Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๘. กิํสุโกปมสุตฺตวณฺณนา
8. Kiṃsukopamasuttavaṇṇanā
๒๔๕. อฎฺฐเม ทสฺสนนฺติ ปฐมมคฺคเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปฐมมโคฺค หิ กิเลสปหานกิจฺจํ สาเธโนฺต ปฐมํ นิพฺพานํ ปสฺสติ, ตสฺมา ทสฺสนนฺติ วุจฺจติฯ โคตฺรภุญาณํ ปน กิญฺจาปิ มคฺคโต ปฐมตรํ ปสฺสติ, ปสฺสิตฺวา ปน กตฺตพฺพกิจฺจสฺส กิเลสปหานสฺส อภาเวน น ทสฺสนนฺติ วุจฺจติฯ อปิจ จตฺตาโรปิ มคฺคา ทสฺสนเมวฯ กสฺมา? โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ ทสฺสนํ วิสุชฺฌติ, ผลกฺขเณ วิสุทฺธํฯ สกทาคามิอนาคามิอรหตฺตมคฺคกฺขเณ วิสุชฺฌติ, ผลกฺขเณ วิสุทฺธนฺติ เอวํ กเถนฺตานํ ภิกฺขูนํ สุตฺวา โส ภิกฺขุ ‘‘อหมฺปิ ทสฺสนํ วิโสเธตฺวา อรหตฺตผเล ปติฎฺฐิโต ทสฺสนวิสุทฺธิกํ นิพฺพานํ สจฺฉิกตฺวา วิหริสฺสามี’’ติ ตํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ ปุจฺฉิฯ โส ผสฺสายตนกมฺมฎฺฐานิโก ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ วเสน รูปารูปธเมฺม ปริคฺคเหตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตฯ เอตฺถ หิ ปุริมานิ ปญฺจ อายตนานิ รูปํ, มนายตนํ อรูปํฯ อิติ โส อตฺตนา อธิคตมคฺคเมว กเถสิฯ
245. Aṭṭhame dassananti paṭhamamaggassetaṃ adhivacanaṃ. Paṭhamamaggo hi kilesapahānakiccaṃ sādhento paṭhamaṃ nibbānaṃ passati, tasmā dassananti vuccati. Gotrabhuñāṇaṃ pana kiñcāpi maggato paṭhamataraṃ passati, passitvā pana kattabbakiccassa kilesapahānassa abhāvena na dassananti vuccati. Apica cattāropi maggā dassanameva. Kasmā? Sotāpattimaggakkhaṇe dassanaṃ visujjhati, phalakkhaṇe visuddhaṃ. Sakadāgāmianāgāmiarahattamaggakkhaṇe visujjhati, phalakkhaṇe visuddhanti evaṃ kathentānaṃ bhikkhūnaṃ sutvā so bhikkhu ‘‘ahampi dassanaṃ visodhetvā arahattaphale patiṭṭhito dassanavisuddhikaṃ nibbānaṃ sacchikatvā viharissāmī’’ti taṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā evaṃ pucchi. So phassāyatanakammaṭṭhāniko channaṃ phassāyatanānaṃ vasena rūpārūpadhamme pariggahetvā arahattaṃ patto. Ettha hi purimāni pañca āyatanāni rūpaṃ, manāyatanaṃ arūpaṃ. Iti so attanā adhigatamaggameva kathesi.
อสนฺตุโฎฺฐติ ปเทสสงฺขาเรสุ ฐตฺวา กถิตตฺตา อสนฺตุโฎฺฐฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อยํ ปเทสสงฺขาเรสุ ฐตฺวา กเถสิฯ สกฺกา นุ โข ปเทสสงฺขาเรสุ ฐตฺวา ทสฺสนวิสุทฺธิกํ นิพฺพานํ ปาปุณิตุ’’นฺติ? ตโต นํ ปุจฺฉิ – ‘‘อาวุโส, ตฺวํเยว นุ โข อิทํ ทสฺสนวิสุทฺธิกํ นิพฺพานํ ชานาสิ, อุทาหุ อเญฺญปิ ชานนฺตา อตฺถี’’ติฯ อตฺถาวุโส, อสุกวิหาเร อสุกเตฺถโร นามาติฯ โส ตมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิฯ เอเตนุปาเยน อญฺญมฺปิ อญฺญมฺปีติฯ
Asantuṭṭhoti padesasaṅkhāresu ṭhatvā kathitattā asantuṭṭho. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ayaṃ padesasaṅkhāresu ṭhatvā kathesi. Sakkā nu kho padesasaṅkhāresu ṭhatvā dassanavisuddhikaṃ nibbānaṃ pāpuṇitu’’nti? Tato naṃ pucchi – ‘‘āvuso, tvaṃyeva nu kho idaṃ dassanavisuddhikaṃ nibbānaṃ jānāsi, udāhu aññepi jānantā atthī’’ti. Atthāvuso, asukavihāre asukatthero nāmāti. So tampi upasaṅkamitvā pucchi. Etenupāyena aññampi aññampīti.
เอตฺถ จ ทุติโย ปญฺจกฺขนฺธกมฺมฎฺฐานิโก รูปกฺขนฺธวเสน รูปํ, เสสกฺขนฺธวเสน นามนฺติ นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา อนุกฺกเมน อรหตฺตํ ปโตฺตฯ ตสฺมา โสปิ อตฺตนา อธิคตมคฺคเมว กเถสิฯ อยํ ปน ‘‘อิเมสํ อญฺญมญฺญํ น สเมติ, ปฐเมน สปฺปเทสสงฺขาเรสุ ฐตฺวาว กถิตํ, อิมินา นิปฺปเทเสสู’’ติ อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา ตเถว ตํ ปุจฺฉิตฺวา ปกฺกามิฯ
Ettha ca dutiyo pañcakkhandhakammaṭṭhāniko rūpakkhandhavasena rūpaṃ, sesakkhandhavasena nāmanti nāmarūpaṃ vavatthapetvā anukkamena arahattaṃ patto. Tasmā sopi attanā adhigatamaggameva kathesi. Ayaṃ pana ‘‘imesaṃ aññamaññaṃ na sameti, paṭhamena sappadesasaṅkhāresu ṭhatvāva kathitaṃ, iminā nippadesesū’’ti asantuṭṭho hutvā tatheva taṃ pucchitvā pakkāmi.
ตติโย มหาภูตกมฺมฎฺฐานิโก จตฺตาริ มหาภูตานิ สเงฺขปโต จ วิตฺถารโต จ ปริคฺคเหตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺต, ตสฺมา อยมฺปิ อตฺตนา อธิคตมคฺคเมว กเถสิฯ อยํ ปน ‘‘อิเมสํ อญฺญมญฺญํ น สเมติ, ปฐเมน สปฺปเทสสงฺขาเรสุ ฐตฺวา กถิตํ, ทุติเยน นิปฺปเทเสสุ, ตติเยน อติสปฺปเทเสสู’’ติ อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา ตเถว ตํ ปุจฺฉิตฺวา ปกฺกามิฯ
Tatiyo mahābhūtakammaṭṭhāniko cattāri mahābhūtāni saṅkhepato ca vitthārato ca pariggahetvā arahattaṃ patto, tasmā ayampi attanā adhigatamaggameva kathesi. Ayaṃ pana ‘‘imesaṃ aññamaññaṃ na sameti, paṭhamena sappadesasaṅkhāresu ṭhatvā kathitaṃ, dutiyena nippadesesu, tatiyena atisappadesesū’’ti asantuṭṭho hutvā tatheva taṃ pucchitvā pakkāmi.
