Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๘. โกสมฺพิยสุตฺตวณฺณนา

    8. Kosambiyasuttavaṇṇanā

    ๔๙๑. เอวํ เม สุตนฺติ โกสมฺพิยสุตฺตํฯ ตตฺถ โกสมฺพิยนฺติ เอวํนามเก นคเรฯ ตสฺส กิร นครสฺส อารามโปกฺขรณีอาทีสุ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ โกสมฺพรุกฺขาว อุสฺสนฺนา อเหสุํ, ตสฺมา โกสมฺพีติ สงฺขํ อคมาสิฯ กุสมฺพสฺส นาม อิสิโน อสฺสมโต อวิทูเร มาปิตตฺตาติปิ เอเกฯ โฆสิตาราเมติ โฆสิตเสฎฺฐินา การิเต อาราเมฯ

    491.Evaṃme sutanti kosambiyasuttaṃ. Tattha kosambiyanti evaṃnāmake nagare. Tassa kira nagarassa ārāmapokkharaṇīādīsu tesu tesu ṭhānesu kosambarukkhāva ussannā ahesuṃ, tasmā kosambīti saṅkhaṃ agamāsi. Kusambassa nāma isino assamato avidūre māpitattātipi eke. Ghositārāmeti ghositaseṭṭhinā kārite ārāme.

    ปุเพฺพ กิร อทฺทิลรฎฺฐํ นาม อโหสิฯ ตโต โกตูหลโก นาม ทลิโทฺท ฉาตกภเยน สปุตฺตทาโร เกทารปริจฺฉินฺนํ สุภิกฺขํ รฎฺฐํ คจฺฉโนฺต ปุตฺตํ วหิตุํ อสโกฺกโนฺต ฉเฑฺฑตฺวา อคมาสิฯ มาตา นิวตฺติตฺวา ตํ คเหตฺวา คตาฯ เต เอกํ โคปาลกคามกํ ปวิสิํสุ, โคปาลกานญฺจ ตทา ปหตปายโส ปฎิยโตฺต โหติ, ตโต ปายสํ ลภิตฺวา ภุญฺชิํสุฯ อถ โส ปุริโส ปหูตปายสํ ภุญฺชิตฺวา ชิราเปตุํ อสโกฺกโนฺต รตฺติภาเค กาลํ กตฺวา ตเตฺถว สุนขิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา กุกฺกุโร ชาโตฯ โส โคปาลกสฺส ปิโย อโหสิ มนาโป, โคปาลโก จ ปเจฺจกพุทฺธํ อุปฎฺฐาสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธปิ ภตฺตกิจฺจาวสาเน กุกฺกุรสฺส เอกํ ปิณฺฑํ เทติฯ โส ปเจฺจกพุเทฺธ สิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา โคปาลเกน สทฺธิํ ปณฺณสาลมฺปิ คจฺฉติฯ

    Pubbe kira addilaraṭṭhaṃ nāma ahosi. Tato kotūhalako nāma daliddo chātakabhayena saputtadāro kedāraparicchinnaṃ subhikkhaṃ raṭṭhaṃ gacchanto puttaṃ vahituṃ asakkonto chaḍḍetvā agamāsi. Mātā nivattitvā taṃ gahetvā gatā. Te ekaṃ gopālakagāmakaṃ pavisiṃsu, gopālakānañca tadā pahatapāyaso paṭiyatto hoti, tato pāyasaṃ labhitvā bhuñjiṃsu. Atha so puriso pahūtapāyasaṃ bhuñjitvā jirāpetuṃ asakkonto rattibhāge kālaṃ katvā tattheva sunakhiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gahetvā kukkuro jāto. So gopālakassa piyo ahosi manāpo, gopālako ca paccekabuddhaṃ upaṭṭhāsi. Paccekabuddhopi bhattakiccāvasāne kukkurassa ekaṃ piṇḍaṃ deti. So paccekabuddhe sinehaṃ uppādetvā gopālakena saddhiṃ paṇṇasālampi gacchati.

    โส โคปาลเก อสนฺนิหิเต ภตฺตเวลาย สยเมว คนฺตฺวา กาลาโรจนตฺถํ ปณฺณสาลทฺวาเร ภุสฺสติ, อนฺตรามเคฺคปิ จณฺฑมิเค ทิสฺวา ภุสฺสิตฺวา ปลาเปติฯ โส ปเจฺจกพุเทฺธ มุทุเกน จิเตฺตน กาลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ ตตฺรสฺส โฆสกเทวปุโตฺตเตฺวว นามํ อโหสิฯ โส เทวโลกโต จวิตฺวา โกสมฺพิยํ เอกสฺมิํ กุลฆเร นิพฺพตฺติฯ ตํ อปุตฺตโก เสฎฺฐิ ตสฺส มาตาปิตูนํ ธนํ ทตฺวา ปุตฺตํ กตฺวา อคฺคเหสิฯ อถ โส อตฺตโน ปุเตฺต ชาเต สตฺตกฺขตฺตุํ มาราเปตุํ อุปกฺกมิฯ โส ปุญฺญวนฺตตาย สตฺตสุปิ ฐาเนสุ มรณํ อปฺปตฺวา อวสาเน เอกาย เสฎฺฐิธีตาย เวยฺยตฺติเยน ลทฺธชีวิโก อปรภาเค ปิตุอจฺจเยน เสฎฺฐิฎฺฐานํ ปตฺวา โฆสิตเสฎฺฐิ นาม ชาโตฯ อเญฺญปิ โกสมฺพิยํ กุกฺกุฎเสฎฺฐิ ปาวาริกเสฎฺฐีติ เทฺว เสฎฺฐิโน สนฺติฯ อิเมหิ สทฺธิํ ตโย อเหสุํฯ

    So gopālake asannihite bhattavelāya sayameva gantvā kālārocanatthaṃ paṇṇasāladvāre bhussati, antarāmaggepi caṇḍamige disvā bhussitvā palāpeti. So paccekabuddhe mudukena cittena kālaṃ katvā devaloke nibbatti. Tatrassa ghosakadevaputtotveva nāmaṃ ahosi. So devalokato cavitvā kosambiyaṃ ekasmiṃ kulaghare nibbatti. Taṃ aputtako seṭṭhi tassa mātāpitūnaṃ dhanaṃ datvā puttaṃ katvā aggahesi. Atha so attano putte jāte sattakkhattuṃ mārāpetuṃ upakkami. So puññavantatāya sattasupi ṭhānesu maraṇaṃ appatvā avasāne ekāya seṭṭhidhītāya veyyattiyena laddhajīviko aparabhāge pituaccayena seṭṭhiṭṭhānaṃ patvā ghositaseṭṭhi nāma jāto. Aññepi kosambiyaṃ kukkuṭaseṭṭhi pāvārikaseṭṭhīti dve seṭṭhino santi. Imehi saddhiṃ tayo ahesuṃ.

    เตน จ สมเยน เตสํ สหายกานํ เสฎฺฐีนํ กุลูปกา ปญฺจสตา อิสโย ปพฺพตปาเท วสิํสุฯ เต กาเลน กาลํ โลณมฺพิลเสวนตฺถาย มนุสฺสปถํ อาคจฺฉนฺติฯ อเถกสฺมิํ วาเร คิมฺหสมเย มนุสฺสปถํ อาคจฺฉนฺตา นิรุทกมหากนฺตารํ อติกฺกมิตฺวา กนฺตารปริโยสาเน มหนฺตํ นิโคฺรธรุกฺขํ ทิสฺวา จิเนฺตสุํ – ‘‘ยาทิโส อยํ รุโกฺข, อทฺธา เอตฺถ มเหสกฺขาย เทวตาย ภวิตพฺพํ, สาธุ วตสฺส, สเจ โน ปานียํ วา โภชนียํ วา ทเทยฺยา’’ติฯ เทวตา อิสีนํ อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา อิเมสํ สงฺคหํ กริสฺสามีติ อตฺตโน อานุภาเวน วิฎปนฺตรโต นงฺคลสีสมตฺตํ อุทกธารํ ปวเตฺตสิฯ อิสิคโณ รชตกฺขนฺธสทิสํ อุทกวฎฺฎิํ ทิสฺวา อตฺตโน ภาชเนหิ อุทกํ คเหตฺวา ปริโภคํ กตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘เทวตาย อมฺหากํ ปริโภคอุทกํ ทินฺนํ, อิทํ ปน อคามกํ มหาอรญฺญํ, สาธุ วตสฺส, สเจ โน อาหารมฺปิ ทเทยฺยา’’ติฯ เทวตา อิสีนํ อุปสํกปฺปนวเสน ทิพฺพานิ ยาคุขชฺชกาทีนิ ทตฺวา สนฺตเปฺปสิฯ อิสโย จินฺตยิํสุ – ‘‘เทวตาย อมฺหากํ ปริโภคอุทกมฺปิ โภชนมฺปิ สพฺพํ ทินฺนํ, สาธุ วตสฺส, สเจ โน อตฺตานํ ทเสฺสยฺยา’’ติฯ

    Tena ca samayena tesaṃ sahāyakānaṃ seṭṭhīnaṃ kulūpakā pañcasatā isayo pabbatapāde vasiṃsu. Te kālena kālaṃ loṇambilasevanatthāya manussapathaṃ āgacchanti. Athekasmiṃ vāre gimhasamaye manussapathaṃ āgacchantā nirudakamahākantāraṃ atikkamitvā kantārapariyosāne mahantaṃ nigrodharukkhaṃ disvā cintesuṃ – ‘‘yādiso ayaṃ rukkho, addhā ettha mahesakkhāya devatāya bhavitabbaṃ, sādhu vatassa, sace no pānīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā dadeyyā’’ti. Devatā isīnaṃ ajjhāsayaṃ viditvā imesaṃ saṅgahaṃ karissāmīti attano ānubhāvena viṭapantarato naṅgalasīsamattaṃ udakadhāraṃ pavattesi. Isigaṇo rajatakkhandhasadisaṃ udakavaṭṭiṃ disvā attano bhājanehi udakaṃ gahetvā paribhogaṃ katvā cintesi – ‘‘devatāya amhākaṃ paribhogaudakaṃ dinnaṃ, idaṃ pana agāmakaṃ mahāaraññaṃ, sādhu vatassa, sace no āhārampi dadeyyā’’ti. Devatā isīnaṃ upasaṃkappanavasena dibbāni yāgukhajjakādīni datvā santappesi. Isayo cintayiṃsu – ‘‘devatāya amhākaṃ paribhogaudakampi bhojanampi sabbaṃ dinnaṃ, sādhu vatassa, sace no attānaṃ dasseyyā’’ti.

    เทวตา เตสํ อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา อุปฑฺฒกายํ ทเสฺสสิฯ เต อาหํสุ – ‘‘เทวเต, มหตี เต สมฺปตฺติ, กิํ กมฺมํ กตฺวา อิมํ สมฺปตฺติํ อธิคตาสี’’ติ? ภเนฺต, นาติมหนฺตํ ปริตฺตกํ กมฺมํ กตฺวาติฯ อุปฑฺฒอุโปสถกมฺมํ นิสฺสาย หิ เทวตาย สา สมฺปตฺติ ลทฺธาฯ

    Devatā tesaṃ ajjhāsayaṃ viditvā upaḍḍhakāyaṃ dassesi. Te āhaṃsu – ‘‘devate, mahatī te sampatti, kiṃ kammaṃ katvā imaṃ sampattiṃ adhigatāsī’’ti? Bhante, nātimahantaṃ parittakaṃ kammaṃ katvāti. Upaḍḍhauposathakammaṃ nissāya hi devatāya sā sampatti laddhā.

