Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi

    ๑๐. โกสมฺพกกฺขนฺธโก

    10. Kosambakakkhandhako

    ๒๗๑. โกสมฺพกวิวาทกถา

    271. Kosambakavivādakathā

    ๔๕๑. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน อญฺญตโร ภิกฺขุ อาปตฺติํ อาปโนฺน โหติฯ โส ตสฺสา อาปตฺติยา อาปตฺติทิฎฺฐิ 1 โหติ; อเญฺญ ภิกฺขู ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฎฺฐิโน โหนฺติฯ โส อปเรน สมเยน ตสฺสา อาปตฺติยา อนา ปตฺติทิฎฺฐิ โหติ; อเญฺญ ภิกฺขู ตสฺสา อาปตฺติยา อาปตฺติทิฎฺฐิโน โหนฺติฯ อถ โข เต ภิกฺขู ตํ ภิกฺขุํ เอตทโวจุํ – ‘‘อาปตฺติํ ตฺวํ, อาวุโส, อาปโนฺน, ปสฺสเสตํ อาปตฺติ’’นฺติ? ‘‘นตฺถิ เม, อาวุโส, อาปตฺติ ยมหํ ปเสฺสยฺย’’นฺติฯ อถ โข เต ภิกฺขู สามคฺคิํ ลภิตฺวา ตํ ภิกฺขุํ อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปิํสุฯ โส จ ภิกฺขุ พหุสฺสุโต โหติ อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ อถ โข โส ภิกฺขุ สนฺทิเฎฺฐ สมฺภเตฺต ภิกฺขู อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘‘อนาปตฺติ เอสา, อาวุโส, เนสา อาปตฺติฯ อนาปโนฺนมฺหิ, นมฺหิ อาปโนฺนฯ อนุกฺขิโตฺตมฺหิ, นมฺหิ อุกฺขิโตฺตฯ อธมฺมิเกนมฺหิ กเมฺมน อุกฺขิโตฺต กุเปฺปน อฎฺฐานารเหนฯ โหถ เม อายสฺมโนฺต ธมฺมโต วินยโต ปกฺขา’’ติฯ อลภิ โข โส ภิกฺขุ สนฺทิเฎฺฐ สมฺภเตฺต ภิกฺขู ปเกฺขฯ ชานปทานมฺปิ สนฺทิฎฺฐานํ สมฺภตฺตานํ ภิกฺขูนํ สนฺติเก ทูตํ ปาเหสิ – อนาปตฺติ เอสา, อาวุโส, เนสา อาปตฺติฯ อนาปโนฺนมฺหิ, นมฺหิ อาปโนฺนฯ อนุกฺขิโตฺตมฺหิ, นมฺหิ อุกฺขิโตฺตฯ อธมฺมิเกนมฺหิ กเมฺมน อุกฺขิโตฺต กุเปฺปน อฎฺฐานารเหนฯ โหนฺตุ เม อายสฺมโนฺต ธมฺมโต วินยโต ปกฺขา’’ติฯ อลภิ โข โส ภิกฺขุ ชานปเทปิ สนฺทิเฎฺฐ สมฺภเตฺต ภิกฺขู ปเกฺขฯ อถ โข เต อุกฺขิตฺตานุวตฺตกา ภิกฺขู เยน อุเกฺขปกา ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิํสุ, อุปสงฺกมิตฺวา อุเกฺขปเก ภิกฺขู เอตทโวจุํ – ‘‘อนาปตฺติ เอสา, อาวุโส, เนสา อาปตฺติฯ อนาปโนฺน เอโส ภิกฺขุ, เนโส ภิกฺขุ อาปโนฺนฯ อนุกฺขิโตฺต เอโส ภิกฺขุ, เนโส ภิกฺขุ อุกฺขิโตฺต ฯ อธมฺมิเกน กเมฺมน อุกฺขิโตฺต กุเปฺปน อฎฺฐานารเหนา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต อุเกฺขปกา ภิกฺขู อุกฺขิตฺตานุวตฺตเก ภิกฺขู เอตทโวจุํ – ‘‘อาปตฺติ เอสา อาวุโส, เนสา อนาปตฺติฯ อาปโนฺน เอโส ภิกฺขุ, เนโส ภิกฺขุ อนาปโนฺนฯ อุกฺขิโตฺต เอโส ภิกฺขุ, เนโส ภิกฺขุ อนุกฺขิโตฺตฯ ธมฺมิเกน กเมฺมน อุกฺขิโตฺต อกุเปฺปน ฐานารเหนฯ มา โข ตุเมฺห อายสฺมโนฺต เอตํ อุกฺขิตฺตกํ ภิกฺขุํ อนุวตฺติตฺถ อนุปริวาเรถา’’ติฯ เอวมฺปิ โข เต อุกฺขิตฺตานุวตฺตกา ภิกฺขู อุเกฺขปเกหิ ภิกฺขูหิ วุจฺจมานา ตเถว ตํ อุกฺขิตฺตกํ ภิกฺขุํ อนุวตฺติํสุ อนุปริวาเรสุํฯ

