Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๑๐. โกกาลิกสุตฺตวณฺณนา
10. Kokālikasuttavaṇṇanā
เอวํ เม สุตนฺติ โกกาลิกสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? อิมสฺส สุตฺตสฺส อุปฺปตฺติ อตฺถวณฺณนายเมว อาวิ ภวิสฺสติฯ อตฺถวณฺณนาย จสฺส เอวํ เม สุตนฺติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ อถ โข โกกาลิโกติ เอตฺถ ปน โก อยํ โกกาลิโก, กสฺมา จ อุปสงฺกมีติ? วุจฺจเต – อยํ กิร โกกาลิกรเฎฺฐ โกกาลิกนคเร โกกาลิกเสฎฺฐิสฺส ปุโตฺต ปพฺพชิตฺวา ปิตรา การาปิเต วิหาเรเยว ปฎิวสติ ‘‘จูฬโกกาลิโก’’ติ นาเมน, น เทวทตฺตสฺส สิโสฺสฯ โส หิ พฺราหฺมณปุโตฺต ‘‘มหาโกกาลิโก’’ติ ปญฺญายิฯ
Evaṃme sutanti kokālikasuttaṃ. Kā uppatti? Imassa suttassa uppatti atthavaṇṇanāyameva āvi bhavissati. Atthavaṇṇanāya cassa evaṃ me sutantiādi vuttanayameva. Atha kho kokālikoti ettha pana ko ayaṃ kokāliko, kasmā ca upasaṅkamīti? Vuccate – ayaṃ kira kokālikaraṭṭhe kokālikanagare kokālikaseṭṭhissa putto pabbajitvā pitarā kārāpite vihāreyeva paṭivasati ‘‘cūḷakokāliko’’ti nāmena, na devadattassa sisso. So hi brāhmaṇaputto ‘‘mahākokāliko’’ti paññāyi.
ภควติ กิร สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต เทฺว อคฺคสาวกา ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ ชนปทจาริกํ จรมานา อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกาย วิเวกวาสํ วสิตุกามา เต ภิกฺขู อุโยฺยเชตฺวา อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย ตสฺมิํ ชนปเท ตํ นครํ ปตฺวา ตํ วิหารํ อคมํสุฯ ตตฺถ เต โกกาลิเกน สทฺธิํ สโมฺมทิตฺวา ตํ อาหํสุ – ‘‘อาวุโส, มยํ อิธ เตมาสํ วสิสฺสาม, มา กสฺสจิ อาโรเจยฺยาสี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา เตมาเส อตีเต อิตรทิวสํ ปเคว นครํ ปวิสิตฺวา อาโรเจสิ – ‘‘ตุเมฺห อคฺคสาวเก อิธาคนฺตฺวา วสมาเน น ชานิตฺถ, น เต โกจิ ปจฺจเยนาปิ นิมเนฺตตี’’ติฯ นครวาสิโน ‘‘กสฺมา โน, ภเนฺต, นาโรจยิตฺถา’’ติฯ กิํ อาโรจิเตน, กิํ นาทฺทสถ เทฺว ภิกฺขู วสเนฺต, นนุ เอเต อคฺคสาวกาติฯ เต ขิปฺปํ สนฺนิปติตฺวา สปฺปิคุฬวตฺถาทีนิ อาเนตฺวา โกกาลิกสฺส ปุรโต นิกฺขิปิํสุฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘ปรมปฺปิจฺฉา อคฺคสาวกา ‘ปยุตฺตวาจาย อุปฺปโนฺน ลาโภ’ติ ญตฺวา น สาทิยิสฺสนฺติ, อสาทิยนฺตา อทฺธา ‘อาวาสิกสฺส เทถา’ติ ภณิสฺสนฺติ, หนฺทาหํ อิมํ ลาภํ คาหาเปตฺวา คจฺฉามี’’ติ ฯ โส ตถา อกาสิ, เถรา ทิสฺวาว ปยุตฺตวาจาย อุปฺปนฺนภาวํ ญตฺวา ‘‘อิเม ปจฺจยา เนว อมฺหากํ น โกกาลิกสฺส วฎฺฎนฺตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อาวาสิกสฺส เทถา’’ติ อวตฺวา ปฎิกฺขิปิตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เตน โกกาลิโก ‘‘กถญฺหิ นาม อตฺตนา อคฺคณฺหนฺตา มยฺหมฺปิ น ทาเปสุ’’นฺติ โทมนสฺสํ อุปฺปาเทสิฯ
Bhagavati kira sāvatthiyaṃ viharante dve aggasāvakā pañcamattehi bhikkhusatehi saddhiṃ janapadacārikaṃ caramānā upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya vivekavāsaṃ vasitukāmā te bhikkhū uyyojetvā attano pattacīvaramādāya tasmiṃ janapade taṃ nagaraṃ patvā taṃ vihāraṃ agamaṃsu. Tattha te kokālikena saddhiṃ sammoditvā taṃ āhaṃsu – ‘‘āvuso, mayaṃ idha temāsaṃ vasissāma, mā kassaci āroceyyāsī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā temāse atīte itaradivasaṃ pageva nagaraṃ pavisitvā ārocesi – ‘‘tumhe aggasāvake idhāgantvā vasamāne na jānittha, na te koci paccayenāpi nimantetī’’ti. Nagaravāsino ‘‘kasmā no, bhante, nārocayitthā’’ti. Kiṃ ārocitena, kiṃ nāddasatha dve bhikkhū vasante, nanu ete aggasāvakāti. Te khippaṃ sannipatitvā sappiguḷavatthādīni ānetvā kokālikassa purato nikkhipiṃsu. So cintesi – ‘‘paramappicchā aggasāvakā ‘payuttavācāya uppanno lābho’ti ñatvā na sādiyissanti, asādiyantā addhā ‘āvāsikassa dethā’ti bhaṇissanti, handāhaṃ imaṃ lābhaṃ gāhāpetvā gacchāmī’’ti . So tathā akāsi, therā disvāva payuttavācāya uppannabhāvaṃ ñatvā ‘‘ime paccayā neva amhākaṃ na kokālikassa vaṭṭantī’’ti cintetvā ‘‘āvāsikassa dethā’’ti avatvā paṭikkhipitvā pakkamiṃsu. Tena kokāliko ‘‘kathañhi nāma attanā aggaṇhantā mayhampi na dāpesu’’nti domanassaṃ uppādesi.