    อนาถปิณฺฑิกสฺส กิร เคเห อยํ เทวปุโตฺต กมฺมกาโร อโหสิฯ เสฎฺฐิสฺส หิ เคเห อุโปสถทิวเสสุ อนฺตมโส ทาสกมฺมกาเร อุปาทาย สโพฺพ ชโน อุโปสถิโก โหติฯ เอกทิวสํ อยํ กมฺมกาโร เอกโกว ปาโต อุฎฺฐาย กมฺมนฺตํ คโตฯ มหาเสฎฺฐิ นิวาปํ ลภนมนุเสฺส สลฺลเกฺขโนฺต เอตเสฺสเวกสฺส อรญฺญํ คตภาวํ ญตฺวา อสฺส สายมาสตฺถาย นิวาปํ อทาสิฯ ภตฺตการิกา ทาสี เอกเสฺสว ภตฺตํ ปจิตฺวา อรญฺญโต อาคตสฺส ภตฺตํ วเฑฺฒตฺวา อทาสิ, กมฺมกาโร อาห – ‘‘อเญฺญสุ ทิวเสสุ อิมสฺมิํ กาเล เคหํ เอกสทฺทํ อโหสิ, อชฺช อติวิย สนฺนิสินฺนํ, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ ? ตสฺส สา อาจิกฺขิ – ‘‘อชฺช อิมสฺมิํ เคเห สเพฺพ มนุสฺสา อุโปสถิกา, มหาเสฎฺฐิ ตุเยฺหเวกสฺส นิวาปํ อทาสี’’ติฯ เอวํ อมฺมาติ? อาม สามีติฯ อิมสฺมิํ กาเล อุโปสถํ สมาทินฺนสฺส อุโปสถกมฺมํ โหติ น โหตีติ มหาเสฎฺฐิํ ปุจฺฉ อมฺมาติ? ตาย คนฺตฺวา ปุจฺฉิโต มหาเสฎฺฐิ อาห – ‘‘สกลอุโปสถกมฺมํ น โหติ, อุปฑฺฒกมฺมํ ปน โหติ, อุโปสถิโก โหตู’’ติ ฯ กมฺมกาโร ภตฺตํ อภุญฺชิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา อุโปสถิโก หุตฺวา วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา นิปชฺชิฯ ตสฺส อาหารปริกฺขีณกายสฺส รตฺติํ วาโต กุปฺปิฯ โส ปจฺจูสสมเย กาลํ กตฺวา อุปฑฺฒอุโปสถกมฺมนิสฺสเนฺทน มหาวฎฺฎนิอฎวิยํ นิโคฺรธรุเกฺข เทวปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ โส ตํ ปวตฺติํ อิสีนํ อาโรเจสิฯ

    Anāthapiṇḍikassa kira gehe ayaṃ devaputto kammakāro ahosi. Seṭṭhissa hi gehe uposathadivasesu antamaso dāsakammakāre upādāya sabbo jano uposathiko hoti. Ekadivasaṃ ayaṃ kammakāro ekakova pāto uṭṭhāya kammantaṃ gato. Mahāseṭṭhi nivāpaṃ labhanamanusse sallakkhento etassevekassa araññaṃ gatabhāvaṃ ñatvā assa sāyamāsatthāya nivāpaṃ adāsi. Bhattakārikā dāsī ekasseva bhattaṃ pacitvā araññato āgatassa bhattaṃ vaḍḍhetvā adāsi, kammakāro āha – ‘‘aññesu divasesu imasmiṃ kāle gehaṃ ekasaddaṃ ahosi, ajja ativiya sannisinnaṃ, kiṃ nu kho eta’’nti ? Tassa sā ācikkhi – ‘‘ajja imasmiṃ gehe sabbe manussā uposathikā, mahāseṭṭhi tuyhevekassa nivāpaṃ adāsī’’ti. Evaṃ ammāti? Āma sāmīti. Imasmiṃ kāle uposathaṃ samādinnassa uposathakammaṃ hoti na hotīti mahāseṭṭhiṃ puccha ammāti? Tāya gantvā pucchito mahāseṭṭhi āha – ‘‘sakalauposathakammaṃ na hoti, upaḍḍhakammaṃ pana hoti, uposathiko hotū’’ti . Kammakāro bhattaṃ abhuñjitvā mukhaṃ vikkhāletvā uposathiko hutvā vasanaṭṭhānaṃ gantvā nipajji. Tassa āhāraparikkhīṇakāyassa rattiṃ vāto kuppi. So paccūsasamaye kālaṃ katvā upaḍḍhauposathakammanissandena mahāvaṭṭaniaṭaviyaṃ nigrodharukkhe devaputto hutvā nibbatti. So taṃ pavattiṃ isīnaṃ ārocesi.

    อิสโย ตุเมฺหหิ มยํ พุโทฺธ, ธโมฺม, สโงฺฆติ อสุตปุพฺพํ สาวิตา, อุปฺปโนฺน นุ โข โลเก พุโทฺธติ? อาม, ภเนฺต, อุปฺปโนฺนติฯ อิทานิ กุหิํ วสตีติ? สาวตฺถิํ นิสฺสาย เชตวเน, ภเนฺตติฯ อิสโย ติฎฺฐถ ตาว ตุเมฺห มยํ สตฺถารํ ปสฺสิสฺสามาติ หฎฺฐตุฎฺฐา นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน โกสมฺพินครํ สมฺปาปุณิํสุฯ มหาเสฎฺฐิโน, ‘‘อิสโย อาคตา’’ติ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา, ‘‘เสฺว อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหถ, ภเนฺต’’ติ นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส อิสิคณสฺส มหาทานํ อทํสุฯ อิสโย ภุญฺชิตฺวาว คจฺฉามาติ อาปุจฺฉิํสุฯ ตุเมฺห, ภเนฺต, อญฺญสฺมิํ กาเล เอกมฺปิ มาสํ เทฺวปิ ตโยปิ จตฺตาโรปิ มาเส วสิตฺวา คจฺฉถฯ อิมสฺมิํ ปน วาเร หิโยฺย อาคนฺตฺวา อเชฺชว คจฺฉามาติ วทถ, กิมิทนฺติ? อาม คหปตโย พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน, น โข ปน สกฺกา ชีวิตนฺตราโย วิทิตุํ, เตน มยํ ตุริตา คจฺฉามาติฯ เตน หิ, ภเนฺต, มยมฺปิ คจฺฉาม, อเมฺหหิ สทฺธิํเยว คจฺฉถาติฯ ตุเมฺห อคาริยา นาม มหาชฎา, ติฎฺฐถ ตุเมฺห, มยํ ปุเรตรํ คมิสฺสามาติ นิกฺขมิตฺวา เอกสฺมิํ ฐาเน เทฺวปิ ทิวสานิ อวสิตฺวา ตุริตคมเนเนว สาวตฺถิํ ปตฺวา เชตวนวิหาเร สตฺถุ สนฺติกเมว อคมํสุฯ สตฺถุ มธุรธมฺมกถํ สุตฺวา สเพฺพว ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ

    Isayo tumhehi mayaṃ buddho, dhammo, saṅghoti asutapubbaṃ sāvitā, uppanno nu kho loke buddhoti? Āma, bhante, uppannoti. Idāni kuhiṃ vasatīti? Sāvatthiṃ nissāya jetavane, bhanteti. Isayo tiṭṭhatha tāva tumhe mayaṃ satthāraṃ passissāmāti haṭṭhatuṭṭhā nikkhamitvā anupubbena kosambinagaraṃ sampāpuṇiṃsu. Mahāseṭṭhino, ‘‘isayo āgatā’’ti paccuggamanaṃ katvā, ‘‘sve amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhatha, bhante’’ti nimantetvā punadivase isigaṇassa mahādānaṃ adaṃsu. Isayo bhuñjitvāva gacchāmāti āpucchiṃsu. Tumhe, bhante, aññasmiṃ kāle ekampi māsaṃ dvepi tayopi cattāropi māse vasitvā gacchatha. Imasmiṃ pana vāre hiyyo āgantvā ajjeva gacchāmāti vadatha, kimidanti? Āma gahapatayo buddho loke uppanno, na kho pana sakkā jīvitantarāyo vidituṃ, tena mayaṃ turitā gacchāmāti. Tena hi, bhante, mayampi gacchāma, amhehi saddhiṃyeva gacchathāti. Tumhe agāriyā nāma mahājaṭā, tiṭṭhatha tumhe, mayaṃ puretaraṃ gamissāmāti nikkhamitvā ekasmiṃ ṭhāne dvepi divasāni avasitvā turitagamaneneva sāvatthiṃ patvā jetavanavihāre satthu santikameva agamaṃsu. Satthu madhuradhammakathaṃ sutvā sabbeva pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇiṃsu.

    เตปิ ตโย เสฎฺฐิโน ปญฺจหิ ปญฺจหิ สกฎสเตหิ สปฺปิมธุผาณิตาทีนิ เจว ปฎฺฎุนฺนทุกูลาทีนิ จ อาทาย โกสมฺพิโต นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ ปตฺวา เชตวนสามเนฺต ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ สตฺถา ติณฺณมฺปิ สหายกานํ มธุรธมฺมกถํ กเถสิฯ เต พลวโสมนสฺสชาตา สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส มหาทานํ อทํสุฯ ปุน นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเสติ เอวํ อฑฺฒมาสํ ทานํ ทตฺวา, ‘‘อมฺหากํ ชนปทํ อาคมนาย ปฎิญฺญํ เทถา’’ติ ปาทมูเล นิปชฺชิํสุฯ ภควา, ‘‘สุญฺญาคาเร โข คหปตโย ตถาคตา อภิรมนฺตี’’ติ อาหฯ เอตฺตาวตา ปฎิญฺญา ทินฺนา นาม โหตีติ คหปตโย สลฺลเกฺขตฺวา ทินฺนา โน ภควตา ปฎิญฺญาติ ทสพลํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา อนฺตรามเคฺค โยชเน โยชเน ฐาเน วิหารํ กาเรตฺวา อนุปุเพฺพน โกสมฺพิํ ปตฺวา, ‘‘โลเก พุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติ กถยิํสุฯ ตโยปิ ชนา อตฺตโน อตฺตโน อาราเม มหนฺตํ ธนปริจฺจาคํ กตฺวา ภควโต วสนตฺถาย วิหาเร การาปยิํสุฯ ตตฺถ กุกฺกุฎเสฎฺฐินา การิโต กุกฺกุฎาราโม นาม อโหสิฯ ปาวาริกเสฎฺฐินา อมฺพวเน การิโต ปาวาริกมฺพวโน นาม อโหสิฯ โฆสิเตน การิโต โฆสิตาราโม นาม อโหสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘โฆสิตเสฎฺฐินา การิเต อาราเม’’ติฯ

    Tepi tayo seṭṭhino pañcahi pañcahi sakaṭasatehi sappimadhuphāṇitādīni ceva paṭṭunnadukūlādīni ca ādāya kosambito nikkhamitvā anupubbena sāvatthiṃ patvā jetavanasāmante khandhāvāraṃ bandhitvā satthu santikaṃ gantvā vanditvā paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Satthā tiṇṇampi sahāyakānaṃ madhuradhammakathaṃ kathesi. Te balavasomanassajātā satthāraṃ nimantetvā punadivase mahādānaṃ adaṃsu. Puna nimantetvā punadivaseti evaṃ aḍḍhamāsaṃ dānaṃ datvā, ‘‘amhākaṃ janapadaṃ āgamanāya paṭiññaṃ dethā’’ti pādamūle nipajjiṃsu. Bhagavā, ‘‘suññāgāre kho gahapatayo tathāgatā abhiramantī’’ti āha. Ettāvatā paṭiññā dinnā nāma hotīti gahapatayo sallakkhetvā dinnā no bhagavatā paṭiññāti dasabalaṃ vanditvā nikkhamitvā antarāmagge yojane yojane ṭhāne vihāraṃ kāretvā anupubbena kosambiṃ patvā, ‘‘loke buddho uppanno’’ti kathayiṃsu. Tayopi janā attano attano ārāme mahantaṃ dhanapariccāgaṃ katvā bhagavato vasanatthāya vihāre kārāpayiṃsu. Tattha kukkuṭaseṭṭhinā kārito kukkuṭārāmo nāma ahosi. Pāvārikaseṭṭhinā ambavane kārito pāvārikambavano nāma ahosi. Ghositena kārito ghositārāmo nāma ahosi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘ghositaseṭṭhinā kārite ārāme’’ti.

