Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    ๕. ขุทฺทกวตฺถุกฺขนฺธกํ

    5. Khuddakavatthukkhandhakaṃ

    ขุทฺทกวตฺถุกถาวณฺณนา

    Khuddakavatthukathāvaṇṇanā

    ๒๔๓. ขุทฺทกวตฺถุกฺขนฺธเก อฎฺฐปทากาเรนาติ อฎฺฐปทผลกากาเรน, ชูตผลกสทิสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ มลฺลกมูลสณฺฐาเนนาติ เขฬมลฺลกมูลสณฺฐาเนนฯ

    243. Khuddakavatthukkhandhake aṭṭhapadākārenāti aṭṭhapadaphalakākārena, jūtaphalakasadisanti vuttaṃ hoti. Mallakamūlasaṇṭhānenāti kheḷamallakamūlasaṇṭhānena.

    ๒๔๕. มุโตฺตลมฺพกาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน กุณฺฑลาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ปลมฺพกสุตฺตนฺติ ยโญฺญปจิตากาเรน โอลมฺพกสุตฺตํฯ

    245.Muttolambakādīnanti ādi-saddena kuṇḍalādiṃ saṅgaṇhāti. Palambakasuttanti yaññopacitākārena olambakasuttaṃ.

    ๒๔๖. จิกฺกเลนาติ สิเลเสนฯ

    246.Cikkalenāti silesena.

    ๒๔๘. สาธุคีตนฺติ อนิจฺจตาทิปฎิสํยุตฺตคีตํฯ

    248.Sādhugītanti aniccatādipaṭisaṃyuttagītaṃ.

    ๒๔๙. จตุรเสฺสน วเตฺตนาติ ปริปุเณฺณน อุจฺจารณวเตฺตนฯ ตรงฺควตฺตาทีนํ อุจฺจารณวิธานานิ นฎฺฐปฺปโยคานิฯ พาหิรโลมินฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส, ยถา ตสฺส อุณฺณปาวารสฺส พหิทฺธา โลมานิ ทิสฺสนฺติ, ตถา ธาเรนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    249.Caturassena vattenāti paripuṇṇena uccāraṇavattena. Taraṅgavattādīnaṃ uccāraṇavidhānāni naṭṭhappayogāni. Bāhiralominti bhāvanapuṃsakaniddeso, yathā tassa uṇṇapāvārassa bahiddhā lomāni dissanti, tathā dhārentassa dukkaṭanti vuttaṃ hoti.

    ๒๕๑. อิมานิ จตฺตาริ อหิราชกุลานีติ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔.๖๗) อิทํ ทฎฺฐวิเส สนฺธาย วุตฺตํฯ เย หิ เกจิ ทฎฺฐวิสา, สเพฺพ เต อิเมสํ จตุนฺนํ อหิราชกุลานํ อพฺภนฺตรคตาว โหนฺติฯ อตฺตคุตฺติยาติ อตฺตโน คุตฺตตฺถายฯ อตฺตรกฺขายาติ อตฺตโน รกฺขณตฺถายฯ อตฺตปริตฺตํกาตุนฺติ อตฺตโน ปริตฺตาณตฺถาย อตฺตปริตฺตํ นาม กาตุํ อนุชานามีติ อโตฺถฯ

    251.Imāni cattāri ahirājakulānīti (a. ni. aṭṭha. 2.4.67) idaṃ daṭṭhavise sandhāya vuttaṃ. Ye hi keci daṭṭhavisā, sabbe te imesaṃ catunnaṃ ahirājakulānaṃ abbhantaragatāva honti. Attaguttiyāti attano guttatthāya. Attarakkhāyāti attano rakkhaṇatthāya. Attaparittaṃkātunti attano parittāṇatthāya attaparittaṃ nāma kātuṃ anujānāmīti attho.

    อิทานิ ยถา ตํ ปริตฺตํ กาตพฺพํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ (ชา. อฎฺฐ. ๒.๒.๑๐๕) วิรูปเกฺขหีติ วิรูปกฺขนาคกุเลหิฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ สหโยเค เจตํ กรณวจนํ, เอเตหิ สห มยฺหํ มิตฺตภาโวติ วุตฺตํ โหติ อปาทเกหีติ อปาทกสเตฺตหิฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ สเพฺพ สตฺตาติ อิโต ปุเพฺพ เอตฺตเกน ฐาเนน โอทิสฺสกเมตฺตํ กเถตฺวา อิทานิ อโนทิสฺสกเมตฺตํ กเถตุํ อิทมารทฺธํฯ ตตฺถ สตฺตา ปาณา ภูตาติ สพฺพาเนตานิ ปุคฺคลเววจนาเนวฯ ภทฺรานิ ปสฺสนฺตูติ ภทฺรานิ อารมฺมณานิ ปสฺสนฺตุฯ มา กญฺจิ ปาปมาคมาติ กญฺจิ สตฺตํ ปาปกํ ลามกํ มา อาคจฺฉตุฯ

    Idāni yathā taṃ parittaṃ kātabbaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘evañca pana bhikkhave’’tiādimāha. Tattha (jā. aṭṭha. 2.2.105) virūpakkhehīti virūpakkhanāgakulehi. Sesesupi eseva nayo. Sahayoge cetaṃ karaṇavacanaṃ, etehi saha mayhaṃ mittabhāvoti vuttaṃ hoti apādakehīti apādakasattehi. Sesesupi eseva nayo. Sabbe sattāti ito pubbe ettakena ṭhānena odissakamettaṃ kathetvā idāni anodissakamettaṃ kathetuṃ idamāraddhaṃ. Tattha sattā pāṇā bhūtāti sabbānetāni puggalavevacanāneva. Bhadrāni passantūti bhadrāni ārammaṇāni passantu. Mā kañci pāpamāgamāti kañci sattaṃ pāpakaṃ lāmakaṃ mā āgacchatu.

    อปฺปมาโณ พุโทฺธติ เอตฺถ พุโทฺธติ พุทฺธคุณา เวทิตพฺพา, เต หิ อปฺปมาณา นามฯ เสสทฺวเยสุปิ เอเสว นโย, ปมาณวนฺตานีติ คุณปฺปมาเณน ยุตฺตานิฯ อุณฺณนาภีติ โลมสนาภิโก มกฺกฎโกฯ สรพูติ ฆรโคฬิกาฯ กตา เม รกฺขา กตํ เม ปริตฺตนฺติ มยา เอตฺตกสฺส ชนสฺส รกฺขา จ ปริตฺตาณญฺจ กตํฯ ปฎิกฺกมนฺตุ ภูตานีติ สเพฺพปิ เม กตปริตฺตาณา สตฺตา อปคจฺฉนฺตุ, มา มํ วิเหฐยิํสูติ อโตฺถฯ โสหนฺติ ยสฺส มม เอเตหิ สเพฺพหิปิ เมตฺตํ, โส อหํ ภควโต นโม กโรมิ, วิปสฺสีอาทีนญฺจ สตฺตนฺนํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ นโม กโรมีติ สมฺพโนฺธฯ

    Appamāṇo buddhoti ettha buddhoti buddhaguṇā veditabbā, te hi appamāṇā nāma. Sesadvayesupi eseva nayo, pamāṇavantānīti guṇappamāṇena yuttāni. Uṇṇanābhīti lomasanābhiko makkaṭako. Sarabūti gharagoḷikā. Katā me rakkhā kataṃ me parittanti mayā ettakassa janassa rakkhā ca parittāṇañca kataṃ. Paṭikkamantu bhūtānīti sabbepi me kataparittāṇā sattā apagacchantu, mā maṃ viheṭhayiṃsūti attho. Sohanti yassa mama etehi sabbehipi mettaṃ, so ahaṃ bhagavato namo karomi, vipassīādīnañca sattannaṃ sammāsambuddhānaṃ namo karomīti sambandho.

    อญฺญมฺหิ เฉตพฺพมฺหีติ ราคานุสยํ สนฺธาย วทติฯ ตาทิสํ วา ทุกฺขนฺติ มุฎฺฐิอาทีหิ ทุกฺขํ อุปฺปาเทนฺตสฺสฯ

    Aññamhi chetabbamhīti rāgānusayaṃ sandhāya vadati. Tādisaṃ vā dukkhanti muṭṭhiādīhi dukkhaṃ uppādentassa.