เต ภควโต สนฺติกํ อคมํสุฯ ภควา จ ปวาเรตฺวา สเจ อตฺตนา ชนปทจาริกํ น คจฺฉติ, อคฺคสาวเก เปเสติ – ‘‘จรถ, ภิกฺขเว, จาริกํ พหุชนหิตายา’’ติอาทีนิ (มหาว. ๓๒) วตฺวา ฯ อิทมาจิณฺณํ ตถาคตานํฯ เตน โข ปน สมเยน อตฺตนา อคนฺตุกาโม โหติฯ อถ โข อิเม ปุนเทว อุโยฺยเชสิ – ‘‘คจฺฉถ, ภิกฺขเว, จรถ จาริก’’นฺติฯ เต ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ จาริกํ จรมานา อนุปุเพฺพน ตสฺมิํ รเฎฺฐ ตเมว นครํ อคมํสุฯ นาครา เถเร สญฺชานิตฺวา สห ปริกฺขาเรหิ ทานํ สเชฺชตฺวา นครมเชฺฌ มณฺฑปํ กตฺวา ทานํ อทํสุ, เถรานญฺจ ปริกฺขาเร อุปนาเมสุํฯ เถรา คเหตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส อทํสุฯ ตํ ทิสฺวา โกกาลิโก จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม ปุเพฺพ อปฺปิจฺฉา อเหสุํ, อิทานิ โลภาภิภูตา ปาปิจฺฉา ชาตา, ปุเพฺพปิ อปฺปิจฺฉสนฺตุฎฺฐปวิวิตฺตสทิสา มเญฺญ, อิเม ปาปิจฺฉา อสนฺตคุณปริทีปกา ปาปภิกฺขู’’ติฯ โส เถเร อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อาวุโส, ตุเมฺห ปุเพฺพ อปฺปิจฺฉา สนฺตุฎฺฐา ปวิวิตฺตา วิย อหุวตฺถ, อิทานิ ปนตฺถ ปาปภิกฺขู ชาตา’’ติ วตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ตาวเทว ตรมานรูโป นิกฺขมิตฺวา คนฺตฺวา ‘‘ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสฺสามี’’ติ สาวตฺถาภิมุโข คนฺตฺวา อนุปุเพฺพน ภควนฺตํ อุปสงฺกมิฯ อยเมตฺถ โกกาลิโก, อิมินา การเณน อุปสงฺกมิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข โกกาลิโก ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมี’’ติอาทิฯ
Te bhagavato santikaṃ agamaṃsu. Bhagavā ca pavāretvā sace attanā janapadacārikaṃ na gacchati, aggasāvake peseti – ‘‘caratha, bhikkhave, cārikaṃ bahujanahitāyā’’tiādīni (mahāva. 32) vatvā . Idamāciṇṇaṃ tathāgatānaṃ. Tena kho pana samayena attanā agantukāmo hoti. Atha kho ime punadeva uyyojesi – ‘‘gacchatha, bhikkhave, caratha cārika’’nti. Te pañcamattehi bhikkhusatehi saddhiṃ cārikaṃ caramānā anupubbena tasmiṃ raṭṭhe tameva nagaraṃ agamaṃsu. Nāgarā there sañjānitvā saha parikkhārehi dānaṃ sajjetvā nagaramajjhe maṇḍapaṃ katvā dānaṃ adaṃsu, therānañca parikkhāre upanāmesuṃ. Therā gahetvā bhikkhusaṅghassa adaṃsu. Taṃ disvā kokāliko cintesi – ‘‘ime pubbe appicchā ahesuṃ, idāni lobhābhibhūtā pāpicchā jātā, pubbepi appicchasantuṭṭhapavivittasadisā maññe, ime pāpicchā asantaguṇaparidīpakā pāpabhikkhū’’ti. So there upasaṅkamitvā ‘‘āvuso, tumhe pubbe appicchā santuṭṭhā pavivittā viya ahuvattha, idāni panattha pāpabhikkhū jātā’’ti vatvā pattacīvaramādāya tāvadeva taramānarūpo nikkhamitvā gantvā ‘‘bhagavato etamatthaṃ ārocessāmī’’ti sāvatthābhimukho gantvā anupubbena bhagavantaṃ upasaṅkami. Ayamettha kokāliko, iminā kāraṇena upasaṅkami. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho kokāliko bhikkhu yena bhagavā tenupasaṅkamī’’tiādi.
ภควา ตํ ตุริตตุริตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวาว อาวเชฺชตฺวา อญฺญาสิ – ‘‘อคฺคสาวเก อโกฺกสิตุกาโม อาคโต’’ติฯ ‘‘สกฺกา นุ โข ปฎิเสเธตุ’’นฺติ จ อาวเชฺชโนฺต ‘‘น สกฺกา, เถเรสุ อปรชฺฌิตฺวา อาคโต, เอกํเสน ปทุมนิรเย อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ อทฺทสฯ เอวํ ทิสฺวาปิ ปน ‘‘สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเนปิ นาม ครหนฺตํ สุตฺวา น นิเสเธตี’’ติ ปรูปวาทโมจนตฺถํ อริยูปวาทสฺส มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถญฺจ ‘‘มา เหว’’นฺติอาทินา นเยน ติกฺขตฺตุํ ปฎิเสเธสิฯ ตตฺถ มา เหวนฺติ มา เอวมาห, มา เอวํ อภณีติ อโตฺถฯ เปสลาติ ปิยสีลาฯ สทฺธายิโกติ สทฺธาคมกโร, ปสาทาวโหติ วุตฺตํ โหติฯ ปจฺจยิโกติ ปจฺจยกโร, ‘‘เอวเมต’’นฺติ สนฺนิฎฺฐาวโหติ วุตฺตํ โหติฯ
Bhagavā taṃ turitaturitaṃ āgacchantaṃ disvāva āvajjetvā aññāsi – ‘‘aggasāvake akkositukāmo āgato’’ti. ‘‘Sakkā nu kho paṭisedhetu’’nti ca āvajjento ‘‘na sakkā, theresu aparajjhitvā āgato, ekaṃsena padumaniraye uppajjissatī’’ti addasa. Evaṃ disvāpi pana ‘‘sāriputtamoggallānepi nāma garahantaṃ sutvā na nisedhetī’’ti parūpavādamocanatthaṃ ariyūpavādassa mahāsāvajjabhāvadassanatthañca ‘‘mā heva’’ntiādinā nayena tikkhattuṃ paṭisedhesi. Tattha mā hevanti mā evamāha, mā evaṃ abhaṇīti attho. Pesalāti piyasīlā. Saddhāyikoti saddhāgamakaro, pasādāvahoti vuttaṃ hoti. Paccayikoti paccayakaro, ‘‘evameta’’nti sanniṭṭhāvahoti vuttaṃ hoti.