    ภณฺฑนชาตาติอาทีสุ กลหสฺส ปุพฺพภาโค ภณฺฑนํ นาม, ตํ ชาตํ เอเตสนฺติ ภณฺฑนชาตาฯ หตฺถปรามาสาทิวเสน มตฺถกํ ปโตฺต กลโห ชาโต เอเตสนฺติ กลหชาตาฯ วิรุทฺธภูตํ วาทนฺติ วิวาทํ, ตํ อาปนฺนาติ วิวาทาปนฺนาฯ มุขสตฺตีหีติ วาจาสตฺตีหิฯ วิตุทนฺตาติ วิชฺฌนฺตาฯ เต น เจว อญฺญมญฺญํ สญฺญาเปนฺติ น จ สญฺญตฺติํ อุเปนฺตีติ เต อตฺถญฺจ การณญฺจ ทเสฺสตฺวา เนว อญฺญมญฺญํ ชานาเปนฺติฯ สเจปิ สญฺญาเปตุํ อารภนฺติ, ตถาปิ สญฺญตฺติํ น อุเปนฺติ, ชานิตุํ น อิจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ นิชฺฌตฺติยาปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ นิชฺฌตฺตีติ สญฺญตฺติเววจนเมเวตํฯ กสฺมา ปเนเต ภณฺฑนชาตา อเหสุนฺติ? อปฺปมตฺตเกน การเณนฯ

    Bhaṇḍanajātātiādīsu kalahassa pubbabhāgo bhaṇḍanaṃ nāma, taṃ jātaṃ etesanti bhaṇḍanajātā. Hatthaparāmāsādivasena matthakaṃ patto kalaho jāto etesanti kalahajātā. Viruddhabhūtaṃ vādanti vivādaṃ, taṃ āpannāti vivādāpannā. Mukhasattīhīti vācāsattīhi. Vitudantāti vijjhantā. Te na ceva aññamaññaṃ saññāpenti na ca saññattiṃ upentīti te atthañca kāraṇañca dassetvā neva aññamaññaṃ jānāpenti. Sacepi saññāpetuṃ ārabhanti, tathāpi saññattiṃ na upenti, jānituṃ na icchantīti attho. Nijjhattiyāpi eseva nayo. Ettha ca nijjhattīti saññattivevacanamevetaṃ. Kasmā panete bhaṇḍanajātā ahesunti? Appamattakena kāraṇena.

    เทฺว กิร ภิกฺขู เอกสฺมิํ อาวาเส วสนฺติ วินยธโร จ สุตฺตนฺติโก จฯ เตสุ สุตฺตนฺติโก ภิกฺขุ เอกทิวสํ วจฺจกุฎิํ ปวิโฎฺฐ อาจมนอุทกาวเสสํ ภาชเน ฐเปตฺวาว นิกฺขมิฯ วินยธโร ปจฺฉา ปวิโฎฺฐ ตํ อุทกํ ทิสฺวา นิกฺขมิตฺวา ตํ ภิกฺขุํ ปุจฺฉิ, อาวุโส, ตยา อิทํ อุทกํ ฐปิตนฺติ? อาม, อาวุโสติฯ ตฺวเมตฺถ อาปตฺติภาวํ น ชานาสีติ? อาม น ชานามีติฯ โหติ, อาวุโส, เอตฺถ อาปตฺตีติฯ สเจ โหติ เทเสสฺสามีติฯ สเจ ปน เต, อาวุโส, อสญฺจิจฺจ อสติยา กตํ, นตฺถิ เต อาปตฺตีติฯ โส ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฎฺฐิ อโหสิฯ

    Dve kira bhikkhū ekasmiṃ āvāse vasanti vinayadharo ca suttantiko ca. Tesu suttantiko bhikkhu ekadivasaṃ vaccakuṭiṃ paviṭṭho ācamanaudakāvasesaṃ bhājane ṭhapetvāva nikkhami. Vinayadharo pacchā paviṭṭho taṃ udakaṃ disvā nikkhamitvā taṃ bhikkhuṃ pucchi, āvuso, tayā idaṃ udakaṃ ṭhapitanti? Āma, āvusoti. Tvamettha āpattibhāvaṃ na jānāsīti? Āma na jānāmīti. Hoti, āvuso, ettha āpattīti. Sace hoti desessāmīti. Sace pana te, āvuso, asañcicca asatiyā kataṃ, natthi te āpattīti. So tassā āpattiyā anāpattidiṭṭhi ahosi.

    วินยธโร อตฺตโน นิสฺสิตกานํ, ‘‘อยํ สุตฺตนฺติโก อาปตฺติํ อาปชฺชมาโนปิ น ชานาตี’’ติ อาโรเจสิฯ เต ตสฺส นิสฺสิตเก ทิสฺวา – ‘‘ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวาปิ อาปตฺติภาวํ น ชานาตี’’ติ อาหํสุฯ เต คนฺตฺวา อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส อาโรเจสุํฯ โส เอวมาห – ‘‘อยํ วินยธโร ปุเพฺพ ‘อนาปตฺตี’ติ วตฺวา อิทานิ ‘อาปตฺตี’ติ วทติ, มุสาวาที เอโส’’ติฯ เต คนฺตฺวา, ‘‘ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย มุสาวาที’’ติ เอวํ อญฺญมญฺญํ กลหํ วฑฺฒยิํสุ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    Vinayadharo attano nissitakānaṃ, ‘‘ayaṃ suttantiko āpattiṃ āpajjamānopi na jānātī’’ti ārocesi. Te tassa nissitake disvā – ‘‘tumhākaṃ upajjhāyo āpattiṃ āpajjitvāpi āpattibhāvaṃ na jānātī’’ti āhaṃsu. Te gantvā attano upajjhāyassa ārocesuṃ. So evamāha – ‘‘ayaṃ vinayadharo pubbe ‘anāpattī’ti vatvā idāni ‘āpattī’ti vadati, musāvādī eso’’ti. Te gantvā, ‘‘tumhākaṃ upajjhāyo musāvādī’’ti evaṃ aññamaññaṃ kalahaṃ vaḍḍhayiṃsu, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.

    ภควนฺตํ เอตทโวจาติ เอตํ, ‘‘อิธ, ภเนฺต, โกสมฺพิยํ ภิกฺขู ภณฺฑนชาตา’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ ตญฺจ โข เนว ปิยกมฺยตาย น เภทาธิปฺปาเยน, อถ โข อตฺถกามตาย หิตกามตายฯ สามคฺคิการโก กิเรส ภิกฺขุ, ตสฺมาสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ยถา อิเม ภิกฺขู วิวาทํ อารทฺธา, น สกฺกา มยา, นาปิ อเญฺญน ภิกฺขุนา สมคฺคา กาตุํ, อเปฺปว นาม สเทวเก โลเก อปฺปฎิปุคฺคโล ภควา สยํ วา คนฺตฺวา, อตฺตโน วา สนฺติกํ ปโกฺกสาเปตฺวา เอเตสํ ภิกฺขูนํ ขนฺติเมตฺตาปฎิสํยุตฺตํ สารณียธมฺมเทสนํ กเถตฺวา สามคฺคิํ กเรยฺยา’’ติ อตฺถกามตาย หิตกามตาย คนฺตฺวา อโวจฯ

    Bhagavantaṃ etadavocāti etaṃ, ‘‘idha, bhante, kosambiyaṃ bhikkhū bhaṇḍanajātā’’tiādivacanaṃ avoca. Tañca kho neva piyakamyatāya na bhedādhippāyena, atha kho atthakāmatāya hitakāmatāya. Sāmaggikārako kiresa bhikkhu, tasmāssa etadahosi – ‘‘yathā ime bhikkhū vivādaṃ āraddhā, na sakkā mayā, nāpi aññena bhikkhunā samaggā kātuṃ, appeva nāma sadevake loke appaṭipuggalo bhagavā sayaṃ vā gantvā, attano vā santikaṃ pakkosāpetvā etesaṃ bhikkhūnaṃ khantimettāpaṭisaṃyuttaṃ sāraṇīyadhammadesanaṃ kathetvā sāmaggiṃ kareyyā’’ti atthakāmatāya hitakāmatāya gantvā avoca.

    ๔๙๒. ฉยิเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา สารณียาติ เหฎฺฐา กลหภณฺฑนวเสน เทสนา อารทฺธาฯ อิมสฺมิํ ฐาเน ฉ สารณียา ธมฺมา อาคตาติ เอวมิทํ โกสมฺพิยสุตฺตํ ยถานุสนฺธินาว คตํ โหติฯ ตตฺถ สารณียาติ สริตพฺพยุตฺตา อทฺธาเน อติกฺกเนฺตปิ น ปมุสฺสิตพฺพาฯ โย เต ธเมฺม ปูเรติ, ตํ สพฺรหฺมจารีนํ ปิยํ กโรนฺตีติ ปิยกรณาฯ ครุํ กโรนฺตีติ ครุกรณาฯ สงฺคหายาติ สงฺคหณตฺถายฯ อวิวาทายาติ อวิวาทนตฺถายฯ สามคฺคิยาติ สมคฺคภาวตฺถาย ฯ เอกีภาวายาติ เอกีภาวตฺถาย นินฺนานากรณายฯ สํวตฺตนฺตีติ ภวนฺติฯ เมตฺตํ กายกมฺมนฺติ เมตฺตจิเตฺตน กตฺตพฺพํ กายกมฺมํฯ วจีกมฺมมโนกเมฺมสุปิ เอเสว นโยฯ อิมานิ ภิกฺขูนํ วเสน อาคตานิ, คิหีสุปิ ลพฺภนฺติเยวฯ ภิกฺขูนญฺหิ เมตฺตจิเตฺตน อาภิสมาจาริกธมฺมปูรณํ เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ คิหีนํ เจติยวนฺทนตฺถาย โพธิวนฺทนตฺถาย สงฺฆนิมนฺตนตฺถาย คมนํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิเฎฺฐ ภิกฺขู ทิสฺวา ปจฺจุคฺคมนํ ปตฺตปฎิคฺคหณํ อาสนปญฺญาปนํ อนุคมนนฺติ เอวมาทิกํ เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ

    492.Chayime, bhikkhave, dhammā sāraṇīyāti heṭṭhā kalahabhaṇḍanavasena desanā āraddhā. Imasmiṃ ṭhāne cha sāraṇīyā dhammā āgatāti evamidaṃ kosambiyasuttaṃ yathānusandhināva gataṃ hoti. Tattha sāraṇīyāti saritabbayuttā addhāne atikkantepi na pamussitabbā. Yo te dhamme pūreti, taṃ sabrahmacārīnaṃ piyaṃ karontīti piyakaraṇā. Garuṃ karontīti garukaraṇā. Saṅgahāyāti saṅgahaṇatthāya. Avivādāyāti avivādanatthāya. Sāmaggiyāti samaggabhāvatthāya . Ekībhāvāyāti ekībhāvatthāya ninnānākaraṇāya. Saṃvattantīti bhavanti. Mettaṃ kāyakammanti mettacittena kattabbaṃ kāyakammaṃ. Vacīkammamanokammesupi eseva nayo. Imāni bhikkhūnaṃ vasena āgatāni, gihīsupi labbhantiyeva. Bhikkhūnañhi mettacittena ābhisamācārikadhammapūraṇaṃ mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Gihīnaṃ cetiyavandanatthāya bodhivandanatthāya saṅghanimantanatthāya gamanaṃ gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭhe bhikkhū disvā paccuggamanaṃ pattapaṭiggahaṇaṃ āsanapaññāpanaṃ anugamananti evamādikaṃ mettaṃ kāyakammaṃ nāma.

    ภิกฺขูนํ เมตฺตจิเตฺตน อาจารปญฺญตฺติสิกฺขาปทํ, กมฺมฎฺฐานกถนํ ธมฺมเทสนา เตปิฎกมฺปิ พุทฺธวจนํ เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ คิหีนญฺจ, ‘‘เจติยวนฺทนตฺถาย คจฺฉาม, โพธิวนฺทนตฺถาย คจฺฉาม, ธมฺมสฺสวนํ กริสฺสาม, ปทีปมาลาปุปฺผปูชํ กริสฺสาม, ตีณิ สุจริตานิ สมาทาย วตฺติสฺสาม, สลากภตฺตาทีนิ ทสฺสาม, วสฺสาวาสิกํ ทสฺสาม, อชฺช สงฺฆสฺส จตฺตาโร ปจฺจเย ทสฺสาม, สงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา ขาทนียาทีนิ สํวิทหถ, อาสนานิ ปญฺญาเปถ, ปานียํ อุปฎฺฐเปถ, สงฺฆํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา อาเนถ, ปญฺญตฺตาสเน นิสีทาเปตฺวา ฉนฺทชาตา อุสฺสาหชาตา เวยฺยาวจฺจํ กโรถา’’ติอาทิกถนกาเล เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ

    Bhikkhūnaṃ mettacittena ācārapaññattisikkhāpadaṃ, kammaṭṭhānakathanaṃ dhammadesanā tepiṭakampi buddhavacanaṃ mettaṃ vacīkammaṃ nāma. Gihīnañca, ‘‘cetiyavandanatthāya gacchāma, bodhivandanatthāya gacchāma, dhammassavanaṃ karissāma, padīpamālāpupphapūjaṃ karissāma, tīṇi sucaritāni samādāya vattissāma, salākabhattādīni dassāma, vassāvāsikaṃ dassāma, ajja saṅghassa cattāro paccaye dassāma, saṅghaṃ nimantetvā khādanīyādīni saṃvidahatha, āsanāni paññāpetha, pānīyaṃ upaṭṭhapetha, saṅghaṃ paccuggantvā ānetha, paññattāsane nisīdāpetvā chandajātā ussāhajātā veyyāvaccaṃ karothā’’tiādikathanakāle mettaṃ vacīkammaṃ nāma.

