Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / พุทฺธวํส-อฎฺฐกถา • Buddhavaṃsa-aṭṭhakathā

    ๔. โกณฺฑญฺญพุทฺธวํสวณฺณนา

    4. Koṇḍaññabuddhavaṃsavaṇṇanā

    ทีปงฺกเร กิร ภควติ ปรินิพฺพุเต ตสฺส สาสนํ วสฺสสตสหสฺสํ ปวตฺติตฺถฯ อถ พุทฺธานุพุทฺธานํ สาวกานํ อนฺตรธาเนน สาสนมฺปิสฺส อนฺตรธายิฯ อถสฺส อปรภาเค เอกมสเงฺขฺยยฺยมติกฺกมิตฺวา เอกสฺมิํ กเปฺป โกณฺฑโญฺญ นาม สตฺถา อุทปาทิฯ โส ปน ภควา โสฬสอสเงฺขฺยยฺยํ กปฺปานญฺจ สตสหสฺสํ ปารมิโย ปูเรตฺวา โพธิญาณํ ปริปาเจตฺวา เวสฺสนฺตรตฺตภาวสทิเส อตฺตภาเว ฐตฺวา ตโต จวิตฺวา ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา เทวตานํ ปฎิญฺญํ ทตฺวา ตุสิตปุรโต จวิตฺวา รมฺมวตีนคเร สุนนฺทสฺส นาม รโญฺญ กุเล สุชาตาย นาม เทวิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ ตสฺสปิ ปฎิสนฺธิกฺขเณ ทีปงฺกรพุทฺธวํเส วุตฺตปฺปการานิ ทฺวตฺติํส ปาฎิหาริยานิ นิพฺพตฺติํสุฯ โส เทวตาหิ กตารกฺขสํวิธาโน ทสนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิตฺวา สพฺพสตฺตุตฺตโร อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คนฺตฺวา สพฺพา จ ทิสา วิโลเกตฺวา อาสภิํ วาจํ นิจฺฉาเรสิ – ‘‘อโคฺคหมสฺมิ โลกสฺส, เชโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺส, เสโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺส, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๑; ม. นิ. ๓.๒๐๗)ฯ

    Dīpaṅkare kira bhagavati parinibbute tassa sāsanaṃ vassasatasahassaṃ pavattittha. Atha buddhānubuddhānaṃ sāvakānaṃ antaradhānena sāsanampissa antaradhāyi. Athassa aparabhāge ekamasaṅkhyeyyamatikkamitvā ekasmiṃ kappe koṇḍañño nāma satthā udapādi. So pana bhagavā soḷasaasaṅkhyeyyaṃ kappānañca satasahassaṃ pāramiyo pūretvā bodhiñāṇaṃ paripācetvā vessantarattabhāvasadise attabhāve ṭhatvā tato cavitvā tusitapure nibbattitvā tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā devatānaṃ paṭiññaṃ datvā tusitapurato cavitvā rammavatīnagare sunandassa nāma rañño kule sujātāya nāma deviyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ aggahesi. Tassapi paṭisandhikkhaṇe dīpaṅkarabuddhavaṃse vuttappakārāni dvattiṃsa pāṭihāriyāni nibbattiṃsu. So devatāhi katārakkhasaṃvidhāno dasannaṃ māsānaṃ accayena mātukucchito nikkhamitvā sabbasattuttaro uttarābhimukho sattapadavītihārena gantvā sabbā ca disā viloketvā āsabhiṃ vācaṃ nicchāresi – ‘‘aggohamasmi lokassa, jeṭṭhohamasmi lokassa, seṭṭhohamasmi lokassa, ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavo’’ti (dī. ni. 2.31; ma. ni. 3.207).

    ตโต กุมารสฺส นามกรณทิวเส นามํ กโรนฺตา ‘‘โกณฺฑโญฺญ’’ติ นามมกํสุฯ โส หิ ภควา โกณฺฑญฺญโคโตฺต อโหสิฯ ตสฺส กิร ตโย ปาสาทา อเหสุํ – ราม, สุราม, สุภนามกา ปรมรมณียาฯ เตสุ ตีณิ สตสหสฺสานิ นาฎกิตฺถีนํ นจฺจคีตวาทิตกุสลานํ สพฺพกาลํ ปจฺจุปฎฺฐิตานิ อเหสุํฯ ตสฺส รุจิเทวี นาม อคฺคมเหสี อโหสิฯ วิชิตเสโน นามสฺส ปุโตฺต อโหสิฯ โส ทสวสฺสสหสฺสานิ อคารํ อชฺฌาวสิฯ

    Tato kumārassa nāmakaraṇadivase nāmaṃ karontā ‘‘koṇḍañño’’ti nāmamakaṃsu. So hi bhagavā koṇḍaññagotto ahosi. Tassa kira tayo pāsādā ahesuṃ – rāma, surāma, subhanāmakā paramaramaṇīyā. Tesu tīṇi satasahassāni nāṭakitthīnaṃ naccagītavāditakusalānaṃ sabbakālaṃ paccupaṭṭhitāni ahesuṃ. Tassa rucidevī nāma aggamahesī ahosi. Vijitaseno nāmassa putto ahosi. So dasavassasahassāni agāraṃ ajjhāvasi.

    โส ปน ชิณฺณพฺยาธิมตปพฺพชิเต ทิสฺวา อาชญฺญรเถน นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิตฺวา ทส มาเส ปธานจริยํ จริฯ โกณฺฑญฺญกุมารํ ปน ปพฺพชนฺตํ ทส ชนโกฎิโย อนุปพฺพชิํสุฯ โส เตหิ ปริวุโต ทส มาเส ปธานจริยํ จริตฺวา วิสาขปุณฺณมาย สุนนฺทคาเม สมสหิตฆนปโยธราย ยโสธราย นาม เสฎฺฐิธีตาย ทินฺนํ ปรมมธุรํ มธุปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา ผลปลฺลวงฺกุรสมลงฺกเต สาลวเน ทิวาวิหารํ วีตินาเมตฺวา สายนฺหสมเย คณํ ปหาย สุนนฺทกาชีวเกน ทินฺนา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย คเหตฺวา สาลกลฺยาณิรุกฺขํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปุพฺพทิสาภาคํ โอโลเกตฺวา โพธิรุกฺขํ ปิฎฺฐิโต กตฺวา อฎฺฐปณฺณาสหตฺถวิตฺถตํ ติณสนฺถรํ สนฺถริตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐาย มารพลํ วิธมิตฺวา รตฺติยา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ วิโสเธตฺวา มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา ปจฺฉิมยาเม ปจฺจยาการํ สมฺมสิตฺวา อานาปานจตุตฺถชฺฌานโต วุฎฺฐาย ปญฺจสุ ขเนฺธสุ อภินิวิสิตฺวา อุทยพฺพยวเสน สมปญฺญาส ลกฺขณานิ ทิสฺวา ยาว โคตฺรภุญาณํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา จตฺตาริ มคฺคญาณานิ จตฺตาริ จ ผลญาณานิ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณํ ปญฺจคติปริเจฺฉทกญาณํ ฉ อสาธารณญาณานิ สกเล จ พุทฺธคุเณ ปฎิวิชฺฌิตฺวา ปริปุณฺณสงฺกโปฺป โพธิมูเล นิสิโนฺนว –