    ๒๕๒. ชาลานิ ปริกฺขิปาเปตฺวาติ ปริสฺสยโมจนตฺถเญฺจว ปมาเทน คฬิตานํ อาภรณาทีนํ รกฺขณตฺถญฺจ ชาลานิ กรณฺฑกากาเรน ปริกฺขิปาเปตฺวาฯ จนฺทนคณฺฐิ อาคนฺตฺวา ชาเล ลคฺคาติ เอโก กิร รตฺตจนฺทนรุโกฺข คงฺคาย อุปริตีเร ชาโต คโงฺคทเกน โธตมูโล ปติตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ปาสาเณสุ สมฺภิชฺชมาโน วิปฺปกิริฯ ตโต เอกา ฆฎปฺปมาณา ฆฎิกา ปาสาเณสุ ฆํสิยมานา อุทกอูมีหิ โปถิยมานา มฎฺฐา หุตฺวา อนุปุเพฺพน วุยฺหมานา เสวาลปริโยนทฺธา อาคนฺตฺวา ตสฺมิํ ชาเล ลคฺคิฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ เลขนฺติ ลิขิตคหิตํ จุณฺณํฯ อุฑฺฑิตฺวาติ เวฬุปรมฺปราย อุทฺธํ ปาเปตฺวา, อุฎฺฐาเปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ โอหรตูติ อิทฺธิยา โอตาเรตฺวา คณฺหตุฯ

    252.Jālāni parikkhipāpetvāti parissayamocanatthañceva pamādena gaḷitānaṃ ābharaṇādīnaṃ rakkhaṇatthañca jālāni karaṇḍakākārena parikkhipāpetvā. Candanagaṇṭhi āgantvā jāle laggāti eko kira rattacandanarukkho gaṅgāya uparitīre jāto gaṅgodakena dhotamūlo patitvā tattha tattha pāsāṇesu sambhijjamāno vippakiri. Tato ekā ghaṭappamāṇā ghaṭikā pāsāṇesu ghaṃsiyamānā udakaūmīhi pothiyamānā maṭṭhā hutvā anupubbena vuyhamānā sevālapariyonaddhā āgantvā tasmiṃ jāle laggi. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Lekhanti likhitagahitaṃ cuṇṇaṃ. Uḍḍitvāti veḷuparamparāya uddhaṃ pāpetvā, uṭṭhāpetvāti vuttaṃ hoti. Oharatūti iddhiyā otāretvā gaṇhatu.

    ปูรณกสฺสปาทโย ฉ สตฺถาโรฯ ตตฺถ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๕๑-๑๕๒; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๑๒) ปูรโณติ ตสฺส สตฺถุปฎิญฺญสฺส นามํฯ กสฺสโปติ โคตฺตํฯ โส กิร อญฺญตรสฺส กุลสฺส เอกูนทาสสตํ ปูรยมาโน ชาโตฯ เตนสฺส ‘‘ปูรโณ’’ติ นามํ อกํสุฯ มงฺคลทาสตฺตา จสฺส กตํ ‘‘ทุกฺกฎ’’นฺติ วตฺตา นตฺถิ, อกตํ วา ‘‘น กต’’นฺติ ฯ โส ‘‘กิมหํ เอตฺถ วสามี’’ติ ปลายิฯ อถสฺส โจรา วตฺถานิ อจฺฉินฺทิํสุฯ โส ปเณฺณน วา ติเณน วา ปฎิจฺฉาเทตุมฺปิ อชานโนฺต ชาตรูเปเนว เอกํ คามํ ปาวิสิฯ มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ สมโณ อรหา อปฺปิโจฺฉ, นตฺถิ อิมินา สทิโส’’ติ ปูวภตฺตาทีนิ คเหตฺวา อุปสงฺกมนฺติฯ โส ‘‘มยฺหํ สาฎกํ อนิวตฺถภาเวน อิทํ อุปฺปนฺน’’นฺติ ตโต ปฎฺฐาย สาฎกํ ลภิตฺวาปิ น นิวาเสสิ, ตเทว ปพฺพชฺชํ อคฺคเหสิฯ ตสฺส สนฺติเก อเญฺญปิ อเญฺญปีติ ปญฺจสตา มนุสฺสา ปพฺพชิํสุฯ เอวมยํ คณาจริโย หุตฺวา ‘‘สตฺถา’’ติ โลเก ปากโฎ อโหสิฯ

    Pūraṇakassapādayo cha satthāro. Tattha (dī. ni. aṭṭha. 1.151-152; ma. ni. aṭṭha. 1.312) pūraṇoti tassa satthupaṭiññassa nāmaṃ. Kassapoti gottaṃ. So kira aññatarassa kulassa ekūnadāsasataṃ pūrayamāno jāto. Tenassa ‘‘pūraṇo’’ti nāmaṃ akaṃsu. Maṅgaladāsattā cassa kataṃ ‘‘dukkaṭa’’nti vattā natthi, akataṃ vā ‘‘na kata’’nti . So ‘‘kimahaṃ ettha vasāmī’’ti palāyi. Athassa corā vatthāni acchindiṃsu. So paṇṇena vā tiṇena vā paṭicchādetumpi ajānanto jātarūpeneva ekaṃ gāmaṃ pāvisi. Manussā taṃ disvā ‘‘ayaṃ samaṇo arahā appiccho, natthi iminā sadiso’’ti pūvabhattādīni gahetvā upasaṅkamanti. So ‘‘mayhaṃ sāṭakaṃ anivatthabhāvena idaṃ uppanna’’nti tato paṭṭhāya sāṭakaṃ labhitvāpi na nivāsesi, tadeva pabbajjaṃ aggahesi. Tassa santike aññepi aññepīti pañcasatā manussā pabbajiṃsu. Evamayaṃ gaṇācariyo hutvā ‘‘satthā’’ti loke pākaṭo ahosi.

    มกฺขลีติ ตสฺส นามํฯ โคสาลาย ชาตตฺตา โคสาโลติ ทุติยนามํฯ ตํ กิร สกทฺทมาย ภูมิยา เตลฆฎํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตํ ‘‘ตาต มา ขลี’’ติ สามิโก อาหฯ โส ปมาเทน ขลิตฺวา ปติตฺวา สามิกสฺส ภเยน ปลายิตุํ อารโทฺธฯ สามิโก อุปธาวิตฺวา สาฎกกเณฺณ อคฺคเหสิ, โส สาฎกํ ฉเฑฺฑตฺวา อเจลโก หุตฺวา ปลายิฯ เสสํ ปูรณสทิสเมวฯ

    Makkhalīti tassa nāmaṃ. Gosālāya jātattā gosāloti dutiyanāmaṃ. Taṃ kira sakaddamāya bhūmiyā telaghaṭaṃ gahetvā gacchantaṃ ‘‘tāta mā khalī’’ti sāmiko āha. So pamādena khalitvā patitvā sāmikassa bhayena palāyituṃ āraddho. Sāmiko upadhāvitvā sāṭakakaṇṇe aggahesi, so sāṭakaṃ chaḍḍetvā acelako hutvā palāyi. Sesaṃ pūraṇasadisameva.

    อชิโตติ ตสฺส นามํฯ เกสกมฺพลํ ธาเรตีติ เกสกมฺพโลฯ อิติ นามทฺวยํ สํสนฺทิตฺวา ‘‘อชิโต เกสกมฺพโล’’ติ วุจฺจติฯ ตตฺถ เกสกมฺพโล นาม มนุสฺสานํ เกเสหิ กตกมฺพโลฯ ตโต ปฎิกิฎฺฐตรํ วตฺถํ นาม นตฺถิฯ ยถาห ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยานิ กานิจิ ตนฺตาวุตานํ วตฺถานํ, เกสกมฺพโล เตสํ ปฎิกิโฎฺฐ อกฺขายติฯ เกสกมฺพโล, ภิกฺขเว, สีเต สีโต อุเณฺห อุโณฺห ทุพฺพโณฺณ ทุคฺคโนฺธ ทุกฺขสมฺผโสฺส’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๓๘)ฯ

    Ajitoti tassa nāmaṃ. Kesakambalaṃ dhāretīti kesakambalo. Iti nāmadvayaṃ saṃsanditvā ‘‘ajito kesakambalo’’ti vuccati. Tattha kesakambalo nāma manussānaṃ kesehi katakambalo. Tato paṭikiṭṭhataraṃ vatthaṃ nāma natthi. Yathāha ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, yāni kānici tantāvutānaṃ vatthānaṃ, kesakambalo tesaṃ paṭikiṭṭho akkhāyati. Kesakambalo, bhikkhave, sīte sīto uṇhe uṇho dubbaṇṇo duggandho dukkhasamphasso’’ti (a. ni. 3.138).

    ปกุโธติ ตสฺส นามํฯ กจฺจายโนติ โคตฺตํฯ อิติ นามโคตฺตํ สํสนฺทิตฺวา ‘‘ปกุโธ กจฺจายโน’’ติ วุจฺจติฯ สีตูทกปฎิกฺขิตฺตโก เอส, วจฺจํ กตฺวาปิ อุทกกิจฺจํ น กโรติ, อุโณฺหทกํ วา กญฺชิยํ วา ลภิตฺวา กโรติ, นทิํ วา มโคฺคทกํ วา อติกฺกมฺม ‘‘สีลํ เม ภินฺน’’นฺติ วาลิกถูปํ กตฺวา สีลํ อธิฎฺฐาย คจฺฉติฯ เอวรูปนิสฺสิริกลทฺธิโก เอสฯ

    Pakudhoti tassa nāmaṃ. Kaccāyanoti gottaṃ. Iti nāmagottaṃ saṃsanditvā ‘‘pakudho kaccāyano’’ti vuccati. Sītūdakapaṭikkhittako esa, vaccaṃ katvāpi udakakiccaṃ na karoti, uṇhodakaṃ vā kañjiyaṃ vā labhitvā karoti, nadiṃ vā maggodakaṃ vā atikkamma ‘‘sīlaṃ me bhinna’’nti vālikathūpaṃ katvā sīlaṃ adhiṭṭhāya gacchati. Evarūpanissirikaladdhiko esa.