    ภิกฺขูนํ ปาโตว อุฎฺฐาย สรีรปฎิชคฺคนํ เจติยงฺคณวตฺตาทีนิ จ กตฺวา วิวิตฺตาสเน นิสีทิตฺวา, ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร ภิกฺขู สุขี โหนฺตุ, อเวรา อพฺยาปชฺฌา’’ติ จินฺตนํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ คิหีนํ ‘‘อยฺยา สุขี โหนฺตุ, อเวรา อพฺยาปชฺฌา’’ติ จินฺตนํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ

    Bhikkhūnaṃ pātova uṭṭhāya sarīrapaṭijagganaṃ cetiyaṅgaṇavattādīni ca katvā vivittāsane nisīditvā, ‘‘imasmiṃ vihāre bhikkhū sukhī hontu, averā abyāpajjhā’’ti cintanaṃ mettaṃ manokammaṃ nāma. Gihīnaṃ ‘‘ayyā sukhī hontu, averā abyāpajjhā’’ti cintanaṃ mettaṃ manokammaṃ nāma.

    อาวิ เจว รโห จาติ สมฺมุขา จ ปรมฺมุขา จฯ ตตฺถ นวกานํ จีวรกมฺมาทีสุ สหายภาวูปคมนํ สมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ เถรานํ ปน ปาทโธวนวนฺทนพีชนทานาทิเภทมฺปิ สพฺพํ สามีจิกมฺมํ สมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ อุภเยหิปิ ทุนฺนิกฺขิตฺตานํ ทารุภณฺฑาทีนํ เตสุ อวมญฺญํ อกตฺวา อตฺตนา ทุนฺนิกฺขิตฺตานํ วิย ปฎิสามนํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ เทวเตฺถโร ติสฺสเตฺถโรติ เอวํ ปคฺคยฺห วจนํ สมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ วิหาเร อสนฺตํ ปน ปริปุจฺฉนฺตสฺส, กุหิํ อมฺหากํ เทวเตฺถโร, อมฺหากํ ติสฺสเตฺถโร กทา นุ โข อาคมิสฺสตีติ เอวํ มมายนวจนํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ เมตฺตาสิเนหสินิทฺธานิ ปน นยนานิ อุมฺมีเลตฺวา สุปฺปสเนฺนน มุเขน โอโลกนํ สมฺมุขา เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ เทวเตฺถโร, ติสฺสเตฺถโร อโรโค โหตุ อปฺปาพาโธติ สมนฺนาหรณํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ

    Āvi ceva raho cāti sammukhā ca parammukhā ca. Tattha navakānaṃ cīvarakammādīsu sahāyabhāvūpagamanaṃ sammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Therānaṃ pana pādadhovanavandanabījanadānādibhedampi sabbaṃ sāmīcikammaṃ sammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Ubhayehipi dunnikkhittānaṃ dārubhaṇḍādīnaṃ tesu avamaññaṃ akatvā attanā dunnikkhittānaṃ viya paṭisāmanaṃ parammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Devatthero tissattheroti evaṃ paggayha vacanaṃ sammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma. Vihāre asantaṃ pana paripucchantassa, kuhiṃ amhākaṃ devatthero, amhākaṃ tissatthero kadā nu kho āgamissatīti evaṃ mamāyanavacanaṃ parammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma. Mettāsinehasiniddhāni pana nayanāni ummīletvā suppasannena mukhena olokanaṃ sammukhā mettaṃ manokammaṃ nāma. Devatthero, tissatthero arogo hotu appābādhoti samannāharaṇaṃ parammukhā mettaṃ manokammaṃ nāma.

    ลาภาติ จีวราทโย ลทฺธปจฺจยาฯ ธมฺมิกาติ กุหนาทิเภทํ มิจฺฉาชีวํ วเชฺชตฺวา ธเมฺมน สเมน ภิกฺขาจริยวเตฺตน อุปฺปนฺนาฯ อนฺตมโส ปตฺตปริยาปนฺนมตฺตมฺปีติ ปจฺฉิมโกฎิยา ปเตฺต ปริยาปนฺนํ ปตฺตสฺส อโนฺตคตํ ทฺวตฺติกฎจฺฉุภิกฺขามตฺตมฺปิฯ อปฺปฎิวิภตฺตโภคีติ เอตฺถ เทฺว ปฎิวิภตฺตานิ นาม อามิสปฎิวิภตฺตํ ปุคฺคลปฎิวิภตฺตญฺจฯ ตตฺถ, ‘‘เอตฺตกํ ทสฺสามิ, เอตฺตกํ น ทสฺสามี’’ติ เอวํ จิเตฺตน วิภชนํ อามิสปฎิวิภตฺตํ นามฯ ‘‘อสุกสฺส ทสฺสามิ, อสุกสฺส น ทสฺสามี’’ติ เอวํ จิเตฺตน วิภชนํ ปน ปุคฺคลปฎิวิภตฺตํ นามฯ ตทุภยมฺปิ อกตฺวา โย อปฺปฎิวิภตฺตํ ภุญฺชติ, อยํ อปฺปฎิวิภตฺตโภคี นามฯ

    Lābhāti cīvarādayo laddhapaccayā. Dhammikāti kuhanādibhedaṃ micchājīvaṃ vajjetvā dhammena samena bhikkhācariyavattena uppannā. Antamaso pattapariyāpannamattampīti pacchimakoṭiyā patte pariyāpannaṃ pattassa antogataṃ dvattikaṭacchubhikkhāmattampi. Appaṭivibhattabhogīti ettha dve paṭivibhattāni nāma āmisapaṭivibhattaṃ puggalapaṭivibhattañca. Tattha, ‘‘ettakaṃ dassāmi, ettakaṃ na dassāmī’’ti evaṃ cittena vibhajanaṃ āmisapaṭivibhattaṃ nāma. ‘‘Asukassa dassāmi, asukassa na dassāmī’’ti evaṃ cittena vibhajanaṃ pana puggalapaṭivibhattaṃ nāma. Tadubhayampi akatvā yo appaṭivibhattaṃ bhuñjati, ayaṃ appaṭivibhattabhogī nāma.

    สีลวเนฺตหิ สพฺรหฺมจารีหิ สาธารณโภคีติ เอตฺถ สาธารณโภคิโน อิทํ ลกฺขณํ, ยํ ยํ ปณีตํ ลพฺภติ, ตํ ตํ เนว ลาเภน ลาภํ ชิคีสนามุเขน คิหีนํ เทติ, น อตฺตนา ปริภุญฺชติ; ปฎิคฺคณฺหโนฺตว สเงฺฆน สาธารณํ โหตูติ คเหตฺวา คณฺฑิํ ปหริตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํ สงฺฆสนฺตกํ วิย ปสฺสติฯ อิทํ ปน สารณียธมฺมํ โก ปูเรติ, โก น ปูเรตีติ? ทุสฺสีโล ตาว น ปูเรติฯ น หิ ตสฺส สนฺตกํ สีลวนฺตา คณฺหนฺติฯ ปริสุทฺธสีโล ปน วตฺตํ อขเณฺฑโนฺต ปูเรติฯ

    Sīlavantehisabrahmacārīhi sādhāraṇabhogīti ettha sādhāraṇabhogino idaṃ lakkhaṇaṃ, yaṃ yaṃ paṇītaṃ labbhati, taṃ taṃ neva lābhena lābhaṃ jigīsanāmukhena gihīnaṃ deti, na attanā paribhuñjati; paṭiggaṇhantova saṅghena sādhāraṇaṃ hotūti gahetvā gaṇḍiṃ paharitvā paribhuñjitabbaṃ saṅghasantakaṃ viya passati. Idaṃ pana sāraṇīyadhammaṃ ko pūreti, ko na pūretīti? Dussīlo tāva na pūreti. Na hi tassa santakaṃ sīlavantā gaṇhanti. Parisuddhasīlo pana vattaṃ akhaṇḍento pūreti.

    ตตฺริทํ วตฺตํ – โย หิ โอทิสฺสกํ กตฺวา มาตุ วา ปิตุ วา อาจริยุปชฺฌายาทีนํ วา เทติ, โส ทาตพฺพํ เทติ, สารณียธโมฺม ปนสฺส น โหติ, ปลิโพธชคฺคนํ นาม โหติฯ สารณียธโมฺม หิ มุตฺตปลิโพธเสฺสว วฎฺฎติ, เตน ปน โอทิสฺสกํ เทเนฺตน คิลานคิลานุปฎฺฐากอาคนฺตุกคมิกานเญฺจว นวปพฺพชิตสฺส จ สงฺฆาฎิปตฺตคฺคหณํ อชานนฺตสฺส ทาตพฺพํฯ เอเตสํ ทตฺวา อวเสสํ เถราสนโต ปฎฺฐาย โถกํ โถกํ อทตฺวา โย ยตฺตกํ คณฺหาติ, ตสฺส ตตฺตกํ ทาตพฺพํฯ อวสิเฎฺฐ อสติ ปุน ปิณฺฑาย จริตฺวา เถราสนโต ปฎฺฐาย ยํ ยํ ปณีตํ, ตํ ตํ ทตฺวา เสสํ ปริภุญฺชิตพฺพํ, ‘‘สีลวเนฺตหี’’ติ วจนโต ทุสฺสีลสฺส อทาตุมฺปิ วฎฺฎติฯ

    Tatridaṃ vattaṃ – yo hi odissakaṃ katvā mātu vā pitu vā ācariyupajjhāyādīnaṃ vā deti, so dātabbaṃ deti, sāraṇīyadhammo panassa na hoti, palibodhajagganaṃ nāma hoti. Sāraṇīyadhammo hi muttapalibodhasseva vaṭṭati, tena pana odissakaṃ dentena gilānagilānupaṭṭhākaāgantukagamikānañceva navapabbajitassa ca saṅghāṭipattaggahaṇaṃ ajānantassa dātabbaṃ. Etesaṃ datvā avasesaṃ therāsanato paṭṭhāya thokaṃ thokaṃ adatvā yo yattakaṃ gaṇhāti, tassa tattakaṃ dātabbaṃ. Avasiṭṭhe asati puna piṇḍāya caritvā therāsanato paṭṭhāya yaṃ yaṃ paṇītaṃ, taṃ taṃ datvā sesaṃ paribhuñjitabbaṃ, ‘‘sīlavantehī’’ti vacanato dussīlassa adātumpi vaṭṭati.