    So pana jiṇṇabyādhimatapabbajite disvā ājaññarathena nikkhamitvā pabbajitvā dasa māse padhānacariyaṃ cari. Koṇḍaññakumāraṃ pana pabbajantaṃ dasa janakoṭiyo anupabbajiṃsu. So tehi parivuto dasa māse padhānacariyaṃ caritvā visākhapuṇṇamāya sunandagāme samasahitaghanapayodharāya yasodharāya nāma seṭṭhidhītāya dinnaṃ paramamadhuraṃ madhupāyāsaṃ paribhuñjitvā phalapallavaṅkurasamalaṅkate sālavane divāvihāraṃ vītināmetvā sāyanhasamaye gaṇaṃ pahāya sunandakājīvakena dinnā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo gahetvā sālakalyāṇirukkhaṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā pubbadisābhāgaṃ oloketvā bodhirukkhaṃ piṭṭhito katvā aṭṭhapaṇṇāsahatthavitthataṃ tiṇasantharaṃ santharitvā pallaṅkaṃ ābhujitvā caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhāya mārabalaṃ vidhamitvā rattiyā paṭhamayāme pubbenivāsānussatiñāṇaṃ visodhetvā majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhetvā pacchimayāme paccayākāraṃ sammasitvā ānāpānacatutthajjhānato vuṭṭhāya pañcasu khandhesu abhinivisitvā udayabbayavasena samapaññāsa lakkhaṇāni disvā yāva gotrabhuñāṇaṃ vipassanaṃ vaḍḍhetvā cattāri maggañāṇāni cattāri ca phalañāṇāni catasso paṭisambhidā catuyoniparicchedakañāṇaṃ pañcagatiparicchedakañāṇaṃ cha asādhāraṇañāṇāni sakale ca buddhaguṇe paṭivijjhitvā paripuṇṇasaṅkappo bodhimūle nisinnova –

    ‘‘อเนกชาติสํสารํ, สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ;

    ‘‘Anekajātisaṃsāraṃ, sandhāvissaṃ anibbisaṃ;

    คหการํ คเวสโนฺต, ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํฯ

    Gahakāraṃ gavesanto, dukkhā jāti punappunaṃ.

    ‘‘คหการก ทิโฎฺฐสิ, ปุน เคหํ น กาหสิ;

    ‘‘Gahakāraka diṭṭhosi, puna gehaṃ na kāhasi;

    สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา, คหกูฎํ วิสงฺขตํ;

    Sabbā te phāsukā bhaggā, gahakūṭaṃ visaṅkhataṃ;

    วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ, ตณฺหานํ ขยมชฺฌคาฯ (ธ. ป. ๑๕๓-๑๕๔);

    Visaṅkhāragataṃ cittaṃ, taṇhānaṃ khayamajjhagā. (dha. pa. 153-154);

    ‘‘อโยฆนหตเสฺสว, ชลโต ชาตเวทโส;

    ‘‘Ayoghanahatasseva, jalato jātavedaso;

    อนุปุพฺพูปสนฺตสฺส, ยถา น ญายเต คติฯ

    Anupubbūpasantassa, yathā na ñāyate gati.

    ‘‘เอวํ สมฺมา วิมุตฺตานํ, กามพโนฺธฆตารินํ;

    ‘‘Evaṃ sammā vimuttānaṃ, kāmabandhoghatārinaṃ;

    ปญฺญาเปตุํ คตี นตฺถิ, ปตฺตานํ อจลํ สุข’’นฺติฯ (อุทา. ๘๐) –

    Paññāpetuṃ gatī natthi, pattānaṃ acalaṃ sukha’’nti. (udā. 80) –

    เอวํ อุทานํ อุทาเนตฺวา สตฺตสตฺตาหํ โพธิมูเลเยว ผลสมาปตฺติสุเขน วีตินาเมตฺวา อฎฺฐเม สตฺตาเห พฺรหฺมุโน อเชฺฌสนํ ปฎิจฺจ – ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๘๔; ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๐) อุปธาเรโนฺต อตฺตนา สทฺธิํ ปพฺพชิตา ทส ภิกฺขุโกฎิโย อทฺทสฯ ‘‘อิเม ปน กุลปุตฺตา สมุปจิตกุสลมูลา มํ ปพฺพชนฺตํ อนุปพฺพชิตา มยา สทฺธิํ ปธานํ จริตฺวา มํ อุปฎฺฐหิํสุ, หนฺทาหํ อิเมสํ สพฺพปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ เอวํ อุปธาเรตฺวา – ‘‘อิทานิ ปน เต กตฺถ วสนฺตี’’ติ โอโลเกโนฺต – ‘‘อิโต อฎฺฐารสโยชนิเก อรุนฺธวตีนคเร เทววเน วิหรนฺตี’’ติ ทิสฺวา – ‘‘เตสํ ธมฺมํ เทเสตุํ คมิสฺสามี’’ติ ปตฺตจีวรมาทาย เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมว โพธิมูเล อนฺตรหิโต เทววเน ปาตุรโหสิฯ

    Evaṃ udānaṃ udānetvā sattasattāhaṃ bodhimūleyeva phalasamāpattisukhena vītināmetvā aṭṭhame sattāhe brahmuno ajjhesanaṃ paṭicca – ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti (ma. ni. 1.284; 2.341; mahāva. 10) upadhārento attanā saddhiṃ pabbajitā dasa bhikkhukoṭiyo addasa. ‘‘Ime pana kulaputtā samupacitakusalamūlā maṃ pabbajantaṃ anupabbajitā mayā saddhiṃ padhānaṃ caritvā maṃ upaṭṭhahiṃsu, handāhaṃ imesaṃ sabbapaṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti evaṃ upadhāretvā – ‘‘idāni pana te kattha vasantī’’ti olokento – ‘‘ito aṭṭhārasayojanike arundhavatīnagare devavane viharantī’’ti disvā – ‘‘tesaṃ dhammaṃ desetuṃ gamissāmī’’ti pattacīvaramādāya seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evameva bodhimūle antarahito devavane pāturahosi.

    ตสฺมิญฺจ สมเย ตา ทส ภิกฺขุโกฎิโย อรุนฺธวตีนครํ อุปนิสฺสาย เทววเน วิหรนฺติฯ เต ปน ภิกฺขู ทสพลํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปสนฺนมานสา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา, ภควโต ปตฺตจีวรํ ปฎิคฺคเหตฺวา, พุทฺธาสนํ ปญฺญาเปตฺวา, สตฺถุ คารวํ กตฺวา, ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา, ปริวาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ ตตฺร โกณฺฑโญฺญ ทสพโล มุนิคณปริวุโต พุทฺธาสเน นิสิโนฺน ติทสคณปริวุโต ทสสตนยโน วิย วิมลคคนตลคโต สรทสมยรชนิกโร วิย ตาราคณปริวุโต ปุณฺณจโนฺท วิย วิโรจิตฺถฯ อถ สตฺถา เตสํ สพฺพพุทฺธนิเสวิตํ อนุตฺตรํ ติปริวฎฺฎํ ทฺวาทสาการํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตนฺตํ กเถตฺวา ทสภิกฺขุโกฎิปฺปมุขา สตสหสฺสเทวมนุสฺสโกฎิโย ธมฺมามตํ ปาเยสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tasmiñca samaye tā dasa bhikkhukoṭiyo arundhavatīnagaraṃ upanissāya devavane viharanti. Te pana bhikkhū dasabalaṃ dūratova āgacchantaṃ disvā pasannamānasā paccuggantvā, bhagavato pattacīvaraṃ paṭiggahetvā, buddhāsanaṃ paññāpetvā, satthu gāravaṃ katvā, bhagavantaṃ vanditvā, parivāretvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Tatra koṇḍañño dasabalo munigaṇaparivuto buddhāsane nisinno tidasagaṇaparivuto dasasatanayano viya vimalagaganatalagato saradasamayarajanikaro viya tārāgaṇaparivuto puṇṇacando viya virocittha. Atha satthā tesaṃ sabbabuddhanisevitaṃ anuttaraṃ tiparivaṭṭaṃ dvādasākāraṃ dhammacakkappavattanasuttantaṃ kathetvā dasabhikkhukoṭippamukhā satasahassadevamanussakoṭiyo dhammāmataṃ pāyesi. Tena vuttaṃ –

    .

    1.

    ‘‘ทีปงฺกรสฺส อปเรน, โกณฺฑโญฺญ นาม นายโก;

    ‘‘Dīpaṅkarassa aparena, koṇḍañño nāma nāyako;

    อนนฺตเตโช อมิตยโส, อปฺปเมโยฺย ทุราสโทฯ

    Anantatejo amitayaso, appameyyo durāsado.

    .

    2.

    ‘‘ธรณูปโม ขมเนน, สีเลน สาครูปโม;

    ‘‘Dharaṇūpamo khamanena, sīlena sāgarūpamo;

    สมาธินา เมรูปโม, ญาเณน คคนูปโมฯ

    Samādhinā merūpamo, ñāṇena gaganūpamo.

    .

    3.

    ‘‘อินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺค-มคฺคสจฺจปฺปกาสนํ;

    ‘‘Indriyabalabojjhaṅga-maggasaccappakāsanaṃ;

    ปกาเสสิ สทา พุโทฺธ หิตาย สพฺพปาณินํฯ

    Pakāsesi sadā buddho hitāya sabbapāṇinaṃ.

    .

    4.

    ‘‘ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตเนฺต, โกณฺฑเญฺญ โลกนายเก;

    ‘‘Dhammacakkaṃ pavattente, koṇḍaññe lokanāyake;

    โกฎิสตสหสฺสานํ, ปฐมาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Koṭisatasahassānaṃ, paṭhamābhisamayo ahū’’ti.

    ตตฺถ ทีปงฺกรสฺส อปเรนาติ ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโน อปรภาเคติ อโตฺถฯ โกณฺฑโญฺญ นามาติ อตฺตโน โคตฺตวเสน สมธิคตนามเธโยฺยฯ นายโกติ วินายโกฯ อนนฺตเตโชติ อตฺตโน สีลคุณญาณปุญฺญเตเชน อนนฺตเตโชฯ เหฎฺฐโต อวีจิ อุปริ ภวคฺคํ ติริยโต อนนฺตา โลกธาตุโย เอตฺถนฺตเร เอกปุคฺคโลปิ ตสฺส มุขํ โอโลเกตฺวา ฐาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อนนฺตเตโช’’ติฯ อมิตยโสติ อนนฺตปริวาโรฯ ตสฺส หิ ภควโต วสฺสสตสหสฺสานิ ยาว ปรินิพฺพานสมยํ เอตฺถนฺตเร ภิกฺขุปริสาย คณนปริเจฺฉโท นาม นาโหสิฯ ตสฺมา ‘‘อมิตยโส’’ติ วุจฺจติฯ อมิตคุณกิตฺติปิ ‘‘อมิตยโส’’ติ วุจฺจติฯ อปฺปเมโยฺยติ คุณคณปริมาณวเสน นปฺปเมโยฺยติ อปฺปเมโยฺยฯ ยถาห –

    Tattha dīpaṅkarassa aparenāti dīpaṅkarassa satthuno aparabhāgeti attho. Koṇḍañño nāmāti attano gottavasena samadhigatanāmadheyyo. Nāyakoti vināyako. Anantatejoti attano sīlaguṇañāṇapuññatejena anantatejo. Heṭṭhato avīci upari bhavaggaṃ tiriyato anantā lokadhātuyo etthantare ekapuggalopi tassa mukhaṃ oloketvā ṭhātuṃ samattho nāma natthi. Tena vuttaṃ ‘‘anantatejo’’ti. Amitayasoti anantaparivāro. Tassa hi bhagavato vassasatasahassāni yāva parinibbānasamayaṃ etthantare bhikkhuparisāya gaṇanaparicchedo nāma nāhosi. Tasmā ‘‘amitayaso’’ti vuccati. Amitaguṇakittipi ‘‘amitayaso’’ti vuccati. Appameyyoti guṇagaṇaparimāṇavasena nappameyyoti appameyyo. Yathāha –

    ‘‘พุโทฺธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ, กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโน;

    ‘‘Buddhopi buddhassa bhaṇeyya vaṇṇaṃ, kappampi ce aññamabhāsamāno;

    ขีเยถ กโปฺป จิรทีฆมนฺตเร, วโณฺณ น ขีเยถ ตถาคตสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๐๔; ๓.๑๔๑; ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔๒๕; อุทา. อฎฺฐ. ๕๓; จริยา. อฎฺฐ. นิทานกถา);

    Khīyetha kappo ciradīghamantare, vaṇṇo na khīyetha tathāgatassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.304; 3.141; ma. ni. aṭṭha. 2.425; udā. aṭṭha. 53; cariyā. aṭṭha. nidānakathā);

    ตสฺมา อปฺปเมยฺยคุณคณตฺตา ‘‘อปฺปเมโยฺย’’ติ วุจฺจติฯ ทุราสโทติ ทุรุปสงฺกมนีโย, อาสชฺช ฆเฎฺฎตฺวา อุปสงฺกมิตุมสกฺกุเณยฺยภาวโต ทุราสโท, ทุรภิภวนีโยติ อโตฺถฯ

    Tasmā appameyyaguṇagaṇattā ‘‘appameyyo’’ti vuccati. Durāsadoti durupasaṅkamanīyo, āsajja ghaṭṭetvā upasaṅkamitumasakkuṇeyyabhāvato durāsado, durabhibhavanīyoti attho.

    ธรณูปโมติ ธรณีสโมฯ ขมเนนาติ ขนฺติยา, จตุนหุตาธิกทฺวิโยชนสตสหสฺสพหลา มหาปถวี วิย ปกติวาเตน ลาภาลาภอิฎฺฐานิฎฺฐาทีหิ อกมฺปนภาวโต ‘‘ธรณูปโม’’ติ วุจฺจติฯ สีเลน สาครูปโมติ สีลสํวเรน เวลานาติกฺกมนภาเวน สาครสโมฯ ‘‘มหาสมุโทฺท, ภิกฺขเว, ฐิตธโมฺม เวลํ นาติวตฺตตี’’ติ (อ. นิ. ๘.๑๙; จูฬว. ๓๘๔; มิ. ป. ๖.๒.๑๐) หิ วุตฺตํฯ

    Dharaṇūpamoti dharaṇīsamo. Khamanenāti khantiyā, catunahutādhikadviyojanasatasahassabahalā mahāpathavī viya pakativātena lābhālābhaiṭṭhāniṭṭhādīhi akampanabhāvato ‘‘dharaṇūpamo’’ti vuccati. Sīlena sāgarūpamoti sīlasaṃvarena velānātikkamanabhāvena sāgarasamo. ‘‘Mahāsamuddo, bhikkhave, ṭhitadhammo velaṃ nātivattatī’’ti (a. ni. 8.19; cūḷava. 384; mi. pa. 6.2.10) hi vuttaṃ.

    สมาธินา เมรูปโมติ สมาธิปฎิปกฺขภูตธมฺมชนิตกมฺปาภาวโต เมรุนา คิริวเรน สโม, สทิโสติ อโตฺถฯ เมรุคิริวโร วิย ถิรตรสรีโรติ วาฯ ญาเณน คคนูปโมติ เอตฺถ ภควโต ญาณสฺส อนนฺตภาเวน อนนฺตากาเสน อุปมา กตาฯ จตฺตาริ อนนฺตานิ วุตฺตานิ ภควตาฯ ยถาห –

    Samādhinā merūpamoti samādhipaṭipakkhabhūtadhammajanitakampābhāvato merunā girivarena samo, sadisoti attho. Merugirivaro viya thiratarasarīroti vā. Ñāṇena gaganūpamoti ettha bhagavato ñāṇassa anantabhāvena anantākāsena upamā katā. Cattāri anantāni vuttāni bhagavatā. Yathāha –

    ‘‘สตฺตกาโย จ อากาโส, จกฺกวาฬา จนนฺตกา;

    ‘‘Sattakāyo ca ākāso, cakkavāḷā canantakā;

    พุทฺธญาณํ อปฺปเมยฺยํ, น สกฺกา เอเต วิชานิตุ’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๑.๖๔);

    Buddhañāṇaṃ appameyyaṃ, na sakkā ete vijānitu’’nti. (bu. vaṃ. 1.64);

    ตสฺมา อนนฺตสฺส ญาณสฺส อนเนฺตน อากาเสน อุปมา กตาติฯ

    Tasmā anantassa ñāṇassa anantena ākāsena upamā katāti.

    อินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคสจฺจปฺปกาสนนฺติ เอเตสํ อินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคสจฺจานํ คหเณน สติปฎฺฐานสมฺมปฺปธานิทฺธิปาทาปิ คหิตาว โหนฺติฯ ตสฺมา อินฺทฺริยาทีนํ จตุสเงฺขปานํ วเสน สตฺตตฺติํสโพธิปกฺขิยธมฺมานํ ปกาสนธมฺมํ ปกาเสสิ, เทเสสีติ อโตฺถฯ หิตายาติ หิตตฺถํฯ ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตเนฺตติ เทสนาญาเณ ปวตฺติยมาเนฯ

    Indriyabalabojjhaṅgamaggasaccappakāsananti etesaṃ indriyabalabojjhaṅgamaggasaccānaṃ gahaṇena satipaṭṭhānasammappadhāniddhipādāpi gahitāva honti. Tasmā indriyādīnaṃ catusaṅkhepānaṃ vasena sattattiṃsabodhipakkhiyadhammānaṃ pakāsanadhammaṃ pakāsesi, desesīti attho. Hitāyāti hitatthaṃ. Dhammacakkaṃpavattenteti desanāñāṇe pavattiyamāne.

    ตโต อปรภาเค มหามงฺคลสมาคเม ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ เทวตาโย สุขุเม อตฺตภาเว มาเปตฺวา อิมสฺมิเญฺญว จกฺกวาเฬ สนฺนิปติํสุฯ ตตฺถ กิร อญฺญตโร เทวปุโตฺต โกณฺฑญฺญทสพลํ มงฺคลปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ตสฺส ภควา มงฺคลานิ กเถสิฯ ตตฺถ นวุติโกฎิสหสฺสานิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ โสตาปนฺนาทีนํ คณนปริเจฺฉโท นาม นาโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tato aparabhāge mahāmaṅgalasamāgame dasasu cakkavāḷasahassesu devatāyo sukhume attabhāve māpetvā imasmiññeva cakkavāḷe sannipatiṃsu. Tattha kira aññataro devaputto koṇḍaññadasabalaṃ maṅgalapañhaṃ pucchi. Tassa bhagavā maṅgalāni kathesi. Tattha navutikoṭisahassāni arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Sotāpannādīnaṃ gaṇanaparicchedo nāma nāhosi. Tena vuttaṃ –

    .

    5.

    ‘‘ตโต ปรมฺปิ เทเสเนฺต, นรมรูนํ สมาคเม;

    ‘‘Tato parampi desente, naramarūnaṃ samāgame;

    นวุติโกฎิสหสฺสานํ, ทุติยาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Navutikoṭisahassānaṃ, dutiyābhisamayo ahū’’ti.

    ตตฺถ ตโต ปรมฺปีติ ตโต อปรภาเคปิฯ เทเสเนฺตติ ภควติ ธมฺมํ เทเสเนฺตฯ นรมรูนนฺติ นรานเญฺจว อมรานญฺจ, ยทา ปน ภควา คคนตเล ติตฺถิยมานมทฺทนํ ยมกปาฎิหาริยํ กโรโนฺต ธมฺมํ เทเสสิ ตทา อสีติโกฎิสหสฺสานิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ ตีสุ ผเลสุ ปติฎฺฐิตา คณนปถํ วีติวตฺตาฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha tato parampīti tato aparabhāgepi. Desenteti bhagavati dhammaṃ desente. Naramarūnanti narānañceva amarānañca, yadā pana bhagavā gaganatale titthiyamānamaddanaṃ yamakapāṭihāriyaṃ karonto dhammaṃ desesi tadā asītikoṭisahassāni arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Tīsu phalesu patiṭṭhitā gaṇanapathaṃ vītivattā. Tena vuttaṃ –

    .

    6.

    ‘‘ติตฺถิเย อภิมทฺทโนฺต, ยทา ธมฺมมเทสยิ;

    ‘‘Titthiye abhimaddanto, yadā dhammamadesayi;

    อสีติโกฎิสหสฺสานํ, ตติยาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Asītikoṭisahassānaṃ, tatiyābhisamayo ahū’’ti.

    ตตฺถ ตทา-สทฺทํ อาเนตฺวา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ยทา ภควา ธมฺมํ เทเสสิ, ตทา อสีติโกฎิสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อหูติฯ

    Tattha tadā-saddaṃ ānetvā attho daṭṭhabbo. Yadā bhagavā dhammaṃ desesi, tadā asītikoṭisahassānaṃ dhammābhisamayo ahūti.

    โกณฺฑโญฺญ กิร สตฺถา อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปฐมวสฺสํ จนฺทวตีนครํ อุปนิสฺสาย จนฺทาราเม วิหาสิฯ ตตฺถ สุจินฺธรสฺส นาม พฺราหฺมณมหาสาลสฺส ปุโตฺต ภทฺทมาณโว นาม ยโสธรพฺราหฺมณสฺส ปุโตฺต สุภทฺทมาณโว จ โกณฺฑญฺญสฺส พุทฺธสฺส สมฺมุขา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปสนฺนมานสา ทสหิ มาณวกสหเสฺสหิ สทฺธิํ ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ

    Koṇḍañño kira satthā abhisambodhiṃ patvā paṭhamavassaṃ candavatīnagaraṃ upanissāya candārāme vihāsi. Tattha sucindharassa nāma brāhmaṇamahāsālassa putto bhaddamāṇavo nāma yasodharabrāhmaṇassa putto subhaddamāṇavo ca koṇḍaññassa buddhassa sammukhā dhammadesanaṃ sutvā pasannamānasā dasahi māṇavakasahassehi saddhiṃ tassa santike pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇiṃsu.

    อถ โกณฺฑโญฺญ สตฺถา เชฎฺฐมาสปุณฺณมาย สุภทฺทเตฺถรปฺปมุเขน โกฎิสตสหเสฺสน ปริวุโต ปาติโมกฺขมุทฺทิสิ, โส ปฐโม สนฺนิปาโต อโหสิฯ ตโต อปรภาเค โกณฺฑญฺญสตฺถุโน ปุเตฺต วิชิตเสเน นาม อรหตฺตํ ปเตฺต ตํปมุขสฺส โกฎิสหสฺสสฺส มเชฺฌ ภควา ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ, โส ทุติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ อถาปเรน สมเยน ทสพโล ชนปทจาริกํ จรโนฺต อุเทนราชานํ นาม นวุติโกฎิชนปริวารํ ปพฺพาเชสิ สทฺธิํ ตาย ปริสายฯ ตสฺมิํ ปน อรหตฺตํ ปเตฺต ตํปมุเขหิ นวุติยา อรหนฺตโกฎีหิ ภควา ปริวุโต ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ, โส ตติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha koṇḍañño satthā jeṭṭhamāsapuṇṇamāya subhaddattherappamukhena koṭisatasahassena parivuto pātimokkhamuddisi, so paṭhamo sannipāto ahosi. Tato aparabhāge koṇḍaññasatthuno putte vijitasene nāma arahattaṃ patte taṃpamukhassa koṭisahassassa majjhe bhagavā pātimokkhaṃ uddisi, so dutiyo sannipāto ahosi. Athāparena samayena dasabalo janapadacārikaṃ caranto udenarājānaṃ nāma navutikoṭijanaparivāraṃ pabbājesi saddhiṃ tāya parisāya. Tasmiṃ pana arahattaṃ patte taṃpamukhehi navutiyā arahantakoṭīhi bhagavā parivuto pātimokkhaṃ uddisi, so tatiyo sannipāto ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    7.

    ‘‘สนฺนิปาตา ตโย อาสุํ, โกณฺฑญฺญสฺส มเหสิโน;

    ‘‘Sannipātā tayo āsuṃ, koṇḍaññassa mahesino;

    ขีณาสวานํ วิมลานํ, สนฺตจิตฺตาน ตาทินํฯ

    Khīṇāsavānaṃ vimalānaṃ, santacittāna tādinaṃ.

    .

    8.

    ‘‘โกฎิสตสหสฺสานํ, ปฐโม อาสิ สมาคโม;

    ‘‘Koṭisatasahassānaṃ, paṭhamo āsi samāgamo;

    ทุติโย โกฎิสหสฺสานํ, ตติโย นวุติโกฎิน’’นฺติฯ

    Dutiyo koṭisahassānaṃ, tatiyo navutikoṭina’’nti.

    ตทา กิร อมฺหากํ โพธิสโตฺต วิชิตาวี นาม จกฺกวตฺตี หุตฺวา จนฺทวตีนคเร ปฎิวสติฯ โส กิร อเนกนรวรปริวุโต สลิลนิธินิวสนํ สเมรุยุคนฺธรํ อปริมิตวสุธรํ วสุนฺธรํ อทเณฺฑน อสเตฺถน ธเมฺมน ปริปาเลติฯ อถ โกณฺฑโญฺญ พุโทฺธปิ โกฎิสตสหสฺสขีณาสวปริวุโต ชนปทจาริกํ จรมาโน อนุปุเพฺพน จนฺทวตีนครํ สมฺปาปุณิฯ

    Tadā kira amhākaṃ bodhisatto vijitāvī nāma cakkavattī hutvā candavatīnagare paṭivasati. So kira anekanaravaraparivuto salilanidhinivasanaṃ sameruyugandharaṃ aparimitavasudharaṃ vasundharaṃ adaṇḍena asatthena dhammena paripāleti. Atha koṇḍañño buddhopi koṭisatasahassakhīṇāsavaparivuto janapadacārikaṃ caramāno anupubbena candavatīnagaraṃ sampāpuṇi.

    โส วิชิตาวี กิร ราชา – ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ กิร อมฺหากํ นครํ อนุปฺปโตฺต’’ติ สุตฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ภควโต วสนฎฺฐานํ สํวิทหิตฺวา สฺวาตนาย สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส ภตฺตวิธิํ สุฎฺฐุ ปฎิยาเทตฺวา โกฎิสตสหสฺสสงฺขสฺส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ อทาสิฯ โพธิสโตฺต ภควนฺตํ โภเชตฺวา อนุโมทนาวสาเน – ‘‘ภเนฺต, เตมาสํ มหาชนสงฺคหํ กโรโนฺต อิเธว วสถา’’ติ ยาจิตฺวา ตโย มาเส นิรนฺตรํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส อสทิสมหาทานํ อทาสิฯ

    So vijitāvī kira rājā – ‘‘sammāsambuddho kira amhākaṃ nagaraṃ anuppatto’’ti sutvā paccuggantvā bhagavato vasanaṭṭhānaṃ saṃvidahitvā svātanāya saddhiṃ bhikkhusaṅghena nimantetvā punadivase bhattavidhiṃ suṭṭhu paṭiyādetvā koṭisatasahassasaṅkhassa buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ adāsi. Bodhisatto bhagavantaṃ bhojetvā anumodanāvasāne – ‘‘bhante, temāsaṃ mahājanasaṅgahaṃ karonto idheva vasathā’’ti yācitvā tayo māse nirantaraṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa asadisamahādānaṃ adāsi.

    อถ สตฺถา โพธิสตฺตํ – ‘‘อนาคเต โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากริตฺวา ธมฺมมสฺส เทเสสิฯ โส สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา รชฺชํ นิยฺยาเตตฺวา ปพฺพชิตฺวา ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคเหตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจ จ อภิญฺญาโย อุปฺปาเทตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha satthā bodhisattaṃ – ‘‘anāgate gotamo nāma buddho bhavissatī’’ti byākaritvā dhammamassa desesi. So satthu dhammakathaṃ sutvā rajjaṃ niyyātetvā pabbajitvā tīṇi piṭakāni uggahetvā aṭṭha samāpattiyo pañca ca abhiññāyo uppādetvā aparihīnajjhāno brahmaloke nibbatti. Tena vuttaṃ –

    .

    9.

    ‘‘อหํ เตน สมเยน, วิชิตาวี นาม ขตฺติโย;

    ‘‘Ahaṃ tena samayena, vijitāvī nāma khattiyo;

    สมุทฺทํ อนฺตมเนฺตน, อิสฺสริยํ วตฺตยามหํฯ

    Samuddaṃ antamantena, issariyaṃ vattayāmahaṃ.

    ๑๐.

    10.

    ‘‘โกฎิสตสหสฺสานํ, วิมลานํ มเหสินํ;

    ‘‘Koṭisatasahassānaṃ, vimalānaṃ mahesinaṃ;

    สห โลกคฺคนาเถน, ปรมเนฺนน ตปฺปยิํฯ

    Saha lokagganāthena, paramannena tappayiṃ.

    ๑๑.

    11.

    ‘‘โสปิ มํ พุโทฺธ พฺยากาสิ, โกณฺฑโญฺญ โลกนายโก;

    ‘‘Sopi maṃ buddho byākāsi, koṇḍañño lokanāyako;

    อปริเมยฺยิโต กเปฺป, พุโทฺธ โลเก ภวิสฺสติฯ

    Aparimeyyito kappe, buddho loke bhavissati.

    ๑๒.

    12.

    ‘‘ปธานํ ปทหิตฺวาน, กตฺวา ทุกฺกรการิกํ;

    ‘‘Padhānaṃ padahitvāna, katvā dukkarakārikaṃ;

    อสฺสตฺถมูเล สมฺพุโทฺธ, พุชฺฌิสฺสติ มหายโสฯ

    Assatthamūle sambuddho, bujjhissati mahāyaso.

    ๑๓.

    13.

    ‘‘อิมสฺส ชนิกา มาตา, มายา นาม ภวิสฺสติ;

    ‘‘Imassa janikā mātā, māyā nāma bhavissati;

    ปิตา สุโทฺธทโน นาม, อยํ เหสฺสติ โคตโมฯ

    Pitā suddhodano nāma, ayaṃ hessati gotamo.

    ๑๔.

    14.

    ‘‘โกลิโต อุปติโสฺส จ, อคฺคา เหสฺสนฺติ สาวกา;

    ‘‘Kolito upatisso ca, aggā hessanti sāvakā;

    อานโนฺท นามุปฎฺฐาโก, อุปฎฺฐิสฺสติ ตํ ชินํฯ

    Ānando nāmupaṭṭhāko, upaṭṭhissati taṃ jinaṃ.

    ๑๕.

    15.

    ‘‘เขมา อุปฺปลวณฺณา จ, อคฺคา เหสฺสนฺติ สาวิกา;

    ‘‘Khemā uppalavaṇṇā ca, aggā hessanti sāvikā;

    โพธิ ตสฺส ภควโต, อสฺสโตฺถติ ปวุจฺจติฯ

    Bodhi tassa bhagavato, assatthoti pavuccati.

    ๑๖.

    16.

    ‘‘จิโตฺต จ หตฺถาฬวโก, อคฺคา เหสฺสนฺตุปฎฺฐกา;

    ‘‘Citto ca hatthāḷavako, aggā hessantupaṭṭhakā;

    นนฺทมาตา จ อุตฺตรา, อคฺคา เหสฺสนฺตุปฎฺฐิกา;

    Nandamātā ca uttarā, aggā hessantupaṭṭhikā;

    อายุ วสฺสสตํ ตสฺส, โคตมสฺส ยสสฺสิโนฯ

    Āyu vassasataṃ tassa, gotamassa yasassino.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘อิทํ สุตฺวาน วจนํ, อสมสฺส มเหสิโน;

    ‘‘Idaṃ sutvāna vacanaṃ, asamassa mahesino;

    อาโมทิตา นรมรู, พุทฺธพีชํ กิร อยํฯ

    Āmoditā naramarū, buddhabījaṃ kira ayaṃ.

    ๑๘.

    18.

    ‘‘อุกฺกุฎฺฐิสทฺทา วตฺตนฺติ, อโปฺผเฎนฺติ หสนฺติ จ;

    ‘‘Ukkuṭṭhisaddā vattanti, apphoṭenti hasanti ca;

    กตญฺชลี นมสฺสนฺติ, ทสสหสฺสิเทวตาฯ

    Katañjalī namassanti, dasasahassidevatā.

    ๑๙.

    19.

    ‘‘ยทิมสฺส โลกนาถสฺส, วิรชฺฌิสฺสาม สาสนํ;

    ‘‘Yadimassa lokanāthassa, virajjhissāma sāsanaṃ;

    อนาคตมฺหิ อทฺธาเน, เหสฺสาม สมฺมุขา อิมํฯ

    Anāgatamhi addhāne, hessāma sammukhā imaṃ.

    ๒๐.

    20.

    ‘‘ยถา มนุสฺสา นทิํ ตรนฺตา, ปฎิติตฺถํ วิรชฺฌิย;

    ‘‘Yathā manussā nadiṃ tarantā, paṭititthaṃ virajjhiya;

    เหฎฺฐาติเตฺถ คเหตฺวาน, อุตฺตรนฺติ มหานทิํฯ

    Heṭṭhātitthe gahetvāna, uttaranti mahānadiṃ.

    ๒๑.

    21.

    ‘‘เอวเมว มยํ สเพฺพ, ยทิ มุญฺจามิมํ ชินํ;

    ‘‘Evameva mayaṃ sabbe, yadi muñcāmimaṃ jinaṃ;

    อนาคตมฺหิ อทฺธาเน, เหสฺสาม สมฺมุขา อิมํฯ

    Anāgatamhi addhāne, hessāma sammukhā imaṃ.

    ๒๒.

    22.

    ‘‘ตสฺสาหํ วจนํ สุตฺวา, ภิโยฺย จิตฺตํ ปสาทยิํ;

    ‘‘Tassāhaṃ vacanaṃ sutvā, bhiyyo cittaṃ pasādayiṃ;

    ตเมว อตฺถํ สาเธโนฺต, มหารชฺชํ ชิเน อทํ;

    Tameva atthaṃ sādhento, mahārajjaṃ jine adaṃ;

    มหารชฺชํ ททิตฺวาน, ปพฺพชิํ ตสฺส สนฺติเกฯ

    Mahārajjaṃ daditvāna, pabbajiṃ tassa santike.

    ๒๓.

    23.

    ‘‘สุตฺตนฺตํ วินยํ จาปิ, นวงฺคํ สตฺถุสาสนํ;

    ‘‘Suttantaṃ vinayaṃ cāpi, navaṅgaṃ satthusāsanaṃ;

    สพฺพํ ปริยาปุณิตฺวาน, โสภยิํ ชินสาสนํฯ

    Sabbaṃ pariyāpuṇitvāna, sobhayiṃ jinasāsanaṃ.

    ๒๔.

    24.

    ‘‘ตตฺถปฺปมโตฺต วิหรโนฺต, นิสชฺชฎฺฐานจงฺกเม;

    ‘‘Tatthappamatto viharanto, nisajjaṭṭhānacaṅkame;

    อภิญฺญาปารมิํ คนฺตฺวา, พฺรหฺมโลกมคญฺฉห’’นฺติฯ

    Abhiññāpāramiṃ gantvā, brahmalokamagañchaha’’nti.

    ตตฺถ อหํ เตน สมเยนาติ อหํ ตสฺมิํ สมเยฯ วิชิตาวี นามาติ เอวํนามโก จกฺกวตฺติราชา อโหสิํฯ สมุทฺทํ อนฺตมเนฺตนาติ เอตฺถ จกฺกวาฬปพฺพตํ สีมํ มริยาทํ กตฺวา ฐิตํ สมุทฺทํ อนฺตํ กตฺวา อิสฺสริยํ วตฺตยามีติ อโตฺถฯ เอตฺตาวตา น ปากฎํ โหติฯ

    Tattha ahaṃ tena samayenāti ahaṃ tasmiṃ samaye. Vijitāvī nāmāti evaṃnāmako cakkavattirājā ahosiṃ. Samuddaṃ antamantenāti ettha cakkavāḷapabbataṃ sīmaṃ mariyādaṃ katvā ṭhitaṃ samuddaṃ antaṃ katvā issariyaṃ vattayāmīti attho. Ettāvatā na pākaṭaṃ hoti.

    ราชา กิร จกฺกวตฺตี จกฺกรตนานุภาเวน วามปเสฺสน สิเนรุํ กตฺวา สมุทฺทสฺส อุปริภาเคน อฎฺฐโยชนสหสฺสปฺปมาณํ ปุพฺพวิเทหํ คจฺฉติฯ ตตฺถ ราชา จกฺกวตฺตี – ‘‘ปาโณ น หนฺตโพฺพ, อทินฺนํ นาทาตพฺพํ, กาเมสุมิจฺฉา น จริตพฺพา, มุสา น ภาสิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ, ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๔๔; ๓.๘๕; ม. นิ. ๓.๒๕๗) โอวาทํ เทติฯ เอวํ โอวาเท ทิเนฺน ตํ จกฺกรตนํ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปุรตฺถิมํ สมุทฺทํ อโชฺฌคาหติฯ ยถา ยถา จ ตํ อโชฺฌคาหติ, ตถา ตถา สํขิตฺตอูมิวิปฺผารํ หุตฺวา โอคจฺฉมานํ มหาสมุทฺทสลิลํ โยชนมตฺตํ โอคฺคนฺตฺวา อโนฺตสมุทฺทํ อุโภสุ ปเสฺสสุ เวฬุริยมณิภิตฺติ วิย ปรมทสฺสนียํ หุตฺวา ติฎฺฐติ, เอวํ ปุรตฺถิมสาครปริยนฺตํ คนฺตฺวา ตํ จกฺกรตนํ ปฎินิวตฺตติฯ ปฎินิวตฺตมาเน จ ตสฺมิํ สา ปริสา อคฺคโต โหติ, มเชฺฌ ราชา จกฺกวตฺตี อเนฺต จกฺกรตนํ โหติฯ ตมฺปิ ชลํ ชลเนฺตน วิโยคํ อสหมานมิว เนมิมณฺฑลปริยนฺตํ อภิหนนฺตเมว ตีรมุปคจฺฉติฯ

    Rājā kira cakkavattī cakkaratanānubhāvena vāmapassena sineruṃ katvā samuddassa uparibhāgena aṭṭhayojanasahassappamāṇaṃ pubbavidehaṃ gacchati. Tattha rājā cakkavattī – ‘‘pāṇo na hantabbo, adinnaṃ nādātabbaṃ, kāmesumicchā na caritabbā, musā na bhāsitabbā, majjaṃ na pātabbaṃ, yathābhuttañca bhuñjathā’’ti (dī. ni. 2.244; 3.85; ma. ni. 3.257) ovādaṃ deti. Evaṃ ovāde dinne taṃ cakkaratanaṃ vehāsaṃ abbhuggantvā puratthimaṃ samuddaṃ ajjhogāhati. Yathā yathā ca taṃ ajjhogāhati, tathā tathā saṃkhittaūmivipphāraṃ hutvā ogacchamānaṃ mahāsamuddasalilaṃ yojanamattaṃ oggantvā antosamuddaṃ ubhosu passesu veḷuriyamaṇibhitti viya paramadassanīyaṃ hutvā tiṭṭhati, evaṃ puratthimasāgarapariyantaṃ gantvā taṃ cakkaratanaṃ paṭinivattati. Paṭinivattamāne ca tasmiṃ sā parisā aggato hoti, majjhe rājā cakkavattī ante cakkaratanaṃ hoti. Tampi jalaṃ jalantena viyogaṃ asahamānamiva nemimaṇḍalapariyantaṃ abhihanantameva tīramupagacchati.

