Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๕๖] ๖. โกรณฺฑิยชาตกวณฺณนา

    [356] 6. Koraṇḍiyajātakavaṇṇanā

    เอโก อรเญฺญติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ธมฺมเสนาปติํ อารพฺภ กเถสิฯ เถโร กิร อาคตาคตานํ ทุสฺสีลานํ มิคลุทฺทกมจฺฉพนฺธาทีนํ ทิฎฺฐทิฎฺฐานเญฺญว ‘‘สีลํ คณฺหถ, สีลํ คณฺหถา’’ติ สีลํ เทติฯ เต เถเร ครุภาเวน ตสฺส กถํ ภินฺทิตุํ อสโกฺกนฺตา สีลํ คณฺหนฺติ, คเหตฺวา จ ปน น รกฺขนฺติ, อตฺตโน อตฺตโน กมฺมเมว กโรนฺติฯ เถโร สทฺธิวิหาริเก อามเนฺตตฺวา ‘‘อาวุโส, อิเม มนุสฺสา มม สนฺติเก สีลํ คณฺหิํสุ, คณฺหิตฺวา จ ปน น รกฺขนฺตี’’ติ อาหฯ ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห เอเตสํ อรุจิยา สีลํ เทถ, เอเต ตุมฺหากํ กถํ ภินฺทิตุํ อสโกฺกนฺตา คณฺหนฺติ, ตุเมฺห อิโต ปฎฺฐาย เอวรูปานํ สีลํ มา อทตฺถา’’ติฯ เถโร อนตฺตมโน อโหสิฯ ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, สาริปุตฺตเตฺถโร กิร ทิฎฺฐทิฎฺฐานเญฺญว สีลํ เทตี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส ทิฎฺฐทิฎฺฐานํ อยาจนฺตานเญฺญว สีลํ เทตี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Eko araññeti idaṃ satthā jetavane viharanto dhammasenāpatiṃ ārabbha kathesi. Thero kira āgatāgatānaṃ dussīlānaṃ migaluddakamacchabandhādīnaṃ diṭṭhadiṭṭhānaññeva ‘‘sīlaṃ gaṇhatha, sīlaṃ gaṇhathā’’ti sīlaṃ deti. Te there garubhāvena tassa kathaṃ bhindituṃ asakkontā sīlaṃ gaṇhanti, gahetvā ca pana na rakkhanti, attano attano kammameva karonti. Thero saddhivihārike āmantetvā ‘‘āvuso, ime manussā mama santike sīlaṃ gaṇhiṃsu, gaṇhitvā ca pana na rakkhantī’’ti āha. ‘‘Bhante, tumhe etesaṃ aruciyā sīlaṃ detha, ete tumhākaṃ kathaṃ bhindituṃ asakkontā gaṇhanti, tumhe ito paṭṭhāya evarūpānaṃ sīlaṃ mā adatthā’’ti. Thero anattamano ahosi. Taṃ pavattiṃ sutvā bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, sāriputtatthero kira diṭṭhadiṭṭhānaññeva sīlaṃ detī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa diṭṭhadiṭṭhānaṃ ayācantānaññeva sīlaṃ detī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส เชฎฺฐเนฺตวาสิโก โกรณฺฑิโย นาม อโหสิฯ ตทา โส อาจริโย ทิฎฺฐทิฎฺฐานํ เกวฎฺฎาทีนํ อยาจนฺตานเญฺญว ‘‘สีลํ คณฺหถ, สีลํ คณฺหถา’’ติ สีลํ เทติฯ เต คเหตฺวาปิ น รกฺขนฺติ อาจริโย ตมตฺถํ อเนฺตวาสิกานํ อาโรเจสิฯ อเนฺตวาสิกา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห เอเตสํ อรุจิยา สีลํ เทถ, ตสฺมา ภินฺทนฺติ, อิโต ทานิ ปฎฺฐาย ยาจนฺตานเญฺญว ทเทยฺยาถ, มา อยาจนฺตาน’’นฺติ วทิํสุฯ โส วิปฺปฎิสารี อโหสิ, เอวํ สเนฺตปิ ทิฎฺฐทิฎฺฐานํ สีลํ เทติเยวฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ disāpāmokkhassa ācariyassa jeṭṭhantevāsiko koraṇḍiyo nāma ahosi. Tadā so ācariyo diṭṭhadiṭṭhānaṃ kevaṭṭādīnaṃ ayācantānaññeva ‘‘sīlaṃ gaṇhatha, sīlaṃ gaṇhathā’’ti sīlaṃ deti. Te gahetvāpi na rakkhanti ācariyo tamatthaṃ antevāsikānaṃ ārocesi. Antevāsikā ‘‘bhante, tumhe etesaṃ aruciyā sīlaṃ detha, tasmā bhindanti, ito dāni paṭṭhāya yācantānaññeva dadeyyātha, mā ayācantāna’’nti vadiṃsu. So vippaṭisārī ahosi, evaṃ santepi diṭṭhadiṭṭhānaṃ sīlaṃ detiyeva.

    อเถกทิวสํ เอกสฺมา คามา มนุสฺสา อาคนฺตฺวา พฺราหฺมณวาจนกตฺถาย อาจริยํ นิมนฺตยิํสุฯ โส โกรณฺฑิยมาณวํ ปโกฺกสิตฺวา ‘‘ตาต, อหํ น คจฺฉามิ, ตฺวํ อิเม ปญฺจสเต มาณเว คเหตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา วาจนกานิ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อมฺหากํ ทินฺนโกฎฺฐาสํ อาหรา’’ติ เปเสสิฯ โส คนฺตฺวา ปฎินิวตฺตโนฺต อนฺตรามเคฺค เอกํ กนฺทรํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อมฺหากํ อาจริโย ทิฎฺฐทิฎฺฐานํ อยาจนฺตานเญฺญว สีลํ เทติ, อิโต ทานิ ปฎฺฐาย ยถา ยาจนฺตานเญฺญว เทติ, ตถา นํ กริสฺสามี’’ติฯ โส เตสุ มาณเวสุ สุขนิสิเนฺนสุ อุฎฺฐาย มหนฺตํ มหนฺตํ เสลํ อุกฺขิปิตฺวา กนฺทรายํ ขิปิ, ปุนปฺปุนํ ขิปิเยวฯ อถ นํ เต มาณวา อุฎฺฐาย ‘‘อาจริย, กิํ กโรสี’’ติ อาหํสุฯ โส น กิญฺจิ กเถสิ, เต เวเคน คนฺตฺวา อาจริยสฺส อาโรเจสุํฯ อาจริโย อาคนฺตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Athekadivasaṃ ekasmā gāmā manussā āgantvā brāhmaṇavācanakatthāya ācariyaṃ nimantayiṃsu. So koraṇḍiyamāṇavaṃ pakkositvā ‘‘tāta, ahaṃ na gacchāmi, tvaṃ ime pañcasate māṇave gahetvā tattha gantvā vācanakāni sampaṭicchitvā amhākaṃ dinnakoṭṭhāsaṃ āharā’’ti pesesi. So gantvā paṭinivattanto antarāmagge ekaṃ kandaraṃ disvā cintesi ‘‘amhākaṃ ācariyo diṭṭhadiṭṭhānaṃ ayācantānaññeva sīlaṃ deti, ito dāni paṭṭhāya yathā yācantānaññeva deti, tathā naṃ karissāmī’’ti. So tesu māṇavesu sukhanisinnesu uṭṭhāya mahantaṃ mahantaṃ selaṃ ukkhipitvā kandarāyaṃ khipi, punappunaṃ khipiyeva. Atha naṃ te māṇavā uṭṭhāya ‘‘ācariya, kiṃ karosī’’ti āhaṃsu. So na kiñci kathesi, te vegena gantvā ācariyassa ārocesuṃ. Ācariyo āgantvā tena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๓๔.

    34.

    ‘‘เอโก อรเญฺญ คิริกนฺทรายํ, ปคฺคยฺห ปคฺคยฺห สิลํ ปเวจฺฉสิ;

    ‘‘Eko araññe girikandarāyaṃ, paggayha paggayha silaṃ pavecchasi;

    ปุนปฺปุนํ สนฺตรมานรูโป, โกรณฺฑิย โก นุ ตว ยิธโตฺถ’’ติฯ

    Punappunaṃ santaramānarūpo, koraṇḍiya ko nu tava yidhattho’’ti.