อจิรปกฺกนฺตสฺสาติ ปกฺกนฺตสฺส สโต น จิเรเนว สโพฺพ กาโย ผุโฎ อโหสีติ เกสคฺคมตฺตมฺปิ โอกาสํ อวเชฺชตฺวา สกลสรีรํ อฎฺฐีนิ ภินฺทิตฺวา อุคฺคตาหิ ปีฬกาหิ อโชฺฌตฺถฎํ อโหสิฯ ตตฺถ ยสฺมา พุทฺธานุภาเวน ตถารูปํ กมฺมํ พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเว วิปากํ น เทติ, ทสฺสนูปจาเร ปน วิชหิตมเตฺต เทติ, ตสฺมา ตสฺส อจิรปกฺกนฺตสฺส ปีฬกา อุฎฺฐหิํสุฯ เตเนว วุตฺตํ ‘‘อจิรปกฺกนฺตสฺส จ โกกาลิกสฺสา’’ติฯ อถ กสฺมา ตเตฺถว น อฎฺฐาสีติ เจ? กมฺมานุภาเวนฯ โอกาสกตญฺหิ กมฺมํ อวสฺสํ วิปจฺจติ, ตํ ตสฺส ตตฺถ ฐาตุํ น เทติฯ โส กมฺมานุภาเวน โจทิยมาโน อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ กฬายมตฺติโยติ จณกมตฺติโย ฯ เพลุวสลาฎุกมตฺติโยติ ตรุณเพลุวมตฺติโยฯ ปภิชฺชิํสูติ ภิชฺชิํสุฯ ตาสุ ภินฺนาสุ สกลสรีรํ ปนสปกฺกํ วิย อโหสิฯ โส ปเกฺกน คเตฺตน อนยพฺยสนํ ปตฺวา ทุกฺขาภิภูโต เชตวนทฺวารโกฎฺฐเก สยิฯ อถ ธมฺมสฺสวนตฺถํ อาคตาคตา มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา ‘‘ธิ โกกาลิก, ธิ โกกาลิก, อยุตฺตมกาสิ, อตฺตโนเยว มุขํ นิสฺสาย อนยพฺยสนํ ปโตฺตสี’’ติ อาหํสุฯ เตสํ สุตฺวา อารกฺขเทวตา ธิกฺการํ อกํสุ, อารกฺขเทวตานํ อากาสฎฺฐเทวตาติ อิมินา อุปาเยน ยาว อกนิฎฺฐภวนา เอกธิกฺกาโร อุทปาทิฯ
Acirapakkantassāti pakkantassa sato na cireneva sabbo kāyo phuṭo ahosīti kesaggamattampi okāsaṃ avajjetvā sakalasarīraṃ aṭṭhīni bhinditvā uggatāhi pīḷakāhi ajjhotthaṭaṃ ahosi. Tattha yasmā buddhānubhāvena tathārūpaṃ kammaṃ buddhānaṃ sammukhībhāve vipākaṃ na deti, dassanūpacāre pana vijahitamatte deti, tasmā tassa acirapakkantassa pīḷakā uṭṭhahiṃsu. Teneva vuttaṃ ‘‘acirapakkantassa ca kokālikassā’’ti. Atha kasmā tattheva na aṭṭhāsīti ce? Kammānubhāvena. Okāsakatañhi kammaṃ avassaṃ vipaccati, taṃ tassa tattha ṭhātuṃ na deti. So kammānubhāvena codiyamāno uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Kaḷāyamattiyoti caṇakamattiyo . Beluvasalāṭukamattiyoti taruṇabeluvamattiyo. Pabhijjiṃsūti bhijjiṃsu. Tāsu bhinnāsu sakalasarīraṃ panasapakkaṃ viya ahosi. So pakkena gattena anayabyasanaṃ patvā dukkhābhibhūto jetavanadvārakoṭṭhake sayi. Atha dhammassavanatthaṃ āgatāgatā manussā taṃ disvā ‘‘dhi kokālika, dhi kokālika, ayuttamakāsi, attanoyeva mukhaṃ nissāya anayabyasanaṃ pattosī’’ti āhaṃsu. Tesaṃ sutvā ārakkhadevatā dhikkāraṃ akaṃsu, ārakkhadevatānaṃ ākāsaṭṭhadevatāti iminā upāyena yāva akaniṭṭhabhavanā ekadhikkāro udapādi.
ตทา จ ตุรู นาม ภิกฺขุ โกกาลิกสฺส อุปชฺฌาโย อนาคามิผลํ ปตฺวา สุทฺธาวาเสสุ นิพฺพโตฺต โหติฯ โสปิ สมาปตฺติยา วุฎฺฐิโต ตํ ธิกฺการํ สุตฺวา อาคมฺม โกกาลิกํ โอวทิ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเนสุ จิตฺตปฺปสาทชนนตฺถํฯ โส ตสฺสาปิ วจนํ อคฺคเหตฺวา อญฺญทตฺถุ ตเมว อปราเธตฺวา กาลํ กตฺวา ปทุมนิรเย อุปฺปชฺชิฯ เตนาห – ‘‘อถ โข โกกาลิโก ภิกฺขุ เตเนวาพาเธน…เป.… อาฆาเตตฺวา’’ติฯ
Tadā ca turū nāma bhikkhu kokālikassa upajjhāyo anāgāmiphalaṃ patvā suddhāvāsesu nibbatto hoti. Sopi samāpattiyā vuṭṭhito taṃ dhikkāraṃ sutvā āgamma kokālikaṃ ovadi sāriputtamoggallānesu cittappasādajananatthaṃ. So tassāpi vacanaṃ aggahetvā aññadatthu tameva aparādhetvā kālaṃ katvā padumaniraye uppajji. Tenāha – ‘‘atha kho kokāliko bhikkhu tenevābādhena…pe… āghātetvā’’ti.
อถ โข พฺรหฺมา สหมฺปตีติ โก อยํ พฺรหฺมา, กสฺมา จ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจาติ? อยํ กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน สหโก นาม ภิกฺขุ อนาคามี หุตฺวา สุทฺธาวาเสสุ อุปฺปโนฺน, ตตฺถ นํ ‘‘สหมฺปติ พฺรหฺมา’’ติ สญฺชานนฺติฯ โส ปน ‘‘อหํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปทุมนิรยํ กิเตฺตสฺสามิ, ตโต ภควา ภิกฺขูนํ อาโรเจสฺสติฯ กถานุสนฺธิกุสลา ภิกฺขู ตตฺถายุปฺปมาณํ ปุจฺฉิสฺสนฺติ, ภควา อาจิกฺขโนฺต อริยูปวาเท อาทีนวํ ปกาเสสฺสตี’’ติ อิมินา การเณน ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจฯ ภควา ตเถว อกาสิ, อญฺญตโรปิ ภิกฺขุ ปุจฺฉิฯ เตน จ ปุโฎฺฐ ‘‘เสยฺยถาปิ ภิกฺขู’’ติอาทิมาหฯ
Atha kho brahmā sahampatīti ko ayaṃ brahmā, kasmā ca bhagavantaṃ upasaṅkamitvā etadavocāti? Ayaṃ kassapassa bhagavato sāsane sahako nāma bhikkhu anāgāmī hutvā suddhāvāsesu uppanno, tattha naṃ ‘‘sahampati brahmā’’ti sañjānanti. So pana ‘‘ahaṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā padumanirayaṃ kittessāmi, tato bhagavā bhikkhūnaṃ ārocessati. Kathānusandhikusalā bhikkhū tatthāyuppamāṇaṃ pucchissanti, bhagavā ācikkhanto ariyūpavāde ādīnavaṃ pakāsessatī’’ti iminā kāraṇena bhagavantaṃ upasaṅkamitvā etadavoca. Bhagavā tatheva akāsi, aññataropi bhikkhu pucchi. Tena ca puṭṭho ‘‘seyyathāpi bhikkhū’’tiādimāha.
ตตฺถ วีสติขาริโกติ มาคธเกน ปเตฺถน จตฺตาโร ปตฺถา โกสลรเฎฺฐ เอโก ปโตฺถ โหติ, เตน ปเตฺถน จตฺตาโร ปตฺถา อาฬฺหกํ, จตฺตาริ อาฬฺหกานิ โทณํ, จตุโทณา มานิกา, จตุมานิกา ขารี, ตาย ขาริยา วีสติขาริโกฯ ติลวาโหติ ติลสกฎํฯ อพฺพุโท นิรโยติ อพฺพุโท นาม โกจิ ปเจฺจกนิรโย นตฺถิ, อวีจิมฺหิเยว อพฺพุทคณนาย ปจฺจโนกาโส ปน ‘‘อพฺพุโท นิรโย’’ติ วุโตฺตฯ เอส นโย นิรพฺพุทาทีสุฯ
Tattha vīsatikhārikoti māgadhakena patthena cattāro patthā kosalaraṭṭhe eko pattho hoti, tena patthena cattāro patthā āḷhakaṃ, cattāri āḷhakāni doṇaṃ, catudoṇā mānikā, catumānikā khārī, tāya khāriyā vīsatikhāriko. Tilavāhoti tilasakaṭaṃ. Abbudo nirayoti abbudo nāma koci paccekanirayo natthi, avīcimhiyeva abbudagaṇanāya paccanokāso pana ‘‘abbudo nirayo’’ti vutto. Esa nayo nirabbudādīsu.
ตตฺถ วสฺสคณนาปิ เอวํ เวทิตพฺพา – ยเถว หิ สตํ สตสหสฺสานิ โกฎิ โหติ, เอวํ สตํ สตสหสฺสโกฎิโย ปโกฎิ นาม โหติ, สตํ สตสหสฺสปโกฎิโย โกฎิปฺปโกฎิ นาม, สตํ สตสหสฺสโกฎิปฺปโกฎิโย นหุตํ, สตํ สตสหสฺสนหุตานิ นินฺนหุตํ, สตํ สตสหสฺสนินฺนหุตานิ เอกํ อพฺพุทํ, ตโต วีสติคุณํ นิรพฺพุทํฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ เกจิ ปน ‘‘ตตฺถ ตตฺถ ปริเทวนานเตฺตนปิ กมฺมกรณนานเตฺตนปิ อิมานิ นามานิ ลทฺธานี’’ติ วทนฺติ, อปเร ‘‘สีตนรกา เอว เอเต’’ติฯ
Tattha vassagaṇanāpi evaṃ veditabbā – yatheva hi sataṃ satasahassāni koṭi hoti, evaṃ sataṃ satasahassakoṭiyo pakoṭi nāma hoti, sataṃ satasahassapakoṭiyo koṭippakoṭi nāma, sataṃ satasahassakoṭippakoṭiyo nahutaṃ, sataṃ satasahassanahutāni ninnahutaṃ, sataṃ satasahassaninnahutāni ekaṃ abbudaṃ, tato vīsatiguṇaṃ nirabbudaṃ. Esa nayo sabbattha. Keci pana ‘‘tattha tattha paridevanānattenapi kammakaraṇanānattenapi imāni nāmāni laddhānī’’ti vadanti, apare ‘‘sītanarakā eva ete’’ti.
อถาปรนฺติ ตทตฺถวิเสสตฺถทีปกํ คาถาพนฺธํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปาฐวเสน วุตฺตวีสติคาถาสุ หิ เอตฺถ ‘‘สตํ สหสฺสาน’’นฺติ อยเมกา เอว คาถา วุตฺตตฺถทีปิกา, เสสา วิเสสตฺถทีปิกา เอว, อวสาเน คาถาทฺวยเมว ปน มหาอฎฺฐกถายํ วินิจฺฉิตปาเฐ นตฺถิฯ เตนาโวจุมฺห ‘‘วีสติคาถาสู’’ติฯ
Athāparanti tadatthavisesatthadīpakaṃ gāthābandhaṃ sandhāya vuttaṃ. Pāṭhavasena vuttavīsatigāthāsu hi ettha ‘‘sataṃ sahassāna’’nti ayamekā eva gāthā vuttatthadīpikā, sesā visesatthadīpikā eva, avasāne gāthādvayameva pana mahāaṭṭhakathāyaṃ vinicchitapāṭhe natthi. Tenāvocumha ‘‘vīsatigāthāsū’’ti.
๖๖๓. ตตฺถ กุฐารีติ อตฺตเจฺฉทกเฎฺฐน กุฐาริสทิสา ผรุสวาจาฯ ฉินฺทตีติ กุสลมูลสงฺขาตํ อตฺตโน มูลํเยว นิกนฺตติฯ
663. Tattha kuṭhārīti attacchedakaṭṭhena kuṭhārisadisā pharusavācā. Chindatīti kusalamūlasaṅkhātaṃ attano mūlaṃyeva nikantati.
๖๖๔. นินฺทิยนฺติ นินฺทิตพฺพํฯ ตํ วา นินฺทติ โย ปสํสิโยติ โย อุตฺตมเฎฺฐน ปสํสารโห ปุคฺคโล, ตํ วา โส ปาปิจฺฉตาทีนิ อาโรเปตฺวา ครหติฯ วิจินาตีติ อุปจินาติฯ กลินฺติ อปราธํฯ
664.Nindiyanti ninditabbaṃ. Taṃ vā nindati yo pasaṃsiyoti yo uttamaṭṭhena pasaṃsāraho puggalo, taṃ vā so pāpicchatādīni āropetvā garahati. Vicinātīti upacināti. Kalinti aparādhaṃ.
๖๖๕. อยํ กลีติ อยํ อปราโธฯ อเกฺขสูติ ชูตกีฬนอเกฺขสุฯ สพฺพสฺสาปิ สหาปิ อตฺตนาติ สเพฺพน อตฺตโน ธเนนปิ อตฺตนาปิ สทฺธิํฯ สุคเตสูปิ สุฎฺฐุ คตตฺตา, สุนฺทรญฺจ ฐานํ คตตฺตา สุคตนามเกสุ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวเกสุฯ มนํ ปโทสเยติ โย มนํ ปทูเสยฺยฯ ตสฺสายํ มโนปโทโส เอว มหตฺตโร กลีติ วุตฺตํ โหติฯ
665.Ayaṃ kalīti ayaṃ aparādho. Akkhesūti jūtakīḷanaakkhesu. Sabbassāpi sahāpi attanāti sabbena attano dhanenapi attanāpi saddhiṃ. Sugatesūpi suṭṭhu gatattā, sundarañca ṭhānaṃ gatattā sugatanāmakesu buddhapaccekabuddhasāvakesu. Manaṃ padosayeti yo manaṃ padūseyya. Tassāyaṃ manopadoso eva mahattaro kalīti vuttaṃ hoti.
๖๖๖. กสฺมา? ยสฺมา สตํ สหสฺสานํ…เป.… ปาปกํ, ยสฺมา วสฺสคณนาย เอตฺตโก โส กาโล, ยํ กาลํ อริยครหี วาจํ มนญฺจ ปณิธาย ปาปกํ นิรยํ อุเปติ, ตตฺถ ปจฺจตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิทญฺหิ สเงฺขเปน ปทุมนิรเย อายุปฺปมาณํฯ
666. Kasmā? Yasmā sataṃ sahassānaṃ…pe… pāpakaṃ, yasmā vassagaṇanāya ettako so kālo, yaṃ kālaṃ ariyagarahīvācaṃ manañca paṇidhāya pāpakaṃ nirayaṃ upeti, tattha paccatīti vuttaṃ hoti. Idañhi saṅkhepena padumaniraye āyuppamāṇaṃ.
๖๖๗. อิทานิ อปเรนปิ นเยน ‘‘อยเมว มหตฺตโร กลิ, โย สุคเตสุ มนํ ปทูสเย’’ติ อิมมตฺถํ วิภาเวโนฺต ‘‘อภูตวาที’’ติ อาทิมาหฯ ตตฺถ อภูตวาทีติ อริยูปวาทวเสน อลิกวาทีฯ นิรยนฺติ ปทุมาทิํฯ เปจฺจ สมา ภวนฺตีติ อิโต ปฎิคนฺตฺวา นิรยูปปตฺติยา สมา ภวนฺติฯ ปรตฺถาติ ปรโลเกฯ
667. Idāni aparenapi nayena ‘‘ayameva mahattaro kali, yo sugatesu manaṃ padūsaye’’ti imamatthaṃ vibhāvento ‘‘abhūtavādī’’ti ādimāha. Tattha abhūtavādīti ariyūpavādavasena alikavādī. Nirayanti padumādiṃ. Pecca samā bhavantīti ito paṭigantvā nirayūpapattiyā samā bhavanti. Paratthāti paraloke.
๖๖๘. กิญฺจ ภิโยฺย – โย อปฺปทุฎฺฐสฺสาติฯ ตตฺถ มโนปโทสาภาเวน อปฺปทุโฎฺฐ, อวิชฺชามลาภาเวน สุโทฺธ, ปาปิจฺฉาภาเวน อนงฺคโณติ เวทิตโพฺพฯ อปฺปทุฎฺฐตฺตา วา สุทฺธสฺส, สุทฺธตฺตา อนงฺคณสฺสาติ เอวเมฺปตฺถ โยเชตพฺพํฯ
668. Kiñca bhiyyo – yo appaduṭṭhassāti. Tattha manopadosābhāvena appaduṭṭho, avijjāmalābhāvena suddho, pāpicchābhāvena anaṅgaṇoti veditabbo. Appaduṭṭhattā vā suddhassa, suddhattā anaṅgaṇassāti evampettha yojetabbaṃ.
๖๖๙. เอวํ สุคเตสุ มโนปโทสสฺส มหตฺตรกลิภาวํ สาเธตฺวา อิทานิ วาริตวตฺถุคาถา นาม จุทฺทส คาถา อาหฯ อิมา กิร โกกาลิกํ มียมานเมว โอวทเนฺตนายสฺมตา มหาโมคฺคลฺลาเนน วุตฺตา, ‘‘มหาพฺรหฺมุนา’’ติ เอเกฯ ตาสํ อิมินา สุเตฺตน สทฺธิํ เอกสงฺคหตฺถํ อยมุเทฺทโส ‘‘โย โลภคุเณ อนุยุโตฺต’’ติอาทิฯ ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาว ‘‘คุโณ’’ติ นิทฺทิฎฺฐตฺตา อเนกกฺขตฺตุํ ปวตฺตตฺตา วา โลโภเยว โลภคุโณ, ตณฺหาเยตํ อธิวจนํฯ อวทญฺญูติ อวจนญฺญู พุทฺธานมฺปิ โอวาทํ อคฺคหเณนฯ มจฺฉรีติ ปญฺจวิธมจฺฉริเยนฯ เปสุณิยํ อนุยุโตฺตติ อคฺคสาวกานํ เภทกามตายฯ เสสํ ปากฎเมวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย, อาวุโส โกกาลิก, ตุมฺหาทิโส อนุยุตฺตโลภตณฺหาย โลภคุเณ อนุยุโตฺต อสฺสโทฺธ กทริโย อวทญฺญู มจฺฉรี เปสุณิยํ อนุยุโตฺต, โส วจสา ปริภาสติ อญฺญํ อภาสเนยฺยมฺปิ ปุคฺคลํฯ เตน ตํ วทามิ ‘‘มุขทุคฺคา’’ติ คาถาตฺตยํฯ
669. Evaṃ sugatesu manopadosassa mahattarakalibhāvaṃ sādhetvā idāni vāritavatthugāthā nāma cuddasa gāthā āha. Imā kira kokālikaṃ mīyamānameva ovadantenāyasmatā mahāmoggallānena vuttā, ‘‘mahābrahmunā’’ti eke. Tāsaṃ iminā suttena saddhiṃ ekasaṅgahatthaṃ ayamuddeso ‘‘yo lobhaguṇe anuyutto’’tiādi. Tattha paṭhamagāthāya tāva ‘‘guṇo’’ti niddiṭṭhattā anekakkhattuṃ pavattattā vā lobhoyeva lobhaguṇo, taṇhāyetaṃ adhivacanaṃ. Avadaññūti avacanaññū buddhānampi ovādaṃ aggahaṇena. Maccharīti pañcavidhamacchariyena. Pesuṇiyaṃ anuyuttoti aggasāvakānaṃ bhedakāmatāya. Sesaṃ pākaṭameva. Idaṃ vuttaṃ hoti – yo, āvuso kokālika, tumhādiso anuyuttalobhataṇhāya lobhaguṇe anuyutto assaddho kadariyo avadaññū maccharī pesuṇiyaṃ anuyutto, so vacasā paribhāsati aññaṃ abhāsaneyyampi puggalaṃ. Tena taṃ vadāmi ‘‘mukhaduggā’’ti gāthāttayaṃ.
๖๗๐. ตสฺสายํ อนุตฺตานปทโตฺถ – มุขทุคฺค มุขวิสม, วิภูต วิคตภูต, อลิกวาทิ, อนริย อสปฺปุริส, ภูนหุ ภูติหนก, วุฑฺฒินาสก, ปุริสนฺต อนฺติมปุริส, กลิ อลกฺขิปุริส, อวชาต พุทฺธสฺส อวชาตปุตฺตฯ
670. Tassāyaṃ anuttānapadattho – mukhadugga mukhavisama, vibhūta vigatabhūta, alikavādi, anariya asappurisa, bhūnahu bhūtihanaka, vuḍḍhināsaka, purisanta antimapurisa, kali alakkhipurisa, avajāta buddhassa avajātaputta.
๖๗๑. รชมากิรสีติ กิเลสรชํ อตฺตนิ ปกฺขิปสิฯ ปปตนฺติ โสพฺภํฯ ‘‘ปปาต’’นฺติปิ ปาโฐ, โส เอวโตฺถฯ ‘‘ปปท’’นฺติปิ ปาโฐ, มหานิรยนฺติ อโตฺถฯ
671.Rajamākirasīti kilesarajaṃ attani pakkhipasi. Papatanti sobbhaṃ. ‘‘Papāta’’ntipi pāṭho, so evattho. ‘‘Papada’’ntipi pāṭho, mahānirayanti attho.
๖๗๒. เอติ หตนฺติ เอตฺถ ห-อิติ นิปาโต, ตนฺติ ตํ กุสลากุสลกมฺมํฯ อถ วา หตนฺติ คตํ ปฎิปนฺนํ, อุปจิตนฺติ อโตฺถฯ สุวามีติ สามิ ตสฺส กมฺมสฺส กตตฺตาฯ โส หิ ตํ กมฺมํ ลภเตว, นาสฺส ตํ นสฺสตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยสฺมา จ ลภติ, ตสฺมา ทุกฺขํ มโนฺท…เป.… กิพฺพิสการีฯ
672.Eti hatanti ettha ha-iti nipāto, tanti taṃ kusalākusalakammaṃ. Atha vā hatanti gataṃ paṭipannaṃ, upacitanti attho. Suvāmīti sāmi tassa kammassa katattā. So hi taṃ kammaṃ labhateva, nāssa taṃ nassatīti vuttaṃ hoti. Yasmā ca labhati, tasmā dukkhaṃ mando…pe… kibbisakārī.
๖๗๓. อิทานิ ยํ ทุกฺขํ มโนฺท ปสฺสติ, ตํ ปกาเสโนฺต ‘‘อโยสงฺกุสมาหตฎฺฐาน’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปุริมอุปฑฺฒคาถาย ตาว อโตฺถ – ยํ ตํ อโยสงฺกุสมาหตฎฺฐานํ สนฺธาย ภควตา ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา ปญฺจวิธพนฺธนํ นาม การณํ กโรนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๕๐; อ. นิ. ๓.๓๖) วุตฺตํ, ตํ อุเปติ, เอวํ อุเปโนฺต จ ตเตฺถว อาทิตฺตาย โลหปถวิยา นิปชฺชาเปตฺวา นิรยปาเลหิ ปญฺจสุ ฐาเนสุ อาโกฎิยมานํ ตตฺตํ ขิลสงฺขาตํ ติณฺหธารมยสูลมุเปติ, ยํ สนฺธาย ภควตา วุตฺตํ ‘‘ตตฺตํ อโยขิลํ หเตฺถ คเมนฺตี’’ติอาทิฯ ตโต ปรา อุปฑฺฒคาถา อเนกานิ วสฺสสหสฺสานิ ตตฺถ ปจฺจิตฺวา ปกฺกาวเสสานุภวนตฺถํ อนุปุเพฺพน ขาโรทกนทีตีรํ คตสฺส ยํ ตํ ‘‘ตตฺตํ อโยคุฬํ มุเข ปกฺขิปนฺติ, ตตฺตํ ตมฺพโลหํ มุเข อาสิญฺจนฺตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตตฺถ อโยติ โลหํฯ คุฬสนฺนิภนฺติ เพลุวสณฺฐานํฯ อโยคหเณน เจตฺถ ตมฺพโลหํ, อิตเรน อโยคุฬํ เวทิตพฺพํฯ ปติรูปนฺติ กตกมฺมานุรูปํฯ
673. Idāni yaṃ dukkhaṃ mando passati, taṃ pakāsento ‘‘ayosaṅkusamāhataṭṭhāna’’ntiādimāha. Tattha purimaupaḍḍhagāthāya tāva attho – yaṃ taṃ ayosaṅkusamāhataṭṭhānaṃ sandhāya bhagavatā ‘‘tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā pañcavidhabandhanaṃ nāma kāraṇaṃ karontī’’ti (ma. ni. 3.250; a. ni. 3.36) vuttaṃ, taṃ upeti, evaṃ upento ca tattheva ādittāya lohapathaviyā nipajjāpetvā nirayapālehi pañcasu ṭhānesu ākoṭiyamānaṃ tattaṃ khilasaṅkhātaṃ tiṇhadhāramayasūlamupeti, yaṃ sandhāya bhagavatā vuttaṃ ‘‘tattaṃ ayokhilaṃ hatthe gamentī’’tiādi. Tato parā upaḍḍhagāthā anekāni vassasahassāni tattha paccitvā pakkāvasesānubhavanatthaṃ anupubbena khārodakanadītīraṃ gatassa yaṃ taṃ ‘‘tattaṃ ayoguḷaṃ mukhe pakkhipanti, tattaṃ tambalohaṃ mukhe āsiñcantī’’ti vuttaṃ, taṃ sandhāya vuttaṃ. Tattha ayoti lohaṃ. Guḷasannibhanti beluvasaṇṭhānaṃ. Ayogahaṇena cettha tambalohaṃ, itarena ayoguḷaṃ veditabbaṃ. Patirūpanti katakammānurūpaṃ.
๖๗๔. ตโต ปราสุ คาถาสุ น หิ วคฺคูติ ‘‘คณฺหถ, ปหรถา’’ติอาทีนิ วทนฺตา นิรยปาลา มธุรวาจํ น วทนฺติฯ นาภิชวนฺตีติ น สุมุขภาเวน อภิมุขา ชวนฺติ, น สุมุขา อุปสงฺกมนฺติ, อนยพฺยสนมาวหนฺตา เอว อุปสงฺกมนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ น ตาณมุเปนฺตีติ ตาณํ เลณํ ปฎิสรณํ หุตฺวา น อุปคจฺฉนฺติ, คณฺหนฺตา หนนฺตา เอว อุเปนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ องฺคาเร สนฺถเต สยนฺตีติ องฺคารปพฺพตํ อาโรปิตา สมานา อเนกานิ วสฺสสหสฺสานิ สนฺถเต องฺคาเร เสนฺติฯ คินิสมฺปชฺชลิตนฺติ สมนฺตโต ชลิตํ สพฺพทิสาสุ จ สมฺปชฺชลิตํ อคฺคิํฯ ปวิสนฺตีติ มหานิรเย ปกฺขิตฺตา สมานา โอคาหนฺติฯ มหานิรโย นาม โย โส ‘‘จตุกฺกโณฺณ’’ติ (อ. นิ. ๓.๓๖) วุโตฺต, นํ โยชนสเต ฐตฺวา ปสฺสตํ อกฺขีนิ ภิชฺชนฺติฯ
674. Tato parāsu gāthāsu na hi vaggūti ‘‘gaṇhatha, paharathā’’tiādīni vadantā nirayapālā madhuravācaṃ na vadanti. Nābhijavantīti na sumukhabhāvena abhimukhā javanti, na sumukhā upasaṅkamanti, anayabyasanamāvahantā eva upasaṅkamantīti vuttaṃ hoti. Na tāṇamupentīti tāṇaṃ leṇaṃ paṭisaraṇaṃ hutvā na upagacchanti, gaṇhantā hanantā eva upentīti vuttaṃ hoti. Aṅgāre santhate sayantīti aṅgārapabbataṃ āropitā samānā anekāni vassasahassāni santhate aṅgāre senti. Ginisampajjalitanti samantato jalitaṃ sabbadisāsu ca sampajjalitaṃ aggiṃ. Pavisantīti mahāniraye pakkhittā samānā ogāhanti. Mahānirayo nāma yo so ‘‘catukkaṇṇo’’ti (a. ni. 3.36) vutto, naṃ yojanasate ṭhatvā passataṃ akkhīni bhijjanti.
๖๗๕. ชาเลน จ โอนหิยานาติ อโยชาเลน ปลิเวเฐตฺวา มิคลุทฺทกา มิคํ วิย หนนฺติฯ อิทํ เทวทูเต อวุตฺตกมฺมการณํฯ อนฺธํว ติมิสมายนฺตีติ อนฺธกรเณน อนฺธเมว พหลนฺธการตฺตา ‘‘ติมิส’’นฺติ สญฺญิตํ ธูมโรรุวํ นาม นรกํ คจฺฉนฺติฯ ตตฺร กิร เนสํ ขรธูมํ ฆายิตฺวา อกฺขีนิ ภิชฺชนฺติ, เตน ‘‘อนฺธํวา’’ติ วุตฺตํฯ ตํ วิตตญฺหิ ยถา มหิกาโยติ ตญฺจ อนฺธติมิสํ มหิกาโย วิย วิตตํ โหตีติ อโตฺถฯ ‘‘วิตฺถต’’นฺติปิ ปาโฐฯ อิทมฺปิ เทวทูเต อวุตฺตกมฺมการณเมวฯ
675.Jālena ca onahiyānāti ayojālena paliveṭhetvā migaluddakā migaṃ viya hananti. Idaṃ devadūte avuttakammakāraṇaṃ. Andhaṃva timisamāyantīti andhakaraṇena andhameva bahalandhakārattā ‘‘timisa’’nti saññitaṃ dhūmaroruvaṃ nāma narakaṃ gacchanti. Tatra kira nesaṃ kharadhūmaṃ ghāyitvā akkhīni bhijjanti, tena ‘‘andhaṃvā’’ti vuttaṃ. Taṃ vitatañhi yathā mahikāyoti tañca andhatimisaṃ mahikāyo viya vitataṃ hotīti attho. ‘‘Vitthata’’ntipi pāṭho. Idampi devadūte avuttakammakāraṇameva.
๖๗๖. อถ โลหมยนฺติ อยํ ปน โลหกุมฺภี ปถวิปริยนฺติกา จตุนหุตาธิกานิ เทฺวโยชนสตสหสฺสานิ คมฺภีรา สมติตฺติกา ตตฺรโลหปูรา โหติฯ ปจฺจนฺติ หิ ตาสุ จิรรตฺตนฺติ ตาสุ กุมฺภีสุ ทีฆรตฺตํ ปจฺจนฺติฯ อคฺคินิสมาสูติ อคฺคิสมาสุ ฯ สมุปฺปิลวาเตติ สมุปฺปิลวนฺตา , สกิมฺปิ อุทฺธํ สกิมฺปิ อโธ คจฺฉมานา เผณุเทฺทหกํ ปจฺจนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ เทวทูเต วุตฺตนเยเนว ตํ เวทิตพฺพํฯ
676.Atha lohamayanti ayaṃ pana lohakumbhī pathavipariyantikā catunahutādhikāni dveyojanasatasahassāni gambhīrā samatittikā tatralohapūrā hoti. Paccanti hi tāsu cirarattanti tāsu kumbhīsu dīgharattaṃ paccanti. Agginisamāsūti aggisamāsu . Samuppilavāteti samuppilavantā , sakimpi uddhaṃ sakimpi adho gacchamānā pheṇuddehakaṃ paccantīti vuttaṃ hoti. Devadūte vuttanayeneva taṃ veditabbaṃ.
๖๗๗. ปุพฺพโลหิตมิเสฺสติ ปุพฺพโลหิตมิสฺสาย โลหกุมฺภิยาฯ ตตฺถ กินฺติ ตตฺถฯ ยํ ยํ ทิสกนฺติ ทิสํ วิทิสํฯ อธิเสตีติ คจฺฉติฯ ‘‘อภิเสตี’’ติปิ ปาโฐ, ตตฺถ ยํ ยํ ทิสํ อลฺลียติ อปสฺสยตีติ อโตฺถฯ กิลิสฺสตีติ พาธียติฯ ‘‘กิลิชฺชตี’’ติปิ ปาโฐ, ปูติ โหตีติ อโตฺถฯ สมฺผุสมาโนติ เตน ปุพฺพโลหิเตน ผุโฎฺฐ สมาโนฯ อิทมฺปิ เทวทูเต อวุตฺตกมฺมการณํฯ
677.Pubbalohitamisseti pubbalohitamissāya lohakumbhiyā. Tattha kinti tattha. Yaṃ yaṃ disakanti disaṃ vidisaṃ. Adhisetīti gacchati. ‘‘Abhisetī’’tipi pāṭho, tattha yaṃ yaṃ disaṃ allīyati apassayatīti attho. Kilissatīti bādhīyati. ‘‘Kilijjatī’’tipi pāṭho, pūti hotīti attho. Samphusamānoti tena pubbalohitena phuṭṭho samāno. Idampi devadūte avuttakammakāraṇaṃ.
๖๗๘. ปุฬวาวสเถติ ปุฬวานํ อาวาเสฯ อยมฺปิ โลหกุมฺภีเยว เทวทูเต ‘‘คูถนิรโย’’ติ วุตฺตา, ตตฺถ ปติตสฺส สูจิมุขปาณา ฉวิอาทีนิ ฉินฺทิตฺวา อฎฺฐิมิญฺชํ ขาทนฺติฯ คนฺตุํ น หิ ตีรมปตฺถีติ อปคนฺตุํ น หิ ตีรํ อตฺถิฯ ‘‘ตีรวมตฺถี’’ติปิ ปาโฐ, โสเยวโตฺถฯ ตีรเมว เอตฺถ ‘‘ตีรว’’นฺติ วุตฺตํฯ สพฺพสมา หิ สมนฺตกปลฺลาติ ยสฺมา ตสฺสา กุมฺภิยา อุปริภาเคปิ นิกุชฺชิตตฺตา สพฺพตฺถ สมา สมนฺตโต กฎาหา, ตสฺมา อปคนฺตุํ ตีรํ นตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ
678.Puḷavāvasatheti puḷavānaṃ āvāse. Ayampi lohakumbhīyeva devadūte ‘‘gūthanirayo’’ti vuttā, tattha patitassa sūcimukhapāṇā chaviādīni chinditvā aṭṭhimiñjaṃ khādanti. Gantuṃ na hi tīramapatthīti apagantuṃ na hi tīraṃ atthi. ‘‘Tīravamatthī’’tipi pāṭho, soyevattho. Tīrameva ettha ‘‘tīrava’’nti vuttaṃ. Sabbasamā hi samantakapallāti yasmā tassā kumbhiyā uparibhāgepi nikujjitattā sabbattha samā samantato kaṭāhā, tasmā apagantuṃ tīraṃ natthīti vuttaṃ hoti.
๖๗๙. อสิปตฺตวนํ เทวทูเต วุตฺตนยเมวฯ ตญฺหิ ทูรโต รมณียํ อมฺพวนํ วิย ทิสฺสติ, อเถตฺถ โลเภน เนรยิกา ปวิสนฺติ, ตโต เนสํ วาเตริตานิ ปตฺตานิ ปติตฺวา องฺคปจฺจงฺคานิ ฉินฺทนฺติฯ เตนาห – ‘‘ตํ ปวิสนฺติ สมุจฺฉิทคตฺตา’’ติฯ ตํ ปวิสนฺติ ตโต สุฎฺฐุ ฉินฺนคตฺตา โหนฺตีติฯ ชิวฺหํ พฬิเสน คเหตฺวา อารชยารชยา วิหนนฺตีติ ตตฺถ อสิปตฺตวเน เวเคน ธาวิตฺวา ปติตานํ มุสาวาทีนํ เนรยิกานํ นิรยปาลา ชิวฺหํ พฬิเสน นิกฺกฑฺฒิตฺวา ยถา มนุสฺสา อลฺลจมฺมํ ภูมิยํ ปตฺถริตฺวา ขิเลหิ อาโกเฎนฺติ, เอวํ อาโกเฎตฺวา ผรสูหิ ผาเลตฺวา ผาเลตฺวา เอกเมกํ โกฎิํ ฉิเนฺทตฺวา วิหนนฺติ, ฉินฺนฉินฺนา โกฎิ ปุนปฺปุนํ สมุฎฺฐาติฯ ‘‘อารจยารจยา’’ติปิ ปาโฐ, อาวิญฺฉิตฺวา อาวิญฺฉิตฺวาติ อโตฺถฯ เอตมฺปิ เทวทูเต อวุตฺตกมฺมการณํฯ
679.Asipattavanaṃ devadūte vuttanayameva. Tañhi dūrato ramaṇīyaṃ ambavanaṃ viya dissati, athettha lobhena nerayikā pavisanti, tato nesaṃ vāteritāni pattāni patitvā aṅgapaccaṅgāni chindanti. Tenāha – ‘‘taṃ pavisanti samucchidagattā’’ti. Taṃ pavisanti tato suṭṭhu chinnagattā hontīti. Jivhaṃ baḷisena gahetvā ārajayārajayā vihanantīti tattha asipattavane vegena dhāvitvā patitānaṃ musāvādīnaṃ nerayikānaṃ nirayapālā jivhaṃ baḷisena nikkaḍḍhitvā yathā manussā allacammaṃ bhūmiyaṃ pattharitvā khilehi ākoṭenti, evaṃ ākoṭetvā pharasūhi phāletvā phāletvā ekamekaṃ koṭiṃ chindetvā vihananti, chinnachinnā koṭi punappunaṃ samuṭṭhāti. ‘‘Āracayāracayā’’tipi pāṭho, āviñchitvā āviñchitvāti attho. Etampi devadūte avuttakammakāraṇaṃ.
๖๘๐. เวตรณินฺติ เทวทูเต ‘‘มหตี ขาโรทกา นที’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๖๙) วุตฺตนทิํฯ สา กิร คงฺคา วิย อุทกภริตา ทิสฺสติฯ อเถตฺถ นฺหายิสฺสาม ปิวิสฺสามาติ เนรยิกา ปตนฺติฯ ติณฺหธารขุรธารนฺติ ติณฺหธารํ ขุรธารํ, ติกฺขธารขุรธารวตินฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺสา กิร นทิยา อุทฺธมโธ อุภยตีเรสุ จ ติณฺหธารา ขุรา ปฎิปาฎิยา ฐปิตา วิย ติฎฺฐนฺติ, เตน สา ‘‘ติณฺหธารา ขุรธารา’’ติ วุจฺจติฯ ตํ ติณฺหธารขุรธารํ อุทกาสาย อุเปนฺติ อลฺลียนฺตีติ อโตฺถฯ เอวํ อุเปนฺตา จ ปาปกเมฺมน โจทิตา ตตฺถ มนฺทา ปปตนฺติ พาลาติ อโตฺถฯ
680.Vetaraṇinti devadūte ‘‘mahatī khārodakā nadī’’ti (ma. ni. 3.269) vuttanadiṃ. Sā kira gaṅgā viya udakabharitā dissati. Athettha nhāyissāma pivissāmāti nerayikā patanti. Tiṇhadhārakhuradhāranti tiṇhadhāraṃ khuradhāraṃ, tikkhadhārakhuradhāravatinti vuttaṃ hoti. Tassā kira nadiyā uddhamadho ubhayatīresu ca tiṇhadhārā khurā paṭipāṭiyā ṭhapitā viya tiṭṭhanti, tena sā ‘‘tiṇhadhārā khuradhārā’’ti vuccati. Taṃ tiṇhadhārakhuradhāraṃ udakāsāya upenti allīyantīti attho. Evaṃ upentā ca pāpakammena coditā tattha mandā papatanti bālāti attho.
๖๘๑. สามา สพลาติ เอตํ ปรโต ‘‘โสณา’’ติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ สามวณฺณา กมฺมาสวณฺณา จ โสณา ขาทนฺตีติ วุตฺตํ โหติ ฯ กาโกลคณาติ กณฺหกากคณาฯ ปฎิคิทฺธาติ สุฎฺฐุ สญฺชาตเคธา หุตฺวา, ‘‘มหาคิชฺฌา’’ติ เอเกฯ กุลลาติ กุลลปกฺขิโน, ‘‘เสนานเมตํ นาม’’นฺติ เอเกฯ วายสาติ อกณฺหกากาฯ อิทมฺปิ เทวทูเต อวุตฺตกมฺมการณํฯ ตตฺถ วุตฺตานิปิ ปน กานิจิ อิธ น วุตฺตานิ, ตานิ เอเตสํ ปุริมปจฺฉิมภาคตฺตา วุตฺตาเนว โหนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ
681.Sāmā sabalāti etaṃ parato ‘‘soṇā’’ti iminā yojetabbaṃ. Sāmavaṇṇā kammāsavaṇṇā ca soṇā khādantīti vuttaṃ hoti . Kākolagaṇāti kaṇhakākagaṇā. Paṭigiddhāti suṭṭhu sañjātagedhā hutvā, ‘‘mahāgijjhā’’ti eke. Kulalāti kulalapakkhino, ‘‘senānametaṃ nāma’’nti eke. Vāyasāti akaṇhakākā. Idampi devadūte avuttakammakāraṇaṃ. Tattha vuttānipi pana kānici idha na vuttāni, tāni etesaṃ purimapacchimabhāgattā vuttāneva hontīti veditabbāni.
๖๘๒. อิทานิ สพฺพเมเวตํ นรกวุตฺติํ ทเสฺสตฺวา โอวทโนฺต ‘‘กิจฺฉา วตาย’’นฺติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – กิจฺฉา วต อยํ อิธ นรเก นานปฺปการกมฺมกรณเภทา วุตฺติ, ยํ ชโน ผุสติ กิพฺพิสการีฯ ตสฺมา อิธ ชีวิตเสเส ชีวิตสนฺตติยา วิชฺชมานาย อิธ โลเก ฐิโตเยว สมาโน สรณคมนาทิกุสลธมฺมานุฎฺฐาเนน กิจฺจกโร นโร สิยา ภเวยฺยฯ กิจฺจกโร ภวโนฺตปิ จ สาตจฺจการิตาวเสเนว ภเวยฺย, น ปมเชฺช มุหุตฺตมฺปิ น ปมาทมาปเชฺชยฺยาติ อยเมตฺถ สมุจฺจยวณฺณนาฯ ยสฺมา ปน วุตฺตาวเสสานิ ปทานิ ปุเพฺพ วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานตฺถตฺตา จ สุวิเญฺญยฺยาเนว, ตสฺมา อนุปทวณฺณนา น กตาติฯ
682. Idāni sabbamevetaṃ narakavuttiṃ dassetvā ovadanto ‘‘kicchā vatāya’’nti gāthamāha. Tassattho – kicchā vata ayaṃ idha narake nānappakārakammakaraṇabhedā vutti, yaṃ jano phusati kibbisakārī. Tasmā idha jīvitasese jīvitasantatiyā vijjamānāya idha loke ṭhitoyeva samāno saraṇagamanādikusaladhammānuṭṭhānena kiccakaro naro siyā bhaveyya. Kiccakaro bhavantopi ca sātaccakāritāvaseneva bhaveyya, na pamajje muhuttampi na pamādamāpajjeyyāti ayamettha samuccayavaṇṇanā. Yasmā pana vuttāvasesāni padāni pubbe vuttanayattā uttānatthattā ca suviññeyyāneva, tasmā anupadavaṇṇanā na katāti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย โกกาลิกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya kokālikasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๐. โกกาลิกสุตฺตํ • 10. Kokālikasuttaṃ