Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๗๐] ๑๐. กุทฺทาลชาตกวณฺณนา
[70] 10. Kuddālajātakavaṇṇanā
น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต จิตฺตหตฺถสาริปุตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร สาวตฺถิยํ เอโก กุลทารโกฯ อเถกทิวสํ กสิตฺวา อาคจฺฉโนฺต วิหารํ ปวิสิตฺวา เอกสฺส เถรสฺส ปตฺตโต สินิทฺธํ มธุรํ ปณีตโภชนํ ลภิตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มยํ รตฺตินฺทิวํ สหเตฺถน นานากมฺมานิ กุรุมานาปิ เอวรูปํ มธุราหารํ น ลภาม, มยาปิ สมเณน ภวิตพฺพ’’นฺติ ฯ โส ปพฺพชิตฺวา มาสฑฺฒมาสจฺจเยน อโยนิโส มนสิกโรโนฺต กิเลสวสิโก หุตฺวา วิพฺภมิตฺวา ปุน ภเตฺตน กิลมโนฺต อาคนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา อภิธมฺมํ อุคฺคณฺหิฯ อิมินาว อุปาเยน ฉ วาเร วิพฺภมิตฺวา ปพฺพชิโตฯ ตโต สตฺตเม ภิกฺขุภาเว สตฺตปฺปกรณิโก หุตฺวา พหู ภิกฺขู ธมฺมํ วาเจโนฺต วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถสฺส สหายกา ภิกฺขู ‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส จิตฺตหตฺถ, ปุเพฺพ วิย เต เอตรหิ กิเลสา น วฑฺฒนฺตี’’ติ ปริหาสํ กริํสุฯ ‘‘อาวุโส, อภโพฺพ ทานิ อหํ อิโต ปฎฺฐาย คิหิภาวายา’’ติฯ
Nataṃ jitaṃ sādhu jitanti idaṃ satthā jetavane viharanto cittahatthasāriputtaṃ ārabbha kathesi. So kira sāvatthiyaṃ eko kuladārako. Athekadivasaṃ kasitvā āgacchanto vihāraṃ pavisitvā ekassa therassa pattato siniddhaṃ madhuraṃ paṇītabhojanaṃ labhitvā cintesi ‘‘mayaṃ rattindivaṃ sahatthena nānākammāni kurumānāpi evarūpaṃ madhurāhāraṃ na labhāma, mayāpi samaṇena bhavitabba’’nti . So pabbajitvā māsaḍḍhamāsaccayena ayoniso manasikaronto kilesavasiko hutvā vibbhamitvā puna bhattena kilamanto āgantvā pabbajitvā abhidhammaṃ uggaṇhi. Imināva upāyena cha vāre vibbhamitvā pabbajito. Tato sattame bhikkhubhāve sattappakaraṇiko hutvā bahū bhikkhū dhammaṃ vācento vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Athassa sahāyakā bhikkhū ‘‘kiṃ nu kho, āvuso cittahattha, pubbe viya te etarahi kilesā na vaḍḍhantī’’ti parihāsaṃ kariṃsu. ‘‘Āvuso, abhabbo dāni ahaṃ ito paṭṭhāya gihibhāvāyā’’ti.
เอวํ ตสฺมิํ อรหตฺตํ ปเตฺต ธมฺมสภายํ กถา อุทปาทิ ‘‘อาวุโส, เอวรูปสฺส นาม อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสเย สติ อายสฺมา จิตฺตหตฺถสาริปุโตฺต ฉกฺขตฺตุํ อุปฺปพฺพชิโต, อโห มหาโทโส ปุถุชฺชนภาโว’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขเว, ปุถุชฺชนจิตฺตํ นาม ลหุกํ ทุนฺนิคฺคหํ, อารมฺมณวเสน คนฺตฺวา อลฺลียติ, เอกวารํ อลฺลีนํ น สกฺกา โหติ ขิปฺปํ โมเจตุํ, เอวรูปสฺส จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุฯ ทนฺตเมว หิ ตํ สุขํ อาวหติฯ
Evaṃ tasmiṃ arahattaṃ patte dhammasabhāyaṃ kathā udapādi ‘‘āvuso, evarūpassa nāma arahattassa upanissaye sati āyasmā cittahatthasāriputto chakkhattuṃ uppabbajito, aho mahādoso puthujjanabhāvo’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘bhikkhave, puthujjanacittaṃ nāma lahukaṃ dunniggahaṃ, ārammaṇavasena gantvā allīyati, ekavāraṃ allīnaṃ na sakkā hoti khippaṃ mocetuṃ, evarūpassa cittassa damatho sādhu. Dantameva hi taṃ sukhaṃ āvahati.
‘‘ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน, ยตฺถกามนิปาติโน;
‘‘Dunniggahassa lahuno, yatthakāmanipātino;
จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ, จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ’’ฯ (ธ. ป. ๓๕);
Cittassa damatho sādhu, cittaṃ dantaṃ sukhāvahaṃ’’. (dha. pa. 35);
ตสฺส ปน ทุนฺนิคฺคหตาย ปุเพฺพ ปณฺฑิตา เอกํ กุทฺทาลกํ นิสฺสาย ตํ ชหิตุํ อสโกฺกนฺตา โลภวเสน ฉกฺขตฺตุํ อุปฺปพฺพชิตฺวา สตฺตเม ปพฺพชิตภาเว ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ตํ โลภํ นิคฺคณฺหิํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Tassa pana dunniggahatāya pubbe paṇḍitā ekaṃ kuddālakaṃ nissāya taṃ jahituṃ asakkontā lobhavasena chakkhattuṃ uppabbajitvā sattame pabbajitabhāve jhānaṃ uppādetvā taṃ lobhaṃ niggaṇhiṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ปณฺณิกกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปาปุณิ, ‘‘กุทฺทาลปณฺฑิโต’’ติสฺส นามํ อโหสิฯ โส กุทฺทาลเกน ภูมิปริกมฺมํ กตฺวา ฑากเญฺจว อลาพุกุมฺภณฺฑเอฬาลุกาทีนิ จ วปิตฺวา ตานิ วิกฺกิณโนฺต กปณชีวิกํ กเปฺปสิฯ ตญฺหิสฺส เอกํ กุทฺทาลกํ ฐเปตฺวา อญฺญํ ธนํ นาม นตฺถิฯ โส เอกทิวสํ จิเนฺตสิ ‘‘กิํ เม ฆราวาเสน, นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ อเถกทิวสํ กุทฺทาลกํ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน ฐเปตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ตํ กุทฺทาลกํ อนุสฺสริตฺวา โลภํ ฉินฺทิตุํ อสโกฺกโนฺต กุณฺฐกุทฺทาลกํ นิสฺสาย อุปฺปพฺพชิฯ เอวํ ทุติยมฺปิ, ตติยมฺปีติ ฉ วาเร ตํ กุทฺทาลกํ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน นิกฺขิปิตฺวา ปพฺพชิโต เจว อุปฺปพฺพชิโต จฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto paṇṇikakule nibbattitvā viññutaṃ pāpuṇi, ‘‘kuddālapaṇḍito’’tissa nāmaṃ ahosi. So kuddālakena bhūmiparikammaṃ katvā ḍākañceva alābukumbhaṇḍaeḷālukādīni ca vapitvā tāni vikkiṇanto kapaṇajīvikaṃ kappesi. Tañhissa ekaṃ kuddālakaṃ ṭhapetvā aññaṃ dhanaṃ nāma natthi. So ekadivasaṃ cintesi ‘‘kiṃ me gharāvāsena, nikkhamitvā pabbajissāmī’’ti. Athekadivasaṃ kuddālakaṃ paṭicchannaṭṭhāne ṭhapetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā taṃ kuddālakaṃ anussaritvā lobhaṃ chindituṃ asakkonto kuṇṭhakuddālakaṃ nissāya uppabbaji. Evaṃ dutiyampi, tatiyampīti cha vāre taṃ kuddālakaṃ paṭicchannaṭṭhāne nikkhipitvā pabbajito ceva uppabbajito ca.