    451. Tena samayena buddho bhagavā kosambiyaṃ viharati ghositārāme. Tena kho pana samayena aññataro bhikkhu āpattiṃ āpanno hoti. So tassā āpattiyā āpattidiṭṭhi 2 hoti; aññe bhikkhū tassā āpattiyā anāpattidiṭṭhino honti. So aparena samayena tassā āpattiyā anā pattidiṭṭhi hoti; aññe bhikkhū tassā āpattiyā āpattidiṭṭhino honti. Atha kho te bhikkhū taṃ bhikkhuṃ etadavocuṃ – ‘‘āpattiṃ tvaṃ, āvuso, āpanno, passasetaṃ āpatti’’nti? ‘‘Natthi me, āvuso, āpatti yamahaṃ passeyya’’nti. Atha kho te bhikkhū sāmaggiṃ labhitvā taṃ bhikkhuṃ āpattiyā adassane ukkhipiṃsu. So ca bhikkhu bahussuto hoti āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito byatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. Atha kho so bhikkhu sandiṭṭhe sambhatte bhikkhū upasaṅkamitvā etadavoca – ‘‘anāpatti esā, āvuso, nesā āpatti. Anāpannomhi, namhi āpanno. Anukkhittomhi, namhi ukkhitto. Adhammikenamhi kammena ukkhitto kuppena aṭṭhānārahena. Hotha me āyasmanto dhammato vinayato pakkhā’’ti. Alabhi kho so bhikkhu sandiṭṭhe sambhatte bhikkhū pakkhe. Jānapadānampi sandiṭṭhānaṃ sambhattānaṃ bhikkhūnaṃ santike dūtaṃ pāhesi – anāpatti esā, āvuso, nesā āpatti. Anāpannomhi, namhi āpanno. Anukkhittomhi, namhi ukkhitto. Adhammikenamhi kammena ukkhitto kuppena aṭṭhānārahena. Hontu me āyasmanto dhammato vinayato pakkhā’’ti. Alabhi kho so bhikkhu jānapadepi sandiṭṭhe sambhatte bhikkhū pakkhe. Atha kho te ukkhittānuvattakā bhikkhū yena ukkhepakā bhikkhū tenupasaṅkamiṃsu, upasaṅkamitvā ukkhepake bhikkhū etadavocuṃ – ‘‘anāpatti esā, āvuso, nesā āpatti. Anāpanno eso bhikkhu, neso bhikkhu āpanno. Anukkhitto eso bhikkhu, neso bhikkhu ukkhitto . Adhammikena kammena ukkhitto kuppena aṭṭhānārahenā’’ti. Evaṃ vutte ukkhepakā bhikkhū ukkhittānuvattake bhikkhū etadavocuṃ – ‘‘āpatti esā āvuso, nesā anāpatti. Āpanno eso bhikkhu, neso bhikkhu anāpanno. Ukkhitto eso bhikkhu, neso bhikkhu anukkhitto. Dhammikena kammena ukkhitto akuppena ṭhānārahena. Mā kho tumhe āyasmanto etaṃ ukkhittakaṃ bhikkhuṃ anuvattittha anuparivārethā’’ti. Evampi kho te ukkhittānuvattakā bhikkhū ukkhepakehi bhikkhūhi vuccamānā tatheva taṃ ukkhittakaṃ bhikkhuṃ anuvattiṃsu anuparivāresuṃ.

    ๔๕๒. อถ โข อญฺญตโร ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อิธ, ภเนฺต, อญฺญตโร ภิกฺขุ อาปตฺติํ อาปโนฺน อโหสิฯ โส ตสฺสา อาปตฺติยา อาปตฺติทิฎฺฐิ อโหสิ, อเญฺญ ภิกฺขู ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฎฺฐิโน อเหสุํฯ โส อปเรน สมเยน ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฎฺฐิ อโหสิ, อเญฺญ ภิกฺขู ตสฺสา อาปตฺติยา อาปตฺติทิฎฺฐิโน อเหสุํฯ อถ โข เต, ภเนฺต, ภิกฺขู ตํ ภิกฺขุํ เอตทโวจุํ – ‘อาปตฺติํ ตฺวํ, อาวุโส, อาปโนฺน, ปสฺสเสตํ อาปตฺติ’นฺติ? ‘‘นตฺถิ เม, อาวุโส, อาปตฺติ ยมหํ ปเสฺสยฺย’’นฺติฯ อถ โข เต, ภเนฺต, ภิกฺขู สามคฺคิํ ลภิตฺวา ตํ ภิกฺขุํ อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปิํสุฯ โส จ, ภเนฺต, ภิกฺขุ พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ อถ โข โส, ภเนฺต, ภิกฺขุ สนฺทิเฎฺฐ สมฺภเตฺต ภิกฺขู อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘อนาปตฺติ เอสา, อาวุโส; เนสา อาปตฺติฯ อนาปโนฺนมฺหิ, นมฺหิ อาปโนฺนฯ อนุกฺขิโตฺตมฺหิ, นมฺหิ อุกฺขิโตฺตฯ อธมฺมิเกนมฺหิ กเมฺมน อุกฺขิโตฺต กุเปฺปน อฎฺฐานารเหนฯ โหถ เม อายสฺมโนฺต ธมฺมโต วินยโต ปกฺขา’ติฯ อลภิ โข โส, ภเนฺต, ภิกฺขุ สนฺทิเฎฺฐ สมฺภเตฺต ภิกฺขู ปเกฺขฯ ชานปทานมฺปิ สนฺทิฎฺฐานํ สมฺภตฺตานํ ภิกฺขูนํ สนฺติเก ทูตํ ปาเหสิ – ‘อนาปตฺติ เอสา, อาวุโส; เนสา อาปตฺติฯ อนาปโนฺนมฺหิ, นมฺหิ อาปโนฺนฯ อนุกฺขิโตฺตมฺหิ, นมฺหิ อุกฺขิโตฺตฯ อธมฺมิเกนมฺหิ กเมฺมน อุกฺขิโตฺต กุเปฺปน อฎฺฐานารเหนฯ โหนฺตุ เม อายสฺมโนฺต ธมฺมโต วินยโต ปกฺขา’ติฯ อลภิ โข โส, ภเนฺต, ภิกฺขุ ชานปเทปิ สนฺทิเฎฺฐ สมฺภเตฺต ภิกฺขู ปเกฺขฯ อถ โข เต, ภเนฺต, อุกฺขิตฺตานุวตฺตกา ภิกฺขู เยน อุเกฺขปกา ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิํสุ, อุปสงฺกมิตฺวา อุเกฺขปเก ภิกฺขู เอตทโวจุํ – ‘อนาปตฺติ เอสา, อาวุโส; เนสา อาปตฺติฯ อนาปโนฺน เอโส ภิกฺขุ, เนโส ภิกฺขุ อาปโนฺนฯ อนุกฺขิโตฺต เอโส ภิกฺขุ, เนโส ภิกฺขุ อุกฺขิโตฺตฯ อธมฺมิเกน กเมฺมน อุกฺขิโตฺต กุเปฺปน อฎฺฐานารเหนา’ติฯ เอวํ วุเตฺต เต, ภเนฺต, อุเกฺขปกา ภิกฺขู อุกฺขิตฺตานุวตฺตเก ภิกฺขู เอตทโวจุํ – ‘อาปตฺติ เอสา, อาวุโส; เนสา อนาปตฺติฯ อาปโนฺน เอโส ภิกฺขุ, เนโส ภิกฺขุ อนาปโนฺนฯ อุกฺขิโตฺต เอโส ภิกฺขุ, เนโส ภิกฺขุ อนุกฺขิโตฺตฯ ธมฺมิเกน กเมฺมน อุกฺขิโตฺต อกุเปฺปน ฐานารเหนฯ มา โข ตุเมฺห อายสฺมโนฺต เอตํ อุกฺขิตฺตกํ ภิกฺขุํ อนุวตฺติตฺถ อนุปริวาเรถา’ติฯ เอวมฺปิ โข เต, ภเนฺต, อุกฺขิตฺตานุวตฺตกา ภิกฺขู อุเกฺขปเกหิ ภิกฺขูหิ วุจฺจมานา ตเถว ตํ อุกฺขิตฺตกํ ภิกฺขุํ อนุวตฺตนฺติ อนุปริวาเรนฺตี’’ติฯ

    452. Atha kho aññataro bhikkhu yena bhagavā tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho so bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘idha, bhante, aññataro bhikkhu āpattiṃ āpanno ahosi. So tassā āpattiyā āpattidiṭṭhi ahosi, aññe bhikkhū tassā āpattiyā anāpattidiṭṭhino ahesuṃ. So aparena samayena tassā āpattiyā anāpattidiṭṭhi ahosi, aññe bhikkhū tassā āpattiyā āpattidiṭṭhino ahesuṃ. Atha kho te, bhante, bhikkhū taṃ bhikkhuṃ etadavocuṃ – ‘āpattiṃ tvaṃ, āvuso, āpanno, passasetaṃ āpatti’nti? ‘‘Natthi me, āvuso, āpatti yamahaṃ passeyya’’nti. Atha kho te, bhante, bhikkhū sāmaggiṃ labhitvā taṃ bhikkhuṃ āpattiyā adassane ukkhipiṃsu. So ca, bhante, bhikkhu bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito byatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. Atha kho so, bhante, bhikkhu sandiṭṭhe sambhatte bhikkhū upasaṅkamitvā etadavoca – ‘anāpatti esā, āvuso; nesā āpatti. Anāpannomhi, namhi āpanno. Anukkhittomhi, namhi ukkhitto. Adhammikenamhi kammena ukkhitto kuppena aṭṭhānārahena. Hotha me āyasmanto dhammato vinayato pakkhā’ti. Alabhi kho so, bhante, bhikkhu sandiṭṭhe sambhatte bhikkhū pakkhe. Jānapadānampi sandiṭṭhānaṃ sambhattānaṃ bhikkhūnaṃ santike dūtaṃ pāhesi – ‘anāpatti esā, āvuso; nesā āpatti. Anāpannomhi, namhi āpanno. Anukkhittomhi, namhi ukkhitto. Adhammikenamhi kammena ukkhitto kuppena aṭṭhānārahena. Hontu me āyasmanto dhammato vinayato pakkhā’ti. Alabhi kho so, bhante, bhikkhu jānapadepi sandiṭṭhe sambhatte bhikkhū pakkhe. Atha kho te, bhante, ukkhittānuvattakā bhikkhū yena ukkhepakā bhikkhū tenupasaṅkamiṃsu, upasaṅkamitvā ukkhepake bhikkhū etadavocuṃ – ‘anāpatti esā, āvuso; nesā āpatti. Anāpanno eso bhikkhu, neso bhikkhu āpanno. Anukkhitto eso bhikkhu, neso bhikkhu ukkhitto. Adhammikena kammena ukkhitto kuppena aṭṭhānārahenā’ti. Evaṃ vutte te, bhante, ukkhepakā bhikkhū ukkhittānuvattake bhikkhū etadavocuṃ – ‘āpatti esā, āvuso; nesā anāpatti. Āpanno eso bhikkhu, neso bhikkhu anāpanno. Ukkhitto eso bhikkhu, neso bhikkhu anukkhitto. Dhammikena kammena ukkhitto akuppena ṭhānārahena. Mā kho tumhe āyasmanto etaṃ ukkhittakaṃ bhikkhuṃ anuvattittha anuparivārethā’ti. Evampi kho te, bhante, ukkhittānuvattakā bhikkhū ukkhepakehi bhikkhūhi vuccamānā tatheva taṃ ukkhittakaṃ bhikkhuṃ anuvattanti anuparivārentī’’ti.

    ๔๕๓. อถ โข ภควา ‘ภิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆ, ภิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆ’ติ – อุฎฺฐายาสนา เยน อุเกฺขปกา ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิ, นิสชฺช โข ภควา อุเกฺขปเก ภิกฺขู เอตทโวจ – ‘‘มา โข ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ‘ปฎิภาติ โน, ปฎิภาติ โน’ติ ยสฺมิํ วา ตสฺมิํ วา ภิกฺขุํ อุกฺขิปิตพฺพํ มญฺญิตฺถ’’ฯ

    453. Atha kho bhagavā ‘bhinno bhikkhusaṅgho, bhinno bhikkhusaṅgho’ti – uṭṭhāyāsanā yena ukkhepakā bhikkhū tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi, nisajja kho bhagavā ukkhepake bhikkhū etadavoca – ‘‘mā kho tumhe, bhikkhave, ‘paṭibhāti no, paṭibhāti no’ti yasmiṃ vā tasmiṃ vā bhikkhuṃ ukkhipitabbaṃ maññittha’’.

    ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อาปตฺติํ อาปโนฺน โหติฯ โส ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฎฺฐิ โหติ, อเญฺญ ภิกฺขู ตสฺสา อาปตฺติยา อาปตฺติทิฎฺฐิโน โหนฺติ ฯ เต เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ตํ ภิกฺขุํ เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข อายสฺมา พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ สเจ มยํ อิมํ ภิกฺขุํ อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปิสฺสาม, น มยํ อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ อุโปสถํ กริสฺสาม, วินา อิมินา ภิกฺขุนา อุโปสถํ กริสฺสาม, ภวิสฺสติ สงฺฆสฺส ตโตนิทานํ ภณฺฑนํ กลโห วิคฺคโห วิวาโท สงฺฆเภโท สงฺฆราชิ สงฺฆววตฺถานํ สงฺฆนานากรณ’นฺติ, เภทครุเกหิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูหิ น โส ภิกฺขุ อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปิตโพฺพฯ

    ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu āpattiṃ āpanno hoti. So tassā āpattiyā anāpattidiṭṭhi hoti, aññe bhikkhū tassā āpattiyā āpattidiṭṭhino honti . Te ce, bhikkhave, bhikkhū taṃ bhikkhuṃ evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho āyasmā bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito byatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. Sace mayaṃ imaṃ bhikkhuṃ āpattiyā adassane ukkhipissāma, na mayaṃ iminā bhikkhunā saddhiṃ uposathaṃ karissāma, vinā iminā bhikkhunā uposathaṃ karissāma, bhavissati saṅghassa tatonidānaṃ bhaṇḍanaṃ kalaho viggaho vivādo saṅghabhedo saṅgharāji saṅghavavatthānaṃ saṅghanānākaraṇa’nti, bhedagarukehi, bhikkhave, bhikkhūhi na so bhikkhu āpattiyā adassane ukkhipitabbo.

    ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อาปตฺติํ อาปโนฺน โหติฯ โส ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฎฺฐิ โหติ, อเญฺญ ภิกฺขู ตสฺสา อาปตฺติยา อาปตฺติทิฎฺฐิโน โหนฺติฯ เต เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ตํ ภิกฺขุํ เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข อายสฺมา พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ สเจ มยํ อิมํ ภิกฺขุํ อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปิสฺสาม, น มยํ อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ ปวาเรสฺสาม, วินา อิมินา ภิกฺขุนา ปวาเรสฺสามฯ น มยํ อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ สงฺฆกมฺมํ กริสฺสาม, วินา อิมินา ภิกฺขุนา สงฺฆกมฺมํ กริสฺสามฯ น มยํ อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ อาสเน นิสีทิสฺสาม, วินา อิมินา ภิกฺขุนา อาสเน นิสีทิสฺสามฯ น มยํ อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ ยาคุปาเน นิสีทิสฺสาม, วินา อิมินา ภิกฺขุนา ยาคุปาเน นิสีทิสฺสาม ฯ น มยํ อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ ภตฺตเคฺค นิสีทิสฺสาม, วินา อิมินา ภิกฺขุนา ภตฺตเคฺค นิสีทิสฺสามฯ น มยํ อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ เอกจฺฉเนฺน วสิสฺสาม, วินา อิมินา ภิกฺขุนา เอกจฺฉเนฺน วสิสฺสามฯ น มยํ อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ ยถาวุฑฺฒํ อภิวาทนํ ปจฺจุฎฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ กริสฺสาม, วินา อิมินา ภิกฺขุนา ยถาวุฑฺฒํ อภิวาทนํ ปจฺจุฎฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ กริสฺสามฯ ภวิสฺสติ สงฺฆสฺส ตโตนิทานํ ภณฺฑนํ กลโห วิคฺคโห วิวาโท สงฺฆเภโท สงฺฆราชิ สงฺฆววตฺถานํ สงฺฆนานากรณ’นฺติ, เภทครุเกหิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูหิ น โส ภิกฺขุ อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปิตโพฺพ’’ติฯ

    ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu āpattiṃ āpanno hoti. So tassā āpattiyā anāpattidiṭṭhi hoti, aññe bhikkhū tassā āpattiyā āpattidiṭṭhino honti. Te ce, bhikkhave, bhikkhū taṃ bhikkhuṃ evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho āyasmā bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito byatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. Sace mayaṃ imaṃ bhikkhuṃ āpattiyā adassane ukkhipissāma, na mayaṃ iminā bhikkhunā saddhiṃ pavāressāma, vinā iminā bhikkhunā pavāressāma. Na mayaṃ iminā bhikkhunā saddhiṃ saṅghakammaṃ karissāma, vinā iminā bhikkhunā saṅghakammaṃ karissāma. Na mayaṃ iminā bhikkhunā saddhiṃ āsane nisīdissāma, vinā iminā bhikkhunā āsane nisīdissāma. Na mayaṃ iminā bhikkhunā saddhiṃ yāgupāne nisīdissāma, vinā iminā bhikkhunā yāgupāne nisīdissāma . Na mayaṃ iminā bhikkhunā saddhiṃ bhattagge nisīdissāma, vinā iminā bhikkhunā bhattagge nisīdissāma. Na mayaṃ iminā bhikkhunā saddhiṃ ekacchanne vasissāma, vinā iminā bhikkhunā ekacchanne vasissāma. Na mayaṃ iminā bhikkhunā saddhiṃ yathāvuḍḍhaṃ abhivādanaṃ paccuṭṭhānaṃ añjalikammaṃ sāmīcikammaṃ karissāma, vinā iminā bhikkhunā yathāvuḍḍhaṃ abhivādanaṃ paccuṭṭhānaṃ añjalikammaṃ sāmīcikammaṃ karissāma. Bhavissati saṅghassa tatonidānaṃ bhaṇḍanaṃ kalaho viggaho vivādo saṅghabhedo saṅgharāji saṅghavavatthānaṃ saṅghanānākaraṇa’nti, bhedagarukehi, bhikkhave, bhikkhūhi na so bhikkhu āpattiyā adassane ukkhipitabbo’’ti.

    ๔๕๔. อถ โข ภควา อุเกฺขปกานํ ภิกฺขูนํ เอตมตฺถํ ภาสิตฺวา อุฎฺฐายาสนา เยน อุกฺขิตฺตานุวตฺตกา ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิ, นิสชฺช โข ภควา อุกฺขิตฺตานุวตฺตเก ภิกฺขู เอตทโวจ – ‘‘มา โข ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ‘นามฺห อาปนฺนา, นามฺห อาปนฺนา’ติ อาปตฺติํ น ปฎิกาตพฺพํ มญฺญิตฺถ’’ฯ

    454. Atha kho bhagavā ukkhepakānaṃ bhikkhūnaṃ etamatthaṃ bhāsitvā uṭṭhāyāsanā yena ukkhittānuvattakā bhikkhū tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi, nisajja kho bhagavā ukkhittānuvattake bhikkhū etadavoca – ‘‘mā kho tumhe, bhikkhave, āpattiṃ āpajjitvā ‘nāmha āpannā, nāmha āpannā’ti āpattiṃ na paṭikātabbaṃ maññittha’’.

    ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อาปตฺติํ อาปโนฺน โหติฯ โส ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฎฺฐิ โหติ, อเญฺญ ภิกฺขู ตสฺสา อาปตฺติยา อาปตฺติทิฎฺฐิโน โหนฺติฯ โส เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เต ภิกฺขู เอวํ ชานาติ – ‘อิเม โข อายสฺมโนฺต 3 พหุสฺสุตา อาคตาคมา ธมฺมธรา วินยธรา มาติกาธรา ปณฺฑิตา พฺยตฺตา เมธาวิโน ลชฺชิโน กุกฺกุจฺจกา สิกฺขากามา, นาลํ มมํ วา การณา อเญฺญสํ วา การณา ฉนฺทา โทสา โมหา ภยา อคติํ คนฺตุํฯ สเจ มํ อิเม ภิกฺขู อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปิสฺสนฺติ , น มยา สทฺธิํ อุโปสถํ กริสฺสนฺติ, วินา มยา อุโปสถํ กริสฺสนฺติ, ภวิสฺสติ สงฺฆสฺส ตโตนิทานํ ภณฺฑนํ กลโห วิคฺคโห วิวาโท สงฺฆเภโท สงฺฆราชิ สงฺฆววตฺถานํ สงฺฆนานากรณ’นฺติ, เภทครุเกน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ปเรสมฺปิ สทฺธาย สา อาปตฺติ เทเสตพฺพาฯ

    ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu āpattiṃ āpanno hoti. So tassā āpattiyā anāpattidiṭṭhi hoti, aññe bhikkhū tassā āpattiyā āpattidiṭṭhino honti. So ce, bhikkhave, bhikkhu te bhikkhū evaṃ jānāti – ‘ime kho āyasmanto 4 bahussutā āgatāgamā dhammadharā vinayadharā mātikādharā paṇḍitā byattā medhāvino lajjino kukkuccakā sikkhākāmā, nālaṃ mamaṃ vā kāraṇā aññesaṃ vā kāraṇā chandā dosā mohā bhayā agatiṃ gantuṃ. Sace maṃ ime bhikkhū āpattiyā adassane ukkhipissanti , na mayā saddhiṃ uposathaṃ karissanti, vinā mayā uposathaṃ karissanti, bhavissati saṅghassa tatonidānaṃ bhaṇḍanaṃ kalaho viggaho vivādo saṅghabhedo saṅgharāji saṅghavavatthānaṃ saṅghanānākaraṇa’nti, bhedagarukena, bhikkhave, bhikkhunā paresampi saddhāya sā āpatti desetabbā.

    ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อาปตฺติํ อาปโนฺน โหติฯ โส ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฎฺฐิ โหติ, อเญฺญ ภิกฺขู ตสฺสา อาปตฺติยา อาปตฺติทิฎฺฐิโน โหนฺติฯ โส เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เต ภิกฺขู เอวํ ชานาติ – ‘อิเม โข อายสฺมโนฺต พหุสฺสุตา อาคตาคมา ธมฺมธรา วินยธรา มาติกาธรา ปณฺฑิตา พฺยตฺตา เมธาวิโน ลชฺชิโน กุกฺกุจฺจกา สิกฺขากามา, นาลํ มมํ วา การณา อเญฺญสํ วา การณา ฉนฺทา โทสา โมหา ภยา อคติํ คนฺตุํฯ สเจ มํ อิเม ภิกฺขู อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปิสฺสนฺติ, น มยา สทฺธิํ ปวาเรสฺสนฺติ , วินา มยา ปวาเรสฺสนฺติฯ น มยา สทฺธิํ สงฺฆกมฺมํ กริสฺสนฺติ, วินา มยา สงฺฆกมฺมํ กริสฺสนฺติฯ น มยา สทฺธิํ อาสเน นิสีทิสฺสนฺติ, วินา มยา อาสเน นิสีทิสฺสนฺติฯ น มยา สทฺธิํ ยาคุปาเน นิสีทิสฺสนฺติ, วินา มยา ยาคุปาเน นิสีทิสฺสนฺติฯ น มยา สทฺธิํ ภตฺตเคฺค นิสีทิสฺสนฺติ วินา มยา ภตฺตเคฺค นิสีทิสฺสนฺติฯ น มยา สทฺธิํ เอกจฺฉเนฺน วสิสฺสนฺติ, วินา มยา เอกจฺฉเนฺน วสิสฺสนฺติฯ น มยา สทฺธิํ ยถาวุฑฺฒํ อภิวาทนํ ปจฺจุฎฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ กริสฺสนฺติ, วินา มยา ยถาวุฑฺฒํ อภิวาทนํ ปจฺจุฎฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ กริสฺสนฺติ, ภวิสฺสติ สงฺฆสฺส ตโตนิทานํ ภณฺฑนํ กลโห วิคฺคโห วิวาโท สงฺฆเภโท สงฺฆราชิ สงฺฆววตฺถานํ สงฺฆนานากรณ’นฺติ , เภทครุเกน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ปเรสมฺปิ สทฺธาย สา อาปตฺติ เทเสตพฺพา’’ติฯ อถ โข ภควา อุกฺขิตฺตานุวตฺตกานํ ภิกฺขูนํ เอตมตฺถํ ภาสิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu āpattiṃ āpanno hoti. So tassā āpattiyā anāpattidiṭṭhi hoti, aññe bhikkhū tassā āpattiyā āpattidiṭṭhino honti. So ce, bhikkhave, bhikkhu te bhikkhū evaṃ jānāti – ‘ime kho āyasmanto bahussutā āgatāgamā dhammadharā vinayadharā mātikādharā paṇḍitā byattā medhāvino lajjino kukkuccakā sikkhākāmā, nālaṃ mamaṃ vā kāraṇā aññesaṃ vā kāraṇā chandā dosā mohā bhayā agatiṃ gantuṃ. Sace maṃ ime bhikkhū āpattiyā adassane ukkhipissanti, na mayā saddhiṃ pavāressanti , vinā mayā pavāressanti. Na mayā saddhiṃ saṅghakammaṃ karissanti, vinā mayā saṅghakammaṃ karissanti. Na mayā saddhiṃ āsane nisīdissanti, vinā mayā āsane nisīdissanti. Na mayā saddhiṃ yāgupāne nisīdissanti, vinā mayā yāgupāne nisīdissanti. Na mayā saddhiṃ bhattagge nisīdissanti vinā mayā bhattagge nisīdissanti. Na mayā saddhiṃ ekacchanne vasissanti, vinā mayā ekacchanne vasissanti. Na mayā saddhiṃ yathāvuḍḍhaṃ abhivādanaṃ paccuṭṭhānaṃ añjalikammaṃ sāmīcikammaṃ karissanti, vinā mayā yathāvuḍḍhaṃ abhivādanaṃ paccuṭṭhānaṃ añjalikammaṃ sāmīcikammaṃ karissanti, bhavissati saṅghassa tatonidānaṃ bhaṇḍanaṃ kalaho viggaho vivādo saṅghabhedo saṅgharāji saṅghavavatthānaṃ saṅghanānākaraṇa’nti , bhedagarukena, bhikkhave, bhikkhunā paresampi saddhāya sā āpatti desetabbā’’ti. Atha kho bhagavā ukkhittānuvattakānaṃ bhikkhūnaṃ etamatthaṃ bhāsitvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi.

    ๔๕๕. เตน โข ปน สมเยน อุกฺขิตฺตานุวตฺตกา ภิกฺขู ตเตฺถว อโนฺตสีมาย อุโปสถํ กโรนฺติ, สงฺฆกมฺมํ กโรนฺติฯ อุเกฺขปกา ปน ภิกฺขู นิสฺสีมํ คนฺตฺวา อุโปสถํ กโรนฺติ, สงฺฆกมฺมํ กโรนฺติฯ อถ โข อญฺญตโร อุเกฺขปโก ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เต, ภเนฺต, อุกฺขิตฺตานุวตฺตกา ภิกฺขู ตเตฺถว อโนฺตสีมาย อุโปสถํ กโรนฺติ, สงฺฆกมฺมํ กโรนฺติฯ มยํ ปน อุเกฺขปกา ภิกฺขู นิสฺสีมํ คนฺตฺวา อุโปสถํ กโรม, สงฺฆกมฺมํ กโรมา’’ติฯ ‘‘เต เจ, ภิกฺขุ, อุกฺขิตฺตานุวตฺตกา ภิกฺขู ตเตฺถว อโนฺตสีมาย อุโปสถํ กริสฺสนฺติ, สงฺฆกมฺมํ กริสฺสนฺติ, ยถา มยา ญตฺติ จ อนุสฺสาวนา จ ปญฺญตฺตา, เตสํ ตานิ กมฺมานิ ธมฺมิกานิ กมฺมานิ ภวิสฺส’’นฺติ อกุปฺปานิ ฐานารหานิฯ ตุเมฺห เจ, ภิกฺขุ, อุเกฺขปกา ภิกฺขู ตเตฺถว อโนฺตสีมาย อุโปสถํ กริสฺสถ, สงฺฆกมฺมํ กริสฺสถ, ยถา มยา ญตฺติ จ อนุสฺสาวนา จ ปญฺญตฺตา, ตุมฺหากมฺปิ ตานิ กมฺมานิ ธมฺมิกานิ กมฺมานิ ภวิสฺสนฺติ อกุปฺปานิ ฐานารหานิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? นานาสํวาสกา เอเต 5 ภิกฺขู 6 ตุเมฺหหิ, ตุเมฺห จ เตหิ นานาสํวาสกาฯ

    455. Tena kho pana samayena ukkhittānuvattakā bhikkhū tattheva antosīmāya uposathaṃ karonti, saṅghakammaṃ karonti. Ukkhepakā pana bhikkhū nissīmaṃ gantvā uposathaṃ karonti, saṅghakammaṃ karonti. Atha kho aññataro ukkhepako bhikkhu yena bhagavā tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho so bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘te, bhante, ukkhittānuvattakā bhikkhū tattheva antosīmāya uposathaṃ karonti, saṅghakammaṃ karonti. Mayaṃ pana ukkhepakā bhikkhū nissīmaṃ gantvā uposathaṃ karoma, saṅghakammaṃ karomā’’ti. ‘‘Te ce, bhikkhu, ukkhittānuvattakā bhikkhū tattheva antosīmāya uposathaṃ karissanti, saṅghakammaṃ karissanti, yathā mayā ñatti ca anussāvanā ca paññattā, tesaṃ tāni kammāni dhammikāni kammāni bhavissa’’nti akuppāni ṭhānārahāni. Tumhe ce, bhikkhu, ukkhepakā bhikkhū tattheva antosīmāya uposathaṃ karissatha, saṅghakammaṃ karissatha, yathā mayā ñatti ca anussāvanā ca paññattā, tumhākampi tāni kammāni dhammikāni kammāni bhavissanti akuppāni ṭhānārahāni. Taṃ kissa hetu? Nānāsaṃvāsakā ete 7 bhikkhū 8 tumhehi, tumhe ca tehi nānāsaṃvāsakā.

    ‘‘เทฺวมา, ภิกฺขุ, นานาสํวาสกภูมิโย – อตฺตนา วา อตฺตานํ นานาสํวาสกํ กโรติ, สมโคฺค วา นํ สโงฺฆ อุกฺขิปติ อทสฺสเน วา อปฺปฎิกเมฺม วา อปฺปฎินิสฺสเคฺค วาฯ อิมา โข, ภิกฺขุ, เทฺว นานาสํวาสกภูมิโยฯ เทฺวมา, ภิกฺขุ, สมานสํวาสกภูมิโย – อตฺตนา วา อตฺตานํ สมานสํวาสํ กโรติ, สมโคฺค วา นํ สโงฺฆ อุกฺขิตฺตํ โอสาเรติ อทสฺสเน วา อปฺปฎิกเมฺม วา อปฺปฎินิสฺสเคฺค วาฯ อิมา โข, ภิกฺขุ, เทฺว สมานสํวาสกภูมิโย’’ติฯ

    ‘‘Dvemā, bhikkhu, nānāsaṃvāsakabhūmiyo – attanā vā attānaṃ nānāsaṃvāsakaṃ karoti, samaggo vā naṃ saṅgho ukkhipati adassane vā appaṭikamme vā appaṭinissagge vā. Imā kho, bhikkhu, dve nānāsaṃvāsakabhūmiyo. Dvemā, bhikkhu, samānasaṃvāsakabhūmiyo – attanā vā attānaṃ samānasaṃvāsaṃ karoti, samaggo vā naṃ saṅgho ukkhittaṃ osāreti adassane vā appaṭikamme vā appaṭinissagge vā. Imā kho, bhikkhu, dve samānasaṃvāsakabhūmiyo’’ti.

    ๔๕๖. เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู ภตฺตเคฺค อนฺตรฆเร ภณฺฑนชาตา กลหชาตา วิวาทาปนฺนา อญฺญมญฺญํ อนนุโลมิกํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ อุปทํเสนฺติ, หตฺถปรามาสํ กโรนฺติฯ มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ ขิยฺยนฺติ วิปาเจนฺติ – ‘‘กถญฺหิ นาม สมณา สกฺยปุตฺติยา ภตฺตเคฺค อนฺตรฆเร ภณฺฑนชาตา กลหชาตา วิวาทาปนฺนา อญฺญมญฺญํ อนนุโลมิกํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ อุปทํเสสฺสนฺติ, หตฺถปรามาสํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ อโสฺสสุํ โข ภิกฺขู เตสํ มนุสฺสานํ อุชฺฌายนฺตานํ ขิยฺยนฺตานํ วิปาเจนฺตานํฯ เย เต ภิกฺขู อปฺปิจฺฉา เต อุชฺฌายนฺติ ขิยฺยนฺติ วิปาเจนฺติ – ‘‘กถญฺหิ นาม ภิกฺขู ภตฺตเคฺค อนฺตรฆเร ภณฺฑนชาตา กลหชาตา วิวาทาปนฺนา อญฺญมญฺญํ อนนุโลมิกํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ อุปทํเสสฺสนฺติ , หตฺถปรามาสํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ อถ โข เต ภิกฺขู ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ…เป.… ‘‘สจฺจํ กิร, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ภตฺตเคฺค อนฺตรฆเร ภณฺฑนชาตา…เป.… หตฺถปรามาสํ กโรนฺตี’’ติ? ‘‘สจฺจํ, ภควา’’ติฯ วิครหิ พุโทฺธ ภควา…เป.… วิครหิตฺวา ธมฺมิํ กถํ กตฺวา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิเนฺน, ภิกฺขเว, สเงฺฆ อธมฺมิยายมาเน 9 อสโมฺมทิกาย วตฺตมานาย 10 ‘เอตฺตาวตา น อญฺญมญฺญํ อนนุโลมิกํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ อุปทํเสสฺสาม, หตฺถปรามาสํ กริสฺสามา’ติ อาสเน นิสีทิตพฺพํฯ ภิเนฺน, ภิกฺขเว, สเงฺฆ ธมฺมิยายมาเน สโมฺมทิกาย วตฺตมานาย อาสนนฺตริกาย นิสีทิตพฺพ’’นฺติฯ

    456. Tena kho pana samayena bhikkhū bhattagge antaraghare bhaṇḍanajātā kalahajātā vivādāpannā aññamaññaṃ ananulomikaṃ kāyakammaṃ vacīkammaṃ upadaṃsenti, hatthaparāmāsaṃ karonti. Manussā ujjhāyanti khiyyanti vipācenti – ‘‘kathañhi nāma samaṇā sakyaputtiyā bhattagge antaraghare bhaṇḍanajātā kalahajātā vivādāpannā aññamaññaṃ ananulomikaṃ kāyakammaṃ vacīkammaṃ upadaṃsessanti, hatthaparāmāsaṃ karissantī’’ti. Assosuṃ kho bhikkhū tesaṃ manussānaṃ ujjhāyantānaṃ khiyyantānaṃ vipācentānaṃ. Ye te bhikkhū appicchā te ujjhāyanti khiyyanti vipācenti – ‘‘kathañhi nāma bhikkhū bhattagge antaraghare bhaṇḍanajātā kalahajātā vivādāpannā aññamaññaṃ ananulomikaṃ kāyakammaṃ vacīkammaṃ upadaṃsessanti , hatthaparāmāsaṃ karissantī’’ti. Atha kho te bhikkhū bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ…pe… ‘‘saccaṃ kira, bhikkhave, bhikkhū bhattagge antaraghare bhaṇḍanajātā…pe… hatthaparāmāsaṃ karontī’’ti? ‘‘Saccaṃ, bhagavā’’ti. Vigarahi buddho bhagavā…pe… vigarahitvā dhammiṃ kathaṃ katvā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhinne, bhikkhave, saṅghe adhammiyāyamāne 11 asammodikāya vattamānāya 12 ‘ettāvatā na aññamaññaṃ ananulomikaṃ kāyakammaṃ vacīkammaṃ upadaṃsessāma, hatthaparāmāsaṃ karissāmā’ti āsane nisīditabbaṃ. Bhinne, bhikkhave, saṅghe dhammiyāyamāne sammodikāya vattamānāya āsanantarikāya nisīditabba’’nti.