จตุโตฺถ เตภูมกกมฺมฎฺฐานิโกฯ ตสฺส กิร สมปฺปวตฺตา ธาตุโย อเหสุํ, กลฺลสรีรํ พลปตฺตํ, กมฺมฎฺฐานานิปิสฺส สพฺพาเนว สปฺปายานิ, อตีตา วา สงฺขารา โหนฺตุ อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วา กามาวจรา วา รูปาวจรา วา อรูปาวจรา วา, สเพฺพปิ สปฺปายาวฯ อสปฺปายกมฺมฎฺฐานํ นาม นตฺถิฯ กาเลสุปิ ปุเรภตฺตํ วา โหตุ ปจฺฉาภตฺตํ วา ปฐมยามาทโย วา, อสปฺปาโย กาโล นาม นตฺถิฯ ยถา นาม จาริภูมิํ โอติโณฺณ มหาหตฺถี หเตฺถน คเหตพฺพํ หเตฺถเนว ลุญฺจิตฺวา คณฺหาติ, ปาเทหิ ปหริตฺวา คเหตพฺพํ ปาเทหิ ปหริตฺวา คณฺหาติ, เอวเมว สกเล เตภูมกธเมฺม กลาปคฺคาเหน คเหตฺวา สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปโตฺต, ตสฺมา เอโสปิ อตฺตนา อธิคตมคฺคเมว กเถสิฯ อยํ ปน ‘‘อิเมสํ อญฺญมญฺญํ น สเมติฯ ปฐเมน สปฺปเทสสงฺขาเรสุ ฐตฺวา กถิตํ, ทุติเยน นิปฺปเทเสสุ, ปุน ตติเยน สปฺปเทเสสุ, จตุเตฺถน นิปฺปเทเสสุเยวา’’ติ อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา ตํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, อิทํ ทสฺสนวิสุทฺธิกํ นิพฺพานํ ตุเมฺหหิ อตฺตโนว ธมฺมตาย ญาตํ, อุทาหุ เกนจิ โว อกฺขาต’’นฺติ? อาวุโส, มยํ กิํ ชานาม? อตฺถิ ปน สเทวเก โลเก สมฺมาสมฺพุโทฺธ, ตํ นิสฺสาเยตํ อเมฺหหิ ญาตนฺติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม ภิกฺขู มยฺหํ อชฺฌาสยํ คเหตฺวา กเถตุํ น สโกฺกนฺติ, อหํ สพฺพญฺญุพุทฺธเมว ปุจฺฉิตฺวา นิกฺกโงฺข ภวิสฺสามี’’ติ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิฯ
Catuttho tebhūmakakammaṭṭhāniko. Tassa kira samappavattā dhātuyo ahesuṃ, kallasarīraṃ balapattaṃ, kammaṭṭhānānipissa sabbāneva sappāyāni, atītā vā saṅkhārā hontu anāgatā vā paccuppannā vā kāmāvacarā vā rūpāvacarā vā arūpāvacarā vā, sabbepi sappāyāva. Asappāyakammaṭṭhānaṃ nāma natthi. Kālesupi purebhattaṃ vā hotu pacchābhattaṃ vā paṭhamayāmādayo vā, asappāyo kālo nāma natthi. Yathā nāma cāribhūmiṃ otiṇṇo mahāhatthī hatthena gahetabbaṃ hattheneva luñcitvā gaṇhāti, pādehi paharitvā gahetabbaṃ pādehi paharitvā gaṇhāti, evameva sakale tebhūmakadhamme kalāpaggāhena gahetvā sammasanto arahattaṃ patto, tasmā esopi attanā adhigatamaggameva kathesi. Ayaṃ pana ‘‘imesaṃ aññamaññaṃ na sameti. Paṭhamena sappadesasaṅkhāresu ṭhatvā kathitaṃ, dutiyena nippadesesu, puna tatiyena sappadesesu, catutthena nippadesesuyevā’’ti asantuṭṭho hutvā taṃ pucchi – ‘‘kiṃ nu kho, āvuso, idaṃ dassanavisuddhikaṃ nibbānaṃ tumhehi attanova dhammatāya ñātaṃ, udāhu kenaci vo akkhāta’’nti? Āvuso, mayaṃ kiṃ jānāma? Atthi pana sadevake loke sammāsambuddho, taṃ nissāyetaṃ amhehi ñātanti. So cintesi – ‘‘ime bhikkhū mayhaṃ ajjhāsayaṃ gahetvā kathetuṃ na sakkonti, ahaṃ sabbaññubuddhameva pucchitvā nikkaṅkho bhavissāmī’’ti yena bhagavā tenupasaṅkami.
ภควา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘เยหิ เต ปโญฺห กถิโต, เต จตฺตาโรปิ ขีณาสวา, สุกถิตํ เตหิ, ตฺวํ ปน อตฺตโน อนฺธพาลตาย ตํ น สลฺลเกฺขสี’’ติ น เอวํ วิเหเสสิฯ การกภาวํ ปนสฺส ญตฺวา ‘‘อตฺถคเวสโก เอส, ธมฺมเทสนาย เอว นํ พุชฺฌาเปสฺสามี’’ติ กิํสุโกปมํ อาหริฯ ตตฺถ ภูตํ วตฺถุํ กตฺวา เอวมโตฺถ วิภาเวตโพฺพ – เอกสฺมิํ กิร มหานคเร เอโก สพฺพคนฺถธโร พฺราหฺมณเวโชฺช ปณฺฑิโต ปฎิวสติฯ อเถโก นครสฺส ปาจีนทฺวารคามวาสี ปณฺฑุโรคปุริโส ตสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ เวชฺชปณฺฑิโต เตน สทฺธิํ สโมฺมทิตฺวา ‘‘เกนเตฺถน อาคโตสิ ภทฺรมุขา’’ติ, ปุจฺฉิฯ โรเคนมฺหิ, อยฺย, อุปทฺทุโต, เภสชฺชํ เม กเถหีติฯ เตน หิ, โภ, คจฺฉ, กิํสุกรุกฺขํ ฉินฺทิตฺวา, โสเสตฺวา ฌาเปตฺวา, ตสฺส ขาโรทกํ คเหตฺวา อิมินา จิมินา จ เภสเชฺชน โยเชตฺวา, อริฎฺฐํ กตฺวา ปิว, เตน เต ผาสุกํ ภวิสฺสตีติฯ โส ตถา กตฺวา นิโรโค พลวา ปาสาทิโก ชาโตฯ
Bhagavā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘yehi te pañho kathito, te cattāropi khīṇāsavā, sukathitaṃ tehi, tvaṃ pana attano andhabālatāya taṃ na sallakkhesī’’ti na evaṃ vihesesi. Kārakabhāvaṃ panassa ñatvā ‘‘atthagavesako esa, dhammadesanāya eva naṃ bujjhāpessāmī’’ti kiṃsukopamaṃ āhari. Tattha bhūtaṃ vatthuṃ katvā evamattho vibhāvetabbo – ekasmiṃ kira mahānagare eko sabbaganthadharo brāhmaṇavejjo paṇḍito paṭivasati. Atheko nagarassa pācīnadvāragāmavāsī paṇḍurogapuriso tassa santikaṃ āgantvā taṃ vanditvā aṭṭhāsi. Vejjapaṇḍito tena saddhiṃ sammoditvā ‘‘kenatthena āgatosi bhadramukhā’’ti, pucchi. Rogenamhi, ayya, upadduto, bhesajjaṃ me kathehīti. Tena hi, bho, gaccha, kiṃsukarukkhaṃ chinditvā, sosetvā jhāpetvā, tassa khārodakaṃ gahetvā iminā ciminā ca bhesajjena yojetvā, ariṭṭhaṃ katvā piva, tena te phāsukaṃ bhavissatīti. So tathā katvā nirogo balavā pāsādiko jāto.