    อยํ ปน สารณียธโมฺม สุสิกฺขิตาย ปริสาย สุปูโร โหติ, โน อสิกฺขิตาย ปริสายฯ สุสิกฺขิตาย หิ ปริสาย โย อญฺญโต ลภติ, โส น คณฺหาติ, อญฺญโต อลภโนฺตปิ ปมาณยุตฺตเมว คณฺหาติ, น อติเรกํฯ อยญฺจ ปน สารณียธโมฺม เอวํ ปุนปฺปุนํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ลทฺธํ ลทฺธํ เทนฺตสฺสาปิ ทฺวาทสหิ วเสฺสหิ ปูรติ, น ตโต โอรํฯ สเจ หิ ทฺวาทสเมปิ วเสฺส สารณียธมฺมปูรโก ปิณฺฑปาตปูรํ ปตฺตํ อาสนสาลายํ ฐเปตฺวา นหายิตุํ คจฺฉติ, สงฺฆเตฺถโร จ กเสฺสโส ปโตฺตติ? สารณียธมฺมปูรกสฺสาติ วุเตฺต – ‘‘อาหรถ น’’นฺติ สพฺพํ ปิณฺฑปาตํ วิจาเรตฺวา ภุญฺชิตฺวา จ ริตฺตปตฺตํ ฐเปติฯ อถ โส ภิกฺขุ ริตฺตปตฺตํ ทิสฺวา, ‘‘มยฺหํ อเสเสตฺวาว ปริภุญฺชิํสู’’ติ โทมนสฺสํ อุปฺปาเทติ, สารณียธโมฺม ภิชฺชติ, ปุน ทฺวาทส วสฺสานิ ปูเรตโพฺพ โหติ, ติตฺถิยปริวาสสทิโส เหสฯ สกิํ ขเณฺฑ ชาเต ปุน ปูเรตโพฺพวฯ โย ปน, ‘‘ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม, ยสฺส เม ปตฺตคตํ อนาปุจฺฉาว สพฺรหฺมจารี ปริภุญฺชนฺตี’’ติ โสมนสฺสํ ชเนติ, ตสฺส ปุโณฺณ นาม โหติฯ

    Ayaṃ pana sāraṇīyadhammo susikkhitāya parisāya supūro hoti, no asikkhitāya parisāya. Susikkhitāya hi parisāya yo aññato labhati, so na gaṇhāti, aññato alabhantopi pamāṇayuttameva gaṇhāti, na atirekaṃ. Ayañca pana sāraṇīyadhammo evaṃ punappunaṃ piṇḍāya caritvā laddhaṃ laddhaṃ dentassāpi dvādasahi vassehi pūrati, na tato oraṃ. Sace hi dvādasamepi vasse sāraṇīyadhammapūrako piṇḍapātapūraṃ pattaṃ āsanasālāyaṃ ṭhapetvā nahāyituṃ gacchati, saṅghatthero ca kasseso pattoti? Sāraṇīyadhammapūrakassāti vutte – ‘‘āharatha na’’nti sabbaṃ piṇḍapātaṃ vicāretvā bhuñjitvā ca rittapattaṃ ṭhapeti. Atha so bhikkhu rittapattaṃ disvā, ‘‘mayhaṃ asesetvāva paribhuñjiṃsū’’ti domanassaṃ uppādeti, sāraṇīyadhammo bhijjati, puna dvādasa vassāni pūretabbo hoti, titthiyaparivāsasadiso hesa. Sakiṃ khaṇḍe jāte puna pūretabbova. Yo pana, ‘‘lābhā vata me, suladdhaṃ vata me, yassa me pattagataṃ anāpucchāva sabrahmacārī paribhuñjantī’’ti somanassaṃ janeti, tassa puṇṇo nāma hoti.

    เอวํ ปูริตสารณียธมฺมสฺส ปน เนว อิสฺสา, น มจฺฉริยํ โหติ, โส มนุสฺสานํ ปิโย โหติ, สุลภปจฺจโย; ปตฺตคตมสฺส ทียมานมฺปิ น ขียติ, ภาชนียภณฺฑฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ลภติ, ภเย วา ฉาตเก วา สมฺปเตฺต เทวตา อุสฺสุกฺกํ อาปชฺชนฺติฯ

    Evaṃ pūritasāraṇīyadhammassa pana neva issā, na macchariyaṃ hoti, so manussānaṃ piyo hoti, sulabhapaccayo; pattagatamassa dīyamānampi na khīyati, bhājanīyabhaṇḍaṭṭhāne aggabhaṇḍaṃ labhati, bhaye vā chātake vā sampatte devatā ussukkaṃ āpajjanti.

    ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – เลณคิริวาสี ติสฺสเตฺถโร กิร มหาคิริคามํ อุปนิสฺสาย วสติฯ ปญฺญาส มหาเถรา นาคทีปํ เจติยวนฺทนตฺถาย คจฺฉนฺตา คิริคาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา กิญฺจิ อลทฺธา นิกฺขมิํสุฯ เถโร ปวิสโนฺต เต ทิสฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ลทฺธํ, ภเนฺต’’ติ? วิจริมฺหา, อาวุโสติฯ โส อลทฺธภาวํ ญตฺวา อาห – ‘‘ยาวาหํ, ภเนฺต, อาคจฺฉามิ, ตาว อิเธว โหถา’’ติฯ มยํ, อาวุโส, ปญฺญาส ชนา ปตฺตเตมนมตฺตมฺปิ น ลภิมฺหาติฯ เนวาสิกา นาม, ภเนฺต, ปฎิพลา โหนฺติ, อลภนฺตาปิ ภิกฺขาจารมคฺคสภาวํ ชานนฺตีติฯ เถรา อาคมิํสุฯ เถโร คามํ ปาวิสิฯ ธุรเคเหเยว มหาอุปาสิกา ขีรภตฺตํ สเชฺชตฺวา เถรํ โอโลกยมานา ฐิตา เถรสฺส ทฺวารํ สมฺปตฺตเสฺสว ปตฺตํ ปูเรตฺวา อทาสิฯ โส ตํ อาทาย เถรานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘คณฺหถ, ภเนฺต’’ติ สงฺฆเตฺถรมาหฯ เถโร, ‘‘อเมฺหหิ เอตฺตเกหิ กิญฺจิ น ลทฺธํ, อยํ สีฆเมว คเหตฺวา อาคโต, กิํ นุ โข’’ติ เสสานํ มุขํ โอโลเกสิฯ เถโร โอโลกนากาเรเนว ญตฺวา – ‘‘ธเมฺมน สเมน ลทฺธปิณฺฑปาโต, นิกฺกุกฺกุจฺจา คณฺหถ ภเนฺต’’ติอาทิโต ปฎฺฐาย สเพฺพสํ ยาวทตฺถํ ทตฺวา อตฺตนาปิ ยาวทตฺถํ ภุญฺชิฯ

    Tatrimāni vatthūni – leṇagirivāsī tissatthero kira mahāgirigāmaṃ upanissāya vasati. Paññāsa mahātherā nāgadīpaṃ cetiyavandanatthāya gacchantā girigāme piṇḍāya caritvā kiñci aladdhā nikkhamiṃsu. Thero pavisanto te disvā pucchi – ‘‘laddhaṃ, bhante’’ti? Vicarimhā, āvusoti. So aladdhabhāvaṃ ñatvā āha – ‘‘yāvāhaṃ, bhante, āgacchāmi, tāva idheva hothā’’ti. Mayaṃ, āvuso, paññāsa janā pattatemanamattampi na labhimhāti. Nevāsikā nāma, bhante, paṭibalā honti, alabhantāpi bhikkhācāramaggasabhāvaṃ jānantīti. Therā āgamiṃsu. Thero gāmaṃ pāvisi. Dhurageheyeva mahāupāsikā khīrabhattaṃ sajjetvā theraṃ olokayamānā ṭhitā therassa dvāraṃ sampattasseva pattaṃ pūretvā adāsi. So taṃ ādāya therānaṃ santikaṃ gantvā, ‘‘gaṇhatha, bhante’’ti saṅghattheramāha. Thero, ‘‘amhehi ettakehi kiñci na laddhaṃ, ayaṃ sīghameva gahetvā āgato, kiṃ nu kho’’ti sesānaṃ mukhaṃ olokesi. Thero olokanākāreneva ñatvā – ‘‘dhammena samena laddhapiṇḍapāto, nikkukkuccā gaṇhatha bhante’’tiādito paṭṭhāya sabbesaṃ yāvadatthaṃ datvā attanāpi yāvadatthaṃ bhuñji.

    อถ นํ ภตฺตกิจฺจาวสาเน เถรา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กทา, อาวุโส, โลกุตฺตรธมฺมํ ปฎิวิชฺฌี’’ติ? นตฺถิ เม, ภเนฺต, โลกุตฺตรธโมฺมติฯ ฌานลาภีสิ, อาวุโสติ? เอตมฺปิ เม, ภเนฺต, นตฺถีติฯ นนุ, อาวุโส, ปาฎิหาริยนฺติ? สารณียธโมฺม เม, ภเนฺต, ปูริโต, ตสฺส เม ธมฺมสฺส ปูริตกาลโต ปฎฺฐาย สเจปิ ภิกฺขุสตสหสฺสํ โหติ, ปตฺตคตํ น ขียตีติฯ สาธุ สาธุ, สปฺปุริส, อนุจฺฉวิกมิทํ ตุยฺหนฺติฯ อิทํ ตาว ปตฺตคตํ น ขียตีติ เอตฺถ วตฺถุฯ

    Atha naṃ bhattakiccāvasāne therā pucchiṃsu – ‘‘kadā, āvuso, lokuttaradhammaṃ paṭivijjhī’’ti? Natthi me, bhante, lokuttaradhammoti. Jhānalābhīsi, āvusoti? Etampi me, bhante, natthīti. Nanu, āvuso, pāṭihāriyanti? Sāraṇīyadhammo me, bhante, pūrito, tassa me dhammassa pūritakālato paṭṭhāya sacepi bhikkhusatasahassaṃ hoti, pattagataṃ na khīyatīti. Sādhu sādhu, sappurisa, anucchavikamidaṃ tuyhanti. Idaṃ tāva pattagataṃ na khīyatīti ettha vatthu.

    อยเมว ปน เถโร เจติยปพฺพเต คิริภณฺฑมหาปูชาย ทานฎฺฐานํ คนฺตฺวา, ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน กิํ วรภณฺฑ’’นฺติ ปุจฺฉติฯ เทฺว สาฎกา, ภเนฺตติฯ เอเต มยฺหํ ปาปุณิสฺสนฺตีติฯ ตํ สุตฺวา อมโจฺจ รโญฺญ อาโรเจสิ – ‘‘เอโก ทหโร เอวํ วทตี’’ติฯ ‘‘ทหรเสฺสวํ จิตฺตํ, มหาเถรานํ ปน สุขุมสาฎกา วฎฺฎนฺตี’’ติ วตฺวา, ‘‘มหาเถรานํ ทสฺสามี’’ติ ฐเปสิฯ ตสฺส ภิกฺขุสเงฺฆ ปฎิปาฎิยา ฐิเต เทนฺตสฺส มตฺถเก ฐปิตาปิ เต สาฎกา หตฺถํ นาโรหนฺติ, อเญฺญว อาโรหนฺติฯ ทหรสฺส ทานกาเล ปน หตฺถํ อารุฬฺหาฯ โส ตสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา อมจฺจสฺส มุขํ โอโลเกตฺวา ทหรํ นิสีทาเปตฺวา ทานํ ทตฺวา สงฺฆํ วิสฺสเชฺชตฺวา ทหรสฺส สนฺติเก นิสีทิตฺวา, ‘‘กทา, ภเนฺต, อิมํ ธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิตฺถา’’ติ อาหฯ โส ปริยาเยนปิ อสนฺตํ อวทโนฺต, ‘‘นตฺถิ มยฺหํ, มหาราช, โลกุตฺตรธโมฺม’’ติ อาหฯ นนุ, ภเนฺต, ปุเพฺพว อวจุตฺถาติ? อาม, มหาราช, สารณียธมฺมปูรโก อหํ, ตสฺส เม ธมฺมสฺส ปูริตกาลโต ปฎฺฐาย ภาชนียภณฺฑฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ปาปุณาตีติฯ สาธุ สาธุ, ภเนฺต, อนุจฺฉวิกมิทํ ตุมฺหากนฺติ วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ อิทํ ภาชนียภณฺฑฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ปาปุณาตีติ เอตฺถ วตฺถุฯ

    Ayameva pana thero cetiyapabbate giribhaṇḍamahāpūjāya dānaṭṭhānaṃ gantvā, ‘‘imasmiṃ ṭhāne kiṃ varabhaṇḍa’’nti pucchati. Dve sāṭakā, bhanteti. Ete mayhaṃ pāpuṇissantīti. Taṃ sutvā amacco rañño ārocesi – ‘‘eko daharo evaṃ vadatī’’ti. ‘‘Daharassevaṃ cittaṃ, mahātherānaṃ pana sukhumasāṭakā vaṭṭantī’’ti vatvā, ‘‘mahātherānaṃ dassāmī’’ti ṭhapesi. Tassa bhikkhusaṅghe paṭipāṭiyā ṭhite dentassa matthake ṭhapitāpi te sāṭakā hatthaṃ nārohanti, aññeva ārohanti. Daharassa dānakāle pana hatthaṃ āruḷhā. So tassa hatthe ṭhapetvā amaccassa mukhaṃ oloketvā daharaṃ nisīdāpetvā dānaṃ datvā saṅghaṃ vissajjetvā daharassa santike nisīditvā, ‘‘kadā, bhante, imaṃ dhammaṃ paṭivijjhitthā’’ti āha. So pariyāyenapi asantaṃ avadanto, ‘‘natthi mayhaṃ, mahārāja, lokuttaradhammo’’ti āha. Nanu, bhante, pubbeva avacutthāti? Āma, mahārāja, sāraṇīyadhammapūrako ahaṃ, tassa me dhammassa pūritakālato paṭṭhāya bhājanīyabhaṇḍaṭṭhāne aggabhaṇḍaṃ pāpuṇātīti. Sādhu sādhu, bhante, anucchavikamidaṃ tumhākanti vanditvā pakkāmi. Idaṃ bhājanīyabhaṇḍaṭṭhāne aggabhaṇḍaṃ pāpuṇātīti ettha vatthu.