    สญฺจโยติ ตสฺส นามํฯ เพลฎฺฐสฺส ปุโตฺต เพลฎฺฐปุโตฺตฯ ‘‘อมฺหากํ คณฺฐนกิเลโส ปลิพุนฺธนกิเลโส นตฺถิ, กิเลสคณฺฐิรหิตา มย’’นฺติ เอวํวาทิตาย ลทฺธนามวเสน นิคโณฺฐฯ นาฎสฺส ปุโตฺตติ นาฎปุโตฺต

    Sañcayoti tassa nāmaṃ. Belaṭṭhassa putto belaṭṭhaputto. ‘‘Amhākaṃ gaṇṭhanakileso palibundhanakileso natthi, kilesagaṇṭhirahitā maya’’nti evaṃvāditāya laddhanāmavasena nigaṇṭho. Nāṭassa puttoti nāṭaputto.

    ปิโณฺฑลภารทฺวาโชติ (อุทา. อฎฺฐ. ๓๖) ปิณฺฑํ อุลมาโน ปริเยสมาโน ปพฺพชิโตติ ปิโณฺฑโลฯ โส กิร ปริชิณฺณโภโค พฺราหฺมโณ หุตฺวา มหนฺตํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ลาภสกฺการํ ทิสฺวา ปิณฺฑตฺถาย นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิโตฯ โส มหนฺตํ กปลฺลปตฺตํ ‘‘ปตฺต’’นฺติ คเหตฺวา จรติ, กปลฺลปูรํ ยาคุํ ปิวติ, ภตฺตํ ภุญฺชติ, ปูวขชฺชกญฺจ ขาทติฯ อถสฺส มหคฺฆสภาวํ สตฺถุ อาโรจยิํสุฯ สตฺถา ตสฺส ปตฺตตฺถวิกํ นานุชานิฯ เถโร เหฎฺฐามเญฺจ ปตฺตํ นิกุชฺชิตฺวา ฐเปติฯ โส ฐเปโนฺตปิ ฆํเสโนฺตว ปณาเมตฺวา ฐเปติ, คณฺหโนฺตปิ ฆํเสโนฺตว อากฑฺฒิตฺวา คณฺหาติฯ ตํ คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล ฆํสเนน ปริกฺขีณํ นาฬิโกทนมตฺตเสฺสว คณฺหนกํ ชาตํฯ ตโต สตฺถุ อาโรเจสุํฯ อถสฺส สตฺถา ปตฺตตฺถวิกํ อนุชานิฯ เถโร อปเรน สมเยน อินฺทฺริยภาวนํ ภาเวโนฺต อคฺคผเล อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ อิติ โส ปุเพฺพ สวิเสสํ ปิณฺฑตฺถาย อุลตีติ ปิโณฺฑโลฯ โคเตฺตน ปน ภารทฺวาโชติ อุภยํ เอกโต กตฺวา ‘‘ปิโณฺฑลภารทฺวาโช’’ติ วุจฺจติฯ

    Piṇḍolabhāradvājoti (udā. aṭṭha. 36) piṇḍaṃ ulamāno pariyesamāno pabbajitoti piṇḍolo. So kira parijiṇṇabhogo brāhmaṇo hutvā mahantaṃ bhikkhusaṅghassa lābhasakkāraṃ disvā piṇḍatthāya nikkhamitvā pabbajito. So mahantaṃ kapallapattaṃ ‘‘patta’’nti gahetvā carati, kapallapūraṃ yāguṃ pivati, bhattaṃ bhuñjati, pūvakhajjakañca khādati. Athassa mahagghasabhāvaṃ satthu ārocayiṃsu. Satthā tassa pattatthavikaṃ nānujāni. Thero heṭṭhāmañce pattaṃ nikujjitvā ṭhapeti. So ṭhapentopi ghaṃsentova paṇāmetvā ṭhapeti, gaṇhantopi ghaṃsentova ākaḍḍhitvā gaṇhāti. Taṃ gacchante gacchante kāle ghaṃsanena parikkhīṇaṃ nāḷikodanamattasseva gaṇhanakaṃ jātaṃ. Tato satthu ārocesuṃ. Athassa satthā pattatthavikaṃ anujāni. Thero aparena samayena indriyabhāvanaṃ bhāvento aggaphale arahatte patiṭṭhāsi. Iti so pubbe savisesaṃ piṇḍatthāya ulatīti piṇḍolo. Gottena pana bhāradvājoti ubhayaṃ ekato katvā ‘‘piṇḍolabhāradvājo’’ti vuccati.

    ‘‘อถ โข อายสฺมา ปิโณฺฑลภารทฺวาโช…เป.… เอตทโวจา’’ติ กสฺมา เอวมาหํสุ? โส กิร (ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.๑๘๐ เทโวโรหณวตฺถุ) เสฎฺฐิ เนว สมฺมาทิฎฺฐิ, น มิจฺฉาทิฎฺฐิ, มชฺฌตฺตธาตุโกฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ เคเห จนฺทนํ พหุ, กิํ นุ โข อิมินา กริสฺสามี’’ติฯ อถสฺส เอตทโหสิ ‘‘อิมสฺมิํ โลเก ‘มยํ อรหโนฺต, มยํ อรหโนฺต’ติ วตฺตาโร พหู, อหํ เอกํ อรหนฺตมฺปิ น ชานามิ, เคเห ภมํ โยเชตฺวา ปตฺตํ ลิขาเปตฺวา สิกฺกาย ฐเปตฺวา เวฬุปรมฺปราย สฎฺฐิหตฺถมเตฺต อากาเส โอลมฺพาเปตฺวา ‘สเจ อรหา อตฺถิ, อากาเสนาคนฺตฺวา คณฺหาตู’ติ วกฺขามิฯ โย ตํ คเหสฺสติ, ตสฺส สปุตฺตทาโร สรณํ คมิสฺสามี’’ติฯ โส จินฺติตนิยาเมเนว ปตฺตํ ลิขาเปตฺวา เวฬุปรมฺปราย อุสฺสาเปตฺวา ‘‘โย อิมสฺมิํ โลเก อรหา, โส อากาเสน อาคนฺตฺวา อิมํ ปตฺตํ คณฺหาตู’’ติ อาหฯ

    ‘‘Atha kho āyasmā piṇḍolabhāradvājo…pe… etadavocā’’ti kasmā evamāhaṃsu? So kira (dha. pa. aṭṭha. 2.180 devorohaṇavatthu) seṭṭhi neva sammādiṭṭhi, na micchādiṭṭhi, majjhattadhātuko. So cintesi ‘‘mayhaṃ gehe candanaṃ bahu, kiṃ nu kho iminā karissāmī’’ti. Athassa etadahosi ‘‘imasmiṃ loke ‘mayaṃ arahanto, mayaṃ arahanto’ti vattāro bahū, ahaṃ ekaṃ arahantampi na jānāmi, gehe bhamaṃ yojetvā pattaṃ likhāpetvā sikkāya ṭhapetvā veḷuparamparāya saṭṭhihatthamatte ākāse olambāpetvā ‘sace arahā atthi, ākāsenāgantvā gaṇhātū’ti vakkhāmi. Yo taṃ gahessati, tassa saputtadāro saraṇaṃ gamissāmī’’ti. So cintitaniyāmeneva pattaṃ likhāpetvā veḷuparamparāya ussāpetvā ‘‘yo imasmiṃ loke arahā, so ākāsena āgantvā imaṃ pattaṃ gaṇhātū’’ti āha.

    ตทา ฉ สตฺถาโร ‘‘อมฺหากํ เอส อนุจฺฉวิโก, อมฺหากเมว นํ เทหี’’ติ วทิํสุฯ โส ‘‘อากาเสนาคนฺตฺวา คณฺหถา’’ติ อาหฯ ฉเฎฺฐ ทิวเส นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต อเนฺตวาสิเก เปเสสิ ‘‘คจฺฉถ เสฎฺฐิํ เอวํ วเทถ ‘อมฺหากํ อาจริยเสฺสว อนุจฺฉวิโก, มา อปฺปมตฺตกสฺส การณา อากาเสน อาคมนํ กริ, เทหิ กิร เต ปตฺต’นฺติ’’ฯ เต คนฺตฺวา เสฎฺฐิํ ตถา วทิํสุฯ เสฎฺฐิ ‘‘อากาเสนาคนฺตฺวา คณฺหิตุํ สมโตฺถว คณฺหาตู’’ติ อาหฯ นาฎปุโตฺต สยํ คนฺตุกาโม หุตฺวา อเนฺตวาสิกานํ สญฺญํ อทาสิ ‘‘อหํ เอกํ หตฺถญฺจ ปาทญฺจ อุกฺขิปิตฺวา อุปฺปติตุกาโม วิย ภวิสฺสามิ, ตุเมฺห มํ ‘อาจริย กิํ กโรถ, ทารุมยปตฺตสฺส การณา ปฎิจฺฉนฺนํ อรหตฺตคุณํ มหาชนสฺส มา ทสฺสยิตฺถา’ติ วตฺวา มํ หเตฺถสุ จ ปาเทสุ จ คเหตฺวา อากฑฺฒนฺตา ภูมิยํ ปาเตยฺยาถา’’ติฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา เสฎฺฐิํ อาห ‘‘มหาเสฎฺฐิ อยํ ปโตฺต อเญฺญสํ นานุจฺฉวิโก, มา เต อปฺปมตฺตกสฺส การณา มม อากาเส อุปฺปตนํ รุจฺจิ, เทหิ เม ปตฺต’’นฺติฯ ภเนฺต, อากาเสน อุปฺปติตฺวาว คณฺหถาติฯ ตโต นาฎปุโตฺต ‘‘เตน หิ อเปถ อเปถา’’ติ อเนฺตวาสิเก อปเนตฺวา ‘‘อากาเส อุปฺปติสฺสามี’’ติ เอกํ หตฺถญฺจ ปาทญฺจ อุกฺขิปิฯ อถ นํ อเนฺตวาสิกา ‘‘อาจริย, กิํ นาเมตํ กโรถ, ฉวสฺส ทารุมยปตฺตสฺส การณา ปฎิจฺฉนฺนคุเณน ตุเมฺหหิ มหาชนสฺส ทสฺสิเตน โก อโตฺถ’’ติ ตํ หตฺถปาเทสุ คเหตฺวา อากฑฺฒิตฺวา ภูมิยํ ปาเตสุํฯ โส เสฎฺฐิํ อาห ‘‘มหาเสฎฺฐิ, อิเม เม อุปฺปติตุํ น เทนฺติ, เทหิ เม ปตฺต’’นฺติฯ อุปฺปติตฺวาว คณฺหถ ภเนฺตติฯ เอวํ ติตฺถิยา ฉ ทิวสานิ วายมิตฺวาปิ ปตฺตํ น ลภิํสุเยวฯ

    Tadā cha satthāro ‘‘amhākaṃ esa anucchaviko, amhākameva naṃ dehī’’ti vadiṃsu. So ‘‘ākāsenāgantvā gaṇhathā’’ti āha. Chaṭṭhe divase nigaṇṭho nāṭaputto antevāsike pesesi ‘‘gacchatha seṭṭhiṃ evaṃ vadetha ‘amhākaṃ ācariyasseva anucchaviko, mā appamattakassa kāraṇā ākāsena āgamanaṃ kari, dehi kira te patta’nti’’. Te gantvā seṭṭhiṃ tathā vadiṃsu. Seṭṭhi ‘‘ākāsenāgantvā gaṇhituṃ samatthova gaṇhātū’’ti āha. Nāṭaputto sayaṃ gantukāmo hutvā antevāsikānaṃ saññaṃ adāsi ‘‘ahaṃ ekaṃ hatthañca pādañca ukkhipitvā uppatitukāmo viya bhavissāmi, tumhe maṃ ‘ācariya kiṃ karotha, dārumayapattassa kāraṇā paṭicchannaṃ arahattaguṇaṃ mahājanassa mā dassayitthā’ti vatvā maṃ hatthesu ca pādesu ca gahetvā ākaḍḍhantā bhūmiyaṃ pāteyyāthā’’ti. So tattha gantvā seṭṭhiṃ āha ‘‘mahāseṭṭhi ayaṃ patto aññesaṃ nānucchaviko, mā te appamattakassa kāraṇā mama ākāse uppatanaṃ rucci, dehi me patta’’nti. Bhante, ākāsena uppatitvāva gaṇhathāti. Tato nāṭaputto ‘‘tena hi apetha apethā’’ti antevāsike apanetvā ‘‘ākāse uppatissāmī’’ti ekaṃ hatthañca pādañca ukkhipi. Atha naṃ antevāsikā ‘‘ācariya, kiṃ nāmetaṃ karotha, chavassa dārumayapattassa kāraṇā paṭicchannaguṇena tumhehi mahājanassa dassitena ko attho’’ti taṃ hatthapādesu gahetvā ākaḍḍhitvā bhūmiyaṃ pātesuṃ. So seṭṭhiṃ āha ‘‘mahāseṭṭhi, ime me uppatituṃ na denti, dehi me patta’’nti. Uppatitvāva gaṇhatha bhanteti. Evaṃ titthiyā cha divasāni vāyamitvāpi pattaṃ na labhiṃsuyeva.

    อถ สตฺตเม ทิวเส อายสฺมโต จ โมคฺคลฺลานสฺส อายสฺมโต จ ปิโณฺฑลภารทฺวาชสฺส ‘‘ราชคเห ปิณฺฑาย จริสฺสามา’’ติ คนฺตฺวา เอกสฺมิํ ปิฎฺฐิปาสาเณ ฐตฺวา จีวรํ ปารุปนกาเล ธุตฺตกา กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘หโมฺภ ปุเพฺพ ฉ สตฺถาโร ‘มยํ อรหนฺตามฺหา’ติ วิจริํสุ, ราชคหเสฎฺฐิโน ปน อชฺช สตฺตโม ทิวโส ปตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ฐปยโต ‘สเจ อรหา อตฺถิ, อากาเสนาคนฺตฺวา คณฺหาตู’ติ วทนฺตสฺส, เอโกปิ ‘อหํ อรหา’ติ อากาเส อุปฺปตโนฺต นตฺถิ, อชฺช โน โลเก อรหนฺตานํ นตฺถิภาโว ญาโต’’ติฯ ตํ กถํ สุตฺวา อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน อายสฺมนฺตํ ปิโณฺฑลภารทฺวาชํ อาห ‘‘สุตํ เต, อาวุโส ภารทฺวาช, อิเมสํ วจนํ, อิเม พุทฺธสาสนํ ปริคฺคณฺหนฺตา วิย วทนฺติ, ตฺวญฺจ มหิทฺธิโก มหานุภาโว, คเจฺฉตํ ปตฺตํ อากาเสน คนฺตฺวา คณฺหาหี’’ติฯ ‘‘อาวุโส โมคฺคลฺลาน, ตฺวํ ‘อิทฺธิมนฺตานํ อโคฺค’ติ ปากโฎ, ตฺวํ เอตํ คณฺห, ตยิ ปน อคฺคณฺหเนฺต อหํ คณฺหิสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ‘‘คณฺหาวุโส’’ติ อาหฯ อิติ เต โลกสฺส อรหเนฺตหิ อสุญฺญภาวทสฺสนตฺถํ เอวมาหํสุฯ

    Atha sattame divase āyasmato ca moggallānassa āyasmato ca piṇḍolabhāradvājassa ‘‘rājagahe piṇḍāya carissāmā’’ti gantvā ekasmiṃ piṭṭhipāsāṇe ṭhatvā cīvaraṃ pārupanakāle dhuttakā kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘hambho pubbe cha satthāro ‘mayaṃ arahantāmhā’ti vicariṃsu, rājagahaseṭṭhino pana ajja sattamo divaso pattaṃ ussāpetvā ṭhapayato ‘sace arahā atthi, ākāsenāgantvā gaṇhātū’ti vadantassa, ekopi ‘ahaṃ arahā’ti ākāse uppatanto natthi, ajja no loke arahantānaṃ natthibhāvo ñāto’’ti. Taṃ kathaṃ sutvā āyasmā mahāmoggallāno āyasmantaṃ piṇḍolabhāradvājaṃ āha ‘‘sutaṃ te, āvuso bhāradvāja, imesaṃ vacanaṃ, ime buddhasāsanaṃ pariggaṇhantā viya vadanti, tvañca mahiddhiko mahānubhāvo, gacchetaṃ pattaṃ ākāsena gantvā gaṇhāhī’’ti. ‘‘Āvuso moggallāna, tvaṃ ‘iddhimantānaṃ aggo’ti pākaṭo, tvaṃ etaṃ gaṇha, tayi pana aggaṇhante ahaṃ gaṇhissāmī’’ti āha. Atha āyasmā mahāmoggallāno ‘‘gaṇhāvuso’’ti āha. Iti te lokassa arahantehi asuññabhāvadassanatthaṃ evamāhaṃsu.

    ติกฺขตฺตุํ ราชคหํ อนุปริยายีติ ติกฺขตฺตุํ ราชคหํ อนุคนฺตฺวา ปริพฺภมิฯ ‘‘สตฺตกฺขตฺตุ’’นฺติปิ วทนฺติฯ เถโร กิร อภิญฺญาปาทกํ ฌานํ สมาปชฺชิตฺวา อุฎฺฐาย ติคาวุตํ ปิฎฺฐิปาสาณํ อนฺตเนฺตน ปริจฺฉินฺทโนฺต ตูลปิจุ วิย อากาเส อุฎฺฐาเปตฺวา ราชคหนครสฺส อุปริ สตฺตกฺขตฺตุํ อนุปริยายิฯ โส ติคาวุตปฺปมาณสฺส นครสฺส อปิธานํ วิย ปญฺญายิฯ นครวาสิโน ‘‘ปาสาโณ โน อวตฺถริตฺวา คณฺหาตี’’ติ ภีตา สุปฺปาทีนิ มตฺถเก กตฺวา ตตฺถ ตตฺถ นิลียิํสุฯ สตฺตเม วาเร เถโร ปิฎฺฐิปาสาณํ ภินฺทิตฺวา อตฺตานํ ทเสฺสติฯ มหาชโน เถรํ ทิสฺวา ‘‘ภเนฺต ปิโณฺฑลภารทฺวาช, ตว ปาสาณํ คาฬฺหํ กตฺวา คณฺห, มา โน สเพฺพ นาสยี’’ติ อาหฯ เถโร ปาสาณํ ปาทเนฺตน ขิปิตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ โส คนฺตฺวา ยถาฐาเนเยว ปติฎฺฐาสิฯ เถโร เสฎฺฐิสฺส เคหมตฺถเก อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิสฺวา เสฎฺฐิ อุเรน นิปชฺชิตฺวา ‘‘โอตร สามี’’ติ วตฺวา อากาสโต โอติณฺณํ เถรํ นิสีทาเปตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา จตุมธุรปุณฺณํ กตฺวา เถรสฺส อทาสิฯ เถโร ปตฺตํ คเหตฺวา วิหาราภิมุโข ปายาสิฯ อถสฺส เย อรญฺญคตา ปาฎิหาริยํ นาทฺทสํสุ, เต สนฺนิปติตฺวา ‘‘ภเนฺต, อมฺหากมฺปิ ปาฎิหาริยํ ทเสฺสหี’’ติ เถรํ อนุพนฺธิํสุฯ โส เตสํ เตสํ ปาฎิหาริยํ ทเสฺสโนฺต วิหารํ อคมาสิฯ สตฺถา ตํ อนุพนฺธิตฺวา อุนฺนาเทนฺตสฺส มหาชนสฺส สทฺทํ สุตฺวา ‘‘อานนฺท, กเสฺสโส สโทฺท’’ติ ปุจฺฉิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อโสฺสสิ โข ภควา…เป.… กิํ นุ โข โส, อานนฺท, อุจฺจาสโทฺท มหาสโทฺท’’ติฯ

    Tikkhattuṃ rājagahaṃ anupariyāyīti tikkhattuṃ rājagahaṃ anugantvā paribbhami. ‘‘Sattakkhattu’’ntipi vadanti. Thero kira abhiññāpādakaṃ jhānaṃ samāpajjitvā uṭṭhāya tigāvutaṃ piṭṭhipāsāṇaṃ antantena paricchindanto tūlapicu viya ākāse uṭṭhāpetvā rājagahanagarassa upari sattakkhattuṃ anupariyāyi. So tigāvutappamāṇassa nagarassa apidhānaṃ viya paññāyi. Nagaravāsino ‘‘pāsāṇo no avattharitvā gaṇhātī’’ti bhītā suppādīni matthake katvā tattha tattha nilīyiṃsu. Sattame vāre thero piṭṭhipāsāṇaṃ bhinditvā attānaṃ dasseti. Mahājano theraṃ disvā ‘‘bhante piṇḍolabhāradvāja, tava pāsāṇaṃ gāḷhaṃ katvā gaṇha, mā no sabbe nāsayī’’ti āha. Thero pāsāṇaṃ pādantena khipitvā vissajjesi. So gantvā yathāṭhāneyeva patiṭṭhāsi. Thero seṭṭhissa gehamatthake aṭṭhāsi. Taṃ disvā seṭṭhi urena nipajjitvā ‘‘otara sāmī’’ti vatvā ākāsato otiṇṇaṃ theraṃ nisīdāpetvā pattaṃ gahetvā catumadhurapuṇṇaṃ katvā therassa adāsi. Thero pattaṃ gahetvā vihārābhimukho pāyāsi. Athassa ye araññagatā pāṭihāriyaṃ nāddasaṃsu, te sannipatitvā ‘‘bhante, amhākampi pāṭihāriyaṃ dassehī’’ti theraṃ anubandhiṃsu. So tesaṃ tesaṃ pāṭihāriyaṃ dassento vihāraṃ agamāsi. Satthā taṃ anubandhitvā unnādentassa mahājanassa saddaṃ sutvā ‘‘ānanda, kasseso saddo’’ti pucchi. Tena vuttaṃ ‘‘assosi kho bhagavā…pe… kiṃ nu kho so, ānanda, uccāsaddo mahāsaddo’’ti.

    วิกุพฺพนิทฺธิยา ปาฎิหาริยํ ปฎิกฺขิตฺตนฺติ เอตฺถ วิกุพฺพนิทฺธิ นาม ‘‘โส ปกติวณฺณํ วิชหิตฺวา กุมารกวณฺณํ วา ทเสฺสติ นาควณฺณํ วา, วิวิธมฺปิ เสนาพฺยูหํ ทเสฺสตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๓.๑๓) เอวมาคตา ปกติวณฺณวิชหนวิการวเสน ปวตฺตา อิทฺธิฯ อธิฎฺฐานิทฺธิ ปน ‘‘ปกติยา เอโก พหุกํ อาวชฺชติ สตํ วา สหสฺสํ วา สตสหสฺสํ วา, อาวชฺชิตฺวา ญาเณน อธิฎฺฐาติ ‘พหุโก โหมี’’’ติ (ปฎิ. ม. ๓.๑๐ ทสอิทฺธินิเทฺทส) เอวํ วิภชิตฺวา ทสฺสิตา อธิฎฺฐานวเสน นิปฺผนฺนา อิทฺธิฯ

    Vikubbaniddhiyā pāṭihāriyaṃ paṭikkhittanti ettha vikubbaniddhi nāma ‘‘so pakativaṇṇaṃ vijahitvā kumārakavaṇṇaṃ vā dasseti nāgavaṇṇaṃ vā, vividhampi senābyūhaṃ dassetī’’ti (paṭi. ma. 3.13) evamāgatā pakativaṇṇavijahanavikāravasena pavattā iddhi. Adhiṭṭhāniddhi pana ‘‘pakatiyā eko bahukaṃ āvajjati sataṃ vā sahassaṃ vā satasahassaṃ vā, āvajjitvā ñāṇena adhiṭṭhāti ‘bahuko homī’’’ti (paṭi. ma. 3.10 dasaiddhiniddesa) evaṃ vibhajitvā dassitā adhiṭṭhānavasena nipphannā iddhi.

    ๒๕๓-๒๕๔. น อจฺฉุปิยนฺตีติ น สุผสฺสิตานิ โหนฺติฯ รูปกากิณฺณานีติ อิตฺถิรูปาทีหิ อากิณฺณานิฯ ภูมิอาธารเกติ วลยาธารเกฯ ทารุอาธารกทณฺฑาธารเกสูติ เอกทารุนา กตอาธารเก พหูหิ ทณฺฑเกหิ กตอาธารเก วาติ อโตฺถ, ตีหิ ทเณฺฑหิ กโต ปน น วฎฺฎติฯ ภูมิยํ ปน นิกฺกุชฺชิตฺวา เอกเมว ฐเปตพฺพนฺติ เอตฺถ เทฺว ฐเปเนฺตน อุปริ ฐปิตปตฺตํ เอเกน ปเสฺสน ภูมิยํ ผุสาเปตฺวา ฐเปตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ อาลินฺทกมิฑฺฒิกาทีนนฺติ ปมุขมิฑฺฒิกานํฯ ปริวตฺติตฺวา ตเตฺถว ปติฎฺฐาตีติ เอตฺถ ‘‘ปริวตฺติตฺวา ตติยวาเร ตเตฺถว มิฑฺฒิยา ปติฎฺฐาตี’’ติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ ปริภณฺฑํ นาม เคหสฺส พหิ กุฎฺฎปาทสฺส ถิรภาวตฺถํ กตา ตนุกมิฑฺฒิกา วุจฺจติฯ ตนุกมิฑฺฒิกายาติ ขุทฺทกมิฑฺฒิกายฯ มิฑฺฒเนฺตปิ อาธารเก ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาธารก’’นฺติ หิ วจนโต มิฑฺฒาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ อาธารกํ ฐเปตฺวา ตตฺถ ปตฺตํ ฐเปตุํ วฎฺฎติ อาธารเก ฐปโนกาสสฺส อนิยมิตตฺตาติ วทนฺติฯ ‘‘ปตฺตมาโฬ นาม วเฎฺฎตฺวา ปตฺตานํ อคมนตฺถํ วฎฺฎํ วา จตุรสฺสํ วา อิฎฺฐกาทีหิ ปริกฺขิปิตฺวา กโต’’ติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ

    253-254.Na acchupiyantīti na suphassitāni honti. Rūpakākiṇṇānīti itthirūpādīhi ākiṇṇāni. Bhūmiādhāraketi valayādhārake. Dāruādhārakadaṇḍādhārakesūti ekadārunā kataādhārake bahūhi daṇḍakehi kataādhārake vāti attho, tīhi daṇḍehi kato pana na vaṭṭati. Bhūmiyaṃ pana nikkujjitvā ekameva ṭhapetabbanti ettha dve ṭhapentena upari ṭhapitapattaṃ ekena passena bhūmiyaṃ phusāpetvā ṭhapetuṃ vaṭṭatīti vadanti. Ālindakamiḍḍhikādīnanti pamukhamiḍḍhikānaṃ. Parivattitvā tattheva patiṭṭhātīti ettha ‘‘parivattitvā tatiyavāre tattheva miḍḍhiyā patiṭṭhātī’’ti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Paribhaṇḍaṃ nāma gehassa bahi kuṭṭapādassa thirabhāvatthaṃ katā tanukamiḍḍhikā vuccati. Tanukamiḍḍhikāyāti khuddakamiḍḍhikāya. Miḍḍhantepi ādhārake ṭhapetuṃ vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ādhāraka’’nti hi vacanato miḍḍhādīsu yattha katthaci ādhārakaṃ ṭhapetvā tattha pattaṃ ṭhapetuṃ vaṭṭati ādhārake ṭhapanokāsassa aniyamitattāti vadanti. ‘‘Pattamāḷo nāma vaṭṭetvā pattānaṃ agamanatthaṃ vaṭṭaṃ vā caturassaṃ vā iṭṭhakādīhi parikkhipitvā kato’’ti gaṇṭhipadesu vuttaṃ.

    ๒๕๕. ฆฎิกนฺติ อุปริ โยชิตํ อคฺคฬํฯ ตาวกาลิกํ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตีติ สกิเทว คเหตฺวา เตน อามิสํ ปริภุญฺชิตฺวา ฉเฑฺฑตุํ วฎฺฎตีติ อธิปฺปาโยฯ ฆฎิกฎาเหติ ภาชนกปาเลฯ อภุํ เมติ เอตฺถ ภวตีติ ภู, วฑฺฒิฯ น ภูติ อภู, อวฑฺฒิฯ ภยวเสน ปน สา อิตฺถี ‘‘อภุ’’นฺติ อาห, วินาโส มยฺหนฺติ อโตฺถฯ ฉวสีสสฺส ปตฺตนฺติ ฉวสีสมยํ ปตฺตํฯ ปกติวิการสมฺพเนฺธ เจตํ สามิวจนํ, อเภเทปิ วา เภทูปจาเรนายํ โวหาโร ‘‘สิลาปุตฺตกสฺส สรีร’’นฺติอาทีสุ วิยฯ

    255.Ghaṭikanti upari yojitaṃ aggaḷaṃ. Tāvakālikaṃ paribhuñjituṃ vaṭṭatīti sakideva gahetvā tena āmisaṃ paribhuñjitvā chaḍḍetuṃ vaṭṭatīti adhippāyo. Ghaṭikaṭāheti bhājanakapāle. Abhuṃ meti ettha bhavatīti bhū, vaḍḍhi. Na bhūti abhū, avaḍḍhi. Bhayavasena pana sā itthī ‘‘abhu’’nti āha, vināso mayhanti attho. Chavasīsassa pattanti chavasīsamayaṃ pattaṃ. Pakativikārasambandhe cetaṃ sāmivacanaṃ, abhedepi vā bhedūpacārenāyaṃ vohāro ‘‘silāputtakassa sarīra’’ntiādīsu viya.

    จเพฺพตฺวาติ ขาทิตฺวาฯ เอกํ อุทกคณฺฑุสํ คเหตฺวาติ วามหเตฺถเนว ปตฺตํ อุกฺขิปิตฺวา มุเขน คณฺฑุสํ คเหตฺวาฯ อุจฺฉิฎฺฐหเตฺถนาติ สามิเสน หเตฺถนฯ เอตฺตาวตาติ เอกคณฺฑุสคหณมเตฺตนฯ ลุญฺจิตฺวาติ ตโต มํสํ อุทฺธริตฺวาฯ เอเตสุ สเพฺพสุ ปณฺณตฺติํ ชานาตุ วา มา วา, อาปตฺติเยวฯ

    Cabbetvāti khāditvā. Ekaṃ udakagaṇḍusaṃ gahetvāti vāmahattheneva pattaṃ ukkhipitvā mukhena gaṇḍusaṃ gahetvā. Ucchiṭṭhahatthenāti sāmisena hatthena. Ettāvatāti ekagaṇḍusagahaṇamattena. Luñcitvāti tato maṃsaṃ uddharitvā. Etesu sabbesu paṇṇattiṃ jānātu vā mā vā, āpattiyeva.

    ๒๕๖. กิณฺณจุเณฺณนาติ สุรากิณฺณจุเณฺณนฯ ‘‘อนุวาตํ ปริภณฺฑนฺติ กิลญฺชาทีสุ กโรนฺตี’’ติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ พิทลกนฺติ ทุคุณกรณสงฺขาตสฺส กิริยาวิเสสสฺส อธิวจนํฯ กสฺส ทุคุณกรณํ? เยน กิลญฺชาทินา มหนฺตํ กถินํ อตฺถตํ, ตสฺสฯ ตญฺหิ ทณฺฑกถินปฺปมาเณน ปริยเนฺต สํหริตฺวา ทุคุณํ กาตพฺพํฯ ปฎิคฺคหนฺติ องฺคุลิกญฺจุกํฯ

    256.Kiṇṇacuṇṇenāti surākiṇṇacuṇṇena. ‘‘Anuvātaṃ paribhaṇḍanti kilañjādīsu karontī’’ti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Bidalakanti duguṇakaraṇasaṅkhātassa kiriyāvisesassa adhivacanaṃ. Kassa duguṇakaraṇaṃ? Yena kilañjādinā mahantaṃ kathinaṃ atthataṃ, tassa. Tañhi daṇḍakathinappamāṇena pariyante saṃharitvā duguṇaṃ kātabbaṃ. Paṭiggahanti aṅgulikañcukaṃ.

    ๒๕๗-๒๕๙. ปาติ นาม ปฎิคฺคหณสณฺฐาเนน กโต ภาชนวิเสโสฯ น สมฺมตีติ นปฺปโหติฯ

    257-259.Pāti nāma paṭiggahaṇasaṇṭhānena kato bhājanaviseso. Na sammatīti nappahoti.

    ๒๖๐-๒๖๒. นีจวตฺถุกํ จินิตุนฺติ พหิกุฎฺฎสฺส สมนฺตโต นีจวตฺถุกํ กตฺวา จินิตุํฯ อรหฎฆฎิยนฺตํ นาม สกฎจกฺกสณฺฐานํ อเร อเร ฆฎิกานิ พนฺธิตฺวา เอเกน ทฺวีหิ วา ปริพฺภมิยมานํ ยนฺตํฯ

    260-262.Nīcavatthukaṃ cinitunti bahikuṭṭassa samantato nīcavatthukaṃ katvā cinituṃ. Arahaṭaghaṭiyantaṃ nāma sakaṭacakkasaṇṭhānaṃ are are ghaṭikāni bandhitvā ekena dvīhi vā paribbhamiyamānaṃ yantaṃ.

    ๒๖๓. อาวิทฺธปกฺขปาสกนฺติ กณฺณิกมณฺฑลสฺส สมนฺตา ฐปิตปกฺขปาสกํฯ มณฺฑเลติ กณฺณิกมณฺฑเลฯ ปกฺขปาสเก ฐเปตฺวาติ สมนฺตา ปกฺขปาสกผลกานิ ฐเปตฺวาฯ

    263.Āviddhapakkhapāsakanti kaṇṇikamaṇḍalassa samantā ṭhapitapakkhapāsakaṃ. Maṇḍaleti kaṇṇikamaṇḍale. Pakkhapāsake ṭhapetvāti samantā pakkhapāsakaphalakāni ṭhapetvā.

    ๒๖๔. ‘‘นมตกํ สนฺถตสทิส’’นฺติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ จมฺมขณฺฑปริหาเรน ปริภุญฺชิตพฺพนฺติ อนธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ เอเตฺถว ปวิฎฺฐานีติ มโฬริกาย เอว อโนฺตคธานิฯ ปุเพฺพ ปตฺตสโงฺคปนตฺถํ อาธารโก อนุญฺญาโต, อิทานิ ภุญฺชนตฺถํฯ

    264. ‘‘Namatakaṃ santhatasadisa’’nti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Cammakhaṇḍaparihārena paribhuñjitabbanti anadhiṭṭhahitvā paribhuñjitabbaṃ. Ettheva paviṭṭhānīti maḷorikāya eva antogadhāni. Pubbe pattasaṅgopanatthaṃ ādhārako anuññāto, idāni bhuñjanatthaṃ.

    ๒๖๕. นิกฺกุชฺชิตโพฺพติ เตน ทินฺนสฺส เทยฺยธมฺมสฺส อปฺปฎิคฺคหณตฺถํ ปตฺตนิกฺกุชฺชนกมฺมวาจาย นิกฺกุชฺชิตโพฺพ, น อโธมุขฐปเนนฯ เตเนวาห ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, นิกฺกุชฺชิตโพฺพ’’ติอาทิฯ อลาภายาติ จตุนฺนํ ปจฺจยานํ อลาภตฺถายฯ อนตฺถายาติ อุปทฺทวาย อวฑฺฒิยาฯ

    265.Nikkujjitabboti tena dinnassa deyyadhammassa appaṭiggahaṇatthaṃ pattanikkujjanakammavācāya nikkujjitabbo, na adhomukhaṭhapanena. Tenevāha ‘‘evañca pana, bhikkhave, nikkujjitabbo’’tiādi. Alābhāyāti catunnaṃ paccayānaṃ alābhatthāya. Anatthāyāti upaddavāya avaḍḍhiyā.

    ๒๖๖. ปสาเทสฺสามาติ อายาจิสฺสามฯ เอตทโวจาติ ‘‘อปฺปติรูปํ มยา กตํ, ภควา ปน มหเนฺตปิ อคุเณ อจิเนฺตตฺวา มยฺหํ อจฺจยํ ปฎิคฺคณฺหิสฺสตี’’ติ มญฺญมาโน เอตํ ‘‘อจฺจโย มํ ภเนฺต’’ติอาทิวจนํ อโวจ ฯ ตตฺถ ญายปฎิปตฺติํ อติจฺจ เอติ ปวตฺตตีติ อจฺจโย, อปราโธฯ มํ อจฺจคมาติ มํ อติกฺกมฺม อภิภวิตฺวา ปวโตฺตฯ ปุริเสน มทฺทิตฺวา อภิภวิตฺวา ปวตฺติโตปิ หิ อปราโธ อตฺถโต ปุริสํ อติจฺจ อภิภวิตฺวา ปวโตฺต นาม โหติฯ ปฎิคฺคณฺหาตูติ ขมตุฯ อายติํ สํวรายาติ อนาคเต สํวรณตฺถาย ปุน เอวรูปสฺส อปราธสฺส โทสสฺส ขลิตสฺส อกรณตฺถายฯ ตคฺฆาติ เอกํเสนฯ ยถาธมฺมํ ปฎิกโรสีติ ยถา ธโมฺม ฐิโต, ตเถว กโรสิ, ขมาเปสีติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ เต มยํ ปฎิคฺคณฺหามาติ ตํ ตว อปราธํ มยํ ขมามฯ วุฑฺฒิ เหสา, อาวุโส วฑฺฒ, อริยสฺส วินเยติ เอสา, อาวุโส วฑฺฒ, อริยสฺส วินเย พุทฺธสฺส ภควโต สาสเน วุฑฺฒิ นามฯ กตมา? อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกริตฺวา อายติํ สํวราปชฺชนาฯ เทสนํ ปน ปุคฺคลาธิฎฺฐานํ กโรโนฺต ‘‘โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรติ, อายติํ สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ อาหฯ

    266.Pasādessāmāti āyācissāma. Etadavocāti ‘‘appatirūpaṃ mayā kataṃ, bhagavā pana mahantepi aguṇe acintetvā mayhaṃ accayaṃ paṭiggaṇhissatī’’ti maññamāno etaṃ ‘‘accayo maṃ bhante’’tiādivacanaṃ avoca . Tattha ñāyapaṭipattiṃ aticca eti pavattatīti accayo, aparādho. Maṃ accagamāti maṃ atikkamma abhibhavitvā pavatto. Purisena madditvā abhibhavitvā pavattitopi hi aparādho atthato purisaṃ aticca abhibhavitvā pavatto nāma hoti. Paṭiggaṇhātūti khamatu. Āyatiṃ saṃvarāyāti anāgate saṃvaraṇatthāya puna evarūpassa aparādhassa dosassa khalitassa akaraṇatthāya. Tagghāti ekaṃsena. Yathādhammaṃ paṭikarosīti yathā dhammo ṭhito, tatheva karosi, khamāpesīti vuttaṃ hoti. Taṃ te mayaṃ paṭiggaṇhāmāti taṃ tava aparādhaṃ mayaṃ khamāma. Vuḍḍhi hesā, āvuso vaḍḍha, ariyassa vinayeti esā, āvuso vaḍḍha, ariyassa vinaye buddhassa bhagavato sāsane vuḍḍhi nāma. Katamā? Accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaritvā āyatiṃ saṃvarāpajjanā. Desanaṃ pana puggalādhiṭṭhānaṃ karonto ‘‘yo accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaroti, āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjatī’’ti āha.

    ๒๖๘. โพธิราชกุมารวตฺถุมฺหิ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๒๔ อาทโย) โกกนโทติ โกกนทํ วุจฺจติ ปทุมํ, โส จ มงฺคลปาสาโท โอโลกนปทุมํ ทเสฺสตฺวา กโต, ตสฺมา ‘‘โกกนโท’’ติ สงฺขํ ลภิฯ ยาว ปจฺฉิมโสปานกเฬวราติ เอตฺถ ปจฺฉิมโสปานกเฬวรนฺติ ปฐมโสปานผลกํ วุตฺตํ ตสฺส สพฺพปจฺฉา ทุเสฺสน สนฺถตตฺตาฯ อุปริมโสปานผลกโต ปฎฺฐาย หิ โสปานํ สนฺถตํฯ อทฺทสา โขติ โอโลกนตฺถํเยว ทฺวารโกฎฺฐเก ฐิโต อทฺทสฯ

    268. Bodhirājakumāravatthumhi (ma. ni. aṭṭha. 2.324 ādayo) kokanadoti kokanadaṃ vuccati padumaṃ, so ca maṅgalapāsādo olokanapadumaṃ dassetvā kato, tasmā ‘‘kokanado’’ti saṅkhaṃ labhi. Yāva pacchimasopānakaḷevarāti ettha pacchimasopānakaḷevaranti paṭhamasopānaphalakaṃ vuttaṃ tassa sabbapacchā dussena santhatattā. Uparimasopānaphalakato paṭṭhāya hi sopānaṃ santhataṃ. Addasā khoti olokanatthaṃyeva dvārakoṭṭhake ṭhito addasa.

    ภควา ตุณฺหี อโหสีติ ‘‘กิสฺส นุ โข อตฺถาย ราชกุมาเรน อยํ มหาสกฺกาโร กโต’’ติ อาวเชฺชโนฺต ปุตฺตปตฺถนาย กตภาวํ อญฺญาสิฯ โส หิ ราชปุโตฺต อปุตฺตโกฯ สุตญฺจาเนน อโหสิ ‘‘พุทฺธานํ กิร อธิการํ กตฺวา มนสา อิจฺฉิตํ ลภนฺตี’’ติฯ โส ‘‘สจาหํ ปุตฺตํ ลภิสฺสามิ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ อิมํ เจลปฎิกํ อกฺกมิสฺสติฯ โน เจ ลภิสฺสามิ, น อกฺกมิสฺสตี’’ติ ปตฺถนํ กตฺวา สนฺถราเปสิฯ อถ ภควา ‘‘นิพฺพตฺติสฺสติ นุ โข เอตสฺส ปุโตฺต’’ติ อาวเชฺชตฺวา ‘‘น นิพฺพตฺติสฺสตี’’ติ อทฺทสฯ ปุเพฺพ กิร โส เอกสฺมิํ ทีเป วสมาโน สมานจฺฉเนฺทน สกุณโปตเก ขาทิฯ สจสฺส มาตุคาโม ปุญฺญวา ภเวยฺย, ปุตฺตํ ลเภยฺยฯ อุโภหิ ปน สมานจฺฉเนฺทหิ หุตฺวา ปาปกมฺมํ กตํ, เตนสฺส ปุโตฺต น นิพฺพตฺติสฺสตีติ อญฺญาสิฯ ทุเสฺส ปน อกฺกเนฺต ‘‘พุทฺธานํ อธิการํ กตฺวา ปตฺถิตํ ลภนฺตีติ โลเก อนุสฺสโว, มยา จ มหาอธิกาโร กโต, น จ ปุตฺตํ ลภามิ, ตุจฺฉํ อิทํ วจน’’นฺติ มิจฺฉาคหณํ คเณฺหยฺยฯ ติตฺถิยาปิ ‘‘นตฺถิ สมณานํ อกตฺตพฺพํ นาม, เจลปฎิกํ มทฺทนฺตา อาหิณฺฑนฺตี’’ติ อุชฺฌาเยยฺยุํฯ เอตรหิ จ อกฺกมเนฺตสุ พหู ภิกฺขู ปรจิตฺตวิทุโน, เต ภพฺพตํ ชานิตฺวา อกฺกมิสฺสนฺติ, อภพฺพตํ ชานิตฺวา น อกฺกมิสฺสนฺติฯ อนาคเต ปน อุปนิสฺสโย มโนฺท ภวิสฺสติ, อนาคตํ น ชานิสฺสนฺติ, เตสุ อกฺกมเนฺตสุ สเจ ปตฺถิตํ อิชฺฌิสฺสติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ อิชฺฌิสฺสติ, ‘‘ปุเพฺพ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อธิการํ กตฺวา อิจฺฉิติจฺฉิตํ ลภนฺติ, อิทานิ น ลภนฺติ, เตเยว มเญฺญ ภิกฺขู ปฎิปตฺติปูรกา อเหสุํ, อิเม ปน ปฎิปตฺติํ ปูเรตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติ มนุสฺสา วิปฺปฎิสาริโน ภวิสฺสนฺตีติ อิเมหิ ตีหิ การเณหิ ภควา อกฺกมิตุํ อนิจฺฉโนฺต ตุณฺหี อโหสิฯ ปจฺฉิมํ ชนตํ ตถาคโต อนุกมฺปตีติ อิทํ ปน เถโร วุเตฺตสุ การเณสุ ตติยํ การณํ สนฺธายาหฯ มงฺคลํ อิจฺฉนฺตีติ มงฺคลิกา

    Bhagavā tuṇhī ahosīti ‘‘kissa nu kho atthāya rājakumārena ayaṃ mahāsakkāro kato’’ti āvajjento puttapatthanāya katabhāvaṃ aññāsi. So hi rājaputto aputtako. Sutañcānena ahosi ‘‘buddhānaṃ kira adhikāraṃ katvā manasā icchitaṃ labhantī’’ti. So ‘‘sacāhaṃ puttaṃ labhissāmi, sammāsambuddho imaṃ celapaṭikaṃ akkamissati. No ce labhissāmi, na akkamissatī’’ti patthanaṃ katvā santharāpesi. Atha bhagavā ‘‘nibbattissati nu kho etassa putto’’ti āvajjetvā ‘‘na nibbattissatī’’ti addasa. Pubbe kira so ekasmiṃ dīpe vasamāno samānacchandena sakuṇapotake khādi. Sacassa mātugāmo puññavā bhaveyya, puttaṃ labheyya. Ubhohi pana samānacchandehi hutvā pāpakammaṃ kataṃ, tenassa putto na nibbattissatīti aññāsi. Dusse pana akkante ‘‘buddhānaṃ adhikāraṃ katvā patthitaṃ labhantīti loke anussavo, mayā ca mahāadhikāro kato, na ca puttaṃ labhāmi, tucchaṃ idaṃ vacana’’nti micchāgahaṇaṃ gaṇheyya. Titthiyāpi ‘‘natthi samaṇānaṃ akattabbaṃ nāma, celapaṭikaṃ maddantā āhiṇḍantī’’ti ujjhāyeyyuṃ. Etarahi ca akkamantesu bahū bhikkhū paracittaviduno, te bhabbataṃ jānitvā akkamissanti, abhabbataṃ jānitvā na akkamissanti. Anāgate pana upanissayo mando bhavissati, anāgataṃ na jānissanti, tesu akkamantesu sace patthitaṃ ijjhissati, iccetaṃ kusalaṃ. No ce ijjhissati, ‘‘pubbe bhikkhusaṅghassa adhikāraṃ katvā icchiticchitaṃ labhanti, idāni na labhanti, teyeva maññe bhikkhū paṭipattipūrakā ahesuṃ, ime pana paṭipattiṃ pūretuṃ na sakkontī’’ti manussā vippaṭisārino bhavissantīti imehi tīhi kāraṇehi bhagavā akkamituṃ anicchanto tuṇhī ahosi. Pacchimaṃ janataṃ tathāgato anukampatīti idaṃ pana thero vuttesu kāraṇesu tatiyaṃ kāraṇaṃ sandhāyāha. Maṅgalaṃ icchantīti maṅgalikā.

    ๒๖๙. พีชนินฺติ จตุรสฺสพีชนิํฯ ตาลวณฺฎนฺติ ตาลปตฺตาทีหิ กตํ มณฺฑลิกพีชนิํฯ

    269.Bījaninti caturassabījaniṃ. Tālavaṇṭanti tālapattādīhi kataṃ maṇḍalikabījaniṃ.

    ๒๗๐-๒๗๕. ‘‘เอกปณฺณจฺฉตฺตํ นาม ตาลปตฺต’’นฺติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ กมฺมสเตนาติ เอตฺถ สต-สโทฺท อเนกปริยาโย, อเนเกน กเมฺมนาติ อโตฺถ, มหตา อุสฺสาเหนาติ วุตฺตํ โหติฯ รุธีติ ขุทฺทกวณํฯ

    270-275.‘‘Ekapaṇṇacchattaṃ nāma tālapatta’’nti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Kammasatenāti ettha sata-saddo anekapariyāyo, anekena kammenāti attho, mahatā ussāhenāti vuttaṃ hoti. Rudhīti khuddakavaṇaṃ.

    ๒๗๘. ‘‘อกายพนฺธเนน สญฺจิจฺจ อสญฺจิจฺจ วา คามปฺปเวสเน อาปตฺติฯ สริตฎฺฐานโต พนฺธิตฺวา ปวิสิตพฺพํ นิวตฺติตพฺพํ วา’’ติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ มุรชวฎฺฎิสณฺฐานํ เวเฐตฺวา กตนฺติ พหู รชฺชุเก เอกโต กตฺวา นานาวเณฺณหิ สุเตฺตหิ เวเฐตฺวา มุรชวฎฺฎิสทิสํ กตํฯ เตเนว ทุติยปาราชิกวณฺณนายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๘๕ ปาฬิมุตฺตกวินิจฺฉย) วุตฺตํ ‘‘พหู รชฺชุเก เอกโต กตฺวา เอเกน นิรนฺตรํ เวเฐตฺวา กตํ พหุรชฺชุกนฺติ น วตฺตพฺพํ, ตํ วฎฺฎตี’’ติฯ ตตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ มุทฺทิกกายพนฺธนํ นาม จตุรสฺสํ อกตฺวา สชฺชิตํฯ ปามงฺคทสา จตุรสฺสาฯ มุทิงฺคสณฺฐาเนนาติ วรกสีสากาเรนฯ ปาสโนฺตติ ทสามูลํฯ

    278. ‘‘Akāyabandhanena sañcicca asañcicca vā gāmappavesane āpatti. Saritaṭṭhānato bandhitvā pavisitabbaṃ nivattitabbaṃ vā’’ti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Murajavaṭṭisaṇṭhānaṃ veṭhetvā katanti bahū rajjuke ekato katvā nānāvaṇṇehi suttehi veṭhetvā murajavaṭṭisadisaṃ kataṃ. Teneva dutiyapārājikavaṇṇanāyaṃ (pārā. aṭṭha. 1.85 pāḷimuttakavinicchaya) vuttaṃ ‘‘bahū rajjuke ekato katvā ekena nirantaraṃ veṭhetvā kataṃ bahurajjukanti na vattabbaṃ, taṃ vaṭṭatī’’ti. Tattha yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva. Muddikakāyabandhanaṃ nāma caturassaṃ akatvā sajjitaṃ. Pāmaṅgadasā caturassā. Mudiṅgasaṇṭhānenāti varakasīsākārena. Pāsantoti dasāmūlaṃ.

    ๒๘๐-๒๘๒. มุณฺฑวฎฺฎีติ มลฺลกมฺมกราทโยฯ ปมาณงฺคุเลนาติ วฑฺฒกีองฺคุลํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เสสเมตฺถ ปาฬิโต อฎฺฐกถาโต จ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    280-282.Muṇḍavaṭṭīti mallakammakarādayo. Pamāṇaṅgulenāti vaḍḍhakīaṅgulaṃ sandhāya vuttaṃ. Sesamettha pāḷito aṭṭhakathāto ca suviññeyyameva.

    ขุทฺทกวตฺถุกฺขนฺธกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Khuddakavatthukkhandhakavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / จูฬวคฺคปาฬิ • Cūḷavaggapāḷi / ขุทฺทกวตฺถูนิ • Khuddakavatthūni

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / จูฬวคฺค-อฎฺฐกถา • Cūḷavagga-aṭṭhakathā / ขุทฺทกวตฺถุกถา • Khuddakavatthukathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ขุทฺทกวตฺถุกถาวณฺณนา • Khuddakavatthukathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ขุทฺทกวตฺถุกถาวณฺณนา • Khuddakavatthukathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ขุทฺทกวตฺถุกถา • Khuddakavatthukathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact