Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๑๒] ๗. โกฎสิมฺพลิชาตกวณฺณนา
[412] 7. Koṭasimbalijātakavaṇṇanā
อหํ ทสสตํพฺยามนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต กิเลสนิคฺคหํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ ปน ปานียชาตเก (ชา. ๑.๑๑.๕๙ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ อิธาปิ สตฺถา อโนฺตโกฎิสนฺถาเร กามวิตกฺกาภิภูเต ปญฺจสเต ภิกฺขู ทิสฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา ‘‘ภิกฺขเว, อาสงฺกิตพฺพยุตฺตกํ นาม อาสงฺกิตุํ วฎฺฎติ, กิเลสา นาม วฑฺฒนฺตา วเน นิโคฺรธาทโย วิย รุกฺขํ, ปุริสํ ภญฺชนฺติ, เตเนว ปุเพฺพปิ โกฎสิมฺพลิยํ นิพฺพตฺตเทวตา เอกํ สกุณํ นิโคฺรธพีชานิ ขาทิตฺวา อตฺตโน รุกฺขสฺส สาขนฺตเร วจฺจํ ปาเตนฺตํ ทิสฺวา ‘อิโต เม วิมานสฺส วินาโส ภวิสฺสตี’ติ ภยปฺปตฺตา อโหสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Ahaṃ dasasataṃbyāmanti idaṃ satthā jetavane viharanto kilesaniggahaṃ ārabbha kathesi. Vatthu pana pānīyajātake (jā. 1.11.59 ādayo) āvi bhavissati. Idhāpi satthā antokoṭisanthāre kāmavitakkābhibhūte pañcasate bhikkhū disvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā ‘‘bhikkhave, āsaṅkitabbayuttakaṃ nāma āsaṅkituṃ vaṭṭati, kilesā nāma vaḍḍhantā vane nigrodhādayo viya rukkhaṃ, purisaṃ bhañjanti, teneva pubbepi koṭasimbaliyaṃ nibbattadevatā ekaṃ sakuṇaṃ nigrodhabījāni khāditvā attano rukkhassa sākhantare vaccaṃ pātentaṃ disvā ‘ito me vimānassa vināso bhavissatī’ti bhayappattā ahosī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต โกฎสิมฺพลิยํ รุกฺขเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ อเถโก สุปณฺณราชา ทิยฑฺฒโยชนสติกํ อตฺตภาวํ มาเปตฺวา ปกฺขวาเตหิ มหาสมุเทฺท อุทกํ ทฺวิธา กตฺวา เอกํ พฺยามสหสฺสายามํ นาคราชานํ นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา มุเขนสฺส คหิตโคจรํ ฉฑฺฑาเปตฺวา โกฎสิมฺพลิํ สนฺธาย วนมตฺถเกน ปายาสิฯ นาคราชา ‘‘โอลเมฺพโนฺต อตฺตานํ โมเจสฺสามี’’ติ นิโคฺรธรุเกฺข โภคํ ปเวเสตฺวา นิโคฺรธํ เวเฐตฺวา คณฺหิฯ สุปณฺณรโญฺญ มหาพลตาย นาคราชสฺส จ มหาสรีรตาย นิโคฺรธรุโกฺข สมุคฺฆาฎํ อคมาสิฯ นาคราชา เนว รุกฺขํ วิสฺสเชฺชสิ, สุปณฺณราชา สทฺธิํ นิโคฺรธรุเกฺขน นาคราชานํ คเหตฺวา โกฎสิมฺพลิํ ปตฺวา นาคราชานํ ขนฺธปิเฎฺฐ นิปชฺชาเปตฺวา อุทรมสฺส ผาเลตฺวา นาคเมทํ ขาทิตฺวา เสสกเฬวรํ สมุเทฺท วิสฺสเชฺชสิฯ ตสฺมิํ ปน นิโคฺรเธ เอกา สกุณิกา อตฺถิ, สา นิโคฺรธรุเกฺข วิสฺสเฎฺฐ อุปฺปติตฺวา โกฎสิมฺพลิยา สาขนฺตเร นิสีทิฯ รุกฺขเทวตา ตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ สกุณิกา มม รุกฺขกฺขเนฺธ วจฺจํ ปาเตสฺสติ, ตโต นิโคฺรธคโจฺฉ วา ปิลกฺขคโจฺฉ วา อุฎฺฐหิตฺวา สกลรุกฺขํ โอตฺถริตฺวา คจฺฉิสฺสติ, อถ เม วิมานํ นสฺสิสฺสตี’’ติ ภีตตสิตา ปเวธิฯ ตสฺสา ปเวธนฺติยา โกฎสิมฺพลีปิ ยาว มูลา ปเวธิฯ สุปณฺณราชา ตํ ปเวธมานํ ทิสฺวา การณํ ปุจฺฉโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto koṭasimbaliyaṃ rukkhadevatā hutvā nibbatti. Atheko supaṇṇarājā diyaḍḍhayojanasatikaṃ attabhāvaṃ māpetvā pakkhavātehi mahāsamudde udakaṃ dvidhā katvā ekaṃ byāmasahassāyāmaṃ nāgarājānaṃ naṅguṭṭhe gahetvā mukhenassa gahitagocaraṃ chaḍḍāpetvā koṭasimbaliṃ sandhāya vanamatthakena pāyāsi. Nāgarājā ‘‘olambento attānaṃ mocessāmī’’ti nigrodharukkhe bhogaṃ pavesetvā nigrodhaṃ veṭhetvā gaṇhi. Supaṇṇarañño mahābalatāya nāgarājassa ca mahāsarīratāya nigrodharukkho samugghāṭaṃ agamāsi. Nāgarājā neva rukkhaṃ vissajjesi, supaṇṇarājā saddhiṃ nigrodharukkhena nāgarājānaṃ gahetvā koṭasimbaliṃ patvā nāgarājānaṃ khandhapiṭṭhe nipajjāpetvā udaramassa phāletvā nāgamedaṃ khāditvā sesakaḷevaraṃ samudde vissajjesi. Tasmiṃ pana nigrodhe ekā sakuṇikā atthi, sā nigrodharukkhe vissaṭṭhe uppatitvā koṭasimbaliyā sākhantare nisīdi. Rukkhadevatā taṃ disvā ‘‘ayaṃ sakuṇikā mama rukkhakkhandhe vaccaṃ pātessati, tato nigrodhagaccho vā pilakkhagaccho vā uṭṭhahitvā sakalarukkhaṃ ottharitvā gacchissati, atha me vimānaṃ nassissatī’’ti bhītatasitā pavedhi. Tassā pavedhantiyā koṭasimbalīpi yāva mūlā pavedhi. Supaṇṇarājā taṃ pavedhamānaṃ disvā kāraṇaṃ pucchanto dve gāthā abhāsi –
๑๒๑.
121.
‘‘อหํ ทสสตํพฺยามํ, อุรคมาทาย อาคโต;
‘‘Ahaṃ dasasataṃbyāmaṃ, uragamādāya āgato;
ตญฺจ มญฺจ มหากายํ, ธารยํ นปฺปเวธสิฯ
Tañca mañca mahākāyaṃ, dhārayaṃ nappavedhasi.
๑๒๒.
122.
‘‘อถิมํ ขุทฺทกํ ปกฺขิํ, อปฺปมํสตรํ มยา;
‘‘Athimaṃ khuddakaṃ pakkhiṃ, appamaṃsataraṃ mayā;
ธารยํ พฺยถสิ ภีตา, กมตฺถํ โกฎสิมฺพลี’’ติฯ
Dhārayaṃ byathasi bhītā, kamatthaṃ koṭasimbalī’’ti.
ตตฺถ ทสสตํพฺยามนฺติ สหสฺสพฺยามมตฺตายามํฯ อุรคมาทาย อาคโตติ เอวํ มหนฺตํ อุรคํ อาทาย อิธ อาคโตฯ ตญฺจ มญฺจาติ ตญฺจ อุรคํ มญฺจฯ ธารยนฺติ ธารยมานาฯ พฺยถสีติ กมฺปสิฯ กมตฺถนฺติ กิํ อตฺถํ, เกน การเณนาติ ปุจฺฉติ, กํ วา อตฺถํ สมฺปสฺสมานาติปิ อโตฺถฯ โกฎสิมฺพลีติ รุกฺขนาเมน เทวปุตฺตํ อาลปติฯ โส หิ สิมฺพลิรุโกฺข ขนฺธสาขมหนฺตตาย โกฎสิมฺพลินามํ ลภติ, ตสฺมิํ อธิวตฺถเทวปุตฺตสฺสปิ ตเทว นามํฯ
Tattha dasasataṃbyāmanti sahassabyāmamattāyāmaṃ. Uragamādāya āgatoti evaṃ mahantaṃ uragaṃ ādāya idha āgato. Tañca mañcāti tañca uragaṃ mañca. Dhārayanti dhārayamānā. Byathasīti kampasi. Kamatthanti kiṃ atthaṃ, kena kāraṇenāti pucchati, kaṃ vā atthaṃ sampassamānātipi attho. Koṭasimbalīti rukkhanāmena devaputtaṃ ālapati. So hi simbalirukkho khandhasākhamahantatāya koṭasimbalināmaṃ labhati, tasmiṃ adhivatthadevaputtassapi tadeva nāmaṃ.
อถสฺส การณํ กเถโนฺต เทวปุโตฺต จตโสฺส คาถา อภาสิ –
Athassa kāraṇaṃ kathento devaputto catasso gāthā abhāsi –
๑๒๓.
123.
‘‘มํสภโกฺข ตุวํ ราช, ผลภโกฺข อยํ ทิโช;
‘‘Maṃsabhakkho tuvaṃ rāja, phalabhakkho ayaṃ dijo;
อยํ นิโคฺรธพีชานิ, ปิลกฺขุทุมฺพรานิ จ;
Ayaṃ nigrodhabījāni, pilakkhudumbarāni ca;
อสฺสตฺถานิ จ ภกฺขิตฺวา, ขเนฺธ เม โอหทิสฺสติฯ
Assatthāni ca bhakkhitvā, khandhe me ohadissati.
๑๒๔.
124.
‘‘เต รุกฺขา สํวิรูหนฺติ, มม ปเสฺส นิวาตชา;
‘‘Te rukkhā saṃvirūhanti, mama passe nivātajā;
เต มํ ปริโยนนฺธิสฺสนฺติ, อรุกฺขํ มํ กริสฺสเรฯ
Te maṃ pariyonandhissanti, arukkhaṃ maṃ karissare.
๑๒๕.
125.
‘‘สนฺติ อเญฺญปิ รุกฺขา เส, มูลิโน ขนฺธิโน ทุมา;
‘‘Santi aññepi rukkhā se, mūlino khandhino dumā;
อิมินา สกุณชาเตน, พีชมาหริตา หตาฯ
Iminā sakuṇajātena, bījamāharitā hatā.
๑๒๖.
126.
‘‘อชฺฌารูหาภิวฑฺฒนฺติ, พฺรหนฺตมฺปิ วนปฺปติํ;
‘‘Ajjhārūhābhivaḍḍhanti, brahantampi vanappatiṃ;
ตสฺมา ราช ปเวธามิ, สมฺปสฺสํนาคตํ ภย’’นฺติฯ
Tasmā rāja pavedhāmi, sampassaṃnāgataṃ bhaya’’nti.
ตตฺถ โอหทิสฺสตีติ วจฺจํ ปาเตสฺสติฯ เต รุกฺขาติ เตหิ พีเชหิ ชาตา นิโคฺรธาทโย รุกฺขาฯ สํวิรูหนฺตีติ สํวิรุหิสฺสนฺติ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ มม ปเสฺสติ มม สาขนฺตราทีสุฯ นิวาตชาติ มม สาขาหิ วาตสฺส นิวาริตตฺตา นิวาเต ชาตาฯ เต มํ ปริโยนนฺธิสฺสนฺตีติ เอเต เอวํ วฑฺฒิตา มํ ปริโยนนฺธิสฺสนฺตีติ อยเมตฺถาธิปฺปาโยฯ กริสฺสเรติ อเถวํ ปริโยนนฺธิตฺวา มํ อรุกฺขเมว กริสฺสนฺติ สพฺพโส ภญฺชิสฺสนฺติฯ รุกฺขา เสติ รุกฺขาฯ มูลิโน ขนฺธิโนติ มูลสมฺปนฺนา เจว ขนฺธสมฺปนฺนา จฯ ทุมาติ รุกฺขเววจนเมวฯ พีชมาหริตาติ พีชํ อาหริตฺวาฯ หตาติ อเญฺญปิ อิมสฺมิํ วเน รุกฺขา วินาสิตา สนฺติฯ อชฺฌารูหาภิวฑฺฒนฺตีติ นิโคฺรธาทโย รุกฺขา อชฺฌารูหา หุตฺวา มหนฺตมฺปิ อญฺญํ วนปฺปติํ อติกฺกมฺม วฑฺฒนฺตีติ ทเสฺสติฯ เอตฺถ ปน วเน ปติ, วนสฺส ปติ, วนปฺปตีติ ตโยปิ ปาฐาเยวฯ ราชาติ สุปณฺณํ อาลปติฯ
Tattha ohadissatīti vaccaṃ pātessati. Te rukkhāti tehi bījehi jātā nigrodhādayo rukkhā. Saṃvirūhantīti saṃviruhissanti vaḍḍhissanti. Mama passeti mama sākhantarādīsu. Nivātajāti mama sākhāhi vātassa nivāritattā nivāte jātā. Te maṃ pariyonandhissantīti ete evaṃ vaḍḍhitā maṃ pariyonandhissantīti ayametthādhippāyo. Karissareti athevaṃ pariyonandhitvā maṃ arukkhameva karissanti sabbaso bhañjissanti. Rukkhā seti rukkhā. Mūlino khandhinoti mūlasampannā ceva khandhasampannā ca. Dumāti rukkhavevacanameva. Bījamāharitāti bījaṃ āharitvā. Hatāti aññepi imasmiṃ vane rukkhā vināsitā santi. Ajjhārūhābhivaḍḍhantīti nigrodhādayo rukkhā ajjhārūhā hutvā mahantampi aññaṃ vanappatiṃ atikkamma vaḍḍhantīti dasseti. Ettha pana vane pati, vanassa pati, vanappatīti tayopi pāṭhāyeva. Rājāti supaṇṇaṃ ālapati.
รุกฺขเทวตาย วจนํ สุตฺวา สุปโณฺณ โอสานคาถมาห –
Rukkhadevatāya vacanaṃ sutvā supaṇṇo osānagāthamāha –
๑๒๗.
127.
‘‘สเงฺกยฺย สงฺกิตพฺพานิ, รเกฺขยฺยานาคตํ ภยํ;
‘‘Saṅkeyya saṅkitabbāni, rakkheyyānāgataṃ bhayaṃ;
อนาคตภยา ธีโร, อุโภ โลเก อเวกฺขตี’’ติฯ
Anāgatabhayā dhīro, ubho loke avekkhatī’’ti.
ตตฺถ อนาคตํ ภยนฺติ ปาณาติปาตาทีหิ วิรมโนฺต ทิฎฺฐธมฺมิกมฺปิ สมฺปรายิกมฺปิ อนาคตํ ภยํ รกฺขติ นาม, ปาปมิเตฺต เวริปุคฺคเล จ อนุปสงฺกมโนฺต อนาคตภยํ รกฺขติ นามฯ เอวํ อนาคตํ ภยํ รเกฺขยฺยฯ อนาคตภยาติ อนาคตภยการณา ตํ ภยํ ปสฺสโนฺต ธีโร อิธโลกญฺจ ปรโลกญฺจ อเวกฺขติ โอโลเกติ นามฯ
Tattha anāgataṃ bhayanti pāṇātipātādīhi viramanto diṭṭhadhammikampi samparāyikampi anāgataṃ bhayaṃ rakkhati nāma, pāpamitte veripuggale ca anupasaṅkamanto anāgatabhayaṃ rakkhati nāma. Evaṃ anāgataṃ bhayaṃ rakkheyya. Anāgatabhayāti anāgatabhayakāraṇā taṃ bhayaṃ passanto dhīro idhalokañca paralokañca avekkhati oloketi nāma.
เอวญฺจ ปน วตฺวา สุปโณฺณ อตฺตโน อานุภาเวน ตํ ปกฺขิํ ตมฺหา รุกฺขา ปลาเปสิฯ
Evañca pana vatvā supaṇṇo attano ānubhāvena taṃ pakkhiṃ tamhā rukkhā palāpesi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘อาสงฺกิตพฺพยุตฺตกํ อาสงฺกิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน ปญฺจสตา ภิกฺขู อรหตฺตผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘āsaṅkitabbayuttakaṃ āsaṅkituṃ vaṭṭatī’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne pañcasatā bhikkhū arahattaphale patiṭṭhahiṃsu.
ตทา สุปณฺณราชา สาริปุโตฺต อโหสิ, รุกฺขเทวตา ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Tadā supaṇṇarājā sāriputto ahosi, rukkhadevatā pana ahameva ahosinti.
โกฎสิมฺพลิชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ
Koṭasimbalijātakavaṇṇanā sattamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๑๒. โกฎสิมฺพลิชาตกํ • 412. Koṭasimbalijātakaṃ