    เอวํ ราชา จกฺกวตฺตี ปุรตฺถิมสมุทฺทปริยนฺตํ ปุพฺพวิเทหํ อภิวิชินิตฺวา ทกฺขิณสมุทฺทปริยนฺตํ ชมฺพุทีปํ วิเชตุกาโม จกฺกรตนเทสิเตน มเคฺคน ทกฺขิณสมุทฺทาภิมุโข คจฺฉติฯ ตํ ทสสหสฺสโยชนปฺปมาณํ ชมฺพุทีปํ อภิวิชินิตฺวา ทกฺขิณสมุทฺทโต ปจฺจุตฺตริตฺวา สตฺตโยชนสหสฺสปฺปมาณํ อปรโคยานํ วิเชตุํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว คนฺตฺวา ตมฺปิ สาครปริยนฺตํ อภิวิชินิตฺวา ปจฺฉิมสมุทฺทโตปิ อุตฺตริตฺวา อฎฺฐโยชนสหสฺสปฺปมาณํ อุตฺตรกุรุํ วิเชตุํ ตเถว คนฺตฺวา ตํ สมุทฺทปริยนฺตํ กตฺวา ตเถว อภิวิชิย อุตฺตรสมุทฺทโตปิ ปจฺจุตฺตรติฯ เอตฺตาวตา รญฺญา จกฺกวตฺตินา สาครปริยนฺตาย ปถวิยา อิสฺสริยํ อธิคตํ โหติฯ เตน วุตฺตํ สมุทฺทํ อนฺตมเนฺตน, อิสฺสริยํ วตฺตยามห’’นฺติฯ

    Evaṃ rājā cakkavattī puratthimasamuddapariyantaṃ pubbavidehaṃ abhivijinitvā dakkhiṇasamuddapariyantaṃ jambudīpaṃ vijetukāmo cakkaratanadesitena maggena dakkhiṇasamuddābhimukho gacchati. Taṃ dasasahassayojanappamāṇaṃ jambudīpaṃ abhivijinitvā dakkhiṇasamuddato paccuttaritvā sattayojanasahassappamāṇaṃ aparagoyānaṃ vijetuṃ heṭṭhā vuttanayeneva gantvā tampi sāgarapariyantaṃ abhivijinitvā pacchimasamuddatopi uttaritvā aṭṭhayojanasahassappamāṇaṃ uttarakuruṃ vijetuṃ tatheva gantvā taṃ samuddapariyantaṃ katvā tatheva abhivijiya uttarasamuddatopi paccuttarati. Ettāvatā raññā cakkavattinā sāgarapariyantāya pathaviyā issariyaṃ adhigataṃ hoti. Tena vuttaṃ samuddaṃ antamantena, issariyaṃ vattayāmaha’’nti.

    โกฎิสตสหสฺสานนฺติ โกฎิสตสหสฺสานิฯ อยเมว วา ปาโฐฯ วิมลานนฺติ ขีณาสวานํฯ สห โลกคฺคนาเถนาติ สทฺธิํ ทสพเลน โกฎิสตสหสฺสานนฺติ อโตฺถฯ ปรมเนฺนนาติ ปณีเตน อเนฺนนฯ ตปฺปยินฺติ ตเปฺปสิํฯ อปริเมยฺยิโต กเปฺปติ อิโต ปฎฺฐาย สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ ตีณิ อสเงฺขฺยยฺยานิ อติกฺกมิตฺวา เอกสฺมิํ ภทฺทกเปฺปติ อโตฺถฯ

    Koṭisatasahassānanti koṭisatasahassāni. Ayameva vā pāṭho. Vimalānanti khīṇāsavānaṃ. Saha lokagganāthenāti saddhiṃ dasabalena koṭisatasahassānanti attho. Paramannenāti paṇītena annena. Tappayinti tappesiṃ. Aparimeyyito kappeti ito paṭṭhāya satasahassakappādhikāni tīṇi asaṅkhyeyyāni atikkamitvā ekasmiṃ bhaddakappeti attho.

    ปธานนฺติ วีริยํฯ ตเมว อตฺถํ สาเธโนฺตติ ตเมว พุทฺธการกมตฺถํ ทานปารมิํ ปูเรโนฺต สาเธโนฺต นิปฺผาเทโนฺตติ อโตฺถฯ มหารชฺชนฺติ จกฺกวตฺติรชฺชํฯ ชิเนติ ภควติ, สมฺปทานเตฺถ วา ภุมฺมํ ทฎฺฐพฺพํฯ อทนฺติ อทาสิํฯ เอวมตฺถํ สาเธโนฺตติ อิมินา สมฺพโนฺธ ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘มหารชฺชํ ชิเน ททิ’’นฺติ ปฐนฺติ เกจิฯ ททิตฺวานาติ จชิตฺวาฯ สุตฺตนฺตนฺติ สุตฺตนฺตปิฎกํฯ วินยนฺติ วินยปิฎกํฯ นวงฺคนฺติ สุตฺตเคยฺยาทินวงฺคํฯ โสภยิํ ชินสาสนนฺติ อาคมาธิคเมหิ โลกิเยหิ สมลงฺกริํฯ ตตฺถาติ ตสฺส ภควโต สาสเนฯ อปฺปมโตฺตติ สติสมฺปโนฺนฯ พฺรหฺมโลกมคญฺฉหนฺติ พฺรหฺมโลกํ อคญฺฉิํ อหํฯ

    Padhānanti vīriyaṃ. Tameva atthaṃ sādhentoti tameva buddhakārakamatthaṃ dānapāramiṃ pūrento sādhento nipphādentoti attho. Mahārajjanti cakkavattirajjaṃ. Jineti bhagavati, sampadānatthe vā bhummaṃ daṭṭhabbaṃ. Adanti adāsiṃ. Evamatthaṃ sādhentoti iminā sambandho daṭṭhabbo. ‘‘Mahārajjaṃ jine dadi’’nti paṭhanti keci. Daditvānāti cajitvā. Suttantanti suttantapiṭakaṃ. Vinayanti vinayapiṭakaṃ. Navaṅganti suttageyyādinavaṅgaṃ. Sobhayiṃ jinasāsananti āgamādhigamehi lokiyehi samalaṅkariṃ. Tatthāti tassa bhagavato sāsane. Appamattoti satisampanno. Brahmalokamagañchahanti brahmalokaṃ agañchiṃ ahaṃ.

    อิมสฺส ปน โกณฺฑญฺญพุทฺธสฺส รมฺมวตี นาม นครํ อโหสิ, สุนโนฺท นาม ราชา ปิตา, สุชาตา นาม เทวี มาตา, ภโทฺท จ สุภโทฺท จ เทฺว อคฺคสาวกา, อนุรุโทฺธ นามุปฎฺฐาโก, ติสฺสา จ อุปติสฺสา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, สาลกลฺยาณิรุโกฺข โพธิ, อฎฺฐาสีติหตฺถุเพฺพธํ สรีรํ , วสฺสสตสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิ, ตสฺส รุจิเทวี นาม อคฺคมเหสี อโหสิ, วิชิตเสโน นามสฺส ปุโตฺต, จโนฺท นามุปฎฺฐาโก ราชาฯ จนฺทาราเม กิร วสีติฯ เตน วุตฺตํ –

    Imassa pana koṇḍaññabuddhassa rammavatī nāma nagaraṃ ahosi, sunando nāma rājā pitā, sujātā nāma devī mātā, bhaddo ca subhaddo ca dve aggasāvakā, anuruddho nāmupaṭṭhāko, tissā ca upatissā ca dve aggasāvikā, sālakalyāṇirukkho bodhi, aṭṭhāsītihatthubbedhaṃ sarīraṃ , vassasatasahassāni āyuppamāṇaṃ ahosi, tassa rucidevī nāma aggamahesī ahosi, vijitaseno nāmassa putto, cando nāmupaṭṭhāko rājā. Candārāme kira vasīti. Tena vuttaṃ –

    ๒๕.

    25.

    ‘‘นครํ รมฺมวตี นาม, สุนโนฺท นาม ขตฺติโย;

    ‘‘Nagaraṃ rammavatī nāma, sunando nāma khattiyo;

    สุชาตา นาม ชนิกา, โกณฺฑญฺญสฺส มเหสิโนฯ

    Sujātā nāma janikā, koṇḍaññassa mahesino.

    ๓๐.

    30.

    ‘‘ภโทฺท เจว สุภโทฺท จ, อเหสุํ อคฺคสาวกา;

    ‘‘Bhaddo ceva subhaddo ca, ahesuṃ aggasāvakā;

    อนุรุโทฺธ นามุปฎฺฐาโก, โกณฺฑญฺญสฺส มเหสิโนฯ

    Anuruddho nāmupaṭṭhāko, koṇḍaññassa mahesino.

    ๓๑.

    31.

    ‘‘ติสฺสา จ อุปติสฺสา จ, อเหสุํ อคฺคสาวิกา;

    ‘‘Tissā ca upatissā ca, ahesuṃ aggasāvikā;

    สาลกลฺยาณิโก โพธิ, โกณฺฑญฺญสฺส มเหสิโนฯ

    Sālakalyāṇiko bodhi, koṇḍaññassa mahesino.

    ๓๓.

    33.

    ‘‘โส อฎฺฐาสีติ หตฺถานิ, อจฺจุคฺคโต มหามุนิ;

    ‘‘So aṭṭhāsīti hatthāni, accuggato mahāmuni;

    โสภเต อุฬุราชาว, สูริโย มชฺฌนฺหิเก ยถาฯ

    Sobhate uḷurājāva, sūriyo majjhanhike yathā.

    ๓๔.

    34.

    ‘‘วสฺสสตสหสฺสานิ, อายุ วิชฺชติ ตาวเท;

    ‘‘Vassasatasahassāni, āyu vijjati tāvade;

    ตาวตา ติฎฺฐมาโน โส, ตาเรสิ ชนตํ พหุํฯ

    Tāvatā tiṭṭhamāno so, tāresi janataṃ bahuṃ.

    ๓๕.

    35.

    ‘‘ขีณาสเวหิ วิมเลหิ, วิจิตฺตา อาสิ เมทนี;

    ‘‘Khīṇāsavehi vimalehi, vicittā āsi medanī;

    ยถา หิ คคนมุฬูภิ, เอวํ โส อุปโสภถฯ

    Yathā hi gaganamuḷūbhi, evaṃ so upasobhatha.

    ๓๖.

    36.

    ‘‘เตปิ นาคา อปฺปเมยฺยา, อสโงฺขภา ทุราสทา;

    ‘‘Tepi nāgā appameyyā, asaṅkhobhā durāsadā;

    วิชฺชุปาตํว ทเสฺสตฺวา, นิพฺพุตา เต มหายสาฯ

    Vijjupātaṃva dassetvā, nibbutā te mahāyasā.

    ๓๗.

    37.

    ‘‘สา จ อตุลิยา ชินสฺส อิทฺธิ, ญาณปริภาวิโต จ สมาธิ;

    ‘‘Sā ca atuliyā jinassa iddhi, ñāṇaparibhāvito ca samādhi;

    สพฺพํ ตมนฺตรหิตํ, นนุ ริตฺตา สพฺพสงฺขารา’’ติฯ

    Sabbaṃ tamantarahitaṃ, nanu rittā sabbasaṅkhārā’’ti.

    ตตฺถ สาลกลฺยาณิโกติ สาลกลฺยาณิรุโกฺข, โส พุทฺธกาเล เจว จกฺกวตฺติกาเล จ นิพฺพตฺตติ, นาญฺญทาฯ โส เอกาเหเนว อุฎฺฐาติ กิรฯ ขีณาสเวหิ วิมเลหิ, วิจิตฺตา อาสิ เมทนีติ อยํ เมทนี ขีณาสเวหิ เอกกาสาวปโชฺชตา วิจิตฺตา ปรมทสฺสนียา อโหสิฯ ยถา หีติ โอปมฺมเตฺถ นิปาโตฯ อุฬูภีติ นกฺขเตฺตหิ, ตาราคเณหิ คคนตลํ วิย ขีณาสเวหิ วิจิตฺตา อยํ เมทนี โสภิตฺถาติ อโตฺถฯ

    Tattha sālakalyāṇikoti sālakalyāṇirukkho, so buddhakāle ceva cakkavattikāle ca nibbattati, nāññadā. So ekāheneva uṭṭhāti kira. Khīṇāsavehi vimalehi, vicittā āsi medanīti ayaṃ medanī khīṇāsavehi ekakāsāvapajjotā vicittā paramadassanīyā ahosi. Yathāti opammatthe nipāto. Uḷūbhīti nakkhattehi, tārāgaṇehi gaganatalaṃ viya khīṇāsavehi vicittā ayaṃ medanī sobhitthāti attho.

    อสโงฺขภาติ อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ อโกฺขภา อวิการาฯ วิชฺชุปาตํว ทเสฺสตฺวาติ วิชฺชุปาตํ วิย ทสฺสยิตฺวา, ‘‘วิชฺชุปฺปาตํวา’’ติปิ ปาโฐฯ โกณฺฑญฺญพุทฺธสฺส กิร กาเล ปรินิพฺพายมานา ภิกฺขู สตฺตตาลปฺปมาณมากาสมพฺภุคฺคนฺตฺวา อสิตชลธรวิวรคตา วิชฺชุลตา วิย สมนฺตโต วิโชฺชตมานา เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา นิรุปาทานา ทหนา วิย ปรินิพฺพายิํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วิชฺชุปาตํว ทเสฺสตฺวา’’ติฯ อตุลิยาติ อตุลฺยา อสทิสาฯ ญาณปริภาวิโตติ ญาเณน วฑฺฒิโตฯ เสสคาถา เหฎฺฐา วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานา เอวาติฯ

    Asaṅkhobhāti aṭṭhahi lokadhammehi akkhobhā avikārā. Vijjupātaṃva dassetvāti vijjupātaṃ viya dassayitvā, ‘‘vijjuppātaṃvā’’tipi pāṭho. Koṇḍaññabuddhassa kira kāle parinibbāyamānā bhikkhū sattatālappamāṇamākāsamabbhuggantvā asitajaladharavivaragatā vijjulatā viya samantato vijjotamānā tejodhātuṃ samāpajjitvā nirupādānā dahanā viya parinibbāyiṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘vijjupātaṃva dassetvā’’ti. Atuliyāti atulyā asadisā. Ñāṇaparibhāvitoti ñāṇena vaḍḍhito. Sesagāthā heṭṭhā vuttanayattā uttānā evāti.

    ‘‘โกณฺฑโญฺญ นาม สมฺพุโทฺธ, จนฺทาราเม มโนรเม;

    ‘‘Koṇḍañño nāma sambuddho, candārāme manorame;

    นิพฺพายิ เจติโย ตสฺส, สตฺตโยชนิโก กโตฯ

    Nibbāyi cetiyo tassa, sattayojaniko kato.

    ‘‘น เหว ธาตุโย ตสฺส, สตฺถุโน, วิกิริํสุ ตา;

    ‘‘Na heva dhātuyo tassa, satthuno, vikiriṃsu tā;

    ฐิตา เอกฆนา หุตฺวา, สุวณฺณปฎิมา วิย’’ฯ

    Ṭhitā ekaghanā hutvā, suvaṇṇapaṭimā viya’’.

    สกลชมฺพุทีปวาสิโน มนุสฺสา สมาคนฺตฺวา สตฺตโยชนิกํ สตฺตรตนมยํ หริตาลมโนสิลาย มตฺติกากิจฺจํ เตลสปฺปีหิ อุทกกิจฺจํ กตฺวา นิฎฺฐาเปสุนฺติฯ

    Sakalajambudīpavāsino manussā samāgantvā sattayojanikaṃ sattaratanamayaṃ haritālamanosilāya mattikākiccaṃ telasappīhi udakakiccaṃ katvā niṭṭhāpesunti.

    โกณฺฑญฺญพุทฺธวํสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Koṇḍaññabuddhavaṃsavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิโต ทุติโย พุทฺธวํโสฯ

    Niṭṭhito dutiyo buddhavaṃso.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / พุทฺธวํสปาฬิ • Buddhavaṃsapāḷi / ๔. โกณฺฑญฺญพุทฺธวํโส • 4. Koṇḍaññabuddhavaṃso


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact