Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๒๘] ๒. โกสมฺพิยชาตกวณฺณนา
[428] 2. Kosambiyajātakavaṇṇanā
ปุถุสโทฺทติ อิทํ สตฺถา โกสมฺพิํ นิสฺสาย โฆสิตาราเม วิหรโนฺต โกสมฺพิยํ ภณฺฑนการเก ภิกฺขู อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ โกสมฺพกกฺขนฺธเก (มหาว. ๔๕๑ อาทโย) อาคตเมว, อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโปฯ ตทา กิร เทฺว ภิกฺขู เอกสฺมิํ อาวาเส วสิํสุ วินยธโร จ สุตฺตนฺติโก จฯ เตสุ สุตฺตนฺติโก เอกทิวสํ สรีรวลญฺชํ กตฺวา อุทกโกฎฺฐเก อาจมนอุทกาวเสสํ ภาชเน ฐเปตฺวา นิกฺขมิฯ ปจฺฉา วินยธโร ตตฺถ ปวิโฎฺฐ ตํ อุทกํ ทิสฺวา นิกฺขมิตฺวา อิตรํ ปุจฺฉิ ‘‘อาวุโส, ตยา อุทกํ ฐปิต’’นฺติฯ ‘‘อามาวุโส’’ติฯ ‘‘กิํ ปเนตฺถ อาปตฺติภาวํ น ชานาสี’’ติ? ‘‘อามาวุโส น ชานามี’’ติฯ ‘‘โหติ, อาวุโส, เอตฺถ อาปตฺตี’’ติ? ‘‘เตน หิ ปฎิกริสฺสามิ น’’นฺติฯ ‘‘สเจ ปน เต, อาวุโส, อสญฺจิจฺจ อสติยา กตํ, นตฺถิ อาปตฺตี’’ติฯ โส ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฎฺฐิ อโหสิฯ วินยธโรปิ อตฺตโน นิสฺสิตกานํ ‘‘อยํ สุตฺตนฺติโก อาปตฺติํ อาปชฺชมาโนปิ น ชานาตี’’ติ อาโรเจสิฯ เต ตสฺส นิสฺสิตเก ทิสฺวา ‘‘ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวาปิ อาปตฺติภาวํ น ชานาตี’’ติ อาหํสุฯ เต คนฺตฺวา อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส อาโรเจสุํฯ โส เอวมาห – ‘‘อยํ วินยธโร ปุเพฺพ ‘อนาปตฺตี’ติ วตฺวา อิทานิ ‘อาปตฺตี’ติ วทติ, มุสาวาที เอโส’’ติฯ เต คนฺตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย มุสาวาที’’ติ เอวํ อญฺญมญฺญํ กลหํ วฑฺฒยิํสุฯ ตโต วินยธโร โอกาสํ ลภิตฺวา ตสฺส อาปตฺติยา อทสฺสเนน อุเกฺขปนียกมฺมํ อกาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย เตสํ ปจฺจยทายกา อุปาสกาปิ เทฺว โกฎฺฐาสา อเหสุํฯ โอวาทปฎิคฺคาหิกา ภิกฺขุนิโยปิ อารกฺขเทวตาปิ เทฺว โกฎฺฐาสา อเหสุํฯ ตาสํ สนฺทิฎฺฐสมฺภตฺตา อากาสฎฺฐเทวตาปิ ยาว พฺรหฺมโลกา สเพฺพ ปุถุชฺชนา เทฺว ปกฺขา อเหสุํฯ ยาว อกนิฎฺฐภวนา ปน อิทํ โกลาหลํ อคมาสิฯ
Puthusaddoti idaṃ satthā kosambiṃ nissāya ghositārāme viharanto kosambiyaṃ bhaṇḍanakārake bhikkhū ārabbha kathesi. Vatthu kosambakakkhandhake (mahāva. 451 ādayo) āgatameva, ayaṃ panettha saṅkhepo. Tadā kira dve bhikkhū ekasmiṃ āvāse vasiṃsu vinayadharo ca suttantiko ca. Tesu suttantiko ekadivasaṃ sarīravalañjaṃ katvā udakakoṭṭhake ācamanaudakāvasesaṃ bhājane ṭhapetvā nikkhami. Pacchā vinayadharo tattha paviṭṭho taṃ udakaṃ disvā nikkhamitvā itaraṃ pucchi ‘‘āvuso, tayā udakaṃ ṭhapita’’nti. ‘‘Āmāvuso’’ti. ‘‘Kiṃ panettha āpattibhāvaṃ na jānāsī’’ti? ‘‘Āmāvuso na jānāmī’’ti. ‘‘Hoti, āvuso, ettha