สตฺตเม ปน วาเร จิเนฺตสิ ‘‘อหํ อิมํ กุณฺฐกุทฺทาลกํ นิสฺสาย ปุนปฺปุนํ อุปฺปพฺพชิโต, อิทานิ นํ มหานทิยํ ปกฺขิปิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติ นทีตีรํ คนฺตฺวา ‘‘สจสฺส ปติตฎฺฐานํ ปสฺสิสฺสามิ, ปุนาคนฺตฺวา อุทฺธริตุกามตา ภเวยฺยา’’ติ ตํ กุทฺทาลกํ ทเณฺฑ คเหตฺวา นาคพโล ถามสมฺปโนฺน สีสสฺส อุปริภาเค ติกฺขตฺตุํ อาวิชฺฌิตฺวา อกฺขีนิ นิมฺมีเลตฺวา นทีมเชฺฌ ขิปิตฺวา ‘‘ชิตํ เม ชิตํ เม’’ติ ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิฯ ตสฺมิํ ขเณ พาราณสิราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา อาคโต นทิยา สีสํ นฺหายิตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต หตฺถิกฺขเนฺธน คจฺฉมาโน ตํ โพธิสตฺตสฺส สทฺทํ สุตฺวา ‘‘อยํ ปุริโส ‘ชิตํ เม ชิตํ เม’ติ วทติ, โก นุ โข เอเตน ชิโต, ปโกฺกสถ น’’นฺติ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘โภ ปุริส, อหํ ตาว วิชิตสงฺคาโม อิทานิ ชยํ คเหตฺวา อาคจฺฉามิ, ตยา ปน โก ชิโต’’ติ ปุจฺฉิฯ โพธิสโตฺต ‘‘มหาราช, ตยา สงฺคามสตมฺปิ สงฺคามสหสฺสมฺปิ สงฺคามสตสหสฺสมฺปิ ชินเนฺตน ทุชฺชิตเมว กิเลสานํ อชิตตฺตาฯ อหํ ปน มม อพฺภนฺตเร โลภํ นิคฺคณฺหโนฺต กิเลเส ชินิ’’นฺติ กเถโนฺตเยว มหานทิํ โอโลเกตฺวา อาโปกสิณารมฺมณํ ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา สมฺปตฺตานุภาโว อากาเส นิสีทิตฺวา รโญฺญ ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมํ คาถมาห –
Sattame pana vāre cintesi ‘‘ahaṃ imaṃ kuṇṭhakuddālakaṃ nissāya punappunaṃ uppabbajito, idāni naṃ mahānadiyaṃ pakkhipitvā pabbajissāmī’’ti nadītīraṃ gantvā ‘‘sacassa patitaṭṭhānaṃ passissāmi, punāgantvā uddharitukāmatā bhaveyyā’’ti taṃ kuddālakaṃ daṇḍe gahetvā nāgabalo thāmasampanno sīsassa uparibhāge tikkhattuṃ āvijjhitvā akkhīni nimmīletvā nadīmajjhe khipitvā ‘‘jitaṃ me jitaṃ me’’ti tikkhattuṃ sīhanādaṃ nadi. Tasmiṃ khaṇe bārāṇasirājā paccantaṃ vūpasametvā āgato nadiyā sīsaṃ nhāyitvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito hatthikkhandhena gacchamāno taṃ bodhisattassa saddaṃ sutvā ‘‘ayaṃ puriso ‘jitaṃ me jitaṃ me’ti vadati, ko nu kho etena jito, pakkosatha na’’nti pakkosāpetvā ‘‘bho purisa, ahaṃ tāva vijitasaṅgāmo idāni jayaṃ gahetvā āgacchāmi, tayā pana ko jito’’ti pucchi. Bodhisatto ‘‘mahārāja, tayā saṅgāmasatampi saṅgāmasahassampi saṅgāmasatasahassampi jinantena dujjitameva kilesānaṃ ajitattā. Ahaṃ pana mama abbhantare lobhaṃ niggaṇhanto kilese jini’’nti kathentoyeva mahānadiṃ oloketvā āpokasiṇārammaṇaṃ jhānaṃ nibbattetvā sampattānubhāvo ākāse nisīditvā rañño dhammaṃ desento imaṃ gāthamāha –
๗๐.
70.
‘‘น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ, ยํ ชิตํ อวชียติ;
‘‘Na taṃ jitaṃ sādhu jitaṃ, yaṃ jitaṃ avajīyati;
ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ, ยํ ชิตํ นาวชียตี’’ติฯ
Taṃ kho jitaṃ sādhu jitaṃ, yaṃ jitaṃ nāvajīyatī’’ti.
ตตฺถ น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ, ยํ ชิตํ อวชียตีติ ยํ ปจฺจามิเตฺต ปราชินิตฺวา รฎฺฐํ ชิตํ ปฎิลทฺธํ ปุนปิ เตหิ ปจฺจามิเตฺตหิ อวชียติ, ตํ ชิตํ สาธุชิตํ นาม น โหติฯ กสฺมา? ปุน อวชียนโตฯ อปโร นโย – ชิตํ วุจฺจติ ชโยฯ โย ปจฺจามิเตฺตหิ สทฺธิํ ยุชฺฌิตฺวา อธิคโต ชโย ปุน เตสุ ชินเนฺตสุ , ปราชโย โหติ, โส น สาธุ น โสภโนฯ กสฺมา? ยสฺมา ปุน ปราชโยว โหติฯ ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ, ยํ ชิตํ นาวชียตีติ ยํ โข ปน ปจฺจามิเตฺต นิมฺมเถตฺวา ชิตํ ปุน เตหิ นาวชียติ, โย วา เอกวารํ ลโทฺธ ชโย น ปุน ปราชโย โหติ, ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ โสภนํ, โส ชโย สาธุ โสภโน นาม โหติฯ กสฺมา? ปุน นาวชียนโตฯ ตสฺมา, ตฺวํ มหาราช, สตกฺขตฺตุมฺปิ สหสฺสกฺขตฺตุมฺปิ สตสหสฺสกฺขตฺตุมฺปิ สงฺคามสีสํ ชินิตฺวาปิ สงฺคามโยโธ นาม น โหสิฯ กิํการณา? อตฺตโน กิเลสานํ อชิตตฺตาฯ โย ปน เอกวารมฺปิ อตฺตโน อพฺภนฺตเร กิเลเส ชินาติ, อยํ อุตฺตโม สงฺคามสีสโยโธติ อากาเส นิสินฺนโกว พุทฺธลีลาย รโญฺญ ธมฺมํ เทเสสิฯ อุตฺตมสงฺคามโยธภาโว ปเนตฺถ –
Tattha na taṃ jitaṃ sādhu jitaṃ, yaṃ jitaṃ avajīyatīti yaṃ paccāmitte parājinitvā raṭṭhaṃ jitaṃ paṭiladdhaṃ punapi tehi paccāmittehi avajīyati, taṃ jitaṃ sādhujitaṃ nāma na hoti. Kasmā? Puna avajīyanato. Aparo nayo – jitaṃ vuccati jayo. Yo paccāmittehi saddhiṃ yujjhitvā adhigato jayo puna tesu jinantesu , parājayo hoti, so na sādhu na sobhano. Kasmā? Yasmā puna parājayova hoti. Taṃ kho jitaṃ sādhu jitaṃ, yaṃ jitaṃ nāvajīyatīti yaṃ kho pana paccāmitte nimmathetvā jitaṃ puna tehi nāvajīyati, yo vā ekavāraṃ laddho jayo na puna parājayo hoti, taṃ jitaṃ sādhu jitaṃ sobhanaṃ, so jayo sādhu sobhano nāma hoti. Kasmā? Puna nāvajīyanato. Tasmā, tvaṃ mahārāja, satakkhattumpi sahassakkhattumpi satasahassakkhattumpi saṅgāmasīsaṃ jinitvāpi saṅgāmayodho nāma na hosi. Kiṃkāraṇā? Attano kilesānaṃ ajitattā. Yo pana ekavārampi attano abbhantare kilese jināti, ayaṃ uttamo saṅgāmasīsayodhoti ākāse nisinnakova buddhalīlāya rañño dhammaṃ desesi. Uttamasaṅgāmayodhabhāvo panettha –
‘‘โย สหสฺสํ สหเสฺสน, สงฺคาเม มานุเส ชิเน;
‘‘Yo sahassaṃ sahassena, saṅgāme mānuse jine;
เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ, ส เว สงฺคามชุตฺตโม’’ติฯ (ธ. ป. ๑๐๓) –
Ekañca jeyyamattānaṃ, sa ve saṅgāmajuttamo’’ti. (dha. pa. 103) –
อิทํ สุตฺตํ สาธกํฯ
Idaṃ suttaṃ sādhakaṃ.
รโญฺญ ปน ธมฺมํ สุณนฺตเสฺสว ตทงฺคปฺปหานวเสน กิเลสา ปหีนา, ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมิฯ ราชพลสฺสปิ ตเถว กิเลสา ปหียิํสุฯ ราชา ‘‘อิทานิ ตุเมฺห กหํ คมิสฺสถา’’ติ โพธิสตฺตํ ปุจฺฉิฯ ‘‘หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิสฺสามิ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ โพธิสเตฺตเนว สทฺธิํ นิกฺขมิ, พลกาโย พฺราหฺมณคหปติกา สพฺพา เสนิโยติ สโพฺพปิ ตสฺมิํ ฐาเน สนฺนิปติโต มหาชนกาโย รญฺญา สทฺธิํเยว นิกฺขมิฯ พาราณสิวาสิโนปิ ‘‘อมฺหากํ กิร ราชา กุทฺทาลปณฺฑิตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปพฺพชฺชาภิมุโข หุตฺวา สทฺธิํ พลกาเยน นิกฺขโนฺต, มยํ อิธ กิํ กริสฺสามา’’ติ ทฺวาทสโยชนิกาย พาราณสิยา สกลนครวาสิโน นิกฺขมิํสุฯ ทฺวาทสโยชนิกา ปริสา อโหสิฯ ตํ อาทาย โพธิสโตฺต หิมวนฺตํ ปาวิสิฯ
Rañño pana dhammaṃ suṇantasseva tadaṅgappahānavasena kilesā pahīnā, pabbajjāya cittaṃ nami. Rājabalassapi tatheva kilesā pahīyiṃsu. Rājā ‘‘idāni tumhe kahaṃ gamissathā’’ti bodhisattaṃ pucchi. ‘‘Himavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajissāmi, mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi ahampi pabbajissāmī’’ti bodhisatteneva saddhiṃ nikkhami, balakāyo brāhmaṇagahapatikā sabbā seniyoti sabbopi tasmiṃ ṭhāne sannipatito mahājanakāyo raññā saddhiṃyeva nikkhami. Bārāṇasivāsinopi ‘‘amhākaṃ kira rājā kuddālapaṇḍitassa dhammadesanaṃ sutvā pabbajjābhimukho hutvā saddhiṃ balakāyena nikkhanto, mayaṃ idha kiṃ karissāmā’’ti dvādasayojanikāya bārāṇasiyā sakalanagaravāsino nikkhamiṃsu. Dvādasayojanikā parisā ahosi. Taṃ ādāya bodhisatto himavantaṃ pāvisi.
ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส เทวรโญฺญ นิสินฺนาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ โส อาวชฺชมาโน ‘‘กุทฺทาลปณฺฑิโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต’’ติ ทิสฺวา ‘‘มหาสมาคโม ภวิสฺสติ, วสนฎฺฐานํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาต, กุทฺทาลปณฺฑิโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต , วสนฎฺฐานํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, ตฺวํ หิมวนฺตปฺปเทสํ คนฺตฺวา สเม ภูมิภาเค ทีฆโต ติํสโยชนํ วิตฺถารโต ปนฺนรสโยชนํ อสฺสมปทํ มาเปหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา คนฺตฺวา ตถา อกาสิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน หตฺถิปาลชาตเก อาวิ ภวิสฺสติฯ อิทญฺจ หิ ตญฺจ เอกปริเจฺฉทเมวฯ วิสฺสกโมฺมปิ อสฺสมปเท ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา ทุสฺสเทฺท มิเค จ สกุเณ จ อมนุเสฺส จ ปฎิกฺกมาเปตฺวา เตน เตน ทิสาภาเคน เอกปทิกมคฺคํ มาเปตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อคมาสิฯ กุทฺทาลปณฺฑิโตปิ ตํ ปริสํ อาทาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา สกฺกทตฺติยํ อสฺสมปทํ คนฺตฺวา วิสฺสกเมฺมน มาปิตํ ปพฺพชิตปริกฺขารํ คเหตฺวา ปฐมํ อตฺตนา ปพฺพชิตฺวา ปจฺฉา ปริสํ ปพฺพาเชตฺวา อสฺสมปทํ ภาเชตฺวา อทาสิฯ สตฺต ราชาโน สตฺต รชฺชานิ ฉฑฺฑยิํสุฯ ติํสโยชนํ อสฺสมปทํ ปูริฯ กุทฺทาลปณฺฑิโต เสสกสิเณสุปิ ปริกมฺมํ กตฺวา พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา ปริสาย กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิฯ สเพฺพ สมาปตฺติลาภิโน หุตฺวา พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกปรายณา อเหสุํฯ เย ปน เตสํ ปาริจริยํ อกํสุ, เต เทวโลกปรายณา อเหสุํฯ
Tasmiṃ khaṇe sakkassa devarañño nisinnāsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. So āvajjamāno ‘‘kuddālapaṇḍito mahābhinikkhamanaṃ nikkhanto’’ti disvā ‘‘mahāsamāgamo bhavissati, vasanaṭṭhānaṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti vissakammaṃ āmantetvā ‘‘tāta, kuddālapaṇḍito mahābhinikkhamanaṃ nikkhanto , vasanaṭṭhānaṃ laddhuṃ vaṭṭati, tvaṃ himavantappadesaṃ gantvā same bhūmibhāge dīghato tiṃsayojanaṃ vitthārato pannarasayojanaṃ assamapadaṃ māpehī’’ti āha. So ‘‘sādhu, devā’’ti paṭissuṇitvā gantvā tathā akāsi. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana hatthipālajātake āvi bhavissati. Idañca hi tañca ekaparicchedameva. Vissakammopi assamapade paṇṇasālaṃ māpetvā dussadde mige ca sakuṇe ca amanusse ca paṭikkamāpetvā tena tena disābhāgena ekapadikamaggaṃ māpetvā attano vasanaṭṭhānameva agamāsi. Kuddālapaṇḍitopi taṃ parisaṃ ādāya himavantaṃ pavisitvā sakkadattiyaṃ assamapadaṃ gantvā vissakammena māpitaṃ pabbajitaparikkhāraṃ gahetvā paṭhamaṃ attanā pabbajitvā pacchā parisaṃ pabbājetvā assamapadaṃ bhājetvā adāsi. Satta rājāno satta rajjāni chaḍḍayiṃsu. Tiṃsayojanaṃ assamapadaṃ pūri. Kuddālapaṇḍito sesakasiṇesupi parikammaṃ katvā brahmavihāre bhāvetvā parisāya kammaṭṭhānaṃ ācikkhi. Sabbe samāpattilābhino hutvā brahmavihāre bhāvetvā brahmalokaparāyaṇā ahesuṃ. Ye pana tesaṃ pāricariyaṃ akaṃsu, te devalokaparāyaṇā ahesuṃ.
สตฺถา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ นาเมตํ กิเลสวเสน อลฺลีนํ ทุโมฺมจยํ โหติ, อุปฺปนฺนา โลภธมฺมา ทุปฺปชหา, เอวรูเปปิ ปณฺฑิเต อญฺญาเณ กโรนฺตี’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน เกจิ โสตาปนฺนา อเหสุํ, เกจิ สกทาคามิโน, เกจิ อนาคามิโน, เกจิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ สตฺถาปิ อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ปริสา พุทฺธปริสา, กุทฺทาลปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā ‘‘evaṃ, bhikkhave, cittaṃ nāmetaṃ kilesavasena allīnaṃ dummocayaṃ hoti, uppannā lobhadhammā duppajahā, evarūpepi paṇḍite aññāṇe karontī’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne keci sotāpannā ahesuṃ, keci sakadāgāmino, keci anāgāmino, keci arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Satthāpi anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, parisā buddhaparisā, kuddālapaṇḍito pana ahameva ahosi’’nti.
กุทฺทาลชาตกวณฺณนา ทสมาฯ
Kuddālajātakavaṇṇanā dasamā.
อิตฺถิวโคฺค สตฺตโมฯ
Itthivaggo sattamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
อสาตมนฺตณฺฑภูตํ , ตกฺกปณฺฑิ ทุราชานํ;
Asātamantaṇḍabhūtaṃ , takkapaṇḍi durājānaṃ;
อนภิรติ มุทุลกฺขณํ, อุจฺฉงฺคมฺปิ จ สาเกตํ;
Anabhirati mudulakkhaṇaṃ, ucchaṅgampi ca sāketaṃ;
วิสวนฺตํ กุทฺทาลกนฺติฯ
Visavantaṃ kuddālakanti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๗๐. กุทฺทาลชาตกํ • 70. Kuddālajātakaṃ