    ๔๕๗. 13 เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู สงฺฆมเชฺฌ ภณฺฑนชาตา กลหชาตา วิวาทาปนฺนา อญฺญมญฺญํ มุขสตฺตีหิ วิตุทนฺตา วิหรนฺติฯ เต น สโกฺกนฺติ ตํ อธิกรณํ วูปสเมตุํฯ อถ โข อญฺญตโร ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อิธ, ภเนฺต, ภิกฺขู สงฺฆมเชฺฌ ภณฺฑนชาตา กลหชาตา วิวาทาปนฺนา อญฺญมญฺญํ มุขสตฺตีหิ วิตุทนฺตา วิหรนฺติฯ เต น สโกฺกนฺติ ตํ อธิกรณํ วูปสเมตุํฯ สาธุ, ภเนฺต, ภควา เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ อถ โข ภควา เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิ, นิสชฺช โข ภควา เต ภิกฺขู เอตทโวจ – ‘‘อลํ, ภิกฺขเว, มา ภณฺฑนํ มา กลหํ มา วิคฺคหํ มา วิวาท’’นฺติฯ เอวํ วุเตฺต อญฺญตโร อธมฺมวาที ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อาคเมตุ, ภเนฺต, ภควา ธมฺมสฺสามี; อโปฺปสฺสุโกฺก, ภเนฺต, ภควา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารมนุยุโตฺต วิหรตุฯ มยเมเตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน ปญฺญายิสฺสามา’’ติฯ ทุติยมฺปิ โข ภควา เต ภิกฺขู เอตทโวจ – ‘‘อลํ, ภิกฺขเว, มา ภณฺฑนํ มา กลหํ มา วิคฺคหํ มา วิวาท’’นฺติฯ ทุติยมฺปิ โข โส อธมฺมวาที ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อาคเมตุ , ภเนฺต, ภควา ธมฺมสฺสามี; อโปฺปสฺสุโกฺก, ภเนฺต , ภควา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารมนุยุโตฺต วิหรตุฯ มยเมเตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน ปญฺญายิสฺสามา’’ติฯ

    457.14 Tena kho pana samayena bhikkhū saṅghamajjhe bhaṇḍanajātā kalahajātā vivādāpannā aññamaññaṃ mukhasattīhi vitudantā viharanti. Te na sakkonti taṃ adhikaraṇaṃ vūpasametuṃ. Atha kho aññataro bhikkhu yena bhagavā tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho so bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘idha, bhante, bhikkhū saṅghamajjhe bhaṇḍanajātā kalahajātā vivādāpannā aññamaññaṃ mukhasattīhi vitudantā viharanti. Te na sakkonti taṃ adhikaraṇaṃ vūpasametuṃ. Sādhu, bhante, bhagavā yena te bhikkhū tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’ti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena. Atha kho bhagavā yena te bhikkhū tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi, nisajja kho bhagavā te bhikkhū etadavoca – ‘‘alaṃ, bhikkhave, mā bhaṇḍanaṃ mā kalahaṃ mā viggahaṃ mā vivāda’’nti. Evaṃ vutte aññataro adhammavādī bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘āgametu, bhante, bhagavā dhammassāmī; appossukko, bhante, bhagavā diṭṭhadhammasukhavihāramanuyutto viharatu. Mayametena bhaṇḍanena kalahena viggahena vivādena paññāyissāmā’’ti. Dutiyampi kho bhagavā te bhikkhū etadavoca – ‘‘alaṃ, bhikkhave, mā bhaṇḍanaṃ mā kalahaṃ mā viggahaṃ mā vivāda’’nti. Dutiyampi kho so adhammavādī bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘āgametu , bhante, bhagavā dhammassāmī; appossukko, bhante , bhagavā diṭṭhadhammasukhavihāramanuyutto viharatu. Mayametena bhaṇḍanena kalahena viggahena vivādena paññāyissāmā’’ti.

    โกสมฺพกวิวาทกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Kosambakavivādakathā niṭṭhitā.







    Footnotes:
    1. อาปตฺติทิฎฺฐี (สี.)
    2. āpattidiṭṭhī (sī.)
    3. อายสฺมนฺตา (ก.)
    4. āyasmantā (ka.)
    5. เต (สฺยา.)
    6. ภิกฺขุ (สี. สฺยา.)
    7. te (syā.)
    8. bhikkhu (sī. syā.)
    9. อธมฺมิยมาเน (สี. สฺยา. กตฺถจิ) อธมฺมียมาเน (ก.)
    10. -‘‘อสโมฺมทิกาวตฺตมานาย’’ อิติ อฎฺฐกถายํ สํวเณฺณตพฺพปาโฐ
    11. adhammiyamāne (sī. syā. katthaci) adhammīyamāne (ka.)
    12. -‘‘asammodikāvattamānāya’’ iti aṭṭhakathāyaṃ saṃvaṇṇetabbapāṭho
    13. ม. นิ. ๓.๒๓๖ โถกํ วิสทิสํ
    14. ma. ni. 3.236 thokaṃ visadisaṃ



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / โกสมฺพกวิวาทกถา • Kosambakavivādakathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / โกสมฺพกวิวาทกถาวณฺณนา • Kosambakavivādakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / โกสมฺพกวิวาทกถาวณฺณนา • Kosambakavivādakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / โกสมฺพกวิวาทกถาวณฺณนา • Kosambakavivādakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๒๗๑. โกสมฺพกวิวาทกถา • 271. Kosambakavivādakathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact