Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๓. กินฺติสุตฺตวณฺณนา

    3. Kintisuttavaṇṇanā

    ๓๔. เอวํ เม สุตนฺติ กินฺติสุตฺตํฯ ตตฺถ ปิสินารายนฺติ เอวํนามเก มณฺฑลปเทเสฯ พลิหรเณติ ตสฺมิํ วนสเณฺฑ ภูตานํ พลิํ อาหรนฺติ, ตสฺมา โส พลิหรณนฺติ วุโตฺตฯ จีวรเหตูติ จีวรการณา, จีวรํ ปจฺจาสีสมาโนติ อโตฺถฯ อิติภวาภวเหตูติ เอวํ อิมํ เทสนามยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุํ นิสฺสาย ตสฺมิํ ตสฺมิํ ภเว สุขํ เวทิสฺสามีติ ธมฺมํ เทเสตีติ กิํ ตุมฺหากํ เอวํ โหตีติ อโตฺถฯ

    34.Evaṃme sutanti kintisuttaṃ. Tattha pisinārāyanti evaṃnāmake maṇḍalapadese. Baliharaṇeti tasmiṃ vanasaṇḍe bhūtānaṃ baliṃ āharanti, tasmā so baliharaṇanti vutto. Cīvarahetūti cīvarakāraṇā, cīvaraṃ paccāsīsamānoti attho. Itibhavābhavahetūti evaṃ imaṃ desanāmayaṃ puññakiriyavatthuṃ nissāya tasmiṃ tasmiṃ bhave sukhaṃ vedissāmīti dhammaṃ desetīti kiṃ tumhākaṃ evaṃ hotīti attho.

    ๓๕. จตฺตาโร สติปฎฺฐานาติอาทโย สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธมฺมา โลกิยโลกุตฺตราว กถิตาฯ ตตฺถาติ เตสุ สตฺตติํสาย ธเมฺมสุฯ สิยํสูติ ภเวยฺยุํฯ อภิธเมฺมติ วิสิเฎฺฐ ธเมฺม, อิเมสุ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยธเมฺมสูติ อโตฺถฯ ตตฺร เจติ อิทมฺปิ โพธิปกฺขิยธเมฺมเสฺวว ภุมฺมํฯ อตฺถโต เจว นานํ พฺยญฺชนโต จาติ เอตฺถ ‘‘กาโยว สติปฎฺฐานํ เวทนาว สติปฎฺฐาน’’นฺติ วุเตฺต อตฺถโต นานํ โหติ , ‘‘สติปฎฺฐานา’’ติ วุเตฺต ปน พฺยญฺชนโต นานํ นาม โหติฯ ตทมินาปีติ ตํ ตุเมฺห อิมินาปิ การเณน ชานาถาติ อตฺถญฺจ พฺยญฺชนญฺจ สมาเนตฺวา อถสฺส จ อญฺญถา คหิตภาโว พฺยญฺชนสฺส จ มิจฺฉา โรปิตภาโว ทเสฺสตโพฺพฯ โย ธโมฺม โย วินโยติ เอตฺถ อตฺถญฺจ พฺยญฺชนญฺจ วิญฺญาปนการณเมว ธโมฺม จ วินโย จฯ

    35.Cattāro satipaṭṭhānātiādayo sattatiṃsa bodhipakkhiyadhammā lokiyalokuttarāva kathitā. Tatthāti tesu sattatiṃsāya dhammesu. Siyaṃsūti bhaveyyuṃ. Abhidhammeti visiṭṭhe dhamme, imesu sattatiṃsabodhipakkhiyadhammesūti attho. Tatra ceti idampi bodhipakkhiyadhammesveva bhummaṃ. Atthato ceva nānaṃ byañjanato cāti ettha ‘‘kāyova satipaṭṭhānaṃ vedanāva satipaṭṭhāna’’nti vutte atthato nānaṃ hoti , ‘‘satipaṭṭhānā’’ti vutte pana byañjanato nānaṃ nāma hoti. Tadamināpīti taṃ tumhe imināpi kāraṇena jānāthāti atthañca byañjanañca samānetvā athassa ca aññathā gahitabhāvo byañjanassa ca micchā ropitabhāvo dassetabbo. Yo dhammo yo vinayoti ettha atthañca byañjanañca viññāpanakāraṇameva dhammo ca vinayo ca.

    ๓๗. อตฺถโต หิ โข สเมตีติ สติเยว สติปฎฺฐานนฺติ คหิตาฯ พฺยญฺชนโต นานนฺติ เกวลํ พฺยญฺชนเมว สติปฎฺฐาโนติ วา สติปฎฺฐานาติ วา มิจฺฉา โรเปถฯ อปฺปมตฺตกํ โขติ สุตฺตนฺตํ ปตฺวา พฺยญฺชนํ อปฺปมตฺตกํ นาม โหติฯ ปริตฺตมตฺตํ ธนิตํ กตฺวา โรปิเตปิ หิ นิพฺพุติํ ปตฺตุํ สกฺกา โหติฯ

    37.Atthato hi kho sametīti satiyeva satipaṭṭhānanti gahitā. Byañjanato nānanti kevalaṃ byañjanameva satipaṭṭhānoti vā satipaṭṭhānāti vā micchā ropetha. Appamattakaṃ khoti suttantaṃ patvā byañjanaṃ appamattakaṃ nāma hoti. Parittamattaṃ dhanitaṃ katvā ropitepi hi nibbutiṃ pattuṃ sakkā hoti.

    ตตฺริทํ วตฺถุ – วิชยารามวิหารวาสี กิเรโก ขีณาสวเตฺถโร ทฺวินฺนํ ภิกฺขูนํ สุตฺตํ อาหริตฺวา กมฺมฎฺฐานํ กเถโนฺต – ‘‘สมุโทฺธ สมุโทฺธติ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน ภาสตี’’ติ ธนิตํ กตฺวา อาหฯ เอโก ภิกฺขุ ‘‘สมุโทฺธ นาม, ภเนฺต’’ติ อาหฯ อาวุโส, สมุโทฺธติ วุเตฺตปิ สมุโทฺทติ วุเตฺตปิ มยํ โลณสาครเมว ชานาม, ตุเมฺห ปน โน อตฺถคเวสกา, พฺยญฺชนคเวสกา, คจฺฉถ มหาวิหาเร ปคุณพฺยญฺชนานํ ภิกฺขูนํ สนฺติเก พฺยญฺชนํ โสธาเปถาติ กมฺมฎฺฐานํ อกเถตฺวาว อุฎฺฐาเปสิฯ โส อปรภาเค มหาวิหาเร เภริํ ปหราเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส จตูสุ มเคฺคสุ ปญฺหํ กเถตฺวาว ปรินิพฺพุโตฯ เอวํ สุตฺตนฺตํ ปตฺวา พฺยญฺชนํ อปฺปมตฺตกํ นาม โหติฯ

    Tatridaṃ vatthu – vijayārāmavihāravāsī kireko khīṇāsavatthero dvinnaṃ bhikkhūnaṃ suttaṃ āharitvā kammaṭṭhānaṃ kathento – ‘‘samuddho samuddhoti, bhikkhave, assutavā puthujjano bhāsatī’’ti dhanitaṃ katvā āha. Eko bhikkhu ‘‘samuddho nāma, bhante’’ti āha. Āvuso, samuddhoti vuttepi samuddoti vuttepi mayaṃ loṇasāgarameva jānāma, tumhe pana no atthagavesakā, byañjanagavesakā, gacchatha mahāvihāre paguṇabyañjanānaṃ bhikkhūnaṃ santike byañjanaṃ sodhāpethāti kammaṭṭhānaṃ akathetvāva uṭṭhāpesi. So aparabhāge mahāvihāre bheriṃ paharāpetvā bhikkhusaṅghassa catūsu maggesu pañhaṃ kathetvāva parinibbuto. Evaṃ suttantaṃ patvā byañjanaṃ appamattakaṃ nāma hoti.

    วินยํ ปน ปตฺวา โน อปฺปมตฺตกํฯ สามเณรปพฺพชฺชาปิ หิ อุภโตสุทฺธิโต วฎฺฎติ, อุปสมฺปทาทิกมฺมานิปิ สิถิลาทีนํ ธนิตาทิกรณมเตฺตเนว กุปฺปนฺติฯ อิธ ปน สุตฺตนฺตพฺยญฺชนํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    Vinayaṃ pana patvā no appamattakaṃ. Sāmaṇerapabbajjāpi hi ubhatosuddhito vaṭṭati, upasampadādikammānipi sithilādīnaṃ dhanitādikaraṇamatteneva kuppanti. Idha pana suttantabyañjanaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.

    ๓๘. อถ จตุตฺถวาเร วิวาโท กสฺมา? สญฺญาย วิวาโทฯ ‘‘อหํ สติเมว สติปฎฺฐานํ วทามิ, อยํ ‘กาโย สติปฎฺฐาน’นฺติ วทตี’’ติ หิ เนสํ สญฺญา โหติฯ พฺยญฺชเนปิ เอเสว นโยฯ

    38. Atha catutthavāre vivādo kasmā? Saññāya vivādo. ‘‘Ahaṃ satimeva satipaṭṭhānaṃ vadāmi, ayaṃ ‘kāyo satipaṭṭhāna’nti vadatī’’ti hi nesaṃ saññā hoti. Byañjanepi eseva nayo.

    ๓๙. โจทนาย ตริตพฺพนฺติ น โจทนตฺถาย เวคายิตพฺพํฯ เอกโจฺจ หิ ปุคฺคโล ‘‘นลาเฎ เต สาสปมตฺตา ปิฬกา’’ติ วุโตฺต ‘‘มยฺหํ นลาเฎ สาสปมตฺตํ ปิฬกํ ปสฺสสิ, อตฺตโน นลาเฎ ตาลปกฺกมตฺตํ มหาคณฺฑํ น ปสฺสสี’’ติ วทติฯ ตสฺมา ปุคฺคโล อุปปริกฺขิตโพฺพฯ อทฬฺหทิฎฺฐีติ อนาทานทิฎฺฐี สุํสุมารํ หทเย ปกฺขิปโนฺต วิย ทฬฺหํ น คณฺหาติฯ

    39.Nacodanāya taritabbanti na codanatthāya vegāyitabbaṃ. Ekacco hi puggalo ‘‘nalāṭe te sāsapamattā piḷakā’’ti vutto ‘‘mayhaṃ nalāṭe sāsapamattaṃ piḷakaṃ passasi, attano nalāṭe tālapakkamattaṃ mahāgaṇḍaṃ na passasī’’ti vadati. Tasmā puggalo upaparikkhitabbo. Adaḷhadiṭṭhīti anādānadiṭṭhī suṃsumāraṃ hadaye pakkhipanto viya daḷhaṃ na gaṇhāti.

    อุปฆาโตติ จณฺฑภาเวน วณฆฎฺฎิตสฺส วิย ทุกฺขุปฺปตฺติฯ สุปฺปฎินิสฺสคฺคีติ ‘‘กิํ นาม อหํ อาปโนฺน, กทา อาปโนฺน’’ติ วา ‘‘ตฺวํ อาปโนฺน, ตว อุปชฺฌาโย อาปโนฺน’’ติ วา เอกํ เทฺว วาเร วตฺวาปิ ‘‘อสุกํ นาม อสุกทิวเส นาม, ภเนฺต, อาปนฺนตฺถ, สณิกํ อนุสฺสรถา’’ติ สริตฺวา ตาวเทว วิสฺสเชฺชติฯ วิเหสาติ พหุํ อตฺถญฺจ การณญฺจ อาหรนฺตสฺส กายจิตฺตกิลมโถฯ สโกฺกมีติ เอวรูโป หิ ปุคฺคโล โอกาสํ กาเรตฺวา ‘‘อาปตฺติํ อาปนฺนตฺถ, ภเนฺต’’ติ วุโตฺต ‘‘กทา กิสฺมิํ วตฺถุสฺมิ’’นฺติ วตฺวา ‘‘อสุกทิวเส อสุกสฺมิํ วตฺถุสฺมิ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘น สรามิ, อาวุโส’’ติ วทติ, ตโต ‘‘สณิกํ, ภเนฺต, สรถา’’ติ พหุํ วตฺวา สาริโต สริตฺวา วิสฺสเชฺชติฯ เตนาห ‘‘สโกฺกมี’’ติฯ อิมินา นเยน สพฺพตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Upaghātoti caṇḍabhāvena vaṇaghaṭṭitassa viya dukkhuppatti. Suppaṭinissaggīti ‘‘kiṃ nāma ahaṃ āpanno, kadā āpanno’’ti vā ‘‘tvaṃ āpanno, tava upajjhāyo āpanno’’ti vā ekaṃ dve vāre vatvāpi ‘‘asukaṃ nāma asukadivase nāma, bhante, āpannattha, saṇikaṃ anussarathā’’ti saritvā tāvadeva vissajjeti. Vihesāti bahuṃ atthañca kāraṇañca āharantassa kāyacittakilamatho. Sakkomīti evarūpo hi puggalo okāsaṃ kāretvā ‘‘āpattiṃ āpannattha, bhante’’ti vutto ‘‘kadā kismiṃ vatthusmi’’nti vatvā ‘‘asukadivase asukasmiṃ vatthusmi’’nti vutte ‘‘na sarāmi, āvuso’’ti vadati, tato ‘‘saṇikaṃ, bhante, sarathā’’ti bahuṃ vatvā sārito saritvā vissajjeti. Tenāha ‘‘sakkomī’’ti. Iminā nayena sabbattha attho veditabbo.

    อุเปกฺขา นาติมญฺญิตพฺพาติ อุเปกฺขา น อติกฺกมิตพฺพา, กตฺตพฺพา ชเนตพฺพาติ อโตฺถฯ โย หิ เอวรูปํ ปุคฺคลํ ฐิตกํเยว ปสฺสาวํ กโรนฺตํ ทิสฺวาปิ ‘‘นนุ, อาวุโส, นิสีทิตพฺพ’’นฺติ วทติ, โส อุเปกฺขํ อติมญฺญติ นามฯ

    Upekkhā nātimaññitabbāti upekkhā na atikkamitabbā, kattabbā janetabbāti attho. Yo hi evarūpaṃ puggalaṃ ṭhitakaṃyeva passāvaṃ karontaṃ disvāpi ‘‘nanu, āvuso, nisīditabba’’nti vadati, so upekkhaṃ atimaññati nāma.

    ๔๐. วจีสํหาโรติ วจนสญฺจาโรฯ อิเมหิ กถิตํ อมูสํ อนฺตรํ ปเวเสยฺย, ตุเมฺห อิเมหิ อิทญฺจิทญฺจ วุตฺตาติ อมูหิ กถิตํ อิเมสํ อนฺตรํ ปเวเสยฺยาติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐิปฬาโสติอาทีหิ จิตฺตสฺส อนาราธนิยภาโว กถิโตฯ ตํ ชานมาโน สมาโน ครเหยฺยาติ ตํ สตฺถา ชานมาโน สมาโน นิเนฺทยฺย อเมฺหติฯ เอตํ ปนาวุโส, ธมฺมนฺติ เอตํ กลหภณฺฑนธมฺมํฯ

    40.Vacīsaṃhāroti vacanasañcāro. Imehi kathitaṃ amūsaṃ antaraṃ paveseyya, tumhe imehi idañcidañca vuttāti amūhi kathitaṃ imesaṃ antaraṃ paveseyyāti attho. Diṭṭhipaḷāsotiādīhi cittassa anārādhaniyabhāvo kathito. Taṃ jānamāno samāno garaheyyāti taṃ satthā jānamāno samāno nindeyya amheti. Etaṃpanāvuso, dhammanti etaṃ kalahabhaṇḍanadhammaṃ.

    ตเญฺจติ ตํ สญฺญตฺติการกํ ภิกฺขุํฯ เอวํ พฺยากเรยฺยาติ มยา เอเต สุทฺธเนฺต ปติฎฺฐาปิตาติ อวตฺวา เยน การเณน สญฺญตฺติ กตา, ตเทว ทเสฺสโนฺต เอวํ พฺยากเรยฺยฯ ตาหํ ธมฺมํ สุตฺวาติ เอตฺถ ธโมฺมติ สารณียธโมฺม อธิเปฺปโตฯ น เจว อตฺตานนฺติอาทีสุ ‘‘พฺรหฺมโลกปฺปมาโณ เหส อคฺคิ อุฎฺฐาสิ, โก เอตมญฺญตฺร มยา นิพฺพาเปตุํ สมโตฺถ’’ติ หิ วทโนฺต อตฺตานํ อุกฺกํเสติ นามฯ ‘‘เอตฺตกา ชนา วิจรนฺติ, โอกาโส ลทฺธุํ น สกฺกา, เอโกปิ เอตฺตกมตฺตํ นิพฺพาเปตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถี’’ติ วทมาโน ปรํ วเมฺภติ นามฯ ตทุภยเมฺปส น กโรติฯ ธโมฺม ปเนตฺถ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส พฺยากรณํ, เตสํ ภิกฺขูนํ สญฺญตฺติกรณํ อนุธโมฺม, ตเทว พฺยากโรติ นามฯ น จ โกจิ สหธมฺมิโกติ อโญฺญ จสฺส โกจิ สเหตุโก ปเรหิ วุโตฺต วาโท วา อนุวาโท วา ครหิตพฺพภาวํ อาคจฺฉโนฺต นาม นตฺถิฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Tañceti taṃ saññattikārakaṃ bhikkhuṃ. Evaṃ byākareyyāti mayā ete suddhante patiṭṭhāpitāti avatvā yena kāraṇena saññatti katā, tadeva dassento evaṃ byākareyya. Tāhaṃ dhammaṃ sutvāti ettha dhammoti sāraṇīyadhammo adhippeto. Na ceva attānantiādīsu ‘‘brahmalokappamāṇo hesa aggi uṭṭhāsi, ko etamaññatra mayā nibbāpetuṃ samattho’’ti hi vadanto attānaṃ ukkaṃseti nāma. ‘‘Ettakā janā vicaranti, okāso laddhuṃ na sakkā, ekopi ettakamattaṃ nibbāpetuṃ samattho nāma natthī’’ti vadamāno paraṃ vambheti nāma. Tadubhayampesa na karoti. Dhammo panettha sammāsambuddhassa byākaraṇaṃ, tesaṃ bhikkhūnaṃ saññattikaraṇaṃ anudhammo, tadeva byākaroti nāma. Na ca koci sahadhammikoti añño cassa koci sahetuko parehi vutto vādo vā anuvādo vā garahitabbabhāvaṃ āgacchanto nāma natthi. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    กินฺติสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kintisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๓. กินฺติสุตฺตํ • 3. Kintisuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๓. กินฺติสุตฺตวณฺณนา • 3. Kintisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact