Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    (ปญฺจโม ภาโค)

    (Pañcamo bhāgo)

    ๑๖. ติํสนิปาโต

    16. Tiṃsanipāto

    [๑๕๑] ๑. กิํฉนฺทชาตกวณฺณนา

    [151] 1. Kiṃchandajātakavaṇṇanā

    กิํฉโนฺท กิมธิปฺปาโยติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุโปสถกมฺมํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสญฺหิ สตฺถา พหู อุปาสเก จ อุปาสิกาโย จ อุโปสถิเก ธมฺมสฺสวนตฺถาย อาคนฺตฺวา ธมฺมสภายํ นิสิเนฺน ‘‘อุโปสถิกาตฺถ อุปาสกา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ โว กตํ อุโปสถํ กโรเนฺตหิ, โปราณกา อุปฑฺฒูโปสถกมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน มหนฺตํ ยสํ ปฎิลภิํสู’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Kiṃchandokimadhippāyoti idaṃ satthā jetavane viharanto uposathakammaṃ ārabbha kathesi. Ekadivasañhi satthā bahū upāsake ca upāsikāyo ca uposathike dhammassavanatthāya āgantvā dhammasabhāyaṃ nisinne ‘‘uposathikāttha upāsakā’’ti pucchitvā ‘‘āma, bhante’’ti vutte ‘‘sādhu vo kataṃ uposathaṃ karontehi, porāṇakā upaḍḍhūposathakammassa nissandena mahantaṃ yasaṃ paṭilabhiṃsū’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทโตฺต ธเมฺมน รชฺชํ กาเรโนฺต สโทฺธ อโหสิ ทานสีลอุโปสถกเมฺมสุ อปฺปมโตฺตฯ โส เสเสปิ อมจฺจาทโย ทานาทีสุ สมาทเปสิฯ ปุโรหิโต ปนสฺส ปรปิฎฺฐิมํสิโก ลญฺชขาทโก กูฎวินิจฺฉยิโก อโหสิฯ ราชา อุโปสถทิวเส อมจฺจาทโย ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อุโปสถิกา โหถา’’ติ อาหฯ ปุโรหิโต อุโปสถํ น สมาทิยิฯ อถ นํ ทิวา ลญฺชํ คเหตฺวา กูฎฑฺฑํ กตฺวา อุปฎฺฐานํ อาคตํ ราชา ‘‘ตุเมฺห อุโปสถิกา’’ติ อมเจฺจ ปุจฺฉโนฺต ‘‘ตฺวมฺปิ อาจริย อุโปสถิโก’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘อามา’’ติ มุสาวาทํ กตฺวา ปาสาทา โอตริฯ อถ นํ เอโก อมโจฺจ ‘‘นนุ ตุเมฺห น อุโปสถิกา’’ติ โจเทสิฯ โส อาห – ‘‘อหํ เวลายเมว ภุญฺชิํ, เคหํ ปน คนฺตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา อุโปสถํ อธิฎฺฐาย สายํ น ภุญฺชิสฺสามิ, รตฺติํ สีลํ รกฺขิสฺสามิ, เอวํ เม อุปฑฺฒูโปสถกมฺมํ ภวิสฺสตี’’ติ? ‘‘สาธุ, อาจริยา’’ติฯ โส เคหํ คนฺตฺวา ตถา อกาสิฯ ปุเนกทิวสํ ตสฺมิํ วินิจฺฉเย นิสิเนฺน อญฺญตรา สีลวตี อิตฺถี อฑฺฑํ กโรนฺตี ฆรํ คนฺตุํ อลภมานา ‘‘อุโปสถกมฺมํ นาติกฺกมิสฺสามี’’ติ อุปกเฎฺฐ กาเล มุขํ วิกฺขาเลตุํ อารภิฯ ตสฺมิํ ขเณ พฺราหฺมณสฺส สุปกฺกานํ อมฺพผลานํ อมฺพปิณฺฑิ อาหริยิตฺถฯ โส ตสฺสา อุโปสถิกภาวํ ญตฺวา ‘‘อิมานิ ขาทิตฺวา อุโปสถิกา โหหี’’ติ อทาสิฯ สา ตถา อกาสิฯ เอตฺตกํ พฺราหฺมณสฺส กมฺมํฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatto dhammena rajjaṃ kārento saddho ahosi dānasīlauposathakammesu appamatto. So sesepi amaccādayo dānādīsu samādapesi. Purohito panassa parapiṭṭhimaṃsiko lañjakhādako kūṭavinicchayiko ahosi. Rājā uposathadivase amaccādayo pakkosāpetvā ‘‘uposathikā hothā’’ti āha. Purohito uposathaṃ na samādiyi. Atha naṃ divā lañjaṃ gahetvā kūṭaḍḍaṃ katvā upaṭṭhānaṃ āgataṃ rājā ‘‘tumhe uposathikā’’ti amacce pucchanto ‘‘tvampi ācariya uposathiko’’ti pucchi. So ‘‘āmā’’ti musāvādaṃ katvā pāsādā otari. Atha naṃ eko amacco ‘‘nanu tumhe na uposathikā’’ti codesi. So āha – ‘‘ahaṃ velāyameva bhuñjiṃ, gehaṃ pana gantvā mukhaṃ vikkhāletvā uposathaṃ adhiṭṭhāya sāyaṃ na bhuñjissāmi, rattiṃ sīlaṃ rakkhissāmi, evaṃ me upaḍḍhūposathakammaṃ bhavissatī’’ti? ‘‘Sādhu, ācariyā’’ti. So gehaṃ gantvā tathā akāsi. Punekadivasaṃ tasmiṃ vinicchaye nisinne aññatarā sīlavatī itthī aḍḍaṃ karontī gharaṃ gantuṃ alabhamānā ‘‘uposathakammaṃ nātikkamissāmī’’ti upakaṭṭhe kāle mukhaṃ vikkhāletuṃ ārabhi. Tasmiṃ khaṇe brāhmaṇassa supakkānaṃ ambaphalānaṃ ambapiṇḍi āhariyittha. So tassā uposathikabhāvaṃ ñatvā ‘‘imāni khāditvā uposathikā hohī’’ti adāsi. Sā tathā akāsi. Ettakaṃ brāhmaṇassa kammaṃ.

    โส อปรภาเค กาลํ กตฺวา หิมวนฺตปเทเส โกสิกิคงฺคาย ตีเร ติโยชนิเก อมฺพวเน รมณีเย ภูมิภาเค โสภคฺคปฺปเตฺต กนกวิมาเน อลงฺกตสิริสยเน สุตฺตปฺปพุโทฺธ วิย นิพฺพตฺติ อลงฺกตปฎิยโตฺต อุตฺตมรูปธโร โสฬสสหสฺสเทวกญฺญาปริวาโรฯ โส รตฺติเญฺญว ตํ สิริสมฺปตฺติํ อนุโภติฯ เวมานิกเปตภาเวน หิสฺส กมฺมสริกฺขโก วิปาโก อโหสิ, ตสฺมา อรุเณ อุคฺคจฺฉเนฺต อมฺพวนํ ปวิสติ, ปวิฎฺฐกฺขเณเยวสฺส ทิพฺพตฺตภาโว อนฺตรธายติ, อสีติหตฺถตาลกฺขนฺธปฺปมาโณ อตฺตภาโว นิพฺพตฺตติ, สกลสรีรํ ฌายติ, สุปุปฺผิตกิํสุโก วิย โหติฯ ทฺวีสุ หเตฺถสุ เอเกกาว องฺคุลิ, ตตฺถ มหากุทฺทาลปฺปมาณา นขา โหนฺติฯ เตหิ นเขหิ อตฺตโน ปิฎฺฐิมํสํ ผาเลตฺวา อุปฺปาเฎตฺวา ขาทโนฺต เวทนาปฺปโตฺต มหารวํ รวโนฺต ทุกฺขํ อนุโภติฯ สูริเย อตฺถงฺคเต ตํ สรีรํ อนฺตรธายติ, ทิพฺพสรีรํ นิพฺพตฺตติ, อลงฺกตปฎิยตฺตา ทิพฺพนาฎกิตฺถิโย นานาตูริยานิ คเหตฺวา ปริวาเรนฺติฯ โส มหาสมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต รมณีเย อมฺพวเน ทิพฺพปาสาทํ อภิรุหติฯ อิติ โส อุโปสถิกาย อิตฺถิยา อมฺพผลทานสฺส นิสฺสเนฺทน ติโยชนิกํ อมฺพวนํ ปฎิลภติ , ลญฺชํ คเหตฺวา กูฎฑฺฑกรณนิสฺสเนฺทน ปน ปิฎฺฐิมํสํ อุปฺปาเฎตฺวา ขาทติ, อุปฑฺฒูโปสถสฺส นิสฺสเนฺทน รตฺติํ สมฺปตฺติํ อนุโภติ, โสฬสสหสฺสนาฎกิตฺถีหิ ปริวุโต ปริจาเรสิฯ

    So aparabhāge kālaṃ katvā himavantapadese kosikigaṅgāya tīre tiyojanike ambavane ramaṇīye bhūmibhāge sobhaggappatte kanakavimāne alaṅkatasirisayane suttappabuddho viya nibbatti alaṅkatapaṭiyatto uttamarūpadharo soḷasasahassadevakaññāparivāro. So rattiññeva taṃ sirisampattiṃ anubhoti. Vemānikapetabhāvena hissa kammasarikkhako vipāko ahosi, tasmā aruṇe uggacchante ambavanaṃ pavisati, paviṭṭhakkhaṇeyevassa dibbattabhāvo antaradhāyati, asītihatthatālakkhandhappamāṇo attabhāvo nibbattati, sakalasarīraṃ jhāyati, supupphitakiṃsuko viya hoti. Dvīsu hatthesu ekekāva aṅguli, tattha mahākuddālappamāṇā nakhā honti. Tehi nakhehi attano piṭṭhimaṃsaṃ phāletvā uppāṭetvā khādanto vedanāppatto mahāravaṃ ravanto dukkhaṃ anubhoti. Sūriye atthaṅgate taṃ sarīraṃ antaradhāyati, dibbasarīraṃ nibbattati, alaṅkatapaṭiyattā dibbanāṭakitthiyo nānātūriyāni gahetvā parivārenti. So mahāsampattiṃ anubhavanto ramaṇīye ambavane dibbapāsādaṃ abhiruhati. Iti so uposathikāya itthiyā ambaphaladānassa nissandena tiyojanikaṃ ambavanaṃ paṭilabhati , lañjaṃ gahetvā kūṭaḍḍakaraṇanissandena pana piṭṭhimaṃsaṃ uppāṭetvā khādati, upaḍḍhūposathassa nissandena rattiṃ sampattiṃ anubhoti, soḷasasahassanāṭakitthīhi parivuto paricāresi.

    ตสฺมิํ กาเล พาราณสิราชา กาเมสุ โทสํ ทิสฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อโธคงฺคาย รมณีเย ภูมิปเทเส ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา อุญฺฉาจริยาย ยาเปโนฺต วิหาสิฯ อเถกทิวสํ ตมฺหา อมฺพวนา มหาฆฎปฺปมาณํ อมฺพปกฺกํ คงฺคาย ปติตฺวา โสเตน วุยฺหมานํ ตสฺส ตาปสสฺส ปริโภคติตฺถาภิมุขํ อคมาสิฯ โส มุขํ โธวโนฺต ตํ มเชฺฌ นทิยา อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อุทกํ ตรโนฺต คนฺตฺวา อาทาย อสฺสมปทํ อาหริตฺวา อคฺยาคาเร ฐเปตฺวา สตฺถเกน ผาเลตฺวา ยาปนมตฺตํ ขาทิตฺวา เสสํ กทลิปเณฺณหิ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปุนปฺปุนํ ทิวเส ทิวเส ยาว ปริกฺขยา ขาทิฯ ตสฺมิํ ปน ขีเณ อญฺญํ ผลาผลํ ขาทิตุํ นาสกฺขิ, รสตณฺหาย พชฺฌิตฺวา ‘‘ตเมว อมฺพปกฺกํ ขาทิสฺสามี’’ติ นทีตีรํ คนฺตฺวา นทิํ โอโลเกโนฺต ‘‘อมฺพํ อลภิตฺวา น อุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา นิสีทิฯ โส ตตฺถ นิราหาโร เอกมฺปิ ทิวสํ, เทฺวปิ, ตีณิ, จตุ, ปญฺจ, ฉ ทิวสานิ วาตาตเปน ปริสุสฺสโนฺต อมฺพํ โอโลเกโนฺต นิสีทิฯ อถ สตฺตเม ทิวเส นทีเทวตา อาวชฺชมานา ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘อยํ ตาปโส ตณฺหาวสิโก หุตฺวา สตฺตาหํ นิราหาโร คงฺคํ โอโลเกโนฺต นิสีทิ, อิมสฺส อมฺพปกฺกํ อทาตุํ น ยุตฺตํ, อลภโนฺต มริสฺสติ, ทสฺสามิ ตสฺสา’’ติ อาคนฺตฺวา คงฺคาย อุปริ อากาเส ฐตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปนฺตี ปฐมํ คาถมาห –

    Tasmiṃ kāle bārāṇasirājā kāmesu dosaṃ disvā isipabbajjaṃ pabbajitvā adhogaṅgāya ramaṇīye bhūmipadese paṇṇasālaṃ kāretvā uñchācariyāya yāpento vihāsi. Athekadivasaṃ tamhā ambavanā mahāghaṭappamāṇaṃ ambapakkaṃ gaṅgāya patitvā sotena vuyhamānaṃ tassa tāpasassa paribhogatitthābhimukhaṃ agamāsi. So mukhaṃ dhovanto taṃ majjhe nadiyā āgacchantaṃ disvā udakaṃ taranto gantvā ādāya assamapadaṃ āharitvā agyāgāre ṭhapetvā satthakena phāletvā yāpanamattaṃ khāditvā sesaṃ kadalipaṇṇehi paṭicchādetvā punappunaṃ divase divase yāva parikkhayā khādi. Tasmiṃ pana khīṇe aññaṃ phalāphalaṃ khādituṃ nāsakkhi, rasataṇhāya bajjhitvā ‘‘tameva ambapakkaṃ khādissāmī’’ti nadītīraṃ gantvā nadiṃ olokento ‘‘ambaṃ alabhitvā na uṭṭhahissāmī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā nisīdi. So tattha nirāhāro ekampi divasaṃ, dvepi, tīṇi, catu, pañca, cha divasāni vātātapena parisussanto ambaṃ olokento nisīdi. Atha sattame divase nadīdevatā āvajjamānā taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘ayaṃ tāpaso taṇhāvasiko hutvā sattāhaṃ nirāhāro gaṅgaṃ olokento nisīdi, imassa ambapakkaṃ adātuṃ na yuttaṃ, alabhanto marissati, dassāmi tassā’’ti āgantvā gaṅgāya upari ākāse ṭhatvā tena saddhiṃ sallapantī paṭhamaṃ gāthamāha –

    .

    1.

    ‘‘กิํฉโนฺท กิมธิปฺปาโย, เอโก สมฺมสิ ฆมฺมนิ;

    ‘‘Kiṃchando kimadhippāyo, eko sammasi ghammani;

    กิํปตฺถยาโน กิํ เอสํ, เกน อเตฺถน พฺราหฺมณา’’ติฯ

    Kiṃpatthayāno kiṃ esaṃ, kena atthena brāhmaṇā’’ti.

    ตตฺถ ฉโนฺทติ อชฺฌาสโยฯ อธิปฺปาโยติ จิตฺตํฯ สมฺมสีติ อจฺฉสิฯ ฆมฺมนีติ คิเมฺหฯ เอสนฺติ เอสโนฺตฯ พฺราหฺมณาติ ปพฺพชิตตฺตา ตาปสํ อาลปติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – พฺราหฺมณ, ตฺวํ กิํ อธิปฺปาโย กิํ จิเนฺตโนฺต กิํ ปเตฺถโนฺต กิํ คเวสโนฺต เกนเตฺถน อิมสฺมิํ คงฺคาตีเร คงฺคํ โอโลเกโนฺต นิสิโนฺนติฯ

    Tattha chandoti ajjhāsayo. Adhippāyoti cittaṃ. Sammasīti acchasi. Ghammanīti gimhe. Esanti esanto. Brāhmaṇāti pabbajitattā tāpasaṃ ālapati. Idaṃ vuttaṃ hoti – brāhmaṇa, tvaṃ kiṃ adhippāyo kiṃ cintento kiṃ patthento kiṃ gavesanto kenatthena imasmiṃ gaṅgātīre gaṅgaṃ olokento nisinnoti.

    ตํ สุตฺวา ตาปโส นว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā tāpaso nava gāthā abhāsi –

    .

    2.

    ‘‘ยถา มหา วาริธโร, กุโมฺภ สุปริณาหวา;

    ‘‘Yathā mahā vāridharo, kumbho supariṇāhavā;

    ตถูปมํ อมฺพปกฺกํ, วณฺณคนฺธรสุตฺตมํฯ

    Tathūpamaṃ ambapakkaṃ, vaṇṇagandharasuttamaṃ.

    .

    3.

    ‘‘ตํ วุยฺหมานํ โสเตน, ทิสฺวานามลมชฺฌิเม;

    ‘‘Taṃ vuyhamānaṃ sotena, disvānāmalamajjhime;

    ปาณีภิ นํ คเหตฺวาน, อคฺยายตนมาหริํฯ

    Pāṇībhi naṃ gahetvāna, agyāyatanamāhariṃ.

    .

    4.

    ‘‘ตโต กทลิปเตฺตสุ, นิกฺขิปิตฺวา สยํ อหํ;

    ‘‘Tato kadalipattesu, nikkhipitvā sayaṃ ahaṃ;

    สเตฺถน นํ วิกเปฺปตฺวา, ขุปฺปิปาสํ อหาสิ เมฯ

    Satthena naṃ vikappetvā, khuppipāsaṃ ahāsi me.

    .

    5.

    ‘‘โสหํ อเปตทรโถ, พฺยนฺตีภูโต ทุขกฺขโม;

    ‘‘Sohaṃ apetadaratho, byantībhūto dukhakkhamo;

    อสฺสาทํ นาธิคจฺฉามิ, ผเลสฺวเญฺญสุ เกสุจิฯ

    Assādaṃ nādhigacchāmi, phalesvaññesu kesuci.

    .

    6.

    ‘‘โสเสตฺวา นูน มรณํ, ตํ มมํ อาวหิสฺสติ;

    ‘‘Sosetvā nūna maraṇaṃ, taṃ mamaṃ āvahissati;

    อมฺพํ ยสฺส ผลํ สาทุ, มธุรคฺคํ มโนรมํ;

    Ambaṃ yassa phalaṃ sādu, madhuraggaṃ manoramaṃ;

    ยมุทฺธริํ วุยฺหมานํ, อุทธิสฺมา มหณฺณเวฯ

    Yamuddhariṃ vuyhamānaṃ, udadhismā mahaṇṇave.

    .

    7.

    ‘‘อกฺขาตํ เต มยา สพฺพํ, ยสฺมา อุปวสามหํ;

    ‘‘Akkhātaṃ te mayā sabbaṃ, yasmā upavasāmahaṃ;

    รมฺมํ ปติ นิสิโนฺนสฺมิ, ปุถุโลมายุตา ปุถุฯ

    Rammaṃ pati nisinnosmi, puthulomāyutā puthu.

    .

    8.

    ‘‘ตฺวญฺจ โข เมว อกฺขาหิ, อตฺตานมปลายินิ;

    ‘‘Tvañca kho meva akkhāhi, attānamapalāyini;

    กา วา ตฺวมสิ กลฺยาณิ, กิสฺส วา ตฺวํ สุมชฺฌิเมฯ

    Kā vā tvamasi kalyāṇi, kissa vā tvaṃ sumajjhime.

    .

    9.

    ‘‘รุปฺปปฎฺฎปลิมฎฺฐีว, พฺยคฺฆีว คิริสานุชา;

    ‘‘Ruppapaṭṭapalimaṭṭhīva, byagghīva girisānujā;

    ยา สนฺติ นาริโย เทเวสุ, เทวานํ ปริจาริกาฯ

    Yā santi nāriyo devesu, devānaṃ paricārikā.

    ๑๐.

    10.

    ‘‘ยา จ มนุสฺสโลกสฺมิํ, รูเปนานฺวาคติตฺถิโย;

    ‘‘Yā ca manussalokasmiṃ, rūpenānvāgatitthiyo;

    รูเปน เต สทิสี นตฺถิ, เทเวสุ คนฺธพฺพมนุสฺสโลเก;

    Rūpena te sadisī natthi, devesu gandhabbamanussaloke;

    ปุฎฺฐาสิ เม จารุปุพฺพงฺคิ, พฺรูหิ นามญฺจ พนฺธเว’’ติฯ

    Puṭṭhāsi me cārupubbaṅgi, brūhi nāmañca bandhave’’ti.

    ตตฺถ วาริธโร กุโมฺภติ อุทกฆโฎฯ สุปริณาหวาติ สุสณฺฐาโนฯ วณฺณคนฺธรสุตฺตมนฺติ วณฺณคนฺธรเสหิ อุตฺตมํฯ ทิสฺวานาติ ทิสฺวาฯ อมลมชฺฌิเมติ นิมฺมลมเชฺฌฯ เทวตํ อาลปโนฺต เอวมาหฯ ปาณีภีติ หเตฺถหิฯ อคฺยายตนมาหรินฺติ อตฺตโน อคฺคิหุตสาลํ อาหริํฯ วิกเปฺปตฺวาติ วิจฺฉินฺทิตฺวาฯ ‘‘วิกเนฺตตฺวา’’ติปิ ปาโฐฯ ‘‘ขาทิ’’นฺติ ปาฐเสโสฯ อหาสิ เมติ ตํ ชิวฺหเคฺค ฐปิตมตฺตเมว สตฺต รสหรณิสหสฺสานิ ผริตฺวา มม ขุทญฺจ ปิปาสญฺจ หริฯ อเปตทรโถติ วิคตกายจิตฺตทรโถ ฯ สุธาโภชนํ ภุตฺตสฺส วิย หิ ตสฺส สพฺพทรถํ อปหริฯ พฺยนฺตีภูโตติ ตสฺส อมฺพปกฺกสฺส วิคตโนฺต ชาโต, ปริกฺขีณอมฺพปโกฺก หุตฺวาติ อโตฺถฯ ทุขกฺขโมติ ทุเกฺขน อสาเตน กายกฺขเมน เจว จิตฺตกฺขเมน จ สมนฺนาคโตฯ อเญฺญสุ ปน กทลิปนสาทีสุ ผเลสุ ปริตฺตกมฺปิ อสฺสาทํ นาธิคจฺฉามิ, สพฺพานิ เม ชิวฺหาย ฐปิตมตฺตานิ ติตฺตกาเนว สมฺปชฺชนฺตีติ ทีเปติฯ

    Tattha vāridharo kumbhoti udakaghaṭo. Supariṇāhavāti susaṇṭhāno. Vaṇṇagandharasuttamanti vaṇṇagandharasehi uttamaṃ. Disvānāti disvā. Amalamajjhimeti nimmalamajjhe. Devataṃ ālapanto evamāha. Pāṇībhīti hatthehi. Agyāyatanamāharinti attano aggihutasālaṃ āhariṃ. Vikappetvāti vicchinditvā. ‘‘Vikantetvā’’tipi pāṭho. ‘‘Khādi’’nti pāṭhaseso. Ahāsi meti taṃ jivhagge ṭhapitamattameva satta rasaharaṇisahassāni pharitvā mama khudañca pipāsañca hari. Apetadarathoti vigatakāyacittadaratho . Sudhābhojanaṃ bhuttassa viya hi tassa sabbadarathaṃ apahari. Byantībhūtoti tassa ambapakkassa vigatanto jāto, parikkhīṇaambapakko hutvāti attho. Dukhakkhamoti dukkhena asātena kāyakkhamena ceva cittakkhamena ca samannāgato. Aññesu pana kadalipanasādīsu phalesu parittakampi assādaṃ nādhigacchāmi, sabbāni me jivhāya ṭhapitamattāni tittakāneva sampajjantīti dīpeti.

    โสเสตฺวาติ นิราหารตาย โสเสตฺวา สุกฺขาเปตฺวาฯ ตํ มมนฺติ ตํ มมฯ ยสฺสาติ ยํ อสฺส, อโหสีติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ ผลํ มม สาทุ อโหสิ, ยมหํ คมฺภีเร ปุถุลอุทกกฺขนฺธสงฺขาเต มหณฺณเว วุยฺหมานํ ตโต อุทธิสฺมา อุทฺธริํ, ตํ อมฺพํ มม มรณํ อาวหิสฺสตีติ มญฺญามิ, มยฺหํ ตํ อลภนฺตสฺส ชีวิตํ นปฺปวตฺติสฺสตีติฯ อุปวสามีติ ขุปฺปิปาสาหิ อุปคโต วสามิฯ รมฺมํ ปติ นิสิโนฺนสฺมีติ รมณียํ นทิํ ปติ อหํ นิสิโนฺนฯ ปุถุโลมายุตา ปุถูติ อยํ นที ปุถุโลเมหิ มเจฺฉหิ อายุตา ปุถุ วิปุลา, อปิ นาม เม อิโต โสตฺถิ ภเวยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ อปลายินีติ อปลายิตฺวา มม สมฺมุเข ฐิเตติ ตํ เทวตํ อาลปติฯ ‘‘อปลาสินี’’ติปิ ปาโฐ, ปลาสรหิเต อนวชฺชสรีเรติ อโตฺถฯ กิสฺส วาติ กิสฺส วา การณา อิธาคตาสีติ ปุจฺฉติฯ

    Sosetvāti nirāhāratāya sosetvā sukkhāpetvā. Taṃ mamanti taṃ mama. Yassāti yaṃ assa, ahosīti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ phalaṃ mama sādu ahosi, yamahaṃ gambhīre puthulaudakakkhandhasaṅkhāte mahaṇṇave vuyhamānaṃ tato udadhismā uddhariṃ, taṃ ambaṃ mama maraṇaṃ āvahissatīti maññāmi, mayhaṃ taṃ alabhantassa jīvitaṃ nappavattissatīti. Upavasāmīti khuppipāsāhi upagato vasāmi. Rammaṃ pati nisinnosmīti ramaṇīyaṃ nadiṃ pati ahaṃ nisinno. Puthulomāyutā puthūti ayaṃ nadī puthulomehi macchehi āyutā puthu vipulā, api nāma me ito sotthi bhaveyyāti adhippāyo. Apalāyinīti apalāyitvā mama sammukhe ṭhiteti taṃ devataṃ ālapati. ‘‘Apalāsinī’’tipi pāṭho, palāsarahite anavajjasarīreti attho. Kissa vāti kissa vā kāraṇā idhāgatāsīti pucchati.

    รูปปฎฺฎปลิมฎฺฐีวาติ สุฎฺฐุ ปริมชฺชิตกญฺจนปฎฺฎสทิสีฯ พฺยคฺฆีวาติ ลีลาวิลาเสน ตรุณพฺยคฺฆโปติกา วิยฯ เทวานนฺติ ฉนฺนํ กามาวจรเทวานํฯ ยา จ มนุสฺสโลกสฺมินฺติ ยา จ มนุสฺสโลเกฯ รูเปนานฺวาคติตฺถิโยติ รูเปน อนฺวาคตา อิตฺถิโย นตฺถีติ อตฺตโน สมฺภาวนาย เอวมาหฯ ตว รูปสทิสาย นาม น ภวิตพฺพนฺติ หิสฺส อธิปฺปาโยฯ คนฺธพฺพมนุสฺสโลเกติ มูลคนฺธาทินิสฺสิเตสุ คนฺธเพฺพสุ จ มนุสฺสโลเก จฯ จารุปุพฺพงฺคีติ จารุนา ปุพฺพเงฺคน อูรุลกฺขเณน สมนฺนาคเตฯ นามญฺจ พนฺธเวติ อตฺตโน นามโคตฺตญฺจ พนฺธเว จ มยฺหํ อกฺขาหีติ วทติฯ

    Rūpapaṭṭapalimaṭṭhīvāti suṭṭhu parimajjitakañcanapaṭṭasadisī. Byagghīvāti līlāvilāsena taruṇabyagghapotikā viya. Devānanti channaṃ kāmāvacaradevānaṃ. Yā ca manussalokasminti yā ca manussaloke. Rūpenānvāgatitthiyoti rūpena anvāgatā itthiyo natthīti attano sambhāvanāya evamāha. Tava rūpasadisāya nāma na bhavitabbanti hissa adhippāyo. Gandhabbamanussaloketi mūlagandhādinissitesu gandhabbesu ca manussaloke ca. Cārupubbaṅgīti cārunā pubbaṅgena ūrulakkhaṇena samannāgate. Nāmañca bandhaveti attano nāmagottañca bandhave ca mayhaṃ akkhāhīti vadati.

    ตโต เทวธีตา อฎฺฐ คาถา อภาสิ –

    Tato devadhītā aṭṭha gāthā abhāsi –

    ๑๑.

    11.

    ‘‘ยํ ตฺวํ ปติ นิสิโนฺนสิ, รมฺมํ พฺราหฺมณ โกสิกิํ;

    ‘‘Yaṃ tvaṃ pati nisinnosi, rammaṃ brāhmaṇa kosikiṃ;

    สาหํ ภุสาลยาวุตฺถา, วรวาริวโหฆสาฯ

    Sāhaṃ bhusālayāvutthā, varavārivahoghasā.

    ๑๒.

    12.

    ‘‘นานาทุมคณากิณฺณา , พหุกา คิริกนฺทรา;

    ‘‘Nānādumagaṇākiṇṇā , bahukā girikandarā;

    มเมว ปมุขา โหนฺติ, อภิสนฺทนฺติ ปาวุเสฯ

    Mameva pamukhā honti, abhisandanti pāvuse.

    ๑๓.

    13.

    ‘‘อโถ พหู วนโตทา, นีลวาริวหินฺธรา;

    ‘‘Atho bahū vanatodā, nīlavārivahindharā;

    พหุกา นาควิโตฺตทา, อภิสนฺทนฺติ วารินาฯ

    Bahukā nāgavittodā, abhisandanti vārinā.

    ๑๔.

    14.

    ‘‘ตา อมฺพชมฺพุลพุชา, นีปา ตาลา จุทุมฺพรา;

    ‘‘Tā ambajambulabujā, nīpā tālā cudumbarā;

    พหูนิ ผลชาตานิ, อาวหนฺติ อภิณฺหโสฯ

    Bahūni phalajātāni, āvahanti abhiṇhaso.

    ๑๕.

    15.

    ‘‘ยํ กิญฺจิ อุภโต ตีเร, ผลํ ปตติ อมฺพุนิ;

    ‘‘Yaṃ kiñci ubhato tīre, phalaṃ patati ambuni;

    อสํสยํ ตํ โสตสฺส, ผลํ โหติ วสานุคํฯ

    Asaṃsayaṃ taṃ sotassa, phalaṃ hoti vasānugaṃ.

    ๑๖.

    16.

    ‘‘เอตทญฺญาย เมธาวิ, ปุถุปญฺญ สุโณหิ เม;

    ‘‘Etadaññāya medhāvi, puthupañña suṇohi me;

    มา โรจย มภิสงฺคํ, ปฎิเสธ ชนาธิปฯ

    Mā rocaya mabhisaṅgaṃ, paṭisedha janādhipa.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘น วาหํ วฑฺฒวํ มเญฺญ, ยํ ตฺวํ รฎฺฐาภิวฑฺฒน;

    ‘‘Na vāhaṃ vaḍḍhavaṃ maññe, yaṃ tvaṃ raṭṭhābhivaḍḍhana;

    อาเจยฺยมาโน ราชิสิ, มรณํ อภิกงฺขสิฯ

    Āceyyamāno rājisi, maraṇaṃ abhikaṅkhasi.

    ๑๘.

    18.

    ‘‘ตสฺส ชานนฺติ ปิตโร, คนฺธพฺพา จ สเทวกา;

    ‘‘Tassa jānanti pitaro, gandhabbā ca sadevakā;

    เย จาปิ อิสโย โลเก, สญฺญตตฺตา ตปสฺสิโน;

    Ye cāpi isayo loke, saññatattā tapassino;

    อสํสยํ เตปิ ชานนฺติ, ปฎฺฐภูตา ยสสฺสิโน’’ติฯ

    Asaṃsayaṃ tepi jānanti, paṭṭhabhūtā yasassino’’ti.

    ตตฺถ โกสิกินฺติ ยํ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, รมฺมํ โกสิกิํ คงฺคํ ปติ นิสิโนฺนฯ ภุสาลยาวุตฺถาติ ภุเส จณฺฑโสเต อาลโย ยสฺส วิมานสฺส, ตสฺมิํ อธิวตฺถา, คงฺคฎฺฐกวิมานวาสินีติ อโตฺถฯ วรวาริวโหฆสาติ วรวาริวเหน โอเฆน สมนฺนาคตาฯ ปมุขาติ ตา วุตฺตปฺปการา คิริกนฺทรา มํ ปมุขํ กโรนฺติ, อหํ ตาสํ ปาโมกฺขา โหมีติ ทเสฺสติฯ อภิสนฺทนฺตีติ สนฺทนฺติ ปวตฺตนฺติ, ตโต ตโต อาคนฺตฺวา มํ โกสิกิคงฺคํ ปวิสนฺตีติ อโตฺถฯ วนโตทาติ น เกวลํ กนฺทราว, อถ โข พหู วนโตทา ตมฺหา ตมฺหา วนมฺหา อุทกานิปิ มํ พหูนิ ปวิสนฺติฯ นีลวาริวหินฺธราติ มณิวเณฺณน นีลวารินา ยุเตฺต อุทกกฺขนฺธสงฺขาเต วเห ธารยนฺติโยฯ นาควิโตฺตทาติ นาคานํ วิตฺติกาเรน ธนสงฺขาเตน วา อุทเกน สมนฺนาคตาฯ วารินาติ เอวรูปา หิ พหู นทิโย มํ วารินาว อภิสนฺทนฺติ ปูเรนฺตีติ ทเสฺสติฯ

    Tattha kosikinti yaṃ tvaṃ, brāhmaṇa, rammaṃ kosikiṃ gaṅgaṃ pati nisinno. Bhusālayāvutthāti bhuse caṇḍasote ālayo yassa vimānassa, tasmiṃ adhivatthā, gaṅgaṭṭhakavimānavāsinīti attho. Varavārivahoghasāti varavārivahena oghena samannāgatā. Pamukhāti tā vuttappakārā girikandarā maṃ pamukhaṃ karonti, ahaṃ tāsaṃ pāmokkhā homīti dasseti. Abhisandantīti sandanti pavattanti, tato tato āgantvā maṃ kosikigaṅgaṃ pavisantīti attho. Vanatodāti na kevalaṃ kandarāva, atha kho bahū vanatodā tamhā tamhā vanamhā udakānipi maṃ bahūni pavisanti. Nīlavārivahindharāti maṇivaṇṇena nīlavārinā yutte udakakkhandhasaṅkhāte vahe dhārayantiyo. Nāgavittodāti nāgānaṃ vittikārena dhanasaṅkhātena vā udakena samannāgatā. Vārināti evarūpā hi bahū nadiyo maṃ vārināva abhisandanti pūrentīti dasseti.

    ตาติ ตา นทิโยฯ อาวหนฺตีติ เอตานิ อมฺพาทีนิ อากฑฺฒนฺติฯ สพฺพานิ หิ เอตานิ อุปโยคเตฺถ ปจฺจตฺตวจนานิฯ อถ วา ตาติ อุปโยคพหุวจนํฯ อาวหนฺตีติ อิมานิ อมฺพาทีนิ ตา นทิโย อาคจฺฉนฺติ, อุปคจฺฉนฺตีติ อโตฺถ, เอวํ อุปคตานิ ปน มม โสตํ ปวิสนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ โสตสฺสาติ ยํ อุภโต ตีเร ชาตรุเกฺขหิ ผลํ มม อมฺพุนิ ปตติ, สพฺพํ ตํ มม โสตเสฺสว วสานุคํ โหติฯ นเตฺถตฺถ สํสโยติ เอวํ อมฺพปกฺกสฺส นทีโสเตน อาคมนการณํ กเถสิฯ

    ti tā nadiyo. Āvahantīti etāni ambādīni ākaḍḍhanti. Sabbāni hi etāni upayogatthe paccattavacanāni. Atha vā ti upayogabahuvacanaṃ. Āvahantīti imāni ambādīni tā nadiyo āgacchanti, upagacchantīti attho, evaṃ upagatāni pana mama sotaṃ pavisantīti adhippāyo. Sotassāti yaṃ ubhato tīre jātarukkhehi phalaṃ mama ambuni patati, sabbaṃ taṃ mama sotasseva vasānugaṃ hoti. Natthettha saṃsayoti evaṃ ambapakkassa nadīsotena āgamanakāraṇaṃ kathesi.

    เมธาวิ ปุถุปญฺญาติ อุภยํ อาลปนเมวฯ มา โรจยาติ เอวํ ตณฺหาภิสงฺคํ มา โรจยฯ ปฎิเสธาติ ปฎิเสเธหิ นนฺติ ราชานํ โอวทติฯ วฑฺฒวนฺติ ปญฺญาวฑฺฒภาวํ ปณฺฑิตภาวํฯ รฎฺฐาภิวฑฺฒนาติ รฎฺฐสฺส อภิวฑฺฒนฯ อาเจยฺยมาโนติ มํสโลหิเตหิ อาจิยโนฺต วฑฺฒโนฺต, ตรุโณว หุตฺวาติ อโตฺถฯ ราชิสีติ ตํ อาลปติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ ตฺวํ นิราหารตาย สุสฺสมาโน ตรุโณว สมาโน อมฺพโลเภน มรณํ อภิกงฺขสิ, น เว อหํ ตว อิมํ ปณฺฑิตภาวํ มญฺญามีติฯ

    Medhāvi puthupaññāti ubhayaṃ ālapanameva. Mā rocayāti evaṃ taṇhābhisaṅgaṃ mā rocaya. Paṭisedhāti paṭisedhehi nanti rājānaṃ ovadati. Vaḍḍhavanti paññāvaḍḍhabhāvaṃ paṇḍitabhāvaṃ. Raṭṭhābhivaḍḍhanāti raṭṭhassa abhivaḍḍhana. Āceyyamānoti maṃsalohitehi āciyanto vaḍḍhanto, taruṇova hutvāti attho. Rājisīti taṃ ālapati. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ tvaṃ nirāhāratāya sussamāno taruṇova samāno ambalobhena maraṇaṃ abhikaṅkhasi, na ve ahaṃ tava imaṃ paṇḍitabhāvaṃ maññāmīti.

    ตสฺสาติ โย ปุคฺคโล ตณฺหาวสิโก โหติ, ตสฺส ตณฺหาวสิกภาวํ ‘‘ปิตโร’’ติ สงฺขํ คตา พฺรหฺมาโน จ สทฺธิํ กามาวจรเทเวหิ คนฺธพฺพา จ วุตฺตปฺปการา ทิพฺพจกฺขุกา อิสโย จ อสํสยํ ชานนฺติฯ อนจฺฉริยเญฺจตํ, ยํ เต อิทฺธิมโนฺต ชาเนยฺยุํ, ‘‘อสุโก หิ นาม ตณฺหาวสิโก โหตี’’ติฯ ปุน เตสํ ภาสมานานํ วจนํ สุตฺวา เยปิ เตสํ ปฎฺฐภูตา ยสสฺสิโน ปริจารกา, เตปิ ชานนฺติฯ ปาปกมฺมํ กโรนฺตสฺส หิ รโห นาม นตฺถีติ ตาปสสฺส สํเวคํ อุปฺปาเทนฺตี เอวมาหฯ

    Tassāti yo puggalo taṇhāvasiko hoti, tassa taṇhāvasikabhāvaṃ ‘‘pitaro’’ti saṅkhaṃ gatā brahmāno ca saddhiṃ kāmāvacaradevehi gandhabbā ca vuttappakārā dibbacakkhukā isayo ca asaṃsayaṃ jānanti. Anacchariyañcetaṃ, yaṃ te iddhimanto jāneyyuṃ, ‘‘asuko hi nāma taṇhāvasiko hotī’’ti. Puna tesaṃ bhāsamānānaṃ vacanaṃ sutvā yepi tesaṃ paṭṭhabhūtā yasassino paricārakā, tepi jānanti. Pāpakammaṃ karontassa hi raho nāma natthīti tāpasassa saṃvegaṃ uppādentī evamāha.

    ตโต ตาปโส จตโสฺส คาถา อภาสิ –

    Tato tāpaso catasso gāthā abhāsi –

    ๑๙.

    19.

    ‘‘เอวํ วิทิตฺวา วิทู สพฺพธมฺมํ, วิทฺธํสนํ จวนํ ชีวิตสฺส;

    ‘‘Evaṃ viditvā vidū sabbadhammaṃ, viddhaṃsanaṃ cavanaṃ jīvitassa;

    น จียตี ตสฺส นรสฺส ปาปํ, สเจ น เจเตติ วธาย ตสฺสฯ

    Na cīyatī tassa narassa pāpaṃ, sace na ceteti vadhāya tassa.

    ๒๐.

    20.

    ‘‘อิสิปูคสมญฺญาเต , เอวํ โลกฺยา วิทิตา สติ;

    ‘‘Isipūgasamaññāte , evaṃ lokyā viditā sati;

    อนริยปริสมฺภาเส, ปาปกมฺมํ ชิคีสสิฯ

    Anariyaparisambhāse, pāpakammaṃ jigīsasi.

    ๒๑.

    21.

    ‘‘สเจ อหํ มริสฺสามิ, ตีเร เต ปุถุสุโสฺสณิ;

    ‘‘Sace ahaṃ marissāmi, tīre te puthusussoṇi;

    อสํสยํ ตํ อสิโลโก, มยิ เปเต อาคมิสฺสติฯ

    Asaṃsayaṃ taṃ asiloko, mayi pete āgamissati.

    ๒๒.

    22.

    ‘‘ตสฺมา หิ ปาปกํ กมฺมํ, รกฺขเสฺสว สุมชฺฌิเม;

    ‘‘Tasmā hi pāpakaṃ kammaṃ, rakkhasseva sumajjhime;

    มา ตํ สโพฺพ ชโน ปจฺฉา, ปกุฎฺฐายิ มยิ มเต’’ติฯ

    Mā taṃ sabbo jano pacchā, pakuṭṭhāyi mayi mate’’ti.

    ตตฺถ เอวํ วิทิตฺวาติ ยถา อหํ สีลญฺจ อนิจฺจตญฺจ ชานามิ, เอวํ ชานิตฺวา ฐิตสฺสฯ วิทูติ วิทุโนฯ สพฺพธมฺมนฺติ สพฺพํ สุจริตธมฺมํฯ ติวิธญฺหิ สุจริตํ อิธ สพฺพธโมฺมติ อธิเปฺปตํฯ วิทฺธํสนนฺติ ภงฺคํฯ จวนนฺติ จุติํฯ ชีวิตสฺสาติ อายุโนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เอวํ วิทิตฺวา ฐิตสฺส ปณฺฑิตสฺส สพฺพํ สุจริตธมฺมํ ชีวิตสฺส จ อนิจฺจตํ ชานนฺตสฺส เอวรูปสฺส นรสฺส ปาปํ น จียติ น วฑฺฒติฯ สเจ น เจเตติ วธาย ตสฺสาติ ตสฺส สงฺขํ คตสฺส ปรปุคฺคลสฺส วธาย น เจเตติ น ปกเปฺปติ, เนว ปรปุคฺคลํ วธาย เจเตติ, นาปิ ปรสนฺตกํ วินาเสติ, อหญฺจ กสฺสจิ วธาย อเจเตตฺวา เกวลํ อมฺพปเกฺก อาสงฺคํ กตฺวา คงฺคํ โอโลเกโนฺต นิสิโนฺน, ตฺวํ มยฺหํ กิํ นาม อกุสลํ ปสฺสสีติฯ

    Tattha evaṃ viditvāti yathā ahaṃ sīlañca aniccatañca jānāmi, evaṃ jānitvā ṭhitassa. Vidūti viduno. Sabbadhammanti sabbaṃ sucaritadhammaṃ. Tividhañhi sucaritaṃ idha sabbadhammoti adhippetaṃ. Viddhaṃsananti bhaṅgaṃ. Cavananti cutiṃ. Jīvitassāti āyuno. Idaṃ vuttaṃ hoti – evaṃ viditvā ṭhitassa paṇḍitassa sabbaṃ sucaritadhammaṃ jīvitassa ca aniccataṃ jānantassa evarūpassa narassa pāpaṃ na cīyati na vaḍḍhati. Sace na ceteti vadhāya tassāti tassa saṅkhaṃ gatassa parapuggalassa vadhāya na ceteti na pakappeti, neva parapuggalaṃ vadhāya ceteti, nāpi parasantakaṃ vināseti, ahañca kassaci vadhāya acetetvā kevalaṃ ambapakke āsaṅgaṃ katvā gaṅgaṃ olokento nisinno, tvaṃ mayhaṃ kiṃ nāma akusalaṃ passasīti.

    อิสิปูคสมญฺญาเตติ อิสิคเณน สุฎฺฐุ อญฺญาเต อิสีนํ สมฺมเตฯ เอวํ โลกฺยาติ ตฺวํ นาม ปาปปวาหเนน โลกสฺส หิตาติ เอวํ วิทิตาฯ สตีติ สติ โสภเน อุตฺตเมติ อาลปนเมตํฯ อนริยปริสมฺภาเสติ ‘‘ตสฺส ชานนฺติ ปิตโร’’ติอาทิกาย อสุนฺทราย ปริภาสาย สมนฺนาคเตฯ ชิคีสสีติ มยิ ปาเป อสํวิชฺชเนฺตปิ มํ เอวํ ปริภาสนฺตี จ ปรมรณํ อชฺฌุเปกฺขนฺตี จ อตฺตโน ปาปกมฺมํ คเวสสิ อุปฺปาเทสิฯ ตีเร เตติ ตว คงฺคาตีเรฯ ปุถุสุโสฺสณีติ ปุถุลาย สุนฺทราย โสณิยา สมนฺนาคเตฯ เปเตติ อมฺพปกฺกํ อลภิตฺวา ปรโลกํ คเต, มเตติ อโตฺถฯ ปกุฎฺฐายีติ อโกฺกสิ ครหิ นินฺทิฯ ‘‘ปกฺวตฺถาสี’’ติปิ ปาโฐฯ

    Isipūgasamaññāteti isigaṇena suṭṭhu aññāte isīnaṃ sammate. Evaṃ lokyāti tvaṃ nāma pāpapavāhanena lokassa hitāti evaṃ viditā. Satīti sati sobhane uttameti ālapanametaṃ. Anariyaparisambhāseti ‘‘tassa jānanti pitaro’’tiādikāya asundarāya paribhāsāya samannāgate. Jigīsasīti mayi pāpe asaṃvijjantepi maṃ evaṃ paribhāsantī ca paramaraṇaṃ ajjhupekkhantī ca attano pāpakammaṃ gavesasi uppādesi. Tīre teti tava gaṅgātīre. Puthusussoṇīti puthulāya sundarāya soṇiyā samannāgate. Peteti ambapakkaṃ alabhitvā paralokaṃ gate, mateti attho. Pakuṭṭhāyīti akkosi garahi nindi. ‘‘Pakvatthāsī’’tipi pāṭho.

    ตํ สุตฺวา เทวธีตา ปญฺจ คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā devadhītā pañca gāthā abhāsi –

    ๒๓.

    23.

    ‘‘อญฺญาตเมตํ อวิสยฺหสาหิ, อตฺตานมมฺพญฺจ ททามิ เต ตํ;

    ‘‘Aññātametaṃ avisayhasāhi, attānamambañca dadāmi te taṃ;

    โย ทุพฺพเช กามคุเณ ปหาย, สนฺติญฺจ ธมฺมญฺจ อธิฎฺฐิโตสิฯ

    Yo dubbaje kāmaguṇe pahāya, santiñca dhammañca adhiṭṭhitosi.

    ๒๔.

    24.

    ‘‘โย หิตฺวา ปุพฺพสโญฺญคํ, ปจฺฉาสํโยชเน ฐิโต;

    ‘‘Yo hitvā pubbasaññogaṃ, pacchāsaṃyojane ṭhito;

    อธมฺมเญฺจว จรติ, ปาปญฺจสฺส ปวฑฺฒติฯ

    Adhammañceva carati, pāpañcassa pavaḍḍhati.

    ๒๕.

    25.

    ‘‘เอหิ ตํ ปาปยิสฺสามิ, กามํ อโปฺปสฺสุโก ภว;

    ‘‘Ehi taṃ pāpayissāmi, kāmaṃ appossuko bhava;

    อุปนยามิ สีตสฺมิํ, วิหราหิ อนุสฺสุโกฯ

    Upanayāmi sītasmiṃ, viharāhi anussuko.

    ๒๖.

    26.

    ‘‘ตํ ปุปฺผรสมเตฺตภิ, วกฺกเงฺคหิ อรินฺทม;

    ‘‘Taṃ puppharasamattebhi, vakkaṅgehi arindama;

    โกญฺจา มยูรา ทิวิยา, โกลฎฺฐิมธุสาฬิกา;

    Koñcā mayūrā diviyā, kolaṭṭhimadhusāḷikā;

    กูชิตา หํสปูเคหิ, โกกิเลตฺถ ปโพธเรฯ

    Kūjitā haṃsapūgehi, kokilettha pabodhare.

    ๒๗.

    27.

    ‘‘อเมฺพตฺถ วิปฺปสาขคฺคา, ปลาลขลสนฺนิภา;

    ‘‘Ambettha vippasākhaggā, palālakhalasannibhā;

    โกสมฺพสลฬา นีปา, ปกฺกตาลวิลมฺพิโน’’ติฯ

    Kosambasalaḷā nīpā, pakkatālavilambino’’ti.

    ตตฺถ อญฺญาตเมตนฺติ ‘‘ครหา เต ภวิสฺสตีติ วทโนฺต อมฺพปกฺกตฺถาย วทสี’’ติ เอตํ การณํ มยา อญฺญาตํฯ อวิสยฺหสาหีติ ราชาโน นาม ทุสฺสหํ สหนฺติ, เตน นํ อาลปนฺตี เอวมาหฯ อตฺตานนฺติ ตํ อาลิงฺคิตฺวา อมฺพวนํ นยนฺตี อตฺตานญฺจ เต ททามิ ตญฺจ อมฺพํฯ กามคุเณติ กญฺจนมาลาเสตจฺฉตฺตปฎิมณฺฑิเต วตฺถุกาเมฯ สนฺติญฺจ ธมฺมญฺจาติ ทุสฺสีลฺยวูปสเมน สนฺติสงฺขาตํ สีลเญฺจว สุจริตธมฺมญฺจฯ อธิฎฺฐิโตสีติ โย ตฺวํ อิเม คุเณ อุปคโต, เอเตสุ วา ปติฎฺฐิโตติ อโตฺถฯ

    Tattha aññātametanti ‘‘garahā te bhavissatīti vadanto ambapakkatthāya vadasī’’ti etaṃ kāraṇaṃ mayā aññātaṃ. Avisayhasāhīti rājāno nāma dussahaṃ sahanti, tena naṃ ālapantī evamāha. Attānanti taṃ āliṅgitvā ambavanaṃ nayantī attānañca te dadāmi tañca ambaṃ. Kāmaguṇeti kañcanamālāsetacchattapaṭimaṇḍite vatthukāme. Santiñca dhammañcāti dussīlyavūpasamena santisaṅkhātaṃ sīlañceva sucaritadhammañca. Adhiṭṭhitosīti yo tvaṃ ime guṇe upagato, etesu vā patiṭṭhitoti attho.

    ปุพฺพสโญฺญคนฺติ ปุริมพนฺธนํฯ ปจฺฉาสํโยชเนติ ปจฺฉิมพนฺธเนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อโมฺภ ตาปส โย มหนฺตํ รชฺชสิริวิภวํ ปหาย อมฺพปกฺกมเตฺต รสตณฺหาย พชฺฌิตฺวา วาตาตปํ อคเณตฺวา นทีตีเร สุสฺสมาโน นิสีทติ, โส มหาสมุทฺทํ ตริตฺวา เวลเนฺต สํสีทนปุคฺคลสทิโสฯ โย ปุคฺคโล รสตณฺหาวสิโก อธมฺมเญฺจว จรติ, รสตณฺหาวเสน กริยมานํ ปาปญฺจสฺส ปวฑฺฒตีติฯ อิติ สา ตาปสํ ครหนฺตี เอวมาหฯ

    Pubbasaññoganti purimabandhanaṃ. Pacchāsaṃyojaneti pacchimabandhane. Idaṃ vuttaṃ hoti – ambho tāpasa yo mahantaṃ rajjasirivibhavaṃ pahāya ambapakkamatte rasataṇhāya bajjhitvā vātātapaṃ agaṇetvā nadītīre sussamāno nisīdati, so mahāsamuddaṃ taritvā velante saṃsīdanapuggalasadiso. Yo puggalo rasataṇhāvasiko adhammañceva carati, rasataṇhāvasena kariyamānaṃ pāpañcassa pavaḍḍhatīti. Iti sā tāpasaṃ garahantī evamāha.

    กามํ อโปฺปสฺสุโก ภวาติ เอกํเสเนว อมฺพปเกฺก นิราลโย โหหิฯ สีตสฺมินฺติ สีตเล อมฺพวเนฯ นฺติ เอวํ วทมานาว เทวตา ตาปสํ อาลิงฺคิตฺวา อุเร นิปชฺชาเปตฺวา อากาเส ปกฺขนฺตา ติโยชนิกํ ทิพฺพอมฺพวนํ ทิสฺวา สกุณสทฺทญฺจ สุตฺวา ตาปสสฺส อาจิกฺขนฺตี ‘‘ต’’นฺติ เอวมาหฯ ปุปฺผรสมเตฺตภีติ ปุปฺผรเสน มเตฺตหิฯ วกฺกเงฺคหีติ วงฺกคีเวหิ สกุเณหิ อภินาทิตนฺติ อโตฺถฯ อิทานิ เต สกุเณ อาจิกฺขนฺตี ‘‘โกญฺจา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทิวิยาติ ทิพฺยาฯ โกลฎฺฐิมธุสาฬิกาติ โกลฎฺฐิสกุณา จ นาม สุวณฺณสาฬิกา สกุณา จฯ เอเต ทิพฺพสกุณา เอตฺถ วสนฺตีติ ทเสฺสติฯ กูชิตา หํสปูเคหีติ หํสคเณหิ อุปกูชิตา วิรวสงฺฆฎฺฎิตาฯ โกกิเลตฺถ ปโพธเรติ เอตฺถ อมฺพวเน โกกิลา วสฺสนฺติโย อตฺตานํ ปโพเธนฺติ ญาเปนฺติฯ อเมฺพตฺถาติ อมฺพา เอตฺถฯ วิปฺปสาขคฺคาติ ผลภาเรน โอนมิตสาขคฺคาฯ ปลาลขลสนฺนิภาติ ปุปฺผสนฺนิจเยน สาลิปลาลขลสทิสาฯ ปกฺกตาลวิลมฺพิโนติ ปกฺกตาลผลวิลมฺพิโนฯ เอวรูปา รุกฺขา จ เอตฺถ อตฺถีติ อมฺพวนํ วเณฺณติฯ

    Kāmaṃ appossuko bhavāti ekaṃseneva ambapakke nirālayo hohi. Sītasminti sītale ambavane. Tanti evaṃ vadamānāva devatā tāpasaṃ āliṅgitvā ure nipajjāpetvā ākāse pakkhantā tiyojanikaṃ dibbaambavanaṃ disvā sakuṇasaddañca sutvā tāpasassa ācikkhantī ‘‘ta’’nti evamāha. Puppharasamattebhīti puppharasena mattehi. Vakkaṅgehīti vaṅkagīvehi sakuṇehi abhināditanti attho. Idāni te sakuṇe ācikkhantī ‘‘koñcā’’tiādimāha. Tattha diviyāti dibyā. Kolaṭṭhimadhusāḷikāti kolaṭṭhisakuṇā ca nāma suvaṇṇasāḷikā sakuṇā ca. Ete dibbasakuṇā ettha vasantīti dasseti. Kūjitā haṃsapūgehīti haṃsagaṇehi upakūjitā viravasaṅghaṭṭitā. Kokilettha pabodhareti ettha ambavane kokilā vassantiyo attānaṃ pabodhenti ñāpenti. Ambetthāti ambā ettha. Vippasākhaggāti phalabhārena onamitasākhaggā. Palālakhalasannibhāti pupphasannicayena sālipalālakhalasadisā. Pakkatālavilambinoti pakkatālaphalavilambino. Evarūpā rukkhā ca ettha atthīti ambavanaṃ vaṇṇeti.

    วณฺณยิตฺวา จ ปน ตาปสํ ตตฺถ โอตาเรตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ อมฺพวเน อมฺพานิ ขาทโนฺต อตฺตโน ตณฺหํ ปูเรหี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ ตาปโส อมฺพานิ ขาทิตฺวา ตณฺหํ ปูเรตฺวา วิสฺสมิตฺวา อมฺพวเน วิจรโนฺต ตํ เปตํ ทุกฺขํ อนุภวนฺตํ ทิสฺวา กิญฺจิ วตฺตุํ นาสกฺขิฯ สูริเย ปน อตฺถงฺคเต ตํ นาฎกิตฺถิปริวาริตํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมานํ ทิสฺวา ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Vaṇṇayitvā ca pana tāpasaṃ tattha otāretvā ‘‘imasmiṃ ambavane ambāni khādanto attano taṇhaṃ pūrehī’’ti vatvā pakkāmi. Tāpaso ambāni khāditvā taṇhaṃ pūretvā vissamitvā ambavane vicaranto taṃ petaṃ dukkhaṃ anubhavantaṃ disvā kiñci vattuṃ nāsakkhi. Sūriye pana atthaṅgate taṃ nāṭakitthiparivāritaṃ dibbasampattiṃ anubhavamānaṃ disvā tisso gāthā abhāsi –

    ๒๘.

    28.

    ‘‘มาลี กิริฎี กายูรี, องฺคที จนฺทนุสฺสโท;

    ‘‘Mālī kiriṭī kāyūrī, aṅgadī candanussado;

    รตฺติํ ตฺวํ ปริจาเรสิ, ทิวา เวเทสิ เวทนํฯ

    Rattiṃ tvaṃ paricāresi, divā vedesi vedanaṃ.

    ๒๙.

    29.

    ‘‘โสฬสิตฺถิสหสฺสานิ, ยา เตมา ปริจาริกา;

    ‘‘Soḷasitthisahassāni, yā temā paricārikā;

    เอวํ มหานุภาโวสิ, อพฺภุโต โลมหํสโนฯ

    Evaṃ mahānubhāvosi, abbhuto lomahaṃsano.

    ๓๐.

    30.

    ‘‘กิํ กมฺมมกรี ปุเพฺพ, ปาปํ อตฺตทุขาวหํ;

    ‘‘Kiṃ kammamakarī pubbe, pāpaṃ attadukhāvahaṃ;

    ยํ กริตฺวา มนุเสฺสสุ, ปิฎฺฐิมํสานิ ขาทสี’’ติฯ

    Yaṃ karitvā manussesu, piṭṭhimaṃsāni khādasī’’ti.

    ตตฺถ มาลีติ ทิพฺพมาลาธโรฯ กิริฎีติ ทิพฺพเวฐนธโรฯ กายูรีติ ทิพฺพาภรณปฎิมณฺฑิโตฯ องฺคทีติ ทิพฺพงฺคทสมนฺนาคโตฯ จนฺทนุสฺสโทติ ทิพฺพจนฺทนวิลิโตฺตฯ ปริจาเรสีติ อินฺทฺริยานิ ทิพฺพวิสเยสุ จาเรสิฯ ทิวาติ ทิวา ปน มหาทุกฺขํ อนุโภสิฯ ยา เตมาติ ยา เต อิมาฯ อพฺภุโตติ มนุสฺสโลเก อภูตปุโพฺพฯ โลมหํสโนติ เย ตํ ปสฺสนฺติ, เตสํ โลมานิ หํสนฺติฯ ปุเพฺพติ ปุริมภเวฯ อตฺตทุขาวหนฺติ อตฺตโน ทุกฺขาวหํฯ มนุเสฺสสูติ ยํ มนุสฺสโลเก กตฺวา อิทานิ อตฺตโน ปิฎฺฐิมํสานิ ขาทสีติ ปุจฺฉติฯ

    Tattha mālīti dibbamālādharo. Kiriṭīti dibbaveṭhanadharo. Kāyūrīti dibbābharaṇapaṭimaṇḍito. Aṅgadīti dibbaṅgadasamannāgato. Candanussadoti dibbacandanavilitto. Paricāresīti indriyāni dibbavisayesu cāresi. Divāti divā pana mahādukkhaṃ anubhosi. Yā temāti yā te imā. Abbhutoti manussaloke abhūtapubbo. Lomahaṃsanoti ye taṃ passanti, tesaṃ lomāni haṃsanti. Pubbeti purimabhave. Attadukhāvahanti attano dukkhāvahaṃ. Manussesūti yaṃ manussaloke katvā idāni attano piṭṭhimaṃsāni khādasīti pucchati.

    เปโต ตํ สญฺชานิตฺวา ‘‘ตุเมฺห มํ น สญฺชานาถ, อหํ ตุมฺหากํ ปุโรหิโต อโหสิํ, อิทํ เม รตฺติํ สุขานุภวนํ ตุเมฺห นิสฺสาย กตสฺส อุปฑฺฒูโปสถสฺส นิสฺสเนฺทน ลทฺธํ, ทิวา ทุกฺขานุภวนํ ปน มยา ปกตสฺส ปาปเสฺสว นิสฺสเนฺทนฯ อหญฺหิ ตุเมฺหหิ วินิจฺฉเย ฐปิโต กูฎฑฺฑํ กริตฺวา ลญฺชํ คเหตฺวา ปรปิฎฺฐิมํสิโก หุตฺวา ตสฺส ทิวา กตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน อิทํ ทุกฺขํ อนุภวามี’’ติ วตฺวา คาถาทฺวยมาห –

    Peto taṃ sañjānitvā ‘‘tumhe maṃ na sañjānātha, ahaṃ tumhākaṃ purohito ahosiṃ, idaṃ me rattiṃ sukhānubhavanaṃ tumhe nissāya katassa upaḍḍhūposathassa nissandena laddhaṃ, divā dukkhānubhavanaṃ pana mayā pakatassa pāpasseva nissandena. Ahañhi tumhehi vinicchaye ṭhapito kūṭaḍḍaṃ karitvā lañjaṃ gahetvā parapiṭṭhimaṃsiko hutvā tassa divā katassa kammassa nissandena idaṃ dukkhaṃ anubhavāmī’’ti vatvā gāthādvayamāha –

    ๓๑.

    31.

    ‘‘อเชฺฌนานิ ปฎิคฺคยฺห, กาเมสุ คธิโต อหํ;

    ‘‘Ajjhenāni paṭiggayha, kāmesu gadhito ahaṃ;

    อจริํ ทีฆมทฺธานํ, ปเรสํ อหิตายหํฯ

    Acariṃ dīghamaddhānaṃ, paresaṃ ahitāyahaṃ.

    ๓๒.

    32.

    ‘‘โย ปิฎฺฐิมํสิโก โหติ, เอวํ อุกฺกจฺจ ขาทติ;

    ‘‘Yo piṭṭhimaṃsiko hoti, evaṃ ukkacca khādati;

    ยถาหํ อชฺช ขาทามิ, ปิฎฺฐิมํสานิ อตฺตโน’’ติฯ

    Yathāhaṃ ajja khādāmi, piṭṭhimaṃsāni attano’’ti.

    ตตฺถ อเชฺฌนานีติ เวเทฯ ปฎิคฺคยฺหาติ ปฎิคฺคเหตฺวา อธียิตฺวาฯ อจรินฺติ ปฎิปชฺชิํฯ อหิตายหนฺติ อหิตาย อตฺถนาสนาย อหํฯ โย ปิฎฺฐิมํสิโกติ โย ปุคฺคโล ปเรสํ ปิฎฺฐิมํสขาทโก ปิสุโณ โหติฯ อุกฺกจฺจาติ อุกฺกนฺติตฺวาฯ

    Tattha ajjhenānīti vede. Paṭiggayhāti paṭiggahetvā adhīyitvā. Acarinti paṭipajjiṃ. Ahitāyahanti ahitāya atthanāsanāya ahaṃ. Yo piṭṭhimaṃsikoti yo puggalo paresaṃ piṭṭhimaṃsakhādako pisuṇo hoti. Ukkaccāti ukkantitvā.

    อิทญฺจ ปน วตฺวา ตาปสํ ปุจฺฉิ – ‘‘ตุเมฺห กถํ อิธาคตา’’ติฯ ตาปโส สพฺพํ วิตฺถาเรน กเถสิฯ ‘‘อิทานิ ปน, ภเนฺต, อิเธว วสิสฺสถ, คมิสฺสถา’’ติฯ ‘‘น วสิสฺสามิ, อสฺสมปทํเยว คมิสฺสามี’’ติฯ เปโต ‘‘สาธุ, ภเนฺต, อหํ โว นิพทฺธํ อมฺพปเกฺกน อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ วตฺวา อตฺตโน อานุภาเวน อสฺสมปเทเยว โอตาเรตฺวา ‘‘อนุกฺกณฺฐา อิเธว วสถา’’ติ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา คโตฯ ตโต ปฎฺฐาย นิพทฺธํ อมฺพปเกฺกน อุปฎฺฐหิฯ ตาปโส ตํ ปริภุญฺชโนฺต กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ฌานาภิญฺญา นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ

    Idañca pana vatvā tāpasaṃ pucchi – ‘‘tumhe kathaṃ idhāgatā’’ti. Tāpaso sabbaṃ vitthārena kathesi. ‘‘Idāni pana, bhante, idheva vasissatha, gamissathā’’ti. ‘‘Na vasissāmi, assamapadaṃyeva gamissāmī’’ti. Peto ‘‘sādhu, bhante, ahaṃ vo nibaddhaṃ ambapakkena upaṭṭhahissāmī’’ti vatvā attano ānubhāvena assamapadeyeva otāretvā ‘‘anukkaṇṭhā idheva vasathā’’ti paṭiññaṃ gahetvā gato. Tato paṭṭhāya nibaddhaṃ ambapakkena upaṭṭhahi. Tāpaso taṃ paribhuñjanto kasiṇaparikammaṃ katvā jhānābhiññā nibbattetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อุปาสกานํ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน เกจิ โสตาปนฺนา อเหสุํ, เกจิ สกทาคามิโน, เกจิ อนาคามิโนฯ ตทา เทวธีตา อุปฺปลวณฺณา อโหสิ, ตาปโส ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā upāsakānaṃ imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne keci sotāpannā ahesuṃ, keci sakadāgāmino, keci anāgāmino. Tadā devadhītā uppalavaṇṇā ahosi, tāpaso pana ahameva ahosinti.

    กิํฉนฺทชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Kiṃchandajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๑๑. กิํฉนฺทชาตกํ • 511. Kiṃchandajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact