Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā

    ขุทฺทกวตฺถุกฺขนฺธกกถาวณฺณนา

    Khuddakavatthukkhandhakakathāvaṇṇanā

    ๒๗๘๓. กุเฎฺฎติ อิฎฺฐกาสิลาทารุกุฎฺฎานํ อญฺญตรสฺมิํฯ อฎฺฎาเนติ เอตฺถ อฎฺฎานํ นาม รุเกฺข ผลกํ วิย ตเจฺฉตฺวา อฎฺฐปทากาเรน ราชิโย ฉินฺทิตฺวา นหานติเตฺถ นิขณนฺติ, ตตฺถ จุณฺณานิ อากิริตฺวา มนุสฺสา กายํ ฆํสนฺติฯ

    2783.Kuṭṭeti iṭṭhakāsilādārukuṭṭānaṃ aññatarasmiṃ. Aṭṭāneti ettha aṭṭānaṃ nāma rukkhe phalakaṃ viya tacchetvā aṭṭhapadākārena rājiyo chinditvā nahānatitthe nikhaṇanti, tattha cuṇṇāni ākiritvā manussā kāyaṃ ghaṃsanti.

    ๒๗๘๔. คนฺธพฺพหเตฺถนาติ นหานติเตฺถ ฐปิเตน ทารุมยหเตฺถนฯ เตน กิร จุณฺณานิ คเหตฺวา มนุสฺสา สรีรํ ฆํสนฺติฯ กุรุวินฺทกสุตฺติยาติ กุรุวินฺทกปาสาณจุณฺณานิ ลาขาย พนฺธิตฺวา กตคุฬิกกลาปโก วุจฺจติ, ตํ อุโภสุ อเนฺตสุ คเหตฺวา สรีรํ ฆํสนฺติฯ มลฺลเกนาติ มกรทนฺตกํ ฉินฺทิตฺวา มลฺลกมูลสณฺฐาเนน กเตน มลฺลเกน, อิทํ คิลานสฺสาปิ น วฎฺฎติฯ อญฺญมญฺญญฺจ กายโตติ อญฺญมญฺญํ สรีเรน ฆํเสยฺยฯ

    2784.Gandhabbahatthenāti nahānatitthe ṭhapitena dārumayahatthena. Tena kira cuṇṇāni gahetvā manussā sarīraṃ ghaṃsanti. Kuruvindakasuttiyāti kuruvindakapāsāṇacuṇṇāni lākhāya bandhitvā kataguḷikakalāpako vuccati, taṃ ubhosu antesu gahetvā sarīraṃ ghaṃsanti. Mallakenāti makaradantakaṃ chinditvā mallakamūlasaṇṭhānena katena mallakena, idaṃ gilānassāpi na vaṭṭati. Aññamaññañca kāyatoti aññamaññaṃ sarīrena ghaṃseyya.

    ๒๗๘๕. อกตํ มลฺลกํ นาม มกรทเนฺต อจฺฉินฺทิตฺวา กตํ, อิทํ อคิลานสฺส น วฎฺฎติฯ

    2785.Akataṃ mallakaṃ nāma makaradante acchinditvā kataṃ, idaṃ agilānassa na vaṭṭati.

    ๒๗๘๖. กปาลิฎฺฐกขณฺฑานีติ กปาลขณฺฑอิฎฺฐกขณฺฑานิฯ สพฺพสฺสาติ คิลานาคิลานสฺส สรีเร ฆํสิตฺวา อุพฺพเฎฺฎตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘ปุถุปาณิก’’นฺติ หตฺถปริกมฺมํ วุจฺจติ, ตสฺมา สพฺพสฺส หเตฺถน ปิฎฺฐิปริกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘วตฺถวฎฺฎี’’ติ อิทํ ปาฬิยํ วุตฺตอุกฺกาสิกสฺส ปริยายํ, ตสฺมา นหายนฺตสฺส ยสฺส กสฺสจิ นหานสาฎกวฎฺฎิยาปิ ฆํสิตุํ วฎฺฎติฯ

    2786.Kapāliṭṭhakakhaṇḍānīti kapālakhaṇḍaiṭṭhakakhaṇḍāni. Sabbassāti gilānāgilānassa sarīre ghaṃsitvā ubbaṭṭetuṃ vaṭṭati. ‘‘Puthupāṇika’’nti hatthaparikammaṃ vuccati, tasmā sabbassa hatthena piṭṭhiparikammaṃ kātuṃ vaṭṭati. ‘‘Vatthavaṭṭī’’ti idaṃ pāḷiyaṃ vuttaukkāsikassa pariyāyaṃ, tasmā nahāyantassa yassa kassaci nahānasāṭakavaṭṭiyāpi ghaṃsituṃ vaṭṭati.

    ๒๗๘๗. เผณกํ นาม สมุทฺทเผณํฯ กถลนฺติ กปาลขณฺฑํฯ ปาทฆํสเน วุตฺตา อนุญฺญาตาฯ กตกํ นาม ปทุมกณฺณิกาการํ ปาทฆํสนตฺถํ กณฺฎเก อุฎฺฐาเปตฺวา กตํ, เอตํ เนว ปฎิคฺคเหตุํ, น ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ

    2787.Pheṇakaṃ nāma samuddapheṇaṃ. Kathalanti kapālakhaṇḍaṃ. Pādaghaṃsane vuttā anuññātā. Katakaṃ nāma padumakaṇṇikākāraṃ pādaghaṃsanatthaṃ kaṇṭake uṭṭhāpetvā kataṃ, etaṃ neva paṭiggahetuṃ, na paribhuñjituṃ vaṭṭati.

    ๒๗๘๘. ยํ กิญฺจิปิ อลงฺการนฺติ หตฺถูปคาทิอลงฺกาเรสุ ยํ กิญฺจิ อลงฺการํฯ

    2788.Yaṃ kiñcipi alaṅkāranti hatthūpagādialaṅkāresu yaṃ kiñci alaṅkāraṃ.

    ๒๗๘๙. โอสเณฺฐยฺยาติ อลงฺการตฺถํ สงฺขโรโนฺต นเมยฺยฯ หตฺถผณเกนาติ หเตฺถเนว ผณกิจฺจํ กโรนฺตา องฺคุลีหิ โอสเณฺฐนฺติฯ ผณเกนาติ ทนฺตมยาทีสุ เยน เกนจิฯ โกเจฺฉนาติ อุสิรมเยน วา มุญฺชปพฺพชมเยน วา โกเจฺฉนฯ

    2789.Osaṇṭheyyāti alaṅkāratthaṃ saṅkharonto nameyya. Hatthaphaṇakenāti hattheneva phaṇakiccaṃ karontā aṅgulīhi osaṇṭhenti. Phaṇakenāti dantamayādīsu yena kenaci. Kocchenāti usiramayena vā muñjapabbajamayena vā kocchena.

    ๒๗๙๐. สิตฺถเตโลทเตเลหีติ สิตฺถเตลญฺจ อุทกเตลญฺจาติ วิคฺคโห, เตหิฯ ตตฺถ สิตฺถเตลํ นาม มธุสิตฺถกนิยฺยาสาทิ ยํ กิญฺจิ จิกฺกณํฯ จิกฺกณํ นาม นิยฺยาสํฯ อุทกเตลํ นาม อุทกมิสฺสกํ เตลํฯ กตฺถจิ โปตฺถเกสุ ‘‘สิฎฺฐา’’ติ ปาโฐ, โสเยวโตฺถฯ อนุโลมนิปาตตฺถนฺติ นลาฎาภิมุขํ อนุโลเมน ปาตนตฺถํฯ อุทฺธโลเมนาติ อุทฺธคฺคํ หุตฺวา ฐิตโลเมนฯ

    2790.Sitthatelodatelehīti sitthatelañca udakatelañcāti viggaho, tehi. Tattha sitthatelaṃ nāma madhusitthakaniyyāsādi yaṃ kiñci cikkaṇaṃ. Cikkaṇaṃ nāma niyyāsaṃ. Udakatelaṃ nāma udakamissakaṃ telaṃ. Katthaci potthakesu ‘‘siṭṭhā’’ti pāṭho, soyevattho. Anulomanipātatthanti nalāṭābhimukhaṃ anulomena pātanatthaṃ. Uddhalomenāti uddhaggaṃ hutvā ṭhitalomena.

    ๒๗๙๑. หตฺถํ เตเลน เตเมตฺวาติ กรตลํ เตเลน มเกฺขตฺวาฯ สิโรรุหา เกสาฯ อุณฺหาภิตตฺตสฺสาติ อุณฺหาภิตตฺตรชสิรสฺสฯ อลฺลหเตฺถน สิโรรุเห ปุญฺฉิตุํ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ

    2791.Hatthaṃ telena temetvāti karatalaṃ telena makkhetvā. Siroruhā kesā. Uṇhābhitattassāti uṇhābhitattarajasirassa. Allahatthena siroruhe puñchituṃ vaṭṭatīti yojanā.

    ๒๗๙๒. อาทาเส อุทปเตฺต วาติ เอตฺถ กํสปตฺตาทีนิปิ, เยสุ มุขนิมิตฺตํ ปญฺญายติ, สพฺพานิ อาทาสสงฺขเมว คจฺฉนฺติ, กญฺชิยาทีนิปิ จ อุทปตฺตสงฺขเมว, ตสฺมา ยตฺถ กตฺถจิ โอโลเกนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ

    2792.Ādāseudapatte vāti ettha kaṃsapattādīnipi, yesu mukhanimittaṃ paññāyati, sabbāni ādāsasaṅkhameva gacchanti, kañjiyādīnipi ca udapattasaṅkhameva, tasmā yattha katthaci olokentassa dukkaṭaṃ.

    ๒๗๙๓. เยน เหตุนา มุขํ โอโลเกนฺตสฺส อนาปตฺติ, ตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สญฺฉวิ’’นฺติอาทิฯ อาพาธปจฺจยา ‘‘เม มุเข วโณ สญฺฉวิ นุ โข, อุทาหุ น สญฺฉวี’’ติ มุขํ ทฎฺฐุญฺจ ‘‘อหํ ชิโณฺณ นุ โข, อุทาหุ โน’’ติ อตฺตโน อายุสงฺขารชานนตฺถญฺจ มุขํ ทฎฺฐุํ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ

    2793. Yena hetunā mukhaṃ olokentassa anāpatti, taṃ dassetumāha ‘‘sañchavi’’ntiādi. Ābādhapaccayā ‘‘me mukhe vaṇo sañchavi nu kho, udāhu na sañchavī’’ti mukhaṃ daṭṭhuñca ‘‘ahaṃ jiṇṇo nu kho, udāhu no’’ti attano āyusaṅkhārajānanatthañca mukhaṃ daṭṭhuṃ vaṭṭatīti yojanā.

    ๒๗๙๔. นจฺจํ วาติ ยํ กิญฺจิ นจฺจํ อนฺตมโส โมรนจฺจมฺปิฯ คีตนฺติ ยํ กิญฺจิ นฎคีตํ วา สาธุคีตํ วา อนฺตมโส ทนฺตคีตมฺปิ, ยํ ‘‘คายิสฺสามา’’ติ ปุพฺพภาเค โอกูชนฺตา กโรนฺติ, เอตมฺปิ น วฎฺฎติฯ วาทิตนฺติ ยํ กิญฺจิ วาทิตํฯ ทฎฺฐุํ วา ปน โสตุํ วาติ นจฺจํ ทฎฺฐุํ วา คีตํ วาทิตํ โสตุํ วาฯ

    2794.Naccaṃ vāti yaṃ kiñci naccaṃ antamaso moranaccampi. Gītanti yaṃ kiñci naṭagītaṃ vā sādhugītaṃ vā antamaso dantagītampi, yaṃ ‘‘gāyissāmā’’ti pubbabhāge okūjantā karonti, etampi na vaṭṭati. Vāditanti yaṃ kiñci vāditaṃ. Daṭṭhuṃ vā pana sotuṃ vāti naccaṃ daṭṭhuṃ vā gītaṃ vāditaṃ sotuṃ vā.

    ๒๗๙๕. สยํ นจฺจนฺตสฺส วา นจฺจาเปนฺตสฺส วา คายนฺตสฺส วา คายาเปนฺตสฺส วา วาเทนฺตสฺส วา วาทาเปนฺตสฺส วา ทุกฺกฎเมว อฎฺฐกถาย (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๔๘) วุตฺตนฺติ ตเทกเทสํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทฎฺฐุมนฺตมโส’’ติอาทิฯ

    2795. Sayaṃ naccantassa vā naccāpentassa vā gāyantassa vā gāyāpentassa vā vādentassa vā vādāpentassa vā dukkaṭameva aṭṭhakathāya (cūḷava. aṭṭha. 248) vuttanti tadekadesaṃ dassetumāha ‘‘daṭṭhumantamaso’’tiādi.

    ๒๗๙๖. สุณาตีติ คีตํ วา วาทิตํ วาฯ ปสฺสตีติ นจฺจํ ปสฺสติฯ

    2796.Suṇātīti gītaṃ vā vāditaṃ vā. Passatīti naccaṃ passati.

    ๒๗๙๗. ปสฺสิสฺสามีติ เอตฺถ ‘‘สุณิสฺสามี’’ติ เสโสฯ ‘‘นจฺจํ ปสฺสิสฺสามิ, คีตํ, วาทิตํ วา สุณิสฺสามี’’ติ วิหารโต วิหารํ คจฺฉโต วาปิ ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ

    2797.Passissāmīti ettha ‘‘suṇissāmī’’ti seso. ‘‘Naccaṃ passissāmi, gītaṃ, vāditaṃ vā suṇissāmī’’ti vihārato vihāraṃ gacchato vāpi dukkaṭaṃ hotīti yojanā.

    ๒๗๙๘. อุฎฺฐหิตฺวาน คจฺฉโตติ ‘‘นจฺจํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ, ‘‘คีตํ, วาทิตํ วา สุณิสฺสามี’’ติ นิสินฺนฎฺฐานโต อุฎฺฐหิตฺวา อโนฺตวิหาเรปิ ตํ ตํ ทิสํ คจฺฉโต อาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ วีถิยํ ฐตฺวา คีวํ ปสาเรตฺวา ปสฺสโตปิ จ อาปตฺตีติ โยชนาฯ

    2798.Uṭṭhahitvāna gacchatoti ‘‘naccaṃ passissāmī’’ti, ‘‘gītaṃ, vāditaṃ vā suṇissāmī’’ti nisinnaṭṭhānato uṭṭhahitvā antovihārepi taṃ taṃ disaṃ gacchato āpatti hotīti yojanā. Vīthiyaṃ ṭhatvā gīvaṃ pasāretvā passatopi ca āpattīti yojanā.

    ๒๗๙๙. ทีฆาติ ทฺวงฺคุลโต ทีฆาฯ น ธาเรยฺยาติ น ธาเรตพฺพาฯ ทฺวงฺคุลํ วา ทุมาสํ วาติ เอตฺถ เทฺว องฺคุลานิ ปริมาณํ เอตสฺสาติ ทฺวงฺคุโล, เกโสฯ เทฺว มาสา อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉโท อสฺสาติ ทุมาโสฯ เกสํ ธาเรโนฺต ทฺวงฺคุลํ วา ธาเรยฺย ทุมาสํ วาฯ ตโต อุทฺธํ น วฎฺฎตีติ ตโต ทฺวงฺคุลโต วา ทุมาสโต วา เกสโต อุทฺธํ เกสํ ธาเรตุํ น วฎฺฎติฯ

    2799.Dīghāti dvaṅgulato dīghā. Na dhāreyyāti na dhāretabbā. Dvaṅgulaṃ vā dumāsaṃ vāti ettha dve aṅgulāni parimāṇaṃ etassāti dvaṅgulo, keso. Dve māsā ukkaṭṭhaparicchedo assāti dumāso. Kesaṃ dhārento dvaṅgulaṃ vā dhāreyya dumāsaṃ vā. Tato uddhaṃ na vaṭṭatīti tato dvaṅgulato vā dumāsato vā kesato uddhaṃ kesaṃ dhāretuṃ na vaṭṭati.

    อถ วา เทฺว องฺคุลานิ สมาหฎานิ ทฺวงฺคุลํ, เทฺว มาสา สมาหฎา ทุมาสํ, อุภยตฺถ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ เกเส ธาเรโนฺต ทฺวงฺคุลมตฺตํ วา ธาเรยฺย ทุมาสมตฺตํ วา, ตโต กาลปริมาณโต อุทฺธํ เกเส ธาเรตุํ น วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ สเจ เกเส อโนฺตเทฺวมาเส ทฺวงฺคุเล ปาปุณนฺติ, อโนฺตเทฺวมาเสเยว ฉินฺทิตพฺพาฯ ทฺวงฺคุเล หิ อติกฺกเมตุํ น วฎฺฎติฯ สเจปิ น ทีฆา, เทฺวมาสโต เอกทิวสมฺปิ อติกฺกเมตุํ น ลภติเยวฯ เอวมยํ อุภเยนปิ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทเนว วุโตฺต, ตโต โอรํ ปน นวฎฺฎนภาโว นาม นตฺถิฯ

    Atha vā dve aṅgulāni samāhaṭāni dvaṅgulaṃ, dve māsā samāhaṭā dumāsaṃ, ubhayattha accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Kese dhārento dvaṅgulamattaṃ vā dhāreyya dumāsamattaṃ vā, tato kālaparimāṇato uddhaṃ kese dhāretuṃ na vaṭṭatīti attho. Sace kese antodvemāse dvaṅgule pāpuṇanti, antodvemāseyeva chinditabbā. Dvaṅgule hi atikkametuṃ na vaṭṭati. Sacepi na dīghā, dvemāsato ekadivasampi atikkametuṃ na labhatiyeva. Evamayaṃ ubhayenapi ukkaṭṭhaparicchedeneva vutto, tato oraṃ pana navaṭṭanabhāvo nāma natthi.

    ๒๘๐๐. ทีเฆ นเข, ทีฆานิ นาสิกโลมานิ จ น ธารเยติ โยชนา, น ธาเรยฺย, ฉิเนฺทยฺยาติ อโตฺถฯ วีสติมฎฺฐนฺติ วีสติยา นขานํ มฎฺฐํ ลิขิตมฎฺฐภาวํ กาตุํ ภิกฺขุโน น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ สตฺถเกน ตเจฺฉตฺวา จุณฺณเกน ปมชฺชิตฺวา ผลิกมณีนํ วิย อุชฺชลกรณํ ลิขิตมฎฺฐํ นามฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, มลมตฺตํ อปกฑฺฒิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๔) อนุญฺญาตตฺตา มุคฺคผลตจาทีหิ นขมลํ อปเนตุํ วฎฺฎติฯ

    2800. Dīghe nakhe, dīghāni nāsikalomāni ca na dhārayeti yojanā, na dhāreyya, chindeyyāti attho. Vīsatimaṭṭhanti vīsatiyā nakhānaṃ maṭṭhaṃ likhitamaṭṭhabhāvaṃ kātuṃ bhikkhuno na vaṭṭatīti yojanā. Satthakena tacchetvā cuṇṇakena pamajjitvā phalikamaṇīnaṃ viya ujjalakaraṇaṃ likhitamaṭṭhaṃ nāma. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, malamattaṃ apakaḍḍhitu’’nti (cūḷava. 274) anuññātattā muggaphalatacādīhi nakhamalaṃ apanetuṃ vaṭṭati.

    ๒๘๐๑. กปฺปาเปยฺย วิสุํ มสฺสุนฺติ โย เกสจฺฉิโนฺน วิสุํ มสฺสุํ กปฺปาเปยฺยฯ ทาฐิกํ ฐเปยฺยาติ เกเส ฉินฺทาเปตฺวา มสฺสุํ อกปฺปาเปตฺวา วิสุํ ฐเปยฺยฯ สมฺพาเธติ อุปกจฺฉกมุตฺตกรณสงฺขาเต สมฺพาธฎฺฐาเนฯ โลมํ สํหราเปยฺยวาติ สเตฺถน วา สณฺฑาเสน วา อเญฺญน เยน เกนจิ ปเรน ฉินฺทาเปยฺย, สยํ วา ฉิเนฺทยฺยฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาพาธปจฺจยา สมฺพาเธ โลมํ สํหราเปตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๕) อนุญฺญาตตฺตา ยถาวุตฺตสมฺพาเธ คณฺฑปิฬกวณาทิเก อาพาเธ สติ โลมํ สํหราเปตุํ วฎฺฎติฯ

    2801.Kappāpeyyavisuṃ massunti yo kesacchinno visuṃ massuṃ kappāpeyya. Dāṭhikaṃ ṭhapeyyāti kese chindāpetvā massuṃ akappāpetvā visuṃ ṭhapeyya. Sambādheti upakacchakamuttakaraṇasaṅkhāte sambādhaṭṭhāne. Lomaṃ saṃharāpeyyavāti satthena vā saṇḍāsena vā aññena yena kenaci parena chindāpeyya, sayaṃ vā chindeyya. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ābādhapaccayā sambādhe lomaṃ saṃharāpetu’’nti (cūḷava. 275) anuññātattā yathāvuttasambādhe gaṇḍapiḷakavaṇādike ābādhe sati lomaṃ saṃharāpetuṃ vaṭṭati.

    ๒๘๐๒. อคิลานสฺส ฉินฺทโต ทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ อเญฺญน วา ปุคฺคเลน ตถา กตฺตริยา ฉินฺทาเปนฺตสฺส ทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ

    2802. Agilānassa chindato dukkaṭaṃ vuttaṃ. Aññena vā puggalena tathā kattariyā chindāpentassa dukkaṭaṃ vuttanti sambandho.

    ๒๘๐๓. เสสงฺคเฉทเนติ องฺคุลิยาทิอวเสสสรีราวยวานํ เฉทเนฯ อตฺตวเธติ อตฺตุปกฺกเมน วา อาณตฺติยา อุปกฺกเมน วา อตฺตโน ชีวิตนาเสฯ

    2803.Sesaṅgachedaneti aṅguliyādiavasesasarīrāvayavānaṃ chedane. Attavadheti attupakkamena vā āṇattiyā upakkamena vā attano jīvitanāse.

    ๒๘๐๔. องฺคนฺติ องฺคชาตโต อวเสสํ สรีราวยวํฯ อหิกีฎาทิทฎฺฐสฺส ตปฺปฎิการวเสน องฺคํ ฉินฺทโต น โทโสฯ ตาทิสาพาธปจฺจยา ตปฺปฎิการวเสน องฺคํ ฉินฺทโต น โทโสฯ โลหิตํ โมเจนฺตสฺสาปิ น โทโสติ โยชนาฯ

    2804.Aṅganti aṅgajātato avasesaṃ sarīrāvayavaṃ. Ahikīṭādidaṭṭhassa tappaṭikāravasena aṅgaṃ chindato na doso. Tādisābādhapaccayā tappaṭikāravasena aṅgaṃ chindato na doso. Lohitaṃ mocentassāpi na dosoti yojanā.

    ๒๘๐๕. อปริสฺสาวโน ภิกฺขุ สเจ มคฺคํ คจฺฉติ, ทุกฺกฎํฯ มเคฺค อทฺธาเน ตํ ปริสฺสาวนํ ยาจมานสฺส โย น ททาติ, ตสฺส อททโต อเทนฺตสฺสาปิ ตเถว ทุกฺกฎเมวาติ โยชนาฯ โย ปน อตฺตโน หเตฺถ ปริสฺสาวเน วิชฺชมาเนปิ ยาจติ, ตสฺส น อกามา ทาตพฺพํฯ

    2805.Aparissāvano bhikkhu sace maggaṃ gacchati, dukkaṭaṃ. Magge addhāne taṃ parissāvanaṃ yācamānassa yo na dadāti, tassa adadato adentassāpi tatheva dukkaṭamevāti yojanā. Yo pana attano hatthe parissāvane vijjamānepi yācati, tassa na akāmā dātabbaṃ.

    ๒๘๐๖. ‘‘นโคฺค’’ติ ปทํ ‘‘น ภุเญฺช’’ติอาทิ กิริยาปเทหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ น ภุเญฺชติ ภตฺตาทิํ ภุญฺชิตพฺพํ น ภุเญฺชยฺยฯ น ปิเวติ ยาคุอาทิํ ปาตพฺพํ น ปิเวยฺยฯ น จ ขาเทติ มูลขาทนียาทิกํ ขาทนียํ น ขาเทยฺยฯ น สายเยติ ผาณิตาทิกํ สายิตพฺพญฺจ น สาเยยฺย น ลิเหยฺยฯ น ทเทติ อญฺญสฺส ภตฺตาทิํ กิญฺจิ น ทเทยฺยฯ น คเณฺหยฺยาติ ตถา สยํ นโคฺค หุตฺวา น ปฎิคฺคเณฺหยฺยฯ อญฺชสํ มคฺคํฯ

    2806.‘‘Naggo’’ti padaṃ ‘‘na bhuñje’’tiādi kiriyāpadehi paccekaṃ yojetabbaṃ. Na bhuñjeti bhattādiṃ bhuñjitabbaṃ na bhuñjeyya. Na piveti yāguādiṃ pātabbaṃ na piveyya. Na ca khādeti mūlakhādanīyādikaṃ khādanīyaṃ na khādeyya. Na sāyayeti phāṇitādikaṃ sāyitabbañca na sāyeyya na liheyya. Na dadeti aññassa bhattādiṃ kiñci na dadeyya. Na gaṇheyyāti tathā sayaṃ naggo hutvā na paṭiggaṇheyya. Añjasaṃ maggaṃ.