āpattī’’ti? ‘‘Tena hi paṭikarissāmi na’’nti. ‘‘Sace pana te, āvuso, asañcicca asatiyā kataṃ, natthi āpattī’’ti. So tassā āpattiyā anāpattidiṭṭhi ahosi. Vinayadharopi attano nissitakānaṃ ‘‘ayaṃ suttantiko āpattiṃ āpajjamānopi na jānātī’’ti ārocesi. Te tassa nissitake disvā ‘‘tumhākaṃ upajjhāyo āpattiṃ āpajjitvāpi āpattibhāvaṃ na jānātī’’ti āhaṃsu. Te gantvā attano upajjhāyassa ārocesuṃ. So evamāha – ‘‘ayaṃ vinayadharo pubbe ‘anāpattī’ti vatvā idāni ‘āpattī’ti vadati, musāvādī eso’’ti. Te gantvā ‘‘tumhākaṃ upajjhāyo musāvādī’’ti evaṃ aññamaññaṃ kalahaṃ vaḍḍhayiṃsu. Tato vinayadharo okāsaṃ labhitvā tassa āpattiyā adassanena ukkhepanīyakammaṃ akāsi. Tato paṭṭhāya tesaṃ paccayadāyakā upāsakāpi dve koṭṭhāsā ahesuṃ. Ovādapaṭiggāhikā bhikkhuniyopi ārakkhadevatāpi dve koṭṭhāsā ahesuṃ. Tāsaṃ sandiṭṭhasambhattā ākāsaṭṭhadevatāpi yāva brahmalokā sabbe puthujjanā dve pakkhā ahesuṃ. Yāva akaniṭṭhabhavanā pana idaṃ kolāhalaṃ agamāsi.
อเถโก ภิกฺขุ ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา อุเกฺขปกานํ ‘‘ธมฺมิเกเนว กเมฺมน อยํ อุกฺขิโตฺต, อุกฺขิตฺตานุวตฺตกานํ อธมฺมิเกน กเมฺมน อุกฺขิโตฺต’’ติ ลทฺธิํ, อุเกฺขปเกหิ วาริยมานานมฺปิ เตสํ ตํ อนุปริวาเรตฺวา จรณภาวญฺจ สตฺถุ อาโรเจสิฯ ภควา ‘‘สมคฺคา กิร โหนฺตู’’ติ เทฺว วาเร เปเสตฺวา ‘‘น อิจฺฉนฺติ ภเนฺต สมคฺคา ภวิตุ’’นฺติ สุตฺวา ตติยวาเร ‘‘ภิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติ เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา อุเกฺขปกานํ อุเกฺขปเน, อิตเรสญฺจ อสญฺจิจฺจ อาปตฺติยา อทสฺสเน อาทีนวํ วตฺวา ปกฺกามิฯ ปุน เตสํ ตเตฺถว เอกสีมายํ อุโปสถาทีนิ กาเรตฺวา ภตฺตคฺคาทีสุ ภณฺฑนชาตานํ ‘‘อาสนนฺตริกาย นิสีทิตพฺพ’’นฺติ ภตฺตเคฺค วตฺตํ ปญฺญาเปตฺวา ‘‘อิทานิปิ ภณฺฑนชาตา วิหรนฺตี’’ติ สุตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘อลํ, ภิกฺขเว, มา ภณฺฑน’’นฺติอาทีนิ วตฺวา อญฺญตเรน ภิกฺขุนา ธมฺมวาทินา ภควโต วิเหสํ อนิจฺฉเนฺตน ‘‘อาคเมตุ, ภเนฺต, ภควา ธมฺมสามิ, อโปฺปสฺสุโกฺก ภเนฺต, ภควา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารํ อนุยุโตฺต วิหรตุ, มยํ เตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน ปญฺญายิสฺสามา’’ติ วุเตฺต –
Atheko bhikkhu tathāgataṃ upasaṅkamitvā ukkhepakānaṃ ‘‘dhammikeneva kammena ayaṃ ukkhitto, ukkhittānuvattakānaṃ adhammikena kammena ukkhitto’’ti laddhiṃ, ukkhepakehi vāriyamānānampi tesaṃ taṃ anuparivāretvā caraṇabhāvañca satthu ārocesi. Bhagavā ‘‘samaggā kira hontū’’ti dve vāre pesetvā ‘‘na icchanti bhante samaggā bhavitu’’nti sutvā tatiyavāre ‘‘bhinno bhikkhusaṅgho’’ti tesaṃ santikaṃ gantvā ukkhepakānaṃ ukkhepane, itaresañca asañcicca āpattiyā adassane ādīnavaṃ vatvā pakkāmi. Puna tesaṃ tattheva ekasīmāyaṃ uposathādīni kāretvā bhattaggādīsu bhaṇḍanajātānaṃ ‘‘āsanantarikāya nisīditabba’’nti bhattagge vattaṃ paññāpetvā ‘‘idānipi bhaṇḍanajātā viharantī’’ti sutvā tattha gantvā ‘‘alaṃ, bhikkhave, mā bhaṇḍana’’ntiādīni vatvā aññatarena bhikkhunā dhammavādinā bhagavato vihesaṃ anicchantena ‘‘āgametu, bhante, bhagavā dhammasāmi, appossukko bhante, bhagavā diṭṭhadhammasukhavihāraṃ anuyutto viharatu, mayaṃ tena bhaṇḍanena kalahena viggahena vivādena paññāyissāmā’’ti vutte –
ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, พาราณสิยํ พฺรหฺมทโตฺต นาม กาสิราชา อโหสีติ พฺรหฺมทเตฺตน ทีฆีติสฺส โกสลรโญฺญ รชฺชํ อจฺฉนฺทิตฺวา อญฺญาตกเวเสน วสนฺตสฺส มาริตภาวเญฺจว ทีฆาวุกุมาเรน อตฺตโน ชีวิเต ทิเนฺน ตโต ปฎฺฐาย เตสํ สมคฺคภาวญฺจ กเถตฺวา ‘‘เตสญฺหิ นาม, ภิกฺขเว, ราชูนํ อาทินฺนทณฺฑานํ อาทินฺนสตฺถานํ เอวรูปํ ขนฺติโสรจฺจํ ภวิสฺสติฯ อิธ โข ตํ, ภิกฺขเว, โสเภถ, ยํ ตุเมฺห เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิตา สมานา ขมา จ ภเวยฺยาถ โสรตา จา’’ติ โอวทิตฺวา ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ ‘‘อลํ, ภิกฺขเว, มา ภณฺฑน’’นฺติ วาเรตฺวา อโนรมเนฺต ทิสฺวา ‘‘ปริยาทิณฺณรูปา โข อิเม โมฆปุริสา, น ยิเม สุกรา สญฺญาเปตุ’’นฺติ ปกฺกมิตฺวา ปุนทิวเส ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต คนฺธกุฎิยา โถกํ วิสฺสมิตฺวา เสนาสนํ สํสาเมตฺวา อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย สงฺฆมเชฺฌ อากาเส ฐตฺวา อิมา คาถา อภาสิ –
Bhūtapubbaṃ, bhikkhave, bārāṇasiyaṃ brahmadatto nāma kāsirājā ahosīti brahmadattena dīghītissa kosalarañño rajjaṃ acchanditvā aññātakavesena vasantassa māritabhāvañceva dīghāvukumārena attano jīvite dinne tato paṭṭhāya tesaṃ samaggabhāvañca kathetvā ‘‘tesañhi nāma, bhikkhave, rājūnaṃ ādinnadaṇḍānaṃ ādinnasatthānaṃ evarūpaṃ khantisoraccaṃ bhavissati. Idha kho taṃ, bhikkhave, sobhetha, yaṃ tumhe evaṃ svākkhāte dhammavinaye pabbajitā samānā khamā ca bhaveyyātha soratā cā’’ti ovaditvā dutiyampi tatiyampi ‘‘alaṃ, bhikkhave, mā bhaṇḍana’’nti vāretvā anoramante disvā ‘‘pariyādiṇṇarūpā kho ime moghapurisā, na yime sukarā saññāpetu’’nti pakkamitvā punadivase piṇḍapātapaṭikkanto gandhakuṭiyā thokaṃ vissamitvā senāsanaṃ saṃsāmetvā attano pattacīvaramādāya saṅghamajjhe ākāse ṭhatvā imā gāthā abhāsi –
๑๐.
10.
‘‘ปุถุสโทฺท สมชโน, น พาโล โกจิ มญฺญถ;
‘‘Puthusaddo samajano, na bālo koci maññatha;
สงฺฆสฺมิํ ภิชฺชมานสฺมิํ, นาญฺญํ ภิโยฺย อมญฺญรุํฯ
Saṅghasmiṃ bhijjamānasmiṃ, nāññaṃ bhiyyo amaññaruṃ.
๑๑.
11.
‘‘ปริมุฎฺฐา ปณฺฑิตาภาสา, วาจาโคจรภาณิโน;
‘‘Parimuṭṭhā paṇḍitābhāsā, vācāgocarabhāṇino;
ยาวิจฺฉนฺติ มุขายามํ, เยน นีตา น ตํ วิทูฯ
Yāvicchanti mukhāyāmaṃ, yena nītā na taṃ vidū.
๑๒.
12.
‘‘อโกฺกจฺฉิ มํ อวธิ มํ, อชินิ มํ อหาสิ เม;
‘‘Akkocchi maṃ avadhi maṃ, ajini maṃ ahāsi me;
เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสํ น สมฺมติฯ
Ye ca taṃ upanayhanti, veraṃ tesaṃ na sammati.
๑๓.
13.
‘‘อโกฺกจฺฉิ มํ อวธิ มํ, อชินิ มํ อหาสิ เม;
‘‘Akkocchi maṃ avadhi maṃ, ajini maṃ ahāsi me;
เย จ ตํ นุปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสูปสมฺมติฯ
Ye ca taṃ nupanayhanti, veraṃ tesūpasammati.
๑๔.
14.
‘‘น หิ เวเรน เวรานิ, สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ;
‘‘Na hi verena verāni, sammantīdha kudācanaṃ;
อเวเรน จ สมฺมนฺติ, เอส ธโมฺม สนนฺตโนฯ
Averena ca sammanti, esa dhammo sanantano.
๑๕.
15.
‘‘ปเร จ น วิชานนฺติ, มยเมตฺถ ยมามเส;
‘‘Pare ca na vijānanti, mayamettha yamāmase;
เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ, ตโต สมฺมนฺติ เมธคาฯ
Ye ca tattha vijānanti, tato sammanti medhagā.
๑๖.
16.
‘‘อฎฺฐิจฺฉินฺนา ปาณหรา, ควาสฺสธนหาริโน;
‘‘Aṭṭhicchinnā pāṇaharā, gavāssadhanahārino;
รฎฺฐํ วิลุมฺปมานานํ, เตสมฺปิ โหติ สงฺคติ;
Raṭṭhaṃ vilumpamānānaṃ, tesampi hoti saṅgati;
กสฺมา ตุมฺหาก โน สิยาฯ
Kasmā tumhāka no siyā.
๑๗.
17.
‘‘สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ, สทฺธิํจรํ สาธุวิหาริธีรํ;
‘‘Sace labhetha nipakaṃ sahāyaṃ, saddhiṃcaraṃ sādhuvihāridhīraṃ;
อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ, จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมาฯ
Abhibhuyya sabbāni parissayāni, careyya tenattamano satīmā.
๑๘.
18.
‘‘โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ, สทฺธิํจรํ สาธุวิหาริธีรํ;
‘‘No ce labhetha nipakaṃ sahāyaṃ, saddhiṃcaraṃ sādhuvihāridhīraṃ;
ราชาว รฎฺฐํ วิชิตํ ปหาย, เอโก จเร มาตงฺครเญฺญว นาโคฯ
Rājāva raṭṭhaṃ vijitaṃ pahāya, eko care mātaṅgaraññeva nāgo.
๑๙.
19.
‘‘เอกสฺส จริตํ เสโยฺย, นตฺถิ พาเล สหายตา;
‘‘Ekassa caritaṃ seyyo, natthi bāle sahāyatā;
เอโก จเร น ปาปานิ กยิรา, อโปฺปสฺสุโกฺก มาตงฺครเญฺญว นาโค’’ติฯ
Eko care na pāpāni kayirā, appossukko mātaṅgaraññeva nāgo’’ti.
ตตฺถ ปุถุ มหาสโทฺท อสฺสาติ ปุถุสโทฺทฯ สมชโนติ สมาโน เอกสทิโส ชโน, สโพฺพวายํ ภณฺฑนการกชโน สมนฺตโต สทฺทนิจฺฉารเณน ปุถุสโทฺท เจว สทิโส จาติ วุตฺตํ โหติฯ น พาโล โกจิ มญฺญถาติ ตตฺถ โกจิ เอโกปิ ‘‘อหํ พาโล’’ติ น มญฺญิตฺถ, สเพฺพ ปณฺฑิตมานิโน, สโพฺพวายํ ภณฺฑนการโก ชโนเยวฯ นาญฺญํ ภิโยฺย อมญฺญรุนฺติ โกจิ เอโกปิ ‘‘อหํ พาโล’’ติ น มญฺญิตฺถ, ภิโยฺย จ สงฺฆสฺมิํ ภิชฺชมาเน อญฺญมฺปิ เอกํ ‘‘มยฺหํ การณา สโงฺฆ ภิชฺชตี’’ติ อิทํ การณํ น มญฺญิตฺถาติ อโตฺถฯ
Tattha puthu mahāsaddo assāti puthusaddo. Samajanoti samāno ekasadiso jano, sabbovāyaṃ bhaṇḍanakārakajano samantato saddanicchāraṇena puthusaddo ceva sadiso cāti vuttaṃ hoti. Na bālo koci maññathāti tattha koci ekopi ‘‘ahaṃ bālo’’ti na maññittha, sabbe paṇḍitamānino, sabbovāyaṃ bhaṇḍanakārako janoyeva. Nāññaṃ bhiyyo amaññarunti koci ekopi ‘‘ahaṃ bālo’’ti na maññittha, bhiyyo ca saṅghasmiṃ bhijjamāne aññampi ekaṃ ‘‘mayhaṃ kāraṇā saṅgho bhijjatī’’ti idaṃ kāraṇaṃ na maññitthāti attho.
ปริมุฎฺฐาติ มุฎฺฐสฺสติโนฯ ปณฺฑิตาภาสาติ อตฺตโน ปณฺฑิตมาเนน ปณฺฑิตสทิสาฯ วาจาโคจรภาณิโนติ รา-การสฺส รสฺสาเทโส กโต, วาจาโคจรา จ น สติปฎฺฐานาทิอริยธมฺมโคจรา, ภาณิโน จฯ กถํ ภาณิโน? ยาวิจฺฉนฺติ มุขายามนฺติ, ยาว มุขํ ปสาเรตุํ อิจฺฉนฺติ, ตาว ปสาเรตฺวา อคฺคปาเทหิ ฐตฺวา ภาณิโน, เอโกปิ สงฺฆคารเวน มุขสโงฺกจนํ น กโรตีติ อโตฺถฯ เยน นีตาติ เยน ภณฺฑเนน อิมํ นิลฺลชฺชภาวํ นีตาฯ น ตํ วิทูติ เอวํ ‘‘อาทีนวํ อิท’’นฺติ ตํ น ชานนฺติฯ
Parimuṭṭhāti muṭṭhassatino. Paṇḍitābhāsāti attano paṇḍitamānena paṇḍitasadisā. Vācāgocarabhāṇinoti rā-kārassa rassādeso kato, vācāgocarā ca na satipaṭṭhānādiariyadhammagocarā, bhāṇino ca. Kathaṃ bhāṇino? Yāvicchanti mukhāyāmanti, yāva mukhaṃ pasāretuṃ icchanti, tāva pasāretvā aggapādehi ṭhatvā bhāṇino, ekopi saṅghagāravena mukhasaṅkocanaṃ na karotīti attho. Yena nītāti yena bhaṇḍanena imaṃ nillajjabhāvaṃ nītā. Na taṃ vidūti evaṃ ‘‘ādīnavaṃ ida’’nti taṃ na jānanti.
เย จ ตํ อุปนยฺหนฺตีติ ตํ ‘‘อโกฺกจฺฉิ ม’’นฺติอาทิกํ อาการํ เย อุปนยฺหนฺติฯ สนนฺตโนติ โปราโณฯ ปเรติ ปณฺฑิเต ฐเปตฺวา ตโต อเญฺญ ภณฺฑนการกา ปเร นามฯ เต เอตฺถ สงฺฆมเชฺฌ โกลาหลํ กโรนฺตา ‘‘มยํ ยมามเส อุปยมาม นสฺสาม, สตตํ สมิตํ มจฺจุสนฺติกํ คจฺฉามา’’ติ น ชานนฺติฯ เย จ ตตฺถ วิชานนฺตีติ เย ตตฺถ ปณฺฑิตา ‘‘มยํ มจฺจุสมีปํ คจฺฉามา’’ติ วิชานนฺติฯ ตโต สมฺมนฺติ เมธคาติ ภิกฺขเว, เอวญฺหิ เต ชานนฺตา โยนิโสมนสิการํ อุปฺปาเทตฺวา เมธคานํ กลหานํ วูปสมาย ปฎิปชฺชนฺติฯ
Yeca taṃ upanayhantīti taṃ ‘‘akkocchi ma’’ntiādikaṃ ākāraṃ ye upanayhanti. Sanantanoti porāṇo. Pareti paṇḍite ṭhapetvā tato aññe bhaṇḍanakārakā pare nāma. Te ettha saṅghamajjhe kolāhalaṃ karontā ‘‘mayaṃ yamāmase upayamāma nassāma, satataṃ samitaṃ maccusantikaṃ gacchāmā’’ti na jānanti. Ye ca tattha vijānantīti ye tattha paṇḍitā ‘‘mayaṃ maccusamīpaṃ gacchāmā’’ti vijānanti. Tato sammanti medhagāti bhikkhave, evañhi te jānantā yonisomanasikāraṃ uppādetvā medhagānaṃ kalahānaṃ vūpasamāya paṭipajjanti.
อฎฺฐิจฺฉินฺนาติ อยํ คาถา พฺรหฺมทตฺตญฺจ ทีฆาวุกุมารญฺจ สนฺธาย วุตฺตาฯ เตสมฺปิ โหติ สงฺคติฯ กสฺมา ตุมฺหากํ น โหติ? เยสํ โว เนว มาตาปิตูนํ อฎฺฐีนิ ฉินฺนานิ, น ปาณา หฎา, น ควาสฺสธนานิ หฎานิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ภิกฺขเว, เตสญฺหิ นาม อาทินฺนทณฺฑานํ อาทินฺนสตฺถานํ ราชูนํ เอวรูปา สงฺคติ สมาคโม อาวาหวิวาหสมฺพนฺธํ กตฺวา เอกโต ปานโภชนํ โหติ, ตุเมฺห เอวรูเป สาสเน ปพฺพชิตฺวา อตฺตโน เวรมตฺตมฺปิ ชหิตุํ น สโกฺกถ, โก ตุมฺหากํ ภิกฺขุภาโวติฯ
Aṭṭhicchinnāti ayaṃ gāthā brahmadattañca dīghāvukumārañca sandhāya vuttā. Tesampi hoti saṅgati. Kasmā tumhākaṃ na hoti? Yesaṃ vo neva mātāpitūnaṃ aṭṭhīni chinnāni, na pāṇā haṭā, na gavāssadhanāni haṭāni. Idaṃ vuttaṃ hoti – bhikkhave, tesañhi nāma ādinnadaṇḍānaṃ ādinnasatthānaṃ rājūnaṃ evarūpā saṅgati samāgamo āvāhavivāhasambandhaṃ katvā ekato pānabhojanaṃ hoti, tumhe evarūpe sāsane pabbajitvā attano veramattampi jahituṃ na sakkotha, ko tumhākaṃ bhikkhubhāvoti.
สเจ ลเภถาติอาทิคาถาโย ปณฺฑิตสหายสฺส จ พาลสหายสฺส จ วณฺณาวณฺณทีปนตฺถํ วุตฺตาฯ อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานีติ สเพฺพ ปากฎปริสฺสเย จ ปฎิจฺฉนฺนปริสฺสเย จ อภิภวิตฺวา เตน สทฺธิํ อตฺตมโน สติมา จเรยฺยฯ ราชาว รฎฺฐํ วิชิตํ ปหายาติ ยถา อตฺตโน วิชิตํ รฎฺฐํ มหาชนกราชา จ อรินฺทมราชา จ ปหาย เอกโกว จริํสุ, เอวํ จเรยฺยาติ อโตฺถฯ มาตงฺครเญฺญว นาโคติ มาตโงฺค อรเญฺญ นาโควฯ มาตโงฺคติ หตฺถี วุจฺจติ, นาโคติ มหนฺตาธิวจนเมตํฯ ยถา หิ มาตุโปสโก มาตงฺคนาโค อรเญฺญ เอกโก จริ, น จ ปาปานิ อกาสิ, ยถา จ สีลวหตฺถินาโคฯ ยถา จ ปาลิเลยฺยโก, เอวํ เอโก จเร, น จ ปาปานิ กยิราติ วุตฺตํ โหติฯ
Sacelabhethātiādigāthāyo paṇḍitasahāyassa ca bālasahāyassa ca vaṇṇāvaṇṇadīpanatthaṃ vuttā. Abhibhuyya sabbāni parissayānīti sabbe pākaṭaparissaye ca paṭicchannaparissaye ca abhibhavitvā tena saddhiṃ attamano satimā careyya. Rājāva raṭṭhaṃ vijitaṃ pahāyāti yathā attano vijitaṃ raṭṭhaṃ mahājanakarājā ca arindamarājā ca pahāya ekakova cariṃsu, evaṃ careyyāti attho. Mātaṅgaraññeva nāgoti mātaṅgo araññe nāgova. Mātaṅgoti hatthī vuccati, nāgoti mahantādhivacanametaṃ. Yathā hi mātuposako mātaṅganāgo araññe ekako cari, na ca pāpāni akāsi, yathā ca sīlavahatthināgo. Yathā ca pālileyyako, evaṃ eko care, na ca pāpāni kayirāti vuttaṃ hoti.
สตฺถา เอวํ กเถตฺวาปิ เต ภิกฺขู สมเคฺค กาตุํ อสโกฺกโนฺต พาลกโลณกคามํ คนฺตฺวา ภคุเตฺถรสฺส เอกีภาเว อานิสํสํ กเถตฺวา ตโต ติณฺณํ กุลปุตฺตานํ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา เตสํ สามคฺคิวาเส อานิสํสํ กเถตฺวา ตโต ปาลิเลยฺยกวนสณฺฑํ คนฺตฺวา ตตฺถ เตมาสํ วสิตฺวา ปุน โกสมฺพิํ อคนฺตฺวา สาวตฺถิเมว อคมาสิฯ โกสมฺพิวาสิโนปิ อุปาสกา ‘‘อิเม โข อยฺยา, โกสมฺพกา ภิกฺขู พหุโน อมฺหากํ อนตฺถสฺส การกา, อิเมหิ อุพฺพาโฬฺห ภควา ปกฺกโนฺต, อิเมสํ เนว อภิวาทนาทีนิ กริสฺสาม, น อุปคตานํ ปิณฺฑปาตํ ทสฺสาม, เอวํ อิเม ปกฺกมิสฺสนฺติ วา เวรํ วิรมิสฺสนฺติ วา ภควนฺตํ วา ปสาเทสฺสนฺตี’’ติ สมฺมนฺตยิตฺวา ตเถว อกํสุฯ เต เตน ทณฺฑกเมฺมน ปีฬิตา สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ภควนฺตํ ขมาเปสุํฯ
Satthā evaṃ kathetvāpi te bhikkhū samagge kātuṃ asakkonto bālakaloṇakagāmaṃ gantvā bhaguttherassa ekībhāve ānisaṃsaṃ kathetvā tato tiṇṇaṃ kulaputtānaṃ vasanaṭṭhānaṃ gantvā tesaṃ sāmaggivāse ānisaṃsaṃ kathetvā tato pālileyyakavanasaṇḍaṃ gantvā tattha temāsaṃ vasitvā puna kosambiṃ agantvā sāvatthimeva agamāsi. Kosambivāsinopi upāsakā ‘‘ime kho ayyā, kosambakā bhikkhū bahuno amhākaṃ anatthassa kārakā, imehi ubbāḷho bhagavā pakkanto, imesaṃ neva abhivādanādīni karissāma, na upagatānaṃ piṇḍapātaṃ dassāma, evaṃ ime pakkamissanti vā veraṃ viramissanti vā bhagavantaṃ vā pasādessantī’’ti sammantayitvā tatheva akaṃsu. Te tena daṇḍakammena pīḷitā sāvatthiṃ gantvā bhagavantaṃ khamāpesuṃ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ปิตา สุโทฺธทนมหาราชา อโหสิ, มาตา มหามายา, ทีฆาวุกุมาโร ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘pitā suddhodanamahārājā ahosi, mātā mahāmāyā, dīghāvukumāro pana ahameva ahosi’’nti.
โกสมฺพิยชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Kosambiyajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๒๘. โกสมฺพิยชาตกํ • 428. Kosambiyajātakaṃ