อถโญฺญ ทกฺขิณทฺวารคามวาสี ปุริโส เตเนว โรเคน อาตุโร ‘‘อสุโก กิร เภสชฺชํ กตฺวา อโรโค ชาโต’’ติ สุตฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘เกน เต, สมฺม, ผาสุกํ ชาต’’นฺติฯ กิํสุการิเฎฺฐน นาม, คจฺฉ ตฺวมฺปิ กโรหีติฯ โสปิ ตถา กตฺวา ตาทิโสว ชาโตฯ
Athañño dakkhiṇadvāragāmavāsī puriso teneva rogena āturo ‘‘asuko kira bhesajjaṃ katvā arogo jāto’’ti sutvā taṃ upasaṅkamitvā pucchi – ‘‘kena te, samma, phāsukaṃ jāta’’nti. Kiṃsukāriṭṭhena nāma, gaccha tvampi karohīti. Sopi tathā katvā tādisova jāto.
อถโญฺญ ปจฺฉิมทฺวารคามวาสี…เป.… อุตฺตรทฺวารคามวาสี ปุริโส เตเนว โรเคน อาตุโร ‘‘อสุโก กิร เภสชฺชํ กตฺวา อโรโค ชาโต’’ติ ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘เกน เต, สมฺม, ผาสุกํ ชาต’’นฺติ? กิํสุการิเฎฺฐน นาม, คจฺฉ ตฺวมฺปิ กโรหีติฯ โสปิ ตถา กตฺวา ตาทิโสว ชาโตฯ
Athañño pacchimadvāragāmavāsī…pe… uttaradvāragāmavāsī puriso teneva rogena āturo ‘‘asuko kira bhesajjaṃ katvā arogo jāto’’ti taṃ upasaṅkamitvā pucchi ‘‘kena te, samma, phāsukaṃ jāta’’nti? Kiṃsukāriṭṭhena nāma, gaccha tvampi karohīti. Sopi tathā katvā tādisova jāto.
อถโญฺญ ปจฺจนฺตวาสี อทิฎฺฐปุพฺพกิํสุโก เอโก ปุริโส เตเนว โรเคน อาตุโร จิรํ ตานิ ตานิ เภสชฺชานิ กตฺวา โรเค อวูปสมมาเน ‘‘อสุโก กิร นครสฺส ปาจีนทฺวารคามวาสี ปุริโส เภสชฺชํ กตฺวา อโรโค ชาโต’’ติ สุตฺวา ‘‘คจฺฉามหมฺปิ, เตน กตเภสชฺชํ กริสฺสามี’’ติ ทณฺฑโมลุพฺภ อนุปุเพฺพน ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘เกน เต, สมฺม, ผาสุกํ ชาต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ กิํสุการิเฎฺฐน สมฺมาติฯ กีทิโส ปน โส กิํสุโกติฯ ฌาปิตคาเม ฐิตฌามถูโณ วิยาติฯ อิติ โส ปุริโส อตฺตนา ทิฎฺฐากาเรนว กิํสุกํ อาจิกฺขิฯ เตน หิ ทิฎฺฐกาเล กิํสุโก ปติตปโตฺต ขาณุกกาเล ทิฎฺฐตฺตา ตาทิโสว โหติฯ
Athañño paccantavāsī adiṭṭhapubbakiṃsuko eko puriso teneva rogena āturo ciraṃ tāni tāni bhesajjāni katvā roge avūpasamamāne ‘‘asuko kira nagarassa pācīnadvāragāmavāsī puriso bhesajjaṃ katvā arogo jāto’’ti sutvā ‘‘gacchāmahampi, tena katabhesajjaṃ karissāmī’’ti daṇḍamolubbha anupubbena tassa santikaṃ gantvā, ‘‘kena te, samma, phāsukaṃ jāta’’nti pucchi. Kiṃsukāriṭṭhena sammāti. Kīdiso pana so kiṃsukoti. Jhāpitagāme ṭhitajhāmathūṇo viyāti. Iti so puriso attanā diṭṭhākārenava kiṃsukaṃ ācikkhi. Tena hi diṭṭhakāle kiṃsuko patitapatto khāṇukakāle diṭṭhattā tādisova hoti.
โส ปน ปุริโส สุตมงฺคลิกตฺตา ‘‘อยํ ‘ฌาปิตคาเม ฌามถูโณ วิยา’ติ อาห, อมงฺคลเมตํ ฯ เอตสฺมิญฺหิ เม เภสเชฺช กเตปิ โรโค น วูปสมิสฺสตี’’ติ ตสฺส เวยฺยากรเณน อสนฺตุโฎฺฐ ตํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ นุ โข, โภ, ตฺวเญฺญว กิํสุกํ ชานาสิ, อุทาหุ อโญฺญปิ อตฺถี’’ติฯ อตฺถิ, โภ, ทกฺขิณทฺวารคาเม อสุโก นามาติฯ โส ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ, สฺวาสฺส ปุปฺผิตกาเล ทิฎฺฐตฺตา อตฺตโน ทสฺสนานุรูเปน ‘‘โลหิตโก กิํสุโก’’ติ อาหฯ โส ‘‘อยํ ปุริเมน วิรุทฺธํ อาห, กาฬโก โลหิตกโต สุวิทูรทูเร’’ติ ตสฺสปิ เวยฺยากรเณน อสนฺตุโฎฺฐ ‘‘อตฺถิ ปน, โภ, อโญฺญปิ โกจิ กิํสุกทสฺสาวี, เยน กิํสุโก ทิฎฺฐปุโพฺพ’’ติ? ปุจฺฉิตฺวา, ‘‘อตฺถิ ปจฺฉิมทฺวารคาเม อสุโก นามา’’ติ วุเตฺต ตมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิฯ สฺวาสฺส ผลิตกาเล ทิฎฺฐตฺตา อตฺตโน ทสฺสนานุรูเปน ‘‘โอจิรกชาโต อาทินฺนสิปาฎิโก’’ติ อาหฯ ผลิตกาลสฺมิญฺหิ กิํสุโก โอลมฺพมานจีรโก วิย อโธมุขํ กตฺวา คหิตอสิโกโส วิย จ สิรีสรุโกฺข วิย จ ลมฺพมานผโล โหติฯ โส ‘‘อยํ ปุริเมหิ วิรุทฺธํ อาห, น สกฺกา อิมสฺส วจนํ คเหตุ’’นฺติ ตสฺสปิ เวยฺยากรเณน อสนฺตุโฎฺฐ ‘‘อตฺถิ ปน, โภ, อโญฺญปิ โกจิ กิํสุกทสฺสาวี, เยน กิํสุโก ทิฎฺฐปุโพฺพ’’ติ? ปุจฺฉิตฺวา, ‘‘อตฺถิ อุตฺตรทฺวารคาเม อสุโก นามา’’ติ วุเตฺต ตมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิฯ โส อสฺส สญฺฉนฺนปตฺตกาเล ทิฎฺฐตฺตา อตฺตโน ทสฺสนานุรูเปน ‘‘พหลปตฺตปลาโส สนฺทจฺฉาโย’’ติ อาหฯ สนฺทจฺฉาโย นาม สํสนฺทิตฺวา ฐิตจฺฉาโยฯ
So pana puriso sutamaṅgalikattā ‘‘ayaṃ ‘jhāpitagāme jhāmathūṇo viyā’ti āha, amaṅgalametaṃ . Etasmiñhi me bhesajje katepi rogo na vūpasamissatī’’ti tassa veyyākaraṇena asantuṭṭho taṃ pucchi – ‘‘kiṃ nu kho, bho, tvaññeva kiṃsukaṃ jānāsi, udāhu aññopi atthī’’ti. Atthi, bho, dakkhiṇadvāragāme asuko nāmāti. So taṃ upasaṅkamitvā pucchi, svāssa pupphitakāle diṭṭhattā attano dassanānurūpena ‘‘lohitako kiṃsuko’’ti āha. So ‘‘ayaṃ purimena viruddhaṃ āha, kāḷako lohitakato suvidūradūre’’ti tassapi veyyākaraṇena asantuṭṭho ‘‘atthi pana, bho, aññopi koci kiṃsukadassāvī, yena kiṃsuko diṭṭhapubbo’’ti? Pucchitvā, ‘‘atthi pacchimadvāragāme asuko nāmā’’ti vutte tampi upasaṅkamitvā pucchi. Svāssa phalitakāle diṭṭhattā attano dassanānurūpena ‘‘ocirakajāto ādinnasipāṭiko’’ti āha. Phalitakālasmiñhi kiṃsuko olambamānacīrako viya adhomukhaṃ katvā gahitaasikoso viya ca sirīsarukkho viya ca lambamānaphalo hoti. So ‘‘ayaṃ purimehi viruddhaṃ āha, na sakkā imassa vacanaṃ gahetu’’nti tassapi veyyākaraṇena asantuṭṭho ‘‘atthi pana, bho, aññopi koci kiṃsukadassāvī, yena kiṃsuko diṭṭhapubbo’’ti? Pucchitvā, ‘‘atthi uttaradvāragāme asuko nāmā’’ti vutte tampi upasaṅkamitvā pucchi. So assa sañchannapattakāle diṭṭhattā attano dassanānurūpena ‘‘bahalapattapalāso sandacchāyo’’ti āha. Sandacchāyo nāma saṃsanditvā ṭhitacchāyo.
โส ‘‘อยมฺปิ ปุริเมหิ วิรุทฺธํ อาห, น สกฺกา อิมสฺส วจนํ คเหตุ’’นฺติ ตสฺสปิ เวยฺยากรเณน อสนฺตุโฎฺฐ ตํ อาห, ‘‘กิํ นุ โข, โภ, ตุเมฺห อตฺตโนว ธมฺมตาย กิํสุกํ ชานาถ, อุทาหุ เกนจิ โว อกฺขาโต’’ติ? กิํ, โภ, มยํ ชานาม? อตฺถิ ปน มหานครสฺส มเชฺฌ อมฺหากํ อาจริโย เวชฺชปณฺฑิโต, ตํ นิสฺสาย อเมฺหหิ ญาตนฺติฯ ‘‘เตน หิ อหมฺปิ อาจริยเมว อุปสงฺกมิตฺวา นิกฺกโงฺข ภวิสฺสามี’’ติ ตสฺส สนฺติกํ อุปสงฺกมิตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ เวชฺชปณฺฑิโต เตน สทฺธิํ สโมฺมทิตฺวา, ‘‘เกนเตฺถน อาคโตสิ ภทฺรมุขา’’ติ ปุจฺฉิฯ โรเคนมฺหิ, อยฺย, อุปทฺทุโต, เภสชฺชํ เม กเถถาติฯ เตน หิ, โภ, คจฺฉ, กิํสุกรุกฺขํ ฉินฺทิตฺวา โสเสตฺวา ฌาเปตฺวา ตสฺส ขาโรทกํ คเหตฺวา อิมินา จิมินา จ เภสเชฺชน โยเชตฺวา อริฎฺฐํ กตฺวา ปิว, เอเตน เต ผาสุกํ ภวิสฺสตีติฯ โส ตถา กตฺวา นิโรโค พลวา ปาสาทิโก ชาโตฯ
So ‘‘ayampi purimehi viruddhaṃ āha, na sakkā imassa vacanaṃ gahetu’’nti tassapi veyyākaraṇena asantuṭṭho taṃ āha, ‘‘kiṃ nu kho, bho, tumhe attanova dhammatāya kiṃsukaṃ jānātha, udāhu kenaci vo akkhāto’’ti? Kiṃ, bho, mayaṃ jānāma? Atthi pana mahānagarassa majjhe amhākaṃ ācariyo vejjapaṇḍito, taṃ nissāya amhehi ñātanti. ‘‘Tena hi ahampi ācariyameva upasaṅkamitvā nikkaṅkho bhavissāmī’’ti tassa santikaṃ upasaṅkamitvā taṃ vanditvā aṭṭhāsi. Vejjapaṇḍito tena saddhiṃ sammoditvā, ‘‘kenatthena āgatosi bhadramukhā’’ti pucchi. Rogenamhi, ayya, upadduto, bhesajjaṃ me kathethāti. Tena hi, bho, gaccha, kiṃsukarukkhaṃ chinditvā sosetvā jhāpetvā tassa khārodakaṃ gahetvā iminā ciminā ca bhesajjena yojetvā ariṭṭhaṃ katvā piva, etena te phāsukaṃ bhavissatīti. So tathā katvā nirogo balavā pāsādiko jāto.
ตตฺถ มหานครํ วิย นิพฺพานนครํ ทฎฺฐพฺพํฯ เวชฺชปณฺฑิโต วิย สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ วุตฺตมฺปิ เจ ตํ ‘‘ภิสโกฺก สลฺลกโตฺตติ โข, สุนกฺขตฺต, ตถาคตเสฺสตํ อธิวจนํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสา’’ติ (ม. นิ. ๓.๖๕) จตูสุ ทฺวารคาเมสุ จตฺตาโร เวชฺชเนฺตวาสิกา วิย จตฺตาโร ทสฺสนวิสุทฺธิปตฺตา ขีณาสวาฯ ปจฺจนฺตวาสี ปฐมปุริโส วิย ปญฺหปุจฺฉโก ภิกฺขุฯ ปจฺจนฺตวาสิโน จตุนฺนํ เวชฺชเนฺตวาสิกานํ กถาย อสนฺตุฎฺฐสฺส อาจริยเมว อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉนกาโล วิย อิมสฺส ภิกฺขุโน จตุนฺนํ ทสฺสนวิสุทฺธิปตฺตานํ ขีณาสวานํ กถาย อสนฺตุฎฺฐสฺส สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉนกาโลฯ
Tattha mahānagaraṃ viya nibbānanagaraṃ daṭṭhabbaṃ. Vejjapaṇḍito viya sammāsambuddho. Vuttampi ce taṃ ‘‘bhisakko sallakattoti kho, sunakkhatta, tathāgatassetaṃ adhivacanaṃ arahato sammāsambuddhassā’’ti (ma. ni. 3.65) catūsu dvāragāmesu cattāro vejjantevāsikā viya cattāro dassanavisuddhipattā khīṇāsavā. Paccantavāsī paṭhamapuriso viya pañhapucchako bhikkhu. Paccantavāsino catunnaṃ vejjantevāsikānaṃ kathāya asantuṭṭhassa ācariyameva upasaṅkamitvā pucchanakālo viya imassa bhikkhuno catunnaṃ dassanavisuddhipattānaṃ khīṇāsavānaṃ kathāya asantuṭṭhassa satthāraṃ upasaṅkamitvā pucchanakālo.
ยถา ยถา อธิมุตฺตานนฺติ เยน เยนากาเรน อธิมุตฺตานํฯ ทสฺสนํ สุวิสุทฺธนฺติ นิพฺพานทสฺสนํ สุฎฺฐุ วิสุทฺธํฯ ตถา ตถา โข เตหิ สปฺปุริเสหิ พฺยากตนฺติ เตน เตเนวากาเรน ตุยฺหํ เตหิ สปฺปุริเสหิ กถิตํฯ ยถา หิ ‘‘กาฬโก กิํสุโก’’ติ กเถโนฺต น อญฺญํ กเถสิ, อตฺตนา ทิฎฺฐนเยน กิํสุกเมว กเถสิ, เอวเมว ฉผสฺสายตนานํ วเสน ทสฺสนวิสุทฺธิปตฺตขีณาสโวปิ อิมํ ปญฺหํ กเถโนฺต น อญฺญํ กเถสิ, อตฺตนา อธิคตมเคฺคน ทสฺสนวิสุทฺธิกํ นิพฺพานเมว กเถสิฯ
Yathā yathā adhimuttānanti yena yenākārena adhimuttānaṃ. Dassanaṃ suvisuddhanti nibbānadassanaṃ suṭṭhu visuddhaṃ. Tathā tathā kho tehi sappurisehi byākatanti tena tenevākārena tuyhaṃ tehi sappurisehi kathitaṃ. Yathā hi ‘‘kāḷako kiṃsuko’’ti kathento na aññaṃ kathesi, attanā diṭṭhanayena kiṃsukameva kathesi, evameva chaphassāyatanānaṃ vasena dassanavisuddhipattakhīṇāsavopi imaṃ pañhaṃ kathento na aññaṃ kathesi, attanā adhigatamaggena dassanavisuddhikaṃ nibbānameva kathesi.
ยถา จ ‘‘โลหิตโก โอจิรกชาโต พหลปตฺตปลาโส กิํสุโก’’ติ กเถโนฺตปิ น อญฺญํ กเถสิ, อตฺตนา ทิฎฺฐนเยน กิํสุกเมว กเถสิ, เอวเมว ปญฺจุปาทานกฺขนฺธวเสน จตุมหาภูตวเสน เตภูมกธมฺมวเสน ทสฺสนวิสุทฺธิปตฺตขีณาสโวปิ อิมํ ปญฺหํ กเถโนฺต น อญฺญํ กเถสิ, อตฺตนา อธิคตมเคฺคน ทสฺสนวิสุทฺธิกํ นิพฺพานเมว กเถสิฯ
Yathā ca ‘‘lohitako ocirakajāto bahalapattapalāso kiṃsuko’’ti kathentopi na aññaṃ kathesi, attanā diṭṭhanayena kiṃsukameva kathesi, evameva pañcupādānakkhandhavasena catumahābhūtavasena tebhūmakadhammavasena dassanavisuddhipattakhīṇāsavopi imaṃ pañhaṃ kathento na aññaṃ kathesi, attanā adhigatamaggena dassanavisuddhikaṃ nibbānameva kathesi.
ตตฺถ ยถา กาฬกกาเล กิํสุกทสฺสาวิโนปิ ตํ ทสฺสนํ ภูตํ ตจฺฉํ น เตน อญฺญํ ทิฎฺฐํ, กิํสุโกว ทิโฎฺฐ, เอวเมว ฉผสฺสายตนวเสน ทสฺสนวิสุทฺธิปตฺตสฺสาปิ ขีณาสวสฺส ทสฺสนํ ภูตํ ตจฺฉํ, น เตน อญฺญํ กถิตํ, อตฺตนา อธิคตมเคฺคน ทสฺสนวิสุทฺธิกํ นิพฺพานเมว กถิตํฯ ยถา จ โลหิตกาเล โอจิรกชาตกาเล พหลปตฺตปลาสกาเล กิํสุกทสฺสาวิโนปิ ตํ ทสฺสนํ ภูตํ ตจฺฉํ, น เตน อญฺญํ ทิฎฺฐํ, กิํสุโกว ทิโฎฺฐ, เอวเมว ปญฺจุปาทานกฺขนฺธวเสน จตุมหาภูตวเสน เตภูมกธมฺมวเสน ทสฺสนวิสุทฺธิปตฺตสฺสาปิ ขีณาสวสฺส ทสฺสนํ ภูตํ ตจฺฉํ, น เตน อญฺญํ กถิตํ, อตฺตนา อธิคตมเคฺคน ทสฺสนวิสุทฺธิกํ นิพฺพานเมว กถิตํฯ
Tattha yathā kāḷakakāle kiṃsukadassāvinopi taṃ dassanaṃ bhūtaṃ tacchaṃ na tena aññaṃ diṭṭhaṃ, kiṃsukova diṭṭho, evameva chaphassāyatanavasena dassanavisuddhipattassāpi khīṇāsavassa dassanaṃ bhūtaṃ tacchaṃ, na tena aññaṃ kathitaṃ, attanā adhigatamaggena dassanavisuddhikaṃ nibbānameva kathitaṃ. Yathā ca lohitakāle ocirakajātakāle bahalapattapalāsakāle kiṃsukadassāvinopi taṃ dassanaṃ bhūtaṃ tacchaṃ, na tena aññaṃ diṭṭhaṃ, kiṃsukova diṭṭho, evameva pañcupādānakkhandhavasena catumahābhūtavasena tebhūmakadhammavasena dassanavisuddhipattassāpi khīṇāsavassa dassanaṃ bhūtaṃ tacchaṃ, na tena aññaṃ kathitaṃ, attanā adhigatamaggena dassanavisuddhikaṃ nibbānameva kathitaṃ.
เสยฺยถาปิ , ภิกฺขุ รโญฺญ ปจฺจนฺติมํ นครนฺติ อิทํ กสฺมา อารทฺธํ? สเจ เตน ภิกฺขุนา ตํ สลฺลกฺขิตํ, อถสฺส ธมฺมเทสนตฺถํ อารทฺธํฯ สเจ น สลฺลกฺขิตํ, อถสฺส อิมินา นคโรปเมน ตเสฺสวตฺถสฺส ทีปนตฺถาย อาวิภาวนตฺถาย อารทฺธํฯ ตตฺถ ยสฺมา มชฺฌิมปเทเส นครสฺส ปาการาทีนิ ถิรานิ วา โหนฺตุ ทุพฺพลานิ วา, สพฺพโส วา มา โหนฺตุ, โจราสงฺกา น โหนฺติ, ตสฺมา ตํ อคฺคเหตฺวา ‘‘ปจฺจนฺติมํ นคร’’นฺติ อาหฯ ทฬฺหุทฺธาปนฺติ ถิรปาการํฯ ทฬฺหปาการโตรณนฺติ ถิรปาการเญฺจว ถิรโตรณญฺจฯ โตรณานิ นาม หิ ปุริสุเพฺพธานิ นครสฺส อลงฺการตฺถํ กรียนฺติ, โจรนิวารณตฺถานิปิ โหนฺติเยวฯ อถ วา โตรณนฺติ ปิฎฺฐสงฺฆาฎเสฺสตํ นามํ, ถิรปิฎฺฐสงฺฆาฎนฺติปิ อโตฺถฯ ฉทฺวารนฺติ นครทฺวารํ นาม เอกมฺปิ โหติ เทฺวปิ สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ, อิธ ปน สตฺถา ฉทฺวาริกนครํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ ปณฺฑิโตติ ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคโตฯ พฺยโตฺตติ เวยฺยตฺติเยน สมนฺนาคโต วิสทญาโณฯ เมธาวีติ ฐานุปฺปตฺติกปญฺญาสงฺขาตาย เมธาย สมนฺนาคโตฯ
Seyyathāpi, bhikkhu rañño paccantimaṃ nagaranti idaṃ kasmā āraddhaṃ? Sace tena bhikkhunā taṃ sallakkhitaṃ, athassa dhammadesanatthaṃ āraddhaṃ. Sace na sallakkhitaṃ, athassa iminā nagaropamena tassevatthassa dīpanatthāya āvibhāvanatthāya āraddhaṃ. Tattha yasmā majjhimapadese nagarassa pākārādīni thirāni vā hontu dubbalāni vā, sabbaso vā mā hontu, corāsaṅkā na honti, tasmā taṃ aggahetvā ‘‘paccantimaṃ nagara’’nti āha. Daḷhuddhāpanti thirapākāraṃ. Daḷhapākāratoraṇanti thirapākārañceva thiratoraṇañca. Toraṇāni nāma hi purisubbedhāni nagarassa alaṅkāratthaṃ karīyanti, coranivāraṇatthānipi hontiyeva. Atha vā toraṇanti piṭṭhasaṅghāṭassetaṃ nāmaṃ, thirapiṭṭhasaṅghāṭantipi attho. Chadvāranti nagaradvāraṃ nāma ekampi hoti dvepi satampi sahassampi, idha pana satthā chadvārikanagaraṃ dassento evamāha. Paṇḍitoti paṇḍiccena samannāgato. Byattoti veyyattiyena samannāgato visadañāṇo. Medhāvīti ṭhānuppattikapaññāsaṅkhātāya medhāya samannāgato.
ปุรตฺถิมาย ทิสายาติอาทิมฺหิ ภูตมตฺถํ กตฺวา เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพ – สมิเทฺธ กิร มหานคเร สตฺตรตนสมฺปโนฺน ราชา จกฺกวตฺติ รชฺชํ อนุสาสติ, ตเสฺสตํ ปจฺจนฺตนครํ ราชายุตฺตวิรหิตํ , อถ ปุริสา อาคนฺตฺวา ‘‘อมฺหากํ, เทว, นคเร อายุตฺตโก นตฺถิ, เทหิ โน กิญฺจิ อายุตฺตก’’นฺติ อาหํสุฯ ราชา เอกํ ปุตฺตํ ทตฺวา ‘‘คจฺฉถ, เอตํ อาทาย ตตฺถ อภิสิญฺจิตฺวา วินิจฺฉยฎฺฐานาทีนิ กตฺวา วสถา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ ราชปุโตฺต ปาปมิตฺตสํสเคฺคน กติปาเหเยว สุราโสโณฺฑ หุตฺวา, สพฺพานิ วินิจฺฉยฎฺฐานาทีนิ หาเรตฺวา, นครมเชฺฌ ธุเตฺตหิ ปริวาริโต สุรํ ปิวโนฺต นจฺจคีตาทิรติยา วีตินาเมติฯ อถ รโญฺญ อาคนฺตฺวา อาโรจยิํสุฯ
Puratthimāya disāyātiādimhi bhūtamatthaṃ katvā evamattho veditabbo – samiddhe kira mahānagare sattaratanasampanno rājā cakkavatti rajjaṃ anusāsati, tassetaṃ paccantanagaraṃ rājāyuttavirahitaṃ , atha purisā āgantvā ‘‘amhākaṃ, deva, nagare āyuttako natthi, dehi no kiñci āyuttaka’’nti āhaṃsu. Rājā ekaṃ puttaṃ datvā ‘‘gacchatha, etaṃ ādāya tattha abhisiñcitvā vinicchayaṭṭhānādīni katvā vasathā’’ti. Te tathā akaṃsu. Rājaputto pāpamittasaṃsaggena katipāheyeva surāsoṇḍo hutvā, sabbāni vinicchayaṭṭhānādīni hāretvā, nagaramajjhe dhuttehi parivārito suraṃ pivanto naccagītādiratiyā vītināmeti. Atha rañño āgantvā ārocayiṃsu.
ราชา เอกํ ปณฺฑิตํ อมจฺจํ อาณาเปสิ – ‘‘คจฺฉ กุมารํ โอวทิตฺวา, วินิจฺฉยฎฺฐานาทีนิ กาเรตฺวา, ปุน อภิเสกํ กตฺวา, เอหี’’ติฯ น สกฺกา, เทว, กุมารํ โอวทิตุํ, จโณฺฑ กุมาโร ฆาเตยฺยาปิ มนฺติฯ อเถกํ พลสมฺปนฺนํ โยธํ อาณาเปสิ – ‘‘ตฺวํ อิมินา สทฺธิํ คนฺตฺวา สเจ โส โอวาเท น ติฎฺฐติ, สีสมสฺส ฉินฺทาหี’’ติฯ อิติ โส อมโจฺจ โยโธ จาติ อิทํ สีฆํ ทูตยุคํ ตตฺถ คนฺตฺวา โทวาริกํ ปุจฺฉิ – ‘‘กหํ, โภ, นครสฺส สามิ กุมาโร’’ติฯ เอส มเชฺฌสิงฺฆาฎเก สุรํ ปิวโนฺต ธุตฺตปริวาริโต คีตาทิรติํ อนุโภโนฺต นิสิโนฺนติฯ อถ ตํ ทูตยุคํ คนฺตฺวา อมโจฺจ ตาเวตฺถ, ‘‘สามิ, วินิจฺฉยฎฺฐานาทีนิ กิร กาเรตฺวา สาธุกํ รชฺชํ อนุสาสา’’ติ อาหฯ กุมาโร อสุณโนฺต วิย นิสีทิฯ อถ นํ โยโธ สีเส คเหตฺวา, ‘‘สเจ รโญฺญ อาณํ กโรสิ, กร, โน เจ, เอเตฺถว เต สีสํ ปาเตสฺสามี’’ติ ขคฺคํ อพฺพาหิฯ ปริจารกา ธุตฺตา ตาวเทว ทิสาสุ ปลายิํสุฯ กุมาโร ภีโต สาสนํ สมฺปฎิจฺฉิฯ อถสฺส เต ตเตฺถว อภิเสกํ กตฺวา เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ‘‘สมฺมา รชฺชํ อนุสาสาหี’’ติ รญฺญา วุตฺตํ ยถาภูตวจนํ นิยฺยาเตตฺวา ยถาคตมคฺคเมว ปฎิปชฺชิํสุฯ อิมมตฺถํ อาวิกโรโนฺต ภควา ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสายา’’ติ อาหฯ
Rājā ekaṃ paṇḍitaṃ amaccaṃ āṇāpesi – ‘‘gaccha kumāraṃ ovaditvā, vinicchayaṭṭhānādīni kāretvā, puna abhisekaṃ katvā, ehī’’ti. Na sakkā, deva, kumāraṃ ovadituṃ, caṇḍo kumāro ghāteyyāpi manti. Athekaṃ balasampannaṃ yodhaṃ āṇāpesi – ‘‘tvaṃ iminā saddhiṃ gantvā sace so ovāde na tiṭṭhati, sīsamassa chindāhī’’ti. Iti so amacco yodho cāti idaṃ sīghaṃ dūtayugaṃ tattha gantvā dovārikaṃ pucchi – ‘‘kahaṃ, bho, nagarassa sāmi kumāro’’ti. Esa majjhesiṅghāṭake suraṃ pivanto dhuttaparivārito gītādiratiṃ anubhonto nisinnoti. Atha taṃ dūtayugaṃ gantvā amacco tāvettha, ‘‘sāmi, vinicchayaṭṭhānādīni kira kāretvā sādhukaṃ rajjaṃ anusāsā’’ti āha. Kumāro asuṇanto viya nisīdi. Atha naṃ yodho sīse gahetvā, ‘‘sace rañño āṇaṃ karosi, kara, no ce, ettheva te sīsaṃ pātessāmī’’ti khaggaṃ abbāhi. Paricārakā dhuttā tāvadeva disāsu palāyiṃsu. Kumāro bhīto sāsanaṃ sampaṭicchi. Athassa te tattheva abhisekaṃ katvā setacchattaṃ ussāpetvā ‘‘sammā rajjaṃ anusāsāhī’’ti raññā vuttaṃ yathābhūtavacanaṃ niyyātetvā yathāgatamaggameva paṭipajjiṃsu. Imamatthaṃ āvikaronto bhagavā ‘‘puratthimāya disāyā’’ti āha.
ตตฺริทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – สมิทฺธมหานครํ วิย หิ นิพฺพานนครํ ทฎฺฐพฺพํ, สตฺตรตนสมนฺนาคโต ราชา จกฺกวตฺติ วิย สตฺตโพชฺฌงฺครตนสมนฺนาคโต ธมฺมราชา สมฺมาสมฺพุโทฺธ, ปจฺจนฺติมนครํ วิย สกฺกายนครํ, ตสฺมิํ นคเร กูฎราชปุโตฺต วิย อิมสฺส ภิกฺขุโน กูฎจิตฺตุปฺปาโท, กูฎราชปุตฺตสฺส ธุเตฺตหิ ปริวาริตกาโล วิย อิมสฺส ภิกฺขุโน ปญฺจหิ นีวรเณหิ สมงฺคิกาโล, เทฺว สีฆทูตา วิย สมถกมฺมฎฺฐานญฺจ วิปสฺสนากมฺมฎฺฐานญฺจ, มหาโยเธน สีเส คหิตกาโล วิย อุปฺปนฺนปฐมชฺฌานสมาธินา นิจฺจลํ กตฺวา จิตฺตคฺคหิตกาโล, โยเธน สีเส คหิตมเตฺต ธุตฺตานํ ทิสาสุ ปลายิตฺวา ทูรีภาโว วิย ปฐมชฺฌานมฺหิ อุปฺปนฺนมเตฺต นีวรณานํ ทูรีภาโว, ‘‘กริสฺสามิ รโญฺญ สาสน’’นฺติ สมฺปฎิจฺฉิตมเตฺต วิสฺสฎฺฐกาโล วิย ฌานโต วุฎฺฐิตกาโล, อมเจฺจน รโญฺญ สาสนํ อาโรจิตกาโล วิย สมาธินา จิตฺตํ กมฺมนิยํ กตฺวา วิปสฺสนากมฺมฎฺฐานสฺส วฑฺฒิตกาโล, ตเตฺถวสฺส เตหิ ทฺวีหิ ทูเตหิ กตาภิเสกสฺส เสตจฺฉตฺตอุสฺสาปนํ วิย สมถวิปสฺสนากมฺมฎฺฐานํ นิสฺสาย อรหตฺตปฺปตฺตสฺส วิมุตฺติเสตจฺฉตฺตุสฺสาปนํ เวทิตพฺพํฯ
Tatridaṃ opammasaṃsandanaṃ – samiddhamahānagaraṃ viya hi nibbānanagaraṃ daṭṭhabbaṃ, sattaratanasamannāgato rājā cakkavatti viya sattabojjhaṅgaratanasamannāgato dhammarājā sammāsambuddho, paccantimanagaraṃ viya sakkāyanagaraṃ, tasmiṃ nagare kūṭarājaputto viya imassa bhikkhuno kūṭacittuppādo, kūṭarājaputtassa dhuttehi parivāritakālo viya imassa bhikkhuno pañcahi nīvaraṇehi samaṅgikālo, dve sīghadūtā viya samathakammaṭṭhānañca vipassanākammaṭṭhānañca, mahāyodhena sīse gahitakālo viya uppannapaṭhamajjhānasamādhinā niccalaṃ katvā cittaggahitakālo, yodhena sīse gahitamatte dhuttānaṃ disāsu palāyitvā dūrībhāvo viya paṭhamajjhānamhi uppannamatte nīvaraṇānaṃ dūrībhāvo, ‘‘karissāmi rañño sāsana’’nti sampaṭicchitamatte vissaṭṭhakālo viya jhānato vuṭṭhitakālo, amaccena rañño sāsanaṃ ārocitakālo viya samādhinā cittaṃ kammaniyaṃ katvā vipassanākammaṭṭhānassa vaḍḍhitakālo, tatthevassa tehi dvīhi dūtehi katābhisekassa setacchattaussāpanaṃ viya samathavipassanākammaṭṭhānaṃ nissāya arahattappattassa vimuttisetacchattussāpanaṃ veditabbaṃ.
นครนฺติ โข ภิกฺขุ อิมเสฺสตํ จาตุมหาภูติกสฺส กายสฺส อธิวจนนฺติอาทีสุ ปน จาตุมหาภูติกสฺสาติอาทีนํ ปทานํ อโตฺถ เหฎฺฐา วิตฺถาริโตวฯ เกวลํ ปน วิญฺญาณราชปุตฺตสฺส นิวาสฎฺฐานตฺตา เอตฺถ กาโย ‘‘นคร’’นฺติ วุโตฺต, ตเสฺสว ทฺวารภูตตฺตา ฉ อายตนานิ ‘‘ทฺวารานี’’ติ, เตสุ ทฺวาเรสุ นิจฺจํ สุปฺปติฎฺฐิตตฺตา สติ ‘‘โทวาริโก’’ติ, กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขเนฺตน ธมฺมราเชน เปสิตตฺตา สมถวิปสฺสนา ‘‘สีฆํ ทูตยุค’’นฺติฯ เอตฺถ มหาโยโธ วิย สมโถ, ปณฺฑิตามโจฺจ วิย วิปสฺสนา เวทิตพฺพาฯ
Nagaranti kho bhikkhu imassetaṃ cātumahābhūtikassa kāyassa adhivacanantiādīsu pana cātumahābhūtikassātiādīnaṃ padānaṃ attho heṭṭhā vitthāritova. Kevalaṃ pana viññāṇarājaputtassa nivāsaṭṭhānattā ettha kāyo ‘‘nagara’’nti vutto, tasseva dvārabhūtattā cha āyatanāni ‘‘dvārānī’’ti, tesu dvāresu niccaṃ suppatiṭṭhitattā sati ‘‘dovāriko’’ti, kammaṭṭhānaṃ ācikkhantena dhammarājena pesitattā samathavipassanā ‘‘sīghaṃ dūtayuga’’nti. Ettha mahāyodho viya samatho, paṇḍitāmacco viya vipassanā veditabbā.
มเชฺฌ สิงฺฆาฎโกติ นครมเชฺฌ สิงฺฆาฎโกฯ มหาภูตานนฺติ หทยวตฺถุสฺส นิสฺสยภูตานํ มหาภูตานํ ฯ วตฺถุรูปสฺส หิ ปจฺจยทสฺสนตฺถเมเวตํ จตุมหาภูตคฺคหณํ กตํฯ นครมเชฺฌ ปน โส ราชกุมาโร วิย สรีรมเชฺฌ หทยรูปสิงฺฆาฎเก นิสิโนฺน สมถวิปสฺสนาทูเตหิ อรหตฺตาภิเสเกน อภิสิญฺจิตโพฺพ วิปสฺสนาวิญฺญาณราชปุโตฺต ทฎฺฐโพฺพฯ นิพฺพานํ ปน ยถาภูตสภาวํ อกุปฺปํ อธิการีติ กตฺวา ยถาภูตํ วจนนฺติ วุตฺตํฯ อริยมโคฺค ปน ยาทิโสว ปุพฺพภาควิปสฺสนามโคฺค, อยมฺปิ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตตฺตา ตาทิโสเยวาติ กตฺวา ยถาคตมโคฺคติ วุโตฺตฯ อิทํ ตาเวตฺถ ธมฺมเทสนตฺถํ อาภตาย อุปมาย สํสนฺทนํฯ
Majjhe siṅghāṭakoti nagaramajjhe siṅghāṭako. Mahābhūtānanti hadayavatthussa nissayabhūtānaṃ mahābhūtānaṃ . Vatthurūpassa hi paccayadassanatthamevetaṃ catumahābhūtaggahaṇaṃ kataṃ. Nagaramajjhe pana so rājakumāro viya sarīramajjhe hadayarūpasiṅghāṭake nisinno samathavipassanādūtehi arahattābhisekena abhisiñcitabbo vipassanāviññāṇarājaputto daṭṭhabbo. Nibbānaṃ pana yathābhūtasabhāvaṃ akuppaṃ adhikārīti katvā yathābhūtaṃ vacananti vuttaṃ. Ariyamaggo pana yādisova pubbabhāgavipassanāmaggo, ayampi aṭṭhaṅgasamannāgatattā tādisoyevāti katvā yathāgatamaggoti vutto. Idaṃ tāvettha dhammadesanatthaṃ ābhatāya upamāya saṃsandanaṃ.
ตเสฺสวตฺถสฺส ปากฎีกรณตฺถํ อาภตปเกฺข ปน อิทํ สํสนฺทนํ – เอตฺถ หิ ฉทฺวารูปมา ฉผสฺสายตนวเสน ทสฺสนวิสุทฺธิปตฺตํ ขีณาสวํ ทเสฺสตุํ อาภตา, นครสามิอุปมา ปญฺจกฺขนฺธวเสน, สิงฺฆาฎกูปมา จตุมหาภูตวเสน, นครูปมา เตภูมกธมฺมวเสน ทสฺสนวิสุทฺธิปตฺตํ ขีณาสวํ ทเสฺสตุํ อาภตาฯ สเงฺขปโต ปนิมสฺมิํ สุเตฺต จตุสจฺจเมว กถิตํฯ สกเลนปิ หิ นครสมฺภาเรน ทุกฺขสจฺจเมว กถิตํ, ยถาภูตวจเนน นิโรธสจฺจํ, ยถาคตมเคฺคน มคฺคสจฺจํ, ทุกฺขสฺส ปน ปภาวิกา ตณฺหา สมุทยสจฺจํฯ เทสนาปริโยสาเน ปญฺหปุจฺฉโก ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิโตติฯ
Tassevatthassa pākaṭīkaraṇatthaṃ ābhatapakkhe pana idaṃ saṃsandanaṃ – ettha hi chadvārūpamā chaphassāyatanavasena dassanavisuddhipattaṃ khīṇāsavaṃ dassetuṃ ābhatā, nagarasāmiupamā pañcakkhandhavasena, siṅghāṭakūpamā catumahābhūtavasena, nagarūpamā tebhūmakadhammavasena dassanavisuddhipattaṃ khīṇāsavaṃ dassetuṃ ābhatā. Saṅkhepato panimasmiṃ sutte catusaccameva kathitaṃ. Sakalenapi hi nagarasambhārena dukkhasaccameva kathitaṃ, yathābhūtavacanena nirodhasaccaṃ, yathāgatamaggena maggasaccaṃ, dukkhassa pana pabhāvikā taṇhā samudayasaccaṃ. Desanāpariyosāne pañhapucchako bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhitoti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๘. กิํสุโกปมสุตฺตํ • 8. Kiṃsukopamasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๘. กิํสุโกปมสุตฺตวณฺณนา • 8. Kiṃsukopamasuttavaṇṇanā