    ๒๘๐๗. ปริกมฺมํ น กาตพฺพนฺติ ปิฎฺฐิปริกมฺมาทิปริกมฺมํ น กาตพฺพํฯ การเยติ สยํ นโคฺค หุตฺวา อเญฺญน ปิฎฺฐิปริกมฺมาทิปริกมฺมํ น การาเปยฺยาติ อโตฺถฯ

    2807.Parikammaṃ na kātabbanti piṭṭhiparikammādiparikammaṃ na kātabbaṃ. Kārayeti sayaṃ naggo hutvā aññena piṭṭhiparikammādiparikammaṃ na kārāpeyyāti attho.

    ๒๘๐๘. ปิฎฺฐิกมฺมาทิเก ปริกเมฺม ชนฺตาฆราทิกา ติโสฺส ปฎิจฺฉาที วุตฺตา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติโสฺส ปฎิจฺฉาทิโย ชนฺตาฆรปฎิจฺฉาทิํ อุทกปฎิจฺฉาทิํ วตฺถปฎิจฺฉาทิ’’นฺติ (จูฬว. ๒๖๑) อนุญฺญาตาติ โยชนาฯ ปฎิจฺฉาเทติ หิริโกปินนฺติ ปฎิจฺฉาทิ, ชนฺตาฆรเมว ปฎิจฺฉาทิ ชนฺตาฆรปฎิจฺฉาทิฯ อุทกเมว ปฎิจฺฉาทิ อุทกปฎิจฺฉาทิฯ วตฺถเมว ปฎิจฺฉาทิ วตฺถปฎิจฺฉาทิฯ ‘‘สพฺพตฺถ ปน วฎฺฎตี’’ติ อิมินา อิตรปฎิจฺฉาทิทฺวยํ ปริกเมฺมเยว วฎฺฎตีติ ทีเปติฯ สพฺพตฺถาติ โภชนาทิสพฺพกิเจฺจสุฯ

    2808. Piṭṭhikammādike parikamme jantāgharādikā tisso paṭicchādī vuttā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tisso paṭicchādiyo jantāgharapaṭicchādiṃ udakapaṭicchādiṃ vatthapaṭicchādi’’nti (cūḷava. 261) anuññātāti yojanā. Paṭicchādeti hirikopinanti paṭicchādi, jantāgharameva paṭicchādi jantāgharapaṭicchādi. Udakameva paṭicchādi udakapaṭicchādi. Vatthameva paṭicchādi vatthapaṭicchādi. ‘‘Sabbattha pana vaṭṭatī’’ti iminā itarapaṭicchādidvayaṃ parikammeyeva vaṭṭatīti dīpeti. Sabbatthāti bhojanādisabbakiccesu.

    ๒๘๐๙. ยตฺถ กตฺถจิ เปฬายนฺติ ตมฺพโลหวฎฺฎโลหกํสโลหกาฬโลหสุวณฺณรชตาทีหิ กตาย วา ทารุมยาย วา ยาย กายจิ เปฬาย อาสิตฺตกูปธาเนฯ ภุญฺชิตุํ น จ วฎฺฎตีติ ภาชนํ ฐเปตฺวา ภุญฺชิตุํ น วฎฺฎติฯ ยถาห – ‘‘อาสิตฺตกูปธานํ นาม ตมฺพโลเหน วา รชเตน วา กตาย เปฬาย เอตํ อธิวจนํ, ‘น ภิกฺขเว อาสิตฺตกูปธาเน ภุญฺชิตพฺพ’นฺติ สามเญฺญน ปฎิกฺขิตฺตตฺตา ปน ทารุมยาปิ น วฎฺฎตี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๖๔)ฯ ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว มโฬริก’’นฺติ (จูฬว. ๒๖๔) อนุญฺญาตตฺตา มโฬริกาย ฐเปตฺวา ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘มโฬริกา’’ติ จ ทณฺฑาธารโก วุจฺจติ, ยํ ตโย, จตฺตาโร, พหู วา ทณฺฑเก อุปริ จ เหฎฺฐา จ วิตฺถตํ มเชฺฌ สงฺกุจิตํ กตฺวา พนฺธิตฺวา อาธารกํ กโรนฺติฯ ยฎฺฐิอาธารกปณฺณาธารกปจฺฉิกปิฎฺฐฆฎกกวาฎกาทิภาชนมุขอุทุกฺขลาทีนิปิ เอเตฺถว สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ ยฎฺฐิอาธารโกติ ยฎฺฐิํเยว อุชุกํ ฐเปตฺวา พนฺธีกตอาธารโกฯ

    2809.Yattha katthaci peḷāyanti tambalohavaṭṭalohakaṃsalohakāḷalohasuvaṇṇarajatādīhi katāya vā dārumayāya vā yāya kāyaci peḷāya āsittakūpadhāne. Bhuñjituṃ na ca vaṭṭatīti bhājanaṃ ṭhapetvā bhuñjituṃ na vaṭṭati. Yathāha – ‘‘āsittakūpadhānaṃ nāma tambalohena vā rajatena vā katāya peḷāya etaṃ adhivacanaṃ, ‘na bhikkhave āsittakūpadhāne bhuñjitabba’nti sāmaññena paṭikkhittattā pana dārumayāpi na vaṭṭatī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 264). ‘‘Anujānāmi bhikkhave maḷorika’’nti (cūḷava. 264) anuññātattā maḷorikāya ṭhapetvā bhuñjituṃ vaṭṭati. ‘‘Maḷorikā’’ti ca daṇḍādhārako vuccati, yaṃ tayo, cattāro, bahū vā daṇḍake upari ca heṭṭhā ca vitthataṃ majjhe saṅkucitaṃ katvā bandhitvā ādhārakaṃ karonti. Yaṭṭhiādhārakapaṇṇādhārakapacchikapiṭṭhaghaṭakakavāṭakādibhājanamukhaudukkhalādīnipi ettheva saṅgahaṃ gacchanti. Yaṭṭhiādhārakoti yaṭṭhiṃyeva ujukaṃ ṭhapetvā bandhīkataādhārako.

    เอกภาชเน วิสุํ วิสุํ โภชนสฺสาปิ สมฺภวโต ‘‘ภุญฺชโต เอกภาชเน’’ติ เอตฺตเกเยว วุเตฺต ตสฺสาปิ ปสโงฺค สิยาติ ตนฺนิวตฺตนตฺถมาห ‘‘เอกโต’’ติฯ ‘‘ภุญฺชโต’’ติ อิทํ อุปลกฺขณํฯ เอกโต เอกภาชเน ยาคุอาทิปานมฺปิ น วฎฺฎติฯ ยถาห – ‘‘น, ภิกฺขเว, เอกถาลเก ปาตพฺพ’’นฺติ (จูฬว. ๒๖๔)ฯ อถ วา ภุญฺชโตติ อโชฺฌหารสามเญฺญน ปานมฺปิ สงฺคหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อยเมตฺถ วินิจฺฉโย – สเจ เอโก ภิกฺขุ ภาชนโต ผลํ วา ปูวํ วา คเหตฺวา คจฺฉติ, ตสฺมิํ อปคเต อิตรสฺส เสสกํ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ อิตรสฺสาปิ ตสฺมิํ ขเณ ปุน คเหตุํ วฎฺฎตีติฯ

    Ekabhājane visuṃ visuṃ bhojanassāpi sambhavato ‘‘bhuñjato ekabhājane’’ti ettakeyeva vutte tassāpi pasaṅgo siyāti tannivattanatthamāha ‘‘ekato’’ti. ‘‘Bhuñjato’’ti idaṃ upalakkhaṇaṃ. Ekato ekabhājane yāguādipānampi na vaṭṭati. Yathāha – ‘‘na, bhikkhave, ekathālake pātabba’’nti (cūḷava. 264). Atha vā bhuñjatoti ajjhohārasāmaññena pānampi saṅgahitanti veditabbaṃ. Ayamettha vinicchayo – sace eko bhikkhu bhājanato phalaṃ vā pūvaṃ vā gahetvā gacchati, tasmiṃ apagate itarassa sesakaṃ bhuñjituṃ vaṭṭati. Itarassāpi tasmiṃ khaṇe puna gahetuṃ vaṭṭatīti.