    ตตฺถ โก นุ ตว ยิธโตฺถติ โก นุ ตว อิธ กนฺทรายํ สิลาขิปเนน อโตฺถฯ

    Tattha ko nu tava yidhatthoti ko nu tava idha kandarāyaṃ silākhipanena attho.

    โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา อาจริยํ ปโพเธตุกาโม ทุติยํ คาถมาห –

    So tassa vacanaṃ sutvā ācariyaṃ pabodhetukāmo dutiyaṃ gāthamāha –

    ๓๕.

    35.

    ‘‘อหญฺหิมํ สาครเสวิตนฺตํ, สมํ กริสฺสามิ ยถาปิ ปาณิ;

    ‘‘Ahañhimaṃ sāgarasevitantaṃ, samaṃ karissāmi yathāpi pāṇi;

    วิกิริย สานูนิ จ ปพฺพตานิ จ, ตสฺมา สิลํ ทริยา ปกฺขิปามี’’ติฯ

    Vikiriya sānūni ca pabbatāni ca, tasmā silaṃ dariyā pakkhipāmī’’ti.

    ตตฺถ อหญฺหิมนฺติ อหญฺหิ อิมํ มหาปถวิํฯ สาครเสวิตนฺตนฺติ สาคเรหิ เสวิตํ จาตุรนฺตํฯ ยถาปิ ปาณีติ หตฺถตลํ วิย สมํ กริสฺสามิฯ วิกิริยาติ วิกิริตฺวาฯ สานูนิ จ ปพฺพตานิ จาติ ปํสุปพฺพเต จ สิลาปพฺพเต จฯ

    Tattha ahañhimanti ahañhi imaṃ mahāpathaviṃ. Sāgarasevitantanti sāgarehi sevitaṃ cāturantaṃ. Yathāpi pāṇīti hatthatalaṃ viya samaṃ karissāmi. Vikiriyāti vikiritvā. Sānūni ca pabbatāni cāti paṃsupabbate ca silāpabbate ca.

    ตํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ ตติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā brāhmaṇo tatiyaṃ gāthamāha –

    ๓๖.

    36.

    ‘‘นยิมํ มหิํ อรหติ ปาณิกปฺปํ, สมํ มนุโสฺส กรณาย เมโก;

    ‘‘Nayimaṃ mahiṃ arahati pāṇikappaṃ, samaṃ manusso karaṇāya meko;

    มญฺญามิมเญฺญว ทริํ ชิคีสํ, โกรณฺฑิย หาหสิ ชีวโลก’’นฺติฯ

    Maññāmimaññeva dariṃ jigīsaṃ, koraṇḍiya hāhasi jīvaloka’’nti.

    ตตฺถ กรณาย เมโกติ กรณาย เอโก กาตุํ น สโกฺกตีติ ทีเปติฯ มญฺญามิมเญฺญว ทริํ ชิคีสนฺติ อหํ มญฺญามิ ติฎฺฐตุ ปถวี, อิมเญฺญว เอกํ ทริํ ชิคีสํ ปูรณตฺถาย วายมโนฺต สิลา ปริเยสโนฺต อุปายํ วิจินโนฺตว ตฺวํ อิมํ ชีวโลกํ หาหสิ ชหิสฺสสิ, มริสฺสสีติ อโตฺถฯ

    Tattha karaṇāya mekoti karaṇāya eko kātuṃ na sakkotīti dīpeti. Maññāmimaññeva dariṃ jigīsanti ahaṃ maññāmi tiṭṭhatu pathavī, imaññeva ekaṃ dariṃ jigīsaṃ pūraṇatthāya vāyamanto silā pariyesanto upāyaṃ vicinantova tvaṃ imaṃ jīvalokaṃ hāhasi jahissasi, marissasīti attho.

    ตํ สุตฺวา มาณโว จตุตฺถํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā māṇavo catutthaṃ gāthamāha –

    ๓๗.

    37.

    ‘‘สเจ อยํ ภูตธรํ น สกฺกา, สมํ มนุโสฺส กรณาย เมโก;

    ‘‘Sace ayaṃ bhūtadharaṃ na sakkā, samaṃ manusso karaṇāya meko;

    เอวเมว ตฺวํ พฺรเหฺม อิเม มนุเสฺส, นานาทิฎฺฐิเก นานยิสฺสสิ เต’’ติฯ

    Evameva tvaṃ brahme ime manusse, nānādiṭṭhike nānayissasi te’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – สเจ อยํ เอโก มนุโสฺส อิมํ ภูตธรํ ปถวิํ สมํ กาตุํ น สกฺกา น สมโตฺถ, เอวเมว ตฺวํ อิเม ทุสฺสีลมนุเสฺส นานาทิฎฺฐิเก นานยิสฺสสิ, เต เอวํ ‘‘สีลํ คณฺหถ, สีลํ คณฺหถา’’ติ วทโนฺต อตฺตโน วสํ น อานยิสฺสสิ, ปณฺฑิตปุริสาเยว หิ ปาณาติปาตํ ‘‘อกุสล’’นฺติ ครหนฺติฯ สํสารโมจกาทโย ปเนตฺถ กุสลสญฺญิโน, เต ตฺวํ กถํ อานยิสฺสสิ, ตสฺมา ทิฎฺฐทิฎฺฐานํ สีลํ อทตฺวา ยาจนฺตานเญฺญว เทหีติฯ

    Tassattho – sace ayaṃ eko manusso imaṃ bhūtadharaṃ pathaviṃ samaṃ kātuṃ na sakkā na samattho, evameva tvaṃ ime dussīlamanusse nānādiṭṭhike nānayissasi, te evaṃ ‘‘sīlaṃ gaṇhatha, sīlaṃ gaṇhathā’’ti vadanto attano vasaṃ na ānayissasi, paṇḍitapurisāyeva hi pāṇātipātaṃ ‘‘akusala’’nti garahanti. Saṃsāramocakādayo panettha kusalasaññino, te tvaṃ kathaṃ ānayissasi, tasmā diṭṭhadiṭṭhānaṃ sīlaṃ adatvā yācantānaññeva dehīti.

    ตํ สุตฺวา อาจริโย ‘‘ยุตฺตํ วทติ โกรณฺฑิโย, อิทานิ น เอวรูปํ กริสฺสามี’’ติ อตฺตโน วิรทฺธภาวํ ญตฺวา ปญฺจมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā ācariyo ‘‘yuttaṃ vadati koraṇḍiyo, idāni na evarūpaṃ karissāmī’’ti attano viraddhabhāvaṃ ñatvā pañcamaṃ gāthamāha –

    ๓๘.

    38.

    ‘‘สํขิตฺตรูเปน ภวํ มมตฺถํ, อกฺขาสิ โกรณฺฑิย เอวเมตํ;

    ‘‘Saṃkhittarūpena bhavaṃ mamatthaṃ, akkhāsi koraṇḍiya evametaṃ;

    ยถา น สกฺกา ปถวี สมายํ, กตฺตุํ มนุเสฺสน ตถา มนุสฺสา’’ติฯ

    Yathā na sakkā pathavī samāyaṃ, kattuṃ manussena tathā manussā’’ti.

    ตตฺถ สมายนฺติ สมํ อยํฯ เอวํ อาจริโย มาณวสฺส ถุติํ อกาสิ, โสปิ นํ โพเธตฺวา สยํ ฆรํ เนสิฯ

    Tattha samāyanti samaṃ ayaṃ. Evaṃ ācariyo māṇavassa thutiṃ akāsi, sopi naṃ bodhetvā sayaṃ gharaṃ nesi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา พฺราหฺมโณ สาริปุโตฺต อโหสิ, โกรณฺฑิยมาณโว ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā brāhmaṇo sāriputto ahosi, koraṇḍiyamāṇavo pana ahameva ahosi’’nti.

    โกรณฺฑิยชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ

    Koraṇḍiyajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๕๖. โกรณฺฑิยชาตกํ • 356. Koraṇḍiyajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact