Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๒. กิํททสุตฺตวณฺณนา
2. Kiṃdadasuttavaṇṇanā
๔๒. ทุติเย อนฺนโทติ ยสฺมา อติพลวาปิ เทฺว ตีณิ ภตฺตานิ อภุตฺวา อุฎฺฐาตุํ น สโกฺกติ, ภุตฺวา ปน ทุพฺพโลปิ หุตฺวา พลสมฺปโนฺน โหติ, ตสฺมา ‘‘อนฺนโท พลโท’’ติ อาหฯ วตฺถโทติ ยสฺมา สุรูโปปิ ทุโจฺจโฬ วา อโจโฬ วา วิรูโป โหติ โอหีฬิโต ทุทฺทสิโก, วตฺถจฺฉโนฺน เทวปุโตฺต วิย โสภติ , ตสฺมา ‘‘วตฺถโท โหติ วณฺณโท’’ติ อาหฯ ยานโทติ หตฺถิยานาทีนํ ทายโกฯ เตสุ ปน –
42. Dutiye annadoti yasmā atibalavāpi dve tīṇi bhattāni abhutvā uṭṭhātuṃ na sakkoti, bhutvā pana dubbalopi hutvā balasampanno hoti, tasmā ‘‘annado balado’’ti āha. Vatthadoti yasmā surūpopi duccoḷo vā acoḷo vā virūpo hoti ohīḷito duddasiko, vatthacchanno devaputto viya sobhati , tasmā ‘‘vatthado hoti vaṇṇado’’ti āha. Yānadoti hatthiyānādīnaṃ dāyako. Tesu pana –
‘‘น หตฺถิยานํ สมณสฺส กปฺปติ,
‘‘Na hatthiyānaṃ samaṇassa kappati,
น อสฺสยานํ, น รเถน ยาตุํ;
Na assayānaṃ, na rathena yātuṃ;
อิทญฺจ ยานํ สมณสฺส กปฺปติ,
Idañca yānaṃ samaṇassa kappati,
อุปาหนา รกฺขโต สีลขนฺธ’’นฺติฯ
Upāhanā rakkhato sīlakhandha’’nti.
ตสฺมา ฉตฺตุปาหนกตฺตรยฎฺฐิมญฺจปีฐานํ ทายโก, โย จ มคฺคํ โสเธติ, นิเสฺสณิํ กโรติ, เสตุํ กโรติ, นาวํ ปฎิยาเทติ, สโพฺพปิ ยานโทว โหติฯ สุขโท โหตีติ ยานสฺส สุขาวหนโต สุขโท นาม โหติฯ จกฺขุโทติ อนฺธกาเร จกฺขุมนฺตานมฺปิ รูปทสฺสนาภาวโต ทีปโท จกฺขุโท นาม โหติ, อนุรุทฺธเตฺถโร วิย ทิพฺพจกฺขุ สมฺปทมฺปิ ลภติฯ
Tasmā chattupāhanakattarayaṭṭhimañcapīṭhānaṃ dāyako, yo ca maggaṃ sodheti, nisseṇiṃ karoti, setuṃ karoti, nāvaṃ paṭiyādeti, sabbopi yānadova hoti. Sukhado hotīti yānassa sukhāvahanato sukhado nāma hoti. Cakkhudoti andhakāre cakkhumantānampi rūpadassanābhāvato dīpado cakkhudo nāma hoti, anuruddhatthero viya dibbacakkhu sampadampi labhati.
สพฺพทโท โหตีติ สเพฺพสํเยว พลาทีนํ ทายโก โหติฯ เทฺว ตโย คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา กิญฺจิ อลทฺธา อาคตสฺสาปิ สีตลาย โปกฺขรณิยา นฺหายิตฺวา ปติสฺสยํ ปวิสิตฺวา มุหุตฺตํ มเญฺจ นิปชฺชิตฺวา อุฎฺฐาย นิสินฺนสฺส หิ กาเย พลํ อาหริตฺวา ปกฺขิตฺตํ วิย โหติฯ พหิ วิจรนฺตสฺส จ กาเย วณฺณายตนํ วาตาตเปหิ ฌายติ, ปติสฺสยํ ปวิสิตฺวา ทฺวารํ ปิธาย มุหุตฺตํ นิปนฺนสฺส จ วิสภาคสนฺตติ วูปสมฺมติ, สภาคสนฺตติ โอกฺกมติ, วณฺณายตนํ อาหริตฺวา ปกฺขิตฺตํ วิย โหติฯ พหิ วิจรนฺตสฺส ปาเท กณฺฎโก วิชฺฌติ, ขาณุ ปหรติ, สรีสปาทิปริสฺสโย เจว โจรภยญฺจ อุปฺปชฺชติ, ปติสฺสยํ ปวิสิตฺวา ทฺวารํ ปิธาย นิปนฺนสฺส สเพฺพเต ปริสฺสยา น โหนฺติ, ธมฺมํ สชฺฌายนฺตสฺส ธมฺมปีติสุขํ, กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตสฺส อุปสมสุขํ อุปฺปชฺชติฯ ตถา พหิ วิจรนฺตสฺส จ เสทา มุจฺจนฺติ, อกฺขีนิ ผนฺทนฺติ, เสนาสนํ ปวิสนกฺขเณ กูเป โอติโณฺณ วิย โหติ, มญฺจปีฐาทีนิ น ปญฺญายนฺติฯ มุหุตฺตํ นิสินฺนสฺส ปน อกฺขิปสาโท อาหริตฺวา ปกฺขิโตฺต วิย โหติ, ทฺวารกวาฎวาตปานมญฺจปีฐาทีนิ ปญฺญายนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘โส จ สพฺพทโท โหติ, โย ททาติ อุปสฺสย’’นฺติฯ
Sabbadado hotīti sabbesaṃyeva balādīnaṃ dāyako hoti. Dve tayo gāme piṇḍāya caritvā kiñci aladdhā āgatassāpi sītalāya pokkharaṇiyā nhāyitvā patissayaṃ pavisitvā muhuttaṃ mañce nipajjitvā uṭṭhāya nisinnassa hi kāye balaṃ āharitvā pakkhittaṃ viya hoti. Bahi vicarantassa ca kāye vaṇṇāyatanaṃ vātātapehi jhāyati, patissayaṃ pavisitvā dvāraṃ pidhāya muhuttaṃ nipannassa ca visabhāgasantati vūpasammati, sabhāgasantati okkamati, vaṇṇāyatanaṃ āharitvā pakkhittaṃ viya hoti. Bahi vicarantassa pāde kaṇṭako vijjhati, khāṇu paharati, sarīsapādiparissayo ceva corabhayañca uppajjati, patissayaṃ pavisitvā dvāraṃ pidhāya nipannassa sabbete parissayā na honti, dhammaṃ sajjhāyantassa dhammapītisukhaṃ, kammaṭṭhānaṃ manasikarontassa upasamasukhaṃ uppajjati. Tathā bahi vicarantassa ca sedā muccanti, akkhīni phandanti, senāsanaṃ pavisanakkhaṇe kūpe otiṇṇo viya hoti, mañcapīṭhādīni na paññāyanti. Muhuttaṃ nisinnassa pana akkhipasādo āharitvā pakkhitto viya hoti, dvārakavāṭavātapānamañcapīṭhādīni paññāyanti. Tena vuttaṃ – ‘‘so ca sabbadado hoti, yo dadāti upassaya’’nti.
อมตํทโท จ โส โหตีติ ปณีตโภชนสฺส ปตฺตํ ปูเรโนฺต วิย อมรณทานํ นาม เทติฯ โย ธมฺมมนุสาสตีติ โย ธมฺมํ อนุสาสติ, อฎฺฐกถํ กเถติ, ปาฬิํ วาเจติ, ปุจฺฉิตปญฺหํ วิสฺสเชฺชติ, กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขติ, ธมฺมสฺสวนํ กโรติ, สโพฺพเปส ธมฺมํ อนุสาสติ นามฯ สพฺพทานานญฺจ อิทํ ธมฺมทานเมว อคฺคนฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Amataṃdado ca so hotīti paṇītabhojanassa pattaṃ pūrento viya amaraṇadānaṃ nāma deti. Yo dhammamanusāsatīti yo dhammaṃ anusāsati, aṭṭhakathaṃ katheti, pāḷiṃ vāceti, pucchitapañhaṃ vissajjeti, kammaṭṭhānaṃ ācikkhati, dhammassavanaṃ karoti, sabbopesa dhammaṃ anusāsati nāma. Sabbadānānañca idaṃ dhammadānameva agganti veditabbaṃ. Vuttampi cetaṃ –
‘‘สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ,
‘‘Sabbadānaṃ dhammadānaṃ jināti,
สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ;
Sabbarasaṃ dhammaraso jināti;
สพฺพรติํ ธมฺมรติ ชินาติ,
Sabbaratiṃ dhammarati jināti,
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาตี’’ติฯ (ธ. ป. ๓๕๔); ทุติยํ;
Taṇhakkhayo sabbadukkhaṃ jinātī’’ti. (dha. pa. 354); Dutiyaṃ;
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๒. กิํททสุตฺตํ • 2. Kiṃdadasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๒. กิํททสุตฺตวณฺณนา • 2. Kiṃdadasuttavaṇṇanā