    ๒๘๑๐. เย เทฺว วา ตโย วา ภิกฺขู เอกปาวุรณา วา เอกตฺถรณา วา เอกตฺถรณปาวุรณา วา นิปชฺชนฺติ, เตสญฺจ, เย เอกมเญฺจปิ เอกโต นิปชฺชนฺติ, เตสญฺจ อาปตฺติ ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ

    2810. Ye dve vā tayo vā bhikkhū ekapāvuraṇā vā ekattharaṇā vā ekattharaṇapāvuraṇā vā nipajjanti, tesañca, ye ekamañcepi ekato nipajjanti, tesañca āpatti dukkaṭaṃ hotīti yojanā.

    ๒๘๑๑. สงฺฆาฎิปลฺลตฺถิกมุปาคโตติ เอตฺถ สงฺฆาฎีติ สงฺฆาฎินาเมน อธิฎฺฐิตจีวรมาหฯ สงฺฆาฎิปลฺลตฺถิกํ อุปคเตน ยุโตฺต หุตฺวาติ อโตฺถฯ น นิสีเทยฺยาติ วิหาเร วา อนฺตรฆเร วา ยตฺถ กตฺถจิ น นิสีเทยฺยฯ ‘‘สงฺฆาฎีติ นาเมน อธิฎฺฐิตจีวรโวหารปฺปตฺตมธิฎฺฐิตจีวรํ ‘สงฺฆาฎี’ติ วุตฺต’’นฺติ นิสฺสเนฺทเห, ขุทฺทสิกฺขาวณฺณนายมฺปิ ‘‘สงฺฆาฎิยา น ปลฺลเตฺถติ อธิฎฺฐิตจีวเรน วิหาเร วา อนฺตรฆเร วา ปลฺลตฺถิโก น กาตโพฺพ’’ติ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อโนฺตคาเม วาสตฺถาย อุปคเตน อธิฎฺฐิตํ สงฺฆาฎิํ วินา เสสจีวเรหิ ปลฺลตฺถิกาย นิสีทิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ

    2811.Saṅghāṭipallatthikamupāgatoti ettha saṅghāṭīti saṅghāṭināmena adhiṭṭhitacīvaramāha. Saṅghāṭipallatthikaṃ upagatena yutto hutvāti attho. Na nisīdeyyāti vihāre vā antaraghare vā yattha katthaci na nisīdeyya. ‘‘Saṅghāṭīti nāmena adhiṭṭhitacīvaravohārappattamadhiṭṭhitacīvaraṃ ‘saṅghāṭī’ti vutta’’nti nissandehe, khuddasikkhāvaṇṇanāyampi ‘‘saṅghāṭiyā na pallattheti adhiṭṭhitacīvarena vihāre vā antaraghare vā pallatthiko na kātabbo’’ti vuttaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘antogāme vāsatthāya upagatena adhiṭṭhitaṃ saṅghāṭiṃ vinā sesacīvarehi pallatthikāya nisīdituṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ.

    กิญฺจิ กีฬํ น กีเฬยฺยาติ ชุตกีฬาทิกํ ยํ กิญฺจิ กายิกวาจสิกกีฬิกํ น กีเฬยฺยฯ น จ คาหเยติ น จ คาหาเปยฺย, น หราเปยฺยาติ อโตฺถฯ

    Kiñcikīḷaṃ na kīḷeyyāti jutakīḷādikaṃ yaṃ kiñci kāyikavācasikakīḷikaṃ na kīḷeyya. Na ca gāhayeti na ca gāhāpeyya, na harāpeyyāti attho.

    ๒๘๑๒. ทาฐิกายปีติ มสฺสุมฺหิฯ อุคฺคตนฺติ เอตฺถ ‘‘พีภจฺฉ’’นฺติ เสโสฯ อญฺญนฺติ อปลิตํฯ ตาทิสนฺติ พีภจฺฉํฯ

    2812.Dāṭhikāyapīti massumhi. Uggatanti ettha ‘‘bībhaccha’’nti seso. Aññanti apalitaṃ. Tādisanti bībhacchaṃ.

    ๒๘๑๓. ‘‘อคิลาโน’’ติ อิมินา คิลานสฺส อนาปตฺติภาวํ ทีเปติฯ ‘‘ธาเรยฺยา’’ติ อิมินา สุทฺธกตฺตุนิเทฺทเสน อคิลานสฺสปิ ปรํ ธาราปเน, ปรสฺส ธารณสาทิยเน จ อนาปตฺตีติ วิญฺญายตีติฯ อตฺตโน คุตฺตตฺถํ, จีวราทีนํ คุตฺตตฺถญฺจ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ ตตฺรายํ วินิจฺฉโย (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๗๐) – ยสฺส กายทาโห วา ปิตฺตโกโป วา โหติ, จกฺขุ วา ทุพฺพลํ, อโญฺญ วา โกจิ อาพาโธ วินา ฉเตฺตน อุปฺปชฺชติ, ตสฺส คาเม วา อรเญฺญ วา ฉตฺตํ วฎฺฎติฯ วาฬมิคโจรภเยสุ อตฺตคุตฺตตฺถํ, วเสฺส ปน จีวรคุตฺตตฺถมฺปิ วฎฺฎติฯ เอกปณฺณจฺฉตฺตํ ปน สพฺพเตฺถว วฎฺฎติฯ ‘‘เอกปณฺณจฺฉตฺตํ นาม ตาลปตฺต’’นฺติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตนฺติฯ

    2813.‘‘Agilāno’’ti iminā gilānassa anāpattibhāvaṃ dīpeti. ‘‘Dhāreyyā’’ti iminā suddhakattuniddesena agilānassapi paraṃ dhārāpane, parassa dhāraṇasādiyane ca anāpattīti viññāyatīti. Attano guttatthaṃ, cīvarādīnaṃ guttatthañca vaṭṭatīti yojanā. Tatrāyaṃ vinicchayo (cūḷava. aṭṭha. 270) – yassa kāyadāho vā pittakopo vā hoti, cakkhu vā dubbalaṃ, añño vā koci ābādho vinā chattena uppajjati, tassa gāme vā araññe vā chattaṃ vaṭṭati. Vāḷamigacorabhayesu attaguttatthaṃ, vasse pana cīvaraguttatthampi vaṭṭati. Ekapaṇṇacchattaṃ pana sabbattheva vaṭṭati. ‘‘Ekapaṇṇacchattaṃ nāma tālapatta’’nti gaṇṭhipadesu vuttanti.

    ๒๘๑๔. หตฺถิโสณฺฑากาโร อเภโทปจาเรน ‘‘หตฺถิโสณฺฑ’’นฺติ วุโตฺตฯ เอวมุปริปิฯ จีวรสฺส นามเธยฺยํ ‘‘วสน’’นฺติ อิทํฯ ‘‘นิวาเสนฺตสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติ ปททฺวยญฺจ ‘‘หตฺถิโสณฺฑ’’นฺติอาทีหิ สพฺพปเทหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ เวลฺลิยนฺติ เอตฺถ คาถาพนฺธวเสน สํ-สทฺทโลโป, สํเวลฺลิยนฺติ อโตฺถฯ

    2814. Hatthisoṇḍākāro abhedopacārena ‘‘hatthisoṇḍa’’nti vutto. Evamuparipi. Cīvarassa nāmadheyyaṃ ‘‘vasana’’nti idaṃ. ‘‘Nivāsentassa dukkaṭa’’nti padadvayañca ‘‘hatthisoṇḍa’’ntiādīhi sabbapadehi paccekaṃ yojetabbaṃ. Velliyanti ettha gāthābandhavasena saṃ-saddalopo, saṃvelliyanti attho.

    เอตฺถ หตฺถิโสณฺฑํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๘๐) นาม นาภิมูลโต หตฺถิโสณฺฑสณฺฐานํ โอลมฺพกํ กตฺวา นิวตฺถํ โจฬิกิตฺถีนํ นิวาสนํ วิยฯ จตุกฺกณฺณํ นาม อุปริโต เทฺว, เหฎฺฐโต เทฺวติ เอวํ จตฺตาโร กเณฺณ ทเสฺสตฺวา นิวตฺถํฯ มจฺฉวาฬกํ นาม เอกโต ทสนฺตํ เอกโต ปาสนฺตํ โอลเมฺพตฺวา นิวตฺถํฯ สํเวลฺลิยนฺติ มลฺลกมฺมการาทโย วิย กจฺฉํ พนฺธิตฺวา นิวาสนํฯ ตาลวณฺฎกํ นาม ตาลวณฺฎากาเรน สาฎกํ โอลเมฺพตฺวา นิวาสนํฯ -สเทฺทน สตวลิกํ สงฺคณฺหาติฯ สตวลิกํ นาม ทีฆสาฎกํ อเนกกฺขตฺตุํ โอภญฺชิตฺวา โอวฎฺฎิกํ กโรเนฺตน นิวตฺถํ, วามทกฺขิณปเสฺสสุ วา นิรนฺตรํ วลิโย ทเสฺสตฺวา นิวตฺถํฯ สเจ ปน ชาณุโต ปฎฺฐาย เอกา วา เทฺว วา วลิโย ปญฺญายนฺติ, วฎฺฎติฯ เอวํ นิวาเสตุํ คิลานสฺสปิ มคฺคปฎิปนฺนสฺสปิ น วฎฺฎติฯ

    Ettha hatthisoṇḍaṃ (cūḷava. aṭṭha. 280) nāma nābhimūlato hatthisoṇḍasaṇṭhānaṃ olambakaṃ katvā nivatthaṃ coḷikitthīnaṃ nivāsanaṃ viya. Catukkaṇṇaṃ nāma uparito dve, heṭṭhato dveti evaṃ cattāro kaṇṇe dassetvā nivatthaṃ. Macchavāḷakaṃ nāma ekato dasantaṃ ekato pāsantaṃ olambetvā nivatthaṃ. Saṃvelliyanti mallakammakārādayo viya kacchaṃ bandhitvā nivāsanaṃ. Tālavaṇṭakaṃ nāma tālavaṇṭākārena sāṭakaṃ olambetvā nivāsanaṃ. Ca-saddena satavalikaṃ saṅgaṇhāti. Satavalikaṃ nāma dīghasāṭakaṃ anekakkhattuṃ obhañjitvā ovaṭṭikaṃ karontena nivatthaṃ, vāmadakkhiṇapassesu vā nirantaraṃ valiyo dassetvā nivatthaṃ. Sace pana jāṇuto paṭṭhāya ekā vā dve vā valiyo paññāyanti, vaṭṭati. Evaṃ nivāsetuṃ gilānassapi maggapaṭipannassapi na vaṭṭati.

    ยมฺปิ มคฺคํ คจฺฉนฺตา เอกํ วา เทฺว วา โกเณ อุกฺขิปิตฺวา อนฺตรวาสกสฺส อุปริ ลเคฺคนฺติ, อโนฺต วา เอกํ กาสาวํ ตถา นิวาเสตฺวา พหิ อปรํ นิวาเสนฺติ, สพฺพํ น วฎฺฎติฯ คิลาโน ปน อโนฺตกาสาวสฺส โอวฎฺฎิกํ ทเสฺสตฺวา อปรํ อุปริ นิวาเสตุํ ลภติฯ อคิลาเนน เทฺว นิวาเสเนฺตน สคุณํ กตฺวา นิวาเสตพฺพานิฯ อิติ ยญฺจ อิธ ปฎิกฺขิตฺตํ, ยญฺจ เสขิยวณฺณนายํ, ตํ สพฺพํ วเชฺชตฺวา นิพฺพิการํ ติมณฺฑลํ ปฎิจฺฉาเทเนฺตน ปริมณฺฑลํ นิวาเสตพฺพํฯ ยํ กิญฺจิ วิการํ กโรโนฺต ทุกฺกฎา น มุจฺจติฯ

    Yampi maggaṃ gacchantā ekaṃ vā dve vā koṇe ukkhipitvā antaravāsakassa upari laggenti, anto vā ekaṃ kāsāvaṃ tathā nivāsetvā bahi aparaṃ nivāsenti, sabbaṃ na vaṭṭati. Gilāno pana antokāsāvassa ovaṭṭikaṃ dassetvā aparaṃ upari nivāsetuṃ labhati. Agilānena dve nivāsentena saguṇaṃ katvā nivāsetabbāni. Iti yañca idha paṭikkhittaṃ, yañca sekhiyavaṇṇanāyaṃ, taṃ sabbaṃ vajjetvā nibbikāraṃ timaṇḍalaṃ paṭicchādentena parimaṇḍalaṃ nivāsetabbaṃ. Yaṃ kiñci vikāraṃ karonto dukkaṭā na muccati.

    ๒๘๑๕. คิหิปารุปนนฺติ ‘‘เสตปฎปารุตํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๘๐) ปริพฺพาชกปารุตํ เอกสาฎกปารุตํ โสณฺฑปารุตํ อเนฺตปุริกปารุตํ มหาเชฎฺฐกปารุตํ กุฎิปเวสกปารุตํ พฺราหฺมณปารุตํ ปาฬิการกปารุต’’นฺติ เอวมาทิปริมณฺฑลลกฺขณโต อญฺญถา ปารุตํ, สพฺพเมตํ คิหิปารุตํ นามฯ ตสฺมา ยถา เสตปฎา อฑฺฒปาลกนิคณฺฐา ปารุปนฺติ, ยถา จ เอกเจฺจ ปริพฺพาชกา อุรํ วิวริตฺวา ทฺวีสุ อํสกูเฎสุ ปาวุรณํ ฐเปนฺติ, ยถา จ เอกสาฎกา มนุสฺสา นิวตฺถสาฎกสฺส เอเกนเนฺตน ปิฎฺฐิํ ปารุปิตฺวา อุโภ กเณฺณ อุโภสุ อํสกูเฎสุ ฐเปนฺติ, ยถา จ สุราโสณฺฑาทโย สาฎเกน คีวํ ปริกฺขิปนฺตา อุโภ อเนฺต อุทเร วา โอลเมฺพนฺติ, ปิฎฺฐิยํ วา ขิปนฺติ, ยถา จ อเนฺตปุริกาโย อกฺขิตารกมตฺตํ ทเสฺสตฺวา โอคุณฺฐิกํ ปารุปนฺติ, ยถา จ มหาเชฎฺฐา ทีฆสาฎกํ นิวาเสตฺวา ตเสฺสว เอเกนเนฺตน สกลสรีรํ ปารุปนฺติ, ยถา จ กสฺสกา เขตฺตกุฎิํ ปวิสนฺตา สาฎกํ ปลิเวเฐตฺวา อุปกจฺฉเก ปกฺขิปิตฺวา ตเสฺสว เอเกนเนฺตน สรีรํ ปารุปนฺติ, ยถา จ พฺราหฺมณา อุภินฺนํ อุปกจฺฉกานํ อนฺตเรน สาฎกํ ปเวเสตฺวา อํสกูเฎสุ ปกฺขิปนฺติ, ยถา จ ปาฬิการโก ภิกฺขุ เอกํสปารุปเนน ปารุตํ วามพาหํ วิวริตฺวา จีวรํ อํสกูฎํ อาโรเปติ, เอวํ อปารุปิตฺวา สเพฺพปิ เอเต, อเญฺญ จ เอวรูเป ปารุปนโทเส วเชฺชตฺวา นิพฺพิการํ ปริมณฺฑลํ ปารุปิตพฺพํฯ ตถา อปารุปิตฺวา อาราเม วา อนฺตรฆเร วา อนาทเรน ยํ กิญฺจิ วิการํ กโรนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ ปริมณฺฑลโต วิมุตฺตลกฺขณนิวาสนปารุปนโทเส วเชฺชตฺวา ปริมณฺฑลภาโวเยว วุตฺตลกฺขโณ อธิเปฺปโตติ อโตฺถฯ

    2815.Gihipārupananti ‘‘setapaṭapārutaṃ (cūḷava. aṭṭha. 280) paribbājakapārutaṃ ekasāṭakapārutaṃ soṇḍapārutaṃ antepurikapārutaṃ mahājeṭṭhakapārutaṃ kuṭipavesakapārutaṃ brāhmaṇapārutaṃ pāḷikārakapāruta’’nti evamādiparimaṇḍalalakkhaṇato aññathā pārutaṃ, sabbametaṃ gihipārutaṃ nāma. Tasmā yathā setapaṭā aḍḍhapālakanigaṇṭhā pārupanti, yathā ca ekacce paribbājakā uraṃ vivaritvā dvīsu aṃsakūṭesu pāvuraṇaṃ ṭhapenti, yathā ca ekasāṭakā manussā nivatthasāṭakassa ekenantena piṭṭhiṃ pārupitvā ubho kaṇṇe ubhosu aṃsakūṭesu ṭhapenti, yathā ca surāsoṇḍādayo sāṭakena gīvaṃ parikkhipantā ubho ante udare vā olambenti, piṭṭhiyaṃ vā khipanti, yathā ca antepurikāyo akkhitārakamattaṃ dassetvā oguṇṭhikaṃ pārupanti, yathā ca mahājeṭṭhā dīghasāṭakaṃ nivāsetvā tasseva ekenantena sakalasarīraṃ pārupanti, yathā ca kassakā khettakuṭiṃ pavisantā sāṭakaṃ paliveṭhetvā upakacchake pakkhipitvā tasseva ekenantena sarīraṃ pārupanti, yathā ca brāhmaṇā ubhinnaṃ upakacchakānaṃ antarena sāṭakaṃ pavesetvā aṃsakūṭesu pakkhipanti, yathā ca pāḷikārako bhikkhu ekaṃsapārupanena pārutaṃ vāmabāhaṃ vivaritvā cīvaraṃ aṃsakūṭaṃ āropeti, evaṃ apārupitvā sabbepi ete, aññe ca evarūpe pārupanadose vajjetvā nibbikāraṃ parimaṇḍalaṃ pārupitabbaṃ. Tathā apārupitvā ārāme vā antaraghare vā anādarena yaṃ kiñci vikāraṃ karontassa dukkaṭaṃ. Parimaṇḍalato vimuttalakkhaṇanivāsanapārupanadose vajjetvā parimaṇḍalabhāvoyeva vuttalakkhaṇo adhippetoti attho.

    ๒๘๑๖. โลกายตํ น วาเจยฺยาติ ‘‘สพฺพํ อุจฺฉิฎฺฐํ, สพฺพํ อนุจฺฉิฎฺฐํ, เสโต กาโก, กาโฬ พโก อิมินา จ อิมินา จ การเณนา’’ติ เอวมาทินิรตฺถกการณปฎิสํยุตฺตํ ติตฺถิยสตฺถํ อเญฺญสํ น วาเจยฺยฯ น จ ตํ ปริยาปุเณติ ตํ โลกายตํ น จ ปริยาปุเณยฺย น อุคฺคเณฺหยฺยฯ ติรจฺฉานวิชฺชาติ หตฺถิสิปฺปอสฺสสิปฺปธนุสิปฺปาทิกา ปโรปฆาตกรา วิชฺชา จฯ ภิกฺขุนา น ปริยาปุณิตพฺพา, น วาเจตพฺพาติ โยชนาฯ

    2816.Lokāyataṃ na vāceyyāti ‘‘sabbaṃ ucchiṭṭhaṃ, sabbaṃ anucchiṭṭhaṃ, seto kāko, kāḷo bako iminā ca iminā ca kāraṇenā’’ti evamādiniratthakakāraṇapaṭisaṃyuttaṃ titthiyasatthaṃ aññesaṃ na vāceyya. Na ca taṃ pariyāpuṇeti taṃ lokāyataṃ na ca pariyāpuṇeyya na uggaṇheyya. Tiracchānavijjāti hatthisippaassasippadhanusippādikā paropaghātakarā vijjā ca. Bhikkhunā na pariyāpuṇitabbā, na vācetabbāti yojanā.

    ๒๘๑๗. สพฺพาจามริพีชนีติ เสตาทิวเณฺณหิ สเพฺพหิ จมรวาเลหิ กตา พีชนีฯ น จาลิเมฺปยฺย ทายํ วาติ ทวฑาหาทิอุปทฺทวนิวารณาย อนุญฺญาตํ ปฎคฺคิทานการณํ วินา อรญฺญํ อคฺคินา น อาลิเมฺปยฺยฯ ทวฑาเห ปน อาคจฺฉเนฺต อนุปสมฺปเนฺน อสติ ปฎคฺคิํ ทาตุํ, อปฺปหริตกรเณน วา ปริขาขณเนน วา ปริตฺตาณํ กาตุํ, เสนาสนํ ปตฺตํ วา อปฺปตฺตํ วา อคฺคิํ อลฺลสาขํ ภญฺชิตฺวา นิพฺพาเปตุญฺจ ลภติฯ อุทเกน ปน กปฺปิเยเนว ลภติ, เนตเรนฯ อนุปสมฺปเนฺน ปน สติ เตเนว กปฺปิยโวหาเรน การาเปตพฺพํฯ มุขํ น จ ลเญฺชติ มโนสิลาทินา มุขํ น ลิเมฺปยฺย, ติลเกน องฺคํ น กเรยฺยาติ อโตฺถฯ

    2817.Sabbācāmaribījanīti setādivaṇṇehi sabbehi camaravālehi katā bījanī. Na cālimpeyya dāyaṃ vāti davaḍāhādiupaddavanivāraṇāya anuññātaṃ paṭaggidānakāraṇaṃ vinā araññaṃ agginā na ālimpeyya. Davaḍāhe pana āgacchante anupasampanne asati paṭaggiṃ dātuṃ, appaharitakaraṇena vā parikhākhaṇanena vā parittāṇaṃ kātuṃ, senāsanaṃ pattaṃ vā appattaṃ vā aggiṃ allasākhaṃ bhañjitvā nibbāpetuñca labhati. Udakena pana kappiyeneva labhati, netarena. Anupasampanne pana sati teneva kappiyavohārena kārāpetabbaṃ. Mukhaṃ na ca lañjeti manosilādinā mukhaṃ na limpeyya, tilakena aṅgaṃ na kareyyāti attho.

    ๒๘๑๘. อุภโตกาชนฺติ อุภโตโกฎิยา ภารวหนโกฎิกาชํฯ อนฺตรกาชกนฺติ อุภยโกฎิยา ฐิตวาหเกหิ วหิตพฺพํ มเชฺฌภารยุตฺตกาชํฯ สีสกฺขนฺธกฎิภาราทโย เหฎฺฐา วุตฺตลกฺขณาวฯ

    2818.Ubhatokājanti ubhatokoṭiyā bhāravahanakoṭikājaṃ. Antarakājakanti ubhayakoṭiyā ṭhitavāhakehi vahitabbaṃ majjhebhārayuttakājaṃ. Sīsakkhandhakaṭibhārādayo heṭṭhā vuttalakkhaṇāva.

    ๒๘๑๙. โย ภิกฺขุ วฑฺฒกิองฺคุเลน อฎฺฐงฺคุลาธิกํ วา เตเนว องฺคุเลน จตุรงฺคุลปจฺฉิมํ วา ทนฺตกฎฺฐํ ขาทติ, เอวํ ขาทโต ตสฺส อาปตฺติ ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ

    2819. Yo bhikkhu vaḍḍhakiaṅgulena aṭṭhaṅgulādhikaṃ vā teneva aṅgulena caturaṅgulapacchimaṃ vā dantakaṭṭhaṃ khādati, evaṃ khādato tassa āpatti dukkaṭaṃ hotīti yojanā.

    ๒๘๒๐. กิเจฺจ สติปีติ สุกฺขกฎฺฐาทิคฺคหณกิเจฺจ ปน สติฯ โปริสนฺติ ปุริสปฺปมาณํ, พฺยามมตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อาปทาสูติ วาฬมิคาทโย วา ทิสฺวา มคฺคมูโฬฺห วา ทิสา โอโลเกตุกาโม หุตฺวา ทวฑาหํ วา อุทโกฆํ วา อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา วา เอวรูปาสุ อาปทาสุฯ วฎฺฎเตวาภิรูหิตุนฺติ อติอุจฺจมฺปิ รุกฺขํ อาโรหิตุํ วฎฺฎติ เอวฯ

    2820.Kicce satipīti sukkhakaṭṭhādiggahaṇakicce pana sati. Porisanti purisappamāṇaṃ, byāmamattanti vuttaṃ hoti. Āpadāsūti vāḷamigādayo vā disvā maggamūḷho vā disā oloketukāmo hutvā davaḍāhaṃ vā udakoghaṃ vā āgacchantaṃ disvā vā evarūpāsu āpadāsu. Vaṭṭatevābhirūhitunti atiuccampi rukkhaṃ ārohituṃ vaṭṭati eva.

    ๒๘๒๑. สเจ อกลฺลโก คิลาโน น สิยา, ลสุณํ มาคธํ อามกํ ภณฺฑิกลสุณํ น จ ขาเทยฺย เนว ปริภุเญฺชยฺยาติ โยชนาฯ ภณฺฑิกลสุณํ นาม จตุมิญฺชโต ปฎฺฐาย พหุมิญฺชํฯ ปลณฺฑุกภญฺชนกาทิลสุเณ มคเธสุ ชาตเตฺตปิ น โทโสฯ ลสุณวิภาโค เหฎฺฐา ทสฺสิโตเยวฯ คิลานสฺส ปน ลสุณํ ขาทิตุํ วฎฺฎติฯ ยถาห – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาพาธปจฺจยา ลสุณํ ขาทิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๘๙)ฯ อาพาธปจฺจยาติ ยสฺส อาพาธสฺส ลสุณํ เภสชฺชํ โหติ, ตปฺปจฺจยาติ อโตฺถฯ พุทฺธวจนนฺติ สงฺคีติตฺตยารุฬฺหา ปิฎกตฺตยปาฬิฯ อญฺญถาติ สกฺกฎาทิขลิตวจนมยํ วาจนามคฺคํ น โรเปตพฺพํ, ตถา น ฐเปตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    2821. Sace akallako gilāno na siyā, lasuṇaṃ māgadhaṃ āmakaṃ bhaṇḍikalasuṇaṃ na ca khādeyya neva paribhuñjeyyāti yojanā. Bhaṇḍikalasuṇaṃ nāma catumiñjato paṭṭhāya bahumiñjaṃ. Palaṇḍukabhañjanakādilasuṇe magadhesu jātattepi na doso. Lasuṇavibhāgo heṭṭhā dassitoyeva. Gilānassa pana lasuṇaṃ khādituṃ vaṭṭati. Yathāha – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, ābādhapaccayā lasuṇaṃ khāditu’’nti (cūḷava. 289). Ābādhapaccayāti yassa ābādhassa lasuṇaṃ bhesajjaṃ hoti, tappaccayāti attho. Buddhavacananti saṅgītittayāruḷhā piṭakattayapāḷi. Aññathāti sakkaṭādikhalitavacanamayaṃ vācanāmaggaṃ na ropetabbaṃ, tathā na ṭhapetabbanti vuttaṃ hoti.

    ๒๘๒๒. ขิปิเตติ เยน เกนจิ ขิปิเตฯ ‘‘ชีวา’’ติ น วตฺตพฺพนฺติ โยชนาฯ ภิกฺขุนา ขิปิเต คิหินา ‘‘ชีวถา’’ติ วุเตฺตน ปุน ‘‘จิรํ ชีวา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ ‘‘จิร’’นฺติ ปเท สติปิ วฎฺฎติฯ

    2822.Khipiteti yena kenaci khipite. ‘‘Jīvā’’ti na vattabbanti yojanā. Bhikkhunā khipite gihinā ‘‘jīvathā’’ti vuttena puna ‘‘ciraṃ jīvā’’ti vattuṃ vaṭṭatīti yojanā. ‘‘Cira’’nti pade satipi vaṭṭati.

    ๒๘๒๓. อาโกเฎนฺตสฺสาติ กาเยน วา กายปฎิพทฺธาทีหิ วา ปหรนฺตสฺสฯ ปุปฺผสํกิเณฺณติ ปุปฺผสนฺถเตฯ

    2823.Ākoṭentassāti kāyena vā kāyapaṭibaddhādīhi vā paharantassa. Pupphasaṃkiṇṇeti pupphasanthate.

    ๒๘๒๔. นฺหาปิตา ปุพฺพกา เอตสฺสาติ นฺหาปิตปุพฺพโก, นฺหาปิตชาติโกติ อโตฺถฯ ขุรภณฺฑนฺติ นฺหาปิตปริกฺขารํฯ น คเณฺหยฺยาติ น ปริหเรยฺยฯ สเจ โย นฺหาปิตชาติโก โหติ, โส ขุรภณฺฑํ คเหตฺวา น หเรยฺยาติ อโตฺถฯ อญฺญสฺส หตฺถโต คเหตฺวา เกสเจฺฉทาทิ กาตุํ วฎฺฎติฯ อุณฺณีติ เกสกมฺพลํ วินา อุณฺณมยา ปาวุรณชาติฯ ‘‘โคนกํ กุตฺตกํ จิตฺตก’’มิจฺจาทินา วุตฺตเภทวนฺตตาย อาห ‘‘สพฺพา’’ติฯ อุณฺณมยํ อโนฺตกริตฺวา ปารุปิตุํ วฎฺฎตีติ อาห ‘‘พาหิรโลมิกา’’ติฯ ยถาห – ‘‘น, ภิกฺขเว, พาหิรโลมี อุณฺณีธาเรตพฺพา’’ติ (จูฬว. ๒๔๙)ฯ สิกฺขาปทฎฺฐกถายํ ‘‘อุณฺณโลมานิ พหิ กตฺวา อุณฺณปาวารํ ปารุปนฺติ, ตถา ธาเรนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ โลมานิ อโนฺต กตฺวา ปารุปิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๔๙)ฯ

    2824. Nhāpitā pubbakā etassāti nhāpitapubbako, nhāpitajātikoti attho. Khurabhaṇḍanti nhāpitaparikkhāraṃ. Na gaṇheyyāti na parihareyya. Sace yo nhāpitajātiko hoti, so khurabhaṇḍaṃ gahetvā na hareyyāti attho. Aññassa hatthato gahetvā kesacchedādi kātuṃ vaṭṭati. Uṇṇīti kesakambalaṃ vinā uṇṇamayā pāvuraṇajāti. ‘‘Gonakaṃ kuttakaṃ cittaka’’miccādinā vuttabhedavantatāya āha ‘‘sabbā’’ti. Uṇṇamayaṃ antokaritvā pārupituṃ vaṭṭatīti āha ‘‘bāhiralomikā’’ti. Yathāha – ‘‘na, bhikkhave, bāhiralomī uṇṇīdhāretabbā’’ti (cūḷava. 249). Sikkhāpadaṭṭhakathāyaṃ ‘‘uṇṇalomāni bahi katvā uṇṇapāvāraṃ pārupanti, tathā dhārentassa dukkaṭaṃ. Lomāni anto katvā pārupituṃ vaṭṭatī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 249).

    ๒๘๒๕. องฺคราคํ นาม กุงฺกุมาทิฯ กโรนฺตสฺสาติ อพฺภญฺชนฺตสฺสฯ อกายพนฺธนสฺส คามํ ปวิสโตปิ ทุกฺกฎํ สมุทีริตนฺติ โยชนาฯ เอตฺถ จ อสติยา อพนฺธิตฺวา นิกฺขเนฺตน ยตฺถ สรติ, ตตฺถ พนฺธิตพฺพํฯ ‘‘อาสนสาลาย พนฺธิสฺสามี’’ติ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ สริตฺวา ยาว น พนฺธติ, น ตาว ปิณฺฑาย จริตพฺพํฯ

    2825.Aṅgarāgaṃ nāma kuṅkumādi. Karontassāti abbhañjantassa. Akāyabandhanassa gāmaṃ pavisatopi dukkaṭaṃ samudīritanti yojanā. Ettha ca asatiyā abandhitvā nikkhantena yattha sarati, tattha bandhitabbaṃ. ‘‘Āsanasālāya bandhissāmī’’ti gantuṃ vaṭṭati. Saritvā yāva na bandhati, na tāva piṇḍāya caritabbaṃ.

    ๒๘๒๖. สพฺพํ อายุธํ วินา สพฺพํ โลหชํ โลหมยภณฺฑญฺจ ปตฺตํ, สงฺกมนียปาทุกํ, ยถาวุตฺตลกฺขณํ ปลฺลงฺกํ, อาสนฺทิญฺจ วินา สพฺพํ ทารุชํ ทารุมยภณฺฑญฺจ วุตฺตลกฺขณเมว กตกํ , กุมฺภการิกํ ธนิยเสฺสว สพฺพมตฺติกามยํ กุฎิญฺจ วินา สพฺพํ มตฺติกามยํ ภณฺฑญฺจ กปฺปิยนฺติ โยชนาฯ

    2826. Sabbaṃ āyudhaṃ vinā sabbaṃ lohajaṃ lohamayabhaṇḍañca pattaṃ, saṅkamanīyapādukaṃ, yathāvuttalakkhaṇaṃ pallaṅkaṃ, āsandiñca vinā sabbaṃ dārujaṃ dārumayabhaṇḍañca vuttalakkhaṇameva katakaṃ, kumbhakārikaṃ dhaniyasseva sabbamattikāmayaṃ kuṭiñca vinā sabbaṃ mattikāmayaṃ bhaṇḍañca kappiyanti yojanā.

    ขุทฺทกวตฺถุกฺขนฺธกกถาวณฺณนาฯ

    Khuddakavatthukkhandhakakathāvaṇṇanā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact