vuccati.
๓. อิเธว กุสลํ กตฺวาติ อนวชฺชสุขวิปากเฎฺฐน กุสลํ เปตานํ อุทฺทิสนวเสน ทานมยํ ปุญฺญํ อุปจินิตฺวา อิเธว อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเวฯ เปเต จ ปฎิปูชิยาติ เปเต อุทฺทิสฺส ทาเนน สมฺมาเนตฺวา อนุภุยฺยมานทุกฺขโต เต โมเจตฺวาฯ เปเต หิ อุทฺทิสฺส ทิยฺยมานํ ทานํ เตสํ ปูชา นาม โหติฯ เตนาห – ‘‘อมฺหากญฺจ กตา ปูชา’’ติ (เป. ว. ๑๘), ‘‘เปตานํ ปูชา จ กตา อุฬารา’’ติ (เป. ว. ๒๕) จฯ ‘‘เปเต จา’’ติ จ-สเทฺทน ‘‘ปิโย จ โหติ มนาโป, อภิคมนีโย จ โหติ วิสฺสาสนีโย, ภาวนีโย จ โหติ ครุกาตโพฺพ, ปาสํโส จ โหติ กิตฺตนีโย วิญฺญูน’’นฺติ เอวมาทิเก ทิฎฺฐธมฺมิเก ทานานิสํเส สงฺคณฺหาติฯ สคฺคญฺจ กมติ ฐานํ, กมฺมํ กตฺวาน ภทฺทกนฺติ กลฺยาณํ กุสลกมฺมํ กตฺวา ทิเพฺพหิ อายุอาทีหิ ทสหิ ฐาเนหิ สุฎฺฐุ อคฺคตฺตา ‘‘สคฺค’’นฺติ ลทฺธนามํ กตปุญฺญานํ นิพฺพตฺตนฎฺฐานํ เทวโลกํ กมติ อุปปชฺชนวเสน อุปคจฺฉติฯ
3.Idheva kusalaṃ katvāti anavajjasukhavipākaṭṭhena kusalaṃ petānaṃ uddisanavasena dānamayaṃ puññaṃ upacinitvā idheva imasmiṃyeva attabhāve. Pete ca paṭipūjiyāti pete uddissa dānena sammānetvā anubhuyyamānadukkhato te mocetvā. Pete hi uddissa diyyamānaṃ dānaṃ tesaṃ pūjā nāma hoti. Tenāha – ‘‘amhākañca katā pūjā’’ti (pe. va. 18), ‘‘petānaṃ pūjā ca katā uḷārā’’ti (pe. va. 25) ca. ‘‘Pete cā’’ti ca-saddena ‘‘piyo ca hoti manāpo, abhigamanīyo ca hoti vissāsanīyo, bhāvanīyo ca hoti garukātabbo, pāsaṃso ca hoti kittanīyo viññūna’’nti evamādike diṭṭhadhammike dānānisaṃse saṅgaṇhāti. Saggañca kamati ṭhānaṃ, kammaṃ katvāna bhaddakanti kalyāṇaṃ kusalakammaṃ katvā dibbehi āyuādīhi dasahi ṭhānehi suṭṭhu aggattā ‘‘sagga’’nti laddhanāmaṃ katapuññānaṃ nibbattanaṭṭhānaṃ devalokaṃ kamati upapajjanavasena upagacchati.
เอตฺถ จ ‘‘กุสลํ กตฺวา’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘กมฺมํ กตฺวาน ภทฺทก’’นฺติ วจนํ ‘‘เทยฺยธมฺมปริจฺจาโค วิย ปตฺติทานวเสน ทานธมฺมปริจฺจาโคปิ ทานมยกุสลกมฺมเมวา’’ติ ทสฺสนตฺถนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เกจิ ปเนตฺถ ‘‘เปตาติ อรหโนฺต อธิเปฺปตา’’ติ วทนฺติ, ตํ เตสํ มติมตฺตํ ‘‘เปตา’’ติ ขีณาสวานํ อาคตฎฺฐานเสฺสว อภาวโต, พีชาทิภาวสฺส จ ทายกสฺส วิย เตสํ อยุชฺชมานตฺตา, เปตโยนิกานํ ยุชฺชมานตฺตา จฯ เทสนาปริโยสาเน เทวปุตฺตํ สุลสญฺจ อาทิํ กตฺวา จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสีติฯ
Ettha ca ‘‘kusalaṃ katvā’’ti vatvā puna ‘‘kammaṃ katvāna bhaddaka’’nti vacanaṃ ‘‘deyyadhammapariccāgo viya pattidānavasena dānadhammapariccāgopi dānamayakusalakammamevā’’ti dassanatthanti daṭṭhabbaṃ. Keci panettha ‘‘petāti arahanto adhippetā’’ti vadanti, taṃ tesaṃ matimattaṃ ‘‘petā’’ti khīṇāsavānaṃ āgataṭṭhānasseva abhāvato, bījādibhāvassa ca dāyakassa viya tesaṃ ayujjamānattā, petayonikānaṃ yujjamānattā ca. Desanāpariyosāne devaputtaṃ sulasañca ādiṃ katvā caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosīti.
เขตฺตูปมเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Khettūpamapetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๑. เขตฺตูปมเปตวตฺถุ • 1. Khettūpamapetavatthu