    พฺราหฺมณติสฺสภเย ปน ภาตรคามวาสิโน นาคเตฺถริยา อนาโรเจตฺวาว ปลายิํสุฯ เถรี ปจฺจูสกาเล, ‘‘อติวิย อปฺปนิโคฺฆโส คาโม, อุปธาเรถ ตาวา’’ติ ทหรภิกฺขุนิโย อาหฯ ตา คนฺตฺวา สเพฺพสํ คตภาวํ ญตฺวา อาคมฺม เถริยา อาโรเจสุํฯ สา สุตฺวา, ‘‘มา ตุเมฺห เตสํ คตภาวํ จินฺตยิตฺถ, อตฺตโน อุเทฺทสปริปุจฺฉาโยนิโสมนสิกาเรสุเยว โยคํ กโรถา’’ติ วตฺวา ภิกฺขาจารเวลาย ปารุปิตฺวา อตฺตทฺวาทสมา คามทฺวาเร นิโคฺรธรุกฺขมูเล อฎฺฐาสิฯ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา ทฺวาทสนฺนมฺปิ ภิกฺขุนีนํ ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา, ‘‘อเยฺย, อญฺญตฺถ มา คจฺฉถ, นิจฺจํ อิเธว เอถา’’ติ อาหฯ เถริยา ปน กนิฎฺฐภาตา นาคเตฺถโร นาม อตฺถิฯ โส, ‘‘มหนฺตํ ภยํ, น สกฺกา อิธ ยาเปตุํ, ปรตีรํ คมิสฺสามาติ อตฺตทฺวาทสโมว อตฺตโน วสนฎฺฐานา นิกฺขโนฺต เถริํ ทิสฺวา คมิสฺสามี’’ติ ภาตรคามํ อาคโตฯ เถรี, ‘‘เถรา อาคตา’’ติ สุตฺวา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา, กิํ อยฺยาติ ปุจฺฉิฯ โส ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ สา, ‘‘อชฺช เอกทิวสํ วิหาเรเยว วสิตฺวา เสฺวว คมิสฺสถา’’ติ อาหฯ เถรา วิหารํ อคมํสุฯ

    Brāhmaṇatissabhaye pana bhātaragāmavāsino nāgattheriyā anārocetvāva palāyiṃsu. Therī paccūsakāle, ‘‘ativiya appanigghoso gāmo, upadhāretha tāvā’’ti daharabhikkhuniyo āha. Tā gantvā sabbesaṃ gatabhāvaṃ ñatvā āgamma theriyā ārocesuṃ. Sā sutvā, ‘‘mā tumhe tesaṃ gatabhāvaṃ cintayittha, attano uddesaparipucchāyonisomanasikāresuyeva yogaṃ karothā’’ti vatvā bhikkhācāravelāya pārupitvā attadvādasamā gāmadvāre nigrodharukkhamūle aṭṭhāsi. Rukkhe adhivatthā devatā dvādasannampi bhikkhunīnaṃ piṇḍapātaṃ datvā, ‘‘ayye, aññattha mā gacchatha, niccaṃ idheva ethā’’ti āha. Theriyā pana kaniṭṭhabhātā nāgatthero nāma atthi. So, ‘‘mahantaṃ bhayaṃ, na sakkā idha yāpetuṃ, paratīraṃ gamissāmāti attadvādasamova attano vasanaṭṭhānā nikkhanto theriṃ disvā gamissāmī’’ti bhātaragāmaṃ āgato. Therī, ‘‘therā āgatā’’ti sutvā tesaṃ santikaṃ gantvā, kiṃ ayyāti pucchi. So taṃ pavattiṃ ācikkhi. Sā, ‘‘ajja ekadivasaṃ vihāreyeva vasitvā sveva gamissathā’’ti āha. Therā vihāraṃ agamaṃsu.

    เถรี ปุนทิวเส รุกฺขมูเล ปิณฺฑาย จริตฺวา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘อิมํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชถา’’ติ อาหฯ เถโร, ‘‘วฎฺฎิสฺสติ เถรี’’ติ วตฺวา ตุณฺหี อฎฺฐาสิฯ ธมฺมิโก ตาตา ปิณฺฑปาโต กุกฺกุจฺจํ อกตฺวา ปริภุญฺชถาติฯ วฎฺฎิสฺสติ เถรีติฯ สา ปตฺตํ คเหตฺวา อากาเส ขิปิ, ปโตฺต อากาเส อฎฺฐาสิฯ เถโร, ‘‘สตฺตตาลมเตฺต ฐิตมฺปิ ภิกฺขุนีภตฺตเมว, เถรีติ วตฺวา ภยํ นาม สพฺพกาลํ น โหติ, ภเย วูปสเนฺต อริยวํสํ กถยมาโน, ‘โภ ปิณฺฑปาติก ภิกฺขุนีภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา วีตินามยิตฺถา’ติ จิเตฺตน อนุวทิยมาโน สนฺถเมฺภตุํ น สกฺขิสฺสามิ, อปฺปมตฺตา โหถ เถริโย’’ติ มคฺคํ อารุหิฯ

    Therī punadivase rukkhamūle piṇḍāya caritvā theraṃ upasaṅkamitvā, ‘‘imaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjathā’’ti āha. Thero, ‘‘vaṭṭissati therī’’ti vatvā tuṇhī aṭṭhāsi. Dhammiko tātā piṇḍapāto kukkuccaṃ akatvā paribhuñjathāti. Vaṭṭissati therīti. Sā pattaṃ gahetvā ākāse khipi, patto ākāse aṭṭhāsi. Thero, ‘‘sattatālamatte ṭhitampi bhikkhunībhattameva, therīti vatvā bhayaṃ nāma sabbakālaṃ na hoti, bhaye vūpasante ariyavaṃsaṃ kathayamāno, ‘bho piṇḍapātika bhikkhunībhattaṃ bhuñjitvā vītināmayitthā’ti cittena anuvadiyamāno santhambhetuṃ na sakkhissāmi, appamattā hotha theriyo’’ti maggaṃ āruhi.

    รุกฺขเทวตาปิ, ‘‘สเจ เถโร เถริยา หตฺถโต ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิสฺสติ, น นํ นิวเตฺตสฺสามิ, สเจ ปน น ปริภุญฺชิสฺสติ, นิวเตฺตสฺสามี’’ติ จินฺตยมานา ฐตฺวา เถรสฺส คมนํ ทิสฺวา รุกฺขา โอรุยฺห ปตฺตํ, ภเนฺต, เทถาติ ปตฺตํ คเหตฺวา เถรํ รุกฺขมูลํเยว อาเนตฺวา อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา ทฺวาทส ภิกฺขุนิโย, ทฺวาทส จ ภิกฺขู สตฺต วสฺสานิ อุปฎฺฐหิฯ อิทํ เทวตา อุสฺสุกฺกํ อาปชฺชนฺตีติ เอตฺถ วตฺถุ, ตตฺร หิ เถรี สารณียธมฺมปูริกา อโหสิฯ

    Rukkhadevatāpi, ‘‘sace thero theriyā hatthato piṇḍapātaṃ paribhuñjissati, na naṃ nivattessāmi, sace pana na paribhuñjissati, nivattessāmī’’ti cintayamānā ṭhatvā therassa gamanaṃ disvā rukkhā oruyha pattaṃ, bhante, dethāti pattaṃ gahetvā theraṃ rukkhamūlaṃyeva ānetvā āsanaṃ paññāpetvā piṇḍapātaṃ datvā katabhattakiccaṃ paṭiññaṃ kāretvā dvādasa bhikkhuniyo, dvādasa ca bhikkhū satta vassāni upaṭṭhahi. Idaṃ devatā ussukkaṃ āpajjantīti ettha vatthu, tatra hi therī sāraṇīyadhammapūrikā ahosi.

    อขณฺฑานีติอาทีสุ ยสฺส สตฺตสุ อาปตฺติกฺขเนฺธสุ อาทิมฺหิ วา อเนฺต วา สิกฺขาปทํ ภินฺนํ โหติ, ตสฺส สีลํ ปริยเนฺต ฉินฺนสาฎโก วิย ขณฺฑํ นามฯ ยสฺส ปน เวมเชฺฌ ภินฺนํ, ตสฺส มเชฺฌ ฉิทฺทสาฎโก วิย ฉิทฺทํ นาม โหติฯ ยสฺส ปน ปฎิปาฎิยา เทฺว ตีณิ ภินฺนานิ, ตสฺส ปิฎฺฐิยํ วา กุจฺฉิยํ วา อุฎฺฐิเตน วิสภาควเณฺณน กาฬรตฺตาทีนํ อญฺญตรวณฺณา คาวี วิย สพลํ นาม โหติฯ ยสฺส ปน อนฺตรนฺตรา ภินฺนานิ, ตสฺส อนฺตรนฺตรา วิสภาคพินฺทุจิตฺรา คาวี วิย กมฺมาสํ นาม โหติฯ ยสฺส ปน สเพฺพน สพฺพํ อภินฺนานิ, ตสฺส ตานิ สีลานิ อขณฺฑานิ อจฺฉิทฺทานิ อสพลานิ อกมฺมาสานิ นาม โหนฺติฯ ตานิ ปเนตานิ ตณฺหาทาสพฺยโต โมเจตฺวา ภุชิสฺสภาวกรณโต ภุชิสฺสานิฯ พุทฺธาทีหิ วิญฺญูหิ ปสตฺถตฺตา วิญฺญุปฺปสตฺถานิฯ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ อปรามฎฺฐตฺตา, ‘‘อิทํ นาม ตฺวํ อาปนฺนปุโพฺพ’’ติ เกนจิ ปรามฎฺฐุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา จ อปรามฎฺฐานิฯ อุปจารสมาธิํ วา อปฺปนาสมาธิํ วา สํวตฺตยนฺตีติ สมาธิสํวตฺตนิกานีติ วุจฺจนฺติฯ สีลสามญฺญคโต วิหรตีติ เตสุ เตสุ ทิสาภาเคสุ วิหรเนฺตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สมานภาวูปคตสีโล วิหรติ ฯ โสตาปนฺนาทีนญฺหิ สีลํ สมุทฺทนฺตเรปิ เทวโลเกปิ วสนฺตานํ อเญฺญสํ โสตาปนฺนาทีนํ สีเลน สมานเมว โหติ, นตฺถิ มคฺคสีเล นานตฺตํ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    Akhaṇḍānītiādīsu yassa sattasu āpattikkhandhesu ādimhi vā ante vā sikkhāpadaṃ bhinnaṃ hoti, tassa sīlaṃ pariyante chinnasāṭako viya khaṇḍaṃ nāma. Yassa pana vemajjhe bhinnaṃ, tassa majjhe chiddasāṭako viya chiddaṃ nāma hoti. Yassa pana paṭipāṭiyā dve tīṇi bhinnāni, tassa piṭṭhiyaṃ vā kucchiyaṃ vā uṭṭhitena visabhāgavaṇṇena kāḷarattādīnaṃ aññataravaṇṇā gāvī viya sabalaṃ nāma hoti. Yassa pana antarantarā bhinnāni, tassa antarantarā visabhāgabinducitrā gāvī viya kammāsaṃ nāma hoti. Yassa pana sabbena sabbaṃ abhinnāni, tassa tāni sīlāni akhaṇḍāni acchiddāni asabalāni akammāsāni nāma honti. Tāni panetāni taṇhādāsabyato mocetvā bhujissabhāvakaraṇato bhujissāni. Buddhādīhi viññūhi pasatthattā viññuppasatthāni. Taṇhādiṭṭhīhi aparāmaṭṭhattā, ‘‘idaṃ nāma tvaṃ āpannapubbo’’ti kenaci parāmaṭṭhuṃ asakkuṇeyyattā ca aparāmaṭṭhāni. Upacārasamādhiṃ vā appanāsamādhiṃ vā saṃvattayantīti samādhisaṃvattanikānīti vuccanti. Sīlasāmaññagatoviharatīti tesu tesu disābhāgesu viharantehi bhikkhūhi saddhiṃ samānabhāvūpagatasīlo viharati . Sotāpannādīnañhi sīlaṃ samuddantarepi devalokepi vasantānaṃ aññesaṃ sotāpannādīnaṃ sīlena samānameva hoti, natthi maggasīle nānattaṃ, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.

    ยายํ ทิฎฺฐีติ มคฺคสมฺปยุตฺตา สมฺมาทิฎฺฐิฯ อริยาติ นิโทฺทสาฯ นิยฺยาตีติ นิยฺยานิกาฯ ตกฺกรสฺสาติ โย ตถาการี โหติฯ ทุกฺขกฺขยายาติ สพฺพทุกฺขกฺขยตฺถํฯ ทิฎฺฐิสามญฺญคโตติ สมานทิฎฺฐิภาวํ อุปคโต หุตฺวา วิหรติฯ อคฺคนฺติ เชฎฺฐกํฯ สพฺพโคปานสิโย สงฺคณฺหาตีติ สงฺคาหิกํฯ สพฺพโคปานสีนํ สงฺฆาฎํ กโรตีติ สงฺฆาฎนิกํฯ สงฺฆาฎนิยนฺติ อโตฺถฯ ยทิทํ กูฎนฺติ ยเมตํ กูฎาคารกณฺณิกาสงฺขาตํ กูฎํ นามฯ ปญฺจภูมิกาทิปาสาทา หิ กูฎพทฺธาว ติฎฺฐนฺติฯ ยสฺมิํ ปติเต มตฺติกํ อาทิํ กตฺวา สเพฺพ ปตนฺติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ เอวเมว โขติ ยถา กูฎํ กูฎาคารสฺส, เอวํ อิเมสมฺปิ สารณียธมฺมานํ ยา อยํ อริยา ทิฎฺฐิ, สา อคฺคา จ สงฺคาหิกา จ สงฺฆาฎนิยา จาติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    Yāyaṃ diṭṭhīti maggasampayuttā sammādiṭṭhi. Ariyāti niddosā. Niyyātīti niyyānikā. Takkarassāti yo tathākārī hoti. Dukkhakkhayāyāti sabbadukkhakkhayatthaṃ. Diṭṭhisāmaññagatoti samānadiṭṭhibhāvaṃ upagato hutvā viharati. Agganti jeṭṭhakaṃ. Sabbagopānasiyo saṅgaṇhātīti saṅgāhikaṃ. Sabbagopānasīnaṃ saṅghāṭaṃ karotīti saṅghāṭanikaṃ. Saṅghāṭaniyanti attho. Yadidaṃ kūṭanti yametaṃ kūṭāgārakaṇṇikāsaṅkhātaṃ kūṭaṃ nāma. Pañcabhūmikādipāsādā hi kūṭabaddhāva tiṭṭhanti. Yasmiṃ patite mattikaṃ ādiṃ katvā sabbe patanti. Tasmā evamāha. Evameva khoti yathā kūṭaṃ kūṭāgārassa, evaṃ imesampi sāraṇīyadhammānaṃ yā ayaṃ ariyā diṭṭhi, sā aggā ca saṅgāhikā ca saṅghāṭaniyā cāti daṭṭhabbā.

    ๔๙๓. กถญฺจ, ภิกฺขเว, ยายํ ทิฎฺฐีติ เอตฺถ, ภิกฺขเว, ยายํ โสตาปตฺติมคฺคทิฎฺฐิ อริยา นิยฺยานิกา นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายาติ วุตฺตา, สา กถํ เกน การเณน นิยฺยาตีติ อโตฺถฯ ปริยุฎฺฐิตจิโตฺตว โหตีติ เอตฺตาวตาปิ ปริยุฎฺฐิตจิโตฺตเยว นาม โหตีติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ สุปฺปณิหิตํ เม มานสนฺติ มยฺหํ จิตฺตํ สุฎฺฐุ ฐปิตํฯ สจฺจานํ โพธายาติ จตุนฺนํ สจฺจานํ โพธตฺถายฯ อริยนฺติอาทีสุ ตํ ญาณํ ยสฺมา อริยานํ โหติ, น ปุถุชฺชนานํ, ตสฺมา อริยนฺติ วุตฺตํฯ เยสํ ปน โลกุตฺตรธโมฺมปิ อตฺถิ, เตสํเยว โหติ, น อเญฺญสํ, ตสฺมา โลกุตฺตรนฺติ วุตฺตํฯ ปุถุชฺชนานํ ปน อภาวโต อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหีติ วุตฺตํฯ เอส นโย สพฺพวาเรสุฯ

    493.Kathañca, bhikkhave, yāyaṃ diṭṭhīti ettha, bhikkhave, yāyaṃ sotāpattimaggadiṭṭhi ariyā niyyānikā niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāyāti vuttā, sā kathaṃ kena kāraṇena niyyātīti attho. Pariyuṭṭhitacittova hotīti ettāvatāpi pariyuṭṭhitacittoyeva nāma hotīti attho. Esa nayo sabbattha. Suppaṇihitaṃ me mānasanti mayhaṃ cittaṃ suṭṭhu ṭhapitaṃ. Saccānaṃ bodhāyāti catunnaṃ saccānaṃ bodhatthāya. Ariyantiādīsu taṃ ñāṇaṃ yasmā ariyānaṃ hoti, na puthujjanānaṃ, tasmā ariyanti vuttaṃ. Yesaṃ pana lokuttaradhammopi atthi, tesaṃyeva hoti, na aññesaṃ, tasmā lokuttaranti vuttaṃ. Puthujjanānaṃ pana abhāvato asādhāraṇaṃ puthujjanehīti vuttaṃ. Esa nayo sabbavāresu.

    ๔๙๔. ลภามิ ปจฺจตฺตํ สมถนฺติ อตฺตโน จิเตฺต สมถํ ลภามีติ อโตฺถฯ นิพฺพุติยมฺปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ สมโถติ เอกคฺคตาฯ นิพฺพุตีติ กิเลสวูปสโมฯ

    494.Labhāmi paccattaṃ samathanti attano citte samathaṃ labhāmīti attho. Nibbutiyampi eseva nayo. Ettha ca samathoti ekaggatā. Nibbutīti kilesavūpasamo.

    ๔๙๕. ตถารูปาย ทิฎฺฐิยาติ เอวรูปาย โสตาปตฺติมคฺคทิฎฺฐิยาฯ

    495.Tathārūpāya diṭṭhiyāti evarūpāya sotāpattimaggadiṭṭhiyā.

    ๔๙๖. ธมฺมตายาติ สภาเวนฯ ธมฺมตา เอสาติ สภาโว เอสฯ วุฎฺฐานํ ปญฺญายตีติ สงฺฆกมฺมวเสน วา เทสนาย วา วุฎฺฐานํ ทิสฺสติฯ อริยสาวโก หิ อาปตฺติํ อาปชฺชโนฺต ครุกาปตฺตีสุ กุฎิการสทิสํ, ลหุกาปตฺตีสุ สหเสยฺยาทิสทิสํ อจิตฺตกาปตฺติํเยว อาปชฺชติ, ตมฺปิ อสญฺจิจฺจ, โน สญฺจิจฺจ, อาปนฺนํ น ปฎิจฺฉาเทติฯ ตสฺมา อถ โข นํ ขิปฺปเมวาติอาทิมาหฯ ทหโรติ ตรุโณฯ กุมาโรติ น มหลฺลโกฯ มโนฺทติ จกฺขุโสตาทีนํ มนฺทตาย มโนฺทฯ อุตฺตานเสยฺยโกติ อติทหรตาย อุตฺตานเสยฺยโก, ทกฺขิเณน วา วาเมน วา ปเสฺสน สยิตุํ น สโกฺกตีติ อโตฺถฯ องฺคารํ อกฺกมิตฺวาติ อิโต จิโต จ ปสาริเตน หเตฺถน วา ปาเทน วา ผุสิตฺวาฯ เอวํ ผุสนฺตานํ ปน มนุสฺสานํ น สีฆํ หโตฺถ ฌายติ, ตถา หิ เอกเจฺจ หเตฺถน องฺคารํ คเหตฺวา ปริวตฺตมานา ทูรมฺปิ คจฺฉนฺติฯ ทหรสฺส ปน หตฺถปาทา สุขุมาลา โหนฺติ, โส ผุฎฺฐมเตฺตเนว ทยฺหมาโน จิรีติ สทฺทํ กโรโนฺต ขิปฺปํ ปฎิสํหรติ, ตสฺมา อิธ ทหโรว ทสฺสิโตฯ มหลฺลโก จ ทยฺหโนฺตปิ อธิวาเสติ, อยํ ปน อธิวาเสตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺมาปิ ทหโรว ทสฺสิโตฯ เทเสตีติ อาปตฺติปฎิคฺคาหเก สภาคปุคฺคเล สติ เอกํ ทิวสํ วา รตฺติํ วา อนธิวาเสตฺวา รตฺติํ จตุรเงฺคปิ ตเม สภาคภิกฺขุโน วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา เทเสติเยวฯ

    496.Dhammatāyāti sabhāvena. Dhammatā esāti sabhāvo esa. Vuṭṭhānaṃ paññāyatīti saṅghakammavasena vā desanāya vā vuṭṭhānaṃ dissati. Ariyasāvako hi āpattiṃ āpajjanto garukāpattīsu kuṭikārasadisaṃ, lahukāpattīsu sahaseyyādisadisaṃ acittakāpattiṃyeva āpajjati, tampi asañcicca, no sañcicca, āpannaṃ na paṭicchādeti. Tasmā atha kho naṃ khippamevātiādimāha. Daharoti taruṇo. Kumāroti na mahallako. Mandoti cakkhusotādīnaṃ mandatāya mando. Uttānaseyyakoti atidaharatāya uttānaseyyako, dakkhiṇena vā vāmena vā passena sayituṃ na sakkotīti attho. Aṅgāraṃ akkamitvāti ito cito ca pasāritena hatthena vā pādena vā phusitvā. Evaṃ phusantānaṃ pana manussānaṃ na sīghaṃ hattho jhāyati, tathā hi ekacce hatthena aṅgāraṃ gahetvā parivattamānā dūrampi gacchanti. Daharassa pana hatthapādā sukhumālā honti, so phuṭṭhamatteneva dayhamāno cirīti saddaṃ karonto khippaṃ paṭisaṃharati, tasmā idha daharova dassito. Mahallako ca dayhantopi adhivāseti, ayaṃ pana adhivāsetuṃ na sakkoti. Tasmāpi daharova dassito. Desetīti āpattipaṭiggāhake sabhāgapuggale sati ekaṃ divasaṃ vā rattiṃ vā anadhivāsetvā rattiṃ caturaṅgepi tame sabhāgabhikkhuno vasanaṭṭhānaṃ gantvā desetiyeva.

    ๔๙๗. อุจฺจาวจานีติ อุจฺจนีจานิฯ กิํ กรณียานีติ กิํ กโรมีติ เอวํ วตฺวา กตฺตพฺพกมฺมานิฯ ตตฺถ อุจฺจกมฺมํ นาม จีวรสฺส กรณํ รชนํ เจติเย สุธากมฺมํ อุโปสถาคารเจติยฆรโพธิฆเรสุ กตฺตพฺพกมฺมนฺติ เอวมาทิฯ อวจกมฺมํ นาม ปาทโธวนมกฺขนาทิขุทฺทกกมฺมํ, อถ วา เจติเย สุธากมฺมาทิ อุจฺจกมฺมํ นามฯ ตเตฺถว กสาวปจนอุทกานยนกุจฺฉกรณ นิยฺยาสพนฺธนาทิ อวจกมฺมํ นามฯ อุสฺสุกฺกํ อาปโนฺน โหตีติ อุสฺสุกฺกภาวํ กตฺตพฺพตํ ปฎิปโนฺน โหติฯ ติพฺพาเปโกฺข โหตีติ พหลปตฺถโน โหติฯ ถมฺพญฺจ อาลุมฺปตีติ ติณญฺจ อาลุมฺปมานา ขาทติฯ วจฺฉกญฺจ อปจินาตีติ วจฺฉกญฺจ อปโลเกติฯ ตรุณวจฺฉา หิ คาวี อรเญฺญ เอกโต อาคตํ วจฺฉกํ เอกสฺมิํ ฐาเน นิปนฺนํ ปหาย ทูรํ น คจฺฉติ, วจฺฉกสฺส อาสนฺนฎฺฐาเน จรมานา ติณํ อาลุมฺปิตฺวา คีวํ อุกฺขิปิตฺวา เอกนฺตํ วจฺฉกเมว จ วิโลเกติ, เอวเมว โสตาปโนฺน อุจฺจาวจานิ กิํ กรณียานิ กโรโนฺต ตนฺนิโนฺน โหติ, อสิถิลปูรโก ติพฺพจฺฉโนฺท พหลปตฺถโน หุตฺวาว กโรติฯ

    497.Uccāvacānīti uccanīcāni. Kiṃ karaṇīyānīti kiṃ karomīti evaṃ vatvā kattabbakammāni. Tattha uccakammaṃ nāma cīvarassa karaṇaṃ rajanaṃ cetiye sudhākammaṃ uposathāgāracetiyagharabodhigharesu kattabbakammanti evamādi. Avacakammaṃ nāma pādadhovanamakkhanādikhuddakakammaṃ, atha vā cetiye sudhākammādi uccakammaṃ nāma. Tattheva kasāvapacanaudakānayanakucchakaraṇa niyyāsabandhanādi avacakammaṃ nāma. Ussukkaṃ āpanno hotīti ussukkabhāvaṃ kattabbataṃ paṭipanno hoti. Tibbāpekkho hotīti bahalapatthano hoti. Thambañcaālumpatīti tiṇañca ālumpamānā khādati. Vacchakañca apacinātīti vacchakañca apaloketi. Taruṇavacchā hi gāvī araññe ekato āgataṃ vacchakaṃ ekasmiṃ ṭhāne nipannaṃ pahāya dūraṃ na gacchati, vacchakassa āsannaṭṭhāne caramānā tiṇaṃ ālumpitvā gīvaṃ ukkhipitvā ekantaṃ vacchakameva ca viloketi, evameva sotāpanno uccāvacāni kiṃ karaṇīyāni karonto tanninno hoti, asithilapūrako tibbacchando bahalapatthano hutvāva karoti.

    ตตฺริทํ วตฺถุ – มหาเจติเย กิร สุธากเมฺม กริยมาเน เอโก อริยสาวโก เอเกน หเตฺถน สุธาภาชนํ, เอเกน กุจฺฉํ คเหตฺวา สุธากมฺมํ กริสฺสามีติ เจติยงฺคณํ อารุโฬฺหฯ เอโก กายทฬฺหิพหุโล ภิกฺขุ คนฺตฺวา เถรสฺส สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ เถโร อญฺญสฺมิํ สติ ปปโญฺจ โหตีติ ตสฺมา ฐานา อญฺญํ ฐานํ คโตฯ โสปิ ภิกฺขุ ตเตฺถว อคมาสิฯ เถโร ปุน อญฺญํ ฐานนฺติ เอวํ กติปยฎฺฐาเน อาคตํ, – ‘‘สปฺปุริส มหนฺตํ เจติยงฺคณํ กิํ อญฺญสฺมิํ ฐาเน โอกาสํ น ลภถา’’ติ อาหฯ น อิตโร ปกฺกามีติฯ

    Tatridaṃ vatthu – mahācetiye kira sudhākamme kariyamāne eko ariyasāvako ekena hatthena sudhābhājanaṃ, ekena kucchaṃ gahetvā sudhākammaṃ karissāmīti cetiyaṅgaṇaṃ āruḷho. Eko kāyadaḷhibahulo bhikkhu gantvā therassa santike aṭṭhāsi. Thero aññasmiṃ sati papañco hotīti tasmā ṭhānā aññaṃ ṭhānaṃ gato. Sopi bhikkhu tattheva agamāsi. Thero puna aññaṃ ṭhānanti evaṃ katipayaṭṭhāne āgataṃ, – ‘‘sappurisa mahantaṃ cetiyaṅgaṇaṃ kiṃ aññasmiṃ ṭhāne okāsaṃ na labhathā’’ti āha. Na itaro pakkāmīti.

    ๔๙๘. พลตาย สมนฺนาคโตติ พเลน สมนฺนาคโตฯ อฎฺฐิํ กตฺวาติ อตฺถิกภาวํ กตฺวา, อตฺถิโก หุตฺวาติ อโตฺถฯ มนสิกตฺวาติ มนสฺมิํ กริตฺวาฯ สพฺพเจตสา สมนฺนาหริตฺวาติ อปฺปมตฺตกมฺปิ วิเกฺขปํ อกโรโนฺต สกลจิเตฺตน สมนฺนาหริตฺวาฯ โอหิตโสโตติ ฐปิตโสโตฯ อริยสาวกา หิ ปิยธมฺมสฺสวนา โหนฺติ, ธมฺมสฺสวนคฺคํ คนฺตฺวา นิทฺทายมานา วา เยน เกนจิ สทฺธิํ สลฺลปมานา วา วิกฺขิตฺตจิตฺตา วา น นิสีทนฺติ, อถ โข อมตํ ปริภุญฺชนฺตา วิย อติตฺตาว โหนฺติ ธมฺมสฺสวเน, อถ อรุณํ อุคฺคจฺฉติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ

    498.Balatāya samannāgatoti balena samannāgato. Aṭṭhiṃ katvāti atthikabhāvaṃ katvā, atthiko hutvāti attho. Manasikatvāti manasmiṃ karitvā. Sabbacetasā samannāharitvāti appamattakampi vikkhepaṃ akaronto sakalacittena samannāharitvā. Ohitasototi ṭhapitasoto. Ariyasāvakā hi piyadhammassavanā honti, dhammassavanaggaṃ gantvā niddāyamānā vā yena kenaci saddhiṃ sallapamānā vā vikkhittacittā vā na nisīdanti, atha kho amataṃ paribhuñjantā viya atittāva honti dhammassavane, atha aruṇaṃ uggacchati. Tasmā evamāha.

    ๕๐๐. ธมฺมตา สุสมนฺนิฎฺฐา โหตีติ สภาโว สุฎฺฐุ สมเนฺนสิโต โหติฯ โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยายาติ กรณวจนํ , โสตาปตฺติผลสจฺฉิกตญาเณนาติ อโตฺถฯ เอวํ สตฺตงฺคสมนฺนาคโตติ เอวํ อิเมหิ สตฺตหิ มหาปจฺจเวกฺขณญาเณหิ สมนฺนาคโตฯ อยํ ตาว อาจริยานํ สมานกถาฯ โลกุตฺตรมโคฺค หิ พหุจิตฺตกฺขณิโก นาม นตฺถิฯ

    500.Dhammatāsusamanniṭṭhā hotīti sabhāvo suṭṭhu samannesito hoti. Sotāpattiphalasacchikiriyāyāti karaṇavacanaṃ , sotāpattiphalasacchikatañāṇenāti attho. Evaṃ sattaṅgasamannāgatoti evaṃ imehi sattahi mahāpaccavekkhaṇañāṇehi samannāgato. Ayaṃ tāva ācariyānaṃ samānakathā. Lokuttaramaggo hi bahucittakkhaṇiko nāma natthi.

    วิตณฺฑวาที ปน เอกจิตฺตกฺขณิโก นาม มโคฺค นตฺถิ, ‘‘เอวํ ภาเวยฺย สตฺต วสฺสานี’’ติ หิ วจนโต สตฺตปิ วสฺสานิ มคฺคภาวนา โหนฺติฯ กิเลสา ปน ลหุ ฉิชฺชนฺตา สตฺตหิ ญาเณหิ ฉิชฺชนฺตีติ วทติฯ โส สุตฺตํ อาหราติ วตฺตโพฺพ, อทฺธา อญฺญํ สุตฺตํ อปสฺสโนฺต, ‘‘อิทมสฺส ปฐมํ ญาณํ อธิคตํ โหติ, อิทมสฺส ทุติยํ ญาณํ…เป.… อิทมสฺส สตฺตมํ ญาณํ อธิคตํ โหตี’’ติ อิมเมว อาหริตฺวา ทเสฺสสฺสติฯ ตโต วตฺตโพฺพ กิํ ปนิทํ สุตฺตํ เนยฺยตฺถํ นีตตฺถนฺติฯ ตโต วกฺขติ – ‘‘นีตตฺถตฺถํ, ยถาสุตฺตํ ตเถว อโตฺถ’’ติฯ โส วตฺตโพฺพ – ‘‘ธมฺมตา สุสมนฺนิฎฺฐา โหติ โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยายาติ เอตฺถ โก อโตฺถ’’ติ? อทฺธา โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยายโตฺถติ วกฺขติฯ ตโต ปุจฺฉิตโพฺพ, ‘‘มคฺคสมงฺคี ผลํ สจฺฉิกโรติ, ผลสมงฺคี’’ติฯ ชานโนฺต, ‘‘ผลสมงฺคี สจฺฉิกโรตี’’ติ วกฺขติฯ ตโต วตฺตโพฺพ, – ‘‘เอวํ สตฺตงฺคสมนฺนาคโต โข, ภิกฺขเว, อริยสาวโก โสตาปตฺติผลสมนฺนาคโต โหตีติ อิธ มคฺคํ อภาเวตฺวา มณฺฑูโก วิย อุปฺปติตฺวา อริยสาวโก ผลเมว คณฺหิสฺสติฯ มา สุตฺตํ เม ลทฺธนฺติ ยํ วา ตํ วา อวจฯ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชเนฺตน นาม อาจริยสนฺติเก วสิตฺวา พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา อตฺถรสํ วิทิตฺวา วตฺตพฺพํ โหตี’’ติฯ ‘‘อิมานิ สตฺต ญาณานิ อริยสาวกสฺส ปจฺจเวกฺขณญาณาเนว, โลกุตฺตรมโคฺค พหุจิตฺตกฺขณิโก นาม นตฺถิ, เอกจิตฺตกฺขณิโกเยวา’’ติ สญฺญาเปตโพฺพฯ สเจ สญฺชานาติ สญฺชานาตุฯ โน เจ สญฺชานาติ, ‘‘คจฺฉ ปาโตว วิหารํ ปวิสิตฺวา ยาคุํ ปิวาหี’’ติ อุโยฺยเชตโพฺพฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Vitaṇḍavādī pana ekacittakkhaṇiko nāma maggo natthi, ‘‘evaṃ bhāveyya satta vassānī’’ti hi vacanato sattapi vassāni maggabhāvanā honti. Kilesā pana lahu chijjantā sattahi ñāṇehi chijjantīti vadati. So suttaṃ āharāti vattabbo, addhā aññaṃ suttaṃ apassanto, ‘‘idamassa paṭhamaṃ ñāṇaṃ adhigataṃ hoti, idamassa dutiyaṃ ñāṇaṃ…pe… idamassa sattamaṃ ñāṇaṃ adhigataṃ hotī’’ti imameva āharitvā dassessati. Tato vattabbo kiṃ panidaṃ suttaṃ neyyatthaṃ nītatthanti. Tato vakkhati – ‘‘nītatthatthaṃ, yathāsuttaṃ tatheva attho’’ti. So vattabbo – ‘‘dhammatā susamanniṭṭhā hoti sotāpattiphalasacchikiriyāyāti ettha ko attho’’ti? Addhā sotāpattiphalasacchikiriyāyatthoti vakkhati. Tato pucchitabbo, ‘‘maggasamaṅgī phalaṃ sacchikaroti, phalasamaṅgī’’ti. Jānanto, ‘‘phalasamaṅgī sacchikarotī’’ti vakkhati. Tato vattabbo, – ‘‘evaṃ sattaṅgasamannāgato kho, bhikkhave, ariyasāvako sotāpattiphalasamannāgato hotīti idha maggaṃ abhāvetvā maṇḍūko viya uppatitvā ariyasāvako phalameva gaṇhissati. Mā suttaṃ me laddhanti yaṃ vā taṃ vā avaca. Pañhaṃ vissajjentena nāma ācariyasantike vasitvā buddhavacanaṃ uggaṇhitvā attharasaṃ viditvā vattabbaṃ hotī’’ti. ‘‘Imāni satta ñāṇāni ariyasāvakassa paccavekkhaṇañāṇāneva, lokuttaramaggo bahucittakkhaṇiko nāma natthi, ekacittakkhaṇikoyevā’’ti saññāpetabbo. Sace sañjānāti sañjānātu. No ce sañjānāti, ‘‘gaccha pātova vihāraṃ pavisitvā yāguṃ pivāhī’’ti uyyojetabbo. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    โกสมฺพิยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kosambiyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๘. โกสมฺพิยสุตฺตํ • 8. Kosambiyasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. โกสมฺพิยสุตฺตวณฺณนา • 8. Kosambiyasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact